หัวใจเถื่อน ตอนที่ 13
บนถนนมิตรภาพเช้าวันนี้ ราชขับรถมาเรื่อยๆ บนทางสายนี้ สายตาของเขาเหม่อมองออกไปไกลลิบตา สมุดบันทึกของอมาวสีวางอยู่บนเบาะข้างๆ นั่นเอง ราชหวนนึกถึงอีกเหตุการณ์ในอดีตอีกครั้ง
ที่บ้านพิชิตพงษ์เมื่อ 15 ปี ก่อน ตอนนั้นเด็กชายภาคย์นั่งเขียนอะไรบางอย่างลงในสมุด เราจะเห็นเด็กหญิงอมาวสีนั่งมองอยู่ใกล้ๆ
“พี่ภาคย์วาดรูปอีกแล้วเหรอ”
“พี่เขียนหนังสือ”
“อยากเป็นนักเขียนเหรอ”
“เปล่า”
“แล้วทำไมนั่งเขียนอยู่ได้ทั้งวัน”
“พี่อยากจดเรื่องสำคัญๆเอาไว้...พี่กลัวลืม”
“ไม่เห็นต้องกลัวเลย...พี่ภาคย์บอกอ้อก็ได้...อ้อจะไปบอกให้ทุกคนช่วยกันจำ”
“ไม่มีใครอยากจดจำเรื่องของพี่หรอกอ้อ...ไม่มีซักคน”
“งั้นให้อ้อช่วยจดมั้ย อ้อจะได้เก็บเรื่องราวของพี่ภาคย์ไว้อีกคน อ้อจดเก่งกว่าพี่ภาคย์ตั้งเยอะ...จะบอกให้”
เด็กหญิงอ้อก้มหน้าก้มตาเขียนบันทึกลงในสมุดอีกเล่ม ที่วางอยู่ข้างๆ กัน
และสมุดบันทึกเล่มนั้นถูกพลิกเปิดออกดู โดยราชที่จ้องมองสมุดบันทึกนิ่ง
ลุงรักษ์เดินมารับโทรศัพท์กลางออฟฟิศ รักษ์เล ที่ภูเก็ต
“ว่ายังไง หลานรักของลุง จัดการเรื่องยุ่งๆ อีรุงตุงนัง เรียบร้อยรึยัง”
ราช ขับรถไปพร้อมกับพูดโทรศัพท์ผ่านระบบ บลูทูธ หน้าตาของราชดูไม่สบายใจเอาเลย
“เกิดเรื่องยุ่งมากกว่านั้นแล้วครับ”
เสียงลุงรักษ์กังวลไม่น้อย “ยุ่งยังไง”
“ไอ้จอนฉุดอมาวสีไปครับ”
ลุงรักษ์พูดโทรศัพท์ หน้าตามีอาการแปลกใจ
“มันฉุดหนูคนนั้นไปจากเธอเหรอ”
“ครับ ตอนที่ผมลงไปหาลุงที่ภูเก็ต...”
“รู้ได้ยังไงว่าเป็นฝีมือไอ้จอน”
“คนงานที่ไร่ถ่ายรูปพวกมันเอาไว้ได้...ตอนนี้ ผมยังไม่รู้เจตนาของมัน จนกว่าผมจะได้เจอตัวมัน”
“ลุงมีเบอร์โทรศัพท์เก่าของมันอยู่ เดี๋ยวจะส่งไปให้...ลองโทรดูนะ”
“ขอบคุณครับ”
“รีบจัดการให้จบๆซะ ถ้ามีปัญหาอะไรก็บอกลุง”
“ครับ”
“เคลียร์เรื่องนี้เสร็จเมื่อไหร่ รีบลงมาหาลุงเลยนะ ลุงจะพาเธอกับหนูอรัญญาไปหาฤกษ์เหมาะๆพร้อมกันซะที”
ราชนิ่งอึ้งไป โดยไม่เอ่ยปากรับคำ
เช้าวันเดียวกัน ไอ้จอนนอนคุดคู้กลางห้อง ใบหน้ามันมีริ้วรอยบวมช้ำ คราบเลือดจากเหตุการณ์ที่ผ่านมาเมื่อคืนยังอวดความริยำของมันอยู่
เสียงโทรศัพท์มือถือของจอนดังอยู่นาน จอนบิดตัว เดินไปหยิบโทรศัพท์ยกขึ้นมาพูด
“ว่าไง...อยู่ๆก็เกิดคิดถึงหลานชายคนนี้ขึ้นมารึไง คุณลุงรักษ์ รัชภูมิ”
ราชยืนพูดโทรศัพท์กลางออฟฟิศ ในบ้านพัก
“ไม่มีใครคิดถึงแกในทางที่ดีหรอก ไอ้จอน ถ้าแกยังทำระยำอย่างนี้”
“ไอ้ราช” จอนแปลกใจมากกว่าตกใจ
“ฉันรู้นะว่าแกไปที่ไร่ของฉันมา”
จอนพูดแดกดันเสียงดังอย่างมีความสุข
“ไร่อะไร แกมีไร่กะเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ รึว่าหลอกเอาเงินลุงฉันไปซื้อที่ทำไร่งั้นเหรอ”
“แกไปตอนที่ฉันไม่อยู่ และแกได้ขโมยของมีค่าไปจากไร่ของฉัน”
“มันก็เป็นของที่แกขโมยเขามาอีกที...สมบัติผลัดกันชม จะเป็นไรไป”
“แกต้องการอะไร”
“ฉันต้องบอกแกด้วยเหรอ” จอนบอกด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน เป็นต่อ
“เงินใช่มั้ย...แกต้องการเงินเท่าไหร่บอกมา ฉันจะจ่ายให้”
จอนเล่นลิ้น “แหม เงินฉันก็อยากได้อยู่หรอกนะ แต่บังเอิญ ตอนนี้ฉันอยากได้อย่างอื่นก่อนเงินว่ะ”
ราชตะโกนเสียงดังลั่น
“แกอย่าทำอะไรอมาวสีนะ...ห้ามแตะต้องเธอเป็นอันขาด”
“อ๊ะๆ...ของอย่างนี้มันห้ามใจกันไม่ได้หรอก...ทีใครทีมันโว้ย”
จอนสะใจนัก วางโทรศัพท์ลงทันที สายบัวเดินงัวเงียเข้ามาพอดี
“ใครโทรมาน่ะ”
“ไอ้ราช...มันอยากได้ของของมันคืน...ท่าทางจะทุ่มไม่อั้นซะด้วยไอ้นี่”
“แล้วพี่ว่าไง”
“พี่ไม่ให้...เรื่องอะไรจะยอม คนอย่างไอ้ราชมันจะได้อะไรง่ายๆไปกว่าพี่ ไม่ได้”
จอนหัวเราะร่าอย่างมีความสุข
ฟากราช นอนเอนหลังลงอย่างเหนื่อยหน่าย เทินเดินเข้ามาดูแลอยู่ใกล้ๆ
“ผมเคยบอกคุณราชแล้ว ว่าเรื่องมันจะยุ่งยากมากขึ้นเรื่อยๆ”
“อย่าเพิ่งซ้ำเติมผมตอนนี้เลยน้าเทิน”
“ผมไม่ได้ซ้ำเติม แต่มันอดพูดไม่ได้...เผื่อว่าคราวหน้าคราวหลังคุณราชจะตัดสินใจอะไร ช่วยนึกถึงคำเตือนของผมบ้าง”
ราชถอนหายใจแรง
“แต่เรื่องด่วนที่สุดตอนนี้คือ เราต้องหาตัวไอ้จอนให้ได้ก่อน...น้าเทินช่วยหาใครที่ถนัดเรื่องการแกะรอยจากโทรศัพท์ ให้ผมทีสิ”
“ผมไม่ใช่ ซีไอเอนะครับคุณราช”
ราชถอนใจอีกครั้ง
“แจ้งเบาะแสให้ตำรวจเถอะครับ คุณราช”
“แจ้งว่าไงล่ะ”
“ก็ แจ้งว่า ไอ้จอนบุกไปลักพาตัวคุณอมาวสี”
“ลักจากที่ไหน”
“ก็...จากที่บ้านไร่”
“บ้านไร่”
“ครับ ก็บ้านที่คุณราชใช้ให้ผมกับไอ้ทิน ลักพาตัวเธอไปเก็บไว้ไงครับ...เอ้อ...”
เทินค่อยๆ คิดตามสิ่งที่ตัวเองพูด สีหน้ามันเปลี่ยนไป
“เอ้อ...มีหวังพวกเราคงโดนรวบตัวไปพร้อมไอ้จอน...นอกจากคุณอมาวสีจะไม่ซัดทอด...ไม่เอาความ”
ราชครุ่นคิดนิดนึงก่อนตัดสินใจพูด
“แจ้งเบาะแสให้ตำรวจเลยน้าเทิน ทำยังไงก็ได้เพื่อให้อมาวสีปลอดภัย...เป็นไงก็เป็นกัน น้าเทินกับผมอาจจะต้องรับผลกรรมนี้ด้วยกันนะ”
“ครับ”
เทินเดินออกไป ราชขยับตัวลงนั่งนิ่งๆ เขาหยิบกล้องของไอ้ป๊อดขึ้นมาเปิดดูรูป
ในกล้อง มีรูปพิธีแต่งงานบนดาดฟ้าระหว่างราชและอมาวสีอยู่ด้วย ราชมองรูปเหล่านั้น น้ำตาคลอ เพลงรัก หวานปนเศร้า น่าจะกำลังดังก้องสะท้อนสะท้ายในหัวใจเขายามนี้
ฝ่ายภากรนั่งซึม นิ่ง บริเวณคอฟฟี่ช็อป ทนายชอบเดินเข้าเฟรมตรงมาหาภากร
“ตั้งแต่เช้า ยังไม่กลับบ้านเลยเหรอครับ”
“อืม...”
“ทำแบบนี้ มันไม่มีอะไรดีขึ้นนะครับ”
“คุณอามีแบบอื่นแนะนำผมมั้ยล่ะ”
“ยอมรับความจริง เงยหน้าสู้ทุกปัญหา”
“อาหาข่าวดีมาเล่าให้ผมฟังบ้างดีกว่า”
“ผมมีความคืบหน้าครับ...แต่บังเอิญเป็นความคืบหน้าที่ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก”
ภากรเครียด “งั้นผมไม่ฟัง”
“แต่คุณภากรต้องเป็นคนตัดสินใจนะครับ...ไม่งั้นผมก็ช่วยอะไรไม่ได้”
ภากรนิ่งไปพักหนึ่ง แล้วจึงพยักหน้าให้ทนายชอบพูด
“ธนาคารไม่อนุมัติเงินกู้”
“ไหนคุณอาบอกว่าคราวก่อนพ่อกู้ได้ คราวนี้ผมก็ควรจะกู้ได้”
“ดูเหมือนว่าท่านกวีกำลังเจอปัญหาเรื่องการแสดงบัญชีทรัพย์สินครับ”
ภากรอึ้งร้อง “อ้าว”
“นักการเมืองหลายคน มีปัญหาเรื่องนี้”
“แล้วผมต้องทำยังไง มีอะไรที่ผมต้องตัดสินใจ”
“เราต้องหานายทุนปล่อยเงินกู้ เป็นการกู้นอกระบบ...คุณภากรจะยอมเสียหน้ามั้ยล่ะครับ”
“เสียหน้ายังไง”
“ก็อาจมีคนเอาไปนินทาว่า ลูกชายนักการเมืองใหญ่หมดท่า ต้องวิ่งหาแหล่งกู้เงิน”
“เสียหน้าแบบนี้ผมไม่กลัวหรอก ขอแค่ อย่าให้พ่อรู้ก็แล้วกัน”
“ผมจะพยายามอย่างที่สุดครับ”
ทนายชอบเดินออกไป โทรศัพท์มือถือของภากรดังขึ้น เขาหยิบมันขึ้นมาดู และกดปุ่มรับ
“ฮัลโหล”
เป็นจอนนั่นเองที่โทร.เข้าไปหา และนั่งพูดโทรศัพท์กลางบ้านเช่าของมัน
“ผมเดาว่าคุณกำลังรอข่าวจากผมอย่างใจจดใจจ่อ”
เสียงภากรบอกมาว่า “เปล่านี่”
“อ้าว...คุณไม่อยากได้เจ้าสาวของคุณคืนเร็วๆเหรอ”
ภากรเดินพูดโทรศัพท์งุ่นง่านอยู่ในคอฟฟี่ช็อปเดิม
“มันคงนานจนผมหมดกำลังใจแล้ว”
“อย่าเพิ่งสิครับ...รับรองว่า ภายในสองสามวันนี้ผมจะพาตัวเจ้าสาวของคุณมาส่งให้แน่ๆ”
“โอ เค”
“แต่ว่า...เรื่องเงินรางวัลน่ะ คุณตกลงกับพ่อรึยังว่า ผมได้เท่าไหร่แน่ และจะจ่ายกันยังไง”
“พาตัวน้องอ้อกลับมาให้ถึงบ้านก่อนแล้วเราค่อยพูดกัน”
ไอ้จอนได้ฟังก็มีอาการหงุดหงิดไม่พอใจแสดงออกชัดเจน
“แต่ทีมงานของผมต้องการความมั่นใจก่อนน่ะครับ”
“มั่นใจอะไร”
“มั่นใจว่าจะไม่เบี้ยวน่ะสิ...ยิ่งคุณมีประวัติเบี้ยวพ่อเลี้ยงมาแล้วด้วย ทีมงานผมยิ่งไม่ไว้ใจ”
“ถ้ามันไม่ไว้ใจ พี่จอนก็ไปหาทีมงานใหม่สิ”
“แหม...มันไม่ง่ายอย่างนั้นนะคุณภากร...ตอนนี้ไอ้ราชเริ่มจะไหวตัวแล้วด้วยถ้าเราช้า มันอาจจะย้ายที่กักขัง เราก็จะชิงตัวลำบากขึ้นนะครับ”
“ลำบากนักก็ยกให้มันไปเลยก็แล้วกัน ไม่ต้องไปชิงตัวให้ยุ่งยาก วุ่นวายแล้ว”
“อ้าว แล้วจะเอาเงินรางวัลที่ไหนมาจ่าย ใช้หนี้คืนพ่อเลี้ยงล่ะ”
“ไม่มีเว้ย...ก็มันไม่มี จะให้ทำยังไง...อยากจะมาฆ่าแกงกันให้ตายก็เชิญมาเลย จะได้หมดเรื่องหมดราวกันไปซะที”
ภากรวางหูโทรศัพท์ทันที
ไอ้จอนเดินหงุดหงิดเข้ามาในห้องนอน มันเตะข้าวของพังกระจุยกระจายระบายอารมณ์ สายบัวเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ก้าวออกมาจากห้องน้ำ ตัวเปียก
