xs
xsm
sm
md
lg

หัวใจเถื่อน ตอนที่ 14

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


หัวใจเถื่อน ตอนที่ 14

นอกเหนือจากบ้านพิชิตพงษ์ ที่บ้านแก้วหลังนี้ ก็มีความทรงจำงดงามมากมายทั้งของภาคย์ และ อมาวสี

โดยเมื่อกว่าสิบห้าปีก่อนหน้านี้ เด็กชายภาคย์และเด็กหญิงอมาวสี นั่งอยู่กลางโถงบ้านแก้ว ข้างๆ ตัวมีตุ๊กตาเจ้าบ่าวเจ้าสาวที่เราเคยเห็น เทียนไข หลายขนาด หลายรูปทรงถูกวางเรียงรายรอบตัวเด็กชาย มันยังไม่ถูกจุดไฟแม้แต่เล่มเดียว
เด็กชายนั่งนิ่งๆ จ้องมองเทียนเหล่านั้นอย่างครุ่นคิด เด็กหญิง เอ่ยปากถามด้วยความอยากรู้
“พี่ภาคย์ชอบเทียนเหรอ”
“อืม...”
“ทำไมล่ะ”
“มันทำให้เกิดแสงสว่าง...เวลาเราตกอยู่ในที่มืด เทียนนี่แหละที่จะทำให้เรามีความหวัง”
เด็กหญิงมองที่เทียนไขเหล่านั้น แล้วจึงถาม
“แต่มันต้องจุดไฟก่อน ไม่ใช่เหรอ”
“ใช่”
“แล้วทำไมพี่ภาคย์ไม่จุดล่ะ เอามาตั้งไว้เฉยๆทำไม”
“ถ้าจุดเร็ว ก็จะดับเร็ว”
เด็กหญิงมีสีหน้า งุนงง
“เราต้องเลือกเวลาที่เหมาะสม...อ้อจำไว้นะ ถ้าเรารีบร้อนจุดเทียน เราก็จะสว่างไสวอย่างรวดเร็ว แต่เราก็กำลังก้าวเข้าสู่ความมืดมิดอย่างรวดเร็วเช่นกัน”
“อ้อ ไม่เข้าใจ”
“เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม อ้อจะสว่างไสวและจะเข้าใจทุกอย่างได้เอง...เชื่อพี่สิ”

บ้านแก้วทั้งหลัง ตกอยู่ในแสงสลัวของราตรีกาล เทียนไข ช่อดอกไม้ และอื่นๆ ถูกจัดวาง ประดับประดาจนบรรยากาศแสนโรแมนติก
ราชกำลังจุดเทียนที่ปักอยู่ทีละเล่ม อมาวสีเดินลงมาจากบันไดชั้นบน เธออยู่ในเสื้อผ้าที่สวยงามดูดี ยิ่งนัก
ราชหันไปมอง แววตาของเขาไม่อาจซ่อนความรักและความอ่อนโยนได้ เช่นเดียวกับสีหน้าและแววตาของอมาวสี ทั้งสองจ้องมองกันสักครู่ ราชจึงเอ่ยปากออกมาก่อน
“ผมเดาว่า คุณคงชอบเสื้อผ้าชุดนี้ไม่น้อย”
“คุณไม่มีชุดอื่นให้เลือกเหมือนตอนอยู่ที่บ้านไร่นี่คะ”
“อืม...หรือคุณจะไม่ใส่อะไรเลย ผมก็โอเคนะ” เขาสัพยอก
“ฉันว่า เราลองนั่งเงียบๆกันจนกว่าจะถึงเช้าดีมั้ยคะ จะได้ไม่ทะเลาะกันอีก”
ราชยิ้ม “ไม่มีปัญหาครับ”
อมาวสีเดินไปเลือกที่นั่งที่เหมาะสมกับชุดสวย ราชเดินจุดเทียนไขรอบๆทีละเล่ม อมาวสีมองสักพัก ก็เอ่ยปากพูดขึ้นมาลอยๆ
“เทียนพวกนี้สวยดีนะคะ ถ้าคุณจุดหมดทุกเล่ม คงจะสว่างไสว สวยงามน่าดู แต่มันก็กำลังทำลายตัวมันเองทีละนิดๆ เทียนปลอมที่คุณใช้ที่บ้านไร่น่าจะดีกว่า อย่างมากก็แค่เปลืองถ่าน”
ราชยังคงจุดเทียนไปเรื่อยๆ อย่างเงียบๆ
“คุณเป็นคนที่ชอบทำอะไรเยอะๆอย่างนี้เสมอนะคะ”
ราชตัดสินใจเอ่ยปาก “คุณกำลังทำลายความเงียบนะครับ”
อมาวสี ยิ้ม ไม่สน
“หรือลึกๆแล้ว คุณชอบเวลาที่เราทะเลาะกัน”
“นอกจากจะเยอะแล้วยังขี้เต๊ะอีกต่างหาก” เธอบอก
“ช่วยไม่ได้...มันเป็นอย่างนี้ตั้งแต่เด็กๆแล้วครับ”
“ใช่ค่ะ...ฉันเห็นด้วย”
ราชหยุดการจุดเทียน หันไปมองหน้าอมาวสี
“เรากำลังพูดถึงเด็กชายคนเดียวกันหรือเปล่าครับ”
อมาวสีมองหน้าราชนิ่ง
“เด็กชายคนที่ฉันกำลังพูดถึง เขาเป็นคนช่างฝัน อ่อนโยน มีน้ำใจกับผู้คนรอบข้าง”
“แต่เด็กชายในความทรงจำของผม เต็มไปด้วยความเก็บกด เขาไม่เคยได้รับความรักจากคนรอบข้าง มีแต่ถูกชิงชัง ต่างจากน้องชายของเขาอย่างสิ้นเชิง”
ทั้งสองจ้องมองตากัน ทะลุไปถึงช่วงเวลาในอดีต
“คุณยอมรับแล้วนะคะว่าคุณคือเด็กชายคนนั้น”
ภาคย์ราชไม่ปฏิเสธ “ใช้คำว่าเคยเป็นจะตรงกว่า...เพราะทุกวันนี้ ไม่มีเด็กคนนั้นอีกต่อไปแล้ว”
อมาวสีค่อยๆ เอื้อมมือไปจับมือของราชเธอกอบกุมกระชับไว้แน่น
“ทำอย่างไร ถึงจะได้เขากลับมา”
“คุณต้องการให้เขากลับมาเพื่ออะไร”
“ฉันตอบไม่ได้ทั้งหมดเท่าที่ฉันรู้สึกหรอกค่ะ”
“แล้วทำไมไม่ไปกับเขา ทำไมทิ้งให้เขาต้องออกไปเผชิญโชคชะตาเพียงลำพัง”
“วันนั้น อ้อยังเด็กอยู่นะคะ”
“พี่ภาคย์ก็ไม่ได้โตมากกว่าอ้อซักเท่าไหร่”
“อ้อถึงได้กลัวไงคะ อ้อไม่ได้กล้าอย่างพี่ภาคย์”
“เพราะอ้อยังไม่เชื่อใจพี่ภาคย์มากพอ”
ทั้งคู่ยังคงยืนจ้องหน้านิ่ง ต่างจมลึกกับภาพเหตุการณ์ในอดีต
“แล้ววันนี้ล่ะ...อ้อในวันนี้ ต่างจากวันนั้นมั้ย”
“พี่ภาคย์ในวันนี้ ก็ไม่เหมือนพี่ภาคย์ในวันนั้น”

“งั้นเรามาพูดถึงวันข้างหน้ากันมั้ย...วันข้างหน้าระหว่างคุณกับผม”

อมาวสีชะงักนิ่งมากขึ้น ริ้วรอยสีส้มอมแดงปรากฏขึ้นบนแก้มทั้งสองข้างของเธอ

“คุณพูดก่อนสิคะ”
“สัญญาว่าจะฟังจนจบนะ”
อมาวสีตั้งใจรอฟัง
“คุณลุงรักษ์ เคยถามผมบ่อยๆ ว่า ความแค้นของผมต้องการการตอบแทนแค่ไหน แค่ไหนถึงจะสาสมกับความคั่งแค้นในอดีต...ผมไม่เคยตอบลุงได้เลยซักครั้ง...แต่วันนี้ผมรู้คำตอบแล้ว...ความแค้นจะหมดไปเมื่อเรารู้จักพอ”
“คุณกำลังจะบอกอะไรคะ”
“ยังไม่จบครับ”
อมาวสียักไหล่ ให้ราชพูดต่อ
ราชกลับว่า “จบแล้วครับ”
“ยังไง...”
“ผมจะจบความแค้นเคืองทั้งหมดลง เมื่อใครบางคนยอมหนีไปกับผม”
อมาวสีถึงกับอึ้ง เมื่อได้ยินประโยคนี้ และได้เห็นสีหน้า แววตา จริงจังของราช
“คุณรู้มั้ยว่า...คุณกำลังทำให้ฉันเข้าใจว่ายังไง”
“คุณรู้...ว่าผมหมายถึงอะไร”
ภาพเหตุการณ์อดีตในสมัยวัยเด็กผุดซ้อนขึ้นมา เป็นภาพเด็กชายภาคย์บอกลาผู้คนอันเป็นที่รัก มีนมพริ้ง และเด็กหญิงอมาวสี ที่เขาชวนให้หนีไปด้วย
อมาวสีนึกออกแล้วจึงถามว่า “คุณกำลังจะหนีอีกแล้วเหรอคะ”
“ผมกำลังร้องขอให้ใครคนนึงหนีไปกับผม...ร่วมทางกับผม”
อมาวสีจ้องมองราช ราวกับจะค้นหาความจริงในแววตาของเขา พร้อมกับใช้เวลาในการคิด ตัดสินใจ ใคร่ครวญ เนิ่นนาน
“เราไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะคะ”
“เพราะฉะนั้น จึงไม่มีอะไรน่ากลัว ไงครับ คนที่สาบสูญไปร่วมเดือน จะหายสาบสูญต่อไปอีกก็ไม่เห็นแปลก”
อมาวสีตกอยู่ในภาวะกดดัน เธอหายใจแรงขึ้น
“ฉันยังไม่เข้าใจอยู่ดี ว่าหนีอะไร และทำไมต้องหนี”
“หนีความเป็นจริงที่ปวดร้าว วิ่งตามความฝันที่ทำให้เรามีความสุข...มนุษย์ทุกคนทำเช่นนั้น...ทั้งเด็กและผู้ใหญ่”
“แล้วพวกเขาได้พบความสุขทุกคนมั้ยล่ะคะ”
“ผมไม่ทราบ...ไม่มีใครพิสูจน์ได้”
“แล้วคุณจะเสี่ยงทำไม...ทำไมไม่อยู่กับความจริง”
“แล้วความจริงที่เพิ่งเกิดขึ้นในเดือนที่ผ่านมาล่ะ คุณจะอยู่กับมันมั้ย...ช่วงเวลาที่คุณจากบ้านพิชิตพงษ์มา...คุณสดใสร่าเริง คุณพูดเก่งขึ้น คุณมีความสุข คุณมีความฝัน และอาจจะมีความรักด้วยซ้ำ...คุณไม่เลือกอยู่กับความจริงส่วนนี้เหรอ”
ทั้งสองจ้องหน้ามองตากันอย่างลึกซึ้งอีกครา
“มันอาจเป็นเพียงความฝัน หรือภาพลวงตา ที่ผ่านมาชั่วขณะ และไม่มีอยู่จริง”
“แปลว่าคุณปฏิเสธ”
“ฉันขอเลือกอยู่กับความจริงที่ตรงไปตรงมา เข้าใจได้ง่ายๆ ไม่ซับซ้อน จนดูไม่ออกในบางครั้ง...เป็นความสุขที่ไม่ต้องตีความ ไม่ต้องหนี ไม่ต้องหลอกตัวเอง”
ราชอึ้งไป อดประชดชีวิตที่ผ่านมาของเขาออกมาไม่ได้
“เหมือนที่นางสาวอำภา ไม่ยอมหนีไปกับท่านชายคฑาเทพ ใช่มั้ย...เหมือนที่ชาลินีไม่ยอมปฏิเสธการแต่งงานกับภากร และเหมือนที่เด็กหญิงอ้อ ไม่ยอมหนีไปกับ เด็กชายภาคย์...ใช่มั้ย”
“ฉันทิ้งคุณอาผู้มีพระคุณกับฉันไปไม่ได้หรอกค่ะ”
“คุณก็ยังคงตัดสินใจเหมือนเดิม...ช่วงเวลาที่บ้านไร่ คงเป็นเพียงแค่ฝันที่ผ่านมา และผ่านไป จริงอย่างคุณว่า...”
ราชถอนหายใจแรง ยิ้มน้อยๆ และเปลี่ยนอิริยาบถ
“นายวารินเลือกว่าที่เจ้าสาวไม่ผิดคนจริงๆ”
อมาวสีงงอีกรอบ “เกี่ยวอะไรกับพี่วาริน”
“คุณผ่านบททดสอบครับ”
อมาวสี งุนงง อยู่นั่นแล้ว “อะไรนะ”
“การตัดสินใจของคุณวันนี้ ยืนยันได้ว่า นายวารินจะไม่ผิดหวังในตัวคุณ เพราะคุณชัดเจน มุ่งมั่น และไม่ไขว้เขว ต่อสิ่งเร้าและยั่วยวนรอบข้าง...คุณสองคนเกิดมาเพื่อเป็นคู่กันจริงๆ ครับ”
“เหรอคะ...เมื่อกี้นี้ คุณทดสอบฉันเหรอคะ”
“พรุ่งนี้นายวารินจะมารับคุณที่นี่ และพาคุณไปส่งที่บ้านพิชิตพงษ์ พร้อมกับเรื่องราวที่เราเคยเตรียมการกันเอาไว้”
อมาวสีรู้สึกว่าความโกรธพุ่งขึ้นมาตามเนื้อตัวเป็นริ้วๆ ในทันที
“ถ้างั้นทำไมไม่ให้พี่วารินมารับฉันคืนนี้เลยล่ะ...ฉันนอนที่บ้านวัชรีก็ได้”
“เขาไม่ว่างน่ะ ครอบครัวเขาอยู่ต่างจังหวัด จะกลับมาก็เช้ามืด ซึ่งเขาจะตรงมารับคุณเลย...ผมรับรองว่า คุณจะไม่ต้องรอนานหรอก”
อมาวสีจ้องหน้าราช แววตาของเธอเต็มไปด้วยความผิดหวัง
“เนี่ยเหรอคะเหตุผลที่คุณขอให้ฉันอยู่ถึงเช้า”
ราชยิ้มบางๆ ไม่เอ่ยปากตอบใดๆ
“ถ้าเหตุผลมีเพียงแค่นี้ คุณไม่จำเป็นต้องจัดเตรียมบรรยากาศเหมือนคนกำลังจะขอแต่งงานแบบนี้ก็ได้”
ราชเฉไฉไปเรื่องอื่น “เตียงนอนคุณอยู่ข้างบน...ผมนอนข้างล่าง...ฝันดีนะครับ”
“ฉันน่าจะเลือกนั่งปิดปากเงียบๆ ซะ...มันคงทำให้คืนนี้มีค่าสำหรับการจดจำมากกว่านี้”
อมาวสี เดินหุนหันก้าวเท้าแรงๆ ออกไปพ้นๆ จากที่นั้น

