อนิลทิตา ตอนที่ 10
พอรชากลับบ้านพักในเมาน์เทนรีสอร์ทค่ำคืนนั้น บอกเล่าเรื่องราวแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นจักราซึ่งเขาเห็นให้นายิกีที่รออยู่ฟัง แม่เฒ่าฟังแล้วมีสีหน้าครุ่นคิด ก่อนจะพูดออกมาอย่างมั่นใจ
“นังโฉมจะต้องทำอะไรไอ้จักรแน่ๆ มันถึงได้หลงจนไม่ลืมหูลืมตาขนาดนี้”
รชาร้อนใจเป็นห่วงจักรามากๆ
“แล้วเราจะช่วยไอ้จักรมันได้ยังไงล่ะครับ”
“เราก็ต้องรู้ให้ได้ซะก่อนว่านังโฉมมันทำอะไรไว้...แต่ข้าว่ามันจะต้องเกี่ยวกับเรื่องที่มันหายเข้าไปในป่าสามวันสามคืนนั่นแน่ๆ”
นายิกีครุ่นคิดจะทำยังไงต่อ
แสงอาทิตย์สาดส่องไปทั่วอาณาบริเวณคุ้มเชียงแมน ตอนเช้าวันนี้
เจ้าดาเรศเปิดประตูออกมาจากห้อง หน้าตาซีดเซียวคล้ายคนไม่ได้นอนทั้งคืน จักราก็เพิ่งออกมาจากห้องโฉมสุรางค์ที่อยู่ชั้นเดียวกัน และกำลังจะเดินไปที่บันไดเหมือนกัน
สองคนสบตากัน ก่อนที่เจ้าดาเรศจะเมินไปทางอื่น แล้วรีบเดินลงบันไดไป จักราตัดสินใจเดินมาขวางไว้
“คุณดา ทำไมคุณต้องหนีหน้าผมด้วย”
เจ้าดาเรศเมินหน้าหนี พูดไม่ออก จักรามองเจ้าด้วยความรู้สึกผิด
“คุณโกรธผมใช่มั้ย”
สองคนคุยกันอยู่บนระเบียงชั้น 2 มุมหนึ่งของเรือนใหญ่
“ผมขอโทษสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมา ผมไม่ได้ตั้งใจจะทำให้คุณเสียใจ”
“คุณจักรทราบด้วยเหรอคะ”
จักรามีสีหน้าเสียใจ
“ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในตอนนั้น เกิดจากความรู้สึกของผมจริงๆ ผมไม่เคยคิดจะหลอกคุณ แต่ตอนนี้ ผมไม่สามารถจะมีความรู้สึกแบบนั้นได้อีกแล้ว”
เจ้าดาเรศเหลียวขวับมาถามอย่างอึดอัดใจ
“มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่คะ ระหว่างคุณกับคุณแม่”
“มันอาจจะฟังดูเป็นเรื่องเหลือเชื่อ แต่ผมเพิ่งจะรู้ว่าผมกับคุณโฉมเคยรักกัน...ตั้งแต่ชาติก่อน”
เจ้าดาเรศชะงัก ไม่อยากเชื่อในสิ่งที่จักราพูด
“รักกันมาตั้งแต่ชาติก่อน! นี่คุณพูดเรื่องอะไร”
“ถ้าไม่เจอกับตัวเองผมก็คงไม่เชื่อ แต่ผมจำเรื่องราวทั้งหมดในชาติก่อนได้จริงๆ ผมเคยสาบานรักกับคุณโฉมเอาไว้ และผมคงจะรักใครไม่ได้อีกนอกจากคุณโฉมเพียงคนเดียว”
“เป็นไปไม่ได้ ดาไม่เชื่อ”
โฉมสุรางค์ออกมาจากห้อง ได้ยินพอดี
“เธอจะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่เธอ แต่ฉันกับคุณจักรรักกัน และนี่ก็เป็นเรื่องจริง”
โฉมสุรางค์เดินไปหาและพูดกับจักราโดยไม่สนใจเจ้าดาเรศอีกเลย
“เราไปกันเถอะค่ะคุณจักร”
สองคนเดินลงบันได
เจ้าดาเรศมองตาม เธอแปลกใจมากจนลืมเศร้า ไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยินจากปากของจักรา
กระถินที่ขึ้นมาดูความเรียบร้อยเดินเข้ามาหาเจ้าดาเรศ แต่สายตามองตามจักรากับโฉมสุรางค์ไปตลอด
“กระถินได้ยินที่คุณจักรพูดแล้วใช่มั้ย” เจ้าดาเรศถาม
“ได้ยินสิคะ...คุณจักรบอกว่าตัวเองระลึกชาติได้ มันจะเป็นไปได้ยังไง ท่าจะบ้าไปกันใหญ่แล้ว”
บริเวณน้ำตกสวย ริมลำธารท้ายไร่ชา น้ำสะอาดใส ไหลรินรดลงตามแก่งหิน บรรยากาศร่มรื่นร่มเย็น ยินเสียงหัวเราะมีความสุขของโฉมสุรางค์และจักราดังเข้ามาบริเวณนี้ โดยมีโฉมสุรางค์วิ่งนำจักรามา
“ตามให้ทันสิคะคุณจักร”
จักราวิ่งตามมา
“คุณโฉมก็อย่าหนีสิครับ”
โฉมสุรางค์หยุดตรงริมลำธาร แล้วค่อยๆ เดินลงน้ำไปทั้งชุด จักราวิ่งตามมาถึง ก้าวลงน้ำตามไปจนถึงตัว โอบกอดโฉมสุรางค์ไว้
“จับได้แล้ว”
จักราหอมแก้ม โฉมสุรางค์ยิ้มชื่นแกล้งวักน้ำใส่ จักราวักน้ำใส่บ้าง ทั้งคู่หัวเราะมีความสุขล้น
จักรากับโฉมสุรางค์โอบกอดกันแน่นด้วยความรัก แต่แล้วในโมงยามอันแสนหวานนั้นโฉมสุรางค์ก็มองแขนตัวเอง พบว่าเริ่มมีริ้วรอยเหี่ยวย่นให้เห็นก็ตกใจ ถลาออกจากอ้อมกอดของจักราแล้วหันหลังให้
จักรางวยงงสงสัย “เป็นอะไรครับคุณโฉม”
โฉมสุรางค์ละล่ำละลัก พยายามเบี่ยงตัวหลบจักรา