“มีอะไรเหรอพี่”
“ไอ้ภากรทำท่าจะทิ้งอีนี่แล้วว่ะ”
“เหรอ แปลว่า เขาไม่ได้รักมัน”
“รักหรือไม่รักพี่ไม่รู้...รู้แต่ว่า เรากำลังจะอดแดก เราอาจจะไม่ได้ตังจากมันแล้ว”
“งั้นพี่ก็เอาเงินจากไอ้ราชแทนสิ เรียกค่าไถ่ตัวนังนี่จากไอ้ราชเลย ดูท่ามันจะหลงรักนังนี่อยู่”
จอนคล้อยตาม “อืม...ไม่เลว”
“เรียกเงินมันเยอะๆเลยพี่...มันมีไร่ใหญ่โตขนาดนั้น มันต้องรวยเหลือเฟือแน่ๆ”
“ใช่ พี่ต้องขูดเอาเงินจากมันหนักๆ แต่พี่จะไม่ส่งตัวอมาวสีให้มัน”
สายบัวงง “อ้าว”
จอนอ้อน “สายบัวจ๋า...เราลองใช้ชีวิตกันแบบสามคนผัวเมียบ้าง ดีมั้ย”
“พี่ว่าไงนะ”
“ชายหนึ่ง หญิงสอง...แบ่งเวลากันอย่างเท่าเทียมกัน มันดีออก”
สายบัวยกของใกล้มือฟาดลงไปบนหัวจอน
“ถ้าจะเอาอย่างนั้น ก็เลิกกันเลยดีกว่า”
สายบัวเดินหนีออกไปจากห้อง
ทางด้านอมาวสีนั่งเหม่อลอยอยู่ในห้องกักขัง ท่าทางเธอดูทรุดโทรม ต่างไปจากที่อยู่บ้านไร่ลิบลับ
ข้างตัวเธอ มีจานอาหารเก่าวางนิ่งอยู่ที่เดิม สายบัวเดินถืออาหารจานใหม่เข้ามาในห้อง
“ข้าวปลาไม่กิน...คิดจะเรียกร้องความเห็นใจงั้นเหรอ”
“แล้วเธอเห็นใจฉันมั้ยล่ะ”
“ฉันก็อาจจะเห็นใจอยู่บ้าง ...แต่ผัวฉันน่ะ เห็นแก่เงินมากกว่า”
“เขาจะเอาเท่าไหร่ บอกมา...ปล่อยฉันไปแล้วฉันจะโอนเงินมาให้”
“ตอนนี้มันไม่ได้อยากได้เงินอย่างเดียวแล้ว...มันอยากได้ตัวเธอด้วย” สายบัวบอกเซ็งๆ
อมาวสีตกใจ “ไม่ได้นะ...ฉันมีเด็กในท้อง เธอก็รู้”
“ไอ้จอนมันไม่สนหรอก มันเถื่อนจะตาย”
“แล้วเธอยอมเป็นเมียมันได้ยังไง”
“เมื่อก่อนฉันคงชอบอะไรเถื่อนๆ”
“แล้วตอนนี้ล่ะ”
“ฉันอยากเลิกกับมันใจจะขาด...ถ้าไม่กลัวว่ามันจะตามฆ่าฉันนะ ฉันหนีไปนานแล้ว”
“งั้นเราหนีไปด้วยกันมั้ยล่ะ”
สายบัวมองหน้าอมาวสี ครุ่นคิด
อมาวสีถามย้ำ “เอามั้ย...ขาดเหลืออะไร ฉันจะช่วยเธอเอง”
“ถามจริงๆนะ ถ้าเธอกลับไปแล้ว เธอจะเลือกใคร ระหว่างคุณภากร กับนายราช”
อมาวสีครุ่นคิดบ้าง
“ฉัน...ฉันก็ต้องเลือกพ่อของเด็กในท้องสิ”
“แปลว่าคุณภากรยังโสดอยู่ใช่มั้ย”
อมาวสีพยักหน้า “อื่อฮึ”
“ตกลง...ฉันจะหาทางช่วยเธอเอง เพื่อเห็นแก่เด็กในท้อง และฉันจะได้ไปให้พ้นๆจากไอ้จอนซะที”
“เธอจะช่วยยังไง”
“เหอะน่า ถึงเวลาก็รู้เอง ฉันฉุดเธอมาได้ ฉันก็ต้องปล่อยเธอได้สิ”
ส่วนที่บ้านเช่าของสีไพรและนายสุดเวลาเดียวกันนี้ สีไพรยืนพูดโทรศัพท์อยู่กลางบ้าน
“ค่ะ...อยู่ค่ะ ไพไม่ได้ไปไหน...พ่อไม่ว่าหรอกค่ะ...”
สีไพรวางหูโทรศัพท์ หน้าตามีรอยยิ้มปรากฏให้เห็น นายสุดเดินเข้ามายืนมองลูกสาวรู้ทันทีว่าคุยกับใคร
“เขาจะมาเมื่อไหร่”
“ยังไม่ได้บอกค่ะ...บอกแต่ว่า ถ้าว่าง...จะมาหา”
สีไพรมีอาการคลื่นใส้ เธอเอื้อมมือหยิบของเปรี้ยวของดองใส่ปาก
“ไพเอ๊ย...แกคิดว่าแกจะปิดเขาได้อีกนานแค่ไหน”
“ไพไม่ได้คิดจะปิด”
“แล้วทำไมไม่บอกเขาไปเลยล่ะ”
“ไพไม่แน่ใจว่าคุณภากรจะรู้สึกยังไง”
นายสุดโอบประคองผู้เป็นลูกสาวอย่างทะนุถนอม
“วันแรกที่พ่อรู้ว่าแม่แกอุ้มทอง รู้มั้ยว่าพ่อมีความสุขแค่ไหน พ่อมีความหวัง มีความฝันมากมาย...อยากเห็นหน้าลูกของพ่อเร็วๆ...พ่อรู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่าการมาของลูกคือโชคดีที่สุดของพ่อ”
“ไพไม่มั่นใจว่าคุณภากรจะคิดเหมือนพ่อ...ไพกลัวว่าเขาจะดูถูกไพ คิดว่าไพปล่อยตัวให้ท้องเพื่อผูกมัดเขา”
“ยิ่งไม่แน่ใจ ก็ยิ่งควรจะบอกเขาตรงๆ จะได้รู้เรื่องไปเลย...จะให้พ่อพูดให้มั้ยล่ะ”
สีไพรส่ายหน้า
“ไพขอตัดสินใจเองได้มั้ยคะ ว่าไพควรจะบอกเขาหรือไม่ เห็นแก่ลูกไพเถอะนะคะพ่อ”
นายสุดถอนหายใจออกมายาวๆ แล้วบอกว่า
“พ่ออาจจะต้องหาบ้านใหม่ ที่นายภากรไม่มีทางหาเราเจอ”
โทรศัพท์กลางสำนักงานส่งเสียงดังขึ้น ราชยกหูขึ้นมาพูด
“ฮัลโหล”
เป็นเสียงจอนโทร.มา “ฉันรู้ว่าแกรอโทรศัพท์จากฉันอยู่”
“งั้นแกก็คงรู้ว่าฉันต้องการอะไรจากแก”
ไอ้จอนเดินพูดโทรศัพท์ไปรอบๆบ้าน
“แน่นอน ฉันรู้ดี...แต่แกก็ควรจะรู้ด้วยว่า มันไม่ง่ายอย่างที่แกคิดหรอก”
“ถ้าแกทำอะไรอมาวสีแม้แต่นิดเดียว แกตายแน่”
“ทำไม มีแกทำได้คนเดียวเท่านั้นเหรอ” จอนยั๊ว
“ไอ้จอน”
“แต่แกสบายใจได้ ตอนนี้ นาทีนี้ ฉันยังไม่ได้ทำอะไรให้นางต้องบอบช้ำ แค่หยอกเอินกันเล่นๆ นิดหน่อย”
“แกต้องการเงินเท่าไหร่”
“เรานัดคุยกันตัวต่อตัว แบบมองตากันตรงๆซึ่งๆหน้าดีกว่ามั้ง”
“ที่ไหนว่ามา”
“แต่แกต้องมาคนเดียว ตัวเปล่าๆ ไร้อาวุธนะเว้ย”
“ได้...”
เทินเดินเข้ามามองราช
“โอ เค...คืนนี้เจอกัน”
ราชวางโทรศัพท์ หันไปพูดกับเทิน
“มันนัดพบผม น้าเทินแสตนบาย ตำรวจไว้ให้พร้อมนะ...ถ้ามีอะไรผิดปกติผมจะส่งสัญญาณให้น้ารู้...”
“ครับผม...ระวังตัวด้วยนะครับ”
นัยน์ตาของ ราช รัชภูมิ แข็งกร้าว
เมื่อถึงเวลานัดในคืนนั้น ราชเดินเข้าไปในที่เปลี่ยวเพียงลำพัง เขายืนมองไปรอบๆตัว บรรยากาศเงียบสงัดเป็นที่สุด
สักพัก ของหนัก ใหญ่ แหลมและคม ระดมฟาดเข้าไปที่ราช อย่างไม่ยั้งมือ ราชพยายามปัดป้อง ทว่าร่างของเขากลับล้มกลิ้งลงไปตรงนั้น
เสียงหัวเราะร่าของไอ้จอนดังขึ้น พร้อมๆกับร่างของมันที่โผล่พ้นออกมาจากที่กำบัง สายบัวเดินเกาะแขนนัวเนียเข้ามาติดๆ
“นานๆกูจะได้เห็นมึงล้มต่อหน้าซักที...แหม เป็นบุญตาชะมัด”
“ฉันไม่ได้ตั้งใจจะมาสู้กับแกนะไอ้จอน...”
“แกตั้งใจจะมาทวงของคืน ฉันรู้...แล้วคิดว่าฉันจะยกให้แกง่ายๆเหรอ”
“เปล่า แต่ฉันคิดว่า เราเจรจากันได้”
“งั้นลองยื่นข้อเสนอมาซิ”
ราชชันตัวลุกขึ้นยืนเจรจากับไอ้จอน
“บอกสิ่งที่แกต้องการมา...ฉันจะจัดการให้ทุกอย่าง”
จอนหัวเราะดังลั่น
“แกหวงอีนังนี่มากเลยใช่มั้ย”
“ฉันแค่ทำให้มันถูกต้องเท่านั้น”
“มันจะถูกได้ยังไง ในเมื่อแกลักพาตัวมันมา คดีอาญาเห็นๆ”
“ฉันกำลังจะเอาตัวเธอไปส่งคืน”
“ถามจริง”
“ส่งอมาวสีคืนให้ฉัน แล้วทุกอย่างก็จะจบ”
“ถ้าฉันไม่ยอมล่ะ”
“เรื่องจะถึงเจ้าหน้าที่...แกกับฉันก็ติดคุกด้วยกัน...แกคงไม่ต้องการอย่างนั้นมั้ง”
“แน่นอน”
“พาเธอมาด้วยรึเปล่า”
จอนไม่ตอบ เขาค่อยๆก้าวเดินวนไปรอบๆตัวราช
“ฉันจะยกให้แก ถ้าแกแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่ง อดทน”
จังหวะนี้ลูกน้องสี่ห้าคนก้าวออกมาจากมุมมืด พวกมันระดมหมัด ไม้ ตีน ซ้อมจนราชกองลงไปจมกองเลือดกับพื้น จอนตะคอกใส่ราช
“แกหลงรักอีนี่จนโงหัวไม่ขึ้นจริงๆ ได้ ฉันจะคืนตัวอมาวสีให้แกก็ได้ แต่มีข้อแม้ว่า แกต้องบอกลุงรักษ์ให้ยกสมบัติทั้งหมดของรักษ์เล ให้เป็นของฉัน”
“ฉันคงไม่อาจพูดแทนลุงได้”
“งั้นแกก็บอกลาอีนั่นได้เลย...มันเป็นเมียฉันแน่ๆ ไม่เกินสองวันนี้แหละ”
จอนเตะราชหนักๆ อีกหนึ่งดอกก่อนขยับตัวจะเดินออกไป สายบัวเดินเข้าไปกระชากหน้าราชขึ้นมาดู ทำทีเป็นตะโกนเสียงดังลั่น
“ขอดูหน้าชายผู้มีรักแท้ชัดๆซักทีเถอะ”
สายบัวลอบกระซิบข้างหูราช
“กดเบอร์โทรศัพท์ของแกบนเครื่องนี้...ภายในสองวันฉันจะเอาตัวเมียแกมาคืน”
ราชมองหน้า งงๆ
“เร็วเข้าสิ”
จอนหันมาตะโกนเรียกสายบัว
“ไป เร็ว สายบัว...พี่เปรี้ยวปากเต็มทนแล้ว”
สายบัวตะโกนตอบ “ไปเดี๋ยวนี้หละจ้ะ” หล่อนกระซิบใส่หูราช “โอกาสสุดท้ายของแกแล้ว...เร็ว”
ราชรีบกดหมายเลขโทรศัพท์บนเครื่องของสายบัว สายบัวกระชากหัวราชขึ้นมาพูดใกล้ๆ
“หล่อแต่โง่อย่างนี้ กินไม่ลงจริงๆ”
จอนตะคอกเสียงดัง “อย่าแรดนัก อีสายบัว”
“แล้วทีพี่ล่ะ พี่แรดได้ ฉันก็แรดได้”
เหล่าคนชั่วยกก๊ก พากันเดินกวนบาทาหายไปในความมืด
อ่านต่อหน้า 2
หัวใจเถื่อน ตอนที่ 13 (ต่อ)
อมาวสีเดินวนไปเวียนมาอยู่ในห้องคุมขัง พยายามสอดส่องเพื่อหาหนทางปีนหนีออกจากห้องแต่ไม่เป็นผล
สักพักมีเสียงรถแล่นเข้ามาจอด ตามมาด้วยโหวกเหวกโวยวายของไอ้จอนและสายบัวในสภาพเมามาย ดังเข้ามา อมาวสีรีบเอนตัวลงนอนฟัง โดยแกล้งทำเป็นหลับ
“ฉันไปดูอีนั่นก่อนนะพี่”
“จะต้องไปดูมันทำไม”
“ก็ดูว่ามันอยู่ดีกินดีอยู่ในห้องรึเปล่า รึว่าแอบหนีไปแล้ว”
“จะหนีไปได้ไง พี่ล็อคบ้านล็อคห้องอย่างดีที่สุด”
“เผื่อมันจะกลั้นใจตายไปแล้วล่ะ”
“ไปดูเร็วๆแล้วรีบมาหาพี่นะ...พี่กำลังมีอารมณ์”
ประตูห้องเปิดออก เห็นสายบัวโผล่หน้าเข้ามาในห้อง
“ไม่ต้องแกล้งทำเป็นหลับหรอก หรือว่ากลัวพี่จอนจะเข้ามาปล้ำ ผ่านด่านฉันไปไม่ได้หรอก”
อมาวสีขยับตัวลุกขึ้นนั่ง
