อนิลทิตา ตอนที่ 14
ทุกคนกังวลที่โฉมสุรางค์หายตัวไป จึงนัดมาหารือกัน อยู่ที่ห้องทำงานรชา ภายในเมาน์เท่นรีสอร์ท ตั้งแต่เช้า
แม่เฒ่านายิกีเอ่ยขึ้น “วิธีเดียวที่จะหยุดนังโฉมไม่ให้มันก่อกรรมทำชั่วต่อไปได้อีกก็คือ เราต้องทำพิธีตัดคอมันเพื่อทำลายอาคมของมัน”
เจ้าดาเรศตกใจ “ตัดคอ! ไม่ได้นะคะ ยังไงดาไม่ยอมให้ใครมาทำอะไรคุณแม่”
รชานึกโกรธ “แต่คุณแม่ของเจ้าฆ่าคนตายนะครับ”
“แต่ท่านเป็นแม่ของดา ถ้าพวกคุณจะฆ่าแม่ดา ก็ต้องฆ่าดาก่อน”
รชาหันไปทางจักราอย่างหงุดหงิด
“แกจะว่ายังไง...ไอ้จักร อย่าบอกนะว่าแกจะปล่อยคุณโฉมไปทั้งๆที่เค้าเป็นคนฆ่าสุรเดชกับระจิต”
นายิกีดุทุกคนเสียงเข้ม “เลิกเถียงกันซะที มันก็เป็นแค่พิธีตัดคอหุ่นนังโฉมเท่านั้น”
จักราสงสารเจ้าดาเรศ อดดีใจไม่ได้ “หมายความว่าเราไม่ต้องฆ่าคุณโฉมจริงๆ ใช่มั้ยครับ”
“ไม่ต้อง แค่เราต้องหาทางเอาเส้นผม เล็บ และเลือดของนังโฉมมามาฝังในหุ่นดินที่ปั้นขึ้นมาแทนตัวมัน แล้วทำพิธีตัดคอหุ่นตัวนั้นซะ”
แต่จักราก็อดห่วงโฉมสุรางค์ไม่ได้ “หลังจากตัดคอแล้ว...จะเกิดอะไรขึ้นกับคุณโฉมครับ”
“นังโฉมมันก็จะกลายเป็นคนแก่เท่ากับอายุจริงของมัน แม้จะอาบน้ำเลือดอีกกี่ครั้งก็ไม่สามารถคืนความสาวให้มันเหมือนเดิมได้ ทีนี้มันก็จะหมดฤทธิ์ไปและลุกขึ้นมาทำอะไรใครไม่ได้อีก”
นายิกีมองทุกคนรวมทั้งเจ้าพงษ์นคร และ กระถินด้วยท่าทางมุ่งมั่นมาดหมาย
เจ้าดาเรศ จักรา รชา และกระถิน เดินปรึกษากันเข้ามาขณะเดินตรงมายังรถที่จอดอยู่หน้ารีสอร์ท
“เรื่องผมกับเล็บของคุณโฉมน่ะ ไม่ยากหรอกค่ะ กระถินเอามาให้ได้” กระถินออกอาการหนักใจ “แต่เลือดนี่สิ”
จักราครุ่นคิดก่อนบอกว่า “ผมไม่แน่ใจว่าคุณโฉมจะรู้หรือยัง ว่าผมไม่ได้ตกอยู่ใต้มนต์เสน่ห์ของเธอแล้ว แต่ผมก็จะลองพยายาม...”
รชาขัดขึ้น “อย่าเลย มันเสี่ยงเกินไป”
รชานิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มออกมาอย่างมีแผน
“พี่ว่าเรื่องนี้ พี่กับแม่เฒ่าน่าจะจัดการได้”
เจ้าดาเรศหนักใจ “แต่ปัญหาก็คือคุณแม่หายตัวไป และเรายังไม่รู้เลยว่าตอนนี้ท่านอยู่ที่ไหน”
โฉมสุรางค์นั่งสมาธิอยู่ที่มุมหนึ่งในกระท่อมบันดาสา สภาพร่างกายยังเหี่ยวย่นเหมือนเดิม บันดาสาก็นั่งสมาธิอยู่อีกมุมเพื่อเยียวยาตัวเอง สักครู่โฉมสุรางค์ลืมตาขึ้น มองร่างกายของตัวเอง ด้วยสีหน้าหงุดหงิด
“ข้าทนไม่ไหวแล้วนะพี่บันดาสา ทำไมร่างกายของข้าถึงกลับคืนไปเหมือนเดิมไม่ได้”
บันดาสาปลอบ “แต่อย่างน้อย การทำสมาธิก็จะช่วยให้แม่หญิงทุเลาจากการเจ็บปวดทรมาน...ก่อนที่เราจะหาเหยื่อมาทำพิธีอาบน้ำเลือดสมุนไพรได้”
โฉมสุรางค์กลุ้มใจ “ข้ารอต่อไปไม่ได้แล้ว ถ้าข้าหายไปนานสินธุจะสงสัย...แล้วยังเรื่องเจ้าพงษ์อีก ป่านนี้คงจะเอาเรื่องของเราไปบอกเจ้าดาเรศแล้ว...” ยิ่งคิดก็ยิ่งเคียดแค้น “และลูกของพี่ก็คงต้องเอาไปบอกสินธุต่อแน่ๆ”
“แต่ข้ายังหาเหยื่อไม่ได้...”