“เปล่าค่ะ เรากลับกันเถอะค่ะ”
โฉมสุรางค์รีบขึ้นจากน้ำวิ่ง ออกไปทันที จักรามองตามในอาการงวยงง ว่าอยู่ดีๆ โฉมสุรางค์เป็นอะไร
บันดาสากำลังผสมยาสมุนไพรอยู่ในกระท่อม ขณะโฉมสุรางค์เปิดประตูเข้ามาในกระท่อมอย่างร้อนรน
“พี่บันดาสา ข้าจะต้องอาบน้ำเลือดสมุนไพรโดยเร็วที่สุด”
บันดาสาวางมือจากสมุนไพร
“แต่นี่ก็ยังไม่ถึงคืนเพ็ญ”
โฉมสุรางค์ไม่สนใจ จะให้บันดาสาทำตามความต้องการของตนให้ได้
“ถึงจะไม่ใช่คืนเพ็ญ แต่ผลของมันก็หาต่างกันไม่...ยิ่งตอนนี้ ข้ากับสินธุก็ได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันเยี่ยงผัวเมียแล้ว ข้าจะให้สินธุเห็นร่างกายที่แท้จริงของข้าได้อย่างไร”
บันดาสาถอนใจท่าทีหนักใจ
“เพราะแม่หญิงยอมมีความสัมพันธ์กับสินธุ...ร่างกายของแม่หญิงถึงได้กลับสู่สภาพเดิมก่อนเวลาที่ควรจะเป็น”
“ใช่...ข้ายอม ก็เพราะข้ารอเวลานี้เพื่อให้ได้เจอ ได้รัก และได้ใช้ชีวิตอยู่กับสินธุ ข้าจะไม่ยอมให้มีสิ่งใดมากีดขวางความรักระหว่างสินธุกับข้าอีก”
โฉมสุรางค์หันมามองบันดาสาเป็นเชิงขอร้องแกมบังคับ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบ
“และพี่ก็ต้องช่วยข้าเหมือนกับที่เคยช่วยมาตลอด”
บันดาสาหนักใจสุดจะประมาณ กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
เวลาล่วงเลยไปเป็นเวลาเย็นย่ำ บันดาสานั่งมองไอ้พันกินข้าวอยู่บนแคร่ สีหน้าอมทุกข์ ด้วยในใจก็กังวลเรื่องโฉมสุรางค์
“เมื่อแม่หญิงได้ครองคู่กับสินธุเช่นนี้แล้ว ต่อไปแม่หญิงก็จะต้องอาบน้ำเลือดสมุนไพรบ่อยขึ้น แล้วเราก็คงต้องฆ่าชายฉกรรจ์มากขึ้นอีกจนนับไม่ถ้วน
บันดาสาเป็นทุกข์ หาทางออกไม่ได้
“ข้าจะทำยังไงดีเจ้า ข้าไม่อยากเห็นแม่หญิงทำผิดไปมากกว่านี้เลย”
ไอ้พันที่กินข้าวอยู่ทำเป็นสนใจ เหมือนรับรู้ถึงความรู้สึกของบันดาสา
ส่วนในกระท่อมนายิกี เจ้าดาเรศ และกระถิน นำเรื่องที่จักราบอกว่าตัวเองระลึกชาติได้มาเล่าให้ สองคนฟัง ทุกคนหารือกันอย่างเคร่งเครียด
รชาไม่อยากจะเชื่อ เอ่ยขึ้นทันที “มันจะเป็นไปได้เหรอครับแม่เฒ่า ทำไมอยู่ดีๆ ไอ้จักรก็เกิดจะระลึกชาติขึ้นมาได้”
“นั่นน่ะสิ เป็นไปได้ยังไง ข้าก็อยากรู้เหมือนกันว่านังโฉมมันทำอะไรไอ้จักร”
นายิกีพูดจบก็หลับตาทำสมาธิ สักครู่นางก็ลืมตาขึ้น เพ่งสมาธิมองไปที่เปลวเทียน
เปลวเทียนที่วูบไหวรางเลือน ค่อยๆ ชัดขึ้น จนเห็นเป็นภาพจักรากับโฉมสุรางค์โอบกอดกันอยู่ในลำธาร ที่สะดุดตาแม่เฒ่าที่สุดนั่นคือ เหรียญท้าวเวสสุวัณที่สร้อยคอจักราเกิดแสงเรืองวาบขึ้น
นายิกีหลุดจากสมาธิ ท่าทางหนักใจ
“ข้าสัมผัสได้ถึงพลังบางอย่างที่สร้อยคอไอ้จักร”
รชาทำหน้าไม่เชื่อ
“แล้วมันจะเกี่ยวกับที่ไอ้จักรบอกว่า เมื่อชาติก่อนมันเคยรักกับคุณโฉมหรือเปล่าครับ”
“ข้าไม่รู้ว่าในอดีตมันจะเคยรักกันหรือเปล่า แต่ที่ไอ้จักรมันหลงนังโฉมจนโงหัวไม่ขึ้น ก็เพราะมันถูกนังโฉมทำเสน่ห์”
เจ้าดาเรศเครียด “ไม่อยากจะเชื่อเลย นี่หมายความว่าคุณแม่ทำเสน่ห์คุณจักรจริงๆ เหรอคะ”
รชาร้อนใจ
“แล้วเราจะทำยังไงกันดีครับ ถ้าปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปไอ้จักรต้องแย่แน่ๆ”
“ตอนนี้ข้าก็ยังไม่รู้เหมือนกัน แต่ถึงยังไงข้าก็ต้องหาทางช่วยไอ้จักรให้ได้”
แม่เฒ่าจอมอาคมแห่งล้านนาบอกอย่างมั่นใจ
วันถัดมาบรรดาคนงานของไร่ชาเชียงแมน กำลังเก็บใบชาในแสงตะวันยามเช้า
ขณะที่เจ้าดาเรศเดินออกมาจากออฟฟิศ มองออกไปเห็นรถยนต์คันหนึ่งวิ่งมาจอดลานหน้าออฟฟิศ ก่อนจะเห็นเจ้าพงษ์นคร หนุ่มรูปหล่อสวมแว่นกันแดดลงมาจากรถคันนั้นวางมาดโก้ เจ้าดาเรศยิ้มกว้างดีใจ รีบวิ่งไปหาทันที
“เจ้าพี่พงษ์นคร”
เจ้าพงษ์นครหันมาเห็นเจ้าดาเรศ ชายหนุ่มวิ่งเหยาะๆ เข้าไปหา สองคนโผเข้ากอดกันด้วยความคิดถึง
“เจ้าพี่ น้องคิดว่าเจ้าพี่จะไม่มาหาน้องซะแล้ว”
“พี่บอกว่ามาก็ต้องมาสิ”
