เรือนริษยา ตอนที่ 12
นันทนัชนั่งรออย่างกระวนกระวายที่หน้าเรือนสลับกับการมองนาฬิกาเป็นระยะๆ
“ไหนบอกว่าใกล้ถึงแล้วไง....”
นันทนัชเดินกลับไปกลับมาอย่างหงุดหงิดด้วยอาการของคนขี้โมโห ไม้เดินมาเจอเข้าก็ชะงัก นันทนัชหันมามอง อย่างเตรียมพร้อมรับมือทุกรูปแบบแต่ไม้ก็ไม่กล้าทำอะไร ไม้มองนันทนัชนิ่งๆ ก่อนจะรีบเดินเข้าไปในตัวบ้านนันทนัชมองตามด้วยความสงสัยว่าไม้มีอะไรถึงต้องเข้าไปในบ้าน
ไม้เคาะประตูห้องฤทัยอย่างร้อนใจ ฤทัยเปิดประตูออกมาด้วยสีหน้าหงุดหงิด พอเห็นเป็นไม้ เธอก็แปลกใจ
“ไม้ มีอะไร ทำไมขึ้นมาบนตึกแต่เช้าเลย”
ไม้มองซ้าย มองขวา อย่างจะเช็คดูให้แน่ใจว่าไม่มีใครอยู่แถวนั้น ก่อนจะตอบ
“ไอ้พวกที่โรงสี มันบอกว่า คุณนันทนัชให้คนสืบเรื่องขายข้าวในโรงสีครับ”
ฤทัยตกใจเพราะไม่คิดว่านันทนัชจะกัดไม่ปล่อยเรื่องขายข้าวแบบนี้
“อะไรนะ นี่อีบ้านั่น มันเล่นไม่เลิกใช่มั้ย แล้วมันรู้อะไรแล้วบ้าง”
“ยังครับ แต่ผมสั่งให้พวกมันเก็บเงียบ แล้วก็ทำลายหลักฐานหมดแล้วครับ...แต่ทางคุณนันทนัชน่ะท่าทางจะจัดการให้เงียบยากกว่านะครับ”
“ยากแค่ไหน ก็ต้องจัดการ ไม่งั้นเราอยู่ที่นี่กันอย่างไม่สงบสุขแน่ๆ
รถสปอร์ตคันหรูของนันทนัชแล่นเข้ามาจอด นันทนัชยืนมองหน้ามุ่ย กฤตพนธ์เดินมาดเท่ลงมาจากรถ เขามองหน้านันทนัชแล้วก็หัวเราะขำ
“เป็นอะไรรึเปล่าคุณ ทำหน้ายังกับไม่ได้ถ่ายตอนเช้าแน่ะ” กฤตพนธ์ว่า
นันทนัชชะงักก่อนจะเอามือจับหน้าตัวเองแล้วก็นึกขึ้นได้ เธอหันไปเล่นงานกฤตพนธ์
“ไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่องเลย ทำไมมาช้าจัง ไหนบอกว่าเสร็จตั้งนานแล้วไง”
กฤตพนธ์หัวเราะอย่างไม่ใส่ใจแถมยังประชดกลับ
“นี่คุณครับ กว่าผมจะเอารถของคุณที่ผมให้ลูกน้องเอาไปซ่อมให้ ฝ่าการจราจรออกมาจากเมืองได้ มันก็ต้องใช้เวลากันหน่อยสิครับ นี่เห็นว่ายังไม่คุ้นกับถนนในเมืองนะครับ ถึงได้อาสาทำให้” กฤตพนธ์ทำเสียงน้อยใจ “แต่ก็ไม่ได้รับความเห็นใจ จากคุณหนูใจร้อนแบบคุณเลย”
คำพูดแกมประชดของกฤตพนธ์ทำให้นันทนัชรู้สึกผิดที่เอาแต่ใจตัวเอง นันทนันเดินยิ้มประจบเข้ามาเกาะแขนกฤตพนธ์เหมือนเด็กที่สำนึกผิด
นันทนัชยิ้มแหยๆ แล้วพูดเสียงอ่อยๆ “นันขอโทษน้า คุณกฤต คือนันรอนานไปหน่อยน่ะ ก็เลยโมโห อย่าโกรธนันเลยนะ นะ”
กฤตพนธ์กลั้นหัวเราะในกิริยาบ๊องๆของนันทนัชที่มักจะแสดงออกมาเวลาที่รู้สึกว่าตัวเองทำผิด
เสียงที่ดังแสดงอำนาจของฤทัยดังขึ้นมาจากบริเวณหน้าบ้าน
“นี่โรงแรมม่านรูดแถวนี้มันปิดหมดแล้วหรือไง พวกหน้าด้าน ไร้ยางอายมันถึงกล้ามายืนเบียดบี้ บัดสี กันหน้าบ้านแบบนี้ไหนบอกว่าเป็นลูกหลานผู้ดี มีสกุลไงล่ะ”
ฤทัยยิ้มเยาะ นันทนัชผละออกจากกฤตพนธ์ด้วยความ โกรธ ฤทัยเดินลงมามาที่หน้าบ้านแล้วมาประจัญหน้ากับนันทนัชและกฤตพนธ์แบบไม่เกรงใจ นันทนัชขยับเข้าหาฤทัยด้วยความเจ็บใจในคำถากถาง
“นี่...ยัยปากสวะ แกว่าใคร ห่ะ”
กฤตพนธ์ดึงไว้เพราะรู้ว่าคนขี้โมโหอย่างนันทนัชจะต้องไม่ยอมฤทัยแน่ๆ และพยายามจะทำให้สถานการณ์ดีขึ้น
“คุณน้าฤทัย สวัสดีครับ” กฤตพนธ์ยกมือไหว้
ฤทัยรับไหว้แบบขอไปที
ฤทัยทำเป็นพึ่งเห็น “อ่อ...คุณกฤตนี่เอง คิดว่าใคร มาบ้านนี้บ่อยจังเลยนะคะ ถ้าจะมาหายายกิ๊บ ก็เชิญในบ้านเลยค่ะ”
“เอ่อ..พอดีผมมาธุระเรื่องรถคุณนันน่ะครับ” กฤตพนธ์ว่า
ฤทัยมองไปที่รถคันที่เธอเคยสั่งให้ชำแหละด้วยหน้าตาไม่ค่อยพอใจ
“แปลกใจมั้ยล่ะ รถของพ่อชั้น ที่แกสั่งให้ลูกน้องชั่วๆของแกทำลาย เหมือนที่แกทำลายชีวิตของพ่อชั้นไง”
ฤทัยหันกลับมาเผชิญหน้ากับนันทนัชแล้วพยายามสงบอารมณ์เพราะอย่างน้อยก็มีกฤตพนธ์อยู่ด้วย
ฤทัยพูดแดกดัน “นี่ คุณหนูผู้สูงส่ง ช่วยฟัง แล้วก็จำให้ขึ้นใจนะ ว่าพ่อเธอน่ะ หัวใจวายตายเอง ไม่มีใครฆ่าเค้า โดยเฉพาะชั้น ซึ่งเป็นผู้หญิงที่เค้ารักเป็นคนสุดท้าย” ฤทัยพูดเน้น “ชั้นไม่ได้ฆ่าคุณลิตร”
นันทนัชก็ยังไม่เชื่อ
“แกพูดให้ตาย ชั้นก็ไม่เชื่อ ผู้หญิง....”
กฤตพนธ์ถอนใจ เขาจำเป็นต้องเป็นคนห้ามทัพและลากนันทนัชออกไปจากเรื่องวุ่นวายแบบนี้อีกแล้ว
กฤตพนธ์พูดเสียงดังพอประมาณ “พอเถอะครับ คุณนัน”
นันทนัชชะงัก หันมามองกฤตพนธ์
กฤตพนธ์หน้าตาเอาจริง
“อย่ามีเรื่อง มีราวกันอีกเลยครับ...ผมลาล่ะครับคุณน้า”
กฤตพนธ์ไม่สนใจใคร เขาลากแขนนันทนัชจับเธอไปขึ้นรถ
นันทนัชไม่ยอม กฤตพนธ์ต้องปรามเสียงแข็ง
“นั่ง แล้วก็เงียบ อย่าลงจากรถ”
นันทนัชอึ้งเพราะไม่คิดว่า กฤตพนธ์จะใช้ไม้แข็งกับเธอ กฤตพนธ์รีบขับรถของนันทนัชออกไปอย่างรวดเร็ว เพราะกลัวนันทนัชจะกระโดดลง
ฤทัยเองก็หงุดหงิดที่ทำอะไรนันทนัชไม่ได้ทั้งที่ตั้งใจจะมาหาเรื่องเพื่อไม่ให้นันทนัชยุ่งเรื่องโรงสี
“โธ่เอ้ย....อีนั่นมันรอดไปได้ทุกที ทำไมนะทุกทีที่เกิดเรื่อง ต้องมีคุณกฤตเข้ามายุ่งทุกทีเลย”
“ถ้ามันยุ่งมากนัก ก็จัดการมันทั้งคู่เลยมั้ยครับ” ไม้ถาม
ฤทัยหันไปมองไม้แล้วก็ตกใจ เธอมองไปรอบๆอย่างกลัวคนอื่นจะมาได้ยิน
“พูดอะไรน่ะไม้ เดี๋ยวใครมาได้ยิน จะคิดว่าพี่เป็นคนร้ายอย่างที่นังนันทนัชมันกล่าวหานะ”
ฤทัยมองตามหลังรถไป
“เล่นกับนังคุณหนูเจ้าอารมณ์แบบนังนี่ มันต้องใจเย็นๆ ขืนร้อนตามมัน ก็เสียเปรียบมันพอดี”
นันทนัชทำหน้าบูดบึ้งสุดขีดเหมือนความอดทนกำลังจะหมดลง กฤตพนธ์ที่ขับรถอยู่เหล่มองอย่างหวาดเสียว เพราะนันทนัชนั่งเงียบมาตลอดทาง สุดท้ายนันทนัชมีอารมณ์เหมือนลูกโป่งที่แตกจึงหันมาเล่นงานกฤตพนธ์
นันทนัชพูดเสียงดังแล้วเน้นทีละคำ “ทำไมชั้นต้องทำตามคำสั่งคุณ”
กฤตพนธ์สะดุ้งที่จู่ๆนันทนัชก็อาละวาดและโวยวาย
“แล้วปล่อยให้นังฆาตรกรนั่น มันมาเล่นงานชั้นฝ่ายเดียว”
“เดี๋ยวคุณนัน ใจเย็นๆก่อนครับ” กฤตพนธ์บอก
นันทนัชไม่ฟังเหตุผล
“ชั้นใจเย็นมาพอแล้วนะคุณกฤตพนธ์ คุณก็ไม่ได้ตาบอด หูหนวกนี่ คุณก็เห็นว่ายัยนั่นจงใจลงมาเล่นชั้น แล้วคุณก็ปล่อยให้มันทำ โดยไม่ให้ชั้นตอบโต้” กฤตพนธ์ทำน้ำเสียงคาดคั้น “หมายความว่ายังไง”
กฤตพนธ์ถอนใจก่อนจะจอดรถลงที่ข้างทาง แล้วหันมาพูดกับนันทนัชแบบจริงจัง
“งั้นคุณตอบผมมาก่อน คุณนันทนัช ว่าทำไมทุกครั้งที่คุณเจอแม่เลี้ยงคุณ คุณต้องอาละวาดด่าทอ ตบตีกับเค้าทุกครั้งไป”
“ก็นังนั่นมันฆ่าพ่อชั้น มันทำลายทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตชั้น คุณไม่เห็นเหรอ”
“ผมไม่เห็นครับ แต่สิ่งที่ผมเห็น คือ คุณดู..” กฤตพนธ์มองหน้านันทนัชอย่างชั่งใจ ก่อนจะตัดสินใจพูด “บ้า คลั่ง เหมือนควบคุมตัวเองไม่ได้มากกว่า”
นันทนัชช็อค อึ้ง และตกใจที่กฤตพนธ์พูดแบบนี้กับตัวเอง กฤตพนธ์มองสีหน้าของนันทนัชแล้วก็เกือบพูดต่อไม่ได้ แต่เขาเชื่อว่าความจริงจะช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้น
“ผมพูดในฐานะของ เพื่อนที่ยืนอยู่ข้างคุณนะครับ...เพราะทุกครั้งที่มีปัญหากันแล้วคุณเป็นแบบนี้ คุณนั่นแหละครับ ที่จะพ่ายแพ้ แล้วก็สูญเสียทุกอย่าง เพราะคุณปล่อยให้อารมณ์ร้ายๆมาควบคุมตัวคุณเอง”
นันทนัชอึ้ง แล้วภาพวันแถลงผลการชันสูตรศพครั้งที่ 2 ก็ผุดขึ้นในหัวของเธอ
ภาพในวันนั้นผุดขึ้น นันทนัชพูด “ถ้าลุงไม่ช่วย นันจะหาตำรวจชุดใหม่มาทำคดีนี้เอง”
“คุณนัน! คุณคุมตัวเองหน่อย นั่งลงฟังตำรวจแถลงต่อให้จบเถอะครับ
กฤตพนธ์ดึงนันทนัชให้นั่งลงแต่นันทนัชสติแตกจนใจคอร้อนรนคุมตัวเองไม่อยู่แล้ว เธอปัดมือเขา
“ฉันไม่ฟัง ปล่อยฉัน! ฉันจะหาตำรวจชุดใหม่มาทำคดีนี้”
“ผมว่าพาหนูนันออกไปสงบสติข้างนอกก่อนดีกว่าครับ” สันต์ว่า
สันต์พูดกับกฤตพนธ์เมื่อเห็นเขาคุมนันทนัชไม่อยู่ กฤตพนธ์เลยคว้าแขนดึงนันทนัชออกไป
“มากับผมคุณนัน!”
“ฉันไม่ไป ปล่อยฉันนะ ฉันจะเอาฆาตกรเข้าคุก พ่อฉันถูกฆ่า พ่อฉันถูกฆ่า!”
เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในอดีต นันทนัชก็นั่งนิ่งอย่างรู้ถึงสภาพจิตใจและอารมณ์ของตัวเองดีว่าไม่ค่อยปกตินัก กฤตพนธ์พยายามพูดด้วยเหตุผลเพราะอยากให้นันทนัชใจเย็นลงและใช้เหตุผลมากกว่าใช้อารมณ์แบบที่เป็นอยู่
“คุณนัน คุณโกรธหรือเปล่า ที่ผมพูดแบบนี้”
นันทนัชส่ายหน้าแล้วพยายามกลั้นน้ำตาที่จะไหลออกมาเพราะความรู้สึกหลายอย่างประดังเข้ามาและเป็นอีกครั้งที่ผู้ชายคนนี้มองทะลุกำแพงหัวใจที่เธอสร้างไว้จนมองเห็นตัวตนของเธอจริงๆ
กฤตพนธ์มองด้วยความสงสารและเห็นใจกับสิ่งที่นันทนัชต้องเจอ กฤตพนธ์ดึงนันทนัชเข้ามากอดด้วยความรู้สึกห่วงใยที่ท่วมท้นหัวใจ นันทนัชก็ไม่ได้ขัดขืนเพราะรู้สึกได้ว่าเป็นอ้อมกอดที่เป็นมิตร ห่วงใย และจริงใจกับเธอ เสียงกลั้นสะอื้นของนันทนัชทำเอาหัวใจของกฤตพนธ์แทบแหลกสลาย สิ่งที่จะทำได้คือถ้อยคำปลอบประโลมที่พรั่งพรูออกมาจากหัวใจของเขา
“ไม่ต้องกลัวนะครับ คุณนันคนดีของผม คุณไม่ได้ต่อสู้คนเดียว ผมอยู่ตรงนี้ ไม่มีใครทำอะไรคุณได้”
เสียงปลอบโยนอันอบอุ่นและจริงใจของกฤตพนธ์เหมือนสายลมเย็นๆ ที่พัดพาความกังวลทั้งหลายในจิตใจของเธอออกไป นันทนัชค่อยๆขยับตัวออกจากอ้อมกอดของกฤตพนธ์ นันทนมองตากฤตพนธ์แล้วยิ้มให้ด้วยความรู้สึกขอบคุณอย่างจริงใจ
“ชั้นจะพยายามค่ะ ทุกครั้งที่ชั้นจะอาละวาดกับใครก็ตาม ชั้นจะนึกถึงคุณ”
กฤตพนธ์หัวเราะ ด้วยความดีใจที่นันทนัชเข้าใจและเข้มแข็ง
“งั้นคุณคงต้องนึกถึงผมวันละ 24 ชั่วโมงแล้วล่ะครับ เพราะคุณน่ะ ขี้โมโห จอมอาละวาด”
นันทนัชหัวเราะไปกับคำพูดของกฤตพนธ์
“งั้นชั้นต้องพยายามไม่โมโห เพราะชั้นไม่อยากนึกถึงคุณทั้งวัน เบื่อหน้าทหารขี้เก๊ก”
ทั้งสองหัวเราะขำอย่างอารมณ์ดี บรรยากาศทั่วำแผ่อนคลายและสนุกสนาน
“คุณต้องรีบไปที่หน่วยหรือเปล่าค่ะ ถ้านันขอแวะไปที่วัดสักแป๊บนึง ได้มั้ยค่ะ”
กฤตพนธ์ดูนาฬิกาแล้วพยักหน้า “ได้สิครับ”
รถของนันทนัชแล่นเข้ามาจอดที่ลานวัด กฤตพนธ์กับนันทนัชเดินลงมาจากรถแล้วมุ่งหน้าไปที่ด้านหลังวัด
นันทนัชเริ่มซึม
“ตอนแรกชั้นตั้งใจว่าพอผลชันสูตรออกมาแล้ว ชั้นก็จะจัดการให้พ่อได้มาอยู่กับแม่ที่นี่ แต่ตอนนี้” นันทนัชถอนใจ “คงต้องไปรอไปก่อน”
“แต่ก็คงอีกไม่นานหรอกครับ ใช่มั้ย”
นันทนัชพยักหน้ารับ “ค่ะ ก็หวังว่ามันคงจะไม่นาน”
ทั้งสองคนเดินอ้อมไปทางด้านหลังวัด
เศษใบไม้กับเศษขยะถูกไม้กวาดทางมะพร้าวด้ามยาวกวาดลากออกไปรวมกันโดยชิดที่กำลังเก็บกวาดทำความสะอาด บริเวณรอบเจดีย์ที่เก็บกระดูกของรำเพยกับเรไรอย่างตั้งอกตั้งใจ กฤตพนธ์กับนันทนัชเดินเลี้ยวมา ชิดเงยหน้าขึ้นมองเห็นเข้าพอดีก็ตกใจ
“คุณหนู”
นันทนัชมองชิดแล้วก็รู้สึกคลับคล้ายคลับคลา กฤตพนธ์ก็มองชิดอย่างแปลกใจกับท่าทางของเขา ชิดทำอะไรไม่ถูกเพราะไม่คิดว่าจะมาเจอนันทนัชโดยไม่มีทิพย์อยู่ด้วยแบบนี้ นันทนัชเหมือนจะนึกได้ ชิดไม่รู้จะทำยังไงจึงตัดสินใจ หนีไปก่อนดีกว่า
“ลุงชิด ใช่มั้ย” นันทนัชเอ่ยถาม
ชิดสะดุ้งแล้วรีบเก็บของจะเดินหนี นันทนัชไม่รอช้า เธอรีบวิ่งไปดักหน้า
“ลุงชิด จริงๆด้วย”
กฤตพนธ์แปลกใจที่นันทนัชรู้จักเพราะตอนแรกเขาคิดว่าเป็นสัปเหร่อหรือคนในวัดทั่วไป
นันทนัชอธิบายให้กฤตพนธ์ฟัง “ลุงชิดเป็นคนเก่าคนแก่ในเรือนรัตนะค่ะ...แต่ก็โดนความร้ายกาจของยายฤทัย เล่นงาน” นันทนัชแค้น “จนต้องระเห็จออกมา”
ชิดมีท่าทางกระวนกระวายและหวาดกลัวเพราะกลัวว่าทิพย์จะรู้ว่าตัวเองมาเจอนันทนัชโดยลำพัง กฤตพนธ์มองชายแก่ตรงหน้าด้วยความรู้สึกแปลกใจและระแวดระวัง
“ลุงเป็นไงบ้างจ้ะ ไม่ได้เจอกันตั้งนาน” นันทนัชถาม
ชิดมองหน้านันทนัชแล้วเหมือนจะร้องไห้ เขาอยากคุยด้วยก็อยากแต่กลัวทิพย์จะเล่นงานก็กลัว สุดท้ายความกลัวทิพย์มีมากกว่า ชิดเลยตัดสินใจผละหนีจากนันทนัชไป นันทนัชกับกฤตพนธ์ตกใจ
“อ้าว...ลุง”
ชิดวิ่งออกไปทางป่าช้าด้านหลังวัด นันทนัชรีบวิ่งตามแต่ก็ช้ากว่า กฤตพนธ์ดึงมือเธอไว้เพราะไม่แน่ใจว่าถ้านันทนัชวิ่งตามไปจะเกิดอะไรไม่ดีขึ้นหรือเปล่า
“เดี๋ยวก่อนคุณนัน...ท่าทางแกคงไม่ยังไม่พร้อมจะคุยกับคุณละมั้ง น่าตาแก เหมือนกลัวอะไรอยู่”
“แกไม่ได้กลัวชั้นแน่ๆ แกต้องเกลียดและกลัวยัยฤทัยนั่นแน่นอน...เจ็บใจจริงๆ คุณไม่น่าดึงชั้นไว้เลย ไม่งั้นวันนี้ชั้นคงได้รู้เรื่องของพ่อกับแม่ มากขึ้นแน่ๆ เพราะลุงชิดเป็นคนเดียวที่อยู่ในเหตุการณ์ และรู้เรื่องจริงทั้งหมด”
นันทนัชมองตามทางชิดด้วยความเสียดายก่อนจะหันกลับมาสนใจการจุดธูปไหว้แม่ตามที่ตั้งใจไว้ กฤตพนธ์ยังมองตามชิดด้วยสีหน้าครุ่นคิดและสงสัยของนายทหารมืออาชีพที่อ่านคนจากพฤติกรรมได้ค่อนข้างแม่นยำ ชิดวิ่งอ้อมมาหลบอยู่ด้านหลังเจดีย์ เพื่อคอยดูนันทนัชและได้ยินในสิ่งที่นันทนัชพูดทุกอย่าง
ชิดรำพึงด้วยน้ำเสียงเศร้า “ถ้าคุณหนูได้รู้ความจริงทั้งหมด แบบที่ไอ้ชิดรู้ คุณหนูอาจจะไม่มีความสุขเลยนะครับ”
ภาพเหตุการณ์ในอดีต ซึ่งเป็นวันแรกหลังวันแต่งงานของเรไรกับลิตรผุดขึ้นมา
ภาพในอดีตผุดขึ้นมา ประตูห้องนอนใหญ่ของเรือนรัตนะเปิดออก ลิตรในชุดนอนผ้าไหมชั้นดีเดินออกมาจากห้องนอนด้วยโฉมหน้าของผู้ชนะ ลิตรเดินออกเดินชื่นชมความโอ่โถง สง่างามมีราคาของชั้นบนเรือนรัตนะที่เค้าไม่เคยมีโอกาสได้ขึ้นมาสัมผัสด้วยความรู้สึกลำพองใจ
ลิตรเดินมาหยุดที่หน้ากระจกบานใหญ่กลางห้องโถง ลิตรเห็นชายหนุ่มรูปหล่อ หน้าตามั่นใจ ในชุดนอนหรู ที่เขาไม่เคยรู้จัก
ลิตรพูดด้วยเสียงสำราญใจ “คุณลิตร ฤทธานนท์ เจ้าของเรือนรัตนะ”
ลิตรชะงักเมื่อเห็นรำเพยยืนตกใจอยู่ด้านหลังผ่านกระจก รำเพย ยืนมองลิตรด้วยความรู้สึกที่หลากหลายปะปนกัน ลิตรหันกลับไปหารำเพย
“น้องรำเพย”
รำเพยหมุนตัวเดินหนีเข้าไปในห้องของตัวเอง ลิตรเดินตามไปหน้าห้อง
รำเพยปิดประตูเสียงดังเหมือนจะใช้เสียงนั้นตัดเยื่อใยอะไรบางอย่างในความรู้สึกของตัวเองออกไป รำเพยยืนพิงประตูไว้ด้วยความรู้สึกสับสน เธอได้ยินเสียงลิตรเดินกระวนกระวายอยู่หน้าประตู
รำเพยให้สติตัวเอง “เข้มแข็งนะรำเพย เธอต้องเข็มแข็งไว้”
เสียงเรไรดังขึ้น “ลิตร มาทำอะไรตรงนี้”
เรไรที่อยู่ในชุดคลุมชุดนอนเดินตรงมาหาลิตรที่เดินงุ่นง่านอยู่หน้าห้องรำเพย
เรไรหน้าระรื่น “หาทางกลับห้องไม่เจอเหรอจ้ะ พ่อรูปหล่อ”
ลิตรสะดุ้งตกใจ เขาหันมาเห็นเรไรก็พยายามกลบเกลื่อนอาการตื่นตกใจด้วยการหัวเราะแบบเจื่อนๆ และพยายามใช้น้ำเสียงออดอ้อนเพื่อไม่ให้เรไรสงสัยที่เขามายืนอยู่หน้าห้องรำเพย
“เปล่าครับพี่ ผมแปลกที่น่ะครับ ไม่เคยนอนในที่นอนหรูแบบนี้มาก่อน เลยนอนไม่ค่อยหลับ แล้วก็ไม่อยากกวนพี่เรไร เลยลุกขึ้นมาเดินดูอะไรเรื่อยเปื่อยนะครับ”
เรไรมองกิริยาของลิตรอย่างเอ็นดูเพราะหลงในตัวสามีหนุ่มก่อนจะเดินไปกอดเอวลิตรอย่างเสน่หา
“ไหนล่ะ แล้วลิตรอยากดูอะไร เดี่ยวพี่พาไปดูให้ทั่วเลย”
เรไรกอดเอวลิตรก่อนจะเดินหัวเราะคิกคักออกไป ลิตรแอบถอนใจด้วยความโล่งอก
รำเพยยืนฟังบทสนทนาของคู่แต่งงานใหม่จนเสียงเงียบหายไป รำเพยเดินออกจากประตูมาทิ้งตัวลงบนเก้าอี้กระจก ใบหน้ารำเพยสวยเศร้าสะท้อนออกมาจากกระจก
ตะกร้าของขวัญราคาแพงถูกวางลงบนโต๊ะกลาง เรไรนั่งยิ้มชื่นอยู่ข้างๆ ลิตร ลิตรนั่งหน้านิ่งวางท่าให้ดูดี วันชัย ลูกเสี่ยวิชัยยกมือไหว้เจ้าของบ้าน
“สวัสดีครับคุณนายเรไร ยังสวยเหมือนเดิมเลยนะครับ” วันชัยพูด
เรไรยิ้มแก้มปริกับคำชมของเด็กหนุ่ม
“แหม....ปากหวานช่างเอาใจคนแก่นะวันชัย”