โฉมสุรางค์ไม่สนใจจะฟัง พูดด้วยเสียงเฉียบขาด
“พี่ต้องหามาให้ได้ภายในสองสามวันนี้ ...ข้ายังมีอีกหลายเรื่องที่จะต้องไปสะสาง”
ภายในห้องทำงานหมวดจิ๊บตอนสายๆ ที่สถานีตำรวจ หมวดจิ๊บเดินไปเดินมาอย่างหงุดหงิด
“ได้เรื่องหรือยังนะ ทำไมยังไม่โทร.มาซะที”
เสียงโทรศัพท์มือถือของหมวดจิ๊บดังขึ้น หมวดหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู ที่หน้าจอ เป็นชื่อเจ้าพงษ์นคร โทร.มา หมวดจิ๊บรีบกดรับสาย ถามทันทีอย่างใจร้อน
“เจ้า...หายไปเลยนะ รู้ทั้งรู้ว่าฉันรอฟังข่าวอยู่ ว่ายังไงล่ะ มีอะไรคืบหน้าบ้างหรือเปล่า”
เจ้าพงษ์นครอยู่ที่ห้องพักในเมาน์เทนรีสอร์ท
“ผมยังเข้าไปในถ้ำไม่ได้...แต่ก็มีหลักฐานบางอย่างที่ทำให้ผมแน่ใจว่าผู้ชายที่หายไปถูกจับไปไว้ในถ้ำนั้นจริงๆ”
หมวดจิ๊บหยุดฟังเจ้าพงษ์นครพูดด้วยสีหน้าตื่นเต้น ก่อนจะรัวคำถามออกไป
“หลักฐานอะไร แล้วถ้าเจ้ายังเข้าไปในถ้ำไม่ได้ เจ้าจะแน่ใจได้ยังไงว่าคนพวกนั้นถูกจับไปไว้ที่ถ้ำในคุ้มเชียงแมนจริงๆ”
ที่ด้านหลังหมวดจิ๊บตอนนี้ หมวดเสกถือแฟ้มเดินเข้ามา แล้วชะงักเมื่อได้ยินเรื่องที่หมวดจิ๊บกำลังพูดอยู่ ก่อนจะตัดสินใจหลบมุมอยู่หลังตู้เอกสารแอบฟัง
หมวดจิ๊บหยุดฟังทางเจ้าพงษ์นครอย่างตั้งใจ
“แล้วพวกคุณจะบุกเข้าไปในถ้ำนั้นเมื่อไหร่ ฉันจะได้ไปด้วย”
หมวดจิ๊บฟังแล้วปฏิเสธด้วยท่าทางไม่ยอมแพ้
“คุณรอฉันอยู่ที่รีสอร์ทก่อน ฉันจะไปหาคุณ” หมวดบอกอย่างมุ่งมั่น “ฉันต้องหาหลักฐานมาเอาผิดฆาตกรให้ได้ และถ้าฉันปิดคดีนี้ได้สำเร็จ มันจะเป็นผลงานชิ้นสำคัญที่สุดชิ้นนึงในชีวิตของฉันเลยล่ะ”
หมวดจิ๊บพูดจบก็กดวางสาย แล้วรีบเปิดประตูเดินออกไปจากห้องทันที
หมวดเสกเดินออกมาจากมุมที่ซ่อนตัวอยู่ มองตามหมวดจิ๊บไปด้วยสายตาครุ่นคิด ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างมีแผน
อ่านต่อหน้า 2
อนิลทิตา ตอนที่ 14 (ต่อ)
ปิ่นโตถูกวางลงบนแคร่หน้ากระท่อม ต่อหน้าบันดาสา
ตามด้วยเสียงสั่งของไอ้โล้น “ข้าว...กินซะ”
ไอ้พันที่นั่งเล่นใบไม้ ใบหญ้า ม้าก้านกล้วย อยู่ที่พื้น รีบคว้าปิ่นโตไปกอดทันที ไอ้โล้นท่าทางรีบร้อนจะเดินออกไป บันดาสารีบถามขึ้น
“จะรีบไปไหน”
“หาเหยื่อให้นาย”
พูดจบไอ้โล้นก็เดินวางมาดน่าเกรงขามออกไป บันดาสาถอนใจกลัดกลุ้ม หันไปพูดระบายกับไอ้พัน
“ตอนนี้แม่หญิงกำลังสงสัยว่าลูกของเราทรยศ” บันดาสาหวั่นใจ “ถ้าแม่หญิงหายดีเมื่อไหร่ คงจะไม่ปล่อยลูกเราไว้แน่ๆ”
ไอ้พันที่ฟังอยู่รับรู้ความรู้สึกได้ กอดปิ่นโตแน่เหมือนกอดลูก
“ลูก สงสารลูก ลูก...”
ที่บริเวณกำแพงหลังคุ้มเชียงแมนใครคนหนึ่งกระโดดลงมายืนมั่นคงตรงนั้น พบว่าที่แท้เป็นหมวดเสกนั่นเอง
“ถ้ามันมีหลักฐานอยู่ที่นี่จริงๆ ฉันก็ต้องเอาไปปิดคดีให้ได้ก่อนที่ยัยหมวดจิ๊บจะมาเจอแล้วเอาไปเสนอจนกลายเป็นความดีความชอบของมัน”
หมวดเสกหันรีหันขวางครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินลัดเลาะเข้าไปในแนวป่าท้ายคุ้ม
หมวดเสกเดินเข้ามาในป่า ท่าทีงงๆ ไม่รู้จะไปทางไหน
“แล้วถ้ำที่มันว่ามันอยู่ทางไหนวะ”
หมวดเสกหันซ้ายหันขวา แล้วต้องชะงักเมื่อเห็นไอ้โล้นยืนประจันหน้าอยู่ หมวดเสกตกใจ
“เฮ้ย...”