เจ้าดาเรศละตัวออกมา มองหน้าเจ้าพงษ์นครด้วยความดีใจ มองเห็นเขาเป็นที่พึ่งในยามนี้
“เจ้าพี่มาก็ดีแล้ว น้องกำลังมีเรื่องอยากจะปรึกษาอยู่พอดีเลยค่ะ”
อ่านต่อหน้า 2
อนิลทิตา ตอนที่ 10 (ต่อ)
เจ้าดาเรศเดินนำเจ้าพงษ์นครเข้ามาในเรือนใหญ่สีหน้ายิ้มแย้ม
“เชิญค่ะเจ้าพี่”
อ๋อยกับแอ๋วรีบเดินออกมาช่วยรับของ
“อ๋อยกับแอ๋วขึ้นไปจัดห้องรับรองให้เจ้าพี่พงษ์นครด้วยนะ...แล้วก็ยกกระเป๋าไปไว้ที่ห้องเลย”
“เห็นน้องดาบอกว่ามีอะไรจะปรึกษาพี่ ปัญหาหัวใจรึเปล่าจ๊ะ หรือว่ากลัวจะขึ้นคาน...งั้น พี่แนะนำเพื่อนๆ ให้รู้จักเอามั้ยล่ะ” เจ้าพงษ์นครเอ่ยสัพยอก
เจ้าดาเรศยิ้มไม่ออก ตัดบทขึ้นว่า
“ปัญหาของน้องมันออกจะซับซ้อน ต้องใช้เวลาเล่านาน เจ้าพี่มาทานอาหารเช้ากับน้องก่อนเถอะค่ะ”
สองคนเดินเข้ามาในห้องโถง
“นั่นเอากระเป๋าของใครเข้ามาน่ะอ๋อย”
เสียงโฉมสุรางค์ถามอ๋อยและแอ๋วยังไม่ทันขาดคำ เข้าของเสียงก็เดินคลอเคลียออกมากับจักรา แล้วชะงักอย่างแปลกใจเมื่อเห็นเจ้าดาเรศยืนอยู่กับเจ้าพงษ์นคร
“อ้าว...พงษ์นครนั่นเอง”
พงษ์นครมองโฉมสุรางค์ อดทึ่งในความงามที่ไม่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ก่อนจะยกมือไหว้ทัก
“สวัสดีครับคุณป้า ไม่ได้พบกันตั้งหลายปี แต่คุณป้ายังสวยเหมือนเดิมเลยนะครับ”
เจ้าพงษ์นครมองเลยไปที่จักรา นึกสงสัยว่าเป็นใครแต่เก็บอาการไว้
โฉมสุรางค์รับไหว้ ยิ้มตามมารยาท
เจ้าพงษ์นครมองจักราแล้วหันไปมองโฉมสุรางค์อีก เหมือนจะรอให้ผู้เป็นป้าแนะนำเอง
“นี่คุณจักรา ผู้จัดการไร่ของป้า” เธอหันมาทางจักรา “เจ้าพงษ์นครเป็นลูกผู้พี่ของเจ้าดาเรศค่ะ”
ขณะแนะนำจักราให้พงษ์นครรู้จัก โฉมสุรางค์แสดงท่าทีสนิทสนมหวานฉ่ำกับจักราเป็นเปิดเผยโดยไม่สนใจสายตาคนอื่น
เจ้าพงษ์นครยิ้มทัก “ยินดีที่ได้รู้จักครับ คุณจักรา”
“เช่นกันครับ” จักราทักตอบ
โฉมสุรางค์ตัดบท “ตามสบายนะพงษ์นคร ป้าขอตัวก่อน ขาดเหลืออะไรก็บอกดาเรศเค้า ไปกันเถอะค่ะคุณจักร”
โฉมสุรางค์หันไปยิ้มให้จักราก่อนจะเดินคลอเคลียกันออกไป
เจ้าพงษ์นครมองตามจนสองคนลับสายตาไป แล้วจึงหันมามองเจ้าดาเรศเป็นเชิงถาม
สองคนอยู่ในห้องพักแขกบนเรือนใหญ่ คุ้มเชียงแมน เจ้าพงษ์นครถามเรื่องคาใจทันที
“คุณจักราเค้าเป็นใครกันแน่น้องดา ทำไมถึงได้ดูสนิทสนมกับคุณป้านัก”
เจ้าดาเรศอึ้งไปนิดหนึ่ง พยายามสรรกาหาคำตอบที่เหมาะสม
“คุณจักรกับคุณแม่ชอบกันมากน่ะค่ะ”
“ชอบกัน” เจ้าพงษ์นครนิ่งคิดไปนิดหนึ่ง แล้วพยักหน้ารับรู้ “อ๋อ...”
ชายหนุ่มพูดต่ออย่างไม่เห็นว่าเป็นเรื่องแปลก
“คุณจักรานี่ยังหนุ่มอยู่เลยนะ ส่วนคุณป้า ถึงจะอายุมากแต่ก็ยังดูสาวสาวอยู่เลย...ก็ไม่แปลกอะไรที่จะมีคนรักใหม่”
“ดาก็ว่าไม่แปลกที่คุณแม่จะมีความรักอีกครั้ง” เจ้าดาเรศหลุดความในใจออกมา “แต่ความรักของคุณแม่มันแปลกเกินกว่าที่ดาจะเข้าใจ”
เจ้าพงษ์นครฉงน “น้องดาหมายความว่ายังไง”
“แล้วดาจะเล่าให้ฟังแล้วกันค่ะ แต่ตอนนี้เจ้าพี่ไปนอนพักก่อนดีกว่า ขับรถเหนื่อยมาทั้งคืนแล้ว”
ทันทีที่เจ้าดาเรศออกมาจากห้องพักเจ้าพงษ์นคร กระถินที่ดักรออยู่ก็ปราดเข้าไปหาทันที ดึงแขนออกไปที่มุมปลอดคน มองจนแน่ใจอีกครั้งว่าไม่มีใครอยู่ในบริเวณนั้นแล้ว จึงพูดอย่างร้อนใจ
“เจ้าคะ เราไปหาแม่เฒ่านายิกีกันเถอะค่ะ แม่เฒ่าหาทางช่วยคุณจักรได้แล้ว”
เจ้าดาเรศตาเป็นประกายอย่างมีความหวัง
ไม่นานต่อมา ทุกคนรวมตัวกันอยู่ที่ห้องโถงบ้านรชา ในเมาเทนรีสอร์ท
“ไอ้จักรมันถูกเสน่ห์ที่นังโฉมลงไว้ในเหรียญท้าวเวสสุวัณ”
เจ้าดาเรศอึ้ง ใช้ความคิด
นึกถึงเหตุการณ์ที่จักราเริ่มเปลี่ยนไป ตั้งแต่เห็นเงาจักราและโฉมสุรางค์จูบกันในกระโจมท้ายไร่
ตามด้วยตอนเห็นจักราทำอาหารให้โฉมสุรางค์ทาน สองคนหยอกล้อกันอย่างหวานชื่น แวบนั้นเองเหรียญท้าวเวสสุวัณที่คอจักราแกว่งไปมา