“ตกลงว่า เธอจะช่วยฉันมั้ย”
“ทำตัวดีๆไว้ ไม่เกินสองวันนี้ได้กลับไปหาผัวแน่”
อมาวสีเผลอทำหน้างง
“ผัวใหม่นะ...ส่วนคุณภากร...ฉันขอ”
สายบัวดีดดิ้นออกจากห้องเพื่อไปจัดการไอ้จอน ประตูปิดลง
รถราชแล่นเข้ามาจอดหน้าบ้านวาริน ราชนั่งหลับฟุบอยู่กับพวงมาลัยรถ เลือดโชก วัชรีก้าวเข้ามาในห้องโถง พร้อมโทรศัพท์แนบหู
“คุณราช มีอะไรรึเปล่าคะ โทร.มาดึกดื่นขนาดนี้”
ฃราชนั่งพูดโทรศัพท์มือถือในรถของเขา
“ช่วยเรียกพี่ชายคุณมาพบผมหน่อยสิครับ”
วัชรียืนพูดโทรศัพท์กลางโถงบ้าน
“จะให้ไปหาที่ไหนเหรอคะ”
“หน้าบ้านคุณนี่แหละครับ”
ไม่นานต่อมา วารินและวัชรีก้าวยาวๆ เข้ามาเบื้องหน้ารถราชพร้อมๆ กัน
“คุณราช” วัชรีตกใจในสภาพที่เห็น
วารินก็ไม่ต่างกันแต่ยังมีอารมณ์ขัน “ไปทำอะไรมา เลือดโชกอย่างนั้น...เลือดจริงหรือปลอมวะ”
วัชรีดุพี่ชาย “คุณพี่คะ”
“ใครจะไปรู้ ไอ้เพื่อนพี่คนนี้มันเจ้าเล่ห์ แผนมันเยอะ”
“เราจะได้ตัวน้องอ้อ กลับมาแล้วนะ”
“ได้ยังไง”
“นี่” ราชชูโทรศัพท์ให้ดู
“ยังไงเหรอคะ”
“รอครับ...เดี๋ยวเขาจะโทรมาบอกเราเอง”
“งั้นเข้าไปรอข้างในบ้านดีกว่ามั้ยคะ”
ฟากไอ้จอน นอนเมาหลับทับอยู่บนร่างสายบัว สักครู่หนึ่งสายบัวจึงค่อยๆ ดันร่างไอ้จอนออกจากตัวจนพ้น แต่เมื่อสายบัวขยับตัวลุกขึ้นจากเตียง ไอ้จอนก็คว้าแขนสายบัวไว้ เปล่งเสียงอ้อแอ้
“สายบัว...จะไปไหน อยู่กับพี่ก่อน พี่กำลังมีอารมณ์”
สายบัวหงุดหงิด “อารมณ์ง่วงน่ะสิ...พี่นอนทับฉันเป็นชั่วโมงๆ จนฉันตัวชาไปหมดแล้วนะ อารมณ์อะไรของพี่เนี่ย”
“น่า อย่าบ่นน่า...ขอทีน่า...นะ สายบัว”
“โธ่...พูดให้ฟังรู้เรื่องซะก่อนเหอะ จะมาขอทงขอที”
สายบัวผลักร่างของจอนจนกลิ้งตกเตียง ไอ้จอนสะดุ้งรู้สึกตัวขึ้นมาทันที
“เฮ่ยสายบัว...ใครทำอะไรพี่เนี่ย”
“ฉันเอง จะมีใครล่ะ...นี่พี่เมาไม่รู้เรื่องขนาดนี้เชียวเหรอ”
สายบัวยั๊วขยับตัวจะเดินออกจากห้อง
“เอ็งจะไปไหน”
“ออกไปนั่งเล่นข้างนอกแป๊บนึง...พี่นอนกรนให้สบายเลยนะ หลับแล้วฉันค่อยเข้ามานอน”
จอนฟุบหน้าลงไปกับเตียงอีกครั้ง มัน ละเมอเพ้อความในใจออกมา
“อีกไม่นาน เราจะรวยแล้ว เราจะอยู่บ้านหลังใหญ่ มีหลายห้องนอน นอนกันคนละห้อง ไม่ต้องกลัวว่าใครจะกรนดังกว่าใคร”
ไอ้จอน หลับไปอีกครั้งจนได้
สายบัวยืนมองอยู่ตรงหน้าประตู หล่อนหยิบโทรศัพท์มากดเบอร์โทร.ออก
โทรศัพท์มือถือของราชมีสัญญาณเรียกเข้า ดัง ราชเอื้อมมือหยิบขึ้นมาพูด วารินและวัชรี ยื่นหูเข้าไปแนบฟัง
“ฮัลโหล คุณเป็นใคร”
สายบัวยืนพูดโทรศัพท์อยู่ในมุมสงบ ลับตาคน
“ฉันคือผู้หวังดี”
ราช พูดเป็นเชิงถามด้วยเสียงหนักแน่น
“เมียไอ้จอน”
“ตอนนี้ยังเป็นอยู่”
“เป็นเมียมันแล้วทำไมถึงคิดจะช่วยเรา”
“ฉันก็อยากเปลี่ยนผัวบ้าง มีปัญหามั้ย...ถามมากเดี๋ยวไม่ช่วยเลยนะ”
“แล้วจะช่วยยังไง”
“มะรืนนี้ ทำตัวให้ว่าง เราจะนัดเจอกันใจกลางเมือง แล้วแกจะได้กลับไปกกกอดอีหนูคนนี้ให้สมใจ”
ราชกับวารินมองหน้ากัน วารินเอ่ยปาก
“มันว่ายังไงนะ เมื่อกี้เราฟังไม่ถนัด”
“ไม่มีอะไรหรอก มันเป็นเรื่องเข้าใจผิดกัน”
วารินและวัชรีจ้องมองหน้าราช ราชจึงขยับปากพูด
“มันคิดว่าอมาวสีเป็นเมียฉัน”
อีกฟาก รถภากรแล่นเข้ามาจอดหน้าบ้านเช่าของสีไพร ภากรลงจากรถ เสียงอาเจียนดังออกมาจากในบ้าน ภากรแปลกใจเล็กน้อย
ภากรเดินเข้ามาในบ้าน เขามองไปรอบๆ ตัว เห็นจานของเปรี้ยววางอยู่บนโต๊ะ เสียงอาเจียนยังดังอยู่ ภากรที่เดินไปจนเจอสีไพรอยู่หน้าห้องน้ำ
“สีไพร”
“คุณภากร”
“ไม่สบายเหรอ”
“นิดหน่อยค่ะ...คุณภากรทานอะไรมารึยังคะ”
“ฉันตั้งใจจะมาชวนสีไพรไปกินข้าวข้างนอก”
สีไพรยิ้มดีใจ และภูมิใจอยู่ลึกๆ
“แต่สีไพรป่วย งั้นก็ไม่เป็นไร”
“คุณภากรอยากไปทานอะไร ที่ไหนล่ะคะ”
“จริงๆแล้ว อะไรก็ได้ ฉันแค่อยากนั่งกินนั่งคุยกับสีไพรเท่านั้น”
“งั้นสีไพรทำกับข้าวให้คุณภากรทานดีมั้ยคะ คุณภากรยังไม่เคยทานอาหารฝีมือสีไพรเลยนะ”
“นั่นสิ...ก็ดีเหมือนกัน”
สีไพรเดินไปบริเวณตู้กับข้าว
“วันนี้พ่อไม่อยู่เหรอ”
“ค่ะ”
ภากรกวาดสายตามองไปยังผลไม้ดองทั้งหลายที่วางอยู่ในห้อง ขณะที่สีไพรเริ่มต้นการทำกับข้าว ภากรค่อยๆ หยิบเงินออกจากกระเป๋าวางลงบนโต๊ะ
“ฉันเอาเงินมาคืนสีไพร”
“มันเป็นเงินของคุณภากรนะคะ”
“ไม่ใช่ของฉันหรอก ฉันให้สีไพรแล้ว มันต้องเป็นของสีไพร...และตอนนี้ฉันไม่จำเป็นต้องใช้มัน ฉันก็ต้องเอามาคืนสีไพร”
ภากรหยิบสร้อยข้อมือจากกระเป๋ากางเกงออกมา บรรจงผูกที่ข้อมือของเขาเอง
“เธอถักสร้อยเองรึเปล่า”
สีไพรหันมามองอากัปกิริยาของภากร
สีไพรแกล้งถาม “คุณภากรไม่เก็บไว้ใต้หมอนแล้วเหรอคะ”
“อืม...ฉันไม่ได้นอนที่บ้านหลายวัน ฉันก็เลยเอาติดตัวมา...ใส่ยังไงน่ะ”
“คุณภากรอยากใส่เหรอคะ...สีไพรใส่ให้”
สีไพรเดินมาผูกสร้อยให้ที่ข้อมือเขา ภากรมองความนุ่มนวลของสีไพร
“เธอเป็นผู้หญิงที่เรียบร้อยมากเลยนะ บางทีฉันรู้สึกว่าฉันทำไม่ดีกับสีไพรหลายอย่าง”
“ไม่จริงหรอกค่ะ”
“จริง...ถ้าสีไพรไม่ต้องเจอฉัน...สีไพรอาจจะเจอผู้ชายดีๆ ได้แต่งงาน ได้เป็นเมียออกหน้าออกตา ได้เป็นแม่ ฉันเชื่อว่าสีไพรต้องเป็นแม่ที่ดีของลูกแน่ๆ เลย”
สีไพรยิ้ม ภาคภูมิใจ พลันเธอก็กลั้นอาเจียนไว้ไม่อยู่ มันพุ่งออกมาเลอะเปรอะเต็มตัวภากร
“ขอโทษค่ะ”
สีไพรรีบกุลีกุจอหาผ้ามาเช็ดเสื้อให้ภากร
“สีไพรอาเจียนบ่อยจัง แล้วก็กินของเปรี้ยวของดอง ถ้าเป็นในหนังในละคร คนดูต้องบอกว่า เธอท้องแน่ๆ เลย และฉันก็จะต้องดีใจกระโดดตัวลอยที่จะได้เป็นพ่อคน”
สีไพรนิ่งอึ้งเงยหน้ามองภากร อยู่ๆน้ำตาก็เอ่อเต็มสองตา ภากรจ้องมองสีไพรนิ่ง ไม่อาจรู้ได้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ในใจ
“หรือว่า...”
นายสุดเดินเข้ามา เอ่ยปากชัดถ้อยชัดคำ
“ห้าเดือนแล้ว”
ภากรตาโต “ห๊ะ”
“สีไพรมันท้องกับคุณห้าเดือนกว่าแล้ว” สุดย้ำ
“ทำไม...ไม่...”
นายสุดบอกอีก “สีไพรมันไม่ใจบาปพอที่จะ ทำลายเลือดเนื้อของมันได้...เลือดเนื้อที่เกิดจากความรักที่มันบูชา..แม้ว่าคนเป็นพ่อจะไม่ปรารถนามันก็ตาม”
ภากรมองสีไพร นิ่งอึ้ง น้ำตาของสีไพรไหลพราก...เธอค่อยๆเอ่ยปากกับภากร
“ไพขอโทษนะคะ...ไพไม่ได้คิดจะใช้เป็นเครื่องมือในการผูกมัดคุณภากรแต่อย่างใด...คุณภากรจะดุด่าไพยังไงก็ได้...หรือจะไม่กลับมาหาสีไพรอีกเลยก็ไม่เป็นไร...เพราะไพมีลูกคนนี้ เป็นตัวแทนความรัก ความทรงจำที่ดีระหว่างไพกับคุณภากรตลอดไป แล้วค่ะ”
“ฉันจะไม่ไปไหน ฉันไม่มีวันจะไปจากสีไพรเป็นอันขาด เธอไม่รู้หรอกว่าฉันดีใจแค่ไหนที่ได้เห็นลูกของฉัน อยู่ในท้องของสีไพร”
สีไพรและนายสุด ต่างอึ้งไปทั้งคู่
“คุณภากร”
“ไม่มีใครดีกับฉันได้อย่างเธออีกแล้ว และไม่มีใครเหมาะที่จะเป็นแม่ของลูกฉันได้เท่าเธออีกเช่นกัน สีไพร”
สีไพรและภากรโผเข้ากอดกันด้วยความรัก นายสุดยืนซาบซึ้งใจอยู่ห่างๆ
พระอาทิตย์โผล่ขึ้นเหนือขอบฟ้าไกล บอกเวลายามเช้าตรู่ สายบัว ยืนหลบมุมพูดโทรศัพท์บริเวณหน้าบ้านเช่า
“ลุงอาจจะไม่รู้จักฉัน...แต่ฉันรู้จักลุงดี...เพราะอะไรน่ะเหรอ เพราะฉันเป็นเมียคนล่าสุดของพี่จอนไง ทีนี้เชื่อรึยัง”
ลุงรักษ์พูดโทรศัพท์อยู่ที่ออฟฟิศรักษ์เล หน้าตาแปลกใจไม่น้อย
“เชื่อก็ได้...แต่ฉันแน่ใจว่า ฉันไม่มีความจำเป็นใดๆที่จะต้องพูดโทรศัพท์กับเมียไอ้จอน ไม่ว่าจะเมียคนแรกหรือเมียคนล่าสุด”
“ต้องพูด เพราะเรื่องนี้เกี่ยวกับนายราช หลานรักของลุง”
“ทำไม เกี่ยวยังไง”
จอนเดินงัวเงียโวยวายออกจากห้อง มันตรงมาหาสายบัว
“หาข้าวหาน้ำให้กินหน่อยสิวะสายบัว”
“ชื่อสายบัวเหรอ” ลุงรักษ์ถาม
“ถ้าอยากให้ทุกอย่างจบลงด้วยดี ลุงช่วยพูดกับพี่จอนว่า มีเรื่องสำคัญ ขอให้พี่จอนไปหาที่ภูเก็ตหน่อย เท่านั้นแหละ อื่นๆ ฉันจะอธิบายทีหลัง...ได้มั้ย”
“อืม...”
“รับปากสิว่าได้...ฉันไม่มีเวลามากนักนะ หรืออยากให้หลานชายของลุงตายก่อน”
จอนเดินเข้ามาหาสายบัว
“ว่ายังไงสายบัว...ฉันขอข้าวกินตั้งนานแล้ว มัวพูดโทรศัพท์กับใครอยู่”
สายบัวตัดสินใจพูดเสียงดังให้ได้ยินเข้าไปในโทรศัพท์
สายบัวตะโกนบอกไป “พูดกับนายรักษ์ โทร.มาจากภูเก็ต เขาฝากบอกให้พี่จอนลงไปหาเขาให้ได้”
จอนไม่สน “เชอะ เรื่องอะไรจะไป”
“เขาบอกว่าจะยกมรดกให้พี่”
จอนชักสนใจ “จริงเหรอ”
“พูดกับเขาเองมั้ยล่ะ ยังอยู่ในนี้อยู่...”