โดยไม่พูดไม่จา ไอ้โล้นเงื้อไม้ตีเข้าที่หัวหมวดเสก สลบล้มลง ไอ้โล้นลากร่างหมวดเสกไป
ทุกคนคนนัดเจอกันที่ ค็อฟฟี่ช็อปเมาน์เทนรีสอร์ท
หมวดจิ๊บฟังแล้วประหลาดใจ “ไม่น่าเชื่อว่าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้...แต่ถ้ามันเป็นจริงอย่างที่พวกคุณเล่า...ยังไงฉันก็ต้องหาหลักฐานมามัดตัวคุณโฉม และจับคุณโฉมไปดำเนินคดีให้ได้”
“เจ้าทำอะไรนังโฉมไม่ได้หรอก มันมีอาคม ตำรวจอย่างเจ้าไม่มีทางจะจับมันได้” นายิกีบอก
หมวดจิ๊บร้อนใจ
“แล้วฉันต้องทำยังไงล่ะคะ”
รชาเอ่ยขึ้นว่า “คุณต้องรอจนกว่าแม่เฒ่าจะทำพิธีตัดคอเพื่อทำลายอาคมของคุณโฉมซะก่อน”
“แสดงว่าพวกคุณจะให้ฉันอยู่เฉยๆ ทั้งๆที่รู้ว่าฆาตกรอยู่ตรงหน้า” หมวดจิ๊บพูดเป็นเชิงตำหนิ
เจ้าพงษ์นครแย้ง “ใช่ คุณต้องรอ เพื่อความปลอดภัยของตัวคุณเอง”
หมวดจิ๊บหงุดหงิดที่ยังทำอะไรไม่ได้อย่างที่ใจคิด นายิกีมองหมวดจิ๊บอย่างเข้าใจ
“เจ้าอย่าร้อนใจไปเลย อีกไม่นานเกินรอนังโฉมมันก็จะหมดสภาพ และเมื่อถึงเวลานั้น มันก็จะลุกขึ้นมาทำอันตรายใครไม่ได้อีก”
สีหน้าแม่เฒ่านายิกีมั่นใจเป็นอย่างยิ่ง
ดวงจันทร์คืนนี้ถูกปกคลุมด้วยเมฆดำบนท้องฟ้า ส่วนที่ห้องอาบโลหิตในถ้ำ หมวดเสกที่ถูกจับมัดตรึงไว้กับเตียงศิลา ค่อยๆ รู้สึกตัวตื่นขึ้น เหลือกตามองซ้ายมองขวา ตกใจว่าตนอยู่ที่ไหน
“ที่นี่ที่ไหน ช่วยด้วยๆๆ”
หมวดเสกขยับแขนขา พบว่าตัวเองถูกพันธนาการไว้แน่นหนา โฉมสุรางค์ในสภาพร่างกายเหี่ยวย่น ผมขาวโพลน ก้าวออกมาช้าๆ หมวดเสกเห็น ก็ตกใจ
“ใครน่ะ”
โฉมสุรางค์ค่อยๆ ก้าวเข้ามาจนใกล้ หมวดเสกมองหน้าครุ่นคิดแล้วก็ตาโตตกใจจำได้ว่าเป็นโฉมสุรางค์แต่แก่หง่อมจนน่าตกใจ
“คุณโฉม” หมวดเสกสะบัดหน้าหนีอย่างไม่อยากเชื่อสายตา “เป็นไปไม่ได้”
โฉมสุรางค์มองยิ้มเหี้ยมมาให้หมวดขี้หลี
“ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ล่ะคะ”
“ทำไมคุณถึง...ถึง...” หมวดหนุ่มพูดไม่ออก
“...ถึงได้กลายเป็นคนแก่แบบนี้ใช่มั้ยคะ” โฉมสุรางค์เดินเข้ามาใกล้ๆ มองหมวดเสกอย่างหมายมั่น “ก็เพราะฉันเป็นแบบนี้ไง ฉันถึงต้องใช้คุณ”
หมวดเสกหวั่นกลัว “คุณจะทำอะไรผม ปล่อยผมเดี๋ยวนี้”
“ปล่อยไม่ได้หรอกค่ะ เพราะหมวดเข้ามายุ่งเรื่องของดิฉันเอง”
หมวดเสกกลัว แทบขาดใจ รู้ทันที
“นี่คุณ...คุณคือคนที่จับพวกผู้ชายมาจริงๆ เหรอเนี่ย”
“ใช่ค่ะ ดิฉันจับพวกมันมาเพื่อเอาเลือดของพวกมันมาทำพิธี...และหมวดก็จะเป็นรายต่อไป”
หมวดเสกช็อก ตกใจแทบสิ้นสติ “ไม่ได้นะ ผมเป็นตำรวจ คุณโฉมจะทำอย่างนั้นกับผมไม่ได้”
โฉมสุรางค์ยิ้ม ไม่ตอบ หมวดเสกเห็นยิ้มของคุณโฉมแล้วก็ยิ่งหวาดกลัว ร้องขอความช่วยเหลือสุดเสียง
“ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยผมด้วย”
โฉมสุรางค์ไม่สนใจเสียงร้องของหมวดเสก เดินไปที่อ่างน้ำศิลา สั่งขึ้นว่า
“เริ่มพิธีได้พี่บันดาสา
บันดาสาผสมสมุนไพรเสร็จ ไอ้โล้นใช้มีดกรีดข้อมือหมวดเสก เสียงหมวดเสกร้องดังโหยหวนไปทั้งถ้ำ
พิธีอาบโลหิตเสร็จสิ้นลงแล้ว ไอ้โล้นกำลังขุดหลุมอยู่ที่แปลงสมุนไพรหลังถ้ำ มีบันดาสายืนอยู่ข้างๆ ไอ้โล้นโยนร่างของหมวดเสกลงไปในหลุมแล้วใช้ดินกลบ บันดาสาเอาสมุนไพรมาปลูกแล้วกลบดินอย่างเรียบร้อย
สมุนไพรของบันดาสาส่วนใหญ่จะเป็นพวก ไพล ว่านนางคำ ว่านสาวหลง ว่านมหาเมฆ ซึ่งสมุนไพรพวกนี้มีสรรพคุณใช้บำรุงผิวพรรณ
อนิจจา ไม่มีใครคาดคิดว่าใต้แปลงนี้ คือเหยื่อที่หล่อเลี้ยงชีวิตอมตะให้อนิลทิตามานานกว่า 20 ปี แล้ว
กลางดึกจักรากระวนกระวาย เดินวนไปวนมา ชะเง้อมองออกไปด้านหน้า กำลังดูต้นทางให้เจ้าดาเรศกับกระถินอยู่ที่เชิงบันไดทางขึ้นชั้นสอง
กระถินกับเจ้าดาเรศค่อยๆ เปิดประตูห้องนอนโฉมสุรางค์ สองสาวย่องเข้ามาในห้อง ตรงไปที่โต๊ะเครื่องแป้งทันที เจ้าดาเรศหยิบหวีที่วางอยู่ขึ้นมา พบว่าที่หวีมีเส้นผมของโฉมสุรางค์ติดอยู่ เจ้าดาเรศแกะเส้นผมออกใส่ซองพลาสติก