จนสุดท้ายตอนจักรายืนคุยกับดาเรศที่ระเบียงชั้นบน แล้วโฉมสุรางค์ออกจากห้องมา บอกว่าตนรักกับจักรา แล้วควงแขนจักราไปเลย จังหวะนี้เจ้าดาเรศแลเห็นเหรียญท้าวเวสสุวัณที่คอจักราเด่นชัด
เจ้าดาเรศจมอยู่ในห้วงคิด จนเสียงกระถินพูดดังขึ้น จึงปลุกเธอให้ตื่นจากภวังค์
“จริงด้วยค่ะ กระถินยังคิดเลยว่าคุณจักรห้อยเหรียญอะไรแปลกๆ”
เจ้าดาเรศแม้จะเห็นด้วยกับกระถิน แต่ก็ยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งเรื่องที่คุณโฉมทำกับจักรา
รชาร้อนใจ “แล้วแม่เฒ่าจะช่วยไอ้จักรได้ใช่มั้ยครับ”
นายิกีส่งขวดน้ำมนต์ให้เจ้าดาเรศ
“หลังจากที่ไอ้จักรมันกินน้ำมนต์ขวดนี้ มันก็จะสำรอกออกมา แล้วเสน่ห์มนต์ดำที่นังโฉมทำไว้ก็จะเสื่อมลงไปเอง”
เจ้าดาเรศรับขวดน้ำมนต์มาจากนายิกี แล้วมองขวดในมืออย่างใคร่ครวญครุ่นคิด
กลับถึงคุ้มสองสาวอยู่ในครัว กระถินตักน้ำตะไคร้จากหม้อต้มใส่ลงไปในเหยือก เจ้าดาเรศเทน้ำมนต์จากขวดที่แม่เฒ่านายิกีให้ตามลงไป
จากนั้นกระถินเอาเหยือกกับถ้วยชาเข้าชุดกันวางลงในถาด ก่อนจะหยิบจานปั้นสิบปลาที่จัดไว้อย่างสวยงามวางลงไปในถาดนั้นด้วย
กระถินยกถาดขึ้น จะเดินออกจากห้อง
เจ้าดาเรศเอ่ยขึ้น คล้ายตัดสินใจได้แล้ว “ฉันไปด้วยสิกระถิน”
“เจ้ารอที่นี่ดีกว่าค่ะ เดี๋ยวคุณจักรเห็นเข้าก็จะสงสัยเปล่าๆ”
กระถินเดินถือถาดกาน้ำตะไคร้ ถ้วยชา และจานใส่ปั้นสิบปลามาที่หน้าห้องนอนจักรา แล้วเคาะประตู
“คุณจักรคะ คุณจักร”
จักราเปิดประตูออกมา “มีอะไรเหรอครับ”
“กระถินทำน้ำตะไคร้กับปั้นสิบปลาเป็นของว่างให้คุณโฉมน่ะค่ะ ก็เลยยกมาให้คุณจักรทานด้วย”
กระถินเดินถือถาดเข้ามาวางที่โต๊ะ
“ขอบคุณครับ”
“คุณจักรรีบมาทานเถอะคะ เดี๋ยวจะเซ็งซะหมด”
กระถินพูดจบก็ทำเป็นเดินออกไป
กระถินหลบวูบเข้าไปมุมหนึ่งคอยแอบดูอาการจักรา ขณะลุ้นอยู่นั้น มือดาเรศยื่นมาจับที่ไหล่กระถินหมับ กระถินตกใจจนเกือบจะร้องออกมา
เจ้าดาเรศรีบเอามือปิดปากกระถินไว้จนแน่ใจว่ากระถินหายตกใจแล้วถึงจะปล่อยมือ
“เจ้า มาทำไมคะ เดี๋ยวคุณจักรก็สงสัยหรอก”
“ก็ฉันอยากรู้นี่ว่าคุณจักรดื่มน้ำมนต์ของแม่เฒ่าแล้วจะเป็นยังไง”
ฝ่ายจักรา ทานปั้นสิบปลาก่อนจะดื่มน้ำตะไคร้ตาม ทันใดนั้นเอง จักราก็ลุกพรวดขึ้นแล้ววิ่งไปอาเจียน โฉมสุรางค์เข้ามาพอดี เห็นจักราอาเจียนหนักก็ตกใจ รีบปราดเข้าไปหา
“คุณจักร เป็นอะไรหรือเปล่าคะ...คุณจักร”
จักราก้มหน้าก้มตาอาเจียน ไม่ยอมตอบ โฉมสุรางค์ลูบหลังลูบไหล่เขาอย่างเป็นห่วง
“ทำไมคุณจักรถึงอาเจียนขนาดนี้ล่ะคะ ไม่สบายหรือเปล่า หรือว่าทานอะไรเข้าไป”
โฉมสุรางค์พูดจบก็สะกิดใจขึ้นมา หันขวับไปมองที่โต๊ะอาหาร เห็นแก้วน้ำตะไคร้วางอยู่
โฉมสุรางค์เข้ามาในห้องลับด้วยสีหน้านิ่งๆ แล้วเทน้ำตะไคร้ลงในขันน้ำมนต์ เกิดหมอกควันขึ้นปกคลุมน้ำในขัน โฉมสุรางค์โกรธจัดรู้ทันทีว่าอะไรเป็นอะไร เทน้ำตะไคร้ทิ้งลงในกระถางธูป
“นังดาเรศแน่ๆ ที่มันกล้าทำถึงขนาดนี้”
โฉมสุรางค์โกรธมาก ด่าว่าเจ้าดาเรศกับบันดาสาอย่างรุนแรง ทันทีที่มาถึงกระท่อม
“พี่บันดาสา รู้หรือเปล่าว่าลูกสาวพี่มันกล้าถึงขนาดเอาน้ำมนต์มาให้สินธุกิน มันต้องการถอนเสน่ห์ให้สินธุเลิกรักข้า มันคิดจะแย่งสินธุไปจากข้า”
บันดาสาตกใจ เป็นห่วงเจ้าดาเรศขึ้นมาทันควัน
“มันจะเป็นไปได้อย่างไรแม่หญิง เจ้าดาเรศจะไปเอาน้ำมนต์มาจากไหนกัน เจ้าโตที่เมืองฝรั่ง ไม่น่าจะรู้จักเรื่องมนต์ดำ เรื่องคุณไสยเลยด้วยซ้ำ”
“มันคงสมรู้ร่วมคิดกับนังเฒ่านายิกี เลยเออออทำตามที่นังเฒ่านั่นบอก”
บันดาสาอึ้ง หน้าเสียเพราะจนด้วยเหตุผล
“ข้าจะบอกพี่ไว้เลยนะว่าถ้าลูกสาวของพี่ยังไม่เลิกวุ่นวายกับเรื่องของข้า ข้าไม่ปล่อยมันไว้แน่”
บันดาสาเต็มไปหวั่นใจและเป็นห่วงดาเรศ
“แม่หญิงได้โปรดให้อภัยเจ้าดาเรศด้วยเถอะ นึกซะว่าเห็นแก่พี่ ถึงอย่างไรเจ้าดาเรศก็ไม่สามารถถอนเสน่ห์ที่แม่หญิงทำกับสินธุได้...”