วันชัยยิ้มแย้มอย่างคนอัธยาศัยดี “ผมพูดจากใจริงครับ เคยเห็นคุณนายเรไรยังไง กี่ปีผ่านไปคุณนายเรไรก็ไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ”
เรไรหัวเราะชอบใจ “ขอบใจจ้าวันชัย แต่จะขอบใจกว่านี้นะ ถ้าเลิกเรียกชั้นว่าคุณนายสักที เรียกทีไร นึกว่าตัวเองเป็นคุณนายแก่ๆใกล้ลงโรงทุกที เรียกพี่เรไร เหมือนเคยเรียกตอนเด็กๆน่ะดีแล้ว เพราะเธอก็รุ่นราวคราวเดียวกับรำเพยนี่นะ”
วันชัยยิ้มที่ได้รับความเอ็นดูเหมือนน้อง
“ได้ครับ พี่เรไร”
ลิตรแอบทำหน้าเบ้เพราะรำคาญใจ
“พูดถึงหนูรำเพย อีไปไหนล่ะ ยังไม่เห็นหน้ากันเลย” วิชัยถาม
“อ๋อ...วันนี้เค้าขอไปทำบุญที่วัดน่ะ แปลกจังเลยนะ ปกติเค้าจะอยู่บ้านตลอด ร้อยวันพันปี ไม่เคยไปไหน แต่วันนี้เสี่ยกับวันชัยมา ดันเกิดจะไม่อยู่ซะนี่” เรไรบอก
วิชัยหัวเราะ
“ไม่เป็นไรคร๊าบคุณนาย วันนี้ไม่อยู่ วันหน้าก็อยู่ ยังไงก็คงได้เจอกันแน่ๆ”
“นั่นสิ เดี๋ยววันหลังวันชัยมาใหม่ก็ได้ เดี๋ยวก็ได้เจอกันจนได้แหละ คนกันเองนี่เนอะ” เรไรว่า
ลิตรหันมาสนใจฟังวิชัยพูดถึงรำเพย ทั้งสามคนหัวเราะรื่นเริง ลิตรมองอย่างเก็บข้อมูล
ลานวัดเงียบสงบ รำเพยนั่งเหม่อมองอย่างไร้จุดหมายโดยพยายามหาคำตอบให้กับความรู้สึกทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับตัวเอง รำเพยถอนใจอย่างหดหู่
เสียงพ่อเฒ่าดังขึ้น “อีหนูเอ้ย....ทุกข์ที่เกิดจากความไม่รู้ กับความทุกข์ที่ตัวเองรู้อยู่แก่ใจว่ามันเกิดขึ้นจากอะไร แล้วทำใจยอมรับไม่ได้น่ะ อย่างไหนมันจะหนักกว่ากันห่ะ”
รำเพยตกใจ เธอหันมาเห็นพ่อเฒ่านั่งอยู่ข้างๆ พ่อเฒ่าจ้องตาเขม็งจนรำเพยรู้สึกกลัว
“เอ็งกลัวอะไรห่ะอีหนู กลัวข้า หรือกลัวในสิ่งที่ข้าพูด”
รำเพยอึกอักเพราะตอบไม่ได้
“หนูไม่เข้าใจที่ลุงพูดค่ะ”
พ่อเฒ่าหัวเราะเยาะ “เฮอะ...พวกเอ็งมันก็ดีแต่โกหกพกลมใส่กัน ถ้ามีใครสักคนกล้าลุกขึ้นมาพูดความจริง บางทีชะตากรรมที่น่ากลัว มันอาจจะไม่เกิดขึ้นก็ได้ แต่ก็อย่างว่าแหละนะ กรรมของใคร คนนั้นก็ต้องชดใช้เอง....ข้าสงสารเอ็งนะอีหนู แต่ก็ช่วยไม่ได้ เพราะงั้นเอ็งต้องช่วยตัวเอง หมั่นทำบุญ ทำความดีเข้าไว้ แล้วบุญจะรักษาตัวเอ็งและทายาทของเอ็ง”
พ่อเฒ่าเดินหัวเราะหึ หึออกไป รำเพยมองตามอย่างไม่เข้าใจ
เรือนริษยา ตอนที่ 12 (ต่อ)
เรไรนั่งคุยกับวันชัยแล้วก็หัวเราะอย่างสนุกสนาน ลิตรเดินยิ้มอย่างอารมณ์ดีเข้ามาในห้อง เรไรเรียกลิตรเข้ามาร่วมวงด้วย ลิตรมองวันชัยแบบข่มๆ เรไรหัวเราะเริงร่าแล้วก็อวดสรรพคุณของสามีหนุ่มอย่างหลงใหล
“เป็นไงมั่งจ้ะลิตร เหนื่อยมั้ย” เรไรอวดกับวันชัย “ตั้งแต่มีลิตรมาเป็นเพื่อนคู่คิด พี่น่ะแทบไม่ต้องเหนื่อยเลย ลิตรเค้าอาสาทำงานให้ทุกอย่าง เป็นผู้ชายที่แสนดีที่สุดในโลกเลยล่ะ”
ลิตรยิ้มภูมิใจ วันชัยหัวเราะประจบ
“แหม...เห็นแล้ว ผมล่ะอิจฉาพี่เรไรกับพี่ลิตรจังเลยครับ” วันชัยว่า
เรไรยิ้มสดใส
“อย่ามาอิจฉาคู่ของคนแก่เลย อีกไม่นานก็ถึงคิวของคนหนุ่มคนสาวแบบเธอกับรำเพยแล้วล่ะ”
คำพูดกลั้วหัวเราะด้วยความสุขสันต์ของเรไรเหมือนมีดเล่มเล็กๆที่เจาะเข้าไปในหัวใจของลิตรจนแทบจะไม่เชื่อหูตัวเอง
ลิตรตกใจจนแทบจะคุมอารมณ์ไม่อยู่ “พี่เรไรว่าอะไรนะ ใครคู่กับใคร”
เรไรยังยิ้มชื่นโดยไม่สะดุดใจกับท่าทางของลิตร
“อ้าว...พี่ไม่เคยบอกลิตรเหรอ ว่าวันชัยกับรำเพยน่ะ เค้าเป็นคู่หมั้นคู่หมายกันมาตั้งแต่เด็กแล้ว”
ลิตรช็อคจนทำอะไรไม่ถูก เสียงพูดเจื้อยแจ้วของเรไรปลิวผ่านไปอย่างไร้ประโยชน์ เพราะไม่มีคำไหนอีกแล้วที่จะฝังเข้าไปในหัวของลิตร นอกจากที่ว่ารำเพยมีคู่หมั้นแล้ว ลิตรจิกลงไปบนโซฟาเต็มแรง เพื่อประคองสติตัวเองไม่ให้ร้องตะโกนออกมาด้วยความเสียใจ
วันชัยกับเพื่อนๆกำลังเลี้ยงฉลองกันอย่างสนุกสนานในร้านหรูแห่งหนึ่ง
“ยินดีด้วยนะเพื่อนที่เอาชนะใจพี่สาวจอมโหดของเรือนรัตนะ และเด็ดดอกรำเพยแสนสวยมาไว้ในมือจนได้”
“เฮ้ย....ยังไม่ถึงขนาดนั้น ยังไม่ได้พูดถึงเรื่องแต่งงานเลย”
“แต่ขนาดคุณนายเรไรผู้ทรงอำนาจ ยอมออกปากยกน้องสาวให้ ก็เท่ากับวางใจได้เลย ว่ายังไงซะ นายก็ต้องได้เป็นเขยเรือนรัตนะแน่ๆ”
เพื่อนๆเฮฮา
วันชัยยิ้มรับหน้าบาน
ลิตรนั่งเคียดแค้นอยู่ในความมืดห่างออกไป เขามองตรงมาที่กลุ่มของวันชัยกับเพื่อนด้วยสายตาเพชรฆาต
วันชัยเดินแยกจากกลุ่มเพื่อนมาที่รถตัวเองอย่างอารมณ์ดี โดยไม่รู้ว่ามีคนกลุ่มนึงจับตามองอยู่ วันชัยเดินผ่านมุมมืดของลานจอดรถแล้วก็โดนกระชากตัวเข้าไปในความมืด สักพักก็มีเสียงต่อสู้ของคนกลุ่มนึงดังขึ้น ตามด้วยเสียงร้องของวันชัยที่ดังลอดออกมา ท่ามกลางเสียงหมัดและเท้าที่กระหน่ำลงบนตัวของเขา
ลิตรมองมาอย่างสะใจ ก่อนจะเดินออกไป กลุ่มนักเลงกำลังรุมอัดวันชัยอย่างเมามัน
“คนแบบมึง อย่าสะเออะไปแตะต้องดอกไม้งามที่ไม่ใช่ของมึง จำไว้”
วันชัยที่หน้าตายับเยินนอนกองกับพื้นอย่างหมดทางสู้
เรไรตกใจ
“อะไรนะ แล้ววันชัยเป็นอะไรมากหรือเปล่า”
วิชัยคุยโทรศัพท์หน้าเครียด
“ไม่เป็นอะไรมากหรอกครับ แต่ที่ผมสงสัยคือ ไอ้สารเลวพวกนั้น มันขู่ลูกชายผม ว่าอย่าสะเออะไปแตะต้องดอกไม้งามที่ไม่ใช่ของมัน มันหมายถึงอะไรครับคุณนายเรไร”
เรไรที่ยืนอยู่กลางห้องรับแขกนิ่งอึ้ง ก่อนที่จะตัดบทวิชัย
“ชั้น...ก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่เสี่ยไม่ต้องกังวลใจหรอกนะ เรื่องแค่นี้เดี๋ยวชั้นจัดการให้เอง”
เรไรวางโทรศัพท์ลงด้วยสีหน้าปวดร้าว เพราะคนฉลาดแบบเรไรเดาเรื่องนี้ได้ไม่ยาก
เช้าวันใหม่ รำเพยกำลังจัดดอกไม้ใส่พานสำหรับถวายพระอยู่ในสวน ลิตรเดินมายืนมองด้วยความรู้สึกใจหาย เขาเห็นรำเพยยิ้มสดใสแบบโลกรอบตัวช่างสวยงาม รำเพยหันมามองทางลิตรเพราะรู้สึกถึงสายตาแข็งกร้าวที่จับจ้องเธออยู่
หน้าตาและท่าทางของลิตรทำให้รำเพยแปลกใจและเป็นห่วงแต่ความตั้งใจที่จะตัดเยื่อใยบางอย่างให้ขาด ทำให้รำเพยรีบลุกเดินหนี ลิตรรีบเดินไปดักหน้าและจับแขนทั้งสองข้างของรำเพยไว้เต็มแรงด้วยอารมณ์ที่กลัวว่าจะต้องสูญเสียรำเพยไป
ลิตรพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “รำเพยรักไอ้ตี๋นั่นหรือเปล่า”
รำเพยงงเพราะไม่เข้าใจในสิ่งที่ลิตรถามและพยายามเบี่ยงตัวจากการจับกุมของลิตร แต่ลิตรไม่ยอมปล่อย
“พี่ลิตรพูดเรื่องอะไร”
ลิตรคาดคั้น “พี่ถามว่ารำเพย รักไอ้วันชัยนั่นหรือเปล่า”
รำเพยตกใจกับคำถามของลิตรเพราะเรื่องของวันชัยเป็นเรื่องที่ผู้ใหญ่เป็นคนจัดการและมีแค่ไม่กี่คนที่รู้
“พี่ลิตรรู้เรื่องนี้ได้ยังไง”
เมื่อรำเพยไม่ได้ปฏิเสธก็ยิ่งทำให้ลิตรแทบคลั่งจนอยากจะจับตัวรำเพยเขย่าแรงๆให้สาสมกับความว้าวุ่นใจของตัวเอง
“พี่จะรู้มาจากไหน ไม่สำคัญ พี่แค่อยากรู้ว่ารำเพยรักมัน จะแต่งงานกับมันหรือเปล่า”
รำเพยทั้งตกใจ ทั้งกลัวกับท่าทางเหมือนคนเสียสติของลิตรจนเธอต้องพยายามดิ้นรนให้เป็นอิสระ
“พี่ลิตร ปล่อยนะ รำเพยเจ็บ”
รำเพยยิ่งดิ้น ลิตรก็ยิ่งเดือดดาล
“พี่ก็เจ็บ เจ็บที่พี่รักรำเพยสุดหัวใจ แต่รำเพยไม่ยอมรักพี่” ลิตรว่า
รำเพยชะงักและอึ้งเพราะไม่คิดว่าลิตรจะกล้าพูดแบบนี้ เรไรเดินอ้อมมาจากมุมนึง เธอได้ยินเสียงเอะอะเลยหยุดยืนฟังเพราะคุ้นกับเสียง ลิตรเห็นรำเพยนิ่งและทำหน้าตื่นตกใจก็เลยค่อยๆ ปล่อยมือจากรำเพย
รำเพยพูดเสียงเข้มเหมือนเตือนสติลิตรและตัวเอง “อย่าพูดแบบนี้อีก พี่เป็นสามีของพี่เรไร พี่สาวคนเดียวของรำเพย”