“ได้ผมคุณแม่แล้วล่ะกระถิน ยังเหลือเล็บอีกอย่าง ปกติคุณแม่ทำเล็บเองหรือเปล่ากระถินทำเองค่ะเจ้า” เจ้านิ่งคิด “เดี๋ยวกระถินลองหาในถังขยะดูดีกว่า”
กระถินก้มลงหยิบถังขยะข้างโต๊ะเครื่องแป้งขึ้นมา ค้นหาเล็บอยู่สักครู่
“ไม่มีค่ะเจ้า”
เจ้าดาเรศกลุ้มใจ
“แล้วเราจะทำยังไงกันดีล่ะ”
สองสาวบ่าวนายมองหน้ากันอย่างกลัดกลุ้ม
จักราเดินไปเดินมาอย่างกระวนกระวายจะคอยดูต้นทางอยู่หน้าตึก ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทร.ออก
“คุณดา...เป็นไงบ้างครับ ได้ของครบหรือยัง”
เจ้าดาเรศคุยสายห้องนอนโฉมสุรางค์ เห็นกระถินกำลังก้มหาเศษเล็บอยู่ด้านหลัง
“ยังหาเล็บคุณแม่ไม่ได้เลยค่ะ แค่นี้ก่อนนะคะ ฉันกับกระถินกำลังพยายามหาอยู่”
จักรากดวางโทรศัพท์อย่างไม่สบายใจ มองไปรอบๆ เพื่อดูต้นทางอย่างระแวดระวัง แล้วต้องชะงักเมื่อเห็นร่างโฉมสุรางค์ในชุดยาว มีผ้าคลุมหน้าคลุมตาเดินหันซ้ายหันขวาเข้ามาด้วยท่าทางลับๆล่อๆ
จักราอุทานอย่างตกใจ “คุณโฉม”
อ่านต่อหน้า 3
อนิลทิตา ตอนที่ 14 (ต่อ)
จักราฉากหลบเข้ามุมแล้วรีบกดโทรศัพท์หาเจ้าดาเรศ รอสายอย่างกระวนกระวาย เพราะเจ้าดาเรศไม่ยอมรับสาย จักราหันไปมองโฉมสุรางค์ที่เดินใกล้เข้ามาอย่างร้อนรนใจ
หน้าจอแจ้งว่าเจ้าดาเรศกดรับสาย แต่สุดท้ายจักราตัดสินใจเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกงทั้งๆ โดยยังไม่กดวางสาย
จักรารีบออกจากมุม ปราดเข้าไปหาโฉมสุรางค์ที่กำลังจะย่องเข้ามาในเรือนใหญ่ เอ่ยทักเสียงดัง ตั้งใจจะให้เจ้าดาเรศที่อาจจะรับสายแล้วได้ยิน
“คุณโฉมครับ...”
โฉมสุรางค์ตกใจ สะดุ้งสุดตัว หันขวับมาตามเสียง ผ้าคลุมผมเลื่อนหลุดจากศีรษะ เผยให้เห็นว่าโฉมสุรางค์กลับมาอยู่ในสภาพหญิงสาว สวยงามเหมือนเดิม
“คุณจักร”
จักราตะลึง ที่เห็นโฉมสุรางค์กลับมาในสภาพเดิมแล้ว
“คุณโฉม...ทำไมคุณ...”
“ทำไมหรือคะ”
จักรารีบกลบเกลื่อนอาการตกใจ
“เปล่าครับ” เขายังพูดเสียงดัง “ผมแค่ดีใจที่คุณโฉมกลับมา คุณโฉมไปไหนมาครับ รู้มั้ยผมเป็นห่วงแทบแย่”
โฉมสุรางค์รวบรวมสติ คิดหาคำตอบ
“ฉันไปทำธุระที่นอกเมืองมาน่ะค่ะ”
“แล้วคุณโฉมไปยังไง แล้วไปกับใครครับ ทำไมไม่บอกผม...ผมจะได้ไปเป็นเพื่อน”
เวลาเดียวกันนี้ ที่ห้องนอนโฉมสุรางค์ เจ้าดาเรศกำลังยืนฟังโทรศัพท์อยู่ สีหน้าตกใจหันไปบอกกระถินที่กำลังค้นถังขยะใบอื่นในห้องอยู่
“กระถิน คุณแม่มาแล้ว”
กระถินกับเจ้าดาเรศตาลีตาเหลือกช่วยกันเก็บถังขยะ และข้าวของเข้าที่พัลวัน
โฉมสุรางค์กำลังจะเดินขึ้นบันได จักรารีบตามมา พยายามถ่วงเวลาไว้ให้นานที่สุด เพราะไม่แน่ใจว่าสองสาวจะออกมาจากห้องนอนโฉมสุรางค์แล้วหรือยัง
“คุณโฉมทานอะไรมาหรือยังครับ ผมทำอะไรให้คุณโฉมทานก่อนดีกว่า”
“ไม่เป็นไรค่ะคุณจักร ดิฉันอยากพักผ่อนมากกว่า”
จักราพยายามยื้ออีก
“งั้นคุณโฉมรอผมแป๊บเดียวนะครับ ผมจะชงเครื่องดื่มอุ่นๆ ให้คุณโฉมจะได้นอนหลับสบาย”
จักราจะผละไป โฉมสุรางค์รั้งแขนเขาไว้ มองจักราด้วยความซาบซึ้งในความห่วงใยที่มีให้ตน
“อย่าลำบากเลยค่ะคุณจักร แค่มีคุณจักรอยู่ข้างๆแบบนี้ดิฉันก็หลับฝันดีแล้ว”
จักราฝืนยิ้ม โฉมสุรางค์เกาะแขนจักรา เดินเคลียคลอขึ้นไปข้างบน จักราพูดกับโฉมสุรางค์เสียงดังเป็นการเตือนเจ้าดาเรศครั้งสุดท้าย
“ระวังตกบันไดนะครับ ตรงนี้ค่อนข้างจะมืดไปหน่อย”
โฉมสุรางค์หันมายิ้มหวานให้จักรา
จักรายิ้มตอบ แต่พอโฉมสุรางค์หันหน้ากลับไป จักราก็ถอนใจใหญ่อย่างลุ้นระทึก
จักรายังโอบเอวโฉมสุรางค์เข้ามาในห้อง พยายามสอดส่ายสายตาไปทั่วห้อง พบว่าไม่มีเจ้าดาเรศกับกระถินอยู่ ก็รู้สึกโล่งใจ
โฉมสุรางค์เห็นถังขยะอยู่ในตำแหน่งที่ผิดไปจากเดิมก็สงสัย “เอ๊ะ! ทำไมกระถินถึงเอาถังขยะมาวางตรงนี้” สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยความระแวง “หรือว่ามีใครเข้ามาวุ่นวายในห้องของดิฉัน”
จักราตกใจ รีบหาเหตุผลมาอธิบายให้ฟัง
“ผมเองล่ะครับ...”
