เรือนริษยา ตอนที่ 13
นันทนัชเดินหน้าเง้าหน้างอออกมาจากบ้าน ยังเคืองเรื่องที่ถูกกฤตพนธ์ขโมยจูบ
"นี่ถ้าไม่ติดเรื่องรถ ชาตินี้จะไม่ยอมเจอหน้านายนี่อีก"
ครั้งนั้น เธอตะลึงงัน ผลักกฤตพนธ์เต็มแรง ตบหน้าเค้าเผี๊ยะเต็มแรง
เธอใจคอหวั่นไหวเมื่อนึกถึงรอยจูบ นันทนัชชะเง้อรอสลับกับการมองนาฬิกาเป็นระยะๆ
"ไหนบอกว่าใกล้ถึงแล้ว หึ!"
เธอลุกขึ้นเดินไปมาอย่างกระวนกระวายใจ แล้วต้องชะงัก เมื่อเจอไม้ยืนอยู่ด้วยสีหน้าคุกคาม
เธอทำใจกล้า ไม่ยอมถอย เตรียมพร้อมรับมือทุกรูปแบบ ไม้ยิ้มร้ายหรี่ตามอง ก่อนจะรีบเดินผ่านเธอเข้าไปในตัวบ้าน เธอมองตาม สงสัยว่าไม้ต้องมีเรื่องอะไรแน่ๆ
ไม้เคาะประตูห้องอย่างร้อนใจ ฤทัยที่เพิ่งแต่งตัวเสร็จจัดเผ้าจัดผมเปิดประตูออกมา เห็นสีหน้าไม้ ก็เอะใจ
"ทำไมทำหน้ายังไง มีเรื่องอะไรอีกห่ะ"
ไม้มองซ้าย มองขวา เช็คดูให้แน่ใจว่าไม่มีใครอยู่แถวนั้น ก่อนจะตอบ
“ก็คุณนันน่ะซิพี่ ไอ้พวกที่โรงสีบอกว่า นังนั่นแอบส่งคนเข้าไปสืบเรื่องขายข้าวที่โรงสี”
ฤทัยหัวเสียทันที ไม่คิดว่านันทนัชจะกัดไม่ปล่อยเรื่องขายข้าวแบบนี้
“อีบ้านี่มันคันจริงๆ อยู่ดีๆไม่ชอบ จะเล่นกันไม่เลิกใช่มั้ย แล้วมันรู้อะไรไปแล้วบ้างห่ะ”
“สบายใจได้ครับพี่ เงินของเราปิดปากไอ้พวกกุลีในโรงสีได้สนิท แต่กับคุณนัน ท่าทางเราจะจัดการปิดปากได้ยาก หาทางจะแฉเราทุกทางเลย”
“ก็มันอยู่ไหนล่ะ ฉันจะปิดปากมันเดี๋ยวนี้เลย”
ฤทัยเลือดขึ้นหน้า
กฤตพนธ์ขับรถสปอร์ตคันหรูแล่นเข้ามาจอด นันทนัชยืนทำหน้าอารมณ์เสีย เขาเดินมาดเท่ห์ลงมาจากรถ
“คนเราอ่ะน้า ไม่ทันจะแก่ก็ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดยังกับคนอายุ80”
“มันหน้าของฉัน คุณมายุ่งอะไรด้วยห่ะ รับผิดชอบเรื่องคุณเองให้ดีเหอะ มาช้า ไม่ตรงเวลา ปล่อยให้ฉันต้องรอ”
“แต่คุณก็รอผม”
กฤตพนธ์หน้ากรุ้มกริ่ม นันทนัชค้อน ทำตาดุใส่
“ฉันรอรถฉันต่างหาก ขอบคุณที่เอาไปซ่อมให้ ขอกุญแจด้วย”
เธอยื่นมือไปขอกุญแจ เขาส่งพวงกุญแจยื่นให้ ทันทีที่เธอคว้ากุญแจ เขาก้กุมมือเธอไว้
“คุณจะทำอะไร”
“ผมก็จะรับผิดชอบที่เอารถมาส่งช้า ทำให้คุณต้องรอ แล้วก็จะรับผิดชอบเรื่องเมื่อวานที่ผมเอ่อ...จูบคุณ”
“นี่หยุดเลยนะ! คุณอย่ามาพูดอะไรแถวนี้ ถึงคุณจะรู้สึกผิดมากก็เถอะ
“ปล่าว ผมไม่ได้รู้สึกผิดอะไรเลย”
“นี่คุณ”
“ผมรู้สึกโชคดีต่างหาก”
นันทนัชถึงกับอึ้ง ทั้งคู่ยืนมองหน้ากันท่ามกลางเพลงรักที่ถักทอขึ้น
เสียงดังแสดงอำนาจของฤทัย ดังขัดจังหวะ
“นี่โรงแรมม่านรูดแถวนี้มันปิดหมดแล้วหรือไง พวกหน้าด้าน ไร้ยางอายมันถึงกล้ามายืนเบียดบี้ บัดสี กันหน้าบ้านแบบนี้ไหนบอกว่าเป็นลูกหลานผู้ดี มีสกุลไง”
นันทนัชหันไปมองด้วยความโกรธ
ฤทัยเดินลงมามาที่หน้าบ้าน
“นี่... ว่าใครไร้ยางอาย ห่ะ ฉันหรือคุณกันแน่”
“คุณนัน”
กฤตพนธ์เข้ามาดึงห้ามนันทนัชไว้
“คุณน้าฤทัย สวัสดีครับ”
ฤทัย รับไหว้แบบขอไปที ทำเป็นพึ่งเห็น
“ต๊าย...คุณกฤตนี่เอง มองไกลๆคิดว่าพวกผัวเมียจรจัดที่ไหนมาพลอดรักกันซะอีก โทษทีนะ พักนี้ตาน้าไม่ค่อยจะดี”
เขารู้ว่าตัวเองโดนกัด แต่ก็ยังคุมสติอยู่
“อ๋อ เป็นธรรมดาครับ คนเราพอเริ่มแก่ตัว หูตาก็มันจะฝ้าฟาง คุณน้าควรไปหาหมอ ตรวจเช็คบ้างนะครับ เดี๋ยวเป็นมากกว่านี้”
ฤทัยฉุนกึกที่ถูกเหน็บว่าแก่ เม้มปากยั้งคำด่าไว้
“ขอบใจที่บอก แล้วนี่คุณกฤตมาทำไร ถ้ามาหายัยกิ๊บก็เชิญในบ้าน จะไปปลุกยัยกิ๊บให้”
“คุณกิ๊บยังไม่ตื่นก็อย่าไปกวนเธอเลยครับ ผมแค่เอารถคุณนันที่ไปซ่อมมาส่งให้”
ฤทัยมองไปที่รถคันที่เธอเคยสั่งให้ชำแหละ หน้าตาทวีความโกรธ
“แปลกใจมั้ยล่ะ รถของพ่อชั้น ที่คุณน้าสั่งให้ลูกน้องชั่วๆมาแอบทุบกำจัดมัน เหมือนกับที่แอบกำจัดพ่อชั้นเพื่อแย่งสมบัติไง”
ฤทัยหันกลับมาเผชิญหน้ากับลูกเลี้ยง พยายามสงบอารมณ์ เพราะอย่างน้อยก็มีกฤตพนธ์อยู่ด้วย
“นี่ คุณหนูผู้สูงส่ง ช่วยฟัง แล้วก็จำให้ขึ้นใจนะ ว่าพ่อเธอน่ะ หัวใจวาย ตายเอง ไม่มีใครฆ่าเค้า โดยเฉพาะชั้น ซึ่งเป็นผู้หญิงที่เค้ารักเป็นคนสุดท้าย ชั้นไม่ได้ฆ่าคุณลิตร”
เธอไม่เชื่อ
“โกหกให้ตาย ชั้นก็ไม่เชื่อ ผู้หญิงอย่างคุณ”
เขาถอนใจ ต้องเป็นคนห้ามทัพ และลากเธอออกไปจากเรื่องวุ่นวายแบบนี้อีกแล้ว
“ผมว่าเรารีบไปดีกว่าครับคุณนัน คุณรีบไปธุระไม่ใช่เหรอ...ผมลาล่ะครับคุณน้า”
กฤตพนธ์พูดเสร็จคว้าก็คว้าแขนเธอแล้วพาขึ้นรถ เธอพยายามขัดขืน แต่เขาก็ดึงขึ้นรถจนได้ แล้วรีบขับรถออกไปทันที ฤทัยมองตามอย่างหงุดหงิด
“โธ่เอ้ย....อีนั่นมันรอดไปได้ทุกที ทำไมนะทุกทีที่เกิดเรื่อง ต้องมีนัยกฤตเข้ามาสอดด้วยทุกที”
“ถ้ามันยุ่งมากนัก ก็จัดการมันทั้งคู่เลยมั้ยครับ”
ฤทัยตกใจหันมองไม้ มองไปรอบๆอย่างกลัวคนอื่นจะมาได้ยิน
“พูดอะไรระวังหน่อยไม้ หน้าต่างมีหูประตูมีช่อง เดี๋ยวใครมาได้ยิน จะคิดว่าพี่เป็นคนร้ายอย่างที่นังนันทนัชมันกล่าวหา”
ฤทัย มองตามหลังรถไป
“เล่นกับนังคุณหนูเจ้าอารมณ์แบบนังนี่ มันต้องใจเย็นๆ ขืนเรารีบร้อนทำอะไรไป อาจจะเสียเปรียบมัน เราต้องรอ...รอโอกาสเหมาะๆ..แล้วค่อยลงมือ หึๆ”
ภายในรถ เธอบึ้ง เครียดสุดขีด เหมือนความอดทนกำลังจะหมดลง สุดท้าย เธอหันมาเล่นงานกฤตพนธ์
“ทำไมชั้นต้องทำตามคำสั่งคุณ”
เขาสะดุ้ง ที่จู่ๆเธอก็อาละวาด โวยวาย
“แล้วปล่อยให้ยัยฆาตรกรนั่น มันมาเล่นงานชั้นฝ่ายเดียว”
“เดี๋ยวคุณนัน ใจเย็น ๆ ก่อนครับ”
เธอไม่ฟังเหตุผล
“ชั้นใจเย็นมาพอแล้วนะคุณกฤตพนธ์ คุณก็ไม่ได้ตาบอด หูหนวกนี่ คุณก็เห็นว่า ยัยนั่นจงใจลงมาเล่นชั้น แล้วคุณก็ปล่อยให้มันทำ โดยไม่ให้ชั้นตอบโต้ หมายความว่ายังไง”
เขาถอนใจ ก่อนจะจอดรถลงที่ข้างทาง แล้วหันมาพูดกับเธอแบบจริงจัง
“งั้นคุณตอบผมมาก่อน คุณนันทนัช ว่าทำไมทุกครั้งที่คุณเจอแม่เลี้ยงคุณ คุณต้องอาละวาดด่าทอ ตบตีกับเค้าทุกครั้งไป”
“ก็นังนั่นมันฆ่าพ่อชั้น มันทำลายทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตชั้น คุณไม่เห็นเหรอ”
“ผมไม่เห็นครับ แต่สิ่งที่ผมเห็น คือ คุณดู... บ้า คลั่ง เหมือนควบคุมตัวเองไม่ได้มากกว่า”
นันทนัช ช็อก อึ้ง ตกใจ ที่กฤตพนธ์พูดแบบนี้กับตัวเอง
“ผมพูดในฐานะของ เพื่อนที่ยืนอยู่ข้างคุณนะครับ...เพราะทุกครั้งที่มีปัญหากัน แล้วคุณเป็นแบบนี้ คุณนั่นแหละครับที่จะพ่ายแพ้ แล้วก็สูญเสียทุกอย่าง เพราะคุณปล่อยให้อารมณ์ร้ายๆมาควบคุมตัวคุณเอง”
นันทนัชอึ้ง ภาพวันแถลงผลการชันสูตรศพครั้งที่ 2 ผุดขึ้นในหัว เรื่องราวการหัวเสีย ฟิวส์ขาดของเธอ
เธอนั่งนิ่ง รู้ถึงสภาพจิตใจและอารมณ์ของตัวเองดี ว่าไม่ค่อยปกตินัก ทำให้นอนไม่ค่อยหลับ และต้องใช้ยานอนหลับ และยาคลายประสาทอยู่เนืองๆ ทำให้เธอเป็นแบบที่ กฤตพนธ์พูดมาทั้งหมด
เขาพยายามพูดด้วยเหตุผล เพราะอยากให้เธอใจเย็น ใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์
"คุณนัน คุณโกรธหรือเปล่า ที่ผมพูดแบบนี้"
ความรู้สึกหลายอย่างประดังเข้ามาและเป็นอีกครั้งที่ผู้ชายคนนี้ มองทะลุเข้ากำแพงหัวใจที่เธอสร้างไว้ เขาดึงเธอเข้ามากอด ด้วยความรู้สึกห่วงใยที่ท่วมท้นหัวใจ เธอไม่ได้ขัดขืน เพราะรู้สึกได้ว่าเป็นอ้อมกอดที่เป็นมิตร ห่วงใย และจริงใจกับเธอ
เสียงกลั้นสะอื้น ทำเอาหัวใจของเขาแทบแหลกสลาย สิ่งที่จะทำได้คือถ้อยคำปลอบประโลมที่พรั่งพรูออกมาจากหัวใจ
"ไม่ต้องกลัวนะครับ คุณนันคนดีของผม คุณไม่ได้ต่อสู้คนเดียว ผมอยู่ตรงนี้ ไม่มีใครทำอะไรคุณได้"
เสียงปลอบโยนอันอบอุ่น จริงใจเหมือนสายลมเย็นๆ ที่พัดพาความกังวลทั้งหลายในจิตใจของเธอออกไป
เธอค่อย ๆ ขยับตัวออกจากอ้อมกอดของเขา