บันดาสายืนยันอย่างหนักแน่นเพื่อให้โฉมสุรางค์หมดกังวล
“แม่หญิงอย่าได้ห่วงเลยนะ ตราบใดที่เหรียญท้าวเวสสุวัณยังอยู่ติดตัวสินธุ ต่อให้สินธุจะกินน้ำมนต์ซักกี่โอ่งกี่ไห ก็ไม่มีวันหมดรักในตัวแม่หญิงเป็นอันขาด”
“น้องดา...น้องดาจ๋า”
เจ้าพงษ์นครออกเดินตามหาเจ้าดาเรศ ร้องเรียกไปรอบๆ คุ้ม
“หายไปไหนกันหมดนะ...น้องดา”
อ๋อยโผล่เข้ามาพอดี “เจ้าดาเรศออกไปข้างนอกยังไม่กลับเลยค่ะ”
“อ้าว...เหรอ”
“แต่เจ้าดาเรศสั่งให้เตรียมของว่างไว้ให้เจ้าค่ะ เจ้าจะรับเลยมั้ยคะ”
“ฉันยังไม่หิวเลย”
เจ้าพงษ์นครมองไปนอกคุ้ม เห็นบรรยากาศร่มรื่น เขาสีหน้าเหมือนคิดอะไรออก พลางขยับตัวยืดเส้นยืดสาย
“ฉันออกไปเดินเล่นแถวๆนี้ก่อนดีกว่า”
เจ้าพงษ์นครใส่ชุดวิ่งจ๊อกกิ้ง เสื้อยืดกางเกงขาสั้นรัดรูป ลดแรงเสียดทาน ที่แขนมีสายคาดโทรศัพท์มือถือเสียบไว้สำหรับเช็คจังหวะการเต้นของหัวใจ และเสียบหูฟังเพื่อฟังเพลงขณะวิ่ง
เจ้าพงษ์นครวอร์มร่างกายนิดหน่อย ประสาคนที่เข้ายิมเป็นประจำ
ทอดสายตามองไป เห็นทัศนียภาพอันสวยงามสุดสายตา ลมพัดโชยมาอ่อนๆ เจ้าพงษ์นครออกเดินช้าๆ หลับตาสูดลมหายใจอย่างเต็มปอด จากนั้นเจ้าพงษ์นครก็ออกวิ่งไปช้าๆ ชื่นชมทัศนียภาพรอบๆ ตัวอย่างสดชื่น ลัดเลาะไปทางท้ายคุ้ม
ไอ้โล้นเดินออกมาจากถ้ำ ในมือถือไม้กระบองประจำตัว
คิดถึงเหตุการณ์ที่หน้าห้องขังเหยื่อในถ้ำ ที่โฉมสุรางค์สั่งการอย่างเฉียบขาด
“เจ้าต้องไปหาเหยื่อมาให้จงได้ เพราะข้าจะอาบน้ำเลือดใน ราตรีนี้”
ไอ้โล้นเดินออกมาจากถ้ำ ครุ่นคิดถึงคำสั่งของคุณโฉม ทันใดนั้นสายตาก็มองไปเห็นเจ้าพงษ์นครวิ่งจ๊อกกิ้งอยู่ไกลๆ ไอ้โล้นออกวิ่งตามไป
ไอ้พันก้าวเข้ามายืนแทนที่ไอ้โล้น มองตามไปเห็นไอ้โล้นวิ่งตัดไปตามทางที่เจ้าพงษ์นครวิ่งไป
ไอ้พันตกใจรีบวิ่งตามไป
ทันทีที่เจ้าพงษ์นครวิ่งเข้าไปในทางเลียบชายป่ามุมปลอดคน อันเป็นทางเชื่อมกับสวนหลังคุ้มเชียงแมน ไอ้โล้นก็กระโดดออกมาขวางหน้า
เจ้าพงษ์นครชะงัก”เฮ้ย อะไรวะ”
ไอ้โล้นมองชายหนุ่มอย่างประสงค์ร้าย แล้วยกกระบองในมือฟาดหัวเจ้าพงษ์นครเต็มแรง เลือดไหลอาบเจ้าพงษ์นครสลบคาที่ ไอ้โล้นลากร่างออกไป
ไอ้พันมองตามไอ้โล้นที่ลากเจ้าพงษ์นครออกไปอย่างตื่นตกใจ
“ตาย หลานตาย”
ไอ้พันรีบวิ่งออกไปทันที
ไอ้พันวิ่งเข้ามาหาบันดาสาที่กำลังเตรียมสมุนไพรไว้ให้โฉมสุรางค์ ท่าทางหวาดผวา บันดาสามองท่าทางของเจ้าพงษ์สุริยันอย่างแปลกใจ
“เจ้า เป็นอะไรไปน่ะ”
ไอ้พันท่าทางตื่นตกใจมาก ละล่ำละลักพูด
“ตาย ตาย หลานตาย”
บันดาสาไม่เข้าใจ “หลานที่ไหน ...ใครตายเหรอเจ้า”
“หลาน...ตาย เลือดออก”
บันดาสาวางมือจากงานที่ทำ พยายามทำความเข้าใจที่ไอ้พันพูด
“หลานใคร แล้วใครตาย เจ้าค่อยๆพูด”
ไอ้พันพยายามสื่อสาร แต่ก็พูดไม่ออก ในที่สุดก็ตรงเข้าฉุดไม้ฉุดมือบันดาสาให้ตามตนไป
“อะไรกันเนี่ย เจ้าจะพาฉันไปไหน”
ไอ้พันไม่ฟังเสียง ลากบันดาสาไปกับตนจนได้
ไอ้พันลากบันดาสามาจนถึงที่เกิดเหตุในป่าหลังคุ้ม ชี้ให้บันดาสาดูรอยเลือด
“เลือด...หลานตาย”
บันดาสาเห็นรอยเลือดก็ตกใจ ปราดเข้าไปดู
“เลือดจริงด้วย นี่เลือดใคร เจ้ารู้ใช่มั้ย...”
ไอ้พันพยักหน้ารับ “หลาน
“หลานเหรอ”
บันดาสคิดตามมองไปมองมา เห็นรอยคนถูกลากไป
“รอยลาก”
รอยถูกลากเข้าไปในป่าทางที่จะไปถ้ำ
“ลากไปในป่า...” บันดาสานึกขึ้นได้ “หรือว่าเป็นไอ้โล้น”
ไอ้พันตบมือ พยักหน้าถี่ๆ เป็นเชิงบอกว่าถูกแล้ว พร้อมกับชี้เข้าไปในป่า
“นี่ไอ้โล้นลากใครเข้าไปในป่าใช่มั้ย”
ไอ้พันมองหน้าบันดาสา แล้วชี้มือมาที่ตัวเอง
“หลาน...หลาน...”