เพลงรัก ผิดหวัง ชอกช้ำ ดังกังวานขึ้นในใจสองคน มันปวดร้าว มากกว่าทุกคราครั้ง

เมื่อขึ้นมายังบริเวณชั้นบนของบ้านแก้ว อมาวสีเดินตรงไปนั่งบนเตียงนอนใหญ่กลางห้อง สีหน้าและแววตาของเธอเต็มไปด้วยความผิดหวัง อมาวสีไม่อาจหลับลง เธอเปลี่ยนอิริยาบถไปมา

สุดท้ายอมาวสีจ้องมองไม้แกะสลักชิ้นนั้นนิ่งๆ และมีแนวโน้มว่าคืนนี้ นางสาว อมาวสี คงนอนไม่หลับเป็นแน่

ที่ระเบียงชั้นล่างของบ้านแก้ว ราชทิ้งตัวลงนอนบนเปลที่เขาผูกไว้ สีหน้าและแววตาของเขามีร่องรอยความปวดร้าวไม่น้อย ราชขยับเปลี่ยนหลายๆ อิริยาบถ ตาจ้องมองไดอารี่เล่มนั้น
และเขาก็คงจะนอนไม่หลับเช่นกัน

ในเวลาดึกสงัด ลุงรักษ์เดินเข้ามากลางออฟฟิศรักษเล เผยให้เห็นไอ้จอน นอนรออยู่ในมุมมืดของห้อง
“แก่ปูนนี้แล้วยังเที่ยวยันเช้าอีกเหรอครับ คุณลุงรักษ์”
ลุงรักษ์หันไปจ้องมองมัน
“ตัณหากลับรึไงครับคุณลุง”
“ไอ้จอน” ลุงรักษ์โมโห
“จุดธูปบอกน้าจำปีรึยัง”
“จำปีอยู่ในใจฉัน ฉันทำอะไร จำปีรู้หมด ไม่ต้องจุดธูปบอกหรอก”
“งั้นบอกน้าจำปีซิว่าจะยกมรดกให้ฉัน เมื่อไหร่”
ลุงรักษ์ย้อนว่า “จำปีคงไม่ปรารถนาอย่างนั้นหรอก”
ไอ้จอนลุกขึ้นอย่างหงุดหงิด
“พอแล้ว เสียเวลา พูดกันตรงๆ ซื่อๆเลยดีกว่า อุตส่าห์เรียกตัวฉันมาด่วน จะยกอะไรให้บ้างก็ว่ามา...ฉันรับได้ทั้งนั้น”
“ดูเหมือนจะเป็นการเข้าใจผิดกันมากกว่านะ” ลุงรักษ์บอกเสียงเรียบ
จอนฉงน “เข้าใจผิดยังไง”
“ผู้หญิงคนนึงอ้างว่าเป็นเมียคนล่าสุดของแก”
“สายบัว”
“เธอโทร.มาหาฉัน ขอให้ฉันเรียกตัวแกมาที่นี่”
จอนไม่เชื่อ “บ้าเหรอ...สายบัวจะทำอย่างนั้นทำไม”
“ไม่รู้ว่ะ...โทร.ถามให้เอามั้ย...ฉันเมมเบอร์เอาไว้พอดี”
ลุงรักษ์กดหมายเลขบนมือถือ จอนพูดสวนไปทันที โดยไม่รอโทรศัพท์
“อย่ามามั่วน่า ฉันเสียเวลา เสียค่าเครื่องบินมาถึงนี่แล้ว อย่ามาเปลี่ยนใจง่ายๆ”
“คนอย่างฉัน มีใจเดียว ไม่เคยเปลี่ยนใจ ฉันเคยคิดจะไม่ยกอะไรให้แกเลย ฉันก็ยังคงคิดอย่างนั้น...คือ ไม่ให้อะไรแกเลย เหมือนเดิม”
“ไอ้บ้า...”
“สิ่งเดียวที่ฉันให้แกได้เสมอ และไม่มีวันหมด สิ่งนั้นก็คือเมตตา และสติ”
จอนยั๊ว “ฉันจะเอาไปทำอะไรวะ”
“เอาไปสร้างปัญญาไง”
จอนกระชากคอลุงรักษ์ “แกคิดว่าฉันโง่เหรอ ไอ้แก่”
ลุงรักษ์นิ่ง ไม่ใช้กำลังตอบโต้แต่อย่างใด
“ไอ้แก่ขี้งก หวงสมบัติ แกคิดจะเก็บไว้ปรนเปรอไอ้ราชคนเดียวใช่มั้ย...แกเป็นคู่เกย์กันรึเปล่าวะ ถามจริงๆเหอะ” ไอ้จอนพาลเต็มที่
“ใจเย็นๆ...อย่าให้อารมณ์เป็นตัวนำพาเรา...ยิ่งเราเคียดแค้น เราก็ยิ่งเป็นทุกข์ ยิ่งทุกข์ก็ยิ่งบาป”
“ไม่ต้องมาเทศน์ฉัน ฉันไม่อยากฟัง”
“ฉันว่า แกรีบกลับไปหาเมียแกดีกว่า ถามเขาดูว่าเขาหลอกแกทำไม...เพราะฉันโทร.ไป ไม่มีสัญญาณตอบรับเลย...เหมือนจะปิดเครื่องหนี”
จอนหยิบโทรศัพท์มาดูหมายเลข มันเป็นเบอร์สายบัวจริงๆ จอนเครียดมากยิ่งขึ้น
“แต่ถ้าแกเห็นข่าวนี้ แกอาจจะไม่กล้ากลับไปก็ได้”
“ข่าวอะไร”
ลุงรักษ์พยักหน้าไปทางจอทีวีที่เป็นรายการข่าวภาคดึก จอนหันไปมองตามสายตารักษ์

ภาพจากจอโทรทัศน์ในห้อง เห็นผู้สื่อข่าวกำลังรายงานข่าวด่วน
“เมื่อคืนที่ผ่านมานี้เอง เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำกำลังบุกไปยังบ้านเช่าย่านซอยอารีย์ ด้วยมีผู้ชี้เบาะแสว่า อาจมีการลักพาตัวคนมากักขังที่นี่ เพื่อเรียกค่าไถ่ซึ่งอาจจะเป็นหลานสาวของรัฐมนตรีกวีที่หายตัวไป...แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ไปถึงกลับไม่พบผู้ใด นอกจากร่องรอยห้องที่ใช้กักขัง...คาดว่าคนร้ายน่าจะไหวตัวทัน ชิงหนีไปซะก่อน”
รักษ์พูดแทรกว่า “ป่านนี้ ใครหรืออะไรที่แกลักพาตัวมา อาจจะได้รับการปลดปล่อยไปแล้วก็ได้”
จอนกัดฟัน “โธ่...อีสายบัว...ถ้างั้น แกยิ่งต้องยกมรดกให้ฉัน มีทรัพย์สมบัติอะไร แบ่งมาให้ฉันเดี๋ยวนี้”
“บอกแล้วไง ฉันไม่มีอะไรให้แกนอกจากสติ...แถมเวทนาให้ด้วยก็ได้”
“กูไม่เอา กูจะเอาเงิน บอกมาเดี๋ยวนี้ ว่าเงินทองเครื่องเพชร ของมีค่าอยู่ไหน เซฟอยู่ไหน บอกมา”
ลุงรักษ์ส่ายหน้า จอนบีบคอแรงขึ้น
“จะบอกหรือไม่บอก”
ลุงรักษ์เริ่มดิ้นสู้ เพื่อรักษาชีวิต จอนยิ่งบีบคอแน่น และลงแรงมากขึ้น ลุงรักษ์ล้มลงไปบนพื้นห้อง
จอนคว้าหมอนมากดทับลงไปบนหน้าของรักษ์
“ยกสมบัติให้ฉันซะดีๆ แกจะได้ไม่ต้องดิ้นอย่างนี้ บอกมาว่าเงินอยู่ไหน...เงินอยู่ที่ไหน...อยู่ไหน”
ลุงรักษ์พยายามเอื้อมมือคว้าของสิ่งหนึ่งใกล้ตัว เห็นมีดและปากกาวางอยู่ข้างๆ กัน สุดปลายมือ
“ยังไม่บอกอีกใช่มั้ย...ถ้าไม่บอก แกตายแน่ๆนะไอ้แก่”
มือลุงรักษ์คว้าปากกามาได้ แต่ทันใดนั้นร่างของเขาก็แน่นิ่ง หมดสติ สิ้นลมหายใจไป จอนได้สติ ยกหมอนออกจากหน้ารักษ์
“ตายห่า” จอนตกใจมากๆ

เวลาเช้ามืดวันต่อมา เสียงโทรศัพท์มือถือของราช ดังกังวานขึ้น ราชลืมตาตื่นบนเปล เขาเอื้อมมือหยิบโทรศัพท์มากดรับสาย
“ฮัลโหล...น้องแก้วเหรอครับ...ห๊ะ”
ราชฟังเสียงจากปลายสายแล้วหน้าถอดสี
“ผมจะรีบไปเดี๋ยวนี้เลยครับ”
ราชวางโทรศัพท์ลง ดูออกว่าเขาช็อก
อมาวสีนอนนิ่งอยู่บนเตียงนอนกลางห้อง แสงอาทิตย์ยามเช้าสาดเข้ามากระทบร่างของเธออย่างพอเหมาะ กำลังงาม
สักครู่อมาวสีลืมตาตื่น ค่อยๆ ลุกขึ้นจากเตียงนอน มองไปรอบๆ ไร้วี่แววผู้คน อมาวสีเดินตรงไปทางระเบียง ไอ้ทินปราดเข้าไปหาเปิดปากโชว์ฟันเหล็กทันที
“กูด ม้อ นิ่ง ครับ คุณสุภาพสตรี เช้านี้รับอะไรดี กาแฟ น้ำส้ม นม ไข่ดาว ซาลาเปา ปาท่องโก๋ แตงโม ชมพู่ ต้มเลือดหมู บะหมี่ สปาเก๊ตตี้ ไส้กรอก ฮอทด็อก โจ๊ก...ทั้งหมดนี้ ไม่มี แต่ไอ้ทินวิ่งไปซื้อให้ได้ เพียงสามนาทีเท่านั้นครับ”
“ฉันอยากรู้ว่า ใครๆไปไหนกันหมด”
“ใครๆ?...ที่นี่ก็ไม่มีใครแล้วนี่ครับ มีคุณอมาวสี มีนายประทินคนนี้ แล้วก็บอส”
“ก็นั่นแหละ บอสของเธอน่ะไปไหนแล้ว”
ทินยิ้มเย้า “คิดถึงบอสละซี”
“ฉันแค่อยากรู้ว่าเขาอยู่ไหน”
“ไปแล้วครับ...มีผู้หญิงโทรมาตามแต่เช้า...บอสก็รีบออกไปเลย”
อมาวสีชักสีหน้าแปลกใจ อารมณ์ไม่สู้ดีขึ้นมาทันที
“อย่าเพิ่งโกรธ อย่าเพิ่งหน้าบึ้ง...บอสไม่ได้หนีไปไหน แค่ออกไปกับคนกันเอง”
อมาวสีฉงน “คนกันเอง”
“ครับ น้องแก้ว อรัญญา...คนเก่าคนแก่ รู้จักกันมานานนม ตั้งแต่ครั้งยังวัยเยาว์เธอโทร.มาปุ๊บ บอสก็เผ่นปั๊บออกไปเลย เหลือไว้แต่ค่ากับข้าวนี่...”
ไอ้ทินชูเงินในกระเป๋าให้ดู
“แต่ไม่ต้องตกใจ...มีผู้ชายคนใหม่มารอรับคุณอยู่ที่หน้าบ้านแล้วครับ”
อมาวสีงงเต๊ก “ห๊ะ...ใคร”
“เขาชื่อว่า คุณวาริน รัตนพงษ์”

วารินก้าวเข้ามาในห้องโถงชั้นล่างของบ้านแก้ว ยิ้มทัก
“สวัสดีครับน้องอ้อ...พี่เพิ่งกลับจากหัวหินเมื่อเช้า ส่งคุณพ่อที่บ้านแล้วก็รีบมารับน้องอ้อเลย...คงไม่รอนานเกินไปนะครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ...อ้อ ไม่ได้ รอ...นานซักเท่าไหร่...”

“งั้นเราไปกันเลยมั้ยครับ หรือจะทบทวนเรื่องราวกันอีกทีก็ดีนะครับ”

เช้าวันเดียวกัน วัชรีเดินนำเพื่อนสาวอีกสองคนเข้ามาในบ้าน เธอเอ่ยปากอธิบายเรื่องราวทั้งหมดให้เพื่อนๆฟัง

“ยายอมา ไม่อยากแต่งงานกับนายภากร ก็เลยตัดสินใจหนีออกจากบ้าน ด้วยความช่วยเหลือของพี่วาริน...พี่วาริน จึงพาไปหลบตัวอยู่ที่บ้านพักชายทะเลชุมพร ของป๋าฉัน”
พึงใจรู้ทัน “ทั้งหมดนี้คือเรื่องโกหก”
“อืม...เพื่อไม่ให้คุณอาของยายอมาตกใจ” วัชรีบอก
นิลรัตน์ถาม “แล้วเรื่องจริงล่ะ”
“ตายักษ์เป็นคนลักพาตัวไป”
เพื่อนๆ อีกสองร้อง “อ้าว”
วัชรีบอก “เหอะน่า...ตายักษ์เขาทำเพื่อพี่วารินของฉัน”
นิลรัตน์ไม่เชื่อ “ใครจะเชื่อ...”

วารินขับรถมาตามท้องถนน อมาวสีนั่งเบาะข้างกัน หลังซักซ้อมเรื่องเดียวกับที่วัชรีบอกเพื่อนๆ จบลง หน้าตาวารินดูมีความสุข สดชื่น ตรงกันข้ามกับสีหน้าของอมาวสี
“รับรองว่า คุณอาของน้องอ้อ ต้องเชื่อเรื่องที่พี่เล่า”
“ค่ะ...มันก็ฟังดูน่าเชื่อค่ะ”
“แล้วก็ไม่ต้องกังวลว่า คุณอาจะบังคับให้น้องอ้อแต่งงานกับคุณภากรนะ”

ฝ่ายวัชรีเอ่ยปากเสียงดังท่ามกลางวงล้อมของเพื่อนสาว
“เพราะถ้าจะมีการบังคับให้ยายอมาแต่งงาน คนที่จะถูกบังคับให้แต่งงานด้วยต้องเป็นพี่วาริน”
นิลรัตน์เสริม “เพราะพี่วารินเป็นคนจับตัวยายอมาไป”
“ใช่”
พึงใจว่า “แผนการล้ำลึก”
นิลรัตน์ท้วง “แต่จริงๆแล้วตายักษ์เป็นคนจับตัวไป”
พึงใจบอกต่อว่า “เพราะฉะนั้นยายอมาจึงควรจะแต่งงานกับตายักษ์”
วัชรีเคลิ้มตาม “ใช่” แต่รู้สึกตัวจึงร้องออกมาว่า “เฮ้ย...”