"ชั้นจะพยายามค่ะ ทุกครั้งที่ชั้นจะอาละวาดกับใครก็ตาม ชั้นจะนึกถึงคุณ"
กฤตพนธ์หัวเราะ ดีใจที่นันทนัชเข้าใจและเข้มแข็ง
"งั้นคุณคงต้องนึกถึงผมวันละ 24 ชั่วโมงแล้วล่ะครับ เพราะคุณน่ะ ขี้โมโห จอมอาละวาด"
นันทนัชหัวเราะไปกับคำพูดของกฤตพนธ์
"งั้นชั้นต้องพยายามไม่โมโห เพราะชั้นไม่อยากนึกถึงคุณทั้งวัน เบื่อหน้าทหารขี้เก๊ก"
สองคนหัวเราะขำอารมณ์ดี บรรยากาศผ่อนคลาย สนุกสนาน
"คุณต้องรีบไปที่หน่วยหรือเปล่าค่ะ ถ้านันขอแวะไปที่นึงสักแป๊บนึง จะได้มั้ยค่ะ"
"ได้สิครับ ถ้าทำให้คุณสบายใจได้ คุณอยากจะไปที่ไหน ผมยินดีจะพาไป"
รถของนันทนัชแล่นเข้ามาจอดที่ลานวัด ทั้งคู่เดินลงมาจากรถ มุ่งหน้าไปที่หลังวัด
"ตอนแรกชั้นตั้งใจว่าพอผลชันสูตรออกมาแล้ว ชั้นก็จะจัดการให้พ่อได้มาอยู่กับ
แม่ที่นี่ แต่ตอนนี้...คงต้องไปรอไปก่อน"
"แต่ก็คงอีกไม่นานหรอกครับ ใช่มั้ย"
เธอพยักหน้ารับ
"ค่ะ ก็หวังว่ามันคงจะไม่นาน"
ทั้งสองคนเดินอ้อมไปทางหลังวัด
ชิดกำลังเก็บกวาดทำความสะอาด บริเวณรอบเจดีย์ที่เก็บกระดูกของรำเพยกับเรไรอย่างตั้งอกตั้งใจ เหล่าใบไม้ กับเศษขยะถูกไม้กวาดทางมะพร้าวด้ามยาวลากออกไปรวมกัน ทั้งคู่เดินเลี้ยวมาในจังหวะที่ชิดเงยหน้าขึ้นมองพอดี
"คุณหนู"
นันทนัชมองชิด เหมือนจะคลับคล้ายคลับคลา ชิดทำอะไรไม่ถูก เพราะไม่คิดว่าจะมาเจอนันทนัช ชิดไม่รู้จะทำยังไง ตัดสินใจ หนีก่อนดีกว่า
"ลุงชิด ใช่มั้ย"
ชิดสะดุ้ง รีบเก็บของจะเดินหนี
นันทนัชวิ่งไปดักหน้า
"ลุงชิด จริงๆด้วย"
กฤตพนธ์แปลกใจที่เธอรู้จัก ตอนแรกคิดว่าเป็นสัปเหร่อ หรือคนในวัด เธออธิบายให้กฤตพนธ์ฟัง
"ลุงชิดเป็นคนเก่าคนแก่ในเรือนรัตนะค่ะ...แต่ก็โดนความร้ายกาจของยายฤทัย เล่นงาน จนต้องระเห็จออกมา"
ชิดกระวนกระวาย กลัวว่าทิพย์จะรู้ที่มาเจอนันทนัช โดยลำพัง อาการกระวนกระวายทำให้กฤตพนธ์มองชายแก่ตรงหน้า ด้วยความรู้สึกแปลกใจและระแวดระวัง
"ลุงเป็นไงบ้างจ้ะ ไม่ได้เจอกันตั้งนาน"
ชิดมองหน้านันทนัชแล้วเหมือนจะร้องไห้ อยากคุยด้วยก็อยาก แต่กลัวทิพย์จะเล่นงาน ก็กลัว สุดท้าย ความกลัวทิพย์มีมากกว่า ชิดเลยตัดสินใจผละหนี
นันทนัชกับกฤตพนธ์ตกใจ
"อ้าว...ลุง"
ชิดวิ่งออกไปทางป่าช้าหลังวัด เธอรีบวิ่งตาม แต่ช้ากว่า กฤตพนธ์ดึงมือไว้
"เดี๋ยวก่อนคุณนัน...ท่าทางแกคงไม่ยังไม่พร้อมจะคุยกับคุณละมั้ง น่าตาแก เหมือนกลัวอะไรอยู่"
"แกไม่ได้กลัวชั้นแน่ๆ แกต้องเกลียดและกลัวยัยฤทัยนั่นแน่นอน...เจ็บใจจริงๆ คุณไม่น่าดึงชั้นไว้เลย ไม่งั้นวันนี้ชั้นคงได้รู้เรื่องของพ่อกับแม่ มากขึ้นแน่ๆ เพราะลุงชิดเป็นคนเดียวที่อยู่ในเหตุการณ์ และรู้เรื่องจริงทั้งหมด"
นันทนัชมองตามทางชิดอย่างเสียดาย ก่อนจะหันกลับมาสนใจกับการ จุดธูปไหว้แม่ตามที่ตั้งใจไว้ กฤตพนธ์ยังมองตามชิด ด้วยสีหน้าครุ่นคิด สงสัย ของนายทหารมืออาชีพ ที่อ่านคนจากพฤติกรรมได้ค่อนข้างแม่นยำ
อีกมุมนึงไม่ไกลจากเจดีย์ ชิดวิ่งอ้อมมาหลบอยู่ เพื่อคอยดูนันทนัช และได้ยินในสิ่งที่นันทนัชพูดทุกอย่าง
"ถ้าคุณหนูได้รู้ความจริงทั้งหมด แบบที่ไอ้ชิดรู้ คุณหนูอาจจะไม่มีความสุขเลยนะครับ"
ย้อนไปในอดีต เช้าวันแรกหลังวันแต่งงานของเรไรกับลิตร บรรยากาศในครัวดูวุ่นวาย หญิงสาวหลายคนกำลังช่วยกัน ทำอาหารหลากหลายชนิด ป้านวลเดินเข้ามา
"เอ๊า! เร่งมือกันหน่อย แขกมากันเต็มเรือนแล้ว กับข้าวยังไม่เสร็จสักอย่าง แล้วนี่นังทิพย์ล่ะ จ้างให้มาช่วย มาหรือยัง"
"ฉันมาตั้งแต่ไก่โห่แล้วล่ะป้า แหม!"
ทิพย์วัยสาว หน้าใสในชุดชาวบ้านแสนธรรมดา พร้อมถาดใส่กระชายที่ซอยเสร็จ
"แกงนั่นเดือดหรือยังล่ะ ฉันจะได้ใส่กระชายลงไปซะที"
"เดือดแล้วจ้ะ "
"เอ็งก็หลีกซีนังบัว นังทิพย์มันเก่งทำกับข้าว ให้มันปรุง"
ทิพย์เข้ามาใส่กระชายลงหม้อแกงป่า คนๆแล้วตักชิม
"จืดชืดแบบนี้ เดี๋ยวได้เททิ้งทั้งหม้อ เอาเกลือมาหน่อยซิ"
ทิพย์เติมเกลือ ใส่พริกไทยอ่อน โรยใบกระเพรา
ระหว่างนั้นแก้ววิ่งเข้ามา
"ป้าๆ เจ้าบ่าวมาถึงแล้ว"
คำว่าเจ้าบ่าวเหมือนเป็นเข็มลนไฟที่ทิ่มแทงเข้าไปใจของทิพย์ มันทั้งเจ็บปวด และร้อนรน ป้านวลแอบด่า
"หึ มีแต่เจ้าบ่าวไปรับตัวเจ้าสาว แต่บ้านนี้เจ้าสาวไปรับตัวเจ้าบ่าวมาบ้าน อ้าวๆ นังทิพย์ มัวแต่เหม่ออะไร แกงเดือดจะล้นหม้อแล้วแก"
"อุ้ยๆ"
ทิพย์ตกใจรีบหันไปใช้จวักคนหม้อ
ประตูรั้วขนาดใหญ่เปิดออก รถเก๋งคันหรูของเรไรแล่นเข้าไปในเขตรั้วบ้าน เรไรสวมชุดไทยก้าวลงจากรถมาก่อน แล้วหันไปบอกลิตร
"ลงมาสิจ๊ะ"
ลิตรในชุดผ้าไหมอย่างดีของจ้าบ่าว ก้าวลงจากรถ มองเรือนรัตนะอย่างสมใจ
"เป็นอะไรไปจ๊ะ ทำไมจ้องเรือนรัตนะแบบนั้นล่ะ มีอะไรหรือเปล่า"
"เปล่าครับพี่ ผมดีใจมากต่างหาก ที่พี่เรไรเมตตาคนเร่ร่อนอย่างผมขนาดนี้ ผมไม่รู้จะตอบแทนพี่ยังไงดี"
"ก็รักพี่ให้มากๆเป็นการตอบแทนซีจ๊ะ ไม่เห็นจะยากเลย"
ลิตรเลยจับมือเรไรขึ้นมาหอม เรไรแทบจะละลายอยู่ตรงนั้น
"ครับพี่ ผมจะรักพี่คนเดียวตลอดไป"
เรไรยกมือขึ้นจับหน้าลิตรอย่างหลงใหล
"ลิตรไม่ต้องเร่ร่อนไปไหนอีกแล้วนะจ๊ะ ลิตรต้องอยู่กับพี่ที่นี่ เราจะเป็นเจ้าของเรือนรัตนะร่วมกัน"
ลิตรดึงเรไรมากอดไว้
"เรา สองคนจะอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข นะครับพี่"
เรไรพยักหน้า สุดแสนจะมีความสุขเหมือนดั่งขึ้นสวรรค์ ลิตรแอบยิ้มสมใจ
"ไปจ๊ะ เราเข้าบ้านกันเถอะ ป่านนี้แขกที่มาร่วมงานคงจะรอเราแล้ว พิธีแต่งงานจะได้เริ่มซะที"
เรไรจูงมือลิตรเข้าบ้าน ด้วยความสุขใจ รำเพยยืนรอรับเรไรอยู่ที่หน้าโถงทางเข้า สวยเป็นพิเศษจนลิตรตะลึง ... เรไรรีบคว้าแขนลิตรจูงไป ชิดยืนมองอย่างหนักใจ
บริเวณมุมโต๊ะจดทะเบียน ในเรือน ลิตรกับเรไรบรรจงเซ็นชื่อ ในใบทะเบียนสมรสทั้ง 2 ใบอย่างพอใจ ต่อหน้ารำเพย ชิด ผู้หลักผู้ใหญ่ เสี่ยวิชัย และวันชัยที่มายืนดูเป็นสักขีพยาน ทั้งคู่เซ็นเสร็จ นายทะเบียนรับมาตรวจเช็คอีกครั้งก่อนส่งให้ทั้งคู่ถือไว้และประกาศ
"เป็นอันว่า นับแต่วินาทีนี้เป็นต้นไปคุณนายเรไรกับคุณลิตร ได้เป็นสามีภรรยากันถูกต้องตามกฎหมายแล้วครับ ขอแสดงความยินดีด้วย"
ทุกคนปรบมือ รำเพยปรบมือฝืนยิ้ม...วันชัยยิ้ม ส่งสายตาหวานมาที่รำเพยตลอดเวลา กระซิบบอกเสี่ยถึงความพออกพอใจในตัวรำเพย ชิดค่อยๆถอยตัวไปจากกลุ่มคน รำเพยจะเดินไปพร้อมกับแขกที่ทยอยปลีกตัวไปที่มุมโต๊ะจัดไว้รับรองแขก แต่เรไรเรียกไว้ ให้รำเพยมาร่วมอวยพรให้กับคู่บ่าวสาว
ชิดเดินถอนใจเสียงดังเข้ามาในครัว ด้วยความไม่สบายใจ ป้านวลที่กำลัง นั่งหน้าเซ็งจัดอาหารอยู่เงยหน้าขึ้นมอง
"หน้าตาเอ็งมีความสุขมากเลยนะชิด"
"ป้าก็เหมือนกัน"
"เอ็งอย่ามายอกย้อนข้า เรามันก็หัวอกเดียวกันแหละวะ อยู่ๆคุณเรไรก็เอาไอ้ลิตร ไอ้นักเลงหัวไม้มาเป็น..."
"ป้า!"
ชิดห้ามไว้ ก่อนที่นวลจะหลุดคำว่าผัว ทิพย์ที่กำลังยำใหญ่อยู่ ได้ยินหันมามอง
"เออๆ ข้ารู้ข้าไม่ควรปากหอยปากปู วันนี้มันวันมงคลของเจ้านาย"
นวลหันไปเห็นทิพย์มองอยู่
"มองอะไรนังทิพย์ กับข้าวนะเสร็จหรือยัง เดี๋ยวฉันหักเงินซะเลย"
"เสร็จแล้ว อ่ะ ยำใหญ่ มีอะไรให้ฉันทำอีกล่ะ"
"เดี๋ยวเอ็งไปช่วยเติมกับข้าวให้แขกในงานด้วย"
"ห่ะ ฉันต้องทำด้วยเหรอป้า"
ป้านวลทำท่าจะด่า ทิพย์รีบขัด
"ก็ได้ ทำก็ทำ"
ทิพย์เดินผละไป นวลหันมาพูดกับชิดต่อ
"แล้วไอ้...เอ้ยคุณลิตรน่ะ เค้าจะรักคุณเรไรจริงๆหรือเปล่าไอ้ชิด"
"อย่าให้ฉันตอบเลยป้า ฉันไม่กล้าคิดหรอก ฉันก็ได้แต่ขอภาวนา ขอให้นายลิตรรักคุณเรไรด้วยความจริงใจเถ๊อะ ไม่มีอย่างอื่นเคลือบแฝง"
เรือนริษยา ตอนที่ 13 (ต่อ)
รำเพยเข้ามาในห้องพระ รินน้ำมนต์จากขวดแก้ว พิธีหลั่งน้ำสังข์เริ่มต้นขึ้นในห้องโถงใหญ่ ...