บันดาสามองไอ้พัน แล้วมองเข้าไปในป่าอย่างวิตกกังวล
ไอ้โล้นแบกร่างเจ้าพงษ์นครเข้ามาในถ้ำ แล้วโยนในห้องขัง ก่อนจะล็อกกุญแจอย่างหนาแน่น
อ่านต่อหน้า 3
อนิลทิตา ตอนที่ 10 (ต่อ)
เจ้าดาเรศกับกระถินแอบดูอยู่ในมุมลับตาใกล้บ้านพักของจักรา โดยไม่รู้ว่าโฉมสุรางค์รู้เรื่องน้ำมนต์ผสมน้ำตะไคร้แล้ว ท่าทางเจ้าดาเรศนั้นร้อนรนกระวนกระวายใจมาก
“น้ำมนต์ของแม่เฒ่าจะถอนเสน่ห์ในตัวคุณจักรได้หรือเปล่าก็ไม่รู้นะกระถิน”
“ใจเย็นๆ ค่ะเจ้า เดี๋ยวก็รู้”
สองสาวแลเห็นจักราที่หน้าตายังซีดเซียวเปิดประตูห้องออกมา
เจ้าดาเรศรีบฉากหลบทันที ให้แน่ใจว่าพ้นจากสายตาของจักรา
ส่วนกระถินรีบปราดเข้าไปถามด้วยความตื่นเต้น
“เป็นยังไงบ้างคะคุณจักร”
กระถินตื่นเต้น ลุ้น รอฟังคำตอบ
“ผมไม่เป็นอะไรแล้วล่ะครับ”
กระถินมองอย่างคาดหวัง พยายามสังเกตทุกอาการของจักรา ขณะกำลังจะซักถามจักราอีก โฉมสุรางค์เดินเข้ามาพอดี ตวัดตามองกระถินอย่างรู้ทัน แต่ยังไม่พูดอะไร ก่อนจะปราดเข้าไปหาจักรา ถามอย่างเป็นห่วง
“คุณจักรออกมาทำไมคะ ทำไมไม่นอนพักก่อน”
จักรามองโฉมสุรางค์อย่างลุ่มหลงดังเดิม
“ผมตื่นขึ้นมาไม่เห็นคุณโฉม ก็เลยออกมาหา”
โฉมสุรางค์ยิ้มหวาน เข้าไปประคับประคองจักราเข้าไปในห้อง
“คุณจักรเข้าไปนอนพักอีกหน่อยเถอะค่ะ ยังไม่ทันจะหายดีเลย”
กระถินมองตามสองคนเข้าห้องจนประตูปิดลง แล้วหันไปสบตากับเจ้าดาเรศอย่างผิดหวัง
เจ้าดาเรศเปิดประตูเข้ามาในห้อง บ่นพึมพำกับตัวเอง
“ทำไมน้ำมนต์ของแม่เฒ่าถึงไม่ได้ผลนะ”
โฉมสุรางค์เปิดประตูผลัวะเข้ามาโดยไม่เคาะด้วยแรงโทสะ เสียงนั้นทำให้เจ้าดาเรศหันขวับมามอง
โฉมสุรางค์โกรธจัด มองจ้องเจ้าดาเรศตาวาววับ แล้วถามเสียงดุดันเกรี้ยวกราด
“ดาเรศ เธอทำอะไรของเธอ บอกแม่มาเดี๋ยวนี้นะว่าเธอเอาน้ำมนต์ให้คุณจักรกินทำไม”
เจ้าดาเรศมองสู้ตาอย่างไม่หวั่นเกรง
“คุณแม่รู้ด้วยเหรอคะว่าดาเอาน้ำมนต์ให้คุณจักรดื่ม” เธอมองอย่างคาดคั้น “คุณแม่ทำเสน่ห์ใส่คุณจักรใช่มั้ยคะ”
โฉมสุรางค์ตอบเสียงแข็งอย่างไม่สะทกสะท้าน “แม่จะทำไปทำไม”
“ก็เพราะคุณแม่รักคุณจักร…และคุณแม่ก็ต้องการให้คุณจักรรักคุณแม่”
“ถ้าแม่ทำแล้วเธอจะทำไม เธอจะแย่งคุณจักรไปจากแม่เหรอ”
เจ้าดาเรศพยายามอธิบาย
“ดาไม่ได้คิดจะแย่ง แต่สิ่งที่คุณแม่ทำมันผิดนะคะ”
“ผิดหรือถูกก็เรื่องของแม่ เธออย่ามายุ่ง แล้วถ้าพูดกันแล้วไม่ฟัง ก็อย่ามาหาว่าแม่ใจร้ายนะ”
เจ้าดาเรศมองโฉมสุรางค์อย่างผิดหวังระคนเสียใจ
“คุณแม่จะทำอะไรดาคะ...หรือว่าแค่ผู้ชายคนเดียว คุณแม่จะถึงกับจะทำร้ายลูกตัวเองได้ลงคอ”
โฉมสุรางค์ทั้งโกรธ ทั้งอึดอัด ในใจอยากบอกความจริงเต็มทน
เป็นเวลาเย็นมากแล้ว ที่กรงขังเหยื่อในถ้ำ เจ้าพงษ์นครนอนอยู่ในนั้น เขาค่อยๆ ขยับตัวอย่างงงๆ
“ที่นี่ที่ไหนวะ”
เจ้าพงษ์นครรู้สึกเจ็บแปลบที่หัว เอามือจับดู จึงรู้ว่าหัวตัวเองแตกจนมีเลือดออก ชายหนุ่มพยายามนึกขึ้นว่าเกิดอะไรขึ้น รีบลุกขึ้นมาเกาะลูกกรง ร้องตะโกนขอความช่วยเหลือ
“ช่วยด้วย มีใครอยู่ในนี้มั้ย ช่วยด้วย”
ทุกอย่างเงียบกริบ เจ้าพงษ์นครได้ยินแต่เสียงดังสะท้อนของตัวเองที่ก้องไปทั้งถ้ำ ชายหนุ่มหันไปหันมาพยายามคิดหาหนทางออกไปจากที่นี่
“จับฉันมาขังไว้ทำไม ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้ ใครก็ได้ช่วยฉันด้วย”
เจ้าพงษ์นครเริ่มโมโห จับกรงไม้เขย่าอย่างแรง แต่ก็ไม่ขยับ สุดท้ายเดินกระสับกระส่ายวนไปเวียนมาในห้องขังอย่างร้อนรน จนสายตาเหลือบไปเห็นโทรศัพท์มือถือที่คาดไว้ที่แขนตอนวิ่งเข้า
เจ้าพงษ์นครหยิบมือถือขึ้นมารีบถ่ายรูปกรงขัง และทุกอย่างที่เขามองเห็นรอบตัว
ทางด้านเจ้าดาเรศเดินกลุ้มใจอยู่ในห้องนอน ว่าทำไมน้ำมนต์ไม่ได้ผลหรือว่าจักรารักโฉมสุรางค์จริงๆ เสียงโทรศัพท์มือถืออดังขึ้น
เจ้าดาเรศหยิบขึ้นมา เห็นชื่อเจ้าพงษ์นครที่หน้าจอ รีบกดรับสาย
“เจ้าพี่”
เจ้าพงษ์นครกำลังพูดโทรศัพท์อยู่ในกรงขังด้วยท่าทางร้อนรน
“น้องดา ช่วยพี่ด้วย พี่ถูกทำร้าย มีคนจับพี่มาขังไว้”
เจ้าดาเรศตกใจมาก “ใครจับเจ้าพี่ไปคะ แล้วเจ้าพี่อยู่ที่ไหน”
“พี่ไม่รู้จักมัน แต่ตัวมันใหญ่ๆ หัวโล้นๆ มันจับพี่มาไว้ในห้องขังที่ไหนก็ไม่รู้ แต่มันมืดๆ เหมือนอยู่ในถ้ำ เดี๋ยวพี่ส่งรูปไป...”