โฉมสุรางค์นิ่งฟัง แต่ท่าทางยังระแวงอยู่
“ผมขอโทษนะครับที่เข้ามาตอนที่คุณโฉมไม่อยู่ แต่เมื่อวานคุณโฉมหายไปทั้งวัน ผมเป็นห่วง ติดต่อคุณโฉมก็ไม่ได้ ผมเลยเข้ามารอคุณโฉมในห้อง”
โฉมสุรางค์ได้ยินว่าจักราเป็นห่วงตนมากมายขนาดนั้นก็เลยลืมสิ้นความระแวงในทุกๆ สิ่ง มองจักราด้วยสายตาอ่อนโยนลึกซึ้ง
“ขอบคุณนะคะคุณจักร ที่เป็นห่วงดิฉันมากขนาดนี้”
จักรารู้สึกละลายใจที่ต้องหลอกลวงโฉมสุรางค์ รีบตัดบท เปลี่ยนเรื่อง
“คุณโฉมไปอาบน้ำเถอะครับ เดี๋ยวจะได้นอนพัก”
ไม่นานนัก โฉมสุรางค์อยู่ในชุดนอนสวยเซ็กซี่ นั่งอยู่ที่หน้าโต๊ะแต่งตัว จักรากำลังแปรงผมให้ โฉมสุรางค์มองจักราในกระจก มีความสุขเหลือล้น จากนั้นจักราประคองโฉมสุรางค์พาไปลงนอนที่เตียง ห่มผ้าให้
โฉมสุรางค์เอามือโอบรอบคอจักรา กำลังจะโน้มคอจักราลงมาจูบแล้วชะงัก นึกขึ้นมาได้ถึงคำพูดเตือนของบันดาสา
“หลังจากวันนี้ แม่หญิงจะต้องไม่เสพเมถุนเป็นเวลา 3 วัน จนกว่าพลังของแม่หญิงจะกลับคืนมาโดยสมบูรณ์เสียก่อน ไม่เช่นนั้นร่างกายของแม่หญิงจะกลับไปเหี่ยวย่นเหมือนเดิมทันที”
โฉมสุรางค์ปล่อยมือจากจักราอย่างเสียดาย
“คืนนี้ดิฉันเพลียเหลือเกิน แต่...ดิฉันอยากให้คุณจักรอยู่ข้างๆ ดิฉันอย่างนี้” โฉมสุรางค์ช้อนตามองเป็นเชิงขอร้อง “คุณจักรอย่าทิ้งดิฉันไปไหนได้มั้ยคะ”
“ครับ”
โฉมสุรางค์มองจักราอย่างซาบซึ้งในความรักของเขา จับมือจักรากุมไว้ก่อนจะหลับตาลงอย่างมีความสุข จักราลอบถอนใจอย่างโล่งใจ
ด้านเจ้าดาเรศกับกระถินเดินวนไปวนมาอยู่ในห้องนอน ด้วยท่าทางกระวนกระวายทั้งคู่
“เรายังหาเศษเล็บของคุณโฉมไม่ได้เลยแล้วจะทำยังไงดีคะ”
“ตอนนี้เราทำอะไรไม่ได้หรอกกระถิน ก็ได้แต่ฝากความหวังไว้ที่คุณจักร” เจ้าดาเรศรำพึงอย่างมีความหวัง “หวังว่าเค้าจะหาทางเอาเศษเล็บของคุณแม่มาให้ได้”
เจ้าดาเรศกับกระถินสบตากันให้กำลังใจกันและกันอย่างมีความหวัง
ฝ่ายจักราชะโงกหน้าเข้าไปมองโฉมสุรางค์ใกล้ๆ ก่อนจะลองเรียกเบาๆ
“คุณโฉมครับ...คุณโฉม”
โฉมสุรางค์ยังหลับสนิท
จักราก้มลงมองอีกครั้ง ก่อนจะค่อยๆ ปลดมือโฉมสุรางค์ที่เกาะกุมมือของตนไว้ แล้วค่อยๆ ลุกขึ้นเดินไปที่โต๊ะแต่งตัว เปิดลิ้นชัก หยิบกรรไกรตัดเล็บออกมา แล้วเดินกลับมาที่โฉมสุรางค์อีกครั้ง
“ผมขอโทษนะครับคุณโฉม ผมหวังดีกับคุณ ไม่อยากให้คุณต้องทำบาปทำกรรมกับใครอีก”
จักราบรรจงขลิบปลายเล็บบนนิ้วมือข้างหนึ่งของโฉมสุรางค์อย่างแผ่วเบา
อ่านต่อหน้า 4
อนิลทิตา ตอนที่ 14 (ต่อ)
สายวันนี้ กระถินเข็นรถเข็นผ่านแผนกต่างๆ ในซุปเปอร์มาร์เก็ตของห้าง แต่สายตาสอดส่ายหารชาอย่างตั้งใจ โดยที่ไม่ได้เหลือบแลสินค้าที่เดินผ่านเลย อ๋อยที่มาด้วยกัน เดินช้าๆ ดูของตามมาด้วยอย่างเพลิดเพลิน
“ของที่นี่ถูกจริงๆ นะเนี่ย หมูก็ถูก...ผักก็ถูก”
กระถินชำเลืองมองอ๋อยอย่างหงุดหงิด บ่นบ้ากับตัวเอง
“ไม่รู้จะตามมาทำไม...”