ขณะที่รำเพยถือพายใส่หอยสังข์แอบมองไปที่ทั้งคู่ เสี่ยวิชัยก็เดินเข้ามาหารำเพยกับวันชัยเพื่อรับหอยสังข์ไปหลั่งน้ำสังข์อวยพรให้คู่บ่าวสาว
"สวยจังครับคุณรำเพย" วันชัยบอก
รำเพยตกใจหันมามอง
"คะ"
เสี่ยวิชัยหัวเราะ
"ฮ่ะๆๆ อาตี๋ของอั๊วมันหลงเสน่ห์หนูซะแล้วล่ะ หนูรำเพย"
"เอ่อ...เชิญเสี่ยรดน้ำสังข์อวยพรคู่ป่าวสาวค่ะ"
รำเพยรีบส่งหอยสังข์ให้ เสี่ยวิชัยเดินเข้ามารดน้ำอวยพร ด้วยหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
"ขอแสดงความยินดีด้วยนะครับคุณเรไร มีลูกเต็มบ้าน มีหลานเต็มเมืองนะครับ"
เรไรรับพร หน้าตาแช่มชื่น เบิกบาน หัวเราะฮิฮะ ถูกใจ ลิตรยิ้มเจื่อนๆ แบบขอไปทีเมื่อมองไปเห็นวันชัยยืนยิ้มหวานอยู่ข้างรำเพย
ขณะที่ทิพย์ยังยืนแอบมองอยู่ ป้านวลเข้ามาเรียก
"อ้าวนังทิพย์ มายืนชะเง้อคอยาวแอบดูอะไรอยู่ตรงนี้ ฉันจ้างแกมาช่วยทำกับข้าวนะ อีนี่จะอู้หรือไง"
"ปล่าวซะหน่อยป้า ไม่ได้อู้"
" งั้นก็ไปซี เดี๋ยวรดน้ำเสร็จแขกเค้าจะกินกันแล้ว"
"รู้แล้วน่า"
ทิพย์รีบเดินผละไปที่ครัว หน้าตาบูดบึ้ง...
เรื่องราวภายในเรือนรัตนะ ... เริ่มเข้าสู่การรับประทานอาหารบุฟเฟ่ต์ร่วมกัน วันชัยเข้าตีสนิทกับรำเพย ฤกษ์ยามส่งตัวคู่บ่าวสาวเข้าหอ และทิพย์หลังจากเสร็จกิจทั้งปวง ก็กำลังจะเดินออกจากบ้านรัตนะ เธอเหลือบมอง
เรือนรัตนะเป็นครั้งสุดท้ายด้วยแววตาใฝ่ฝันก่อนจากไป
"สักวันนึง ชีวิตฉัน...อาจจะเป็นคุณนายกับเค้าบ้าง"
หลังวันแต่งงาน เช้าสายของวันใหม่ ประตูห้องนอนใหญ่เปิดออก ลิตรในชุดนอนผ้าไหมชั้นดี เดินออกมาจากห้องนอนด้วยโฉมหน้าของผู้ชนะ เขาเดินชื่นชมความโอ่โถง สง่างามมีราคาของชั้นบนเรือนรัตนะที่เค้าไม่เคยมีโอกาสได้ขึ้นมาสัมผัส ด้วยความรู้สึก ลำพอง ผยองใจ เขาหยุดที่หน้ากระจกบานใหญ่กลางห้องโถง เห็นชายหนุ่มรูปหล่อ หน้าตามั่นใจ ในชุดนอนหรู ที่เค้าไม่เคยรู้จัก
"คุณลิตร ฤทธานนท์ เจ้าของเรือนรัตนะ" ลิตรน้ำเสียงสำราญใจ
ในกระจก เขาเห็นรำเพยยืนตกใจอยู่ด้านหลัง เขาหันกลับไปหารำเพย
"น้องรำเพย"
รำเพยหมุนตัว เดินหนีเข้าไปในห้องตัวเอง ลิตรเดินตามไปที่หน้าห้อง
รำเพยปิดประตูเสียงดัง เหมือนจะใช้เสียงนั้น ตัดเยื่อใยอะไรบางอย่างในความรู้สึกของตัวเองออกไป
เธอยืนพิงประตูด้วยความรู้สึกสับสน แล้วให้สติตัวเอง
"เข้มแข็งนะรำเพย เธอต้องเข็มแข็งไว้"
"ลิตร มาทำอะไรตรงนี้" เสียงเรไรดังเข้ามาในห้อง
เรไรในชุดคลุมชุดนอน เดินตรงมาหาลิตร ที่เดินงุ่นง่านอยู่หน้าห้องรำเพย
"หาทางกลับห้องไม่เจอเหรอจ้ะ พ่อรูปหล่อ"
ลิตรสะดุ้งตกใจ หันมาเห็นเมีย พยายามกลบเกลื่อนอาการตื่นตกใจ ด้วยการหัวเราะแบบเจื่อนๆ และพยายามใช้น้ำเสียงออดอ้อน เพื่อไม่ให้เรไรสงสัย ที่มายืนอยู่หน้าห้องรำเพย
"เปล่าครับพี่ ผมแปลกที่น่ะครับ ไม่เคยนอนในที่นอนหรูแบบนี้มาก่อน เลยนอนไม่ค่อยหลับ แล้วก็ไม่อยากกวนพี่เรไร เลยลุกขึ้นมาเดินดูอะไรเรื่อยเปื่อยนะครับ"
เรไรมองกิริยาของผัวอย่างเอ็นดู เพราะความหลง ก่อนจะเดินไปกอดเอวลิตรอย่างหลงใหล
"ไหนล่ะ แล้วลิตรอยากดูอะไร เดี่ยวพี่พาไปดูให้ทั่วเลย"
เรไรกอดเอวลิตร เดินหัวเราะคิกคัก ออกไป ลิตรแอบถอนใจอย่างโล่งอก
ภายในห้อง รำเพยยืนฟังจนเสียงทั้งคู่เงียบหายไป ก่อนจะเดินมาทิ้งตัวลงบนโต๊ะกระจก เห็นสีหน้าสวยเศร้า
ตะกร้าของขวัญราคาแพงถูกวางลงบนโต๊ะกลาง เรไรนั่งยิ้มชื่นข้างลิตร วันชัย ลูกเสี่ยวิชัยยกมือไหว้เจ้าของบ้าน
"สวัสดีครับคุณนายเรไร ยังสวยเหมือนเดิมเลยนะครับ"
เรไรยิ้มแก้มปริกับคำชมของเด็กหนุ่ม
"แหม....ปากหวานช่างเอาใจคนแก่นะวันชัย"
วันชัยยิ้มแย้ม อัธยาศัยดี
"ผมพูดจากใจจริงครับ เคยเห็นคุณนายเรไรยังไง กี่ปีผ่านไปคุณนายเรไรก็ไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ"
เรไรหัวเราะชอบใจ
"ขอบใจจ้าวันชัย แต่จะขอบใจกว่านี้นะ ถ้าเลิกเรียกชั้นว่าคุณนายสักที เรียกทีไร นึกว่าตัวเองเป็นคุณนายแก่ๆใกล้ลงโรงทุกที เรียกพี่เรไร เหมือนเคยเรียกตอนเด็กๆน่ะดีแล้ว เพราะเธอก็รุ่นราวคราวเดียวกับรำเพยนี่นะ"
วันชัยยิ้มที่ได้รับความเอ็นดู
"ได้ครับ พี่เรไร"
ลิตรแอบทำหน้าเบ้ รำคาญใจ
เสี่ยวิชัยพูดถึงหนูรำเพย
"อีไปไหนล่ะ ยังไม่เห็นหน้ากันเลย"
"อ๋อ...วันนี้เค้าขอไปทำบุญที่วัดน่ะ แปลกจังเลยนะ ปกติเค้าจะอยู่บ้านตลอด ร้อยวันพันปี ไม่เคยไปไหน แต่วันนี้เสี่ยกับวันชัยมา ดันเกิดจะไม่อยู่ซะนี่"
เสี่ยวิชัยหัวเราะ
"ไม่เป็นไรคร๊าบคุณนาย วันนี้ไม่อยู่ วันหน้าก็อยู่ ยังไงก็คงได้เจอกันแน่ๆ"
"นั่นสิ เดี๋ยววันหลังวันชัยมาใหม่ก็ได้ เดี๋ยวก็ได้เจอกันจนได้แหละ คนกันเองนี่เนอะ"
ทั้งสามคนหัวเราะรื่นเริง ลิตรมองเก็บข้อมูล
ลานอันเงียบสงบของวัด รำเพยนั่งเหม่อมองอย่างไร้จุดหมาย พยายามหาคำตอบให้กับความรู้สึกทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับตัวเอง เธอถอนใจอย่างหดหู่
"อีหนูเอ้ย....ทุกข์ที่เกิดจากความไม่รู้ กับความทุกข์ที่ตัวเองรู้อยู่แก่ใจว่ามันเกิดขึ้นจากอะไร แล้วทำใจยอมรับไม่ได้น่ะ อย่างไหนมันจะหนักกว่ากันห่ะ"
รำเพยตกใจ ที่พ่อเฒ่านั่งอยู่ข้างจ้องตาเธอเขม็ง จนรู้สึกกลัว
"เอ็งกลัวอะไรห่ะอีหนู กลัวข้า หรือกลัวในสิ่งที่ข้าพูด"
รำเพยอึกอัก ตอบไม่ได้
"หนูไม่เข้าใจที่ลุงพูดค่ะ"
พ่อเฒ่าหัวเราะเยาะ
"เฮอะ...พวกเอ็งมันก็ดีแต่โกหกพกลมใส่กัน ถ้ามีใครสักคนกล้าลุกขึ้นมาพูดความจริง บางทีชะตากรรมที่น่ากลัว มันอาจจะไม่เกิดขึ้นก็ได้ แต่ก็อย่างว่าแหละนะ กรรมของใคร คนนั้นก็ต้องชดใช้เอง....ข้าสงสารเอ็งนะ อีหนู แต่ก็ช่วยไม่ได้ เพราะงั้นเอ็งต้องช่วยตัวเอง หมั่นทำบุญ ทำความดีเข้าไว้ แล้วบุญจะรักษาตัวเอ็งและทายาทของเอ็ง"
พ่อเฒ่าเดินหัวเราะหึ หึ เดินออกไป รำเพยมองตาม ไม่เข้าใจ
สายวันใหม่ เรไรนั่งคุยกับวันชัย หัวเราะสนุกสนาน ลิตรเดินยิ้มอารมณ์ดีเข้ามาในห้อง
เรไรเรียกให้เข้ามาร่วมวงด้วย เรไรหัวเราะเริงร่า อวดสรรพคุณของสามีหนุ่มอย่างหลงใหล
"เป็นไงมั่งจ้ะลิตร เหนื่อยมั้ย... ตั้งแต่มีลิตรมาเป็นเพื่อนคู่คิด พี่น่ะแทบไม่ต้องเหนื่อยเลย ลิตรเค้าอาสาทำงานให้ทุกอย่าง เป็นผู้ชายที่แสนดีที่สุดในโลกเลยล่ะ"
ลิตรยิ้มภูมิใจ
วันชัยหัวเราะประจบ
"แหม...เห็นแล้ว ผมล่ะอิจฉาพี่เรไรกับพี่ลิตรจังเลยครับ"
เรไรยิ้มสดใส
"อย่ามาอิจฉาคู่ของคนแก่เลย อีกไม่นานก็ถึงคิวของคนหนุ่มคนสาวแบบเธอกับรำเพยแล้วล่ะ"
คำพูดกลั้วหัวเราะด้วยความสุขสันต์ของเรไร เหมือนมีดเล่มเล็กๆที่เจาะเข้าไปในหัวใจของลิตร จนแทบไม่เชื่อหูตัวเอง เขาตกใจ จนแทบคุมอารมณ์ไม่อยู่
"พี่เรไรว่าอะไรนะ ใครคู่กับใคร"
เรไรยังยิ้มชื่นไม่สะดุดใจกับท่าทางของลิตร
"อ้าว...พี่ไม่เคยบอกลิตรเหรอ ว่าวันชัยกับรำเพยน่ะ เค้าเป็นคู่หมั้นคู่หมายกันมาตั้งแต่เด็กแล้ว"
ลิตรช็อกจนทำอะไรไม่ถูก เสียงพูดเจื้อยแจ้วของเรไรปลิวผ่านไปอย่างไร้ประโยชน์ เพราะไม่มีคำไหนอีกแล้วที่จะฝังเข้าไปในหัวของลิตร นอกจาก รำเพยมีคู่หมั้นแล้ว เขาจิกมือลงไปบนโซฟาเต็มแรง เพื่อประคองสติตัวเองไม่ให้ร้องตะโกนออกมาด้วยความเสียใจ
ช่วงหัวค่ำ วันชัยกับเพื่อนๆกำลังเลี้ยงฉลองกันอย่างสนุกสนานในร้านหรูแห่งหนึ่ง
เพื่อน1บอก
"ยินดีด้วยนะเพื่อนที่เอาชนะใจพี่สาวจอมโหดของเรือนรัตนะ และเด็ดดอกรำเพยแสนสวยมาไว้ในมือจนได้"
"เฮ้ย... ยังไม่ถึงขนาดนั้น ยังไม่ได้พูดถึงเรื่องแต่งงานเลย"
เพื่อน2บอก
"แต่ขนาดคุณนายเรไรผู้ทรงอำนาจ ยอมออกปากยกน้องสาวให้ ก็เท่ากับวางใจได้เลย ว่ายังไงซะ นายก็ต้องได้เป็นเขยเรือนรัตนะแน่ๆ"
เพื่อนๆเฮฮา วันชัยยิ้มรับหน้าบาน มุมมืดของร้าน ลิตรนั่งคั่งแค้นในความมืด มองตรงมาที่กลุ่มของวันชัยกับเพื่อน ด้วยสายตาเพชรฆาต
ดึกต่อเนื่อง วันชัยเดินแยกจากกลุ่มเพื่อนมาที่รถตัวเอง อย่างอารมณ์ดี โดยไม่รู้ว่า คนกลุ่มนึงจับตามองอยู่
วันชัยเดินผ่านมุมมืดของลานจอดรถ แล้วก็โดนกระชากตัวเข้าไปในความมืด
เสียงต่อสู้ของคนกลุ่มนึงดังขึ้น เสียงร้องของวันชัยดังลอดออกมา ท่ามกลางเสียงหมัด และเท้าที่กระหน่ำลงบนตัว
ลิตรมองมาอย่างสะใจ ก่อนจะเดินออกไป
นักเลง1บอก
"คนแบบมึง อย่าสะเออะไปแตะต้องดอกไม้งามที่ไม่ใช่ของมึง จำไว้"
วันชัยหน้าตายับเยิน นอนกองกับพื้นหมดทางสู้
ภายในห้องรับแขก เรือนรัตนะ เรไรทราบข่าว ตกใจมาก
"อะไรนะ แล้ววันชัยเป็นอะไรมากหรือเปล่า"
เสี่ยวิชัยหน้าเครียดอยู่ที่บ้าน โทร.คุยกับเรไร
"ไม่เป็นอะไรมากหรอกครับ แต่ที่ผมสงสัยคือ ไอ้สารเลวพวกนั้น มันขู่ลูกชายผม ว่าอย่าสะเออะไปแตะต้องดอกไม้งามที่ไม่ใช่ของมัน มันหมายถึงอะไรครับคุณนายเรไร"
เรไรยืนอยู่กลางห้องรับแขก นิ่งอึ้ง ก่อนที่จะตัดบทกับเสี่ยวิชัย
"ชั้น...ก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่เสี่ยไม่ต้องกังวลใจหรอกนะ เรื่องแค่นี้เดี๋ยวชั้นจัดการให้เอง"
เรไรวางโทรศัพท์ลงด้วยสีหน้าปวดร้าว คนฉลาดแบบเธอ เดาเรื่องแบบนี้ได้ไม่ยาก