รถของวารินแล่นเข้าไปในบ้านพิชิตพงษ์ นมพริ้งวิ่งออกมาจากในบ้าน พุ่งเข้าไปสวมกอดอมาวสีที่เพิ่งก้าวลงจากรถของวาริน
“คุณหนู คุณหนูอ้อ...ป้าคิดถึงหนูอ้อแทบแย่ สวดมนต์ไหว้พระทุกคืน ขออย่าให้มีอันตรายใดๆเกิดขึ้นกับหนูอ้อเลย”
“อ้อปลอดภัยดีค่ะป้า...อ้อคิดถึงป้าพริ้งมากเลยรู้มั้ย”
“โถ...ขวัญเอ๊ยขวัญมา อย่าหนีหายไปไหนอีกเลยนะคุณหนู”
คุณหญิงอำภาเดินเข้ามา อมาวสีหันไปเห็น ตรงเข้าไปกราบอำภา
“คุณอาคะ...อ้อขอโทษที่ทำให้บ้านพิชิตพงษ์ต้องวุ่นวายไปหมด”
“แค่อ้อปลอดภัย ไม่มีเรื่องร้ายแรงอะไร อาก็สบายใจขึ้นเยอะ...อาแค่นึกไม่ถึงว่าอ้อจะตัดสินใจได้เด็ดเดี่ยวขนาดนี้ เท่านั้น”
วารินขยับตัว นั่งลงข้างอมาวสี เขายกมือไหว้อำภาอย่างสุภาพ
“ผมเองครับ ผมขอรับผิดทั้งหมดแทนน้องอ้อเองครับ”
“เธอคือพี่ชายของวัชรี เพื่อนอ้อใช่มั้ย”
“ครับ...ผมเป็นคนวางแผนทั้งหมดให้น้องอ้อเอง”
อมาวสีเหลือบตามองวาริน คุณหญิงอำภาลอบมองท่าทีอมาวสี นมพริ้งเอ่ยปากสวนขึ้นมา
“หน้าตาก็ดูเป็นผู้ดี ไม่น่าจะวางแผนเลียนแบบโจรได้ถึงขนาดนี้”
“เพื่อให้น้องอ้อมีความสุข ผมยินดีทำทุกอย่างครับ” วารินเอ่ยปากด้วยความภาคภูมิ
อมาวสีเอ่ยปากถามคุณหญิงอำภา
“คุณอาผู้ชายไม่อยู่เหรอคะ”
“อืม...ช่วงนี้เขายุ่งๆ”
“คุณอาผู้ชายคงโกรธอ้อมาก”
“เธอก็น่าจะเดาออกนี่นะ”
ความเงียบเกิดขึ้นชั่วขณะ วารินเอ่ยปากเสียงดังฟังชัด
“ถ้ามีอะไรที่ผมต้องรับผิดชอบ เพื่อน้องอ้อ ผมยินดีทุกอย่างครับ...คุณหญิง บอกได้เลยว่าผมต้องทำยังไง”
“เอาไว้ค่อยคุยกับคุณกวีอีกทีแล้วกัน”
“ด้วยความยินดี ไม่มีปัญหาครับ เอ้อ งั้นพี่กลับก่อนนะจ๊ะน้องอ้อ...ผมลากลับก่อนนะครับ”
วารินสวัสดีทุกคนอย่างอ่อนน้อม
คุณหญิงบอกว่า “ขอบคุณอีกครั้งนะ ที่ช่วยดูแลน้องอ้อเป็นอย่างดี”
วารินเดินออกไป คุณหญิงอำภากระเถิบเข้าไปพูดใกล้ๆอมาวสี
“อ้อไม่ได้ไปอยู่ที่ไร่แถวสีคิ้ว ปากช่องหรอกเหรอ”
อมาวสีชะงัก ตกใจ “เอ้อ...”
“บ้านเช่าแถวซอยอารีย์ ก็ไม่ได้ไปใช่มั้ย”
“เอ้อ...ค่ะ...อ้อขอตัวไปอาบน้ำนะคะ”
อมาวสีไม่อยากโกหก รีบขอตัวแล้วเดินเลี่ยงขึ้นห้องไปทันที
นมพริ้งกระเถิบเข้าไปหาอำภา
“มีอะไรที่นั่นเหรอคะ...ที่สีคิ้วปากช่อง กับ ซอยอารีย์”
“ตำรวจเขาได้เบาะแสมาว่า มีคนโดนลักพาตัวไปอยู่ที่ไร่แถวสีคิ้ว แล้วก็ย้ายมาอยู่ที่บ้านเช่าแถวซอยอารีย์ เขาคาดว่าน่าจะเป็นอ้อ...แต่เมื่อวานพอบุกเข้าไปค้นดูแล้ว ไม่เจอใคร นอกจากสมุดบันทึกเล่มเดียว”

สองนายบ่าวมองหน้ากันอย่างเคลือบแคลงใจ

อ่านต่อหน้า 2

หัวใจเถื่อน ตอนที่ 14 (ต่อ)

ขณะเดียวกันนี้ ที่ศาลาสวดศพในวัดบรรยากาศสวยงามร่มรื่นของจังหวัดภูเก็ต ราชยืนนิ่งหน้าแท่นที่วางร่างไร้วิญญาณของลุงรักษ์ มีผ้าสีขาวบริสุทธิ์คลุมร่างของลุงไว้อย่างประณีต

รูปลุงรักษ์ ในใบหน้าหล่อเหลายิ้มแย้มให้ผู้คนประดับอยู่ในกรอบสวย ที่วางตั้งอยู่ข้างๆ แท่นนั้น
ส่วนใบหน้าของราชแววตาเศร้าหมอง และ น้ำตานองหน้า เสียงความคิดของราชดังก้องในใจเขา
“ผมเสียใจ ที่มาไม่ทันได้สัมผัสลมหายใจสุดท้ายของลุง ผมไม่อาจยกเหตุใดมาอ้างได้ นอกจากความเหลวไหลของตัวผมเอง...ผมควรจะตอบแทนบุญคุณของลุงได้มากกว่านี้ และควรทำในวันที่คุณลุงยังมีลมหายใจ...ถ้าคุณลุงลืมตาขึ้นมาตอนนี้ได้ คุณลุงก็คงจะพูดว่าอย่าร้องไห้ ทุกคนมีเวลาเกิด เวลาอยู่และเวลาจากไป...ผมขอขอบคุณลุงอีกครั้งสำหรับทุกคำสอนที่ลุงปลูกฝังให้ผม ผมสัญญาว่าจะจดจำและปฏิบัติตามทั้งหมด...ผมจะเป็นรัชภูมิรุ่นสุดท้ายที่ลุงภาคภูมิใจ แม้ลุงจะไม่ได้เห็นในชาติภพนี้ก็ตาม...ถ้าชาติหน้ามีจริง ผมขอเกิดมาเป็นหลานแท้ๆของลุงสักครั้งนะครับ”
ในระหว่างนี้ ภาพลุงรักษ์ในอดีต หลายๆ เวลาผุดซ้อนขึ้นมาในความโศกศัลย์ของราช รัชภูมิ น้ำตาของเขายังคงไหลพราก ไม่มีทีท่าว่าจะจางลงแต่อย่างใด

สี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ อรัญญานั่งร้องไห้ฟูมฟายเบื้องหน้าราชในออฟฟิศรักษ์เล ราชค่อยๆ โอบกอดปลอบโยนเธออย่างนุ่มนวล
“น้องแก้วมาตั้งแต่เช้ามืด เพราะนัดคุณลุงไว้ เราจะไปสำรวจเกาะแก่งแห่งใหม่กัน...พอมาถึงก็เห็นสภาพแบบนี้หละค่ะ”
สภาพห้องโถงออฟฟิศ ข้าวของกระจัดกระจาย มีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าควบคุมสถานที่แล้วสี่ห้านาย
นายตำรวจคนหนึ่งเดินเข้ามาหาราช เพื่ออธิบายเรื่องราว
“มีร่องรอยการต่อสู้บ้างเล็กน้อย ภาพรวมพอสันนิษฐานได้ว่าเป็นการทำร้ายร่างกาย ดูเหมือนว่าสุดท้ายคุณรักษ์จะถูกกดศีรษะทับด้วยหมอน จนหมดสติสิ้นลม”
ราชคำรามอย่างคั่งแค้น “ไอ้สารเลว”
“เด็กที่นี่บอกว่าพวกเงินสดและเครื่องประดับเก่าแก่ในตู้เซฟ หายไปหมด”
“ผมเชื่อว่าเป็นไอ้จอน ต้องเป็นไอ้จอนแน่ๆ” ราชมั่นใจยิ่งกว่าครั้งไหนๆ
“ผมคงต้องขอภาพถ่ายทรัพย์สินที่สูญหายมาประกอบการสืบสวน เพื่อเป็นเบาะแสในการประกาศหาตัวคนร้ายต่อไป”
“เชิญตามสบายเลยครับ ทำยังไงก็ได้ ขอให้จับตัวมันมาลงโทษอย่างสาสมด้วยนะครับ”
“อ้อ...คุณรักษ์ท่านกำสิ่งนี้ไว้ในมือแน่น...อาจจะเป็นของสำคัญที่ท่านตั้งใจฝากให้คุณ”
นายตำรวจคนนั้นส่งกระดาษแผ่นหนึ่งให้ราช

ราชยกกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาดู มันมีลายมือลุงรักษ์เขียน หวัดๆ ว่า...อภัย ราชร้องไห้มากยิ่งขึ้น
เทินเดินเข้ามายืนข้างๆ ราช สีหน้าและแววตาของเทิน ผ่านการร้องไห้มาไม่น้อยกว่ากัน
“ฉันไม่เคยรู้ว่า พ่อลูกเขาจะรักกันยังไง แต่ไม่มีทางที่จะมากไปกว่าที่ฉันรู้สึกกับลุง...ฉันเคยถามว่าลุงอยากมีลูกมั้ย ลุงบอกว่า มีฉันคนเดียวก็เหนื่อยแย่แล้ว จริงของลุง...ลุงเหนื่อยกับการเลี้ยงดูฉัน อบรมสั่งสอนฉัน มากกว่าคนเป็นพ่อเขาทำกันซะอีก ลุงไม่เคยบอกเลยว่าต้องการอะไรจากฉัน แต่ฉันรู้ว่า สิ่งเดียวที่ลุงต้องการก็คือ ดูแลรักษ์เล ของลุงให้ดีที่สุด ฉันยังไม่ทันได้ทำให้ลุงเห็นเลยสักนิด ลุงก็มาจากฉันไปซะแล้ว”
“คุณรักษ์แกต้องรับรู้ได้ครับ ไม่ว่าแกจะอยู่ที่ไหนก็ตาม” เทินบอก
“เพราะฉะนั้น อะไรที่ฉันยังไม่ได้ทำเพื่อลุง ฉันจะทำ เดี๋ยวนี้เลย”

วารินเดินพูดโทรศัพท์เข้ามาในบ้าน เขาเพิ่งกลับมาจากบ้านพิชิตพงษ์
“ทุกอย่างเรียบร้อยดี ไม่มีใครติดใจ สงสัยอะไรเลย อยู่แต่คุณหญิงอำภา ท่านกวีไม่อยู่...น้องเขาก็ดูโอเคนะ ดูมีใจให้เราไม่น้อยว่ะ...ที่ภูเก็ตเป็นไงบ้าง...เหรอ...ขอบใจมากนะเพื่อน”
วัชรีและเพื่อนๆ ตรงเข้ามารุมล้อมวารินทันที
“ผลลัพธ์เป็นยังไงคุณพี่”
“เรียบร้อยดี”
นิลรัตน์งง “แปลว่าอะไรคะ”
พึงใจบอก “แปลว่า เตรียมสู่ขอได้แล้วใช่มั้ย”
“ใจเย็นๆ ค่อยเป็นค่อยไป...เอาให้ชัวร์ก่อนดีกว่า” วารินว่า
วัชรีบอก “งั้นก็รอไปอีกสามสี่ชาติเลยแล้วกัน”
“แล้วเจอนายภากรมั้ยคะ” นิลรัตน์ถาม
“ไม่เจอนะ แต่ก็ไม่เห็นมีใครพูดถึง” วารินบอก

ตกตอนกลางคืน อมาวสีนั่งเหงา ซึม เศร้า เซ็ง อยู่กลางห้อง เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น
อมาวสีร้องบอกไปว่า

“ห้องไม่ได้ล็อคค่ะ นมพริ้งเข้ามาได้เลยค่ะ”

ครั้นพอประตูห้องเปิดออก กลับพบว่าผู้ที่ก้าวเข้ามาในห้องกลับเป็นคุณหญิงอำภา อมาวสีรีบเปลี่ยนอิริยาบถให้เหมาะสม

“คุณอามีอะไรจะใช้อ้อเหรอคะ”
“เปล่าหรอก...แค่อยากมาคุยด้วยเฉยๆ”
คุณหญิงอำภาขยับตัวลงนั่งบนเก้าอี้กลางห้อง
“ได้เล่นน้ำทะเลบ้างรึเปล่า”
อมาวสีลืมตัว “น้ำทะเล”
“บ้านพักที่ชุมพร ไม่ได้อยู่ติดทะเลเหรอ”
อมาวสีเพิ่งนึกได้ เธอถึงกับอึกอัก ตอบไม่ถูก
“เอ้อ ติดค่ะ...แต่ อ้อ...อ้อไม่ได้เล่นน้ำ”
“หาดแถวนั้นมีแต่หินสินะ...หาดชื่ออะไร ที่เราไปอยู่น่ะ”
อมาวสีอึกอัก “เอ้อ...”
“ใช่ทุ่งวัวแล่นรึเปล่า”
อมาวสีตามน้ำ “ค่ะ...ใช่ค่ะ...ทุ่งวัวแล่น”
“สวยมั้ย”
อมาวสีก้มหน้าหลบตาคุณหญิงอำภา
“มองหน้าอาสิ อ้อ...สวยมั้ย”
อมาวสีเงยหน้าตอบแผ่วเบาแทบไม่ได้ยินเสียง
“สวยค่ะ”
“อ้อจะหลอกใครๆก็ได้ทั้งนั้น แต่อย่าหลอกใจตัวเองนะลูก จะได้ไม่ต้องช้ำใจภายหลัง เหมือนอย่างที่หลายๆ คนเคยเป็น”
คุณหญิงอำภาส่งสมุดบันทึกเล่มที่ได้มาจากนายตัวรวจให้อมาวสี
“เด็กที่โดนจับไว้ที่บ้านซอยอารีย์ลืมสมุดเล่มนี้ไว้ เผื่ออ้อจะอยากจะอ่าน”
อมาวสีรับสมุดเล่มนี้มา เธอพูดอะไรไม่ออก เมื่อรู้ว่า ถูกจับโกหกได้
“อารู้ว่าภากรไม่ใช่ตัวเลือกของอ้อ แต่ไม่ว่าอ้อจะเลือกใคร อย่าเลือกโดยไม่ถามหัวใจตัวเอง เชื่ออาเถอะ”
คุณหญิงอำภาค่อยเดินพาตัวเองออกจากห้องไป โทรศัพท์มือถือของอมาวสีดังขึ้นพอดี เธอกดปุ่มรับสาย