รำเพยยืนมองหน้าลิตรนิ่ง
เรไรเดินมาเห็นลิตรกับรำเพยยืนมองหน้ากันด้วยท่าทางแปลกๆ เหมือนคนรักกำลังทะเลาะกัน ลิตรเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างกับรำเพย แต่รำเพยไม่ฟัง เธอรีบเดินหนีออกไป ลิตรขยับจะเดินตามไป แต่สุดท้ายก็เปลี่ยนใจได้แต่ยืนมองตามรำเพยไปอย่างเจ็บปวด เรไรเหมือนจะรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง ระหว่างสามีหนุ่มกับน้องสาวของตัวเองแต่เธอก็ยังไม่อยากเชื่อ
เรไรนั่งนิ่งแล้วนึกย้อนกลับไปวันแต่งงาน
เหตุการณ์วันแต่งงาน เรไรเดินแยกตัวออกมาจะไปเข้าห้องน้ำ แขกหญิงในงานสามคนแอบยืนเม้าท์เจ้าบ่าวกับเจ้าสาวอย่างสนุกปากอยู่
“แหม...ผู้ชายน่ะก็อ่อนกว่าตั้งสิบกว่าปี แต่ยอมแต่งงานด้วยง่ายๆแบบนี้ จะเพราะอะไร ถ้าไม่ใช่เพราะว่าที่เมียน่ะรวยล้นฟ้า อำนาจล้นมือ”
เพื่อนอีกสองคนหัวเราะอย่างสนุกสนาน เรไรทั้งโกรธทั้งเจ็บปวด
แขกยังเม้าท์กันต่ออย่างเมามัน
“ถ้าเป็นชั้นนะ ต่อให้เจ้าสาวหูหนวก ตาบอด ก็ต้องยอมล่ะ”
“แต่ก็ไม่แน่นะ บางทีนายลิตรนั่นน่ะ เค้าอาจจะหวังเทครัวทั้งพี่ทั้งน้องเลยก็ได้นะ เอาพี่ไว้เป็นขุมทอง เอาน้องไว้เป็นเมียตัวจริง”
แขกทั้งสามหัวเราะอย่างเฮฮา
เรไรยืนกำมือแน่นด้วยหน้าตาโกรธจัด แต่ก็ต้องพยายามระงับอารมณ์แล้วรีบเดินออกมา
เรไรมีสีหน้าขมขื่น เธอหยิบภาพถ่ายวันแต่งงานมาดู เป็นภาพเรไรในชุดเจ้าสาวกำลังยิ้มหน้าบานอย่างมีความสุข แต่ลิตรกลับยิ้มขรึมๆ เกร็งๆ เรไรมองหน้าลิตรในภาพถ่าย
“พี่ไม่ได้แก่เกินไป สำหรับเธอใช่มั้ย”
เรไรเปิดเข้าไปในห้องรำเพยก่อนจะกวาดตาไปทั่ว เธอเดินไปที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งที่มีเครื่องประทินโฉมของรำเพยวางอยู่อย่างเป็นระเบียบ เรไรกวาดทั้งหมดใส่ตระกร้า
“พี่ยืมไปใช้บ้างนะรำเพย”
เรไรเปิดนิตยสารวัยรุ่นในยุค 2510 เพื่อดูการแต่งตัวของวัยรุ่น
เรไรแต่งตัวตามหนังสือ ถักเปียสองข้าง ยืนยิ้มหวานแบบเกร็งๆ อยู่หน้ากระจก
เรไรลองเปลี่ยนอีกชุดโดยเป็นชุดวัยรุ่นหวานแหววมีระบายดอกไม้ฟูๆ อยู่ด้วย สีหน้าเรไรแข็งกระด้างตัดกับชุดที่ใส่
ณ ห้องรับแขกตอนกลางคืน แก้วเข้ามาตรวจสอบหน้าต่างและประตูว่าปิดแล้วเรียบร้อย เสียงก๊อกแก็กดังขึ้นที่บันได แก้วหันไปดูแล้วกรีดร้องดังลั่น
“กรี๊ดด”
เรไรในชุดนอนปล่อยผมสยาย พอกครีมสีขาวไว้เต็มหน้าดูหน้ากลัวเดินลงมา แก้วตกใจจนลงไปนอนตาค้าง
เช้าวันใหม่ เรไรส่งเสียงแหลมปรี๊ด
“ลี๊ตรร เรไรมาแล้วค่า”
เรไรในชุดกระโปรงน่ารักแต่ไม่เข้ากับเธอเลยมาพร้อมทรงผมยอดนิยม ถักเปียสองข้างแบบพจมาน ลิตรตกใจ ป้านวลปล่อยถาดอาหารเช้าหลุดมือด้วยความตกใจ
“คุณพระ คุณเจ้าช่วย”
เรไรยิ้มแอ๊บแบ๊ว
เรไรเดินจับมือลิตรแกว่งเหมือนเด็กๆ ลิตรทำหน้าไม่ถูกและไม่ค่อยกล้าสบตากับใคร ลูกน้องมองหน้ากันอย่างงงๆ
ลิตรมองหน้าเรไรแล้วตัดสินใจพูดบางอย่าง
“พี่เรไรครับ”
เรไรขานรับแบบแอ๊บแบ๊ว “จ๋า”
ลิตรถอนใจก่อนจะเดินไปจับมือเรไรแล้วพูดจริงจัง
“พี่ทำแบบนี้ทำไมครับ”
เรไรมองหน้าลิตร
เรไรพูดด้วยเสียงปกติ “ลิตรไม่ชอบแบบนี้เหรอ”
ลิตรส่ายหน้า
“พี่....กลัวว่าลิตรจะไม่ชอบ ที่พี่แก่เกินไป พี่ก็เลย”
ลิตรยิ้ม แล้วก็พูดไปแกะผมให้เรไรไป “ผมชื่นชมความสามารถและหลงรักความเก่งของผู้หญิงคนนี้ครับ”
ลิตรรวบผมให้เรไร
“ไม่ใช่สาวน้อยแก่นแก้วคนไหน”
ลิตรดึงเรไรเข้ามากอดเพื่อยืนยันคำพูด เรไรยิ้มชื่นใจและก็ยิ่งหลงรักลิตรมากขึ้นไปอีก ลิตรแอบทำหน้าเบื่อ
มือเล็กและขาวนวลของรำเพยกำลังเก็บดอกรำเพยอย่างเบามือ มือหนาใหญ่ของลิตรยื่นดอกรำเพยอีกดอกให้รำเพยรำเพยผงะด้วยความตกใจ
“พี่ลิตร”
“รำเพยหายโกรธพี่หรือยังจ้ะ”
“รำเพยจะโกรธพี่ลิตรเรื่องอะไรค่ะ..เราไม่ได้มีเรื่องอะไรต่อกัน”
รำเพยจะเดินหนี ลิตรเดินไปดักหน้า
“รำเพย อย่าตัดรอนพี่แบบนี้สิ แค่นี้หัวใจพี่ก็แทบจะทนไม่ไหวแล้ว”
ลิตรมองหน้ารำเพยอย่างอ้อนวอน รำเพยไม่อยากให้เรื่องราวเลยเถิดไปมากกว่านี้เลยไม่โต้ตอบและเดินหนีเรไรเดินสวนเข้ามายืนประจัญหน้ากับทั้งสองคน ลิตรกับรำเพยตกใจเพราะไม่รู้ว่าเรไรมาตั้งแต่เมื่อไหร่และได้ยินอะไรบ้าง
เรไรเสียงเข้มเพราะไม่ค่อยพอใจ “รำเพยมาทำอะไรตรงนี้”
รำเพยพูดเสียงอ่อยๆ “มาเก็บดอกรำเพยไปร้อยถวายพระค่ะ”
“เอาอีกแล้วนะ ไอ้ดอกไม้บ้านี้น่ะ ชอบมาเก็บมันจัง”
เรไรคว้าถาดใส่ดอกรำเพยจากมือรำเพยแล้วสาดดอกไม้สีสวยลงพื้นอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะยื่นเท้าไปเหยียบย่ำดอกไม้ และพูดสั่งสอนทั้งรำเพยและลิตรเป็นนัยๆ ด้วยหน้านิ่งๆ แต่ดูน่ากลัว
“มันเป็นดอกไม้พิษ ที่พร้อมจะกลับมาทำร้ายคนปลูกได้ทุกเวลา”
ลิตรได้แต่ยืนฟังนิ่งๆ ไม่กล้าออกความคิดเห็น รำเพยมีสีหน้าเจื่อนๆ เพราะรู้สึกเจ็บปวดกับคำพูดของเรไร
“และถ้าเมื่อไหร่ ที่พิษของมันมาทำร้ายคนแบบพี่ พี่ก็สามารถตัดมันทิ้งได้อย่างไม่ลังเลใจเลยนะ เธอ” เรไรหมายถึงทั้งลิตรและรำเพย “เข้าใจใช่มั้ย”
รำเพยพยักหน้ารับจ๋อยๆ “ค่ะ”
รำเพยพยักหน้ารับและรีบเดินออกไป ลิตรยืนกลืนน้ำลายอย่างหวั่นๆ เรไรหันมามองลิตรแต่ไม่พูดอะไร เธอเดินแยกไปอีกทางนึง ลิตรมองดูดอกไม้ที่แหลกราญบนพื้นด้วยเท้าของเรไรแล้วก็หวั่นใจพิกล
เช้าวันต่อมา รำเพยในชุดสวยปกติเดินเข้ามาในห้องรับแขกที่ลิตรกับเรไรกำลังนั่งคุยกันเรื่องโรงสีอยู่ ลิตรเผลอมองรำเพยอย่างตกตะลึง เรไรแอบเห็น ลิตรรีบกลบเกลื่อนด้วยการก้มหน้าอ่านเอกสารต่อเหมือนไม่สนใจ รำเพยเดินสงบเงี่ยมมานั่งตรงข้าม
“นัดวันชัยไว้กี่โมงล่ะ แล้วจะไปที่ไหนกันบ้าง” เรไรถาม
รำเพยพูดด้วยน้ำเสียงยังหวาดๆ และไม่กล้าสบตา “นัดกันไว้แปดโมงเช้าค่ะ พี่วันชัยบอกว่า จะพาไปดูของขวัญที่จะเอาไปฝากอาม่าก่อน แล้วค่อยไปทานข้าวที่ร้านประจำของครอบครัวค่ะ”
ลิตรแอบฟังอย่างตั้งใจเพราะอยากรู้ว่ารำเพยกับวันชัยจะไปไหนกัน วันชัยเดินเข้ามาในห้องพอดี วันชัยไหว้เรไรกับลิตรอย่างนอบน้อม
“สวัสดีครับพี่เรไร พี่ลิตร”
ลิตรรับไหว้อย่างขอไปที เรไรแอบสังเกตตลอดเวลา
“สวัสดีจ้ะวันชัย มาตรงเวลาดีจัง พี่ฝากรำเพยด้วยนะ ดูแลน้องดีๆ น้องไม่ค่อยได้ออกไปไหน นี่พี่เห็นว่าวันชัยเป็นคู่หมายกันนะ ถึงได้ยอมให้พารำเพยออกงานได้”
ลิตรขบกรามแน่น คำพูดทุกประโยคของเรไรทิ่มแทงเข้าไปในหัวใจของเขา รำเพยทำหน้าเจื่อนๆ ยิ้มไม่เต็มปากอย่างลำบากใจ วันชัยเป็นคนเดียวที่ทำหน้าตามีความสุข
“ผมรับปากครับ ว่าจะดูแลรำเพยอย่างดีให้สมกับพี่เรไรไว้ใจ”
เรไรหัวเราะเริงร่าด้วยความเอ็นดูวันชัย ในขณะที่ลิตรทำเป็นก้มหน้าอ่านเอกสารแต่มีสายตาครุ่นคิดและแฝงแววเจ้าเล่ห์
วิชัยและครอบครัวขนาดใหญ่แบบคนจีนนั่งล้อมโต๊ะจีนตัวใหญ่ที่ตกแต่งสวยงาม มีอาหารว่างชั้นดีว่างอยู่ ทุกคนพูดคุยกันเสียงดัง อย่างสนุกสนาน วันชัยเดินรำเพยเข้ามาที่โต๊ะ เสียงพูดคุยเงียบลง ทุกคนในโต๊ะหันไปมองด้วยความเกรงใจในบารมีของเรไรที่ส่งผ่านมายังน้องสาวคนสวยว่าที่สะใภ้ของวิชัย รำเพยยิ้มอ่อนโยนก่อนจะยกมือไหว้ทุกคน
“สวัสดีค่ะ”
ทุกคนรับไหว้ วิชัยกวักมือเรียกให้รำเพยกับวันชัยมานั่งข้างๆ ด้วยความเอ็นดู
“มา มา มานั่งตรงนี้”
วันชัยกับรำเพยขยับลงไปนั่งข้างๆ วิชัย
ลิตรนั่งบนเก้าอี้พลาสติกสีแปร๊ดที่อยู่ในห้องแต่งตัวของสาวๆก่อนร้านเปิด สาวนั่งดริ๊งค์ขาประจำลิตรแถเข้ามาหาลิตรอย่างประจบ
“พี่ลิตรขา ทำไมวันนี้มาแต่หัววันเลย คิดถึงหนูเหรอคะ”