อ๋อยเอ่ยขึ้น “กระถิน เดินช้าๆ ได้มั้ย ฉันจะดูของ...”
กระถินมองไปอีกทางหนึ่ง เห็นรชามองมา และโบกมือส่งสัญญาณ กระถินแอบส่งสัญญาณตอบว่าให้รชารออยู่ตรงนั้น ก่อนจะหันกลับมามองอ๋อย คิดปราดเดียวแล้วนึกขึ้นมาได้ รีบเข้าไปหยิบแพ็คเนื้อหมูมาดูราคา
“ถูกจริงๆ ด้วยอ๋อย เอางี้ ซื้อให้หมดเลยทั้งสันนอก สันใน ปลากับไก่ด้วยนะ นานๆเข้าเมืองที ซื้อตุนไว้เยอะๆ เลย ฉันขอไปซื้อของด้านโน้นแป๊บเดียว เดี๋ยวมา เธอรออยู่ตรงนี้แหละ”
กระถินพูดจบก็เดินเร็วรี่ออกไปทันที อ๋อยมองตามอย่างงงๆ แต่ไม่ได้สงสัยอะไร หันกลับไปเลือกหมูเลือกไก่อย่างมีความสุข
กระถินทำเนียนเดินเลือกของเข้ามาใกล้รชา ก่อนจะมองไปที่อ๋อยให้แน่ใจว่าอีกฝ่ายไม่เห็น พบว่าอ๋อยกำลังเลือกของอยู่อย่างเพลิดเพลิน กระถินรีบหยิบซองพลาสติกใส่ผมและเล็บของคุณโฉมออกมา ยื่นให้รชา
“ผมกับเล็บของคุณโฉมค่ะ”
รชารับไปบอกอย่างหมายมั่นปั้นมือ “ทีนี้ก็เหลือแค่เลือดอีกอย่างเดียวเท่านั้น”
กระถินเตือนอย่างห่วงใย
“แต่คุณก็ต้องระวังตัวด้วยนะคะ ตอนนี้คุณโฉมกลับมาแข็งแรงเหมือนเดิมแล้ว”
รชาตาเหลือก “หา! เป็นไปได้ยังไง”
“ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ แต่เมื่อคืน คุณโฉมกลับมาหน้าตาสดใสเหมือนปกติ ไม่มีผิด แสดงว่าอาคมของเธอก็คงจะกลับมาแกร่งกล้าเหมือนเดิมด้วย”
“คุณเลยเป็นห่วงผม”
รชาบีบมือกระถินที่แตะแขนของตนไว้อย่างรับรู้ถึงความห่วงใย จนกระถินสะเทิ้นเขินอาย
“ฉันก็แค่ห่วงทุกคนล่ะค่ะ”
“ขอบใจมากนะกระถิน ผมจะระวังตัวให้มากที่สุด”
พูดจบรชาก็ปล่อยมือกระถินแล้วเดินออกไป กระถินมองตามอย่างกังวลและห่วงใย
ขณะเดียวกัน เจ้าพงษ์นครอยู่ที่เมาน์เทนรีสอร์ท กำลังพูดโทรศัพท์กับเจ้าดาเรศอย่างห่วงใย
“น้องดาต้องระวังตัวให้ดีนะ พี่กลัวว่าคุณป้าอาจจะทำร้ายน้องดาก็ได้”
เจ้าดาเรศอยู่ในศาลากลางสวนสวยคุ้มเชียงแมน
“เจ้าพี่ไม่ต้องเป็นห่วงดานะคะ ยังไงดาก็เป็นลูกท่าน ไม่มีแม่คนไหนจะทำร้ายลูกตัวเองได้ลงคอหรอกค่ะ”
เจ้าดาเรศพูดจบก็กดวางโทรศัพท์ แต่พอหันกลับไปก็ต้องสะดุ้งสุดตัวที่เห็นโฉมสุรางค์ยืนอยู่ใกล้ๆ และมองมาด้วยสายตาเกลียดชังและอาฆาตแค้น
“คุณแม่”
โฉมสุรางค์เดินตรงเข้ามากระชากแขนเจ้าดาเรศอย่างแรง “มานี่”
“คุณแม่จะพาดาไปไหนคะ”
“พวกเธออยากรู้นักไม่ใช่เหรอว่าในถ้ำนั้นมีอะไร ทีนี้เธอก็จะได้เข้าไปอยู่ในนั้นสมใจยังไงล่ะ...มากับฉันเดี๋ยวนี้”
เจ้าดาเรศขืนตัวไว้สุดแรงเกิดแต่ไม่สามารถสู้แรงโฉมสุรางค์ได้ ถูกลากออกไปจากศาลาจนได้
โฉมสุรางค์ฉุดกระชากลากเจ้าดาเรศมาถึงชายป่าหลังคุ้มเชียงแมน ทางจะไปถ้ำอาบโลหิต เจ้าดาเรศตกใจสุดขีด พยายามดิ้นรนขัดขืนสุดแรง
“คุณแม่จะพาดาไปที่ถ้ำทำไมคะ ดาไม่ไป ปล่อยดาเถอะค่ะ”
“เธอจะต้องถูกลงโทษให้สาสมในสิ่งที่เธอทำกับฉัน”
เจ้าดาเรศชะงัก อึ้งไป รู้ว่าโฉมสุรางค์ต้องรู้เรื่องแล้ว ตัดสินใจพูดกับโฉมสุรางค์ตามตรง
“ไม่ว่าดาจะทำอะไร แต่ดาก็ไม่เคยคิดร้ายกับคุณแม่”
เจ้าดาเรศพูดคำนั้นจบ โฉมสุรางค์ก็ตบหน้าเต็มแรงจนเจ้าดาเรศล้มลงไปกองที่พื้น
“โกหก ถ้าเธอไม่คิดร้ายกับฉัน แล้วเธอใส่อะไรลงไปในอาหารให้ฉันกิน”