เป็นราชที่โทร.มาจากออฟฟิศรักษ์เล และกำลังพูดสายอยู่
“สบายดีมั้ยครับ”
อมาวสีอยู่ในห้องนอน
“อยากรู้จริงๆ หรือถามไปงั้นๆ”
“นายวาริน ไม่ทำให้คุณผิดหวังใช่มั้ย”
อมาวสีนึกฉุน “ไปถามเพื่อนคุณเอาเองสิ”
“มีความสุขมากจนไม่อยากเล่าให้ใครฟังเลยเหรอ”
“ถ้าฉันถามคุณบ้างว่า มีความสุขมากมั้ยกับน้องแก้วอรัญญาล่ะ...คุณจะอยากเล่าให้ฉันฟังมั้ย...คงกำลังเดินจับมือกันอยู่แถวริมทะเลสินะ”
“เปล่า...แต่พรุ่งนี้จะทำอย่างที่คุณแนะนำ”
“งั้นฉันขอแนะนำอีกสักข้อนะคะ...ถ้าคุณมีปัญหาเรื่องการระบายอารมณ์ อยากพูดจาถากถางผู้คน ฉันแนะนำให้โทรไปที่คลินิกวัยทอง ไม่ใช่โทร.มาที่ฉัน เพราะฉันไม่ใช่ที่รองรับอารมณ์ของใคร”
เสียงชวนหมั่นไส้ของราชดังออกมาว่า “นอกจากนายวาริน”
อมาวสีโมโห “ยังอีก”
“ขอโทษที่รีบลงมาภูเก็ตโดยไม่บอกคุณ”
เสียงอมาวสีดังมาว่า “ไม่จำเป็นค่ะ ฉันไม่ได้สำคัญขนาดที่คุณจะต้องรายงานทุกอย่างเวลาจะไปไหนมาไหน”
“แต่ถ้าเป็นนายวาริน เขาจะทำอย่างนั้น ผมรับรอง”
อมาวสี วางโทรศัพท์ลงทันที เธอลุกขึ้นเดินไปรอบๆห้องด้วยความหงุดหงิด เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง อมาวสีคว้าขึ้นมากดปุ่มรับและตะโกนพูดในทันใด
“ไม่ต้องโทร.มาอีกแล้วนะ ฉันเบื่อจะฟังเสียงนาย”
เป็นเสียงวารินดังเข้ามาในโทรศัพท์ “แต่พี่เพิ่งโทร.มาเดี๋ยวนี้เองนะครับ”
อมาวสีตกใจ “พี่วาริน”
“พี่จะบอกน้องอ้อว่า พี่ถึงบ้านแล้ว เพิ่งคุยกับคุณป๋าเสร็จ...พี่เล่าเรื่องน้องอ้อให้คุณป๋าฟังด้วย...พรุ่งนี้พี่จะไปรับนะครับ...ยายวัชกับเพื่อนๆอยากเจอตัวมาก”
เสียงเพื่อนๆคนอื่นๆดังเข้ามาในสาย “ใช่จ้ะ”
“นี่พวกเธออยู่ในสายหมดเลยเหรอ”
เสียงเพื่อนดังเซ็งแซ่เข้ามาว่า “ใช่แล้ว...”
ตามด้วยเสียงพึงใจ “แต่พวกเราไม่อยากคุยทางโทรศัพท์”
และเสียงวัชรี “เราจะคุยกับเธอแบบตัวเป็นๆ เห็นหน้ากันพรุ่งนี้นะ ยายอมา...ห้ามเบี้ยวนะจ๊ะ”
ใบหน้าอมาวสี มีรอยยิ้มปรากฏให้เห็นขึ้นบ้าง

ในขณะเดียวกัน ท่านกวีก้าวเข้ามาในบ้าน เดินอย่างเงียบๆ ตรงมาที่ห้องโถง คุณหญิงอำภาเดินออกไปรอรับสามี
“เป็นไงบ้างคะ ประชุมพรรควันนี้”
“น่าเบื่อ...เงียบๆเหงาๆ ไม่ค่อยมีใครอยากคุยกับผม...ผมคงมีความสำคัญไม่พอสำหรับพรรคอีกต่อไปแล้ว...ยายอ้อล่ะ”
“พักผ่อนอยู่ในห้องมั้งคะ”

“ไปเรียกมันมาหาผมเดี๋ยวนี้เลย ผมต้องการสั่งสอนมัน”

ไม่นานต่อมาอมาวสีเดินตัวลีบเข้ามาในโถงนั่งเล่น เธอก้มลงกราบขอขมาท่านกวี

“อ้อขอโทษค่ะคุณอา”
“อายุเท่าไหร่แล้ว”
“ยี่สิบสามค่ะ”
“ไม่ใช่เด็กๆแล้วนะ...ก่อนทำอะไร ได้คิด พิจารณา ตรึกตรองดูหรือยัง”
อมาวสีอึกอัก “อ้อ...”
“ยี่สิบปีที่ฉันอุปการะเธอมา จากเด็กที่กำพร้าพ่อแม่ แทบจะไม่มีที่ซุกหัว ไม่มีที่อยู่ที่กิน ไม่มีเสื้อผ้าใส่...แกนึกถึงบุญคุณของฉันสักนิดมั้ย ฉันอยากให้พ่อให้แม่แกฟื้นขึ้นมาเอาแกกลับคืนไปเดี๋ยวนี้จริงๆเลย”
คุณหญิงอำภาทัก “ใจเย็นๆก่อนเถอะค่ะคุณ”
แต่ท่านกวีไม่สน ระบดระบายต่อ “ฉันเย็นมาตั้งเกือบเดือนแล้ว แต่วันนี้มันต้องพูดให้หมด...รู้ไว้ด้วยนะ ถ้าแกไม่ใช่ลูกของพี่สาวฉัน ฉันจะไม่แยแสแกแม้แต่นิด แต่แกตอบแทนฉันด้วยการกระทำที่บ้าบอสิ้นดีอย่างนี้ได้ยังไง หนีการแต่งงานไปสุขสบายชายหาดชุมพร แกทำให้ฉันดูเหมือนเป็นไอ้แก่บ้า ไดโนเสาร์เต่าล้านปี ที่ชอบจับคนนั้นแต่งงานกับคนนี้ แกนึกบ้างมั้ยว่าฉันจะเสียหน้าขนาดไหน ชาวบ้านชาวช่องเขาดูถูกฉัน หัวเราะเยาะฉันขนาดไหน...มีอะไรทำไมไม่บอกกับฉันตรงๆ”
อมาวสีย้อนแย้งเสียงเบาๆ “อ้อบอกแล้วแต่คุณอาก็ไม่ยอม”
ท่านกวีโกรธ “แกเถียงฉันเหรอ”
อมาวสีก้มหน้าร้องไห้ด้วยความอัดอั้นตันใจ
“พูดแค่นี้ร้องไห้เหรอ บอกมาซะดีๆ ว่าแกต้องการหนีไปอยู่กินกับไอ้ราช ผัวเก่าของแกใช่มั้ย”
อมาวสีร้องไห้ฟูมฟายมากยิ่งขึ้น
“เปล่าค่ะ อ้อกับคุณราชไม่มีอะไรกัน”
“แล้วที่หายไปนี่ ไปมีอะไรกับใครอีกล่ะ”
“คุณคะ...พอเถอะ...สงสารยายอ้อเถอะค่ะ”
ท่านกวีเดือดปุดๆ เดินวนไปวนมา ตะโกนลั่นบ้าน
“ไอ้ภากรมันอยู่ไหน ตามตัวมันกลับมาบ้านซิ ฉันจะจัดงานแต่งงานให้มันเดี๋ยวนี้ เอาให้เร็วที่สุดเลย”
อมาวสีเงยหน้ามองผู้เป็นอา น้ำตาท่วมตาแล้ว “เอ้อ...”
“ทำไม จะหนีอีกเหรอ...ต้องให้ฉันเอาโซ่มาล่ามเธอมั้ย”
“คุณคะ ถ้าเด็กเขาไม่ได้รักกัน...เราก็อย่าไปบังคับให้เขาแต่งงานกันเลยค่ะ” คุณหญิงท้วง
“ยังไงก็ต้องแต่ง เพราะมันเลยเถิดไปกว่าความรักแล้ว มันเป็นเรื่องศักดิ์ศรี เรื่องหน้าตาที่ผมจะยอมเสียไม่ได้ หวังว่าคุณคงเข้าใจนะอำภา”
กวีเดินหุนหันขึ้นบ้านไป อมาวสีนั่งร้องไห้ตรงนั้น คุณหญิงอำภาสงสารจับจิต
“ชีวิตคนเรา ไม่มีอะไรที่จะได้มาง่ายๆหรอก อ้อ มันต้องต่อสู้เพื่อให้ได้มาทั้งนั้น ในชีวิตอา อาเคยไม่กล้าสู้มาแล้วครั้งหนึ่ง...เพราะฉะนั้นสิ่งเดียวที่อาจะแนะนำอ้อในตอนนี้ก็คือ อ้อต้องสู้ สู้เพื่อตัวเอง...อาช่วยอะไรไม่ได้มากกว่านี้ แต่อารับฟังอ้อได้เสมอ ถ้าอ้ออยากจะพูดอะไรที่มันออกมาจากหัวใจจริงๆ อ้อพูดกับอาได้นะ”
คุณหญิงโอบกอดอมาวสี ปลอบโยนและปลุกปลอบขวัญ

เช้าตรู่ ท้องทะเลภูเก็ตอวดความงามกลางแสงแดดสวยที่ส่องสะท้อน
ราช และ เทิน มาถึงวัดในตอนเช้า สองคนอยู่หน้าโลงศพลุงรักษ์ ที่มีรูปยังคงตั้งอยู่ตรงนั้น มีนายอำเภอในชุดข้าราชการ ยืนอ่านกระดาษแผ่นหนึ่ง มันคือพินัยกรรมของลุงรักษ์นั่นเอง
ราช และน้าเทิน ยืนฟัง สงบนิ่งอยู่ข้างๆ ทุกคนได้ยินเสียงลุงรักษ์ดังก้องขึ้นมาในหัว
“ข้าพเจ้านายรักษ์ รัชภูมิ เขียนพินัยกรรมฉบับนี้ ในวันเวลาที่ยังมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ดี ต่อหน้าประจักษ์พยานที่ลงชื่อในท้ายพินัยกรรมฉบับนี้...เนื้อหาใจความคงมีเพียงสั้นๆ กล่าวคือ...ทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่ถือครองโดยตัวข้าพเจ้า ไม่ว่าจะเป็นเงินสด ของมีค่าดังรายการแนบท้าย โฉนดที่ดินรีสอร์ท และสัมปทานเกาะรักษ์เล ทั้งหมดนี้ ข้าพเจ้าขอมอบให้นายราช รัชภูมิ ผู้เป็นหลานบุญธรรมแต่เพียงผู้เดียว ที่มีสิทธิในทรัพย์สินทั้งหมดนี้ เว้นแต่ว่าเขาไม่ปรารถนาในสมบัติแม้เพียงชิ้นเดียว ก็ขอให้ยกให้กับมูลนิธิ หรือองค์กรการกุศลตามแต่เห็นสมควร อนึ่งนายจอนหลานคนเดียวของนางจำปีภรรยาผู้วายชนม์ของข้าพเจ้า จะได้สิทธิครอบครองทรัพย์สินใดๆ บ้างหรือไม่ ให้อยู่ที่วินิจฉัยของราช รัชภูมิ เท่านั้น...”
ในระหว่างนี้ สองคนนิ่งฟัง นายอำเภออ่านพินัยกรรมต่อ
“ห้ามเปลี่ยนแปลงข้อความใดๆ ในพินัยกรรมนี้เป็นอันขาด...ลงชื่อ รักษ์ รัชภูมิ” นายอำเภอหันมาทางราช “ท่านเขียนพินัยกรรมนี้เมื่อเดือนที่แล้ว โดยเก็บไว้ที่ธนาคาร กำชับให้ผมเปิดเมื่อถึงวันที่ท่านไม่อยู่”
ราช อึ้งไปเมื่อได้รับรู้ทุกข้อความในพินัยกรรม
“ท่านให้ผมมากเกินไป”
“ท่านบอกว่าท่านไม่มีใคร ไม่มีญาติพี่น้อง และที่สำคัญ ท่านไม่ไว้ใจใคร” นายอำเภอว่า
“ผมยกให้คนอื่นต่อได้ใช่มั้ยครับ” ราชถาม
“คุณมีสิทธิ์เต็มตามพินัยกรรมครับผม ว่าแต่...คุณคิดจะยกให้ใครเหรอครับ”

ท่านนายอำเภออดสงสัยมิได้

กลับจากงานศพลุงรักษ์ที่วัด ราชและเทินเดินเข้ามาหยุดตรงกลางออฟฟิศรักษ์เล เทินถามท่าทีเกรงใจ

“คุณราชคิดจะยกให้ไอ้จอนใช่มั้ย”
“เขาเป็นทายาทโดยตรงมากกว่าผมซะอีก”
“แต่มันทำกับลุงรักษ์ถึงขนาดนี้นะครับ”
“อภัย...ข้อความสุดท้ายที่ลุงรักษ์ฝากไว้”
เทินพูดอะไรไม่ออก
“น้าเทินช่วยร่างพินัยกรรมให้ผมหน่อย แบ่งเป็นห้าส่วน สามส่วนยกให้การกุศลอีกหนึ่งส่วนให้น้าเทินและครอบครัว”
เทินตกใจ “เฮ้ย”
“น้าอยู่กับลุงรักษ์อย่างซื่อสัตย์มาทั้งชีวิต น้าเทินไม่มีอะไรด้อยกว่าผมเลย” เขาบอก
เทินนิ่งอึ้ง ด้วยความซาบซึ้งใจ
“แล้วอีกส่วนล่ะครับ”
“ยกให้ไอ้จอน” ราชบอก
เทินจะท้วงแต่แล้วถอนใจแรงๆ ออกมา “เฮ้อ...อภัย...”
“พินัยกรรมนี้จะมีผลเมื่อผมตาย”
เทินมองหน้าราช
“ถ้าอยากได้สมบัติเร็วๆ น้าเทินก็จ้างคนมาฆ่าผมแล้วกัน” ราชสัพยอก
“ดู...พูดไปนั่น”
อรัญญาเดินเข้ามาในจังหวะนี้ ไหว้ทักสองคน
“สวัสดีค่ะพี่ราช สวัสดีน้าเทิน”
“สวัสดีครับ” สองคนทักตอบ
“น้องแก้วคิดถึงพี่ราชค่ะ...เป็นห่วงด้วย”
“ผมกำลังคิดถึงน้องแก้วอยู่พอดี”
“เหรอคะ...ใจเราตรงกันขนาดนั้นเลยเหรอคะ”
“คุณคงอยากจะคุยกันตามลำพังนะครับ” เทินขอตัว
ราชพยักหน้าให้ เทินเดินแยกออกไปหลังออฟฟิศ
“น้องแก้วมีเรื่องสำคัญที่ต้องคุยกับพี่ราช...เรื่องที่คุณลุงรักษ์สั่งเสียไว้”
“งั้นก็เรื่องเดียวกัน กับที่ผมอยากคุยกับแก้ว”
อรัญญายิ้ม เอียงอาย กิริยาน่ารัก
“เหรอคะ”
“เรื่องกำหนดการแต่งงานของเรา”
“ค่ะ”
“เราไปเดินคุยกันริมหาดดีมั้ย”
“ค่ะ...โรแมนติกดีค่ะ”
ราชโอบร่างอรัญญาท่วงทีสุภาพ พากันเดินออกไป