เช้าวันใหม่ รำเพยกำลังจัดดอกไม้ใส่พาน สำหรับถวายพระอยู่ในสวน ลิตรเดินมายืนมองด้วยความรู้สึกใจหาย เธอยิ้มสดใส โลกรอบตัวช่างสวยงาม
รำเพยรีบลุกเดินหนี ลิตรรีบเดินไปดักหน้า และจับแขนทั้งสองข้างของเธอไว้เต็มแรง
ลิตรถามเสียงเครียด
"รำเพยรักไอ้ตี๋นั่นหรือเปล่า"
รำเพย งง ไม่เข้าใจในสิ่งที่ลิตรถามและพยายามเบี่ยงตัวจากการจับกุม
"พี่ลิตรพูดเรื่องอะไร"
ลิตรคาดคั้น
"พี่ถามว่ารำเพย รักไอ้วันชัยนั่นหรือเปล่า"
"พี่ลิตรรู้เรื่องนี้ได้ยังไง"
เมื่อรำเพยไม่ได้ปฏิเสธ ยิ่งทำให้ลิตรแทบจะคลั่ง จนอยากจะจับตัวรำเพยเขย่าแรงๆให้สาสมกับความว้าวุ่นใจของตัวเอง
"พี่จะรู้มาจากไหน ไม่สำคัญ พี่แค่อยากรู้ว่ารำเพยรักมัน จะแต่งงานกับมันหรือเปล่า"
เธอทั้งตกใจ ทั้งกลัวกับท่าทาง เหมือนเสียสติของลิตร จนต้องพยายามจะดิ้นรนเป็นอิสระ
"พี่ลิตร ปล่อยนะ รำเพยเจ็บ"
"พี่ก็เจ็บ เจ็บที่พี่รักรำเพยสุดหัวใจ แต่รำเพยไม่ยอมรักพี่"
รำเพย ชะงัก อึ้ง ไม่คิดว่าเขาจะกล้าพูดแบบนี้ เรไรเดินอ้อมมาจากมุมนึง ได้ยินเสียงเอะอะ เลยหยุดยืนฟัง เพราะคุ้นกับเสียง
"อย่าพูดแบบนี้อีก พี่เป็นสามีของพี่เรไร พี่สาวคนเดียวของรำเพย"
ลิตรกับรำเพยยืนมองหน้ากัน ด้วยท่าทางแปลกๆ เหมือนคนรักทะเลาะกัน รำเพยเดินหนีออกไป
ลิตรขยับจะตามไป แต่สุดท้ายก็เปลี่ยนใจ ได้แต่ยืนมองตามรำเพยอย่างเจ็บปวด
เรไรเริ่มรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง ระหว่าง สามีหนุ่มกับน้องสาวตัวเอง แต่ยังไม่อยากเชื่อ
ภายในห้องนอน เรไรนั่งนิ่ง นึกย้อนกลับไปวันแต่งงาน ขณะที่เรไรเดินแยกตัวออกมาจะไปเข้าห้องน้ำ
แขกหญิงในงานสามคน แอบยืนเมาท์เจ้าบ่าวกับเจ้าสาวอย่างสนุกปาก
หญิง1บอก
"แหม...ผู้ชายน่ะก็อ่อนกว่าตั้งสิบกว่าปี แต่ยอมแต่งงานด้วยง่ายๆแบบนี้ จะเพราะอะไร ถ้าไม่ใช่เพราะว่าที่เมียน่ะรวยล้นฟ้า อำนาจล้นมือ"
เพื่อนอีกสองคน หัวเราะสนุกสนาน เรไร ทั้งโกรธ ทั้งเจ็บปวด
แขก ยังเมาท์กันต่อ
หญิง2บอก
"ถ้าเป็นชั้นนะ ต่อให้เจ้าสาวหูหนวก ตาบอด ก็ต้องยอมล่ะ"
หญิง3 บอก
"แต่ก็ไม่แน่นะ บางทีนายลิตรนั่นน่ะ เค้าอาจจะหวังเทครัวทั้งพี่ทั้งน้องเลยก็ได้นะ เอาพี่ไว้เป็นขุมทอง เอาน้องไว้เป็นเมียตัวจริง"
แขกทั้งสามหัวเราะเฮฮา เรไรยืนกำมือแน่น หน้าตาโกรธจัด แต่ต้องพยายามระงับอารมณ์ แล้วรีบเดินออกมา
เรไรสีหน้าขมขื่น หยิบภาพถ่ายวันแต่งงานมาดู เรไรในชุดเจ้าสาวยิ้มหน้าบาน มีความสุข แต่ลิตรยิ้มขรึมๆ เกร็งๆ
"พี่ไม่ได้แก่เกินไป สำหรับเธอใช่มั้ย"
เวลาต่อมา เรไรเปิดเข้าไปในห้องรำเพย ก่อนจะเดินไปที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง เรไรกวาดเครื่องประทินโฉมทั้งหมดใส่ตระกร้า
"พี่ยืมไปใช้บ้างนะรำเพย"
เรไรเปิดนิตยสารวัยรุ่น เพื่อดูการแต่งตัว ... เรไรในกระจกแต่งตัวตามหนังสือ ถักเปียสองข้าง ยืนยิ้มหวานแบบเกร็งๆ เธอลองเปลี่ยนอีกชุด เป็นชุดวัยรุ่นหวานแหวว มีระบายดอกไม้ฟูๆ แต่สีหน้าเรไรแข็งกระด้าง ตัดกับชุดที่ใส่
ภายในห้องรับแขกตอนกลางคืน แก้วเข้ามาตรวจสอบหน้าต่าง ประตูว่า ปิดแล้วเรียบร้อย เสียงก๊อกแก็กดังขึ้นที่บันได แก้วหันไปดู แล้วกรี๊ดร้องดังลั่น ที่บันได เรไรในชุดนอนปล่อยผมสยาย พอกครีมสีขาวไว้เต็มหน้า ดูหน้ากลัว แก้วตกใจ ตาค้าง
เรือนรัตนะตอนเช้าวันใหม่ เรไรส่งเสียงแหลมปรี๊ดแทบรูหู
"ลี๊ตร... เรไรมาแล้วค่า"
เรไรในชุดกระโปรงน่ารัก แต่ไม่เข้ากับตัวเลย กับทรงผมยอดนิยม ถักเปียสองข้างแบบพจมาน ลิตรเห็นแล้ว ถึงกับตกใจ นวลปล่อยถาดอาหารเช้า หลุดมือ
"คุณพระ คุณเจ้าช่วย"
เรไรยิ้มแอ๊บแบ๊ว
เวลาต่อมา ลิตรกับเรไรมาที่โรงสี เธอจับมือผัวแกว่งเหมือนเด็ก ลิตรทำหน้าไม่ถูก ไม่ค่อยกล้าสบตากับใคร
ลูกน้องมองหน้ากันอย่าง งงๆ
ภายในห้องทำงาน ลิตรตัดสินใจพูดบางอย่าง
"พี่เรไรครับ"
"จ๋า"
ลิตรถอนใจ จับมือเรไร พูดจริงจัง
"พี่ทำแบบนี้ทำไมครับ"
เสียงเรไรกลับมาเป็นคนเดิม
"ลิตรไม่ชอบแบบนี้เหรอ"
ลิตรส่ายหน้า
"พี่....กลัวว่าลิตรจะไม่ชอบ ที่พี่แก่เกินไป พี่ก็เลย..."
ลิตรยิ้ม พูดพลางแกะผมเปียให้เรไร
"ผมชื่นชมความสามารถและหลงรักความเก่งของผู้หญิงคนนี้ครับ ไม่ใช่สาวน้อยแก่นแก้วคนไหน"
ลิตรรวบผม ดึงเธอเข้ามากอด เพื่อยืนยันคำพูด เรไรยิ้มชื่นใจ ยิ่งหลงรักลิตรมากขึ้นไปอีก ในขณะที่เขา
แอบทำหน้าเบื่อหน่าย
ภายในสวน ขณะที่รำเพยเก็บดอกรำเพยอยู่ ลิตรก็ยื่นดอกหนึ่งให้ ทำเอาเธอผงะ ตกใจ
"พี่ลิตร"
"รำเพยหายโกรธพี่หรือยังจ้ะ"
"รำเพยจะโกรธพี่ลิตรเรื่องอะไรค่ะ..เราไม่ได้มีเรื่องอะไรต่อกัน"
รำเพยจะเดินหนี ลิตรเดินไปดักหน้า
"รำเพย อย่าตัดรอนพี่แบบนี้สิ แค่นี้หัวใจพี่ก็แทบจะทนไม่ไหวแล้ว"
รำเพยไม่อยากให้เรื่องราวเลยเถิดไปมากกว่านี้ จึงเดินหนี เรไรเดินสวนเข้ามายืนประจัญหน้ากับทั้งสองคน
ทั้งคู่ตกใจ เพราะไม่รู้ว่าเรไรมาตั้งแต่เมื่อไหร่ และได้ยินอะไรบ้าง
เรไรเสียงเข้ม ไม่ค่อยพอใจ
"รำเพยมาทำอะไรตรงนี้"
"มาเก็บดอกรำเพยไปร้อยถวายพระค่ะ"
"เอาอีกแล้วนะ ไอ้ดอกไม้บ้านี้น่ะ ชอบมาเก็บมันจัง"
เรไรคว้าถาดสาดดอกไม้สีสวยลงพื้น อย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะยื่นเท้าไปเหยียบย่ำดอกไม้ และพูดสั่งสอนทั้งรำเพยและลิตรเป็นนัยๆ
"มันเป็นดอกไม้พิษ ที่พร้อมจะกลับมาทำร้ายคนปลูกได้ทุกเวลา"
ลิตรไม่กล้าออกความคิดเห็น รำเพยหน้าเจื่อน
"และถ้าเมื่อไหร่ ที่พิษของมันมาทำร้ายคนแบบพี่ พี่ก็สามารถตัดมันทิ้งได้อย่างไม่ลังเลใจเลยนะ เธอ เข้าใจใช่มั้ย"
รำเพยพยักหน้ารับ
"ค่ะ"
รำเพยพยักหน้ารับ และรีบเดินออกไป ลิตรกลืนน้ำลายอย่างหวั่นๆ มองดูดอกไม้ที่แหลกราญบนพื้นด้วยเท้าของเรไร แล้วหวั่นใจพิกล
เช้าวันใหม่ รำเพยในชุดสวยปกติเดินเข้ามาในห้องรับแขก ลิตรกับเรไรกำลังนั่งคุยกันเรื่องโรงสีอยู่
ลิตรเผลอมองอย่างตะลึง เรไรแอบเห็น ลิตรกลบเกลื่อนด้วยการก้มหน้าอ่านเอกสารต่อ ไม่สนใจ รำเพยเดินสงบเงี่ยมมานั่งตรงข้าม
"นัดวันชัยไว้กี่โมงล่ะ แล้วจะไปที่ไหนกันบ้าง"
"นัดกันไว้แปดโมงเช้าค่ะ พี่วันชัยบอกว่า จะพาไปดูของขวัญที่จะเอาไปฝากอาม่าก่อน แล้วค่อยไปทานข้าวที่ร้านประจำของครอบครัวค่ะ"
ลิตรแอบฟังอย่างตั้งใจ วันชัยเดินเข้ามาในห้องมาพอดี ไหว้เรไรกับลิตรอย่างนอบน้อม
"สวัสดีครับพี่เรไร พี่ลิตร"
ลิตรรับไหว้อย่างขอไปที เรไรแอบสังเกตตลอดเวลา
"สวัสดีจ้ะวันชัย มาตรงเวลาดีจัง พี่ฝากรำเพยด้วยนะ ดูแลน้องดีๆ น้องไม่ค่อยได้ออกไปไหน นี่พี่เห็นว่าวันชัยเป็นคู่หมายกันนะ ถึงได้ยอมให้พารำเพยออกงานได้"
ลิตรขบกรามแน่น รำเพยหน้าเจื่อน ยิ้มไม่เต็มปากอย่างลำบากใจ
"ผมรับปากครับ ว่าจะดูแลรำเพยอย่างดีให้สมกับพี่เรไรไว้ใจ"
เรไรหัวเราะเริงร่าด้วยความเอ็นดูวันชัย ลิตรทำเป็นก้มหน้าอ่านเอกสาร แต่สายตาครุ่นคิด แฝงแววเจ้าเล่ห์
ภายในร้านอาหารจีนหรู เวลากลางวันต่อเนื่อง เสี่ยวิชัยและครอบครัวใหญ่แบบคนจีนนั่งล้อมโต๊ะจีนตัวใหญ่ที่ตกแต่งสวยงาม มีอาหารว่างชั้นดีวางอยู่ ทุกคนพูดคุยกันเสียงดัง อย่างสนุกสนาน
วันชัยเดินพารำเพยเข้ามาที่โต๊ะ เสียงพูดคุยเงียบลง ทุกคนในโต๊ะหันไปมอง อย่างเกรงใจในบารมีของเรไร ที่ส่งผ่านมายังน้องสาวคนสวยว่าที่สะใภ้ของเสี่ยวิชัย
รำเพยยิ้มอ่อนโยน ก่อนจะยกมือไหว้ทุกคน
"สวัสดีค่ะ"
ทุกคนรับไหว้ เสี่ยวิชัย กวักมือเรียกให้รำเพยกับวันชัยมานั่งข้างๆ อย่างเอ็นดู
"มา มา มานั่งตรงนี้"
ทั้งคู่ขยับลงนั่งข้างเสี่ยวิชัย
ในแหล่งแออัดท้ายตลาด ลิตรเดินลับๆล่อๆมาตามทางที่เฉอะแฉะที่ไม่มีใครอยากจะเข้ามา เขาสวมหมวกปิดบังใบหน้า ไม่อยากให้ใครจำได้ว่าเคยมาที่นี่ จนมาถึงบ้านเช่าสังกะสีหลังหนึ่งที่อยู่เกือบหลังสุดท้ายในซอยเปลี่ยว เขาหันซ้ายแลขวาก่อนตบประตู
"ใครวะ"
ขี้ยาหน้าตาหน้ากลัวคนหนึ่งเปิดประตูออกมา
"ไอ้ลิตร"
"ให้กูเข้าไปก่อน เร็วซีวะ"
ขี้ยาหลีกทางให้ลิตรเดินเข้าไป ปิดประตู
ภายใน แก๊งขี้ยากำลังนั่งมั่วซุมกันอยู่ข้างใน3คน
ขี้ยา1บอก
"มึงรวยไปแล้วนี่ มาหาพวกกูอีกทำไม"
ลิตรไม่พูดพล่ามล้วงเงินฟ่อนใหญ่ออกมาวางกลางวงบ้องกัญชา
"กูให้เงินพวกมึงไว้ซื้อยาไม่อั้นเลย แต่พวกมึงต้องทำงานให้กูอย่างหนึ่ง"
ขี้ยาทั้ง 3 มองเห็นเงินก็ตาลุก
ขี้ยา2 ถาม
"งานไรของมึง"
"หึ งานถนัดของพวกมึงนั่นแหละ"
ลิตรแววตาอาฆาตมาดร้าย
เรือนริษยา ตอนที่ 13 (ต่อ)
หลังทานอาหารเสร็จ รำเพยกำลังยืนไหว้ล่ำลาเสี่ยวิชัยกับญาติพี่น้องที่หน้าร้าน ทุกคนพูดคุย รักใคร่รำเพยมาก ล่ำลาเสร็จ วันชัยก็พารำเพยเดินผละมาจากทุกคน...คุยกัน
"ไปเดินเล่นกันก่อน ไม่รีบกลับใช่มั้ย ครับ"
"ก็ได้ค่ะ"
รำเพยฝืนยิ้มทั้งๆที่ใจจริงอยากกลับบ้านใจจะขาด
วันชัยเดินทอดน่องมากับรำเพย...บนทางร่มรื่นด้วยต้นไม้และค่อนข้างปลอดคน เขามองเธออย่างหลงรัก รำเพยหลบสายตาอย่างประหม่า
วันชัยยื่นมือมาจับมือรำเพย เธอตกใจดึงมือกลับ
"อุ้ย!"