สาวๆในร้านคนอื่นมองด้วยอาการหมั่นไส้ ลิตรมองไปรอบๆ ก็เห็นว่าตัวเองกำลังตกเป็นเป้าสายตาเลยดึงสาวดริ๊งค์ออกมาอีกมุมนึงที่ไม่มีใครอยู่ ลิตรจับแขนของสาวดริ๊งค์แล้วมองด้วยสีหน้าจริงจัง
“พี่มีงานสำคัญจะให้เธอทำ ถ้าเธอทำสำเร็จ พี่มีรางวัลให้เธออย่างงาม แบบที่เธอจะได้ใช้ชีวิตสบายๆ ไม่ต้องทำงานไปหลายปีเลย”
สาวดริ๊งค์มองหน้าลิตรตาโต ในขณะที่ลิตรยิ้มเจ้าเล่ห์
วิชัยกับวันชัยตักอาหารก่อนจะหมุนอาหารมาให้รำเพยอย่างเอาอกเอาใจ ทุกคนพูดคุยและชมเชยรำเพยและเรไรไม่ขาดปาก รำเพยยิ้มเรื่อยๆ โดยได้แต่รับฟังเพราะพูดไม่ทันคนอื่นในโต๊ะ สาวนั่งดริ๊งค์ในชุดหวาบหวิวแต่งหน้าจัดดูเป็นสาวใจแตกเดินตรงเข้ามาที่โต๊ะแล้วแผดเสียงเรียก วันชัย ตามแบบตัวอิจฉาในละคร
“วันชัย”
วันชัยและทุกคนในโต๊ะอาหารตกใจหันมามองเป็นตาเดียวกัน วันชัยหน้าเหวอ เขาขยับลุกขึ้นตามมารยาทของสุภาพบุรุษ
วันชัยขานรับ “ครับ”
สาวดริ๊งค์แถเข้ามาเกาะแขน กอดเอว แสดงความสนิทสนมวันชัยอย่างไม่เกรงสายตาใคร วันชัยทำหน้าตกใจ
ในขณะที่ญาติๆในโต๊ะ ก็แปลกใจ รำเพยมองอย่างตกใจเหมือนคนอื่น วิชัยแสดงสีหน้าไม่พอใจจึงลุกพรวดมาถามลูกชาย
“วันชัย ผู้หญิงคนนี้เป็นใคร”
วันชัยอึกอัก เขามองหน้าผู้หญิงงงๆ สาวดริ๊งค์ยิ้มหว่านเสน่ห์ก่อนจะตอบเสียงดังฟังชัด
“หนูเป็นเมียวันชัยค่ะ” สาวดริ๊งเอามือจับหน้าท้องแบนราบของตัวเอง “และกำลังจะเป็นแม่ของลูกของวันชัยด้วยค่ะ”
ทุกคนช็อค
วันชัยทำหน้าเหมือนโดนผีหลอก ในขณะที่รำเพยหน้าเสียเพราะทำอะไรไม่ถูก วิชัยตกใจแต่ก็ยังมีสติ
วิชัยโพล่งเสียงดัง “จริงเหรอไอ้วันชัย นี่ลื้อแอบไปมีเมียไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
วันชัยมองหน้ารำเพย รำเพยหลบตา วันชัยพยายามแกะมือสาวดริ๊งค์แต่สาวดริ๊งค์ไม่ยอมปล่อย
“เปล่านะ อั๊วไม่เคยรู้จักผู้หญิงคนนี้เลย...จริงๆนะครับ รำเพย”
วันชัยแกะมือจนได้และผลักสาวดริ๊งค์ออกไปห่างตัว สาวดริ๊งค์กรีดร้องเสียงดังจนทุกคนในร้านหันมามอง
“วันชัยพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง วันชัยจะไม่รับผิดชอบชั้นกับลูกเหรอ”
สาวดริ๊งค์ปรี่ไปหารำเพยอย่างเอาเรื่อง
“หล่อนนี่เองเหรอ ผู้หญิงหน้าด้านที่ตั้งใจจะมาแย่งผัวคนอื่น”
รำเพยตกใจจนหน้าซีด เพราะบางประโยคของสาวดริ๊งค์สะกิดตะกอนขุ่นๆในใจ ที่รำเพยพยายามจะฝังไว้ออกมา สีหน้าของรำเพยและอาการคุกคามของสาวดริ๊งค์ทำให้ทุกคนในโต๊ะเป็นเดือดเป็นร้อน โดยเฉพาะวิชัย
วิชัยกรากเข้ามากระชากสาวดริ๊งค์ให้ออกห่างรำเพย พร้อมกับตะโกนเรียกพนักงานให้มาจัดการ
“ลื้ออย่ามาวุ่ยวายกับผู้หญิงดีแบบหนูรำเพยน่ะ....เฮ้ย มีใครอยู่บ้าง มาลากอีหยำฉ่านี่ออกไปที”
พนักงานในร้านรีบวิ่งเข้ามาลากสาวดริ๊งค์ออกไป สาวดริ๊งค์ต่อสู้ ดิ้นรน และตะโกนโวยวายสุดชิวิต แต่สุดท้ายเธอก็โดนลากออกไป ทุกคนหันมามองรำเพยด้วยความเกรงใจและรู้สึกผิด รำเพยนั่งนิ่งอย่างไม่รู้สึกอะไรกับเรื่องของวันชัยกับสาวดริ๊งค์แต่รู้สึกเจ็บ จุก กับคำพูดของสาวดริ๊งค์มากกว่า
วันชัยยกมือไหว้เรไรอย่างรู้สึกเสียใจ
“ผมขอโทษจริงๆครับพี่เรไร ที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นครับ”
เรไรนั่งหน้าบึ้งแสดงความไม่พอใจ
ส่วนลิตรนั่งฟังสบายๆ เหมือนฟังเรื่องสนุกประจำวัน
วิชัยพูดด้วย “ขอก็ต้องขอโทษคุณนายเรไรกับหนำเพยด้วยอีกคนนะครับ แต่ผมยืนยันได้นะครับ ว่าวันชัยน่ะไม่เคยรู้จักกับผู้หญิงคนนั้นจริงๆ ตอนออกมาจากร้าน ผู้หญิงคนนั้นก็หนีไปแล้ว”
ลิตรส่งเสียงเยาะมาจากที่นั่งตัวเอง
ทุกคนหันไปมอง
ลิตรยิ้มแล้วส่งยิ้มเยาะให้วันชัยก่อนจะหันไปพูดกับวิชัย
“เสี่ยครับ เสี่ยจะกล้ายืนยันได้ยังไงครับ เสี่ยอยู่กับวันชัยตลอดเวลาหรือไงครับ แล้วเรื่องแบบนี้ ถ้ามันไม่ใช่เรื่องจริง ผู้หญิงที่ไหนเค้าจะกล้าออกมาพูดขนาดนี้ล่ะครับ”
คำพูดของลิตรทำให้วันชัยกับพ่อนั่งนิ่งไม่กล้าและไม่กล้าแก้ตัว
เรไรมองสีหน้ายิ้มกริ่มของลิตรสลับกับหน้านิ่งๆของรำเพยก็เม้มปากแน่น ถึงจะไม่ค่อยชอบเรื่องที่เกิดขึ้น แต่เรื่องตรงหน้าของเธอนั้นยิ่งใหญ่กว่า
เอาล่ะ ชั้นไม่รู้หรอกนะ ว่าเรื่องจริง เรื่องไหน ไม่จริง แต่งานแต่งงานของรำเพยกับวันชัยก็ยังเหมือนเดิม เพียงแต่ว่า” เรไรหันไปมองวันชัย “เธอต้องไปจัดการเรืองของเธอให้เรียบร้อย อย่าให้ผู้หญิงคนไหนของเธอ มาวุ่นวายกับน้องสาวของชั้นอีก”
สีลิตรสลดลง คำพูดของเหมือนเรไรน้ำร้อนรดลงบนดอกไม้ที่กำลังบาน รำเพยยังรักษาอาการได้นิ่งเหมือนเดิม เรไรหันไปมองทั้งสองคนก่อนพูดเน้นกับวันชัย
“ผู้หญิงในเรือนรัตนะทุกคน ไม่ยอมเป็นที่สองรองใคร อย่าให้ผู้หญิงชั้นต่ำที่ไหนมาตราหน้า ว่าน้องสาวชั้นสิ้นคิดขนาดที่จะแย่งผัวคนอื่นได้”
วันชัยรับปากแล้วยืนยันหนักแน่น แต่สายตาและความสนใจของเรนั้นไปอยู่ที่รำเพย น้องสาวตัวเองมากกว่าว่าจะรู้สึกอย่างไรกับสิ่งที่ตัวเองพูด สีหน้าลิตร ทั้งเจื่อน ทั้งสลด และไม่กล้าสบตาใคร รำเพยพยายามกล้ำกลืนความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น
รำเพยยกถาดดอกไม้ออกมาจากห้องพระแล้วปิดประตู ด้วยความที่ถือของพะรุงพะรังทำให้ปิดประตูไม่ได้ ลิตรที่เดินมาจากอีกฝั่งนึงเห็นรำเพยถือของเยอะก็ตั้งใจจะเข้ามาช่วย แต่รำเพยเห็นก่อนจึงรีบเดินหนี จนเสียหลัก ลิตรพุ่งเข้ามาถึงตัวของรำเพยก่อนที่รำเพยจะล้ม
รำเพยตกใจแทบช็อคที่เห็นว่าตัวเองอยู่ในอ้อมกอดของลิตร เธอพยายามจะดิ้นรนจากอ้อมกอดของลิตรแต่ลิตรกลับลืมตัวโดยลืมความน่ากลัวของเรไรไปอย่างหมดสิ้น เมื่อมีรำเพยอยู่ในอ้อมกอด และใบหน้างดงามของคนที่เขาหลงรัก ก็อยู่ห่างแค่ปลายจมูก
สายตาเว้าวอนของลิตรทำให้รำเพยใจสั่นระรัวและลืมตัวไปชั่วขณะ ก่อนที่รำเพยจะรู้ตัว ใบหน้าของลิตรก็เคลื่อนเข้ามาใกล้จนรำเพยหนีไม่ทัน เรไรเดินเลี้ยวออกมาจากห้องนอนและทันได้เห็นภาพอันบาดตาระหว่างสามีหนุ่มกับน้องสาวต่างวัย เต็มสองตา
เรือนริษยา ตอนที่ 12 (ต่อ)
เรไรตะโกนเสียงกร้าวด้วยความหึงหวง “ลิตร”
เสียงเรไรเหมือนฟ้าผ่าลงมากลางเรือนรัตนะ ลิตรกับรำเพยผงะออกจากกัน แต่ไม่ทันเรไรที่ปรี่เข้ามากระชากตัวรำเพยออกจากลิตร และกระหน่ำมือลงไปที่ใบหน้าของรำเพยอย่างสุดแค้น
“รำเพย อีเนรคุณ มายุ่งกับผัวกูทำไม มายั่วยวนลิตรทำไม”
รำเพยร้องไห้ด้วยความเจ็บปวดที่โดนตบและโดนด่า ลิตรทนไม่ได้ที่เห็นรำเพยโดนทำร้าย เลยเข้าไปดึงเรไรออกมาทำให้โดนลูกหลงไปด้วย
“พี่เรไรพอแล้วครับ พอแล้ว”
เรไรไม่ฟัง เธอพยายามจะเข้าไปตบตีรำเพยให้หายแค้น ป้านวลกับชิดวิ่งเข้ามาเพราะได้ยินเสียงดัง และยิ่งเห็นอาการของทั้งสามคนก็ยิ่งแปลกใจ
“ป้านวล พาคุณรำเพยออกไปที เร็วสิ” ลิตรว่า
ป้านวลตกใจแต่ก็รีบเข้ามาพารำเพยที่กำลังร้องไห้เสียใจออกไป ลิตรทั้งลากทั้งดึงเรไรไปอีกทาง เสียงเรไรยังด่าอาละวาดดังไม่หยุด ชิดมองตามลิตรกับเรไรไป
ลิตรใช้ความพยายามอย่างหนักในการพาเรไรที่กำลังโกรธเลือดขึ้นมาในห้องนอนจนได้
“ปล่อยพี่นะลิตร ปล่อย อีนั่นมันร่าน มันตั้งใจจะยั่วลิตร” เรไรเจ็บปวด “มันเนรคุณพี่สาวของมัน”
เรไรยังอาละวาดไม่ยอมเลิก ลิตรไม่รู้จะทำยังไงนอกจากกอดเรไรไว้ และพยายามพูดปลอบให้เรไรสงบลง
“พี่ครับ พี่เรไรใจเย็นๆก่อนครับ”
เสียงออดอ้อนอันหวานหูและอ้อมกอดที่แข็งแรงของลิตรทำเรไรสงบลงบ้างเล็กน้อย
“ลิตรจะให้พี่ใจเย็นได้ยังไงก็พี่เห็นนะ ว่าลิตรกับ....”