เหตุการณ์ที่กรุงเทพฯ อมาวสีเดินทางมาที่บ้านรัตนพงษ์ โดยมีวารินเป็นคนไปรับ และตอนนี้รถวารินแล่นเข้ามาจอดหน้าบ้าน วารินเดินลงมาเปิดประตูให้อมาวสีอย่างกระฉับกระเฉง
“เพื่อนๆน้องอ้อรอต้อนรับอยู่ในบ้าน เขาจะโผล่มาเซอร์ไพร้ซ์ น้องอ้อแกล้งทำเป็นไม่รู้นะครับ”
อมาวสีเดินนำหน้าวารินเข้าไปในบ้าน วารินส่งสัญญาณให้อมาวสีเดินเลี้ยวไปทางห้องทำงาน
จังหวะนี้สามสาวพุ่งพรวดออกมาจากห้องทำงาน พร้อมด้วยผ้าห่มสีสวยผืนใหญ่ ทว่าอมาวสีฉากหลบได้ทัน ผ้าผืนนั้นครอบลงไปบนหัววารินแทน ทุกคนส่งเสียงร้องกันลั่น
“พี่วารินน่ะ...เรากะจะแกล้งยายอมา ดันเอาหน้ามารับแทนซะนี่” วัชรีกระเง้ากระงอด
“มันเป็นบุคลิกประจำตัวพี่จ้ะ พี่ออกรับแทนน้องอ้อได้เสมอ” วารินหยอดหวาน
สาวๆ ทั้งสามส่งเสียงกรี๊ดลั่น
นิลรัตน์เย้า “เทพบุตรของยายอมาจริงๆเลยนะเนี่ย”
“พี่ไปเตรียมอาหารก่อนนะ สาวๆคุยกันให้เต็มที่ เดี๋ยวพี่มา”
วารินเดินออกไปจากฉาก สามสาวโผเข้าไปรุมอมาวสี วัชรีนำทีมถามทันที
“บอกมาเดี๋ยวนี้เลยยายอมา เล่ามาให้หมด ฉันอยากรู้”
“ไม่มีอะไร พี่เขาถามว่าเราอยากกินอะไร เราก็บอกไป พี่เขาก็ไปหามาให้ ก็เท่านั้นเอง”
พึงใจบอก “ไม่ใช่เรื่องนี้”
นิลรัตน์ว่า “เรื่องพี่วาริน พวกเรารู้หมดแล้ว”
“แต่ที่เราไม่รู้ และอยากรู้ ก็คือ...”
พึงใจต่อให้วัชรี “เรื่องของตายักษ์ นายราช รัชภูมิ”
“ใช่ หายไปอยู่ด้วยกันตั้งเกือบเดือน” นิลรัตน์จ้องหน้า
วัชรีคาดคั้นทีเล่นทีจริงออกมาว่า

“พี่ชายฉันตกกระป๋องหรือยัง บอกมาซะดีๆ”

 
อ่านต่อหน้า 3

หัวใจเถื่อน ตอนที่ 14 (ต่อ)

ระหว่างนี้ เสียงโทรศัพท์ที่วางอยู่มุมหนึ่งในบ้านรัตนพงษ์ดังขึ้น เด็กรับใช้ในบ้านเดินเข้ามายกหูโทรศัพท์รับ

“สวัสดีค่ะ บ้านรัตนพงษ์ค่ะ...ไม่ทราบว่า ต้องการพูดกับใครคะ”

เป็นสายจากภากรที่นั่งพูดโทรศัพท์อยู่มุมหนึ่งในโรงพยาบาล ด้านหลังของเขา เห็นเป็นสีไพรนั่งรอหมออยู่
“ผมต้องการพูดกับอมาวสีครับ ผมรู้ว่าเธออยู่ที่นั่น...ผมชื่อภากร พิชิตพงษ์”

หลังจากนั้นไม่นานนัก รถยนต์ของวารินแล่นเข้ามาในลานจอดรถมุมใต้สะพานบรรยากาศสวยงามแห่งหนึ่ง รถวิ่งตรงไปจอดข้างๆ รถภากรที่จอดรออยู่ก่อนแล้ว วารินก้าวลงจากรถของเขา ภากรก้าวลงจากรถของตน
“สวัสดีครับ ผมวาริน พี่ชายวัชรี เพื่อนของน้องอ้อ”
“ผมภากร พี่ชายอ้อ ครับ”
อมาวสีก้าวลงจากรถ “คุณภากร”
“ขอบใจนะอ้อที่ยอมมาเจอพี่”
“คุณภากรมีเรื่องสำคัญอะไรเหรอคะ” สีหน้าอมาวสีงวยงงไม่น้อย
“พี่อยากแนะนำให้รู้จักใครคนนึง”
ภากรเปิดประตูรถอีกด้าน สีไพรก้าวลงจากรถตรงด้านนั้น
“นี่สีไพร...ภรรยาพี่”
สองคนถึงกับอึ้งไป

ตรงมุมสงบร่มรื่น ใกล้ลานจอดรถนั้น ภากรนั่งคุยกับอมาวสีในมุมอันสวยงามนั้น
ภากรเป็นคนเปิดปากชวนคุยก่อน “ไม่น่าเชื่อเลยนะ ช่วงเวลาเกือบเดือนที่อ้อหายไป...มันได้เปลี่ยนแปลงชีวิตพี่ใหม่หมด...เปลี่ยนแบบหน้ามือเป็นหลังมือเลย
อมาวสีแปลกใจอยู่อย่างเก่า “เหรอคะ”
“พี่เพิ่งได้สติ ได้คิดพิจารณาถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมา พี่รังแกอ้อ แกล้งอ้อ ตั้งแต่เด็ก จนโต ก็ยังจะมาบังคับอ้อแต่งงานอีก พี่ใช้ชีวิตเหมือนคนไม่รู้ตัวเหมือนเด็กไม่รู้จักโต เพราะมีพ่อเป็นนักการเมืองใหญ่คอยให้ท้ายหนุนหลัง พี่ต้องขอบคุณอ้อมากๆ ที่มีส่วนเปลี่ยนแปลงชีวิตพี่ในครั้งนี้”
“อ้อ ไม่ได้ทำอะไรเลยนะคะ”
“อ้อทำสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดต่างหาก...ถ้าอ้อไม่หนีงานแต่งงาน พี่ก็คงจะคิดไม่ได้อย่างนี้หรอก”
พลางภากรหันไปมองยังรถของเขา
เห็นสีไพรนั่งคุยอยู่กับวาริน กิริยาอาการของสีไพร ดูงดงามอย่างแท้จริง
โดยเฉพาะกับสีไพร พี่เพิ่งจะมีเวลาได้เห็นความดีของสีไพร เห็นความรักแท้จริงที่เขามีให้กับพี่...พี่ต้องเป็นไอ้โง่แน่ๆ ถ้าปล่อยให้สีไพรหลุดมือไป”
“สีไพรคงดีใจถ้าได้ยินคุณภากรอย่างนี้”
“เขาได้ยิน พี่พูดกับสีไพรอย่างนี้แหละ ต่อหน้าสีไพรและพ่อของเธอ..แต่คนที่ดีใจยิ่งกว่าสีไพรก็คือพี่ เพราะว่าพี่กำลังจะได้เป็นพ่อคน สีไพรกำลังจะเป็นแม่ของลูกพี่นะ”
อมาวสีตื่นเต้นขึ้นมาทันที “จริงเหรอคะ”
“จริง”
“อ้อดีใจด้วยนะคะ”
“พี่ก็ต้องดีใจกับอ้อด้วยเช่นกัน”
อมาวสีงง “เรื่อง”
“เรื่องคุณวาริน”
อมาวสีชักสีหน้า งงอีกเล็กน้อย
“คุณวารินเป็นคนดี ดีทั้งตระกูลเลยหละ เขาดูเหมาะสมกับอ้อ และพี่เชื่อว่าเขาจะคุ้มครองดูแลอ้อได้เป็นอย่างดี
“เอ้อค่ะ...”
“โชคดีแล้วละ ที่อ้อไม่เลือกไอ้ราช...ถ้าอ้อเลือกแต่งงานกับไอ้หมอนั่นละก้อชีวิตอ้อจะต้องย่ำแย่ยิ่งกว่าแต่งกับพี่อีก”
อมาวสีแค่นยิ้มออกมานิดหนึ่ง ภากรกระเถิบเข้าไปจับมืออมาวสี แต่ครั้งนี้เป็นการจับมือเยี่ยงพี่ชายที่ปรารถนาดีต่อน้องสาว
“พี่อยากขอโทษอ้อในทุกสิ่งที่พี่เคยทำกับอ้อ ยกโทษให้พี่ด้วย อย่าโกรธ อย่าอาฆาตแค้นพี่เลยนะ”
อมาวสีบอกจากใจ “อ้อไม่เคยคิดอะไรขนาดนั้นเลยค่ะ...ด้วยความสัตย์จริง”
“ถึงอย่างนั้น พี่ก็ต้องขอโทษอยู่ดี ในฐานะพี่ชายที่ใช้ไม่ได้ และถ้าเป็นไปได้ พี่อยากมีโอกาสขอโทษคนอีกคนนึง ในฐานะของน้องชายที่เหลวไหลของเขา จนทำให้เขาต้องหายสาบสูญไป”
อมาวสียิ้มชื่น “อ้อรู้สึกดีจัง ที่ได้ยินคุณภากรพูดอย่างนี้”
“พี่ได้ยินมาว่า พ่อพี่ดุด่าอ้อมากเลยใช่มั้ย”
อมาวสีพยักหน้าช้าๆ
“ไม่ต้องกังวลนะ และไม่ต้องกลัวว่าจะต้องแต่งงานกับพี่ อ้ออยู่เฉยๆทำใจให้สบายได้เลย เพราะพี่จะเป็นคนปฏิเสธคุณพ่อ แทนอ้อเอง”

ภากรบอกอย่างจริงจัง

ตกตอนกลางคืน ท่านกวีเดินเข้าบ้านมาอย่าง เหงาหงอย เซื่องซึม เขาขยับตัวลงนั่งที่โต๊ะอาหาร ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอยอ่อนล้า

ท่านกวีหวนรำลึกนึกไปถึงเหตุการณ์ที่สำนักงานบริษัทกลอนกวี เมื่อช่วงกลางวันที่ผ่านมา
โดยตอนนั้นเลขาพรรคหน้าหวานนาม พร้อมพงศ์ นั่งอยู่เบื้องหน้า เปิดปากเอ่ยขึ้น
“ผมมีเรื่องสำคัญที่ต้องรีบแจ้งให้ท่านกวีทราบ”
“เรื่องอะไรครับ”
“มีความเห็นร่วมกันของท่านหัวหน้าพรรค และประธานที่ปรึกษาพรรค รวมทั้งอดีตหัวหน้าพรรค ในฐานะกรรมการอาวุโส ทุกคนเห็นตรงกันว่าคุณสมบัติของท่านตอนนี้ไม่เหมาะกับการเป็นกรรมการบริหารพรรค”
ท่านกวีฉงน “ทำไมล่ะครับ”
“คือ ชื่อเสียง และเครดิตของท่าน ไม่ทำให้พรรคของเราดูดีขึ้นมา ตรงข้ามซะอีกไม่ว่าจะเป็นเรื่องธุรกิจส่วนตัวของท่าน หรือของลูกชายท่าน ไม่เว้นกระทั่งข่าวลือเรื่องหลานสาวของท่าน เรื่องราวเหล่านี้พากันฉุดดึงภาพลักษณ์ของพรรคไปในทางที่ไม่เป็นบวก...เราจึงเห็นตรงกันว่า ท่านไม่เหมาะที่จะเป็นกรรมการพรรคอีกต่อไป”
“ผมก็นึกไว้อยู่เหมือนกัน”
“แล้วท่านก็ ไม่ต้องกังวลเรื่องการเลือกตั้งครั้งหน้านะครับ เพราะหัวหน้าตัดสินใจไม่ส่งคุณลงสมัคร...ส่วนลิสต์บัญชีรายชื่อ ชื่อท่านก็อยู่ท้ายๆ หรืออาจจะหลุดบัญชีไปเลยก็ได้”
ท่านกวีนั่งก้มหน้านิ่ง
“ฉะนั้นทางออกที่ดีสำหรับท่านก็คือ...ย้ายพรรคซะ หากมีพรรคอื่นยื่นข้อเสนอที่ดีให้ท่าน ท่านควรจะรีบคว้าเอาไว้นะครับ หัวหน้าอนุญาต ไม่ว่ากันครับผม”

ท่านกวีนั่งจมอยู่ในความคิดดังกล่าว จิบไวน์หน้าเครียดอยู่ที่ที่โต๊ะอาหารบ้านพิชิตพงษ์ คนเดียวลำพัง คุณหญิงอำภาเดินเข้ามายืนมองสามีด้วยความห่วงใย ท่านกวีเอ่ยปากออกมาก่อน
“ไม่ต้องถามนะว่าเกิดอะไรขึ้นกับผม...ผมพร้อมเมื่อไหร่จะเล่าให้ฟังเอง”
“จะไม่บอกสักนิดเหรอคะว่าเกี่ยวกับเรื่องอะไร...ที่ทำให้คุณเครียดขนาดนี้”
“เรื่องการเมือง...เรื่องพรรคการเมือง...เรื่องนักการเมือง ที่ไม่เคยมีความจริงใจให้กัน...ผมเลือกอาชีพผิดจริงๆ” ท่านกวีบ่นออกมา
คุณหญิงอำภาขยับตัวลงนั่งนิ่งๆ
ความเงียบปกคลุมทั้งสองอยู่ชั่วขณะ
“ไอ้ภากรล่ะ”
“ไม่อยู่ค่ะ”
“ยังไม่กลับบ้านเหรอ”
“สี่วันแล้วค่ะ”
“เรียกตัวมันมาด่วนเลย...ถามมันว่ามันจะแต่งงานมั้ย”

รถราชแล่นเข้ามาจอดหน้าบ้านพักในกรุงเทพฯ ตอนค่ำ สองคนเพิ่งกลับจากจัดการงานศพลุงรักษ์ ราชและเทินก้าวลงจากรถ
“น้าเทินกลับบ้านได้เลยนะ”
“เจ้าทินมันโทร.มาบอกว่า มีคนเอาของมาฝากไว้คุณราช มันวางไว้บนโต๊ะ คุณราชอย่าลืมเปิดดูด้วยนะครับ”
ราชเดินเข้าไปในบ้าน

ราชเดินเข้ามาในห้องทำงานกลางบ้านพัก เขาหยิบซองที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานขึ้นมาดู ที่ซองมีชื่อผู้ฝาก เขียนกำกับไว้ชัดเจนว่า จาก ม.ร.ว.หญิงทิพย์สุดา ราชค่อยๆ แกะซองนั้นออก
ของในซองเป็นกุญแจตู้นิรภัย และจดหมายอีกหนึ่งฉบับ ราชหยิบจดหมายขึ้นมาเปิดอ่าน เสียงคุณหญิงทิพย์สุดาดังก้องขึ้นในหัวเขา
“กุญแจที่เห็นนี้คือกุญแจตู้นิรภัย ที่ฉันดูแลมันมานานแสนนาน วันนี้ถึงเวลาแล้วที่ฉันจะส่งต่อไปให้คนที่ควรจะเป็นเจ้าของมัน นั่นก็คือเธอ ภาคย์ ทวยไท...น่าเสียดายที่ฉันต้องเดินทางไปต่างประเทศ ก็เลยไม่ได้ยื่นให้เองด้วยมือ แต่หวังว่าเธอจะเข้าใจได้โดยไม่ยาก เธอไปที่ธนาคาร พร้อมกุญแจดอกนี้ เมื่อเปิดตู้นิรภัยจะพบของสำคัญสี่ชิ้น...”