สายบัวส่งโทรศัพท์ให้จอนโดยยัดใส่มือ จอนรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพูด
“ฮัลโหล อยู่ๆก็คิดถึงหลานคนนี้ขึ้นมาเหรอ”
“ก็ไม่เชิง”
“เรื่องอะไรถึงจะให้ฉันลงไปหาที่ภูเก็ต”
“ก็...”
“พูดทางโทรศัพท์ก็ได้นี่...ไม่เห็นต้องเสียเวลา เดินทางครึ่งค่อนวัน”
“เรื่องทรัพย์สิน เรื่องมรดก มันต้องพูดกันแบบเห็นหน้าเว้ย”
“ลุงจะยกมรดกให้ฉันเหรอ”
“มาเจอหน้ากันก่อน ค่อยๆพูดกัน เท่านี้แหละ”
ลุงรักษ์วางสายไปทันที
ส่วนสายบัวรีบวิ่งเข้าไปเกาะแขนไอ้จอนประจบถาม
“เขาว่าไงเหรอพี่”
“เรื่องมรดก ให้ฉันไปหาเร็วที่สุด”
“ไปเลยสิพี่...”
“ขอคิดอีกทีก่อนน่า เพราะมรดกนั่นมันของตาย ไม่ต้องรีบก็ได้ ตอนนี้ เอาข้าวมากินก่อน”
ที่บ้านพิชิตพงษ์ เช้าวันเดียวกันนี้
กลางโถงบ้าน ทนายชอบนั่งอยู่เบื้องหน้าท่านกวีและคุณหญิงอำภา สีหน้าและแววตาของท่านกวีดูเครียดๆ
“ผมทำสรุปค่าใช้จ่ายรายเดือนคร่าวๆแยกเป็นหัวข้อตามที่ท่านต้องการมาแล้วนะครับ”
ท่านกวีพยักหน้าให้ทนายชอบพูดต่อไป
“รายจ่ายหลักๆ ของท่านก็มีสามส่วนคือ ส่วนตัว ส่วนรวมในบ้านและสำนักงานกับส่วนที่เป็นกิจกรรมเพื่อสังคม เพื่อชุมชน และเพื่อฐานเสียงของท่าน”
“เอาตัวเลขมาเลย”
“ค่าใช้จ่ายส่วนตัว และ จิปาถะต่างๆในบ้านประมาณสามล้าน ค่าใช้จ่ายเพื่อดูแลบ้านพักตากอากาศ คอนโดริมทะเล รีสอร์ทเชิงเขา ของท่าน มีค่าใช้จ่ายคงที่อยู่ที่ประมาณสองล้าน ส่วนเงินบริจาคและการสนับสนุนมูลนิธิต่างๆ รวมของทั้งสองท่าน หนักหน่อยครับประมาณเดือนละสี่ล้าน ก็พอๆกับงานกิจกรรมชุมชน เลี้ยงดูหัวคะแนนอีกประมาณสี่ล้านบาท รวมแล้วประมาณสิบสามล้านบาท ต่อเดือนครับ”
ท่านกวีนิ่งไปนิดหนึ่ง
“คุณชอบ คุณไปทำแผนมา ทำยังไงก็ได้เพื่อลดค่าใช้จ่ายรายเดือนของผมลงอย่างน้อยสี่สิบเปอร์เซ็นต์”
“เกือบครึ่งนึงเลยเหรอครับ”
“ลดได้เกินครึ่งก็ยิ่งดี...”
“ครับ เอ้อ...ผมขออนุญาตถามตรงๆนะครับท่าน ท่านมีปัญหาการเงินอะไรที่ผมยังไม่ทราบอีกหรือเปล่าครับ”
ท่านกวีนิ่ง ยังไม่ตอบอะไร
“เราคุยกันเป็นการส่วนตัวก่อน แล้วค่อยบอกคุณชอบดีมั้ยคะ” คุณหญิงเอ่ยขึ้น
“รู้พร้อมๆกันนี่แหละ คุณชอบก็ดูแลเรื่องเงินๆทองๆของเรามานานแล้ว”
ท่านกวีหายใจแรงๆก่อนเอ่ยปาก
“เรื่องแหล่งเงินที่พวกคุณไม่ทราบที่มาที่ไปนั่นแหละ ตอนนี้ผมต้องฟรีซไว้ ไม่สามารถนำมาใช้ได้ เพราะฉะนั้นการประหยัดรายจ่ายจึงเป็นมาตรการสำคัญของครอบครัวเรา”
ความเงียบปกคลุมวงสนทนาชั่วครู่ จนทนายชอบเอ่ยทำลายความเงียบขึ้น
“ถ้าเป็นอย่างนั้น หนี้สินของท่านมากมาย โดยเฉพาะหนี้จากคุณภากร ท่านคิดจะทำยังไงครับ”
“คุณก็ไปเจรจาหาทางชะลอ หรือประนอมหนี้ หรือลดจำนวนหนี้ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้”
“เอ่อ...ท่านครับ...ท่านยังมีหนี้อีกก้อนหนึ่งที่ผมยังไม่ได้แจ้งให้ท่านทราบ”
“หนี้อะไร” ท่านกวีเครียด
“หนี้จากบริษัทยา”
“มีมากกว่าที่ฉันรู้อีกเหรอ”
“ครับ คุณภากรเซ็นรับออร์เดอร์อีกกว่าแปดสิบล้านบาท นายหว่องเชิดเงินจำนวนนี้ไป ส่วนเรามีหน้าที่ต้องจ่ายเงินคืนตามสัญญา พร้อมดอกเบี้ย ครับ”
“แปดสิบกว่าล้านบาทเหรอ” คุณหญิงตกใจ
“ครับแปดสิบกว่าล้าน”
ภากรเดินเข้าบ้านมาพอดี เขาหยุดยืนมองวงสนทนาเบื้องหน้า
ท่านกวีหันไปพูดกับทนายชอบ
“ผมขอพูดเรื่องในครอบครัวสักครู่นะคุณชอบ”
“ครับ...ผมจะรีบไปดำเนินการตามที่ท่านสั่งครับ”
ทนายชอบค่อยๆ เดินเลี่ยงออกไปจากโถง
ภากรมองผู้เป็นพ่อ และแม่ บรรยากาศเบื้องหน้าทำให้เขาหวั่นเกรงไม่น้อย สุดท้ายภากรเดินไปยืนเบื้องหน้าพ่อ เขาตัดสินใจเอ่ยปากพูดเรื่องสีไพร
“พ่อครับ...”
ไม่ทันที่ใครจะพูดอะไร ท่านกวีก็ยกมือขึ้นตบหน้าลูกชายอย่างแรง อำภากรีดร้องลั่นด้วยความตกใจ
“ไอ้ลูกเลว แกไปเอาสันดานเลวๆ เชื้อเลวๆนี้มาจากไหน ทั้งชีวิตแก เคยทำอะไรให้ฉันดีใจ ภูมิใจบ้างมั้ย บอกมาซักครั้งซิ ฉันเลี้ยงดูแกมา เสียทั้งเวลา เสียทั้งเงินทอง เพื่อให้แกโตมาเป็นคนเก่งคนดี เชิดหน้าชูตาพ่อ แม่ และวงศ์ตระกูล แต่ที่แกทำไปแต่ละเรื่อง มีแต่สร้างความพินาศ ความอัปยศให้กับวงศ์ตระกูล ไม่หยุดหย่อน”
“ผมไม่ได้...”
ท่านกวีตบหน้าภากรอย่างแรงอีกครั้ง
คุณหญิงอำภาเข้าห้าม “พอเถอะค่ะ...อย่าตบหน้าลูกเลยค่ะ”
“แกไปให้พ้นจากหน้าฉันเดี๋ยวนี้เลย จะไปสำมะเลเทเมาที่ไหนก็ไปซะ...แล้วก็รู้ไว้ด้วยว่า ถ้าแกโดนฟ้องล้มละลายเมื่อไหร่ ฉันจะไม่ช่วยแกแม้แต่น้อย...ในเมื่อแกสร้างหนี้สินขึ้นมาเอง แกก็หาทางชดใช้เองแล้วกัน”
ท่านกวีเดินหุนหันออกไป ภากรยืนสะอื้นในอก เสียใจจนพูดอะไรไม่ออก คุณหญิงอำภามองลูกชายด้วยความสงสารจับใจ
ครู่ต่อมาภากรหย่อนตัวลงนั่งบนบันไดหน้าทางออกบ้าน คุณหญิงอำภาเดินมานั่งข้างๆ ผู้เป็นลูกชาย ภากรเอ่ยปากออกมาลอยๆ
“ผมไม่เคยโดนพ่อตบหน้ามาก่อนเลย...ตั้งแต่จำความได้ พ่อไม่เคยดุด่าผมเลยด้วยซ้ำ”
“ลูกเป็นความหวัง เป็นความฝันของพ่อเขา”
“แต่ผมไม่เคยเป็นได้อย่างที่พ่อต้องการ”
“พ่อเขาไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่า ขอให้ลูกมีความสุข ขอให้ลูกเป็นคนดีและไม่ว่าลูกอยากจะทำอะไร อยากจะเป็นอะไร พ่อก็จะคอยประคับประคองลูกอย่างดีที่สุด”
“แต่วันนี้เขาตบหน้าผม” ภากรน้อยใจจนเปลี่ยนสรพพนามเรียกบิดา
คุณอำภาถอนใจ “แม่รู้ว่า มันไม่ถูก”
“ถูกครับ แต่มันยังน้อยไป เขาควรจะตบผมมากกว่านี้ ผมจะได้มีสำนึกที่จะปรับปรุงตัว ที่จะเป็นคนดีขึ้นมาบ้าง แทนที่ผมจะทำให้พ่อแม่ภูมิใจ ผมกลับทำแต่ปัญหา ผมอยากตายครับแม่ ถ้ามันจะทดแทนความผิดที่ผมทำไว้ทั้งหมดได้”
คุณหญิงอำภาดึงตัวลูกมากอดไว้แน่น
“อย่าพูดอย่างนั้นสิลูก เราเป็นครอบครัวนะลูก เราจะต้องเดินหน้า แก้ปัญหาไปด้วยกันสิ”
“ถ้าแม่ยังให้อภัยผม ผมอยากเริ่มต้นใหม่อีกครั้งครับ ผมอยากตั้งเนื้อตั้งตัวใหม่ ผมจะสร้างครอบครัวที่มีแต่ความสุขความสดชื่น”
“ดีจ้ะ” คุณหญิงยิ้มให้ผู้เป็นลูกชาย
“ผมอยากแต่งงานครับ”
“ทันทีที่หนูอ้อกลับมา เราจะจัดงานแต่งงานทันที เราตกลงกันไว้แล้วนี่ลูก”
ภากรนิ่งซักพัก อยากบอกว่าสีไพรต่างหากคือคนที่เขาจะแต่งด้วย แต่ไม่กล้าจึงขยับตัวลุกขึ้น เดินออกจากบ้าน
“จะไปไหนน่ะ ลูก”
ภากรไม่ตอบ เขาขึ้นรถขับออกไปเฉยๆ
ขณะเดียวกัน ที่ออฟฟิศราช เสียงโทรศัพท์ดังลั่น ราช เดินมายกโทรศัพท์ขึ้นพูด
“ฮัลโหล...ผมรอคุณอยู่”
สายบัวยืนพูดโทรศัพท์หน้าร้านข้าวแกงริมถนน
“บอกใครรึเปล่าว่าฉันโทร.มา”
เสียงราชบอกว่า “เฉพาะคนสนิทของผม คนเดียว”
“อย่าให้รู้นะว่าแอบแจ้งตำรวจ ไม่งั้นนายจะไม่มีโอกาสเห็นหน้านังคนสวยคนนี้อีกเลย เข้าใจมั้ย”
“เข้าใจ...แต่บอกมาซะทีสิ ว่าจะพาตัวมาส่งเมื่อไหร่”
“พร้อมเมื่อไหร่จะบอกเอง...ทำตัวให้ว่างไว้ รอรับสัญญาณจากฉันเท่านั้น”
สายบัวกดปุ่มยกเลิกการสนทนา รับถุงข้าวแกงจากแม่ค้า แล้วเดินนวยนาดกลับบ้านไป
ส่วนที่ออฟฟิศของราช เทินเดินเข้ามายืนข้างๆ เปิดปากถามอย่างไม่ไว้ใจนัก
“ไว้ใจได้เหรอครับคุณราช”
“มันก็เป็นความหวังเดียวที่มีอยู่ตอนนี้”
“ถ้าผิดหวังล่ะครับ ถ้าแม่คนนี้โกหกล่ะครับ”
“ผมว่าเธอพูดจริง...ผมรู้สึกอย่างนั้น”
“ขอให้เป็นอย่างที่คุณรู้สึกเถอะ...แล้วคุณจะทำยังไงต่อ”
ราชฉงน “ทำอะไร ยังไง”
“หลังจากคุณอมาวสีกลับมาอย่างปลอดภัยแล้ว คุณจะทำอะไรต่อ แผนการทั้งหมดที่คุณตั้งใจทำเพื่อสั่งสอนคนในบ้านพิชิตพงษ์ มาถึงบทสุดท้ายหรือยังครับ”
ราชนิ่งเงียบ ครุ่นคิด
“ฉันจะกลับไปดูแลกิจการของลุงรักษ์ที่ภูเก็ต”
“แค่นั้นน่ะ ทั้งหมดที่วางแผนมา ลงท้ายด้วยสิ่งนี้”
“ฉันอาจจะแต่งงาน”
“อืม...ชักเข้าเค้า...กับใครครับ”
“กับคนที่คุณลุงรักษ์เลือกให้”
เทินชักสีหน้าผิดหวังเล็กน้อย
“รักเขาเหรอ”
ราชเงียบ ไม่ตอบ
“อย่าทำอะไรเล่นๆ อีกเลยครับคุณราช โตแล้วน่า จะมัวหลอกตัวเองอยู่ทำไม”
ชายกลางคนผู้มีแต่ความรักและหวังดีบอกอย่างรู้ทัน
อ่านต่อหน้า 3
หัวใจเถื่อน ตอนที่ 13 (ต่อ)
ฝ่ายสายบัวยกจานอาหารเข้ามาวางกลางห้อง อมาวสีนั่งนิ่ง เหม่อลอยนิดๆ เธอยังไม่แตะต้องอาหารจานใดๆ เลยแม้แต่นิดเดียว
“อาบน้ำอาบท่าบ้างรึเปล่าเนี่ย...หรือว่านี่คือการประท้วง ไม่อาบน้ำไม่ล้างหน้า จนกว่าจะได้รับการปล่อยตัว”
สายบัวบ่นบ้า พลางยื่นหน้าเข้าไปดมใกล้ๆ
“เป็นสาวเป็นนาง ปล่อยให้มีกลิ่นตัวอย่างนี้ไม่ดีนะ”
“ตกลงเธอจะปล่อยฉันไปเมื่อไหร่”
“ใจเย็นๆ เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น ฉันจะหักหลังผัวทั้งที ก็ต้องให้มั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ก่อน”
“ตอนนี้กี่เปอร์เซ็นต์แล้ว”
“เกินห้าสิบ อีกห้าสิบต้องรอ...เอ๊ะ”
สายบัวจ้องหน้าอมาวสีด้วยความสงสัย
อมาวสีงง “อะไร”
“ทำไมฉันไม่เห็นเธอแพ้ท้องเลยล่ะ”
“เอ้อ...”