ลิตรเอามือแตะปากเรไรเบาๆ
“มันไม่มีอะไรครับ ไม่มีอะไรจริงๆ มันเป็นอุบัติเหตุ น้องรำเพยล้ม ผมเข้าไปช่วย ก็แค่นั้นเองครับ ไม่มีอะไร”
ลิตรมองหน้าเรไรอย่างตั้งใจจะยืนยันความบริสุทธิ์ใจ เรไรมองหน้าลิตรอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ลิตรพูด ลิตรก้มลงจูบที่หน้าผากของเรไรอย่างอ่อนโยน
เรไรเริ่มอ่อนลง
“จริงๆนะครับ ผมรักพี่เรไรคนเดียว พี่อย่าเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับน้องรำเพยเลยนะครับ น้องรำเพยไม่มีอะไรสู้ภรรยาแสนสวยของผมได้ พี่เรไรเป็นนางฟ้าของผมแค่คนเดียว เชื่อใจผมนะครับ” ลิตรว่า
ลิตรดึงตัวเรไรมากอดไว้อย่างอ่อนโยน”
เรไรซบลงกับอกของลิตรแต่สายตายังคงครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ลิตรมีสีหน้าหม่นหมองกับชีวิตของตัวเอง
รำเพยนั่งหน้าแห้งและก็ยังสะอื้นอยู่เป็นระยะ ป้านวลทายาให้ด้วยความสงสารแต่ไม่กล้าพูดอะไร ในขณะที่ชิดยืนดูอยู่ห่างๆ
รำเพยนั่งรอเรไรอยู่ที่โต๊ะอาหาร นวลกับชิดยืนรออยู่ที่มุมห้องเหมือนเดิม รำเพยนั่งก้มหน้าไม่กล้าสบตาใคร ลิตรเดินประคองเรไรเข้ามาด้วยสีหน้านิ่งๆ พอเรไรเดินเข้ามาบรรยากาศก็ยิ่งอึดอัด เรไรมองรำเพยด้วยสีหน้าหมั่นไส้ รำเพยยิ่งนั่งก้มหน้า
“ชิด นวล เตรียมจัดบ้านให้เรียบร้อยหน่อยนะ” เรไรว่า
ชิดกับนวลมองหน้ากันด้วยความสงสัยแต่นวลปากไวกว่าเลยหลุดปากถาม
“ทำไมล่ะค่ะ...คุณเรไร จะมีงานอะไรเหรอค่ะ”
เรไรพูดนิ่งๆ แล้วก็แอบสะใจ
“อาทิตย์หน้าเสี่ยวิชัยเค้าจะมาสู่ขอรำเพย ให้วันชัย” เรไรบอก
รำเพยช็อค ลิตรตกตะลึง
เรไรยิ้มเยาะด้วยความสะใจ ชิดแอบยิ้มโล่งใจ ส่วนนวลดีใจจนออกนอกหน้าก่อนจะแถไปหาเรไรที่หัวโต๊ะ
“จริงเหรอค่ะคุณเรไร แล้วจะแต่งกันเมื่อไหร่คะ” นวลถาม
“ก็เร็วๆนี้แหละ แต่เสี่ยวิชัยเค้าจะเข้ามาหมั้นหมายไว้ก่อน แล้วก็รีบแต่งงานให้เร็วที่สุด เท่าที่จะเร็วได้”
ลิตรมือสั่นเพราะพยายามระงับอารมณ์สูญเสียที่เกิดขึ้นจากประโยคสั้นๆ จากปากเรไร เขาไม่กล้าแม้แต่จะมองไปทางรำเพย รำเพยหน้าซีดเผือดและรู้สึกเหมือนหัวใจถูกบีบจนแทบจะแหลกสลาย
ลิตรกับลูกน้องยืนอยู่ที่ฝั่งตรงข้ามโรงสีเสี่ยวิชัย ลิตรเห็นป้ายโรงสีใหญ่โต มีรถบรรทุกข้าววิ่งเข้าวิ่งออก ลิตรหันมาสั่งงานลูกน้องก่อนจะขึ้นรถกลับไป ลูกน้องเดินหลบไปอีกทางพร้อมถังน้ำมันในมือ
นวลวิ่งร้องตะโกนอย่างตกใจมาถึงโต๊ะอาหาร
“คุณขา แย่แล้วค่ะ”
ลิตร เรไร รำเพย และชิดตกใจจึงหันไปมอง นวลวิ่งเข้ามาถึงโต๊ะ
เรไรดุ “อะไรกัน มีเรื่องกัน”
“โอ้ย...คุณเรไรค่ะ เกิดเรื่องใหญ่แล้วค่ะ นังแก้วมันบอกว่า ไฟไหม้ที่โรงสีของเสี่ยวิชัยค่ะ”
เรไรกับรำเพยตกใจ ลิตรแอบยิ้มอย่างสาสมใจ ชิดแอบเห็นแต่ก็ไม่แน่ใจเพราะคิดว่าตัวเองตาฝาด
เรไรเป็นห่วง “จริงเหรอ”
“จริงค่ะ ก็น้องชายนังแก้วน่ะทำงานอยู่ที่นั่นค่ะ มันบอกว่าวอดไปครึ่งโรงแล้วค่ะ ป่านนี้จะดับหมดหรือยังก็ไม่รู้”
เรไรผุดลุกขึ้นด้วยความเป็นห่วง
“ชั้นไปดูเสี่ยเค้า เผื่อจะช่วยอะไรได้บ้าง ไปจ้ะลิตร ชิด รำเพยดูบ้านดีๆนะ ระวังฟืนไฟ ไว้ด้วยนะ”
“ค่ะคุณพี่”
เรไรเดินนำสองหนุ่มออกไป ลิตรเดินตามหน้าระรื่น
วิชัยกับวันชัยนั่งหน้าเศร้าอยู่ข้างๆเรไรที่อยู่ในสภาพเนื้อตัวมอมแมม วันชัยตาแดงเหมือนคนเพิ่งร้องไห้ ในขณะที่เรไรหน้าเครียด ลิตรนังอยู่ห่างๆ ด้วยสีหน้าไม่แสดงอารมณ์ ชิดยืนเฝ้าระวังอยู่ห่างๆเหมือนเดิม แต่สายตาเหลือบไปมองที่ลิตรเป็นระยะๆ
เรไรปลอบใจแบบคนที่เข้มแข็ง “ทำใจนะเสี่ย เสียไปแค่นี้ยังดีกว่า มีใครบาดเจ็บ ล้มตาย เรายังมีแรง เราค่อยมาช่วยกันสร้างใหม่ ใช่มั้ยวันชัย ใช่มั้ยเสี่ย”
วันชัยยังนั่งนิ่งเพราะใจไม่แข็งอย่างเรไร วิชัยยิ้มได้ก็ยื่นมือมาจับเรไรอย่างขอบคุณ
“ใช่ คุณนายเรไรพูดถูก ขอบใจนะที่ช่วยให้สติ” วิชัยบอก
“ไม่เป็นไรหรอกเสี่ย คนเรามันก็ต้องมีวันที่ล้ม แต่พอล้มแล้วก็ต้องรีบลุกขึ้นมาให้ได้ เสี่ยไม่ต้องกลัวนะ ชั้นยินดีช่วยทุกอย่างเต็มที่ เหมือนที่เสี่ยเคยช่วยชั้นมาตลอด” เรไรว่า
ลิตรแอบทำหน้าไม่พอใจที่เรไรออกปากจะช่วยเหลือเสี่ย และดูวิชัยไม่ค่อยกังวลใจเท่าไหร่ ในขณะที่ชิดแอบสังเกตอาการของลิตรตลอดเวลา
เรไรนั่งครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของวิชัยอย่างเคร่งเครียด
“มันเกิดอะไรขึ้น หรือว่า....” เรไรสงสัย
ลิตรเปิดประตูเข้ามาแล้วหยุดเพราะเห็นแววตาของเรไรที่มองมาแล้วก็แปลกใจ
“มีอะไรหรือเปล่าครับพี่”
เรไรจ้องตาของลิตรอย่างพยายามจะค้นหาความจริง
“ลิตรรู้อะไรเรื่องบ้านของเสี่ยวิชัยกับวันชัยบ้างหรือเปล่า”
ลิตรสะดุ้งในใจแต่พยายามเก็บอาการไม่ให้เรไรเห็นพิรุธ
“เปล่าครับ” ลิตรตอบ
ลิตรมองหน้าเรไรกลับ ทั้งสองคนต่างจ้องหน้ากันเพื่อจะค้นหาอะไรบางอย่าง สุดท้ายลิตรก็เดินไปคุกเข่าลงนั่งข้างๆเรไร และจับมือเรไรขึ้นมากุมไว้
“พี่กลุ้มใจเรื่องอะไรอยู่รึเปล่าครับ”
เรไรยังมองหน้าลิตรอยู่ ลิตรไม่ยอมหลุดพิรุธ และใช้มารยาของเด็กหนุ่มออดอ้อนเรไรทันที
“มีอะไรเล่าให้ผมฟังก็ได้นะครับ”
เรไรยังนิ่งเพราะยังคลางแคลงใจในตัวลิตร ลิตรซบลงบนตักเรไรอย่างประจบประแจง
“ทูนหัวของผม ใครทำอะไรให้นางฟ้าของผมไม่สบายใจ” ลิตรถาม
กิริยา อาการต่างๆที่ลิตรทำได้ผลกับเรไรเสมอ เพราะเรไรใจอ่อนอีกแล้ว
“พี่แค่สงสัยว่าทำไมช่วงนี้ มีเรื่องร้ายๆเกิดขึ้นกับวันชัยติดๆกัน” เรไรถาม
ลิตรลอบยิ้มด้วยความสะใจก่อนจะขยับขึ้นมานั่งคุยกับเรไร
“ครอบครัวนั้นเค้าอาจจะมีศัตรูอยู่แล้วก็ได้นะครับ เพราะท่าทางเค้าก็ดูจะร้ายไม่ใช่เล่น” ลิตรว่า
“ไม่น่าจะมีนะ เสี่ยวิชัยน่ะ มือสะอาดและใจดี ใครๆก็รักแก ส่วนวันชัยก็เหมือนพ่อเลย ไม่น่าจะมีศัตรูที่ไหน”
“ก็ไม่แน่นะครับ ทำธุรกิจแบบนี้อาจจะไปข้ามเส้นใครเค้ามาก็ได้...แล้วอย่างนี้พี่เรไรยังอยากให้น้องรำเพยไปอยู่กับเค้าอีก น้องรำเพยจะปลอดภัยเหรอครับ”
เรไรนิ่งก่อนจะจ้องหน้าลิตรด้วยความไม่พอใจ
เรไรพูดเสียงแข็ง “ทำไม เป็นห่วงรำเพยมากขนาดนั้นเลยเหรอ”
ลิตรทำเป็นหัวเราะกลบเกลื่อน
“เปล่าหรอกครับ ผมเป็นห่วงพี่ต่างหาก เพราะถ้าได้ผู้ชายไม่เอาไหน แถมครอบครัวยังมีศัตรูเยอะแยะแบบวันชัยมาเป็นน้องเขย กลัวว่าเค้าจะมาสร้างปัญหาให้พี่มากกว่าครับ”
เรไรมองลิตรแบบเริ่มจะเชื่อเพราะหลงเขาอีกแล้ว ลิตรเห็นอาการเรไรก็เดาออกจึงกล่อมต่อ
“แทนที่พี่จะได้คนช่วยคิดกลับจะกลายเป็นได้ภาระมาเพิ่มเปล่าๆนะครับ”
ลิตรเห็นเรไรเริ่มคล้อยตามก็ยิ่งเล่นละครเอาใจ เพื่อหลอกเรไรให้ตายใจ
“ผม” ลิตรเอื้อมมือไปแตะหน้าเรไรอย่างถนุถนอม “ทำทุกอย่าง เพื่อพี่เรไรของผมคนเดียวเท่านั้นนะครับ ถ้าอะไรไม่ดี ผมก็แค่อยากจะช่วยป้องกันไม่ให้มันมาทำความเดือดร้อนให้นางฟ้าของผมเด็ดขาด”
เรไรยิ้มรับเพราะเชื่อลิตรอย่างหมดใจ
“ขอบใจนะจ้ะลิตร พ่อเทพบุตรแสนดีของพี่ แล้วเรื่องวันชัยกับรำเพยน่ะพี่มั่นใจนะว่าวันชัยก็ต้องเป็นสามีที่ดีให้กับรำเพยได้แน่ๆ”
เรไรยืนยันความมั่นใจตัวเอง ส่วนลิตรได้แต่ยิ้มรับเจื่อนๆ
ดวงตาสวยเศร้าของรำเพยสะท้อนออกมาจากกระจก รำเพยในชุดไทยสวยหรู สีหวาน แต่งหน้า และทำผมเต็มที่ สำหรับงานวันสู่ขอและหมั้นของเธอกับวันชัย นวลยืนยิ้มด้วยความดีใจจนหน้าบาน กับวันดีๆของเจ้านายสาวที่แสนดี
“คุณรำเพยสวยจังเลยค่ะ” นวลชม
รำเพยพยายามยิ้มตอบความหวังดีและจริงใจของนวลอย่างแห้งแล้ง แก้วเปิดประตูเข้ามาในห้องด้วยอาการร่าเริง
“คุณรำเพยค่ะ ได้เวลาแล้วค่ะ...เชิญเลยค่ะ”
รำเพยพยักหน้ารับแบบไร้ชีวิตจิตใจและตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่แห้งแล้งพอกัน
“ขอบใจจ้ะ ป้านวลกับแก้วลงไปก่อนนะ เดี๋ยวชั้นตามลงไป”
นวลกับแก้วมองหน้ากันภายใต้บรรยากาศเริ่มสลด เพราะท่าทางที่ไม่สดชื่นของรำเพย แต่สุดท้ายทั้งสองก็จำใจต้องออกจากห้องไป รำเพยนั่งมองหน้าตัวเองในกระจกด้วยความเจ็บปวด น้ำตาหยดเล็กๆที่พยายามกลั้นไว้ตลอดเวลาที่นวลอยู่ด้วยค่อยๆ ไหลออกมาจนตาสวยซึ้งชุ่มฉ่ำไปด้วยหยาดน้ำแห่งความขมขื่น
เรไรกับลิตรนั่งคู่กันบนโซฟาหรูตัวกลาง เรไรยิ้มแย้มแจ่มใส ส่วนลิตรนั่งหน้านิ่งเหมือนหุ่นยนต์และคอยตอบคำถามเรไรแบบไร้อารมณ์ วิชัยกับเมียนั่งอยู่บนโซฟาอีกฝั่งนึง โดยมีวันชัยนั่งพับเพียบอยู่กับพื้นพร้อมด้วยพานขันหมาก และเครื่องบริวารที่ตกแต่งอย่างสวยงามวางอยู่ตรงหน้า
แขกผู้ใหญ่จำนวนนึงนั่งพูดคุยกันอย่างสนุกสนานอยู่ด้านหลังฝ่ายชาย ชิดกับคนในบ้านนั่งพับเพียบเรียบร้อย อยู่อีกมุมของห้อง เสียงพูดคุย
ในห้องเงียบลง เมื่อร่างของรำเพยที่อยู่ในชุดไทยสวยงามปรากฏขึ้นที่หน้าห้อง สายตาทุกคู่หันไปมองที่รำเพยเป็นตาเดียวกัน รำเพยเดินช้าๆ ด้วยหน้าตาสงบ เสงี่ยมตรงมาที่กลางห้อง ลิตรจ้องอย่างตกตะลึงในความงามของรำเพย
ในความคิดของลิตร เขาเห็นรำเพยเดินยิ้มร่ามีสีหน้าสดชื่นเข้ามานั่งข้างๆ ส่วนลิตรอยู่ในชุดผ้าไทยกำลังนั่งอยู่บนพรม หน้าโซฟา มีพานขันหมากและพานบริวารวางอยู่ตรงหน้า ลิตรยิ้มหน้าบานและมองหน้ารำเพยอย่างแสนรัก รำเพยก็ยิ้มตอบด้วยสายตาแสดงความรักเช่นกัน ลิตรเอื้อมมือไปจับมือรำเพยขึ้นมาจูบอย่างทนุถนอม รำเพยเงยหน้าขึ้นยิ้ม และพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ลิตรไม่ได้ยิน
เสียงเรไรเรียกชื่อรำเพยดึงลิตรกลับมาที่ความเป็นจริงตรงหน้า
“มานี่รำเพย นั่งตรงนี้จ้ะ” เรไรบอก
รำเพยเดินลงมานั่งที่พื้นด้านหน้าเรไร เรไรหันไปเรียกวันชัยให้มานั่งข้างๆ รำเพย
“มา มาวันชัย มานั่งข้างรำเพยนี่”
วันชัยค่อยๆคลานมานั่งข้างรำเพย รำเพยทำหน้านิ่งไม่แสดงอารมณ์ใดใด ส่วนลิตรขบกรามแน่นและพยายามจะระงับอารมณ์ทั้งหลายที่กำลังถาโถมเข้ามา ลิตรทำท่าเหมือนจะยื่นไปคว้าตัวรำเพยที่อยู่ห่างแค่เพียงเอื้อมมือ แต่เรไรที่ทำหน้าที่จัดการยื่นมือมาถึงตัวรำเพยก่อนจึงแตะหลังรำเพยให้ขยับไปใกล้กับวันชัยมากขึ้น
ลิตรได้แต่ดึงมือตัวเองกลับมาแล้วกำไว้แน่น เสียงสั่งเจื้อยแจ้วของเรไรและเสียงบรรยากาศรอบข้างลิตรเงียบหายไป เหมือนใครอุดหูเขาไว้ ลิตรนั่งอยู่ในเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยหัวใจที่ดับสนิท เขาไม่รู้ ไม่เห็น ไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น ได้แต่เคลื่อนไหวร่างกายไปตามคำสั่งของเรไรโดยไม่แสดงอารมณ์อะไรทั้งสิ้น เรไรแอบยิ้มเจ้าเล่ห์ด้วยหัวใจที่ล้นทะลักไปด้วยความสุข ความสมหวัง
เรไรนั่งทำงานอยู่ในห้อง เสียงเคาะประตูดังขึ้น เรไรเงยหน้าขึ้นจากเอกสารตรงหน้า รำเพยเปิดประตูเข้ามาเบาๆ แล้วมาหยุดยืนที่หน้าประตูแต่ไม่กล้าเข้ามา เรไรมองน้องสาวด้วยอาการสับสน ความรู้สึกหลายอย่าง ทั้งรัก ทั้งสงสาร ทั้งเห็นใจ และไม่แน่ใจผสมปนเปกันแต่เมื่อเห็นอาการหวาดกลัวที่คุ้นตาก็ทำให้หัวใจเริ่มอ่อนลงบ้าง น้ำเสียงที่เรียกจึงไม่เข้มเครียดเท่าไหร่
“เข้ามาสิ”
รำเพยค่อยๆเดินเข้ามานั่งฝั่งตรงข้าม แต่ก็ยังไม่กล้าเงยหน้าสบตาพี่สาว เรไรมองรำเพยอย่างพิจารณา ตอนแรกตั้งใจว่าจะอวยพร ปลอบโยน และให้คำพูดดีๆก่อนที่จะจากกัน แต่เมื่อเห็นหน้ารำเพยใกล้ๆ ผิวพรรณที่ขาวนวล หน้าตาที่อ่อนเยาว์ และเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นทำให้เรไรหมดอารมณ์ที่จะพูดจึงได้แต่ออกคำสั่งในสิ่งที่ต้องการเท่านั้น
“วันมะรืนเธอเก็บเสื้อผ้า ข้าวของไปอยู่บ้านวันชัย ได้เลยนะ จะได้เตรียมตัว เป็นแม่บ้านให้วันชัยแล้วก็ทำความรู้จักกับคนในครอบครัวของเค้า”
รำเพยสะดุ้งและอึ้งเพราะคิดไม่ถึงว่าจะถูกขับไสไล่ส่ง รำเพยพยายามจะขอร้องเรไร
รำเพยเสียงสั่นครือและมีน้ำตาคลอ “คุณพี่ค่ะ แต่น้อง....”