"ทำไมล่ะครับ อีกไม่นาน เราก็จะต้องแต่งงานกันอยู่แล้ว"
"เอ่อ รอให้ถึงวันนั้นซะก่อนเถอะนะคะ"
"คุณรำเพยนี่ รักนวลสงวนตัวมากเลยนะครับ ผมแทบรอไม่ไหว ที่จะได้เป็นเจ้าของคุณรำเพย"
รำเพยฟังแล้วสุดจะอึดอัด หายใจแทบไม่ออก เพราะไม่ได้รักผู้ชายคนนี้เลย
"เป็นอะไรรึปล่าวครับคุณรำเพย"
"เอ่อ ปล่าวค่ะ"
ทั้งสองคนเดินไป จู่ๆชายขี้ยาทั้ง 3 คนโผล่จากไหนไม่รู้ กรูกันเข้ามาหา อีกคนจับล็อกคอใช้มืออุดปากวันชัยไว้ อีกคนชกไปที่ท้องวันชัย 2-3 หมัดจนจุก
"พวกแกจะทำอะไรฉัน"
วันชัยสู้ ถีบขี้ยาคนหนึ่งจนกระเด็น ต่อยอีกคนหนึ่งเซ
ขี้ยา1บอก
"แรงมากนักเหรอไอ้ตี๋"
ขี้ยา1ต่อยวันชัยหน้าหงาย แล้วตามเข้าต่อยซ้ำ จนทรุดเข่าลง ขี้ยา 2 เข้ามาเตะเสยหน้าจนหงาย ขี้ยา 3 ตามเข้ามากระทืบที่อก ขนวันชัยจุก จากนั้นทั้ง 3 ก็รุมยำสหบาทาจนวันชัยกระอักเลือด จนนอนสลึม สลือแทบหมดสติ
รำเพยตกใจ ช่วงจังหวะชุลมุนรำเพยตะโกนเรียกให้คนช่วย
"ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วย"
ขี้ยาจะเข้ามาจับรำเพยไว้ ขี้ยาอีกคนกำลังซ้อมวันชัยจนน่วม หันมาเห็นจึงพูดว่า
"เฮ้ย! อย่าทำผู้หญิง อีนี่มันเป็นตัวนำโชคเดี๋ยวพวกเราจะซวย"
วันชัยได้ยินที่ขี้ยาพูด แต่ไม่ทันคิดว่าหมายถึงอะไร ขี้ยาจับมัดวันชัยพยายามจะลากไปที่ใดที่หนึ่ง
วันชัยกำลังถูกขี้ยาทั้ง 3 มัดมือมัดเท้า ขี้ยาอีกคนจับรำเพยไว้
"เฮ้ย เร็วๆซีเว้ย จะได้พามันหาที่ฝัง"
"ปล่อยเค้านะ ช่วยด้วย"
"คุณรำเพยช่วยผมด้วย มันจะฆ่าผม"
รำเพยดิ้นจนหลุด แล้ววิ่งไปเพื่อหาคนมาช่วย ขี้ยา 3 คนตกใจที่รำเพยหลุดไป
ขี้ยา1บอก
"เฮ้ย...อีผู้หญิงมันหนีไปแล้ว"
ขี้ยา2บอก
"ช่างมัน...มาลากไอ้นี่ไปก่อน ก่อนที่ใครจะมาเห็นเร็ว"
รำเพยวิ่งกลับมาพร้อมชาย 2 คน พร้อมกับตะโกนว่า
"จับมันเลยค่ะ คุณตำรวจ"
ขี้ยาพอได้ยินว่าเป็นตำรวจก็วิ่งเผ่นไปคนละทางทันที ขณะชายทั้ง 2 อึ้งๆไปอึดใจ ก่อนจะตะโกนตามน้ำไป
ชาย1ตะโกนบอก
"เฮ้ย!หยุดนะนี่เจ้าหน้าที่ตำรวจ พวกแกอย่าหนีนะ"
รำเพยรีบถลาเข้าไปดูวันชัย แก้มัดให้
"เป็นยังไงบ้างคะ คุณไปมีเรื่องกับใครรึเปล่าคะนี่ พวกมันเป็นใครคะ"
"ผมไม่รู้ อยู่ๆมันก็อุ้มผมมากระทืบ แล้วบอกว่าจะฝังผม มันจะฆ่าผม"
รำเพยตกใจ
ภายในห้องรับแขก เรือนรัตนะ วันชัยนั่งสะบักสะบอม ลิตรแอบนั่งเหล่มองอย่างผิดหวังที่เก็บวันชัยไม่ได้
"คุณพระคุณเจ้าช่วย ดูหน้าซิ มันกระทืบซะยับเยิน แล้วทำไมไม่นอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล มาทำไม พ่อวันชัย" เรไรว่า
"ผมพาคุณรำเพยไปแล้ว ก็ต้องพามาส่งตามสัญญาครับ ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ผมไม่เป็นไรมาก"
"นี่นะเหรอไม่เป็นไรมาก ดีที่รำเพยไม่โดนหางเลขไปด้วย"
"เอาน่าลิตรก็ พ่อวันชัยไม่เป็นไรก็ดีแล้ว"
"ดีที่มีหนูรำเพยไปด้วย เลยพาคนไปช่วยไว้ทัน ไม่งั้นก็ไม่รู้ว่าไอ้พวกนั้นมันจะทำอะไรลูกอั๊วมั่ง ขอบใจมากนะหนูรำเพย" เสี่ยวิชัยว่า
"อุ้ย ไปขอบอกชอบใจทำไมเสี่ย แบบนี้แหละเค้าเรียกคู่ทุกข์คู่ยาก นี่ขนาดยังไม่แต่งนะ รำเพยยังช่วยเหลือดูแลพ่อวันชัยได้ถึงขนาดนี้ ถ้าไม่เรียกว่าเนื้อคู่ จะเรียกว่าอะไร"
"อั๊วก็ว่าอย่างงั้นแหละ ฟ้าประทานหนูรำเพยมาเป็นสะใภ้อั๊วจริงๆ"
ลิตรหันมามองอย่างไม่พอใจ
"ฟ้าประทานอะไรเสี่ย น้องรำเพยเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยงช่วยลูกเสี่ย เกิดโดนไอ้พวกโจรมันรุมทำร้ายขึ้นมา ใครจะรับผิดชอบชีวิตรำเพย ห่ะ ลูกเสี่ยเป็นผู้ชายแท้ๆ นี่อะไร กลับให้ผู้หญิงมาปกป้อง นี่น่ะเหรอคนที่น้องรำเพยจะฝากชีวิตไว้ด้วย"
"ลิตร...ทำไมพูดอย่างงั้น"
"ก็มันจริง"
"พี่เรไร ผมขอโทษ ผมสัญญาว่าจะชดเชยความดีของคุณรำเพยที่ช่วยชีวิตผมเป็นร้อยเท่าพันเท่า แต่งงานกันแล้ว ผมจะเลี้ยงดูคุณรำเพยให้ดีที่สุด ผมจะไม่ให้คุณรำเพยลำบากเลย จะไม่นอกใจ จะไม่มีผู้หญิงคนไหน... นะครับคุณรำเพย ผมจะรักคุณคนเดียวตลอดชีวิตของผม" วันชัยพูดพลางจับมือรำเพย
รำเพยอึ้งมองอย่างลำบากใจ ลิตรแอบขบกรามกำหมัด เรไรหัวเราะชอบใจ
"ฮ่ะๆๆได้ยินชัดหรือยังจ๊ะลิตร ผู้ชายคนนี้กำลังสาบานรักรำเพยต่อหน้าพี่ ต่อหน้าเธอ ต่อหน้าพวกเราทุกคน แล้วอย่างงี้ เราจะใจจืดใจดำขัดขวางความรักของทั้งคู่ได้ยังไง ฮ่ะๆๆ เรามารีบหาฤกษ์แต่งงานให้เร็วที่สุดกันเถอะเสี่ย"
"ผมเห็นด้วยคุณนาย ฮ่ะๆๆ"
ลิตรขบกรามแค้น มองหน้าวันชัยที่ยิ้มเปรมปริ่มจับมือรำเพย ส่วนรำเพยกล้ำกลืน ฝืนให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่เรไรต้องการ
หน้าห้องพระ เช้าวันใหม่ รำเพยยกถาดดอกไม้ออกมาจากห้องพระ แล้วปิดประตู ด้วยความที่ถือของพะรุงพะรังทำให้ปิดประตูไม่ได้ ลิตรที่เดินมาจากอีกฝั่งหนึ่งตั้งใจจะเข้ามาช่วย แต่รำเพยเห็นก่อน จึงรีบเดินหนี จนเสียหลัก ลิตรพุ่งเข้ามาถึงตัวของรำเพยก่อนที่รำเพยจะล้ม
เธอตกใจ ดิ้นรนจากอ้อมกอดของลิตร แต่ลิตรกลับลืมตัว ลืมความน่ากลัวของเรไรไปอย่างหมดสิ้น เมื่อมีรำเพยอยู่ในอ้อมกอด และใบหน้างดงามที่เค้าหลงรัก ก็อยู่ห่างแค่ปลายจมูก สายตาเว้าวอนของเขา ทำให้รำเพยใจสั่นระรัว และลืมตัวไปชั่วขณะ ก่อนที่รำเพยจะรู้ตัว ใบหน้าของลิตรก็เคลื่อนเข้ามาใกล้ จนรำเพยหนีไม่ทัน
เรไรเดินเลี้ยวออกมาจากห้องนอนและทันได้เห็นภาพอันบาดตาระหว่างสามีหนุ่มกับน้องสาวต่างวัย เต็มสองตา
เรไรเสียงกร้าว ด้วยความหึงหวง
"ลิตร"
เสียงเรไรเหมือนฟ้าผ่าลงมากลางเรือนรัตนะ
ลิตรกับรำเพยผงะออกจากกัน แต่ไม่ทันเรไรที่ปรี่เข้ามากระชากตัวรำเพยออกจากลิตร และกระหน่ำมือลงไปที่ใบหน้าของรำเพยอย่างสุดแค้น
"รำเพย อีเนรคุณ มายุ่งกับผัวกูทำไม มายั่วยวนลิตรทำไม"
รำเพยร้องไห้ด้วยความเจ็บปวดที่โดนตบและโดนด่า
ลิตรทนไม่ได้ที่เห็นรำเพยโดนทำร้าย เลยเข้าไปดึงเรไรออกมา ทำให้โดนลูกหลงไปด้วย
"พี่เรไรพอแล้วครับ พอแล้ว"
เรไรไม่ฟังพยายามจะเข้าไปตบตีรำเพยให้หายแค้น
ป้านวลกับชิดวิ่งเข้ามา เพราะได้ยินเสียงดัง และยิ่งเห็นอาการของทั้งสามคน ก็ยิ่งแปลกใจ
"ป้านวล พาคุณรำเพยออกไปที เร็วสิ"
นวลตกใจ แต่ก็รีบเข้ามาพารำเพยที่กำลังร้องไห้เสียใจ ออกไป ลิตรทั้งลาก ทั้งดึงเรไรไปอีกทางนึง
เสียงเรไรยังด่าอาละวาด ไม่หยุด ชิดมองตามคนทั้งคู่ไป
ลิตรใช้ความพยายามอย่างหนักจนพาเรไรที่กำลังโกรธเลือดขึ้นหน้า เข้าในห้องนอนจนได้
"ปล่อยพี่นะลิตร ปล่อย อีนั่นมันร่าน มันตั้งใจจะยั่วลิตร มันเนรคุณ พี่สาวของมัน"
เรไรยังอาละวาดไม่ยอมเลิก
ลิตรไม่รู้จะทำยังไง นอกจากกอดเรไรไว้ และพยายามพูดปลอบให้สงบลง
"พี่ครับ พี่เรไรใจเย็นๆ ก่อนครับ"
เสียงออดอ้อนหวานหูและอ้อมกอดที่แข็งแรงของลิตร ทำเรไรสงบลงบ้าง
"ลิตรจะให้พี่ใจเย็นได้ยังไงก็พี่เห็นนะ ว่าลิตรกับ..."