“ปกติ ท้องแรกเนี่ยะ แพ้ขี้แตกขี้แตนทั้งนั้น พี่สาวฉันนะ อ้วกเช้าอ้วกเย็น อ้วก จนผัวทิ้งเลยละ...นั่นแน่...อย่าบอกนะว่า เธอ...”
อมาวสีอึ้ง หวาดวิตกขึ้นมาทันที
“ฉัน...”
“จับได้ละ...นี่ไม่ใช่ท้องแรกของเธอ” สายบัวคิดไปโน่น
อมาวสีแปลกใจ “ห๊ะ”
“สารภาพมาซะดีๆ ไม่งั้นฉันไม่พาเธอหนีนะ”
อมาวสีจำยอมตามน้ำไป “จ้ะ”
สายบัวค้อนควัก “ว่าแล้วเชียว ท้องแรกกับใคร”
“เอ้อ กับ...เพื่อนที่โรงเรียน ห้าเดือนก็แท้ง แท้งเองนะ ไม่ได้ทำ”
“แล้วไป...ฉันละเกลียดนัก ไอ้พวกท้องแล้วไปทำแท้งเนี่ย”
อมาวสีรู้สึกโล่งใจขึ้นมาบ้าง
“ตั้งชื่อลูกรึยัง”
“เอ้อ...”
“ตั้งให้มั้ย...เมียชื่ออ้อ ผัวชื่อราช ลูกก็ต้องชื่ออร...ดีมั้ย ผู้หญิงชื่อ อร ผู้ชายชื่อรอน...หรือแบบฝรั่งหน่อยๆ ก็ต้องเป็น รอนนี่ กับ ออร่า”
สายบัวมีท่าทีสนุกสนานร่าเริง ในยามที่พูดถึงเรื่องลูก เรื่องเด็ก อมาวสีมองแล้วถามว่า
“เธอคงอยากมีลูกสินะ”
สายบัวเพ้อ “ใช่ ฉันรักเด็ก...ถ้าฉันมีลูกนะ ลูกฉันต้องชื่อว่า สากร...ดีมั้ย เพราะดีออก สากร...แล้วเธอจะไปอยู่ที่ภูเก็ตรึเปล่า”
“ภูเก็ต?” อมาวสีอึ้ง
“นายราชเขามีมรดกเป็นเกาะที่ภูเก็ต เธอวางแผนจะไปอยู่ด้วยกันที่นั่นรึเปล่า”
“อืม...ใช่” อมาวสีพยักพเยิดไปตามเรื่อง
“เล่าให้ฟังหน่อยดี้”
“เอ้อ เราก็...จะมีบ้านหลังเล็กๆริมทะเล มีระเบียงสวยๆ ให้ฉันนั่งเล่นกับลูกตอนเช้ากับตอนเย็นเราจะนั่งกินข้าวกันริมทะเล สามคน พ่อ แม่ ลูก เราจะนั่งมองฟองคลื่นด้วยกัน ห้องนอนของเราก็จะเปิดหน้าต่างมองเห็นทะเลด้วย มีโต๊ะเล็กๆซักตัวพอให้ฉันเขียนหนังสือได้ แล้วก็โซฟาใหญ่ๆ ให้เขานั่งเอนหลังจ้องมองฉัน บางวันเราก็จะนั่งบนเตียงนุ่มๆ พูดคุยเรื่องราวที่ผ่านมาระหว่างเรา”
“ถ้าเป็นฉันนะ ไม่คุยให้เสียเวลาหรอก นอนกอดกันทั้งวันทั้งคืนเลย จะได้มีท้องสองท้องสามไวๆ”
“เธอจะไปเที่ยวบ้านฉันก็ได้นะ ไปมั้ย”
“ไม่หรอก คุณภากรเขาคงไม่อยากเห็นหน้าเธอเท่าไหร่นักหรอก”
สายบัวขยับตัวจะเดินออกจากห้อง
“ขออะไรอย่างได้มั้ย ขอปากกากับกระดาษหน่อยสิ หรือสมุดอะไรก็ได้”
สายบัวมองฉงน “คงไม่ได้เอามาเขียนจดหมายลาตายหรอกนะ”
อีกฟาก ทนายชอบ เดินพูดโทรศัพท์มือถือเข้ามาในบริเวณคอฟฟี่ช็อปโรงแรม
“ผมกำลังจะพบตัวเขาเดี๋ยวนี้ครับ ได้ความอย่างไรจะรีบโทร.บอกทันที ครับ...วันนี้สิครับ อีกแป๊บเดียว เดี๋ยวผมโทร.กลับครับ”
ทนายชอบเดินตรงไปยังภากรที่นั่งกินอาหารอยู่
“คุณพ่อคุณสั่งให้ประหยัดค่าใช้จ่ายในบ้าน...คุณน่าจะเปลี่ยนเป็นทานข้าวที่บ้านบ้างก็ดีนะครับ”
“เข้าเรื่องเถอะครับอา อย่าเพิ่งว่าผมเลย”
“ผมต้องการการตัดสินใจของคุณภากร โดยด่วนครับ”
“ตัดสินใจอะไร”
“คืองี้ครับ ผมยังหานายทุนที่จะรับจำนองบ้านพิชิตพงษ์ไม่ได้ แต่มีอยู่คนนึงไม่รับจำนอง แต่ต้องการซื้อเลย”
“ซื้อ...ได้ยังไง แล้วเราจะไปอยู่ที่ไหน” ภากรย้อนแย้ง
“เขามีเงื่อนไขน่าฟังอย่างนี้ครับ เขาจะไม่ทำอะไรในบ้านพิชิตพงษ์ โดยให้คุณอยู่ไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นจนครบห้าปี”
“แล้วไง”
“ถ้าครบห้าปียังไม่มีเงินมาซื้อคืน เขาถึงจะยึดบ้าน”
“ต่างจากจำนองตรงไหน”
“ต่างตรงที่บ้านจะถูกโอนเป็นชื่อของเขาตั้งแต่วันนี้ครับ”
“ขายขาดนี่นา แล้วพ่อ แม่ ผมจะว่ายังไง”
“คุณต้องตัดสินใจครับ คิดในทางดีก็คือ คุณพ่อคุณแม่ จะไม่ทันได้รับรู้อะไร ถ้าคุณภากรเอาเงินไปซื้อคืนได้ภายในห้าปี ทุกอย่างก็จบ”
“ถ้าหาเงินไม่ได้ล่ะ”
“ก็จบเหมือนกัน แต่จบคนละแบบ ผมช่วยได้เท่านี้จริงๆครับคุณภากร”
ภากรครุ่นคิด นิ่ง
“คุณอาคิดว่าผมจะหาเงินคืนได้มั้ย”
“อย่างผม หมื่นสองหมื่นยังหายากเลยครับ เอาบรรทัดฐานจากผมไปวัดไม่ได้หรอกครับ”
ภากรตัดสินใจเด็ดขาด “บอกเขาว่าตกลงครับ เพื่อความสบายใจของพ่อ แม่ ในวันนี้อีกห้าปีเป็นยังไง ค่อยว่ากันใหม่”
“ผมจะรีบบอกเขาทันทีครับ”
ทนายชอบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดปุ่มโทร.ออก ลุกเดินไป
ภากรเพิ่งนึกได้ “เขาคือใครเหรอ”
คู่สนทนาของทนายชอบนั่งอยู่ในร้านอาหารหรูของห้างดังย่านชิดลม เป็น ม.ร.ว.หญิงทิพย์สุดา นั่นเอง และเวลานี้กำลังยิ้ม พร้อมกับพูดโทรศัพท์อยู่
“ดีใจจริงๆ ที่ได้ยินอย่างนี้ บอกเขาเลยว่า ฉันพร้อมวางเงินให้ทันที แต่เขาก็ต้องโอนบ้านพิชิตพงษ์ให้ดิฉันทันทีเช่นกันนะ”
ทนายชอบยืนพูดโทรศัพท์อยู่มุมหนึ่งในคอฟฟี่ช็อป
“ครับผม เจ้าของบ้านยินยอมตามเงื่อนไขทั้งหมดครับ”
“ถือว่าคุณทนายทำงานได้ดีมาก ถ้าคุณลาออกจากท่านกวีเมื่อไหร่ ฉันขอจ้างเป็นทนายประจำบ้านฉันบ้างนะคะ”
“ผมอยู่กับท่านกวีมาตั้งแต่เริ่มต้นทำงานครั้งแรก ผมทิ้งท่านไปไหนไม่ได้หรอกต้องขอโทษด้วยนะครับ”
เสียงคุณหญิงทิพย์สุดาดังออกมาว่า “เข้าใจจ้ะ ขอบคุณอีกครั้งนะคะ”
ทนายชอบกดปุ่มเลิกการสนทนา ดูเหมือนว่าเขายังมีความกังวลในสถานการณ์ที่เป็นอยู่นี้ ไม่น้อย
แยกจากทนายชอบภากรเดินไปที่รถของเขาตรงลานจอดรถโรงแรม พบว่าไอ้จอนยืนรออยู่ตรงนั้นแล้ว ภากรทักทาย ปิดท้ายด้วยการเหน็บ
“มีความคืบหน้าอะไรบ้างมั้ย หรือว่าต้องการเงินเพิ่ม”
“แหม พูดยังกับว่าผมเป็นขอทานมาไถเงินคุณเฉยๆงั้นแหละ”
“ก็ทุกครั้งที่เจอกัน มันลงเอยที่ผมต้องหาเงินให้พี่จอนทุกครั้งไป”
“มันจำเป็นต้องใช้ มันก็ต้องขอกันตรงๆสิ แต่วันนี้ไม่ วันนี้ผมมาเอาคำยืนยันจากคุณภากร”
“ยืนยันอะไร”
“ยืนยันว่า เงินสิบห้าล้านจะถึงมือผม ทันทีที่คุณอมาวสีถึงมือคุณภากร”
ภากรอึดอัดขึ้นมาทันที
“ผมยืนยันอย่างนั้นไม่ได้หรอก”
“ถ้าอย่างนั้นผมอาจจะต้องวางมือนะครับ”
“ผมบอกแล้วไง ว่าถ้าไอ้ราชอยากได้นักหนาก็ให้มันไปเลย ผมไม่สนใจแล้ว”
ไอ้จอนเริ่มไม่พอใจขึ้นมาบ้าง
“แต่พ่อเลี้ยงยังสนใจเงินที่คุณเป็นหนี้เขาอยู่นะครับ”
“พี่จอนนัดให้เขามาเจอผมเลยแล้วกัน ผมจะให้ทั้งหมดเท่าที่ผมมี ถ้ายังไม่พอจะฆ่าจะแกงกันก็เอากันตรงนั้นเลย”
จอนนิ่งไปนิดหนึ่ง แววตาของมันกร้าว ดุดัน และ น่ากลัว
“แล้วคุณจะเสียใจที่ตัดสินใจอย่างนี้ เพราะคุณจะไม่ได้อะไรเลย ซึ่งตรงข้ามกับไอ้ราชโดยสิ้นเชิง...เพราะมันจะได้ทุกอย่าง ที่ควรจะเป็นของคุณ”
ภากรบอกปลงๆ ว่า “ผมปล่อยวางแล้วครับ”
บ้านเช่าของสีไพรและนายสุดในบรรยากาศเงียบสงัดของยามค่ำคืน มีเสียงสีไพรก้มหน้าอาเจียนเหมือนเช่นเคย ภากรเข้ามาในบ้าน เดินมาส่งน้ำให้ดื่ม
“หมอเขาว่ายังไงบ้าง...ทำไมถึงแพ้ท้องนานจัง”
“เอาแน่ไม่ได้หรอกค่ะ หมอบอกว่าแต่ละคนจะมีอาการแพ้ ไม่เหมือนกัน”
“แต่อย่างอื่นปกติดีใช่มั้ย เด็กในท้องแข็งแรงใช่มั้ย”
“ค่ะ”
ภากรก้มตัวลงไป เอาหูแนบที่ท้องของสีไพร
“ผู้หญิงหรือผู้ชายนะ ลูกพ่อ...เราไปทำอัลตร้าซาวน์ดูดีมั้ย”
“ไพร ไม่อยากรู้ก่อนค่ะ ไพรอยากเห็นวันนั้นเลย ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย ไพรก็รักค่ะ”
ภากรพูดกับเด็กในท้อง “พ่อก็เหมือนกันจ้ะ”
“ถ้าเลือกได้...คุณภากรอยากได้ผู้หญิงหรือผู้ชาย”
ภากรยิ้ม “ถ้าเป็นผู้หญิง ขอให้งามอย่างสีไพร ถ้าเป็นผู้ชาย ขอให้ดีกว่าพ่อมันหลายร้อยเท่า แค่นั้นฉันก็พอใจแล้ว”
“แล้ว คุณพ่อคุณแม่ของคุณภากร ท่านจะยอมรับหลานคนนี้มั้ยคะ”
ภากรนิ่งอึ้งไป
“ฉันยังตอบไม่ได้ เหมือนกันบางทีเราอาจจะต้องแยกบ้านไปอยู่กันตามลำพัง สีไพรอยู่กับฉันได้มั้ย”
“คุณภากรอยู่ที่ไหน สีไพรก็อยู่ได้ค่ะ แต่พ่อล่ะคะ”
“ก็ให้พ่อสีไพรไปอยู่ด้วยกันกับเราไง พ่อของสีไพรเป็นผู้ใหญ่ใจดี ท่านจะต้องเป็นคุณตาที่บ้าเห่อ ต้องเห่อหลานมากแน่ๆ”
นายสุดเดินเข้ามาทันได้ยินพอดี ภากรหันมามองหน้าพ่อตา
“ผมเห่อก็แต่หลาน ผมไม่ได้เห่อคุณนะ อย่าลืม”
ส่วนที่บ้านพิชิตพงษ์ คืนเดียวกันนั้น ท่านกวีนั่งดื่มเหล้าอยู่เพียงลำพังกลางโถง คุณหญิงอำภาเดินเข้ามานั่งข้างๆ สามี เงียบๆ
“คุณไม่ไปงานเลี้ยงพรรคเหรอคะ วันนี้”
“ดินเนอร์ทอล์คของหัวหน้าพรรค งานเลี้ยงระดมทุนเข้าพรรค ผมไม่มีหน้ามีตาพอกับงานนี้”
“คุณคิดเอาเองมั้งคะ”
“ถ้าผมไป ทุกคนก็จะถามแต่เรื่องส่วนตัวของผม เรื่องในครอบครัวของเรา เรื่องลูกชาย เรื่องว่าที่ลูกสะใภ้หายไป...โอ๊ย ผมเบื่อ ผมไม่อยากตอบคำถามพวกนี้”
“คนเป็นนักการเมืองเลี่ยงสิ่งนี้ไม่ได้หรอก คุณก็รู้”
ท่านกวีกรอกเหล้าใส่ปากจนหมดแก้ว ท่าทีของเขาดูเหมือนคนสิ้นหวัง
“นอกจากเป็นนักการเมืองแล้ว ผมยังเป็นอะไรได้อีกมั้ย”
“เป็นหัวหน้าครอบครัวไงคะ เป็นสามี เป็นพ่อ”
“เป็นพ่อที่ถูกลูกทอดทิ้ง มีลูก ลูกก็ไม่อยู่บ้าน มีหลาน หลานก็หายสาบสูญ เฮ้อ…ผมไม่ควรตบหน้ามันเลย”
อำภาค่อยๆจับมือกวีเป็นการปลอบโยน
“คุณรู้สึกมั้ย ว่าบ้านเรามันเงียบเหงามากขึ้นเรื่อยๆ”
สองผัวมียนั่งนิ่งอยู่กลางโถงบ้านพิชิตพงษ์ ให้ความเงียบทำหน้าที่ของมันไป
ขณะเดียวกัน ที่บ้านเช่าไอ้จอน อมาวสีนั่งเขียนบันทึกลงในสมุดเล่มเก่าๆ ที่สายบัวหามาให้ เสียงอมาวสีดังออกมาจากบันทึกนั้น
“จะมีใครซักกี่คน ที่ถูกโชคชะตากลั่นแกล้งได้อย่างฉัน อยู่ๆ ก็ถูกจับตัวมากักขัง สองครั้งติดๆกัน ครั้งแรกเกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว แม้จะต้องอยู่ในที่แปลกตา กับคนแปลกหน้า แต่ไม่นาน ฉันกลับรู้สึกคุ้นเคยเหมือนเป็นบ้านของฉันเอง...คงเป็นเพราะเขาคนนั้นละมั้ง”
เป็นเวลาเดียวกับที่ราชนั่งอ่านบันทึกเล่มของอมาวสีที่เอามาจากบ้านไร่
“คนที่เป็นต้นคิดทุกอย่าง ผู้ชายปากแข็ง ที่ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ เขาจะรู้สึกยังไงนะ ถ้ารู้ว่า ฉันกำลังตกอยู่ในสภาพที่ต่างไปจากการกักขังครั้งแรกอย่างมาก เขายังอยากที่จะช่วยเหลือฉันเหมือนที่แล้วมาบ้างไหม...เขาจะคิดถึงฉันบ้างหรือเปล่า”
อมาวสี ยังคงเขียนบันทึกเล่มนั้นอยู่ในห้องคุมขัง แววตาของเธอ เหงา เศร้า น่าสงสารยิ่งนัก
“หรือจะมีเพียงฉันที่กำลังคิดถึงเขา ฉันกำลังคิดถึงสิ่งที่ขาดหายไป และไม่รู้ว่าวันใดที่มันจะหวนคืนกลับมาดังเดิม”
จอนเดินกลับเข้าบ้านมา ท่าทางของมันหงุดหงิด งุ่นง่านเป็นที่สุด สายบัวปรี่เข้าไปใกล้
“เป็นไงบ้างพี่ หน้าตาเครียดเชียว”
“ผิดแผนว่ะ...ไอ้ภากรมันทิ้งทุ่นอีนี่แน่ๆแล้ว”
“ฉันว่าแล้วเชียว พี่ส่งตัวอีนี่ให้ไอ้ราชก็จบ”
“ไม่มีทาง ขืนทำอย่างนั้น เราจะไม่ได้อะไรเลย”
“งั้นพี่จะเอายังไง”
“เก็บอีนี่ไว้ก่อน รอเวลาที่ค่าตัวมันสูงขึ้น เราอาจจะเรียกเอาจากนายกวีอามันเลยก็ได้”
“อันตรายนะพี่”
“เหอะน่า ไม่อันตรายก็ไม่ได้ตังสิวะ...”