เจ้าดาเรศพูดไม่ออก ทั้งเจ็บที่โดนตบ ทั้งเสียใจที่โฉมสุรางค์เข้าใจตนผิด
“ว่ายังไงล่ะ บอกมาสิว่าเธอต้องการอะไร...เธออิจฉาใช่มั้ยที่คุณจักรรักฉัน เธอก็เลยคิดจะฆ่าฉัน”
เจ้าดาเรศละล่ำละลักบอก สายตาที่มองโฉมสุรางค์ทั้งผิดหวัง ทั้งเสียใจ ไม่คิดว่าแม่จะคิดอย่างนี้กับตนได้
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะคะ ดาไม่เคยคิดจะทำร้ายคุณแม่เลย ที่ดาทำก็เพราะดารักและเป็นห่วงคุณแม่ ดาไม่อยากให้คุณแม่ทำบาปอีก”
โฉมสุรางค์มองเจ้าดาเรศด้วยสายตาคมกริบ ท่าทางเอาเรื่อง
“เธอหมายความว่ายังไง”
“ดารู้เรื่องหมดแล้วค่ะว่าคุณแม่เป็นแม่มด คุณแม่ต้องฆ่าผู้ชายเพื่อเอาเลือดมาสังเวยความสาวของตัวเอง”
เจ้าดาเรศเข้าไปเกาะแขนโฉมสุรางค์ไว้ พูดอ้อนวอนขอร้อง
“ดาขอร้อง...สิ่งที่คุณแม่ทำมันบาปมาก คุณแม่ต้องหยุดเรื่องนี้”
แววตาโฉมสุรางค์เป็นประกายวาวโรจน์ ด้วยความโกรธ แต่พูดเสียงนิ่งๆ
“เธอรู้เรื่องนี้ได้ยังไง...นังเฒ่านายิกีมันบอกเธอใช่มั้ย”
“แล้วมันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่าล่ะคะ” เจ้าย้อนถาม
“เธอรู้เรื่องของฉันมากไปแล้วนะดาเรศ แต่ก็ดี...เพราะมันยิ่งทำให้ฉันแน่ใจ...ว่าฉันจะปล่อยเธอไว้ไม่ได้แน่ๆ”
โฉมสุรางค์กระชากแขนเจ้าดาเรศอย่างแรงให้เดินตามไป
“ไปกับฉันเดี๋ยวนี้”
“ไม่ค่ะ ดาไม่ไป”
โฉมสุรางค์ยิ่งโกรธ กระชากเจ้าดาเรศอย่างแรงจนล้มลงไปกับพื้น ปราดไปกระชากตัวขึ้นมาอย่างไม่ปราณีปราศรัย แล้วลากเจ้าดาเรศไปจนได้
“มานี่ อย่าคิดนะว่าฉันไม่ปล่อยเธอให้แว้งกลับมาทำลายฉันอีก”
“คุณแม่ ปล่อยดาค่ะ ปล่อยดา”
โฉมสุรางค์ไม่สนใจ ลากเจ้าดาเรศลึกเข้าไปในป่า
โฉมสุรางค์ฉุดลากเจ้าดาเรศให้เดินตามไปโดยไม่สนใจว่าเจ้าดาเรศจะล้มลุกคลุกคลานขนาดไหน ไอ้พันวิ่งตกใจเข้ามา
“ลูก...ลูก...จะเอาลูกไปไหน อย่าทำลูก”
โฉมสุรางค์โกรธ หันไปหาไอ้พัน “ไอ้พัน อย่ามายุ่ง”
ไอ้พันเข้าไปดึงตัวเจ้าดาเรศออกมาจนหลุดจากมือโฉมสุรางค์ สองคนถลาล้ม ไอ้พันกอดปกป้องเจ้าดาเรศไว้แน่น
“อย่าทำลูก”
โฉมสุรางค์โกรธมองมาที่ไอ้พัน ดวงตาเปลี่ยนเป็นสีแดง
“แกอยากลองดีกับฉันใช่มั้ยไอ้พัน”
เจ้าดาเรศรีบเอาตัวเข้าไปบังไอ้พันไว้ โดยไม่รู้ว่าเป็นพ่อ
“คุณแม่อย่าทำลุงพันนะคะ ในเมื่อคุณแม่เกลียดดานัก ก็ฆ่าดาให้ตายไปเลย ดีเหมือนกัน...ดาก็อยากจะเห็นกับตาเหมือน กันว่าแม่ของดาเป็นแม่มดจริงๆ”
“ก็ได้ ในเมื่อเธอต้องการอย่างนั้น แล้วอย่ามาหาว่าฉันใจร้ายก็แล้วกัน”
โฉมสุรางค์จ้องเขม็งมาที่ไอ้พัน ท่องมนต์ก่อนจะเป่าพรวดไปใส่เจ้าดาเรศ
ไอ้พันทั้งๆ ที่กลัวตัวงอตัวสั่น แต่ก็ห่วงลูกมากกว่า รีบผลักเจ้าดาเรศล้มลงแล้วเอาตัวเองเข้าบังไว้
ทันใดนั้นก็เกิดเปลวไฟสีน้ำเงินลุกท่วมหลังไอ้พัน ไอ้พันร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด
เจ้าดาเรศทั้งตกใจและเป็นห่วงไอ้พัน “ลุงพัน”
โฉมสุรางค์หันขวับมาที่เจ้าดาเรศ
“คราวนี้ก็ถึงคราวของเธอแล้วนะ ดาเรศ”
โฉมสุรางค์กำลังจะท่องมนต์ แต่เสียงนายิกีดังขัดจังหวะขึ้น
“นังโฉม...นังแม่มดอนิลทิตา ถ้าแน่จริงก็มาสู้กับข้าดีกว่า อย่าดีแต่อวดเบ่งกับคนที่ไม่มีทางสู้เลย”