ลิตรเอามือแตะปากเรไรเบาๆ
"มันไม่มีอะไรครับ ไม่มีอะไรจริงๆ มันเป็นอุบัติเหตุ น้องรำเพยล้ม ผมเข้าไปช่วย ก็แค่นั้นเองครับ ไม่มีอะไร"
ลิตรยืนยันความบริสุทธิ์ใจ เรไรไม่เชื่อในสิ่งที่ลิตรพูด เขาก้มลงจูบที่หน้าผากของเรไรอย่างอ่อนโยน
"จริงๆนะครับ ผมรักพี่เรไรคนเดียว พี่อย่าเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับน้องรำเพยเลยนะครับ น้องรำเพยไม่มีอะไรสู้ภรรยาแสนสวยของผมได้ พี่เรไรเป็นนางฟ้าของผมแค่คนเดียว เชื่อใจผมนะครับ"
เรไรซบลงกับอกของลิตร แต่สายตายังครุ่นคิดบางอย่าง
ภายในครัว รำเพยนั่งหน้าแห้ง ยังสะอื้นเป็นระยะ นวลทายาให้ด้วยความสงสาร ชิดยืนดูอยู่ห่างๆ
"เจ็บไหมคะคุณรำเพย ดูดิหน้าตาบวมช้ำไปหมดเลย คุณเรไรไม่น่าหลงผู้ชายจนถึงขั้นตบตีน้องสาวถึงขนาดนี้เลย"
"ป้า! ไม่เอานะ อย่าพูดอย่างงั้น ฉันผิดเองที่ทำให้พี่เรไรเข้าใจผิด พี่เรไรก็เลยหึงหวง"
"จะหึงหวงก็ต้องถามกันให้รู้เรื่องกันก่อน ไม่ใช่มาลงไม้ลงมือกันแบบนี้"
"ฉันทนได้จ้ะป้า ต่อให้พี่เรไรทำกับฉันยิ่งกว่านี้ ฉันก็จะไม่โกรธ กับพี่เรไร จะทำยังไงกับฉันก็ได้ ฉันยอมทุกอย่าง"
"โถ คุณรำเพย"
ชิดมองอย่างสงสาร
ในเวลาเย็น รำเพยนั่งรอเรไรที่โต๊ะอาหาร ป้านวลกับชิด ยืนรออยู่ที่มุมห้องเหมือนเดิม รำเพยนั่งก้มหน้า ไม่กล้าสบตาใคร ลิตรเดินประคองเรไรเข้ามา บรรยากาศยิ่งอึดอัดเพราะ เรไรยังหมั่นไส้น้องสาวอยู่
"ชิด นวล เตรียมจัดบ้านให้เรียบร้อยหน่อยนะ"
ชิดกับป้านวลมองหน้ากันด้วยความสงสัย นวลหลุดปากถาม
"ทำไมล่ะค่ะ...คุณเรไร จะมีงานอะไรเหรอค่ะ"
เรไรพูดนิ่งๆ แต่แอบสะใจ
"อาทิตย์หน้าเสี่ยวิชัยเค้าจะมาสู่ขอรำเพย ให้วันชัย"
รำเพยช็อก ลิตรตกตะลึง เรไรยิ้มเยาะ สะใจ ชิดแอบยิ้มโล่งใจ นวลดีใจจนออกนอกหน้า แถไปหาเรไรที่หัวโต๊ะ
"จริงเหรอค่ะคุณเรไร แล้วจะแต่งกันเมื่อไหร่คะ"
"ก็เร็วๆนี้แหละ แต่เสี่ยวิชัยเค้าจะเข้ามาหมั้นหมายไว้ก่อน แล้วก็รีบแต่งงานให้เร็วที่สุด เท่าที่จะเร็วได้"
ลิตรมือสั่น พยายามระงับอารมณ์สูญเสีย รำเพยหน้าซีดเผือด รู้สึกเหมือนหัวใจถูกบีบจนแทบจะแหลกสลาย
เวลาเย็น ลิตรกับลูกน้องยืนอยู่ที่ฝั่งตรงข้ามหน้าโรงสี เสี่ยวิชัย ที่มีป้ายโรงสีใหญ่โต มีรถบรรทุกข้าว วิ่งเข้าออก ลิตรหันมาสั่งงานลูกน้อง ก่อนจะขึ้นรถกลับไป ลูกน้องเดินหลบไปอีกทาง พร้อมถังน้ำมันในมือ
นวลวิ่งร้องตะโกนอย่างตกใจเข้ามาในโต๊ะอาหาร
"คุณขา แย่แล้วค่ะ"
ลิตร เรไร รำเพย ชิด ตกใจ หันไปมอง ป้านวลวิ่งเข้ามาถึงโต๊ะ
เรไรถามเสียงดุ
"อะไรกัน มีเรื่องกัน"
"โอ้ย...คุณเรไรค่ะ เกิดเรื่องใหญ่แล้วค่ะ นังแก้วมันบอกว่า ไฟไหม้ที่โรงสีของเสี่ยวิชัยค่ะ"
2 พี่น้องตกใจ ลิตรแอบยิ้มสาสมใจ ชิดแอบเห็นแต่ชักไม่แน่ใจ คิดว่าตัวเองตาฝาด เรไรเป็นห่วง
"จริงเหรอ"
"จริงค่ะ ก็น้องชายนังแก้วน่ะทำงานอยู่ที่นั่นค่ะ มันบอกว่า วอดไปครึ่งโรงแล้วค่ะ ป่านนี้จะดับหมดหรือยังก็ไม่รู้"
เรไรผุดลุก ด้วยความเป็นห่วง
"ชั้นไปดูเสี่ยเค้า เผื่อจะช่วยอะไรได้บ้าง ไปจ้ะลิตร ชิด รำเพยดูบ้านดีๆนะ ระวังฟืนไฟ ไว้ด้วยนะ"
"ค่ะคุณพี่"
เรไรเดินนำสองหนุ่มออกไป ลิตรเดินตามหน้าระรื่น
เสี่ยวิชัยกับวันชัยลงนั่งหน้าเศร้าอยู่ข้างๆเรไรในสภาพเนื้อตัวมอมแมม วันชัยตาแดงเหมือนคนเพิ่งร้องไห้
เรไรหน้าเครียด ลิตรนั่งห่าง หน้าตาไม่แสดงอารมณ์
ชิดยืนเฝ้าระวังอยู่ห่างๆเหมือนเดิม แต่สายตาเหลือบไปมองที่ลิตรเป็นระยะ
"ทำใจนะเสี่ย เสียไปแค่นี้ยังดีกว่า มีใครบาดเจ็บ ล้มตาย เรายังมีแรง เราค่อยมาช่วยกันสร้างใหม่ ใช่มั้ยวันชัย ใช่มั้ยเสี่ย"
วันชัยยังนั่งนิ่ง เพราะใจไม่แข็งอย่างเรไร เสี่ยวิชัย ยิ้มได้ ยื่นมือมาจับเรไรอย่างขอบคุณ
"ใช่ คุณนายเรไรพูดถูก ขอบใจนะที่ช่วยให้สติ"
"ไม่เป็นไรหรอกเสี่ย คนเรามันก็ต้องมีวันที่ล้ม แต่พอล้มแล้วก็ต้องรีบลุกขึ้นมาให้ได้ เสี่ยไม่ต้องกลัวนะ ชั้นยินดีช่วยทุกอย่างเต็มที่ เหมือนที่เสี่ยเคยช่วยชั้นมาตลอด"
ลิตรแอบทำหน้าไม่พอใจ ที่เรไรออกปากจะช่วยเหลือเสี่ย และดูเสี่ยไม่ค่อยกังวลใจเท่าไหร่ ชิดแอบสังเกตอาการลิตรตลอดเวลา
เรไรนั่งครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของเสี่ยวิชัย อย่างเคร่งเครียด
"มันเกิดอะไรขึ้น หรือว่า...."
ลิตรเปิดประตูเข้ามา แล้วหยุด เพราะเห็นแววตาของเรไรที่มองมา แล้วแปลกใจ
"มีอะไรหรือเปล่าครับพี่"
เรไรจ้องตาของลิตรอย่างพยายามจะค้นหาความจริง
"ลิตรรู้อะไรเรื่องบ้านของเสี่ยวิชัยกับวันชัยบ้างหรือเปล่า"
ลิตรสะดุ้งในใจ แต่พยายามเก็บอาการไม่ให้เรไรเห็นพิรุธ
"เปล่าครับ"
ลิตรมองหน้าเรไรกลับ ทั้งสองคนต่างจ้องหน้ากัน เพื่อจะค้นหาอะไรบางอย่าง สุดท้าย ลิตรเดินไปคุกเข่าลงนั่งข้างๆเรไร และจับมือเรไรขึ้นมากุมไว้
"พี่กลุ้มใจเรื่องอะไรอยู่รึเปล่าครับ"
เรไรยังมองหน้าลิตรอยู่ เขาไม่ยอมหลุดพิรุธ และใช้มารยาของเด็กหนุ่มออดอ้อนเรไร
"มีอะไรเล่าให้ผมฟังก็ได้นะครับ"
เรไรยังนิ่ง เพราะยังคลางแคลงใจในตัวลิตร เขาซบลงบนตักเรไร อย่างประจบ
"ทูนหัวของผม ใครทำอะไรให้นางฟ้าของผมไม่สบายใจ"
กิริยา อาการต่างๆที่ลิตรทำ ได้ผลกับเรไรเสมอ เรไรใจอ่อนอีกครั้ง
"พี่แค่สงสัยว่าทำไมช่วงนี้ มีเรื่องร้ายๆเกิดขึ้นกับวันชัยติดๆกัน"
ลิตรลอบยิ้มสะใจ ก่อนจะขยับขึ้นมานั่งคุยกับเรไร
"ครอบครัวนั้นเค้าอาจจะมีศัตรูอยู่แล้วก็ได้นะครับ เพราะท่าทางเค้าก็ดูจะร้ายไม่ใช่เล่น"
"ไม่น่าจะมีนะ เสี่ยวิชัยน่ะ มือสะอาดและใจดี ใครๆก็รักแก ส่วนวันชัยก็เหมือนพ่อเลย ไม่น่าจะมีศัตรูที่ไหน"
"ก็ไม่แน่นะครับ ทำธุรกิจแบบนี้อาจจะไปข้ามเส้นใครเค้ามาก็ได้...แล้วอย่างนี้พี่เรไรยังอยากให้น้องรำเพยไปอยู่กับเค้าอีก น้องรำเพยจะปลอดภัยเหรอครับ"
เรไรนิ่ง จ้องหน้าลิตรอย่างไม่พอใจ
"ทำไม เป็นห่วงรำเพยมากขนาดนั้นเลยเหรอ"
ลิตรทำเป็นหัวเราะกลบเกลื่อน
"เปล่าหรอกครับ ผมเป็นห่วงพี่ต่างหาก เพราะถ้าได้ผู้ชายไม่เอาไหน แถมครอบครัวยังมีศัตรูเยอะแยะแบบวันชัยมาเป็นน้องเขย กลัวว่าเค้าจะมาสร้างปัญหาให้พี่มากกว่าครับ"
เรไรมองลิตร เริ่มจะเชื่อด้วยความหลงอีกครั้ง ลิตรเห็นอาการก็เดาออก
"แทนที่พี่จะได้คนช่วยคิดกลับจะกลายเป็นได้ภาระมาเพิ่มเปล่าๆนะครับ"
ลิตรเห็นเรไรเริ่มคล้อยตาม ก็ยิ่งเล่นละครเอาใจ เพื่อหลอกให้ตายใจ
เขาเอื้อมมือไปแตะหน้าเรไร อย่าถนุถนอม
"ผม...ทำทุกอย่าง เพื่อพี่เรไรของผมคนเดียวเท่านั้นนะครับ ถ้าอะไรไม่ดี ผมก็แค่อยากจะช่วยป้องกันไม่ให้มันมาทำความเดือดร้อนให้นางฟ้าของผมเด็ดขาด"
เรไรยิ้มรับ เชื่อลิตรหมดใจ
"ขอบใจนะจ้ะลิตร พ่อเทพบุตรแสนดีของพี่ แล้วเรื่องวันชัยกับรำเพยน่ะพี่มั่นใจนะว่า วันชัยก็ต้องเป็นสามีที่ดีให้กับรำเพยได้แน่ๆ"
เรไรยืนยันความมั่นใจตัวเอง ลิตรได้แต่ยิ้มรับเจื่อนๆ
เพื่อผ่านเวลา ไปสู่วันหมั้นของรำเพย เช้านั้น รำเพยสวยเศร้าในชุดไทยสวยหรู สีหวาน แต่งหน้า ทำผมเต็มที่ สำหรับงานวันสู่ขอและหมั้นของตัวเองกับวันชัย ป้านวลยืนยิ้มดีใจ หน้าบาน กับวันดีๆของเจ้านายสาวที่แสนดี
"คุณรำเพยสวยจังเลยค่ะ"
เธอพยายามยิ้มตอบความหวังดีและจริงใจของป้านวล อย่างแห้งแล้ง แก้วเปิดประตูเข้ามาในห้องอย่างร่าเริง
"คุณรำเพยค่ะ ได้เวลาแล้วค่ะ...เชิญเลยค่ะ"
รำเพยพยักหน้ารับแบบไร้ชีวิตจิตใจ และตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงแห้งแล้งพอกัน
"ขอบใจจ้ะ ป้านวลกับแก้วลงไปก่อนนะ เดี๋ยวชั้นตามลงไป"
บรรยากาศเริ่มสลด เพราะท่าทางที่ไม่สดชื่นของรำเพย แต่สุดท้ายนวลกับแก้วก็จำใจต้องออกจากห้องไป
รำเพยนั่งมองหน้าตัวเองในกระจก อย่างเจ็บปวด น้ำตาหยดเล็กๆที่พยายามกลั้นไว้ตลอดเวลาค่อยๆสำแดงตัวออกมา จนตาสวยซึ้งชุ่มฉ่ำไปด้วยหยาดน้ำแห่งความขมขื่น
เรไรกับลิตร นั่งคู่กันที่โซฟาหรู ตัวกลาง เรไรยิ้มแย้มแจ่มใส ลิตรนั่งหน้านิ่งเหมือนหุ่นยนต์ คอยตอบคำถามเรไรแบบไร้อารมณ์
เสี่ยวิชัยกับเมียนั่งอยู่บนโซฟาอีกฝั่งหนึ่ง มีวันชัยนั่งพับเพียบอยู่กับพื้น พร้อมด้วยพานขันหมาก และเครื่องบริวารที่ตกแต่งอย่างสวยงามวางอยู่ตรงหน้า
แขกผู้ใหญ่จำนวนหนึ่งนั่งพูดคุย สนุกสนานอยู่ด้านหลังฝ่ายชาย ชิดกับคนในบ้าน นั่งพับเพียบเรียบร้อย อยู่อีกมุมนึงของห้อง
เสียงพูดคุยในห้อง เงียบลง เมื่อร่างงามในชุดไทย ของรำเพยปรากฏขึ้นที่หน้าห้อง สายตาทุกคู่หันไปมองที่รำเพยเป็นตาเดียวกัน เธอเดินช้าด้วยหน้าตาสงบ เสงี่ยม ตรงมาที่กลางห้อง ลิตรตกตะลึงในความงามของรำเพย จนเกิดภาพในความคิดของตัวเอง
... รำเพยเดินยิ้มร่า หน้าตาสดชื่น เข้ามานั่งข้างๆ ลิตรในชุดผ้าไทย นั่งอยู่บนพรม หน้าโซฟา มีพานขันหมากและพานบริวารวางอยู่ตรงหน้า เขายิ้มหน้าบาน มองหน้ารำเพยอย่างแสนรัก เธอยิ้มตอบด้วยสายตาแสดงความรักเช่นกัน เขาเอื้อมมือไปจับมือเธอขึ้นมาจูบ อย่างทนุถนอม เธอยิ้ม พยายามจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ลิตรไม่ได้ยิน...