“แต่ฉันว่าเรายังมีทางเลือกอื่นอีกนะ”
“ทางไหน”
“ระหว่างรอเวลาอัพค่าตัวนังนี่ พี่ก็ไปเอามรดกมาจากลุงที่ภูเก็ตก่อนสิจ๊ะ”
“เอ้อ...ความคิดเข้าท่า สมเป็นเมียสุดที่รักของพี่จริงๆ เลยสายบัว”
“พี่ไปพรุ่งนี้เลยดีมั้ยจ๊ะ” สายบัวปะเหลาะ
“ดี...พรุ่งนี้ เราจะไปภูเก็ตด้วยกันทั้งสามคน”
สายบัวชะงัก “สามคน”
“ใช่ เราจะเล่นน้ำทะเลอย่างมีความสุขด้วยกัน ที่เกาะรักษ์เล”
จอนเดินออกไปอย่างมีความสุข สายบัวถึงกับอึ้ง ผิดแผนเช่นกัน
จอนเปิดประตูห้องเข้ามา อมาวสีรีบหยุดการเขียนบันทึก หันมาตั้งท่ารัดกุมทันที
“เหงามั้ยจ๊ะ”
“เหงาหรือไม่เหงา เกี่ยวอะไรกับแก...แกจะทำอะไรฉัน”
“ทำได้ก็ดีน่ะสิ...อีสายบัวมันขวางอยู่ทั้งคน”
“งั้นก็ออกไปได้แล้ว ฉันจะนอน”
“งั้นก็ขอให้นอนหลับฝันดี ตื่นมาพรุ่งนี้เตรียมตัวไปทะเล”
อมาวสีงง “ทะเล”
“ฉันจะหาชุดว่ายน้ำสวยๆไว้ให้ใส่นะ”
สายบัวเดินเข้ามา ส่งเสียงแหวใส่ดังลั่น “พี่จอน”
“อะไร”
“ฉันอยู่กับพี่มากี่ปี ยังไม่เคยมีชุดว่ายน้ำสักชุด”
“อย่างเอ็งมันแก้ผ้าอาบน้ำกับข้าจนเคยตัวแล้ว จะใส่ชุดว่ายน้ำทำไมให้เปลืองตังค์...นัดรถตู้เจ้าเดิมให้ด้วยนะ”
จอนเดินออกไปจากห้อง อมาวสีรีบกระซิบถามสายบัว
“ฉันต้องไปภูเก็ตจริงๆเหรอ”
สายบัวส่ายหน้า “พรุ่งนี้เธอจะได้กลับไปหาผัวแน่...ฉันรับรอง”
ตกกลางคืน ลุงรักษ์นั่งพูดโทรศัพท์กลางระเบียงริมทะเล
“ลุงกำลังคิดถึงราชอยู่พอดี คิดถึงปุ๊บก็โทรมาปั๊บ อย่างนี้ต้องอายุยืนแน่ๆ”
ราช นั่งพูดโทรศัพท์สบายๆ กลางออฟฟิศในบ้าน
“ยกให้ลุงครับ ผมไม่อยากอายุยืน”
“แสดงว่ามีเรื่องไม่สบายใจละซี ถึงได้โทร.มาหาลุง”
เสียงราชบอกว่า “ไม่รู้สิครับ...อยู่ๆ ก็คิดถึง”
“พูดเป็นลางนะเราเนี่ย” ลุงรักษ์เย้า
ราช พูดสิ่งที่อยู่ในใจเขาออกมา
“คุณลุงครับ ผมเคยทำอะไรให้ลุงไม่สบายใจบ้างมั้ยครับ”
เสียงรักษ์ย้อนถามมาว่า “ถามทำไม”
“ผมรู้สึกว่า ผมทำอะไรหลายๆอย่างที่ไม่เหมาะสมกับการเป็นหลานของลุง ไม่เหมาะสมกับการเป็นผู้สืบทอดตระกูลรัชภูมิเลย”
“แล้วหลานต้องทำยังไงถึงจะเหมาะสมล่ะ”
“ผมควรจะอยู่ข้างๆคุณลุง และทำงานทุกอย่างแทนลุง เพื่อให้ลุงได้มีเวลาพักผ่อนสบายๆ ไม่ต้องตรากตรำทำงานหนักเหมือนที่ผ่านมา ลุงครับ ผมสัญญาว่า เมื่อผมเคลียร์ทุกอย่างจบหมดแล้ว ผมจะกลับไปหาลุงและทำอย่างที่ผมพูดทันที”
“ลุงดีใจที่ได้ยินอย่างนี้ ถ้าอยู่ใกล้ๆ จะกอดให้แน่นเลย แต่แกคงอยากกอดคนอื่นมากกว่าลุงละมั้ง”
“ผมดีใจครับ ที่ได้มีโอกาสเป็นหลานของลุง”
“ลุงดีใจมากกว่า ที่มีหลานโผล่มาต่อชีวิตให้ลุง”
วันต่อมา สายบัวออกจากบ้านแต่เช้า กลับมาพร้อมกับวางตั๋วเครื่องบินลงเบื้องหน้าจอน ที่มองมาอย่างงุนงงปน แปลกใจ
“นี่อะไร”
“ตั๋วเครื่องบินไปภูเก็ต”
“ฉันบอกให้นัดรถตู้ ฉันจะขับรถไปเอง ฉันไม่ชอบเครื่องบิน”
“เครื่องบินน่ะละดีแล้ว พี่จะได้รีบไปรีบมา จะขับรถให้เหนื่อยทำไม”
“แล้วทำไมมีตั๋วใบเดียว...พวกเอ็งล่ะ”
“ฉันอยู่รอพี่ที่นี่ดีกว่า ขืนเอาอีนี่ไปด้วย จะนั่งรถหรือเครื่องบินก็เหอะ ใครเห็นเข้าก็ซวยสิ เผื่อนางแหกปากตะโกนขึ้นมาจะว่ายังไง”
จอนคิดตามอย่างเป็นเหตุเป็นผล
“เครื่องออกกี่โมง”
“บ่ายสองวันนี้”
“ขากลับล่ะ”
“พรุ่งนี้สองทุ่ม”
“งั้นเช้านี้ เรายังมีเวลามานอนนวดกันซักดอกสองดอก...มา”
จอนลากสายบัวเข้าห้องนอนของตนไป
เช้าวันเดียวกันนี้คุณหญิงทิพย์สุดาก้าวเดินเข้าไปในบ้านพักของราช ผู้เป็นเจ้าของบ้านเงยหน้ามอง ไม่ยินดียินร้ายใดๆ
“ฉันจะไปมาหาสู่เธอบ้าง คงไม่แปลกอะไรใช่มั้ย ในฐานะ ลูกพี่ลูกน้องกัน”
“เชิญนั่งก่อนสิครับ”
“ไม่ละ ฉันแค่แวะมาดูความเป็นอยู่ของเธอเท่านั้นเอง ยังอยู่ตัวคนเดียวใช่มั้ย”
“ครับ”
“ท่าทางจะมีศัตรู ไม่น้อยเลยนะ ดูจากบาดแผลที่เห็นบนหน้าเธอ”
“งั้นมั้งครับ”
ม.ร.ว.หญิงทิพย์สุดาเดินไปรอบๆ บ้าน ทำตัวสบายๆ เพื่อสร้างความคุ้นเคย
“เธออาจจะยังประดักประเดิดกับการสร้างสัมพันธ์ภาพกับลูกพี่ลูกน้องที่เพิ่งรู้จักกัน...ไม่เป็นไร อีกสักพักก็คงจะคุ้นเคย...ฉันถามเธอตรงๆ หน่อยสิ”
ราชมองหน้ารอฟัง
“เธออยากมีบ้านหลังใหญ่กว่านี้มั้ย...ใหญ่ขนาดบ้านพิชิตพงษ์น่ะ”
ราชมองหน้าคุณหญิงทิพย์สุดานิ่ง ไม่มีคำตอบให้
“วันนึงมันจะเป็นของเธอนะ ภาคย์”
คุณหญิงทิพย์สุดา เดินตัวตรงออกไป
ราชมองตามครุ่นคิดสักครู่ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เขารีบกดปุ่มรับสายทันที
“ฮัลโหล”
เสียงสายบัวบอกมาว่า “บ่ายสี่โมงเย็น ที่หมอชิต รอรับเมียนายได้เลย”
“ว่าไงนะ”
เสียงสายบัวอีกว่า “มาคนเดียว ถ้ามีตำรวจหรือคนอื่นมาด้วย นายจะไม่มีวันได้เจอหน้านังนี่อีก”
สายบัวยืนพูดโทรศัพท์ มุมห้อง
“อ้อ...ติดเงินมาซักสี่หมื่นด้วยนะ...ขอเป็นทุนให้ฉันตั้งตัวบ้าง...แล้วเจอกัน”
สายบัวกดปุ่มยกเลิกการสนทนา ทันที
อมาวสี นั่งมองแผ่นไม้แกะสลักในมือ สายบัวเปิดประตูเข้ามาในห้อง พร้อมจานอาหาร
“รีบกินข้าวซะ ถ้าไม่อยากเป็นลมกลางทาง”
“ฉันไม่หิว”
“ตามใจ...เราจะออกเดินทางบ่ายโมง อย่าอืดอาดยืดยาด และอย่ามีพิรุธให้พี่จอนเห็น”
อมาวสีพยักหน้ารับคำ เธอหยิบสมุดบันทึกและแผ่นไม้ใส่ลงในถุงใกล้ตัว
“ทำอะไรน่ะ”
“ฉันอยากเก็บสมุดเล่มนี้ไปด้วย เอาไว้เป็นที่ระลึก...ไม่ได้เหรอ”
“แล้วนั่นล่ะ แผ่นไม้อะไร...เครื่องรางเหรอ”
“ของขวัญวันเกิดของฉัน...ของขวัญชิ้นเดียวที่ฉันมี ฉันอยากให้มันอยู่ใกล้ๆ ตัว”
จอนเดินยิ้มเผล่เข้ามาในจังหวะนี้
“ว่าไง สาวๆ...ซุบซิบความลับอะไรกันไม่ให้พี่จอนรู้รึเปล่า”
“อีนี่น่ะสิ หาว่ากับข้าวไม่อร่อย ไม่ยอมกิน เดือดร้อนฉันต้องไปหาซื้อให้มันใหม่”
“เรื่องเล็กนิดเดียว อย่าบ่นนักเลยน่า”
“ไม่บ่นก็ได้ เอาตังค์มา”
จอนส่งเงินให้สายบัวที่แบมือรอ
“พี่ไม่อยู่ซักสองวัน อย่ามีเรื่องทะเลาะกันล่ะ อยู่กันดีๆ...แล้วพี่จะเก็บหอย ปูปลามาฝาก” จอนกระซิบที่หูอมาวสี “คิดถึงพี่บ้างนะจ๊ะคนสวย”
จอนหันมาหอมแก้มสายบัวแล้วเดินร่าเริงออกไป
สายบัวและอมาวสี มองหน้ากัน
อีกฟากหนึ่ง นายตำรวจที่รับงานสืบการหายตัวไปของอมาวสี เดินเข้ามากลางโถงบ้านพิชิตพงษ์ จันเดินเข้าไปต้อนรับ
“คุณหญิงอำภาอยู่มั้ย ผมขอคุยธุระสำคัญด้วยสักครู่ ไม่นานหรอก”
“หนูขอไปเรียนท่านก่อนนะคะ”
“บอกท่านว่า เกี่ยวกับเรื่องคุณอมาวสี”
คุณหญิงอำภาก้าวเข้า บริเวณห้องโถงรับแขกแทบจะทันที
“มีความคืบหน้าเรื่องหนูอ้อเหรอคะ”
“ครับผม...ทางการข่าวของเราทราบว่า มีบ้านเช่าหลังหนึ่งย่านซอยอารีย์ ถูกใช้เป็นแหล่งกบดานของพวกสิบแปดมงกุฎกลุ่มหนึ่ง...ซึ่งเป็นไปได้ว่า คุณอมาวสีอาจถูกกักตัวไว้ที่นี่”
คุณหญิงประหลาดใจ “ใจกลางเมืองนี่เองเหรอคะ”
“การข่าวบอกว่า น่าจะเพิ่งย้ายตัวมาจากไร่แถวสีคิ้ว”
“งั้นฉันจะรีบแจ้งท่านกวีให้ทราบเลย”
“อย่าเพิ่งแจ้งท่านดีกว่าครับ ผมรู้สึกว่าช่วงนี้ท่านกวีดูจะมีเรื่องเครียดหลายเรื่องผมเลยเลือกที่จะมาแจ้งทางคุณหญิง...ถ้าเป็นไปได้ เราจะจู่โจมคืนนี้เลยครับ...ผลเป็นยังไง ผมจะคอยส่งข่าวครับ”
“ขอบคุณนะคะ”
ที่สถานีขนส่งหมอชิต ท่ามกลางผู้คน ราชยืนอยู่ตรงจุดที่สามารถมองเห็นพื้นที่ได้โดยรอบ สายบัวในชุดอำพรางตน ต่างไปจากบุคลิกเดิม เธอเดินมายืนข้างๆ ราช เอ่ยปากพูดลอยๆ โดยไม่มองหน้าราช
“เอาตังค์มารึเปล่า”
ราชหันมามองสายบัว งงๆ
“ไม่ต้องมองหน้าฉัน แค่ตอบมาว่า เอาตังค์มารึเปล่า สี่หมื่นน่ะ”
ราชเอ่ยปากพูดลอยๆตามที่สายบัวบอก
“ผมไม่นึกว่าค่าตัวอมาวสีจะถูก เพียงแค่สี่หมื่น”
“จะให้มากกว่านี้รึเปล่าล่ะ”