เช้าวันถัดมา ราชพาตัวเองมาอยู่ที่ห้องเก็บตู้นิรภัยของธนาคาร เขายืนอยู่ในห้องกว้าง ไขหมายเลขตรงกับกุญแจ เมื่อเปิดกล่องนิรภัยเบื้องหน้า เขาพบของสำคัญตรงตามจดหมายที่คุณหญิงทิพย์สุดาระบุ เสียงคุณหญิง ดังก้องขึ้นในหัวของเขา
“หนึ่ง คือเครื่องเพชรและแหวนเพชรที่ท่านอาพ่อของเธอเตรียมใช้หมั้นแม่ของเธอ สอง ตราประจำตระกูลทวยไท ซึ่งไม่มีผู้ใดที่จะเก็บรักษาไว้ได้นอกจากเธอ สาม หนังสือแสดงสิทธิ์ในการเป็นเจ้าของบ้านพักตากอากาศที่ประเทศอังกฤษ และ สี่โฉนดบ้านพิชิตพงษ์ เธออาจจะงง แต่ขอให้รู้ว่ามันถูกซื้อมาด้วยเงินเก็บสะสม ทั้งหมดของท่านอา พ่อของเธอ...เท่ากับว่า ตอนนี้บ้านพิชิตพงษ์เป็นของเธอโดยสมบูรณ์ เอกสารสัญญาและรายละเอียดการซื้อขายอยู่ในนั้นด้วย เผื่อว่าตอนที่ฉันไม่อยู่ เธออยากจะใช้ประโยชน์จากของเหล่านี้ ก็ทำได้เลย เพราะมันเป็นสิทธิ์ของเธอผู้เดียว จากทิพย์สุดา ญาติคนเดียวของเธอ เจอกันคราวหน้าเราคงมีโอกาสคุยกันได้เยอะกว่านี้นะ น้องชาย”

ออกจากแบงค์ ราชขับรถไปตามท้องถนน หน้าตาฉายแววครุ่นคิดไม่น้อย สักพักเขาตัดสินใจหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดหาคนที่เขาคิดถึง

โทรศัพท์มือถืออมาวสีที่วางอยู่ในห้องนอนดังขึ้น อมาวสีดูหมายเลขแล้วจึงกดรับ เธอถือโทรศัพท์ฟังเงียบๆ

“ถ้าไม่อยากพูดกับผมก็ วางสายไปเลย กดรับแล้วถือไว้เฉยๆ ผมเดาอารมณ์คุณไม่ถูก”
“ฉันไม่มีอารมณ์ และไม่มีอะไรจะพูด คุณอยากพูดอะไรก็พูดเลย”
เสียงราชดังมาว่า “ถ้าคุณพร้อมจะฟัง”
อมาวสี “เชิญค่ะ”
“ผมขอพบคุณเดี๋ยวนี้ ผมมีเรื่องสำคัญต้องพูดกับคุณ”
“เรื่องสำคัญระหว่างเราน่าจะจบไปหมดแล้วนะคะ” เสียงอมาวสีบอก
“ยังครับ เรื่องที่ผมจะพูดกับคุณสำคัญพอๆกับเรื่องที่ผ่านมา หรืออาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ”
“งั้นก็พูดเลยสิคะ”
“ผมต้องการเห็นหน้าคุณด้วย”
“มุกนี้ซ้ำแล้วค่ะ หวังว่าคงไม่ได้ยืนรออยู่หน้ารั้วบ้านนะ”
“ไม่หรอกครับ อาของคุณอยู่ ผมไม่เข้าไปเป็นอันขาด แล้วอย่าปฏิเสธว่าไม่ว่างนะครับ เพราะผมรู้ว่าคุณมีนัดกับนายวารินบ่ายนี้ ขอแค่ไปก่อนเวลาซักครึ่งชั่วโมง ได้มั้ยครับ”
“เดี๋ยวก็รู้เอง”
“ผมจะรอ”

สองคนนัดเจอกันที่ล็อบบี้โรงแรมอันโอ่อ่าโอ่โถง ราชเดินเข้าไปในล็อบบี้โรงแรม จนไปเห็นอมาวสีนั่งรออยู่ก่อนแล้ว ราชยิ้มให้เธอด้วยความพอใจ
“คุณมาถึงก่อนเวลา ก่อนผมซะอีก”
วารินเดินเข้ามาแสดงตัว
“เราเผื่อเวลารถติดเยอะไปหน่อยว่ะ”
ราชเห็นวารินถึงกับอึ้งไปคาดไม่ถึง เขาลอบมองหน้าอมาวสี
“ลืมไปว่ามีนายไปรับไปส่ง...ไปไหนมาไหนต้องเร็วทันใจอยู่แล้ว”
อมาวสีเอ่ยปากกับวาริน
“พี่วารินคะ อ้อขอคุยธุระกับคุณราชหน่อยนะคะ”
“ได้จ้ะ”
วารินกระเถิบเข้าไปกระซิบใส่หูราช
“อ้อเขาอยากจะฝากของไปให้คนงานที่ไร่นาย เขากะจะเซอร์ไพร้ส์ เลยไม่ให้เราบอกนายก่อน”
“นายก็บอกเราอยู่นี่ไง”
“เออว่ะ...โทษที”
วารินเดินเลี่ยงออกไป
อมาวสีหยิบของฝากออกมาจากถุงในมือ
“ฝากให้ป้าเอิบ กับแอ้ม...ถุงนี้ของน้าป่วน กับนายป๊อด อันนี้ของนายแปลก”
“ขอบใจแทนพวกเขาทุกคนด้วยครับ”
ราชขยับตัวลงนั่งข้างอมาวสี พยายามวางท่าทางให้ดูสบายๆ
“ดูคุณจะเข้ากับนายวารินได้ดีแล้วนะครับ”
“ค่ะ ดีมาก” อมาวสีวางหน้านิ่ง
“ดีใจด้วยครับ...หวังว่าจะไม่มีเรื่องหักมุมอะไรที่ทำให้เพื่อนผมต้องช้ำใจนะครับ”
“จะมีได้ยังไงคะ”
“ใครจะรู้ สุดท้ายคุณอาจจะบอกว่า พี่วารินขา อ้อจำเป็นต้องแต่งงานกับคุณภากรค่ะ อ้อปฏิเสธคุณอาไม่ได้” สำเสียงของราชประชดชัดแจ้ง
“ถึงวันนั้น ฉันก็จะขอให้พี่วารินฉุดหนีเข้าป่า ป่าจริงๆ ที่ไม่ใช่ไร่ข้าวโพดไร่มัน” น้ำเสียงอมาวสีมีความหมั่นไส้เจือในนั้น
“อมาวสีครับ” ราชทอดเสียงนุ่ม
อมาวสีมองหน้าราช ไม่เข้าใจ
“ไม่ใช่ไร่ข้าวโพดไร่มัน ไร่อมาวสีครับ ชื่อไร่อมาวสี...หรือว่าคุณลืมไปแล้ว”
“ฉันความจำดี...ฉันจำได้แม่นทุกเรื่อง...ที่อยากจะจำ”
ราชและอมาวสีมองหน้า จ้องตากันนิดหนึ่ง
“บอกเรื่องสำคัญของคุณเลยดีกว่าค่ะ”
ราชขยับตัวให้มั่นคงก่อนเอ่ยปาก
“คนที่บ้านพิชิตพงษ์อยู่สุขสบายกันดีทุกคนมั้ยครับ”
“คุณหาคำตอบนี้ได้ง่ายๆ ด้วยการเดินเข้าไปในบ้าน ไม่เห็นต้องนัดฉันมาเลย”
“ตอบผมเถอะครับ”
“ป้าพริ้งปกติดี อากวีดูเครียดๆ คุณหญิงอำภาออกจะนิ่งเฉย ส่วนคุณภากรไม่กลับบ้านสี่วันแล้ว...อยากรู้อะไรอีกมั้ย”
“พวกเขามีปัญหาเรื่องเงินมั้ย”
“แค่ไหนถึงจะเรียกว่าปัญหา”
“ก็...เป็นหนี้เป็นสิน ล้มละลาย ถึงขนาดเอาบ้านไปจำนอง”
“ไม่ทราบค่ะ คุณต้องถามคุณอาเอง”
“งั้นมีอะไรที่คุณรู้มากกว่านี้อีกมั้ย”
“บอกอีกนิดก็ได้ คุณภากรเพิ่งนัดพบฉัน เขาดูดีขึ้นกว่าเดิม เขาอยากขอโทษทุกคนที่เขาเคยทำไม่ดีด้วย ซึ่งรวมถึงพี่ภาคย์”
ราชแปลกใจ “แน่ใจเหรอ”
“คงเป็นเพราะเขากำลังจะเป็นพ่อคน”
ราชร้อง “ห๊ะ”
“เพราะฉะนั้น คุณไม่ต้องกลัวว่า ฉันจะทำให้พี่วารินต้องอกหัก”
จังหวะนี้สามสาวและวารินเดินเข้ามาหาสองคน พวกเธอส่งเสียงทักทายกันดังลั่น
“ยายอมา”
นิลรัตน์แปลกใจ “ทำไมมาเร็วจัง”
พึงใจเพิ่งเห็นราช “อุ๊ยตายักษ์มาด้วย”
“ฉันขอนัดพบเขาเองแหละ” อมาวสีบอก
“แน่ะ มีเรื่องลึกลับอะไร ไม่บอกพี่วาริน” วัชรีเย้า
“พี่เป็นคนบอกให้น้องอ้อนัดเอง....เขาจะฝากของไปที่ไร่” วารินออกตัวให้
“แล้วไป นึกว่าแอบไปจิ้นกันตั้งแต่บ้านกลางไร่ซะแล้ว” วัชรีพูดหยอก
“ไป ทุกคน ได้เวลาที่นัดหมอดูไว้แล้ว” วารินหันมาพูดกับราช “ไปดูหมอกันมั้ยเพื่อน หนุกๆ...เขาว่าหมอคนนี้ดูแม่น”
“ไม่ละ...เราไม่อยากรู้อนาคต”
อมาวสีกระเถิบเข้าใกล้ราช
“ถ้างั้นคุณก็ควรจะพูดเรื่องปัจจุบันให้หมด อย่างน้อยก็ให้วัชรีได้รับรู้บ้าง”
ราชงง “เรื่องอะไร”
“เรื่อง น้องอรัญญา”
วัชรีสะดุดหูทวนชื่อนั้น “อรัญญา”
“อ๋อ ไม่มีอะไรครับ อรัญญาคือว่าที่เจ้าสาวของผม เรากำลังหาฤกษ์แต่งงานกันอยู่...ถ้าโชคดีอาจได้ฤกษ์เดียวกัน ขอโทษด้วยนะครับที่เพิ่งบอก”

ราชเดินออกไปเลย ทิ้งให้ทุกคนยืนอึ้ง นิ่งงันกันไป โดยเฉพาะวัชรีอึ้งหนักกว่าใคร และอกหักยับเยิน

ราชขับรถไปบนท้องถนน หน้าตาเขานิ่ง เหม่อมองออกไปไกล คิดถึงเรื่องที่คุยกับ น้องแก้ว อรัญญา วันก่อน

โดยตอนนั้นราชเดินคุยกับอรัญญาอยู่ริมทะเล ท่ามกลางแสงสวยของแดดงามยามเย็น
“ลุงรักษ์พูดถึงน้องแก้วให้ผมฟังตลอด”
“พูดว่าไงคะ”
“พูดว่า น้องแก้วเป็นผู้หญิงเก่ง ลุงรักษ์ชอบ และลุงเชื่อว่า น้องแก้วจะเป็นภรรยาที่ดีสำหรับผม และเราจะช่วยกันดูแลรักษ์เล ให้เติบโตก้าวหน้าได้ดี”
น้องแก้วยิ้มอาย แก้มแดง
“แล้วพี่ราชว่าไงคะ”
ราชพยายามเรียบเรียงคำพูดที่ดีที่สุด
“คุณลุงมีบุญคุณกับพี่มาก อะไรที่เป็นความต้องการของลุง พี่ไม่เคยปฏิเสธ”
อรัญญาถาม “แล้วเรื่องน้องแก้วล่ะ”
“พี่ตั้งใจว่าจะชวนน้องแก้ว ไปหาฤกษ์ที่เหมาะสมสำหรับเรา”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ...น้องแก้วไปดูมาเรียบร้อยแล้ว”
“เหรอครับ”
“ได้ฤกษ์ที่เหมาะสมมาแล้วด้วย”
ราชถึงกับอึ้งไปชั่วขณะหนึ่ง
“เมื่อไหร่ครับ”
“เดือนหน้า”
“อ๋อ เหรอ”
“เป็นฤกษ์ดี มหัทธโนฤกษ์ ฤกษ์แห่งความมั่งคั่ง รุ่งเรือง”
“ครับ”
อรัญญาบอกต่อ “เหมาะสม ลงตัวที่สุดกับงานแต่งงานของแก้ว...แต่ไม่ใช่กับพี่ราชนะคะ”
ราชประหลาดใจ “ห๊ะ”
อรัญญายิ้ม “กับแฟนแก้วค่ะ...แฟนแก้วเป็นคนญี่ปุ่น เรารักกันมาตั้งสี่ปีแล้ว”
ราชร้อง “อ้าว”
“แก้วตั้งใจจะบอกคุณลุงอยู่แล้ว แต่ไม่ทัน”
ราชเอ๋อ บอก “เอ้อ...” ออกมา
“พี่ราชไม่เสียใจนะคะ”
ราชยิ้มบางๆ “ครับ”
“แก้วสัญญาว่า จะยังช่วยงานพี่ราชเหมือนตอนที่ลุงรักษ์ยังอยู่...แล้วแก้วจะจุดธูปบอกลุงรักษ์เอง”
“ผมก็จะช่วยจุดด้วยอีกแรงครับ”