ทว่าเจ้าดาเรศไม่ได้ยินเสียงเจ้าพงษ์นครแล้ว
“เจ้าพี่คะ เจ้าพี่...ดาไม่ได้ยินเสียงเจ้าพี่แล้ว เจ้าพี่คะ”
เจ้าพงษ์นคร พยายามยก ส่ายมือถือหาคลื่นโทรศัพท์
“สัญญาณหายไปซะงั้น น้องดา...ได้ยินพี่มั้ย น้องดา...”
สุดท้ายเจ้าพงษ์นครตัดสินใจวางสาย เข้า Line จะส่งรูป แต่โทรศัพท์ดันดับวูบไปต่อหน้าต่อตา
“โธ่โว้ย...แบตจะมาหมดอะไรเอาตอนนี้”
ชายหนุ่มเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋า พยายามเขย่าลูกกรง ขอความช่วยเหลืออีก
“ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยฉันด้วย”
ไอ้โล้นเดินหน้าเหี้ยมเข้ามาตวาดเสียงเข้ม “เงียบ”
“ฉันไม่เงียบ ไอ้โล้นแกเป็นใคร ปล่อยฉันออกไปเดี๋ยวนี้” เจ้าพงษ์นครเขย่ากรงสุดแรง “ช่วยด้วย มีใครได้ยินมั้ย ช่วยฉันด้วย”
ไอ้โล้น ยัวะ ไม่พูดพล่ามทำเพลง เอื้อมมือลอดลูกกรงจับหัวเจ้าพงษ์นครมากระแทกลูกกรงอย่างแรง 2-3 ครั้งจนเจ้าสลบลงอีกครั้ง
บันดาสาเข้ามาถึงหน้าห้องขังเหยื่อตอนค่ำ มองเข้าไปในกรงขังอย่างสงสัย
“ไอ้โล้นมันจับใครมา”
ไอ้พันตามเข้ามาด้วย แต่ท่าทางกลัวๆ หลบอยู่หลังบันดาสาตลอดเวลา
บันดาสาเพ่งมอง จนเห็นใบหน้าเจ้าพงษ์นครที่นอนหมดสติอยู่ ที่หัวยังมีเลือดซึมออกมา บันดาสาเพ่งมอง แล้วก็ตกใจจำได้ว่าใคร
“เจ้าพงษ์นคร”
ไอ้พันร้อง “หลาน...หลาน...”
ไอ้โล้นเดินเข้ามาหาบันดาสาบอกสั้นๆว่า “เหยื่อ”
ไอ้พันกลัวไอ้โล้น รีบหลบหลังบันดาสา
บันดาสาหันไปสั่งไอ้โล้นเสียงเข้ม “ปล่อยเจ้าไปเดี๋ยวนี้”
“ไม่ เหยื่อนาย”
บันดาสาเสียงแข็ง
“แต่ไม่ใช่คนนี้ ปล่อยเค้าไป”
ไอ้โล้นมองบันดาสาอย่างแข็งขืน ไม่ยอมท่าเดียว
“ไม่”
บันดาสาหนักใจ รู้ดีว่าไอ้โล้นฟังคำสั่งอนิลทิตาคนเดียว
อ่านต่อหน้า 4
อนิลทิตา ตอนที่ 10 (ต่อ)
คืนนั้นบันดาสานั่งทุกข์กินใจ กลัดกลุ้มอยู่บนแคร่หน้ากระท่อม มีไอ้พันเดินวนไปวนมาไม่เป็นสุขอยู่ใกล้ๆ พยายามบอกให้บันดาสาไปช่วยเจ้าพงษ์นคร
“หลาน...ช่วยหลาน...”
บันดาสากลุ้มใจหนัก
“ข้าก็อยากช่วย แต่ไอ้โล้นมันไม่ยอมปล่อย” บันดาสาครุ่นคิดหาหนทาง “ข้าจะทำยังไงดีนะ”
ขณะเดียวกันกระถินกับเจ้าดาเรศกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาทางหลังคุ้ม ท่าทางร้อนใจ สองสาวมาจนถึงบริเวณที่เคยเจอไอ้โล้น มองหามันไปรอบๆ
“โล้นไม่อยู่จริงๆ ด้วย”
“มันไปไหนของมันนะ”
“โล้นต้องจับเจ้าพี่ไปไว้ที่ไหนซักแห่งแน่ๆ”
กระถินบ่นบ้าอย่างหงุดหงิด “ไอ้โล้นมันจะจับตัวเจ้าพงษ์นครไปทำไม ไม่รู้หรือไงว่าเจ้าเป็นใคร”
โฉมสุรางค์เดินเข้ามาแล้วชะงัก เมื่อแลเห็นเจ้าดาเรศกับกระถินยืนท่าทางกระสับกระส่ายกันอยู่ ก่อนจะรีบเดินตรงเข้าไปหา
“ดาเรศ เธอมาทำอะไรอยู่ตรงนี้”
เจ้าดาเรศกับกระถินชะงัก หันมามอง
“ดาจะไปหาโล้นค่ะ คุณแม่รู้มั้ยคะว่าโล้นอยู่ที่ไหน”
โฉมสุรางค์แปลกใจ
“จะไปหามันทำไม”
กระถินบอกว่า “ไอ้โล้นจับตัวเจ้าพงษ์นครไปค่ะ”
โฉมสุรางค์อึ้ง
“เธอรู้ได้ยังไง”
“เจ้าพี่โทร.มาบอกดาค่ะว่าถูกโล้นจับไปขังไว้ในถ้ำที่ไหนซักแห่ง แต่ยังพูดกันไม่ทันจะรู้เรื่องสายก็ตัดไปซะก่อน คุณแม่พอจะทราบมั้ยคะว่าถ้ำที่ว่าอยู่ที่ไหน”
โฉมสุรางค์ยิ่งตกใจ เสียงแข็งใส่
“ถ้ำอะไร...แถวนี้ไม่มีหรอก”
“แต่เจ้าพี่บอกว่า…”
โฉมสุรางค์ตัดบท “เธอกลับไปกันก่อน ถ้าไอ้โล้นมันจับเจ้าพงษ์ไปจริงๆ แม่จัดการให้เอง”
เจ้าดาเรศยืนกรานอย่างดื้อรั้น “ดาไม่กลับค่ะ จนกว่าดาจะเจอเจ้าพี่”
โฉมสุรางค์เสียงแข็ง
“กลับไปเดี๋ยวนี้ แม่บอกแล้วไงว่าจะจัดการให้เอง” มองดุสองสาวเป็นเชิงบังคับ “กลับไปสิ”
กระถินเห็นท่าไม่ดีจับมือกับเจ้าดาเรศ กระซิบบอก
“เรากลับกันก่อนเถอะค่ะเจ้า”
เจ้าดาเรศทำท่าลังเล สุดท้ายก็ยอมหันหลังเดินกลับไป กระถินรีบเดินตาม
“ไอ้โล้นนะไอ้โล้น คนอื่นมีตั้งเยอะ ทำไมต้องมาจับคนในบ้านด้วยนะ”
โฉมสุรางค์อารมณ์เสีย โลดลิ่วตรงดิ่งไปที่ถ้ำทันที
ฟากไอ้โล้นกำลังลับมีดอยู่อย่างช้าๆ หน้าตาเหี้ยมโหด เสียงมีดเสียดสีกับหินดังน่าหวาดเสียว ที่ข้างๆ แท่นหินลับมีด มีลูกกุญแจเหล็กขนาดใหญ่วางอยู่ เสียงไอ้พันดังเข้ามา
“ไฟไหม้...ไฟไหม้...”