ราชมองหา “ไหนล่ะอมาวสี”
“ตอบให้ตรงคำถาม” สายบัวบอก
“ผมมีติดตัวมาหกหมื่น ถ้าอมาวสีปลอดภัยดี ไม่มีอะไรบอบช้ำ ผมให้ทั้งหมดเลยก็ได้”
“จะตรวจเช็คสินค้าก่อนเหรอ”
“ไม่มีเหตุผลอะไรที่ผมจะยอมเชื่อใจคุณง่ายๆ”
“งั้นก็รู้ไว้ด้วยว่า ที่ฉันทำอยู่นี่ก็ไม่ได้ง่ายเลย...ถ้าไม่ไว้ใจกันก็แยกย้ายกันไป แต่ถ้าจะลองเสี่ยงเชื่อใจฉันก็ส่งเงินมา”
ราชนิ่งคิดนิดหนึ่ง ก่อนควักเงินส่งให้ หกหมื่นบาท
สายบัวก้มหน้านับเงิน
“ไหนล่ะ อมาวสี” ราชร้อนใจ
สายบัวยื่นโทรศัพท์ให้ราชพูด
เขาเรียกชื่อทันที “อมาวสี”
เสียงอมาตอบมาว่า “คุณราช”
ราชใจชื้น “คุณอยู่ที่ไหนน่ะ ปลอดภัยรึเปล่า”
เสียงอมาบอกอีกว่า “ฉันปลอดภัยดี...ตอนนี้อยู่ที่บ้านแก้ว”
“บ้านแก้ว” ราชแปลกใจ
สายบัวรีบดึงโทรศัพท์กลับมา
“ฉันไม่โง่พานังนั่นมาที่นี่หรอก เผื่อนายเอาตำรวจมา ฉันจะทำยังไง”
สายบัวนับเงินเสร็จ
“คุณให้ฉันมาหกหมื่น...แต่ฉันขอแค่สี่...อ้ะ คืนสองหมื่น”
สายบัวส่งเงินคืนให้ราช ราชรับเงินด้วยความแปลกใจ
“คนอย่างฉันพูดคำไหนเป็นคำนั้น สี่หมื่นก็คือสี่หมื่นเอาละแยกกันตรงนี้ หวังว่าเราจะไม่ได้เจอกันอีกนะ”
“แล้ว ไอ้จอนล่ะ”
“ช่างหัวมันเถอะ ผัวเลวๆ อย่างนี้ ฉันตัดหางปล่อยวัดไปแล้ว อ้อ ดูแลเด็กในท้องให้ดีนะ...พ่อ หล่อ แม่สวย รับรองลูกต้องออกมาน่ารักแน่ๆ”
สายบัวเดินนวยนาดหายไปในกลุ่มคน ท่ามกลางความงุนงงของราช
อ่านต่อหน้า 4
หัวใจเถื่อน ตอนที่ 13 (ต่อ)
ในเวลาต่อมา ที่ร้านสะดวกซื้อใกล้บ้านแก้ว ไอ้ทินยืนพูดโทรศัพท์อยู่ในแถวลูกค้าที่รอจ่ายเงินตรงหน้าเค้าน์เตอร์
“ฮัลโหล...ยอดชายนายประทินรับสายครับ...จะพูดกับใครไม่ทราบครับ”
ราชขับรถพร้อมกับพูดโทรศัพท์มือถือผ่านระบบบลูทูธ
“พูดกับมึงนั่นแหละ”
เสียงทินร้อง “อุ้ย”
“อยู่ไหนเนี่ย อยู่ที่บ้านแก้วรึเปล่า อมาวสีอยู่ที่นั่นด้วยใช่มั้ย เขาเป็นยังไงบ้าง ขอฉันพูดกับเขาหน่อยซิ” ราชร้อนใจถามเป็นชุด
“ใจเย็นๆ สิครับบอส...ร้อนรนจนฟังไม่รู้เรื่องแล้ว”
เสียงราชบอกว่า “ขอพูดกับอมาวสีหน่อย”
“ทำไมไม่โทร.เข้ามือถือเธอล่ะครับ”
“ฉันไม่รู้เบอร์ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาใช้มือถือของใคร ฉันก็เลยโทรหาแกนี่ไง ก็แค่ไปเรียกให้อมาวสีมาคุยกับฉันเท่านั้น มันยากเย็นอะไรนักหนาวะ”
“ยากครับ เพราะว่าผมไม่อยู่บ้าน ผมออกมาหาซื้ออาหารที่ซุปเปอร์ เพราะว่าคุณอมาวสี หิว และดูอ่อนเพลีย ผมก็เลยจัดที่ทางให้เธอนอนตากลมเย็นๆ สบายๆ ส่วนผมก็ออกมาซื้ออาหารจำพวกปิ้งย่าง กลับไปทำให้เธอทาน...หรือบอสอยากให้ซื้ออะไรเพิ่มเติม ก็บอกได้นะครับ และอย่าลืมมาจ่ายตังค์ด้วย ผมขอต๊ะเขาไว้ก่อนน่ะ...ฮัลโหลๆๆๆๆๆ บอส บอสครับ”
ราชขับรถมุ่งหน้ากลับบ้านแก้วราวกับจะบิน สีหน้าเบิกบาน แววตามุ่งมั่นและมีความหวัง
เชื่อว่าตอนนี้เพลงรักหวานซึ้งจะดังกังวานขึ้นในใจเขาอีกครา
ฟากอมาวสีนอนหลับตาพริ้ม ราวกับเด็กน้อย อยู่กลางโถงบ้านแก้วอันแสนอบอุ่น
อีกฟากหนึ่ง รถแท็กซี่คันนั้นแล่นไปบนถนนหลวง สายบัวนั่งอยู่ในรถแท็กซี่นั้น ทอดสายตามองไปไกลอย่างมีความหวัง
สายบัวลงรถแล้ว ยืนพูดโทรศัพท์อยู่ริมถนนใจกลางเมืองหลวง
“คุณภากรเหรอคะ...จูดี้เองค่ะ”
ภากรยืนพูดโทรศัพท์อยู่หน้าบ้านสีไพร
“มีอะไรเหรอ จูดี้”
“จูดี้คิดถึงคุณภากรมากเลยนะคะ”
“จูดี้คิดถึงผม หรือว่าพ่อเลี้ยงคิดถึงผม กันแน่”
“จูดี้สิคะ จูดี้วางมือแล้วค่ะ จูดี้เลิกทุกอย่างแล้วค่ะ รวมทั้งกับพี่จอนจูดี้ก็เลิกแล้ว”
ภากรงง “พี่น้องเลิกกันได้ด้วยเหรอ”
“ได้สิคะ จูดี้จะได้คิดถึงคุณภากรคนเดียว...อยู่ที่ไหนคะ จูดี้ไปหานะคะ กำลังจะไปโรงพยาบาลเหรอคะ ไปทำอะไรคะ แผลเก่ายังไม่หายดีเหรอ...น่าสงสารจัง” สายบัวพูดเองเออเองเสร็จสรรพ
ต่อมาไม่นาน ภากรอยู่ที่โรงพยาบาล ประคองสีไพรเดินตรงไปยังบริเวณฝากครรภ์
ขณะเดียวกันรถแท็กซี่จอดตรงหน้าโรงพยาบาล สายบัวก้าวลงจากรถ เดินเข้าโรงพยาบาลอย่างรวดเร็ว
สายบัว เดินพูดโทรศัพท์ไปตามทางเดินในโรงพยาบาล
“ฮัลโหล คุณภากร...คุณภากรอยู่ตรงไหนของโรงพยาบาลคะ”
ภากรนั่งพูดโทรศัพท์อยู่บริเวณโถงรอรับยา สีไพรนั่งอยู่ข้างๆ ภากร ไม่ไกลนัก
“เอ้อ จูดี้มาถึงแล้วเหรอ”
“ไม่บอก แต่ถ้าคุณภากรคิดถึงจูดี้ปุ๊ป จูดี้จะโผล่หน้าไปอยู่ข้างๆคุณภากรปั๊บทันทีเลย ไม่เชื่อลองคิดถึงดูสิ”
“จูดี้ ผมไม่มีเวลาพูดเล่นนะ ผมกำลังยุ่ง”
“ชั้นล่าง ห้องตรวจ...หรือห้องรับยา หรือห้องจ่ายเงิน”
“เดี๋ยวผมโทรกลับนะ...แป๊บนึง”
เสียงจูดี้ดังออกมาว่า “จูดี้จะซื้อขนมไปฝากนะคะ”
ภากรกดปุ่มยกเลิกการสนทนา เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลเดินตรงมาที่ภากร
“คุณภากรคะ...ขอบคุณนะคะที่ไว้ใจให้เราดูแล รับฝากครรภ์บุตรของคุณภากร...ก่อนอื่นต้องขอแสดงความยินดีกับคุณภากร และคุณสีไพร ภรรยาด้วยนะคะ สุขภาพทั้งแม่และเด็กแข็งแรง สมบูรณ์ทุกประการ”
สายบัวเดินเข้ามาพร้อมกับถุงขนมในมือ เธอก้าวเข้ามาทันได้ยินบทสนทนานี้พอดี
ภากรและสีไพร มองหน้ากันอย่างมีความสุข
“ในโอกาสนี้ เรามีข้อเสนอที่ดีมาแนะนำคุณภากรค่ะ...เป็นโปรโมชั่นใหม่ของทางโรงพยาบาล แบบครบวงจรสำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ ไม่ว่าจะเป็นห้องพักอย่างดี ทั้งก่อนและหลังคลอด เพื่อให้คุณพ่อก็สามารถนอนเฝ้าทั้งแม่และลูกได้อย่างใกล้ชิดที่โรงพยาบาลเรานี่เอง”
สายบัว อึ้ง ตกตะลึง แทบช็อก พอได้สติก็หันตัวกลับเดินเลี่ยงออกไปจากโถงแห่งนี้
สายบัวหย่อนถุงขนมทิ้งลงไปในถังขยะใกล้ตัว ก่อนจะเดินตัวลีบ พาตัวเองออกไปจากตรงนั้นให้พ้นๆ
ตรงบริเวณอีกมุมหนึ่งในโถงรอรับยา ภากรกำลังกดโทรศัพท์มือถือสีหน้านิ่งเครียด สีไพรชะเง้อดูอาการของเขาด้วยความเป็นห่วง
“คุณภากร มีเรื่องอะไรรึเปล่าคะ”
“ไม่มีอะไรจ้ะ”
“สีไพรทำอะไร ให้คุณภากรลำบากใจรึเปล่า”
“เปล่าเลย...มันเป็นภาระของฉันเอง ที่ฉันต้องสะสางให้มันจบๆไป มันเป็นหนี้สิน ที่ฉันทำไว้ในเวลาที่ฉันยังเหลวไหลอยู่...แต่มันจะไม่เกิดขึ้นอีก ฉันสัญญา”
สัญญาณโทรศัพท์มีคนรับพอดี ปลายสายคือสายบัว
“ฮัลโหล จูดี้”
สายบัวนั่งพูดโทรศัพท์อยู่ในมุมสงบสงัด ตรงบริเวณบันไดหนีไฟหลังโรงพยาบาล
“สายบัวค่ะ...ฉันชื่อสายบัว”
“เหรอ ฉันไม่เห็นรู้เลย”
“มีหลายอย่างที่คุณภากรไม่เคยรู้...แต่ตอนนี้คุณควรจะรู้ได้แล้ว”
เสียงภากรถามว่า “เกี่ยวกับพ่อเลี้ยงรึเปล่า”
“ไม่มีพ่อเลี้ยง ไม่มีบ่อนอะไรทั้งนั้น มันคือการจัดฉากขึ้นมาเพื่อหลอกเอาเงินคุณภากร ด้วยฝีมือและความคิดของพี่จอนทั้งหมด”
ภากรอึ้ง “อ้าว...ทำไมพี่ชายเธอทำกับฉันอย่างนี้ล่ะ”
“เขาไม่ใช่พี่ค่ะ เขาเป็นผัวฉันเอง แต่วันนี้ฉันเลิกกับมันแล้ว คุณภากรไม่ต้องตกใจนะ ไม่มีพ่อเลี้ยงที่ไหนมาขู่เอาเงินจากคุณทั้งนั้น...ขอให้สบายใจได้”
“จริงเหรอ”
“จริงค่ะ ขอให้มีความสุขกับเมียและลูกนะคะ สายบัวขอโทษสำหรับทุกอย่างที่ทำผิดไป ลาก่อนค่ะ”
สายบัวกดปุ่มเลิกการสนทนา เธอนั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่เพียงลำพัง
ภากรวางโทรศัพท์มือถือลงข้างตัว หน้าตาเขาดูโล่งอกโล่งใจขึ้นมาก สีไพรกระเถิบเข้ามาถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง
“เป็นยังไงบ้างคะ”
“โล่งใจจ้ะ...ฉันรู้สึกโล่งใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แสดงว่า ลูกต้องเป็นสัญญาณนำโชคให้ฉันแน่ๆ”
วันเดียวกัน
กลางโถงชั้นบนของบ้านแก้ว อมาวสีนอนสบายอยู่บนโซฟาใหญ่ แสงสีส้มของแดดบ่ายแก่ๆ จวนเย็นฉาบทับเรือนร่างของเธอ ดูงดงามยิ่ง