เรไรยกมือห้าม รำเพยชะงักและไม่กล้าพูดต่อ
“ชั้นตัดสินใจไปแล้ว เธอมีหน้าที่ทำตาม ถ้ากล้าขัดคำสั่งชั้น ก็ลองดู”
รำเพยนิ่งและไม่กล้าโต้แย้ง เรไรทำเป็นไม่สนใจ เธอก้มหน้าก้มตาทำงานต่อ รำเพยพยายามกลั้นสะอื้น ก่อนจะยกมือที่สั่นเทาไหว้เรไรแล้วค่อยๆลุกเดินออกไป เรไรมองตามน้องสาวด้วยความรู้สึกเจ็บปวดเหมือนกัน
ชิดยกกระเป๋าเสื้อผ้าของเรไรเดินออกมาที่ลานจอดรถ ซึ่งมีวิชัยยืนรออยู่ เรไรกับลิตรเดินกอดเอวกันออกมา ลิตรยังมีหน้าตาบึ้งตึงขณะที่ยกมือไหว้ทำความเคารพเสี่ยวิชัย
“น่าเสียดายนะครับ ที่คุณลิตรติดธุระสำคัญ ไม่งั้นเราจะได้เดินทางไปพร้อมกันเลย” วิชัยว่า
ลิตรไม่ตอบ
เรไรตอบแทนลิตรด้วยคำพูดแกมบังคับที่ลิตรต้องทำตาม
“แค่วันเดียวเองค่ะ เสี่ย...เดี๋ยวพรุ่งนี้ ลิตรจัดการเรื่องโอนที่เสร็จ ลิตรก็จะรีบตามไป” เรไรพูดกับลิตรน้ำเสียงหวานแต่เหมือนสั่ง “ใช่มั้ยจ้ะ ลิตร”
ลิตรจำใจต้องยิ้มประจบและรีบรับคำ
“ครับพี่...”
วิชัยหัวเราะตามแบบคนรวยอารมณ์ดีทำให้บรรยากาศเริ่มผ่อนคลาย
“...แต่งงานกันมาตั้งนานแล้ว ยังหวานกันไม่เลิกเลยนะครับ”
เรไรหัวเราะเขิน ลิตรเม้มปากแน่นเพราะไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับวิชัย เลยรีบพูดให้ทั้งสองคนออกไปจากชีวิตตรงหน้า
“นี่ก็สายมากแล้ว ผมว่าพี่รีบออกเดินทางเถอะครับ”
เรไรทำท่าอ้อยสร้อยเพราะไม่อยากไป
“แหม...นี่ถ้าไม่นัดท่านอาจารย์ดูฤกษ์แต่งงานของรำเพยไว้ พี่ไม่ไปจริงๆ นะ พี่อยากไปพร้อมกับลิตรน่ะ”
ลิตรขบกรามแน่นเพราะไม่อยากฟังเรื่องราวการแต่งงานของรำเพย เขาอยากจะไล่คนทั้งสองคนที่เป็นตัวตั้งตีในการจัดการเรื่องแต่งงานออกไปให้ไกลที่สุดแต่ก็ทำไม่ได้ ทำได้เพียงพยายามพูดจาดีๆ เพื่อไม่ให้ผิดสังเกต
ลิตรพูดเสียงประจบ “ผมบอกแล้วไงครับ ว่าจะรีบตามไป หลังจากจัดการธุระเสร็จ”
ลิตรพูดและประคองเรไรไปที่รถก่อนจะเปิดประตูให้เรไร
ลิตรอวยพรด้วยเสียงห่วงใย “เดินทางปลอดภัยนะครับ เดี๋ยวเจอกัน”
เรไรยิ้มรับแล้วเดินขึ้นไปนั่งในรถ วิชัยเปิดประตูขึ้นรถอีกฝั่งนึง ลิตรปิดประตูรถให้เรไรพร้อมรอยยิ้มแสนดี ชิดขับรถออกไป เรไรยังหันกลับมามอง ลิตรโบกมือตามหลังด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม รถแล่นผ่านออกไป เรไรเห็นรำเพยยืนเก็บดอกไม้อยู่ในสวน รำเพยหันมามอง เรไรหันกลับมามองเรือนรัตนะจนลับตา ลิตรรีบเอามือลงและมีสีหน้าเปลี่ยนเป็นเกลียดชัง เขามองตามรถอย่างเคียดแค้นทั้งเรไร ทั้งวิชัยที่ทำร้ายหัวใจของเขา
ลิตรนั่งกินเหล้าอยู่คนเดียวอย่างเงียบขรึม ฤทัยในวัยสาว เดินขึ้นไปร้องเพลงบนเวที เสียงหวานซึ้งของฤทัยเรียกความสนใจของลิตรได้แวบนึง ลิตรหันไปมองในจังหวะเดียวกับที่ฤทัยกวาดสายตามาทางลิตร ทั้งคู่สบตากันชั่วครู่ก่อนที่ฤทัยจะหันไปมองแขกทางด้านอื่น ลิตรหันกลับมาจมกับความรู้สึกของตัวเอง
ภาพเหตุการณ์ในงานหมั้นรำเพย วันชัยยื่นมือไปหยิบแหวนจากพานหมั้นด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
ลิตรมองตามอย่างเจ็บปวดหัวใจ
เรไรพูดด้วยเสียงร่าเริง “เอ้า...รำเพย ส่งมือให้วันชัยสิจ้ะ” เรไรพูดกับวิชัย “ว่าที่เจ้าสาวมือใหม่ก็อย่างนี้แหละค่ะ ยังไม่เคย เลยไม่รู้ว่าต้องทำยังไงบ้าง”
เสียงแขกเหรื่อหัวเราะชอบใจ
รำเพยค่อยๆยื่นมือไปให้วันชัย วันชัยจับมือของรำเพยมาอย่างทนุถนอมก่อนจะค่อยๆบรรจงสวมแหวนลงไปที่นิ้วนางข้างซ้ายของรำเพย รำเพยสะดุ้งเล็กน้อยแต่ไม่มีใครสังเกตเห็น
ลิตรกระดกเหล้าจนหมดแก้ว และกระแทกแก้วเหล้าลงบนโต๊ะด้วยความเจ็บปวด ฤทัยครวญเพลงที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับความเศร้าอย่างไพเราะ ลิตรตาแดงก่ำ ขบกรามแน่น และพยายามจะกลั้นน้ำตาแห่งความผิดหวังเอาไว้
วันต่อมา ลิตรอยู่ในสภาพเสื้อผ้ายับเยิน หน้าโหล เหมือนคนไม่ได้นอนทั้งคืน เขาเดินโซเซเข้ามาในห้องรับแขก รำเพยเดินลงมาจากชั้นบนพร้อมกับกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ ลิตรกับรำเพยชะงักมองตากันแล้วก็อึ้งเพราะไม่คิดว่าจะต้องมาเจอกันตามลำพังในบ้านตอนที่เรไรไม่อยู่แบบนี้ รำเพยเป็นฝ่ายหลบตา เพราะทนความเว้าวอนในสายตาที่แสดงความรู้สึกทุกอย่างของลิตรไม่ได้ เธอเดินหลบออกไปทางนึง ลิตรไม่ยอมให้โอกาสแบบนี้หลุดมือไป เขารีบเดินไปดักหน้ารำเพย รำเพยหยุดเดินโดยทิ้งระยะห่างจากลิตร ลิตรมองหน้ารำเพยแล้วมองกระเป๋าเดินทางในมือรำเพย
“รำเพย...รำเพยจะไปไหน” ลิตรถาม
รำเพยก้มหน้าหลบสายตาลิตรพร้อมกับถอนหายใจด้วยความอึดอัดใจ เธอตอบคำถามโดยไม่มองหน้าลิตร
รำเพยพยายามบังคับตัวเองไม่ให้เสียงสั่น “พี่เรไร ให้รำเพยย้ายไปอยู่บ้านเสี่ยวิชัย เพื่อเตรียมตัวก่อนแต่งงานค่ะ”
ลิตรแทบหายเมาเป็นปลิดทิ้ง
“อะไรนะ...ยังไม่ได้แต่งงานเลย แล้วจะเข้าไปอยู่ในบ้านของผู้ชายก่อนยังไง”
“ได้ค่ะ...ถ้าเป็นคำสั่งของพี่เรไร” รำเพยบอก
รำเพยยืนยันประกาศิตจากคำพูดของเรไร ทำให้ลิตรเองก็ปฏิเสธไม่ได้ รำเพยรวบรวมกำลังใจให้เข้มแข็งก่อนจะวางกระเป๋าแล้วยกมือไหว้ลาลิตร
รำเพยพูดเสียงสั่นด้วยความอาลัย อาวรณ์ ทั้งต่อคนและสถานที่ “รำเพยลานะคะ...ฝากพี่ลิตรดูแลพี่เรไรด้วย”
รำเพยพูดต่อไม่ได้ เพราะน้ำตาเจ้ากรรมกำลังเอ่อล้นขอบตา เธอได้แต่หยิบกระเป๋าแล้วรีบเดินออกไป ลิตรมองรำเพยที่กำลังเดินจากไปด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส เหมือนหัวใจถูกหั่นออกเป็นชิ้นๆ รำเพยเดินร้องไห้น้ำตานองหน้าออกมา ลิตรแทบคลั่งที่ไม่สามารถทำอะไรเพื่อยื้อรำเพยไว้ได้ สุดท้ายลิตรได้แต่เรียกรำเพยไว้
“เดี๋ยว รำเพย”
รำเพยหยุดเดินแล้วพยายามกลั้นน้ำตา ลิตรเดินมาดักหน้า รำเพยก้มหน้าซ่อนน้ำตา ลิตรเอื้อมมือไปแตะหลังมือรำเพย รำเพยดึงมือหลบ แล้วลิตรก็เอื้อมไปดึงกระเป๋าเสื้อผ้ามาถือให้
ลิตรพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานแบบที่ไม่เคยพูดกับใครมาก่อน “อย่างน้อย ขอให้พี่ได้ดูแลรำเพยเป็นครั้งสุดท้ายเถอะนะ...พี่ขับรถไปส่งรำเพยเองนะครับ”
คำพูดและน้ำเสียงของลิตรทำให้รำเพยแทบจะปล่อยโฮออกมาเพราะมันบาดลึกเข้าไปในหัวใจที่ไม่มั่นคงของตัวเอง รำเพยพูดอะไรไม่ออกจึงได้แต่พยักหน้ารับ
รถเมอร์ซิเดสเบนซ์คันหรูของลิตรแล่นมาตามถนน รำเพยที่นั่งข้างๆ มองออกไปนอกหน้าต่างด้วยหน้าตาเศร้าซึม ลิตรขับรถช้าๆ ด้วยความรู้สึกปั่นป่วนในหัวใจ สุดท้ายลิตรตัดสินใจจอดรถลงข้างทาง แล้วพยายามเป็นครั้งสุดท้าย
“รำเพย รำเพยรักไอ้ตี๋นั่นหรือเปล่า” ลิตรถาม
รำเพยตกใจเพราะไม่คิดว่าลิตรจะถามคำถามแบบนี้ แต่ด้วยความรู้สึกเสียใจและเรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้นในระยะเวลาติดต่อกันทำให้รำเพยสมองมึนชาจนคิดอะไรไม่ออก เธอได้แต่ตอบออกไปตามใจคิด
รำเพยส่ายหน้า “ป่าวค่ะ”
พอหลุดปากออกไป รำเพยก็ต้องรีบเอามือปิดปากตัวเอง เพราะแววตาของลิตรลิงโลดขึ้นมาอีกครั้ง
“ถ้ารำเพยไม่ได้รักมัน แล้วรำเพยแต่งงานกับมันทำไม” ลิตรถาม
รำเพยหยุดคิดหาคำตอบอยู่สักพัก แล้วก็ตอบคำถามนั้นทั้งกับลิตรและหัวใจตัวเอง
“เพราะพี่เรไรสั่งให้แต่งค่ะ”
คำพูดสั้นๆ ตรงไปตรงมาของรำเพย ทำให้ลิตรหัวเสีย
“หมายความว่าพี่เรไรสั่งให้ทำอะไร รำเพยก็ต้องทำอย่างนั้นเหรอ” ลิตรถาม
รำเพยจ้องหน้าลิตรแทนคำตอบว่าใช่