ไอ้โล้นตกใจ หยุดชะงัก เสียงไอ้พันยังร้องไฟไหม้ไม่หยุด
“ไฟไหม้”
ไอ้โล้นรีบวางมีดวิ่งออกไปดู
ไฟกำลังลุกโหมไหม้ป่าใกล้ๆปากถ้ำ ไอ้พันยืนอยู่ท่าทางตกใจ กระสับกระส่าย
“ไฟไหม้...ไฟไหม้”
สักครู่หนึ่งไอ้โล้นวิ่งหน้าตาตื่นออกมาดู
“ไฟไหมได้ยังไง”
ไอ้พันทำท่าไม่รู้ไม่ชี้
“ดับ...ดับไฟ”
ไอ้โล้นมองซ้ายมองขวาวิ่งหาทางดับไฟ
บันดาสารอโอกาสแอบเข้ามาในถ้ำตอนไอ้โล้นออกไป รีบตรงไปที่แท่นหินลับมีด เห็นลูกกุญแจวางอยู่ บันดาสารีบหยิบไว้ แล้วเดินมาที่หน้ากรงขังเหยื่อ
เจ้าพงษ์นครยังนอนหมดสติอยู่ในนั้น สภาพน่าเวทนาบันดาสารีบไขกุญแจที่ล็อคประตู ก่อนจะเปิดประตูกรงขังออก
บันดาสาเข้าไปประคองเจ้าพงษ์นครออกมา ล็อคกุญแจไว้เหมือนเดิม แล้วรีบประคองพงษ์นครออกไป
น้ำถูกสาดเข้ากองไฟกองสุดท้ายด้วยฝีมือไอ้โล้น ไฟดับมอดลง ไอ้พันมีท่าทางดีใจ
“ไฟดับ ไฟดับ”
ไอ้โล้นยืนถือถังน้ำอยู่ ท่าทางเหนื่อยหอบ โฉมสุรางค์เดินเข้ามามองอย่างแปลกใจ
“ไอ้โล้น นี่มันเกิดอะไรขึ้น”
“ไฟไหม้ ดับไฟ” อมนุษย์บอก
โฉมสุรางค์เห็นว่าไฟดับแล้วก็โล่งใจ จึงไม่สนใจไอ้พันที่ย่องหนีไป
“ไอ้โล้นมานี่ซิ”
ไอ้โล้นรีบวิ่งเข้าไปหา
“วันนี้แกไปจับเหยื่อมาจากไหน
“หลังคุ้ม”
โฉมสุรางค์ตบหน้าไอ้โล้นฉาดใหญ่
“ฉันสั่งแล้วไงว่าไม่ให้จับคนในคุ้ม เดี๋ยวจะได้พากันเดือดร้อนไปหมดหรอก”
ไอ้โล้นก้มหน้านิ่ง ไม่มีท่าทางว่าจะโกรธหรือโต้ตอบ
“แล้วตอนนี้มันอยู่ที่ไหน”
“ข้างใน”
โฉมสุรางค์เดินปราดเข้ามา แทนสายตาเห็นในห้องขังว่างเปล่า คุณโฉมหันขวับไปถามไอ้โล้น
“เจ้าพงษ์นครหายไปได้ยังไง แกขังยังไงของแก”
ไอ้โล้นหน้าสลด เดินไปชี้ที่กุญแจ
“กุญแจ”
โฉมสุรางค์ทั้งโกรธ ทั้งหวั่นใจว่าเจ้าพงษ์นครจะเปิดเผยความลับของตน
“ไปตามหาตัวมันมา มันรู้ความลับของข้าแล้ว ยังไงก็ปล่อยมันไว้ไม่ได้”
โฉมสุรางค์ตาวาว เดินหุนหันออกไปทันที
ขณะที่ไอ้โล้นเดินถือไต้ส่องไปตามทางในป่า
ส่วนอีกมุมหนึ่ง เห็นบันดาสากึ่งประคองกึ่งลากเจ้าพงษ์นครที่ยังบอบช้ำ เดินไปด้วยกันด้วยความลำบาก
“แข็งใจหน่อยนะเจ้า”
เจ้าพงษ์นครพยายามจะก้าวขาต่อไปให้ได้ บันดาสาพาเจ้าเดินไป ก่อนจะชะงัก สีหน้าตกใจ
“หลบก่อน”
บันดาสากึ่งลากกึ่งประคองเจ้าพงษ์นครออกนอกเส้นทาง เข้าไปในป่าทึบ เพราะเห็นไอ้โล้นเดินถือไต้กำลังจะผ่านไป
เจ้าพงษ์นครเดินชนกิ่งไม้จนตวัดมาฟาดหน้า
“โอ๊ย”
ไอ้โล้นได้ยินมันชะงักกึก ถือไต้ตรงเข้ามาที่บันดาสากับเจ้าพงษ์นครซ่อนตัวอยู่
บันดาสารีบเอามือปิดปากเจ้าพงษ์นคร ทำตัวลีบเล็กอยู่ในพุ่มไม้ แทบจะลืมหายใจ ไอ้โล้นเดินเข้ามาหาใกล้ๆ แสงไต้ที่ส่องมาใกล้กับพุ่มไม้ที่บันดาสากับเจ้าหลบอยู่ ไอ้โล้นพยายามมองหา แต่ไม่เห็นใคร จึงเดินไปทางอื่น
บันดาสา มองตามแสงไต้ของโล้นที่ห่างออกไปๆ และลับหายไปในราวป่า อย่างโล่งออก
“มันไปแล้ว เราไปกันต่อเถอะเจ้า”
โฉมสุรางค์เปิดประตูเข้ามาในห้องลับอย่างโกรธเกรี้ยว
“มันอยู่ที่ไหนนะ”
อนิลทิตาในคราบโฉมสุรางค์นั่งลงที่หน้าแท่นบูชา พยายามจะระงับความโกรธ หายใจเข้าหายใจออกช้าๆ ก่อนจะหลับตาทำสมาธิ แล้วลืมตาขึ้นเพ่งมองไปที่ขันน้ำมนต์ตรงหน้า
ในขันน้ำมนต์ เป็นภาพเจ้าพงษ์นครนอนหมดสติอยู่ ก่อนจะมีมือใครคนหนึ่งมาเช็ดตัวให้ โฉมสุรางค์มองปราดเดียวก็ดูออกว่ามือนั้นเป็นมือของบันดาสา
ดวงตาโฉมสุรางค์เป็นประกายวาววาบ คำรามออกมาด้วยความโกรธ
“พี่บันดาสา”
อ่านต่อตอนที่ 11