อมาวสีค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้น เธอลุกขึ้นเดินไปตรงระเบียง เมื่อมองลงไปเบื้องล่าง เห็นรถสปอร์ตที่คุ้นตาคันนั้นจอดนิ่งอยู่
หัวใจอมาวสีเต้นโครมคราม ดวงตาเบิกโพลง เธอขยับตัว หันกลับ ก้าวขาเตรียมจะวิ่งลงไปยังชั้นล่าง
แต่แล้วก็เห็นร่างของ ราช รัชภูมิ ยืนตระหง่านอยู่กลางโถงชั้นบนนี่เอง ทั้งสองยืนแน่วนิ่งสบตากัน เนิ่น นาน ด้วยความรู้สึกที่เต็มตื้นอยู่ในใจสองดวง มันทำให้เขาและเธอ ต่างเปิดปากเอ่ยคำออกมาได้อย่างยากเย็น
“อมาวสี” ราชเอ่ยขึ้นก่อนเสียงอย่างหล่อ
“คะ” อมาวสีขานรับเสียงนุ่ม
“คุณปลอดภัยดีใช่มั้ย”
“ค่ะ”
“ยินดีต้องรับกลับสู่บ้านแก้ว”
ราชค่อยๆ ผายมือทั้งสองของเขาออก เปิดวงแขนให้กว้างขึ้น ทั้งคู่จ้องตากันอีกครั้ง ต่างฝ่ายต่างผวา โผเข้าหาด้วยแรงดูดดึง กอดรัดกันแน่น เต็มรัก เต็มด้วยความรู้สึกลึกล้ำในใจ
เชื่อเถอะว่า เพลงรักดังกังวาน สนั่นบ้านแก้วเป็นที่เรียบร้อย
ยามเย็นแดดกำลังสวยแจ่มงามตา หนุ่มสาวทั้งสอง เขาและเธอเดินเคียงมานั่งคุยกันในมุมที่สวยงามของบ้านแก้ว
“คุณบอกสายบัวว่า ท้องกับผมเหรอ” ราชเยื้อนยิ้ม ขำนิดๆ
อมาวสียิ้มอายๆ นิดหนึ่ง ก่อนเอ่ยปากตอบออกมาว่า
“มันเป็นข้ออ้างเดียว เท่าที่ฉันพอจะนึกได้ เพื่อให้เขาปล่อยตัวฉัน”
ราชยิ้มบางๆ
“แล้วมันก็ได้ผล” เธอว่า
ราชยิ้มกว้างมากขึ้น
“คุณยิ้มอะไร”
“ผมกำลังจินตนาการว่า ผมกำลังจะเป็นพ่อคน แล้วหน้าตาของลูกผมจะเป็นยังไงนะ”
อมาวสีหมั่นไส้ จนค้อนควักใส่ “ไม่เห็นต้องคิดถึงขนาดนั้นเลย มันไม่ใช่เรื่องจริงซักหน่อย”
“เรื่องไม่จริงนี่แหละครับที่ทำให้คนเรามีความสุข”
ราชและอมาวสีมองหน้า สบตากันลึกซึ้งอีกคราครั้ง
“ทำไมถึงเลือกมาที่นี่” เขาถาม
เธอเฉไฉไปว่า “สายบัวกลัวถูกหักหลังค่ะ เขาไม่ต้องการให้ฉันอยู่ใกล้ๆ เขา เผื่อว่าคุณพาตำรวจมาบุกจับเธอ...เธอคงดูหนังฝรั่งมากไป”
“ผมหมายถึงว่า ทำไมคุณไม่เลือกกลับบ้านเลย ทำไมถึงมาที่นี่ก่อน”
อมาวสีมองหน้าราช เธอเองก็ตอบคำถามข้อนี้ไม่ได้เหมือนกัน เลยทำได้แต่อึกอักไปมา
“ฉัน...”
“ให้ผมเดานะ...ถ้าผิด คุณก็แย้งเลย”
“ฉัน...เอ้อ...”
“ไม่อยากแต่งงานกับนายภากร ไม่อยากเห็นหน้านายภากร ไม่อยากเห็นหน้าคุณอาทั้งสอง”
อมาวสีแย้ง “ไม่ถึงขนาดนั้น”
“และ คิดถึงผม”
อมาวสีไม่ตอบ เธอมองหน้าราชนิ่ง
“คุณไม่แย้งเหรอ”
“ถ้าฉันถามคุณบ้างว่า คุณกอดฉันทำไม คุณจะว่ายังไง”
ราชนิ่ง ยังไม่เอ่ยปากตอบ
“คุณไม่ตอบก็ได้ งั้นฉันเดาเอง ถ้าผิดก็แย้งมา...”
ราชเอ่ยปากสวนออกมาทันที ทุกความรู้สึกพรั่งพรูออกมาจนสิ้น
“ผมเป็นห่วงคุณ ผมไม่อยากให้คุณมีอันตรายแม้แต่นิดเดียว ผมหยิบสมุดบันทึกของคุณติดมาด้วย ผมเปิดอ่านไม่รู้กี่สิบกี่ร้อยเที่ยวผมคิดถึงคุณ...แล้วคุณล่ะ”
ทั้งสองมองหน้ากันอีกครั้ง ราชค่อยๆยกมือแตะบริเวณใบหน้าของอมาวสี
อมาวสียกมือแตะบริเวณริ้วรอย แผล บนใบหน้าราช
“ฉันทำแผลให้คุณก่อน ดีกว่ามั้งคะ”
ทั้งสองต่างยิ้มหวานให้กันและกัน
ฟากฝ่ายไอ้จอนไปถึงภูเก็ตแล้ว และกำลังเดินกร่างเข้าไปในออฟฟิศรักษ์เล แต่มันไม่เห็นใครอยู่ในบริเวณนั้น นอกจากพนักงาน บางตา คนสองคน
จอนหันไปถามพนักงานคนที่อยู่ใกล้ๆว่า “นายรักษ์อยู่มั้ย”
“ไม่อยู่ครับ” พนักงานบอก
“ไปไหน นัดฉันไว้แท้ๆ ทำไมไม่อยู่รอ”
“ท่านไปดูที่ ไปดูเกาะแห่งใหม่”
“เกาะใหม่”
“ครับ ไปกับคุณอรัญญา คุณรักษ์จะซื้อเกาะใหม่ ทำรีสอร์ทแห่งใหม่”
“โอ๊ว...รวยจริงๆลุงฉัน...กลับเมื่อไหร่”
“ไม่ทราบครับ น่าจะดึกๆ...ท่านไม่ได้บอกไว้ด้วยว่ามีนัดกับใคร”
“ไม่เป็นไร...ฉันจะรอ”
“เอ่อ คุณ...”
“ฉันจะรอตรงนี้ ฉันเป็นหลานแท้ๆของลุงทำไมจะอยู่รอไม่ได้”
“คือ ออฟฟิศจะปิดตอนห้าโมงเย็น แล้วไม่มีใครอยู่ ด้วย...เอ้อ...”
จอนสวนขึ้นมาเลยว่า “ฉันอยู่เอง ฉันอยู่ได้ ถ้าหิว ฉันหากินเองได้ ไม่ต้องห่วง”
มื้อค่ำวันนี้ อาหารจำพวกปิ้งย่างมากมาย ถูกวางลงบนตะแกรงปิ้ง ไอ้ทินทำหน้าที่ดูแลการปิ้งอยู่ใกล้ๆ ราชและอมาวสีนั่งอยู่ที่โต๊ะไม่ไกลจากเตา ทินถือจานใส่อาหารเดินไปให้ที่โต๊ะ
“ขอให้อร่อยกับอาหารมื้อนี้ และหวังว่าท้องจะไม่เสียจู๊ดๆนะครับ”
“อวยพรหรือแช่งวะเนี่ย”
“แล้วก็...ผมขอแบ่งไปฝากพ่อด้วยได้มั้ยครับ”
“เอาไปเยอะๆเลย”
“ขอบคุณแทนพ่อด้วยคร้าบ...”
ทินเดินกลับไปที่เตาปิ้ง
“เราทานอาหารเย็นกันกี่ครั้งแล้วคุณจำได้มั้ย”
“สามครั้ง”
“ผู้หญิงมักจะจำแม่นอย่างนี้ทุกคน”
“ทุกครั้ง ไม่เคยได้กินเลย...มักจะมีเรื่องให้ผิดใจกันก่อนเสมอ”
“แล้วคุณว่า มื้อนี้จะมีอีกมั้ย”
“ฉันเหนื่อยแล้วละค่ะ...ขอนิ่งๆ ไม่พูดอะไรเลยบ้างก็ได้ ไม่อยากมีเรื่องผิดใจก่อนกลับบ้าน”
“คุณอยากกลับบ้านทันทีที่อิ่มรึเปล่า”
อมาวสีเงียบ ไม่ตอบ
“อิ่มแล้วค่อยคุยกันก็ได้ครับ”
ทั้งสองนั่งกินกันไปเงียบๆ ต่างคนต่างสบตากัน ด้วยอารมณ์ลึกซึ้ง
ภากรเดินเข้าบ้านอย่างเงียบเชียบ พบว่าตรงมุมหนึ่งของห้องโถงท่านกวีนั่งดื่มเหล้าอยู่เพียงลำพัง
ภากรไม่มีท่าทีใดต่อผู้เป็นพ่อแม้แต่น้อย จนท่านกวีตัดสินใจเอ่ยปากทักลูกชาย
“พ่อขอคุยอะไรด้วยซักหน่อยสิ ภากร”
“ถ้าไม่เร่งด่วนมากนัก ผมขอเป็นพรุ่งนี้ได้มั้ยครับ ผมง่วงนอนจริงๆ”
ภากรเดินขึ้นห้องนอนไป ท่านกวีได้แต่มองตามเงียบๆ
ฟากไอ้ทินวางจานของหวานให้หนุ่มสาวทั้งสอง
“เสิร์ฟของหวานแล้ว ผมขอกลับเลยนะครับ”
“อ้าว วันนี้เธอไม่ได้นอนเฝ้าที่นี่เหรอ”
“คุณราชอนุญาตให้กลับไปหาพ่อได้ครับ จะเอากับข้าวไปฝากแกด้วย สงสารเป็นคนแก่อยู่บ้านคนเดียว งกๆ เงิ่นๆ ผมไม่อยู่ซักคนแกทำอะไรไม่ถูกหรอกครับ...เอ้อ คืนนี้...”
ราชหมั่นไส้ “แกจะพูดอะไร...ไอ้ทิน”
“คืนนี้ อากาศดี ดาวสวย ถ้านอนไม่หลับเชิญที่ระเบียงครับ แหงนดูดาวขอพรได้จะได้ฝันดี”
“ใครบอกแกว่าเขาจะนอนที่นี่”
“ไม่รู้ครับ... ผมกลับก่อนดีกว่า”
ไอ้ทินยกมือไหว้ท่วมหัว แล้วรีบเลี่ยงออกไป
ราชมองตาม ก่อนจะหันกลับมา “คุณต้องการถึงบ้านตอนกี่โมงครับ”
อมาวสีส่ายหน้า “ฉันไม่มีฤกษ์หรอกค่ะ”
“ดีครับ งั้นเราเอาตามสะดวกแล้วกันนะ”
“สะดวกคุณหรือฉันคะ”
“ด้วยกันทั้งคู่สิครับ...เราลงเรือลำเดียวกันแล้วนะอย่าลืม”
“สะดวกของคุณคงไม่ใช่ขังฉันไว้ที่นี่อีกนะ”
“แต่ถ้าผมขังคุณไว้ที่นี่จริงๆ คุณก็น่าจะมีความสุขนะครับ เพราะบ้านหลังนี้มีความหมายกับคุณมาก เป็นบ้านที่คุณคุ้นเคย เป็นบ้านของผู้ชายคนที่คุณรักมากที่สุด”
“เคยรักมากที่สุด...ในวัยเด็ก”
“คุณจำสัญญาที่ให้ไว้กับผมได้มั้ย”
อมาวสีฉงน “สัญญา”
“ผมเคยตัดสินใจไม่ขายบ้านหลังนี้ให้คนอื่น เก็บทุกอย่างให้คงสภาพเดิมไว้ โดยมีข้อแม้ว่า วันนึงคุณจะต้องตอบแทนผมบ้าง”
“คุณกำลังจะทวงบุญคุณฉันแล้วใช่มั้ย”
“สิ่งที่ผมจะขอ ไม่ได้ยากเกินกำลังคุณหรอกครับ”
“สิ่งนั้นคือ...”
“อยู่กับผมที่นี่ถึงเช้าได้มั้ยครับ ผมเตรียมชุดนอนไว้ให้คุณแล้ว เป็นชุดใหม่สไตล์คุณ รับรองคุณใส่ได้แน่”
หลังมื้อค่ำไม่นาน ในห้องน้ำชาย น้ำจากฝักบัวสาดรดศีรษะของราช ใบหน้าของเขาฉาบไปด้วยรอยยิ้ม
เช่นเดียวกับที่ในห้องน้ำหญิง น้ำจากฝักบัวสาดใส่ร่างงามของอมาวสี ใบหน้าของเธอเปี่ยมไปด้วยความสุขใจ
สองคนอยู่ในห้องนอน ราชใช้ผ้าขนหนูเช็ดหัว อมาวสีใช้ผ้าขนหนูเช็ดผมเช่นกัน
ราชบรรจงเลือกเสื้อผ้าชุดที่หล่อที่สุดของเขา ส่วนอมาวสีแต่งตัวอยู่หน้ากระจก เธอยิ้มละไมให้กับตัวเองในกระจกนั้น
เพลงรักหวานซึ้ง ดังก้องกังวานในใจสองดวง...เชื่อเถอะ!
อ่านต่อตอนที่ 14