ภากรเดินเข้ามาหยุดกลางโถงบ้านพิชิตพงษ์ยามค่ำ เขาเดินเข้ามาจนเห็น ท่านกวี และ คุณหญิงอำภา นั่งรออยู่
“ในที่สุดฉันก็ได้เห็นหน้าลูกชายฉันซะที”
ภากรขยับตัวนั่งให้เรียบร้อยเจ้าที่เข้าทาง
“ว่าไง...จะแต่งงานเมื่อไหร่” ท่านกวีถามทันที
ภากรยังคงนิ่งเงียบ
“เจอหน้ายายอ้อรึยัง”
ภากรยังไม่เอ่ยปากตอบ ดูเหมือนว่าเขากำลังหาจังหวะที่จะพูด ถ้อยคำที่เตรียมตัวมา
“อะไรวะ ตอนยายอ้อหนีไปแกก็จะเป็นจะตายให้ได้ พอตอนนี้ยายอ้อกลับมาแล้ว แกกลับมานั่งเซื่องซึม เหมือนคนไม่มีชีวิต ไร้อารมณ์ แกเป็นอะไรของแกวะ”
“ผมตั้งใจจะบอกพ่อว่า ผมขอไม่แต่งงานกับอ้อครับ”
ท่านกวีแปลกใจ “อะไรนะ”
“ผมแต่งงานกับอ้อไม่ได้ครับ”
ท่านกวีหันไปถามคุณหญิงอำภา
“คุณได้ยินที่มันพูดมั้ย”
“ค่ะ”
“มันบ้าไปแล้วรึไง”
“ฟังลูกพูดต่อไปก่อนดีมั้ยคะ”
“มันมีอะไรจะพูดอีกมั้ยล่ะ”
“ว่าไงล่ะลูก” คุณหญิงถาม
“ผมขอยืนยันว่า ผมจะไม่แต่งงานกับอ้อครับ”
ท่านกวีโมโห “เกิดอะไรขึ้นกับแกเนี่ย ไอ้ลูกเวร หรือว่ามีผู้หญิงใหม่ ใช่มั้ย มีผู้หญิงคนใหม่ใช่มั้ย คราวนี้ใครล่ะ”
ภากรนิ่ง
“ลูกนักการเมืองรึเปล่า”
ภากรส่ายหน้า
“ลูกนายทหาร นายพัน นายพล...”
ภากรส่ายหน้า
ท่านกวีถามอีก “ลูกพ่อค้า นักธุรกิจ”
ภากรก็ส่ายหน้าอีก
“ลูกข้าราชการ...”
ภากรส่ายหน้า
“แกไปคว้าเอาลูกตาสีตาสาที่ไหนมาวะเนี่ย”
ภากรบอกแน่วนิ่ง “ลูกภารโรงครับ”
กวีถึงกับอึ้ง
“ไอ้...อย่าบอกนะว่าพ่อมันชื่อ นาย...”
ภากรต่อให้ว่า

“นายสุดครับ ลูกสาวชื่อสีไพร...ผมจะแต่งงานกับสีไพรครับ”

อ่านต่อหน้า 4

หัวใจเถื่อน ตอนที่ 14 (ต่อ)

ท่านกวีรวบรวมความโกรธ โมโห ทั้งหมด แล้วระเบิดออกมาดังลั่นบ้าน

“แกเอาสมองส่วนไหนคิดวะ...หรือว่าในหัวแกมันไม่มีสมองอะไรเลย ถึงได้สิ้นคิดขนาดนี้”
“ผมคิดดีแล้วครับ”
“ใครบอกแกว่าดี...ฉันไม่อนุญาตให้แกแต่งงานกับนังเด็กคนนี้เป็นอันขาด”
“ผมโตแล้วครับ ผมไม่ต้องให้พ่ออนุญาตก็ได้” ภากรบอกเสียงเรียบ
“ไม่ได้ ฉันไม่ยอมให้แกแต่งงานกับลูกภารโรงเป็นอันขาด ไม่งั้นเราก็ตัดพ่อตัดลูกกัน”
คุณหญิงตกใจมาก “คุณคะ”
ท่านกวีพยายามควบคุมอารมณ์ตัวเองให้เย็นลง
“ไหนบอกมาซิว่านังนั่นมันมีอะไรดีกว่ายายอ้อ ถ้าแกตอบฉันได้ ฉันจะยอมให้แกแต่งงานกับมัน”
“สีไพรเป็นแม่ที่ดีของลูกผมครับ”
ท่านกวีตกใจกว่าเก่า “ห๊ะ”
“ตอนนี้ลูกผมอยู่ในท้องสีไพรได้ห้าเดือนแล้วครับ”
อารมณ์โกรธของท่านกวีพลุ่งพล่านขึ้นมาอีกครั้ง เขาตะโกนตะเพิดลูกชายดังลั่นบ้าน
“ออกไป ออกไปจากบ้านฉัน ไม่ต้องกลับมาให้ฉันเห็นหน้าอีก แกจะไปมีเมียมีลูกกับใคร จะใช้ชีวิตอะไรยังไงฉันไม่สน แต่ไม่ต้องโผล่หน้ามาให้ฉันเห็นได้ยินมั้ย ออกไป...ออกไปให้พ้น”
ภากรค่อยๆ เดินออกจากบ้านไปอย่างเซื่องซึม

รถภากรจอดอยู่บริเวณหน้าประตูบ้านพิชิตพงษ์นั่นเอง พอภากรเปิดประตูรถเข้าไปนั่งในรถ
จึงเห็นว่าสีไพรนั่งรออยู่ในรถคันนี้
“ท่านกวีว่ายังไงบ้างคะ”
“พ่อไม่อยู่ งานยุ่ง ยังไม่กลับ...วันหลังค่อยแวะมาใหม่ดีกว่านะ”
ภากรไม่อยากเล่าความจริงให้สีไพรช้ำใจ เขาเลือกที่จะขับรถคันนี้ออกไปจากบ้าน

เช้าตรู่วันถัดมา บริเวณห้องอาหาร มันดูเงียบเชียบกว่าทุกวันที่ผ่านมา อมาวสีค่อยๆ เดินเข้ามาในนี้ นมพริ้งเดินถืออาหารเช้าเข้ามาให้ นมพริ้งอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน
“หนูอ้อยังไม่รู้ใช่มั้ยคะ เมื่อคืนนี้คุณภากรกลับมาบ้านค่ะ”
“งั้นก็ดีสิคะ คุณอาจะได้สบายใจขึ้น”
“เธอพูดเรื่องงานแต่งงานกับหนูอ้อด้วยนะคะ”
“พูดว่าไงคะ”
“พูดว่าไม่แต่งเด็ดขาด เพราะมีคนรักอยู่แล้ว”
อมาวสีบอก “ชื่อสีไพร กำลังท้องได้ห้าเดือน”
นมพริ้งแปลกใจขึ้นมาทันที “คุณอ้อรู้แล้ว”
“จ้ะ คุณภากรบอกอ้อ”
“มิน่าล่ะ พักนี้คุณอ้อถึงไม่กังวลเรื่องงานแต่งงานอีกแล้ว”
“จ้ะ”
“งั้นป้าขอถามอีกนิดเถอะนะคะ คุณวาริน คนนั้นน่ะ คุณอ้อไปสนิทตั้งแต่เมื่อไหร่....ถึงยอมไปชุมพรกับเขา”
“ก็...เขาเป็นพี่ของวัชรี เพื่อนอ้อนี่คะ”
“ไว้ใจได้แน่นะ”
จันเดินเข้ามายังอมาวสี
“คุณอ้อคะ คุณวารินมารออยู่หน้าบ้านแล้วค่ะ”
“คุณอ้อจะออกไปกับคุณวารินเหรอคะ” ป้าพริ้งถาม
“จ้ะ”
“งั้นก็คงไว้ใจได้จริงๆ สินะคะ”
“มียายวัชรีด้วยจ้ะป้า อย่ากังวล อย่าคิดมาก เดี๋ยวเครียดลงกระเพาะนะป้า”

อมาวสีเดินออกไป โดยไม่ทันกินอะไร

ตอนสาย กลางห้องประชุมในอาคารกวี พิชิตพงษ์ ทนายชอบยืนอยู่หน้าห้อง รายงานเรื่องสำคัญให้ท่านกวีและคุณหญิงรับทราบ

“จากที่ท่านกวีได้สั่งให้ผมไปทำแผนการขอประนอมหนี้ ผมพอจะทำสรุปมาให้ได้ดังนี้ครับ เจ้าหนี้ทุกรายยินดีลดจำนวนหนี้ลง 5 เปอร์เซ็นต์ หากเราสามารถชำระหนี้ได้ภายในระยะเวลาไม่เกินสองปี เมื่อผมเอารายจ่ายต่อเดือนที่ท่านตัดทอนลงมา รวมกับการขายสินทรัพย์ทั้งหมดที่เป็นชื่อคุณหญิงอำภา อาทิ คอนโด รีสอร์ท และอื่นๆ เราก็สามารถชำระหนี้ได้ 35 เปอร์เซ็นต์ ยังคงขาดอีก 65 เปอร์เซ็นต์ เป็นเงินประมาณสองร้อยสิบห้าล้านบาท ถ้าท่านสามารถกู้เงินจำนวนนี้จากแบงค์หรือแหล่งเงินกู้อื่นๆ ได้ เราก็สามารถชำระหนี้ได้ครบครับ”
“ฉันไม่เหลืออะไรที่จะจำนองได้อีกแล้วนะ คุณชอบ” คุณหญิงบอก
“ครับ ผมทราบครับ”
“เรายังมีบ้านอยู่ไง...บ้านพิชิตพงษ์หลังนี้” ท่านกวีว่า
ทนายชอบสะดุ้งเล็กน้อย
“แต่มันเป็นของภากรนะคะ คุณเพิ่งโอนให้เป็นของลูกเราไม่นานนี้เอง”
“แล้วไง แล้วคนเป็นลูกจะไม่มีส่วนรับผิดชอบกับหายนะในบ้านบ้างเลยเหรอ โดยเฉพาะหายนะที่มันมีส่วนทำให้เกิดขึ้นครั้งนี้”
คุณหญิงอำภานิ่งอึ้ง ไม่อาจโต้เถียงได้ ระหว่างนี้ทนายชอบ มีท่าทีกระอักกระอ่วน ไม่สบายใจยิ่งนัก
“คุณชอบรีบไปดำเนินการเลย จะได้จบๆเรื่องหนี้เรื่องสินซักที บอกเจ้าภากรมันด้วยว่า ถ้าไม่อยากล้มละลายละก็อย่ามีปัญหา”
“ท่านครับ...ผมเกรงว่า ท่านไม่สามารถดำเนินการใดๆที่เกี่ยวกับบ้านพิชิตพงษ์ได้”
“ทำไม ก็มันเป็นบ้านผม ถึงจะเป็นชื่อเจ้าภากร แต่มันก็บ้านผม ใครๆ ก็รู้...ทำไมผมจะเอาไปจำนองไม่ได้”
“เอ้อ..คือ เวลานี้ สิทธิในบ้านหลังนี้ ไม่ได้เป็นของท่านและก็ไม่ได้เป็นของคุณภากรด้วยครับ”
ท่านกวีงงหนัก “อะไร...แล้วมันจะเป็นสิทธิของใคร”
“ของผู้ซื้อครับ”
คุณหญิงอำภาตกใจ “ว่าไงนะ”
“บ้านหลังนี้ได้ถูกขายไปแล้วครับ”
“ใครขาย”
“คุณภากรครับ
ทุกคนนิ่งเงียบ
จู่ๆ ท่านกวีก็ตะโกนออกมาดังลั่น
“มันขายให้ใคร...”

อีกฟากหนึ่ง ม.ร.ว. หญิงทิพย์สุดา ก้าวเข้ามาในออฟฟิศราช ขณะที่ผู้เป็นเจ้าของสถานที่เดินออกมาจากห้องนอน
“ดูเหมือนลูกพี่ลูกน้องของผม ชักจะมีเวลาไปมาหาสู่กันบ่อยขึ้นนะครับ”
“ครอบครัวใหญ่ก็อย่างนี้แหละ เรามักจะห่วงใยคนอยู่ไกลตัว มากกว่าคนใกล้ตัว มีโอกาสก็มักจะไต่ถามสารทุกข์สุขดิบกันเสมอ”
ราชยกแก้วน้ำให้คุณหญิงทิพย์สุดา พลางเชื้อเชิญแขกตามมารยาท
“แต่ผมกับคุณมันไกลกันเกินกว่าจะทำอย่างนั้นนะครับ”
“ถ้าไม่ใช่เพราะท่านชายคฑาเทพ ฉันคงจะไม่เฉียดเข้ามาในแวดวงของคุณเป็นอันขาด”
“อืม”
“อย่าเพิ่งเบื่อฉันซะก่อนล่ะ เรื่องมันใกล้จะจบแล้ว”
ราชสะดุดหู “จบยังไง”
“อยู่ที่คุณ ตอนนี้หมากทุกตัวบนกระดานอยู่ในมือคุณหมดแล้ว อยู่ที่ว่าคุณจะเลือกเดิน ตาสุดท้ายอย่างไร”
ราชนิ่งไปนิดหนึ่ง ก่อนบอกว่า “ผมไม่เลือก”
“ก็แล้วแต่คุณ...วันนี้ฉันแค่แวะมาเช็คดูว่าคุณได้ของในตู้นิรภัยครบหรือไม่”
“มันเกินจำเป็นสำหรับผมครับ”
“ก็อาจจะใช่ ถ้าดูจากลักษณะการใช้ชีวิตของคุณ แต่มันเป็นเจตนาของพ่อของคุณ และมันก็เป็นภาระของคุณที่ต้องดูแลของเหล่านั้น”
“ถ้าผมปฏิเสธล่ะ”
“คุณปฏิเสธสายเลือดของตัวคุณเองได้มั้ยล่ะ” คุณหญิงย้อน
ราชนิ่งไปอีกครู่หนึ่ง
“แล้วทำไมคุณต้องซื้อบ้านพิชิตพงษ์ด้วย”
“คงต้องถามคนบ้านนั้นว่าทำไมถึงยอมขาย ฉันเชื่อว่าท่านอาคฑาเทพคงไม่ได้อาฆาตแค้นถึงขนาดกว้านซื้อของทุกอย่าง หรือทำทุกวิถีทางให้ตระกูลพิชิตพงษ์ล้มละลาย เพียงแต่ว่า ถ้าบ้านหลังนี้จะถูกขาย มันก็ควรจะตกเป็นของเธอ ดีกว่าตกเป็นของคนอื่น”