เสียงเรียกชื่อรำเพยของเรไร ดึงลิตรกลับมาที่ความเป็นจริงตรงหน้า
"มานี่รำเพย นั่งตรงนี้จ้ะ"
รำเพยเดินลงมานั่งที่พื้นด้านหน้าเรไร เรไรหันไปเรียกวันชัยให้มานั่งข้างรำเพย
"มา มาวันชัย มานั่งข้างรำเพยนี่"
วันชัยค่อยๆคลานมานั่งข้างรำเพย
รำเพยหน้านิ่ง ไม่แสดงอารมณ์ ลิตรขบกรามแน่น พยายามระงับอารมณ์ทั้งหลายที่กำลังถาโถมเข้ามา
หัวใจที่ดับสนิทไม่รู้ ไม่เห็น ไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น ได้แต่เคลื่อนไหวร่างกาย ไปตามคำสั่งของเรไร โดยไม่มีอารมณ์อะไร
เรไรแอบยิ้มเจ้าเล่ห์ หัวใจล้นทะลักไปด้วยความสุข ความสมหวังทุกอย่าง
ภายในห้องทำงาน ตอนกลางคืน เรไรนั่งทำงานอยู่ในห้อง เสียงเคาะประตูดัง รำเพยเปิดประตูเข้ามาเบาๆ แล้วหยุดยืนที่หน้าประตูไม่กล้าเข้า เรไรมองน้องสาวอย่างสับสน ความรู้สึกหลายอย่าง ทั้งรัก ทั้งสงสาร เห็นใจ และไม่แน่ใจผสมปนเปกัน แต่เมื่อเห็นอาการหวาดกลัว ที่คุ้นตาก็ทำให้หัวใจ เริ่มอ่อนลงบ้าง น้ำเสียงที่เรียก จึงไม่เข้มงวดเท่าไหร่
"เข้ามาสิ"
เรไรมองน้องสาวอย่างพิจารณา ตอนแรกตั้งใจว่าจะอวยพร ปลอบโยน ให้คำพูดดีๆก่อนที่จะจากกัน แต่เมื่อเห็นหน้ารำเพยใกล้ๆ ผิวพรรณที่ขาวนวล หน้าตาที่อ่อนเยาว์ และเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น ทำให้เรไร หมดอารมณ์ที่จะพูด จึงได้แต่ออกคำสั่งในสิ่งที่ต้องการเท่านั้น
"วันมะรืนเธอเก็บเสื้อผ้า ข้าวของไปอยู่บ้านวันชัย ได้เลยนะ จะได้เตรียมตัว เป็นแม่บ้านให้วันชัยแล้วก็ทำความรู้จักกับคนในครอบครัวของเค้า"
รำเพยสะดุ้ง อึ้ง คิดไม่ถึงว่าจะถูกขับไสไล่ส่ง เธอพยายามจะขอร้องเรไร
"คุณพี่ค่ะ แต่น้อง"
เรไรยกมือห้าม รำเพยชะงัก ไม่กล้าพูดต่อ
"ชั้นตัดสินใจไปแล้ว เธอมีหน้าที่ทำตาม ถ้ากล้าขัดคำสั่งชั้น ก็ลองดู"
รำเพยนิ่ง ไม่กล้าโต้แย้ง เรไรทำเป็นไม่สนใจ ก้มหน้าก้มตา ทำงานต่อ รำเพยยกมือที่สั่นเทาไหว้เรไร แล้วค่อยๆลุกเดินออกไป เรไรมองตามน้องสาวอย่างเจ็บปวดเหมือนกัน
เรือนริษยา ตอนที่ 13 (ต่อ)
ชิดยกกระเป๋าเสื้อผ้าของเรไร เดินออกมาที่ลานจอดรถ ซึ่งมีเสี่ยวิชัย ยืนรออยู่ เรไรกับลิตรเดินกอดเอวกันออกมา ลิตรหน้าตาบึ้งตึง เมื่อยกมือไหว้ทำความเคารพเสี่ยวิชัย
"น่าเสียดายนะครับ ที่คุณลิตรติดธุระสำคัญ ไม่งั้นเราจะได้เดินทางไปพร้อมกันเลย"
ลิตรไม่ตอบ เรไรตอบแทนลิตร ด้วยคำพูดแกมบังคับที่ลิตรต้องทำตาม
"แค่วันเดียวเองค่ะ เสี่ย...เดี๋ยวพรุ่งนี้ ลิตรจัดการเรื่องโอนที่เสร็จ ลิตรก็จะรีบตามไป ใช่มั้ยจ้ะ ลิตร"
ลิตรจำใจยิ้มประจบและรีบรับคำ
"ครับพี่"
เสี่ยวิชัยหัวเราะตามแบบคนรวยอารมณ์ดี ทำให้บรรยากาศเริ่มผ่อนคลาย
"แต่งงานกันมาตั้งนานแล้ว ยังหวานกันไม่เลิกเลยนะครับ"
เรไรหัวเราะเขิน ลิตรเม้มปากแน่น ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับเสี่ยวิชัย เลยรีบพูดให้ทั้งสองคนออกไปจากชีวิตตรงหน้า
"นี่ก็สายมากแล้ว ผมว่าพี่รีบออกเดินทางเถอะครับ"
เรไรทำท่าอ้อยสร้อย ไม่อยากไป
"แหม...นี่ถ้าไม่นัดท่านอาจารย์ดูฤกษ์แต่งงานของรำเพยไว้ พี่ไม่ไปจริงๆ นะ พี่อยากไปพร้อมกับลิตรน่ะ"
ลิตรขบกรามแน่น ไม่อยากฟังเรื่องราวการแต่งงานของรำเพย อยากจะไล่คนทั้งสองคนที่เป็นตัวตั้งตีในการจัดการเรื่องแต่งงานออกไปให้ไกลที่สุด แต่ก็ทำไม่ได้ ต้องพยายามพูดจาดีๆ เพื่อไม่ให้ผิดสังเกต
"ผมบอกแล้วไงครับ ว่าจะรีบตามไป หลังจากจัดการธุระเสร็จ"
ลิตรพูดพลางประคองเรไรไปที่รถ และเปิดประตูให้
"เดินทางปลอดภัยนะครับ เดี๋ยวเจอกัน"
เรไรยิ้มรับ และเดินขึ้นไปนั่งในรถ เสี่ยวิชัย เปิดประตูขึ้นรถอีกฝั่งนึง ลิตรปิดประตูรถให้เรไร พร้อมรอยยิ้มแสนดี ชิดขับรถออกไป เรไรยังหันกลับมามอง ลิตรโบกมือตามหลัง ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
รถแล่นผ่านออกไป เรไรเห็นรำเพยยืนเก็บดอกไม้อยู่ในสวน เรไรหันกลับมามองเรือนรัตนะ จนลับตา
ลิตรรีบเอามือลง และสีหน้าเปลี่ยนเป็นเกลียดชัง มองตามรถอย่างเคียดแค้น ทั้งเรไร ทั้งเสี่ยวิชัย ที่ทำร้ายหัวใจของตัวเอง
ยามบ่าย ลิตรเปิดประตูเข้ามาในไนต์คลับที่ยังไม่เปิดบริการ ผู้จัดการร้านกับนักดนตรีที่กำลังนัดซักซ้อมกันอยู่ที่เวทีหันมามอง ลิตรนั่งลงที่โต๊ะตัวหนึ่ง ผู้จัดการร้านรีบเข้ามาหาอย่างรู้จักคุ้นเคยดี
"ประทานโทษครับคุณลิตร ไนต์คลับยังไม่เปิดครับ เรากำลังคัดเลือกนักร้องใหม่กันอยู่"
"แกจะคัดจะเลือกอะไรก็ทำไปซิ ฉันจะกินเหล้า"
"เอ่อ...แต่ว่า..."
ลิตรควักเงินฟ่อนหนึ่งเอามาปาใส่ผู้จัดการ
"กูให้มึงหมดนี่เลย ไปเอาเหล้ามา"
ผจก.เห็นเงินก็ตาลุก
"เอ่อ...ครับๆ"
ผจก.รีบกวาดเก็บเงินเข้ากระเป๋าพลางยิ้มชอบใจ แล้วหันไปบอกพนักงานคนหนึ่ง
"แกรีบไปจัดเหล้ายาปลาปิ้งมาบริการคุณลิตรเร็วเข้า ไปซี เอานี่ไป กูให้มรึง"
ผู้จัดการจัดเงินให้บ๋อยอีกต่อหนึ่ง บ๋อยหน้าเงินยิ้ม ดีใจ
"ครับผู้จัดการ"
บ๋อยรีบไป ลิตรนั่งกุมขมับเครียดจัดด้วยรักแน่นอก จนกลายเป็นความแค้น
"ไปดูฤกษ์แต่งงานให้รำเพยงั้นเหรอ หึ อีแก่ ขอให้มึงกับเสี่ยวิชัยรถคว่ำตายกลางทางให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย จะได้ไม่อยู่เป็นมารขวางความรักกูกับรำเพย"
ลิตรกำหมัดทุบลงบนโต๊ะ
รำเพยกำลังเก็บเสื้อผ้าข้าวของใส่กระเป๋า เสียงคำสั่งของเรไรดังก้องอยู่ในหู น้ำตารำเพยไหล่อาบแก้ม หันไปหยิบรูปถ่ายระหว่างเธอกับเรไรบนโต๊ะมาดู...มองรูปที่เธอกอดเรไรอย่างสุดรัก
"ฉันกับเสี่ยวิชัยจะไปดูฤกษ์วันแต่งงานให้เธอ แต่หวังว่าเมื่อฉันกลับมา จะไม่เห็นเธออยู่ในบ้านฉันอีกแล้ว"
รำเพยสะอื้น
"พี่เรไร....ฉันไม่อยากไปเลย ฉันอยากอยู่กับพี่ อยากดูแลพี่จนเราแก่เฒ่าไปด้วยกันไม่อยากไปจากเรือนรัตนะ ที่ฉันโตมา ฉันมีความสุขที่ได้อยู่ที่บ้านหลังนี้กับพี่ แต่ในเมื่อฉันจะทำให้พี่มีความสุขได้ ถ้าไปจากที่นี่ ฉันก็จะไป เพื่อตอบแทนบุญคุณพี่สาวคนเดียวของฉัน ลาก่อนพี่เรไร"
รำเพยจูบไปที่รูปเรไร แล้ววางรูปลงไปในกระเป๋าเสื้อผ้า ปิดประเป๋า
ลิตรนั่งกินเหล้าอยู่คนเดียว เริ่มเมา กลัดกลุ้ม บนเวที ผู้จัดการร้านกำลังพูดไปที่หลังเวทีบอกกับนักร้องใหม่คนหนึ่ง
"พร้อมนะ! มีฝีมือแค่ไหน ก็งัดออกมาแสดงให้หมด ฉันต้องการนักร้องคนใหม่ที่มัดใจลูกค้ากระเป๋าหนักในไนท์คลับไว้ได้ ถ้าทำได้ ป้ายนักร้องเบอร์1ที่หน้าร้าน จะเป็นของเธอ ... พร้อมนะ"
นักดนตรีพยักหน้า ผู้จัดการเดินไปดีมไฟลง...เสียงเคาะไม้กลองดังขึ้นพร้อมดนตรีบรรเลงอินโทร
และแล้วเสียงร้องเพลงหวานๆก็ดังขึ้น ผจก.ดีมไฟขึ้นช้าๆ เปิดตัวฤทัยในชุดเกาะอกแวววับเกาะขาไมค์ร้องเพลงหวานซึ้งอยู่กลางเวที ลิตรได้ยินเสียงร้องเพลงก็เหลือบตาที่กำลังเมาแดงกล่ำขึ้นมอง...