โฉมสุรางค์ชะงัก มองไปรอบๆ ตัว “นังเฒ่านายิกี นั่นแกใช่มั้ย”
นายิกีไม่ตอบ ได้ยินแต่เสียงหัวเราะเยาะเย้ยดังห่างออกไป
โฉมสุรางค์วิ่งตามเสียงหัวเราะของนายิกีออกมา หน้าตาโกรธเกรี้ยวสุดจะประมาณ เสียงหัวเราะของนายิกียังดังก้องอยู่
“ข้าอยู่นี่แล้วไงล่ะ ออกมาสินังเฒ่า...จะมัวหลบอยู่ทำไม”
นายิกีเดินออกมาจากดงไม้มุมหนึ่ง มองโฉมสุรางค์ด้วยแววตาอันแข็งกร้าว
นายิกีออกปากชมด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “นับว่าอาคมของแกแข็งแกร่งทีเดียวขนาดโดนน้ำมนต์ของข้าปางตาย ก็ยังกลับมาผงาดได้อย่างเดิม”
โฉมสุรางค์ยิ้มอย่างผยอง “ถ้าอย่างนั้น แกก็คงจะรู้แล้วนะว่าคนอย่างแกไม่มีทางกำจัดข้าได้”
รชาเดินออกมายืนข้างๆ แม่เฒ่า
“ในที่สุด คุณโฉมก็ยอมรับแล้วใช่มั้ยครับว่าคุณเป็นแม่มด...ผมจะได้บอกไอ้จักรได้อย่างเต็มปากซะที”
โฉมสุรางค์มองรชาตาขวางอย่างโกรธแค้นชิงชัง
“เสียใจด้วยนะคุณรชา เพราะคุณคงจะไม่มีโอกาสนั้นอีกแล้ว”
พูดจบโฉมสุรางค์ก็ท่องคาถา แล้วเป่าลูกไฟออกไปใส่รชา นายิกีท่องคาถากัน เกิดเกราะแก้วกำบังรชา ลูกไฟย้อนกลับพุ่งใส่โฉมสุรางค์ แต่โฉมสุรางค์หลบได้อย่างหวุดหวิด แต่ก็เสียหลักล้มลง นายิกียิ้มอย่างสมใจ
“มันคงไม่ง่ายอย่างที่แกคิดหรอก นังแม่มด โอกาสของข้ายังมีอีกเยอะ”
นายิกีกับรชาถือโอกาสที่โฉมสุรางค์พยายามจะลุกขึ้น แต่ยังตั้งหลักไม่ได้ วิ่งออกไป
“พวกแกไม่มีมีทางหนีรอดไปจากข้าหรอก นังเฒ่า”
โฉมสุรางค์คำรามแล้ววิ่งทะยานตามไป
รชากับนายิกีวิ่งหนีลัดเลาะไปในป่า โฉมสุรางค์ตามมาอย่างไม่ลดละ รชากับนายิกีวิ่งมาถึงจุดที่ทำกับดักไว้
นายิกีมองหน้าให้สัญญาณรชาเตรียมตัว รชาพยักหน้ารับอย่างรู้กัน
นายิกีแกล้งล้ม รชาเองก็แกล้งชะงัก จะหันกลับมาช่วย
แต่นายิกีสั่งเสียงแข็ง “หนีไปก่อน ไม่ต้องห่วงข้า”
รชาแกล้งทำทีเป็นละล้าละลัง โฉมสุรางค์ตามมาถึงพอดี แม่เฒ่าตะโกนเร่ง
“ไปสิ ข้าบอกให้ไป”
รชาวิ่งหายลับไป โฉมสุรางค์ก้าวช้าๆ สืบเท้าเข้ามาหานายิกีอย่างย่ามใจ พูดด้วยเสียงทะนง
“นังเฒ่า แกหนีข้าไม่พ้นหรอก...อ้อ พอแกตายแล้ว วิญญาณแกก็อย่างเพิ่งรีบไปไหนล่ะ รอรับวิญญาณไอ้รชาไปซะพร้อมๆ กันเลย”
โฉมสุรางค์รวบสมาธิกำลังจะร่ายมนต์
รชาที่อยู่อีกมุมหนึ่ง ใช้ขวานสับเชือกด้วยความแรง ไม้ไผ่แผงใหญ่ที่เหลาปลายแหลม หล่นลงมาจากต้นไม้สูง พุ่งเข้าใส่โฉมสุรางค์จากทุกทาง
โฉมสุรางค์รู้ตัว เบี่ยงหลบหลีกว่องไว ทว่าปลายแหลมของไม้ไผ่เฉี่ยวที่ต้นแขนเธอจนเลือดซึมออกมา โฉมสุรางค์เจ็บใจ มองมาทางนายิกี พอพบว่านายิกีกับทั้งรชาหายไปแล้ว ก็ยิ่งแค้นใจ
รชากำลังขับรถอยู่ มีนายิกีนั่งอยู่ข้างๆ รถแล่นมาตามทาง มุ่งหน้ากลับรีสอร์ท รชาใส่สมอลทอล์คพูดสายกับจักราไปด้วย
“ไอ้จักร พี่กับแม่เฒ่าทำตามแผนสำเร็จแล้วนะ แกรับหน้าที่ต่อได้เลย”
จักราคุยสายอยู่ที่ห้องทำงานในออฟฟิศไร่ชาเชียงแมน
“โอเคครับพี่รชา”
จักรากดวางโทรศัพท์ด้วยสีหน้าไม่สบายใจเอาเลย เขาพยายามรวบรวมกำลังใจก่อนจะลุกขึ้นอย่างคนตัดสินใจเด็ดขาด แล้วเดินออกจากห้องไป
อ่านต่อตอนที่ 15