ณ อาคารกวี พิชิตพงษ์ ยามนี้ ท่านกวียืนหน้าแดงหน้าดำโกรธจัด หลังจากรู้ชื่อคนซื้อบ้านจากทนายชอบ
“ทิพย์สุดา...นังทิพย์สุดา...ทำไมนังนี่มันถึงได้เข้ามาวุ่นวายกับชีวิตฉันตลอดเวลา มันจะตามจองเวรจองกรรม กันไปถึงไหน”
คุณหญิงอำภานั่งนิ่งอยู่ด้านหลัง งงอยู่
“คุณไม่คิดจะทำอะไรซักอย่างเลยเหรอ”
“ฉันจะทำอะไรได้ล่ะคะ”
“คิดซี่...อย่างน้อยก็คิดซิว่า อีบ้านั่นมันทำอย่างนี้เพื่ออะไร...มันคิดจะทำอะไรกับครอบครัวเรา”
“ฉันไม่รู้ค่ะ”
ท่านกวีโมโห “ไม่รู้ก็ถามมันเลย โทร.ไปถามมันเลยว่ามันต้องการอะไรกันแน่”
“คุณจะให้ฉันคุยกับเขาเหรอคะ”
“ก็เฉพาะเรื่องนี้เท่านั้น หวังว่ามันจะไม่ลามเลยไปถึงคนรักเก่าของคุณนะ หรือว่าเป็นเพราะมันจงเกลียดจงชัง ตั้งแต่ที่ผมแย่งคุณมาจากอามัน จนมันคิดจะทำลายผม หรือทำอะไรก็ได้ที่ให้เกิดความเสื่อมเสียมาถึงผม...บ้า...บ้าที่สุด ถ้ามันคิดได้ถึงขนาดนี้ มันต้องบ้าแน่ๆ...อีบ้าเอ๊ย”
“ฉันจะโทร.นะคะ”
“โทร.เลย ถามมันด้วยว่าถ้าจะซื้อคืนต้องทำยังไง...ผมต้องหาเงินมาเท่าไหร่ ถึงจะไถ่เอาบ้านของเรากลับคืนมาได้...ถามมาให้ละเอียด”

ท่านกวีเดินปึงปังออกไป

ราชนั่งประจันหน้ากับ ม.ร.ว.หญิงทิพย์สุดาอยู่ในออฟฟิศของเขา

“ถ้าทรัพย์สินทั้งหมดของท่านชายคฑาเทพ เป็นของผมจริงก็หมายความว่า ผมจะทำอะไรกับมันก็ได้ใช่มั้ยครับ”
“ทำอะไรล่ะ”
“บริจาค”
“ท่านอาคงพอใจ...ยกเว้นเพียงของชิ้นเดียว ฉันขอให้คุณเก็บรักษามันไว้ได้มั้ย”
“ของชิ้นไหน”
“แหวนเพชรวงนั้น ท่านอาคงจะดีใจมาก ถ้าคุณเก็บมันไว้ เพื่อสวมให้เจ้าสาวของคุณ”
“งั้นคงต้องรอนานหน่อยนะครับ”
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นในจังหวะนี้ คุณหญิงทิพย์สุดากดปุ่มรับสายทันที ราชเดินเลี่ยงห่างออกมาตามมารยาท
“สวัสดีค่ะ”
เสียงคุณหญิงอำภาลอดออกมาว่า “ม.ร.ว.หญิงทิพย์สุดา”
“คุณหญิงอำภา ฉันรอโทรศัพท์คุณหญิงอยู่ แต่ไม่นึกว่าจะโทร.มาเร็วขนาดนี้ มีธุระอะไรกับดิฉันไม่ทราบ”
ราชชะงักนิดนึงเมื่อได้ยินคำว่า คุณหญิงอำภา

คุณหญิงอำภายืนพูดโทรศัพท์ในมุมสงบมุมหนึ่งในออฟฟิศ มีท่านกวีอยู่ในสำนักงาน ด้านหลัง ไกลออกไป
“ถ้าคุณรอโทรศัพท์ดิฉันจริง คุณก็น่าจะเดาได้สิคะว่าดิฉันโทร.มาด้วยเรื่องอะไร”
“มีความเป็นไปได้หลายเรื่อง แต่คุณเป็นฝ่ายร้อนรนใจ ฉะนั้นคุณควรจะพูดมาเลยว่าธุระของคุณคืออะไร อย่าปล่อยให้ดิฉันเดา จะเสียเวลาเปล่าๆ”
“เรื่องบ้านพิชิตพงษ์”
คุณหญิงลากเสียงยาว “อ๋อ...”
“ฉันอยากรู้ว่าคุณทำอย่างนี้ทำไม คุณต้องการอะไร”
“ฉันเป็นแค่นายหน้า จับคนอยากขายกับคนอยากซื้อมาเจอกัน ไม่ได้มีความต้องการอะไรเป็นพิเศษ”
“แต่มันไม่ควรเป็นบ้านพิชิตพงษ์”
“มีกฎข้อไหนห้ามไม่ทราบ”
“สามีดิฉันต้องการรู้ว่า มีวิธีไหนที่เราจะขอซื้อบ้านพิชิตพงษ์คืนได้บ้าง”
“ฉันชอบฟังเวลาคุณพูดคำว่า ‘สามีดิฉัน’ มันทำให้ฉันจินตนาการถึงผู้ชายอีกคนนึงที่เขาเป็นเจ้าของสรรพนามคำนี้ของคุณ เป็นคนแรก” คุณหญิงเหน็บแนมเสียดสี
“กรุณาพูดเรื่องบ้านพิชิตพงษ์จะดีกว่า”
“ทำไมคะ สามีคุณห้ามพูดถึงท่านชายคฑาเทพรึไง”
“มีเหตุผลนี้เกี่ยวข้องกับการซื้อบ้านพิชิตพงษ์รึเปล่า ฉันอยากรู้ว่าคุณตั้งใจจะทำลายพวกเราเพื่อเป็นการแก้แค้น ใช่รึเปล่า”
น้ำเสียงคุณหญิงทิพย์สุดาเยาะหยัน “จินตนาการเลิศจริงๆ ค่ะคุณหญิง”
“กรุณาตอบคำถามฉันด้วยค่ะ”
“แล้วแต่คุณจะคิด เพราะฉันไม่ได้คิดถึงขนาดนั้น”
เสียงคุณหญิงอำภาดังออกมาว่า “ถ้างั้นก็บอกวิธีซื้อคืนมา”
“ยาก...เพราะเจ้าของไม่ใช่ฉัน ฉันบอกแล้วว่าฉันเป็นแค่นายหน้าเท่านั้น”
“แล้วเจ้าของที่แท้จริงตอนนี้คือใคร”
“อยากคุยกับเขาไหมล่ะ เขาอยู่ตรงนี้พอดี แต่บอกไว้ก่อนนะว่า บังเอิญเหลือเกินที่เขาเป็นเชื้อสายทวยไท”
คุณหญิงทิพย์สุดาส่งโทรศัพท์ให้ราช เขารับมานิ่งๆ แล้วจึงค่อยๆ ยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหู

ที่สำนักงานท่านกวี คุณหญิงอำภานิ่งอึ้งไป รอฟังเสียงจากปลายสาย
เสียงราชดังออกมาว่า “คุณต้องการซื้อบ้านหลังนี้คืนเหรอครับ”
คุณหญิงอำภาอึ้ง ใจสะท้าน เธอจำเสียงภาคย์ได้
“ภาคย์”
เสียงราชถามต่อว่า “ว่าไงนะครับ”
คุณหญิงย้ำคำเดิม “ภาคย์ใช่มั้ย”
“ผมคิดว่าคุณยังไม่พร้อมที่จะคุยเรื่องนี้กับผมนะครับ”
ราชส่งโทรศัพท์คืนให้คุณหญิงทิพย์สุดา
เสียงอำภาครางออกมาว่า “ภาคย์”
ม.ร.ว.หญิงทิพย์สุดาพูดโทรศัพท์ “ค่ะ เขาคือ ภาคย์...ภาคย์ ทวยไท ค่ะ ไม่ใช่พิชิตพงษ์ วันหลังคุณพูดกับเขาเองเลยก็แล้วกันนะคะ”
คุณหญิงทิพย์สุดากดปุ่มเลิกการสนทนา ราชยืนนิ่งอึ้งอยู่ข้างๆ คุณหญิงพูดต่อว่า
“คุณจะดำเนินการยังไงกับสมบัติของท่านอาก็ได้ ตามใจคุณ...แต่ขอแค่แหวนเพชรวงนั้น...กรุณาเก็บไว้ ใช้สวมให้คนที่คุณรักที่สุดเถอะค่ะ เพื่อให้ดวงวิญญาณของคุณพ่อคุณมีความสุข”

ส่วนที่สำนักงานบริษัทกลอนกวี คุณหญิงอำภานั่งนิ่ง น้ำตาไหล มือยังถือโทรศัพท์ค้างอยู่อย่างนั้น ท่านกวีเดินเข้ามาใกล้ๆ
“คุณร้องไห้ทำไม ตกลงมันยอมขายบ้านคืนให้เรามั้ย”
คุณหญิงอำภายังเอาแต่ร้องไห้ ไม่ตอบคำถามสามี
“คุณได้ยินผมมั้ยเนี่ย ตกลงว่าคนที่ซื้อบ้านเราไปคือใคร”
“ภาคย์...ราช” คุณหญิงเอ่ยออกมา
“ว่าไงนะ...ใครนะ...ไอ้ภาคย์เหรอ หรือไอ้ราช...” ท่านกวีงงหนัก
“เขาคือคนคนเดียวกันค่ะ ภาคย์ พิชิตพงษ์...ราช รัชภูมิ...ภาคย์ ทวยไท”
ท่านกวีโกรธ แทบคลั่ง เขาตะโกนลั่น
“โธ่ เว้ย”

บ่ายวันเดียวกัน วารินขับรถมาตามทางอย่างมีความสุข โดยมีอมาวสีนั่งอยู่ข้างๆ เสียงโทรศัพท์อมาวสีดังขึ้น เธอกดปุ่มรับสาย
“ฮัลโหล...มีอะไรเหรอคะป้าพริ้ง”
นมพริ้งพูดโทรศัพท์อยู่บนเรือนที่พักของนาง ปากสั่น มือสั่น
“เกิดเรื่องใหญ่แล้วค่ะหนูอ้อ ใหญ่กว่าทุกครั้งเลยค่ะ...คุณหนูกลับมาดูคุณอาหน่อยเถอะค่ะ”
“คุณอาเป็นอะไร...มีเรื่องอะไรกันเหรอ”

“เรื่องบ้านพิชิตพงษ์ค่ะ...เราอาจจะไม่มีบ้านอยู่กันแล้วนะคะคุณหนู”

คุณหญิงอำภานั่งร้องไห้ เศร้าซึม อยู่เพียงลำพังกลางระเบียงริมน้ำ อมาวสีก้าวยาวๆ มาพร้อมกับวาริน

วารินเลือกที่จะถอยตัวออกไปรอด้านนอก จึงเหลือเพียงอมาวสีที่เดินตรงมาหาคุณหญิงอำภา
อมาวสีขยับตัวลงนั่งข้างๆ คุณหญิง “คุณอาคะ...”
“อ้อ...อาไม่เหลืออะไรแล้วอ้อ...อาไม่เหลือใครอีกแล้ว”
คุณหญิงอำภาทรุดตัวลงอย่างไร้เรี่ยวแรง
อมาวสีรีบประคองอำภาไว้
“คุณอายังมีอ้ออยู่ค่ะ...ยังมีนมพริ้ง...ยังมีคุณอากวี”
“เขาไปแล้วอ้อ...คุณกวีเขาจะไม่อยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว”

คุณหญิงอำภาเล่าเรื่องให้อมาวสีฟังว่า สามชั่วโมงก่อนหน้านี้ ท่านกวีตวาดเสียงดังลั่นบ้าน
“ผมจะไม่อยู่ที่นี่อีกต่อไป...ผมทนให้มันมาหยามกันอย่างนี้ไม่ได้”
“ลูกคงไม่ได้มีเจตนาจะหยามคุณนะคะ”
“ลูกใคร...มันเป็นลูกใคร พูดให้ดี พูดให้ถูก...มันไม่ใช่ลูกผม...หน็อย ปลอมตัวเปลี่ยนชื่อเป็นราช รัชภูมิ ลงทุนซื้อบ้านแก้ว...จ้องจะเอายายอ้อ แล้วสุดท้ายมันก็ซื้อบ้านหลังนี้ไปเป็นของมัน...โดยความช่วยเหลือของอีทิพย์สุดาคนนั้น...อย่างนี้ไม่เรียกว่าหยามกันแล้วจะเรียกว่าอะไร”
“เราเองเป็นฝ่ายเดือดร้อนนะคะ...ภากรเป็นคนเอาไปเสนอขายเองนะคะ”
ท่านกวีโกรธจัด “คุณว่าลูกผมเหรอ...คุณโทษลูกชายผมเหรอ”
“ภากรก็เป็นลูกฉันเหมือนกันนะคะ”
“แล้วคุณไปโทษมันทำไม”
“ฉันไม่ได้โทษใครนะคะ”
“มันต้องโทษตัวคุณนั่นแหละ ที่เป็นต้นเหตุของความอาฆาตแค้นครั้งนี้ ไอ้ภากรมันก็แค่ไอ้เด็กโง่คนนึง แต่ถึงมันจะโง่ ไม่เอาไหน ทำอะไรเละเทะ มันก็เป็นลูกผม ไม่ใช่ลูกไอ้ท่านชายทวยไทบ้าบออะไรนั่น”
ท่านกวีขยับตัวจะออกไป คุณหญิงร้องถาม
“คุณจะไปไหน”
“ผมจะไปจากบ้านหลังนี้...ผมจะไม่กลับมาเหยียบบ้านหลังนี้อีกเลย ตราบใดที่ไอ้ภาคย์ยังเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้อยู่”
“เขาให้เราอยู่ไปอีกตั้งห้าปีนะคะ”
“มันคิดจะดูถูกเหยียดหยามเราไปอีกห้าปีน่ะสิ...เชิญคุณอยู่ไปเลย นอนระลึกถึงวิญญาณชู้รักของคุณให้สมใจเถอะ...ผมขอไปเป็นคนล้มละลาย ที่ไม่มีใครรู้จัก ดีกว่าเป็นท่านกวีที่พ่ายแพ้รัก ให้กับคนในตระกูลทวยไท”

ที่บริเวณระเบียงริมน้ำบ้านพิชิตพงษ์บ่ายวันนี้ คุณหญิงอำภายังคงร้องไห้โศกศัลย์อยู่ในอ้อมกอดของอมาวสี ที่คอยพูดจาปลอบโยนเธอ
“อาเสียเขาไปอีกคนแล้วอ้อ อากวีทิ้งอาไปอีกคนแล้ว”
“คุณอากวีคงไปไม่นานหรอกค่ะ อารมณ์เย็นลงเมื่อไหร่ คุณอาก็คงกลับมาเอง”
“ไม่หรอก อารู้จักสามีอาดี ครั้งนี้ เขาไม่กลับมาแน่ๆ เขาจะไม่กลับมาที่นี่อีกแล้วอ้อ เขาทิ้งอา เหมือนที่ภาคย์เคยทิ้งอาไป”
คุณหญิงอำภาร้องไห้ฟูมฟายมากขึ้นอีก
“อาไม่เหลือใครแล้วจริงๆ ทั้งลูกชาย ทั้งสามี...มันเป็นบาปกรรมของอาเอง อาสร้างกรรมให้กับตัวเองแท้ๆ มันเป็นกรรมที่อาไม่มีทางแก้ไขได้”
“ได้ค่ะ ต้องมีคนแก้ไขเรื่องนี้ได้ คนต้นตอ ตัวการของเรื่องนี้นั่นแหละค่ะ ที่จะต้องรับผิดชอบเรื่องนี้ทั้งหมด”

ดวงตากลมโตของอมาวสีวาววับ เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นมาดหมาย

อ่านต่อตอนที่ 15
กำลังโหลดความคิดเห็น