จังหวะเดียวกับที่ฤทัยกวาดสายตามาทางลิตร ที่นั่งดื่มอยู่เพียงโต๊ะเดียว ลิตรมองฤทัยแว่บนึงแล้วหลุบตาลงต่ำมองแก้วเหล่าพร่ำเพ้อถึงแต่หญิงที่รัก
"รำเพย...รำเพยของไอ้ลิตร...นางฟ้าของพี่"
เขาคิดถึงบางห้วงในงานหมั้น เมื่อวันชัยยื่นมือไปหยิบแหวน จากพานหมั้น ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
ลิตรมองตามอย่างเจ็บปวดหัวใจ แต่เรไรเสียงร่าเริง
"เอ้า...รำเพย ส่งมือให้วันชัยสิจ้ะ... ว่าที่เจ้าสาวมือใหม่ก็อย่างนี้แหละค่ะ ยังไม่เคย เลยไม่รู้ว่าต้องทำยังไงบ้าง"
เสียงแขกเหรื่อ หัวเราะชอบใจ
รำเพยค่อยๆยื่นมือไปให้วันชัยทั่บมืออย่างทนุถนอม บรรจงสวมแหวนลงไปที่นิ้วนางข้างซ้ายของรำเพย
เธฮสะดุ้งเล็กน้อย แต่ไม่มีใครสังเกตเห็น
รำเพยหิ้วกระเป๋าลงบันไดมาจากชั้นบน มองหาลิตร เจอเข้ากับแก้วที่เก็บเสื้อผ้าใส่ตะกร้าจะเอาไปรีด
"คุณลิตรล่ะแก้"
"ไม่อยู่ค่ะ เห็นออกไปข้างนอกสักพักใหญ่แล้ว คุณรำเพยล่ะคะ จะไปแล้วเหรอ"
รำเพยฝืนยิ้ม
"จ้ะ แต่ฉันจะกลับมาเยี่ยมบ่อยๆ"
"ใจหายจังเลย โชคดีนะคะคุณรำเพย"
"จ้ะ"
แก้วเดินผละไป รำเพยเดินไป แต่หยุดยืนรอที่หน้าบ้าน
"พี่ลิตร ฉันอยากลาพี่ ก่อนจะจากไป"
ลิตรกระดกเหล้าจนหมดแก้ว และกระแทกแก้วเหล้าลงบนโต๊ะอย่างเจ็บปวด ฤทัยกำลังร้องเพลงรักชอกช้ำบนเวทีอย่างได้อารมณ์...น้ำตาคลอเบ้า ผู้จัดการไนท์คลับยืนพยักหน้าพออกพอใจมาก
ตัดสลับมาที่ลิตร เสียงเรื่องเพลงของฤทัยร้องยิ่งช่วยทำให้ลิตรโหยหารำเพยมากยิ่งขึ้น
ลิตร ตาแดงก่ำ ขบกรามแน่น พยายามจะกลั้นน้ำตาแห่งความผิดหวัง แล้วก็ลุกขึ้นเดินออกจากไนท์คลับไปทันที อยากไปหารำเพยใจจะขาด
ฤทัยแอบปรายตามองด้านหลังลิตรออกจากไนท์คลับไป
ลิตรขับรถเข้ามาจอดเอี๊ยด...ท่ามกลางสายฝน ลงจากรถมาด้วยสภาพเมากรึ่มๆ รีบวิ่งฝ่าสายฝนตรงมาที่บ้าน คิดจะไปหารำเพยในบ้าน
"รำเพย" ลิตรพึมพำ
ลิตรจะวิ่งเข้าบ้านแล้วต้องชะงักเมื่อเห็นรำเพยนั่งถือกระเป๋าเสื้อผ้าอยู่ที่หน้าบ้าน
"นั่นรำเพยจะเอากระเป๋าเสื้อผ้าไปไหน"
รำเพยพยายามบังคับไม่ให้เสียงสั่น
"พี่เรไร ให้รำเพยย้ายไปอยู่บ้านเสี่ยวิชัย เพื่อเตรียมตัวก่อนแต่งงานค่ะ"
ลิตรแทบหายเมาเป็นปลิดทิ้ง
"อะไรนะ ยังไม่ได้แต่งงานเลย แล้วจะเข้าไปอยู่ในบ้านของผู้ชายก่อนได้ยังไง"
"ได้ค่ะ...ถ้าเป็นคำสั่งของพี่เรไร"
รำเพยยืนยันประกาศิตจากคำพูดของเรไร ทำให้ลิตรเองก็ปฏิเสธไม่ได้เหมือนกัน เธอยกมือไหว้ลาลิตร
"รำเพยลานะคะ...ฝากพี่ลิตรดูแลพี่เรไรด้วย"
รำเพยพูดต่อไม่ได้ เพราะน้ำตาเจ้ากรรมเอ่อล้นขอบตา ได้แต่หยิบร่มออกมาจากกระเป๋า กางร่มแล้วรีบเดินหิ้วกระเป๋าออกไป เขามองด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส เหมือนหัวใจถูกหั่นออกเป็นชิ้นๆ
ลิตรแทบคลั่ง ที่ไม่สามารถทำอะไรเพื่อยื้อรำเพยไว้ได้ สุดท้าย ลิตรได้แต่เรียกรำเพยไว้
"เดี๋ยว รำเพย"
เขารีบวิ่งฝ่าสายฝนเข้ามายืนอยู่ในร่มคันเดียวกับรำเพย เธออึ้งมองอย่างตกใจ
"เอ่อ พี่ลิตรอย่าทำอย่างงี้ เข้าบ้านเถอะ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า ไปฟ้องพี่เรไร เอ่อ..."
แต่ลิตรขัดขึ้น
"พี่เป็นห่วงรำเพย พี่ไม่ได้ทำอะไรผิด รำเพยเป็นผู้หญิงตัวคนเดียว กลางค่ำกลางคืน จะปล่อยให้รำเพยเดินไปฝนตกๆอย่างงี้ได้ไง"
ลิตรเอื้อมไปดึงกระเป๋าเสื้อผ้ามาถือให้
"อย่างน้อย ขอให้พี่ได้ดูแลรำเพยเป็นครั้งสุดท้ายเถอะนะ...ให้พี่ขับรถไปส่งรำเพยนะครับ"
คำพูดและน้ำเสียงของลิตร ทำให้รำเพยแทบจะปล่อยโฮออกมา เพราะมันบาดลึกเข้าไปในหัวใจที่ไม่มั่นคงของตัวเอง รำเพยแทบพูดอะไรไม่ออก พยักหน้ารับ
"ขอบคุณค่ะพี่ลิตร"
รถเมอร์ซิเดสคันหรูของลิตร แล่นฝ่าสายฝนมาตามถนน เธอนั่งมองออกไปนอกหน้าต่างผ่านเม็ดฝนที่เกาะกระจกรถอย่างเศร้า ซึม ลิตรขับรถช้าๆ ด้วยความรู้สึกปั่นป่วนในหัวใจ สุดท้าย เขาตัดสินใจ จอดรถลงข้างทาง แล้วพยายามเป็นครั้งสุดท้าย
"รำเพย รำเพยรักไอ้ตี๋นั่นหรือเปล่า"
เธอตกใจ ไม่คิดว่าลิตรจะถามคำถามแบบนี้ แต่ด้วยความรู้สึกเสียใจ และเรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้นในระยะเวลาติดต่อกัน ทำให้รำเพยสมองมึน ชา คิดอะไรไม่ออก ได้แต่ตอบออกไปตามใจคิด
"ป่าวค่ะ"
พอหลุดปากออกไป รำเพยก็ต้องรีบเอามือปิดปากตัวเอง เพราะแววตาของลิตร ลิงโลดขึ้นมาอีกครั้ง
"ถ้ารำเพยไม่ได้รักมัน แล้วรำเพยแต่งงานกับมันทำไม"
รำเพยหยุดคิดหาคำตอบ อยู่สักพัก แล้วก็ตอบคำถามนั้นทั้งกับลิตร และหัวใจตัวเอง
"เพราะพี่เรไรสั่งให้แต่งค่ะ"
คำพูดสั้นๆ ตรงไปตรงมาของรำเพย ทำให้ลิตรหัวเสีย
"หมายความว่าพี่เรไรสั่งให้ทำอะไร รำเพยก็ต้องทำอย่างนั้นเหรอ"
รำเพยจ้องหน้าลิตรแทนคำตอบว่า ใช่
"แล้วหัวใจของรำเพยล่ะ หัวใจมันสั่งให้รำเพยทำอะไร"
เธอมองหน้าลิตร ตรงๆ ตอบด้วยน้ำเสียงที่พยายามจะแสดงมั่นคง
"สั่งให้รำเพย....ทำทุกอย่างตามคำสั่งของพี่เรไร"
ทั้งสีหน้าและแววตาของรำเพย ทำให้ลิตรยิ่งหัวเสีย ทุบพวงมาลัยรถเต็มแรง ตะโกนด้วยความอัดอั้นตันใจ
"โธ่โว้ย"
รำเพยตกใจ แต่พยายามเอาน้ำเย็นเข้าลูบ หวังจะให้ลิตรเย็นลง
"พี่ลิตรคะ...เราทุกคนถูกขีดเส้นชีวิตกันไว้แล้วนะคะ ไม่มีใครไปเปลี่ยนแปลงมันได้"
ลิตรเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ ... คำพูดของพ่อเฒ่าที่บอกว่า - - "แต่ชะตาชีวิตมึงมีทางให้เลือกอยู่2ทาง มึงเลือกทางของมึงเองได้"
เขาไม่ยอมแพ้
"พี่นี่แหละรำเพย พี่จะเปลี่ยนเส้นทางชีวิตของเราเอง"
ลิตรล๊อครถ แล้วรีบขับรถออกไปอย่างเร็ว รำเพยมองอย่างกังวลใจ
คืนนั้น ท้องฟ้ามีฟ้าแลบฟ้าร้อง ท่ามกลางเสียงฝนฟ้าคะนอง รถเมอร์ซิเดสหรูคันหนึ่งขับเร็วเข้ามาจอดเอี๊ยดที่หน้าบ้านไม้เก่าๆหลังหนึ่งที่ปลูกโดดเดี่ยวอยู่กลางสวนห่างไกลผู้คน ลิตรเปิดประตูลงจากรถ
รำเพยเปิดประตูออก แล้วมองไปรอบๆ อย่างหวาดระแวง
"นี่บ้านใคร พี่ลิตรพาฉันมาทำไม"
ลิตรคุกเข่าลงนั่งข้างประตู เพื่ออ้อนวอนรำเพยอีกครั้ง
"รำเพย ให้โอกาสพี่หน่อยเถอะนะ เห็นแก่ความรักที่พี่มีต่อรำเพย ยกเลิกการแต่งงานกับไอ้ตี๋นั่นไปเถอะนะ"
"พี่ลิตร พี่หยุดพูดแบบนี้ได้แล้วนะ พี่เป็นสามีของพี่เรไร พี่ไม่มีสิทธิ์ที่จะพูดแบบนี้กับใครอีก แล้วทั้งหมดที่เกิดขึ้นก็เป็นความต้องการของพี่เรไร ใครก็ขัดคำสั่งพี่เรไรไม่ได้"
ลิตรเริ่มหงุดหงิด แต่พยายามควบคุมไว้
"พี่ไม่สนใจ พี่แค่อยากให้รำเพยรักพี่ คนอื่นจะเป็นยังไงพี่ไม่สน พี่รู้แต่รำเพยต้องเป็นของพี่เท่านั้น"
ลิตรพูดไป ก็พยายามจะคว้าตัวของรำเพยเข้ามากอด
"อย่าทำแบบนี้นะพี่ลิตรเรไรมีบุญคุณกับพี่นะ ที่พี่สุขสบายทุกวันนี้ก็เพราะพี่เรไร แล้วพี่จะมาทรยศพี่เรไรได้ลงคอเหรอ"
ลิตรตะโกนใส่อย่างหงุดหงิดและหัวเสีย
"พี่ไม่สนพี่เรไร พี่ไม่สนใจใครทั้งนั้น พี่รู้แต่ว่าพี่รักรำเพย พี่ทนไม่ได้ที่รำเพยจะเป็นเมียคนอื่นรำเพยต้องเป็นเมียพี่เท่านั้น"
เธอพยายามปัดป้อง จนเผลอผลักลิตร ที่นั่งคุกเข่า เสียหลักล้มลง
รำเพยรีบปิดประตูกั้นลิตรไว้ ลิตรเริ่มโมโห ลุกขึ้นมาได้ ก็กระชากประตูออก แล้วดึงรำเพยออกมาจากรถ
รำเพยดิ้นรน ต่อสู้
"ปล่อยนะพี่ลิตร ปล่อย"
"ไม่...พี่ไม่มีวันปล่อยให้รำเพยไปแต่งงานกับคนอื่น"
เขาดึงเธอเข้ามากอดจูบ รำเพยขัดขืนเต็มกำลัง
"อย่าทำยังงี้พี่ลิตร อย่านะ"
รำเพยปัดป้อง ต่อสู้ขัดขืนสุดกำลังจนมือเผลอไปตบหน้าลิตร
ลิตรชะงัก รำเพยอึ้ง เพราะไม่ได้ตั้งใจจะทำแบบนี้ เขาทั้งโมโห เสียใจ แค้นใจกับชะตาชีวิตของตัวเอง จนควบคุมอารมณ์ไม่ได้ ตรงเข้าไปอุ้มรำเพยเดินเข้าบ้าน เธอดิ้นร้องไปตลอดทาง
"ปล่อยฉันนะพี่ลิตร...ปล่อย...อย่าทำยังงี้...ปล่อย"
ลิตรเปิดประตูพารำเพยเข้าบ้าน ปิดประตู ปัง!
ลิตรกำลังปลุกปล้ำรำเพย เสียงร้องของเธอเล็ดลอดออกมาจากในบ้าน
"อย่าพี่ลิตร อย่า..."
ท่ามกลางสายฝนโปรย เสียงร้องไห้ของรำเพยดังก้องบ้าน
จบตอนที่ 13