“แล้วหัวใจของรำเพยล่ะ หัวใจมันสั่งให้รำเพยทำอะไร” ลิตรถาม
รำเพยมองหน้าลิตรตรงๆ ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงที่พยายามจะแสดงมั่นคง
“สั่งให้รำเพย....ทำทุกอย่างตามคำสั่งของพี่เรไร”
ทั้งสีหน้าและแววตาของรำเพยทำให้ลิตรยิ่งหัวเสีย เขาทุบพวงมาลัยรถเต็มแรงก่อนจะตะโกนด้วยความอัดอั้นตันใจ
“โธ่โว้ย”
รำเพยตกใจแต่พยายามเอาน้ำเย็นเข้าลูบโดยหวังจะให้ลิตรเย็นลง
รำเพยพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “พี่ลิตรคะ...เราทุกคนถูกขีดเส้นชีวิตกันไว้แล้วนะคะ ไม่มีใครไปเปลี่ยนแปลงมันได้”
ลิตรนึกอะไรขึ้นมาได้
ลิตรนึกถึงถ้อยคำที่พ่อเฒ่าพูดในอดีต
"แต่ชะตาชีวิตมึงมีทางให้เลือกอยู่2ทาง มึงเลือกทางของมึงเองได้”
ลิตรนึกถึงคำพูดของพ่อเฒ่าเขาก็ไม่ยอมแพ้
“พี่นี่แหละรำเพย พี่จะเปลี่ยนเส้นทางชีวิตของเราเอง”
ลิตรล็อครถแล้วรีบขับรถออกไปอย่างรวดเร็ว รำเพยมองลิตรอย่างเริ่มกังวลใจ
ท้องฟ้ามีฟ้าแลบฟ้าร้องท่ามกลางเสียงฝนฟ้าคะนอง รถเมอร์ซิเดสเบนซ์สุดหรูคันหนึ่งขับเร็วเข้ามาจอดเอี๊ยดที่หน้าบ้านไม้เก่าๆหลังหนึ่งที่ปลูกโดดเดี่ยวอยู่กลางสวนห่างไกลผู้คน ลิตรเปิดประตูลงจากรถ
รำเพยเปิดประตูออกแล้วมองไปรอบๆ อย่างหวาดระแวง
“นี่บ้านใคร พี่ลิตรพาฉันมาทำไม” รำเพยถาม
ลิตรคุกเข่าลงนั่งข้างประตูเพื่ออ้อนวอนรำเพยอีกครั้ง
“รำเพย ให้โอกาสพี่หน่อยเถอะนะ เห็นแก่ความรักที่พี่มีต่อรำเพย ยกเลิกการแต่งงานกับไอ้ตี๋นั่นไปเถอะนะ”
“พี่ลิตร พี่หยุดพูดแบบนี้ได้แล้วนะ พี่เป็นสามีของพี่เรไร พี่ไม่มีสิทธิ์ที่จะพูดแบบนี้กับใครอีก แล้วทั้งหมดที่เกิดขึ้นก็เป็นความต้องการของพี่เรไร ใครก็ขัดคำสั่งพี่เรไรไม่ได้”
ลิตรเริ่มหงุดหงิดแต่พยายามควบคุมอารมณ์ไว้
“พี่ไม่สนใจ พี่แค่อยากให้รำเพยรักพี่ คนอื่นจะเป็นยังไงพี่ไม่สน พี่รู้แต่รำเพยต้องเป็นของพี่เท่านั้น”
ลิตรพูดไปแล้วก็พยายามจะคว้าตัวของรำเพยเข้ามากอด
“อย่าทำแบบนี้นะพี่ลิตรเรไรมีบุญคุณกับพี่นะ ที่พี่สุขสบายทุกวันนี้ก็เพราะพี่เรไร แล้วพี่จะมาทรยศพี่เรไรได้ลงคอเหรอ”
เรือนริษยา ตอนที่ 12 (ต่อ)
ลิตรตะโกนใส่ด้วยความหงุดหงิดและหัวเสีย “พี่ไม่สนพี่เรไร พี่ไม่สนใจใครทั้งนั้น พี่รู้แต่ว่าพี่รักรำเพย พี่ทนไม่ได้ที่รำเพยจะเป็นเมียคนอื่นรำเพยต้องเป็นเมียพี่เท่านั้น”
รำเพยพยายามปัดป้องจนเผลอผลักลิตรที่กำลังนั่งคุกเข่าจนเสียหลักล้มลง รำเพยรีบปิดประตูกั้นลิตรไว้ ลิตรเริ่มโมโห เขาลุกขึ้นมาได้ก็กระชากประตูรถแล้วดึงรำเพยออกมาจากรถ รำเพยดิ้นรนต่อสู้
“ปล่อยนะพี่ลิตร ปล่อย”
“ไม่...พี่ไม่มีวันปล่อยให้รำเพยไปแต่งงานกับคนอื่น”
ลิตรดึงรำเพยเข้ามากอดจูบ รำเพยขัดขืนเต็มกำลัง
“อย่าทำยังงี้พี่ลิตร อย่านะ”
รำเพย ปัดป้อง ต่อสู้และขัดขืนสุดกำลังจนมือเผลอไปตบหน้าลิตร ลิตรชะงักมองหน้ารำเพยด้วยความเสียใจ รำเพยก็อึ้งเพราะไม่ได้ตั้งใจจะทำแบบนี้ ลิตรทั้งโมโห ทั้งเสียใจ ทั้งแค้นใจกับชะตาชีวิตของตัวเองจนควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ ลิตรตรงเข้าไปอุ้มรำเพยเดินเข้าบ้าน รำเพยดิ้นและร้องไปตลอดทาง
“ปล่อยฉันนะพี่ลิตร...ปล่อย...อย่าทำยังงี้...ปล่อย!”
ลิตรเปิดประตูพารำเพยเข้าบ้านแล้วปิดประตูดังปัง หน้าต่างห้องข้างบนที่เปิดไฟสว่างปรากฏเงาของลิตรกำลังปลุกปล้ำรำเพยพร้อมเสียงร้องของรำเพยเล็ดลอดออกมาจากในบ้าน
“อย่าพี่ลิตร อย่า.....กรี๊ด”
สายฝนโปรยปรายประสานเสียงร้องไห้ของรำเพยที่ดังก้อง
เช้าวันใหม่ รำเพยตาแดงบวม หน้าซีดเซียว เพราะผ่านการร้องไห้อย่างหนัก เธอนั่งหมดอาลัยอยู่ตรงระเบียง ลิตรมีหน้าตาแช่มชื่นมีความสุขเดินออกมาตามหารำเพย รำเพยได้ยินเสียงลิตรแล้วก็รีบลุกขึ้นจะเดินหนี ลิตรเดินมากอดไว้
รำเพยสะบัดตัวออกจากอ้อมกอดของลิตรอย่างแรงแล้วหันกลับมาประจันหน้ากับเขาด้วยสีหน้าแห่งความผิดหวัง และเสียใจ
ลิตรมองหน้ารำเพยแล้วก็รู้สึกผิด
“รำเพย....พี่....ขอโทษ”
น้ำตาที่แห้งไปแล้วของรำเพยพรั่งพรูออกมาอย่างสุดกลั้น รำเพยทรุดลงนั่งร้องไห้
รำเพยพูดเสียงแหบแห้ง “พี่ทำแบบนี้ได้ยังไง พี่ทำลายรำเพยทำไม ทำไม”
ลิตรแทบจะทำอะไรไม่ถูกนอกจากทรุดลงไปนั่งข้างรำเพย
“พี่ขอโทษที่ทำร้ายจิตใจรำเพย แต่พี่ทนไม่ได้ พี่เสียรำเพยไปไม่ได้”
ลิตรค่อยๆขยับเข้าใกล้และดึงรำเพยเข้ามากอด รำเพยสะบัดตัวออกด้วยความรังเกียจ
“อย่ามายุ่งกับรำเพย อย่าทำให้รำเพยสกปรกไปกว่านี้”
ลิตรนั่งอึ้งเพราะทำอะไรไม่ถูก รำเพยได้แต่ร้องไห้ให้กับชะตาชีวิตของตัวเอง
ลิตรที่หนวดเคราครึ้มแต่มีแววตาสดใสล้มตัวลงบนเตียงนอนด้วยความรู้สึกแช่มชื่น หลังจากเพิ่งกลับจากบ้านสวน
ภาพในอดีตย้อนกลับมา ลิตรเดินออกมาจากห้องเพื่อตามหารำเพย ลิตรเห็นรำเพยกำลังทำความสะอาดบ้าน รำเพยหันมามองและยิ้มเศร้าๆให้ลิตร ลิตรหัวใจพองโตเพราะรู้สึกได้ว่ารำเพยกำลังจะเริ่มทำใจยอมรับได้บ้างแล้ว ลิตรรีบเดินเข้าไปหารำเพย
“มารำเพย พี่ช่วยจ้ะ”
รำเพยส่งไม้กวาดให้ลิตร ในณะที่ตัวเองก็เอาผ้าชุบน้ำไปเช็ดฝุ่นตามระเบียง ลิตรมองแล้วยิ้มอย่างมีความสุข ในบรรยากาศเมือนคู่แต่งงานใหม่ที่ช่วยกันตกแต่งเรือนหอ
ตกดึก ลิตรนอนกอดรำเพยไว้ในอ้อมแขนอย่างทนุถนอม รำเพยไม่ดิ้นรนแต่เหม่อมองออกไปไกล ลิตรก้มลงจูบที่หน้าผากรำเพย อย่างแสนรัก
“พี่รักรำเพย พี่จะทำทุกอย่างให้เราได้อยู่ด้วยกันแบบนี้ตลอดไป”
ลิตรนอนยิ้มอย่างมีความสุข ประตูห้องนอนถูกกระชากเปิดอย่างแรงแล้วเสียงทรงอำนาจที่โกรธเกี้ยวของเรไรก็ปลุกลิตรให้ตื่นจากภวังค์
เรไรโกรธจัด “ลิตร หายหัวไปไหนมา”
ลิตรขยับตัวลงจากเตียงอย่างพร้อมรับมือกับพายุอารมณ์ของเรไร
เรไรเดินกระแทกส้นเท้าด้วยความโกรธเข้ามาถึงตัวลิตร
“บอกว่าจะตามไปก็ไม่ไป บ้านก็ไม่กลับ ไปไหนก็ไม่มีใครรู้”
ลิตรเอารอยยิ้มนุ่มนวลเข้าสู้พร้อมกับเดินเข้าไปกอดเรไรไว้ เรไรสะบัดตัวไม่ยอมด้วยอารมณ์โกรธที่ยังคุกรุ่นอยู่
“ไม่ต้องมาเฉไฉ บอกมาว่าหายไปไหนมา” เรไรถาม
ลิตรอ้อน “พี่เรไรครับ”
ลิตรดึงตัวเรไรเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดพร้อมกับออดอ้อน ด้วยเรื่องโกหกที่เตรียมมาล่วงหน้า
“ผมขอโทษครับ ที่หายไปโดยที่ไม่ได้บอกพี่ล่วงหน้า แต่ผมไปทำงานที่น่าสนใจมานะครับ ถ้าสำเร็จพี่เรไรก็จะมีกำไรจากที่ดินติดจำนองที่พี่ถือไว้อีกหลายสิบล้านเลยนะครับ”
ทั้งน้ำเสียงออดอ้อนและทีท่าประจบเอาใจของลิตร ทำให้เรไรเริ่มผ่อนคลาย ประโยคลวงโลกของลิตรก็ยิ่งทำให้เรไรรู้สึกดี ที่ลิตรตั้งใจทำประโยชน์ให้ตัวเอง
เรไรยังทำเป็นงอนอยู่ “อย่ามาพูดประจบเลย ไปทำอะไรมา บอกมาให้หมดนะ”
ลิตรหัวเราะยั่วยวนเรไร
“ยังไม่บอกครับ จนกว่า...พี่จะหายโกรธผมและ”
ลิตรยิ้มกรุ่มกริ่มด้วยท่าทางเจ้าชู้
“ให้รางวัลกับผมก่อน”
เมื่อเจอลูกไม้ของลิตรทำเอาเรไรหายโกรธเป็นปลิดทิ้ง เรไรหัวเราะคิกคัก ลิตรอุ้มเรไรไปที่เตียง
ชิดเอาของฝากจากต่างจังหวัดมาให้นวล
“ขอบใจจ้ะพ่อชิด...แล้วตกลงฤกษ์แต่งงานของคุณรำเพยน่ะวันไหนล่ะ”
ชิดนั่งนิ่งๆ ก่อนจะตอบแบบไม่ค่อยแน่ใจนัก
“พระท่านบอกว่าดวงแต่งงานของคุณรำเพยน่ะไม่มีนะ”
“ฮ้าย...จะไม่มีได้ยังไง ก็หมั้นหมายกันไว้แล้ว”
“นั่นสิ คุณเรไรก็พูดแบบนั้นเหมือนกัน เธอเลยบอกว่าจะจัดการเอง”
“ดีแล้วล่ะ รีบจัดการให้คุณรำเพยเธอมีเหย้ามีเรือนไปซะ ปัญหาวุ่นวายมันจะได้จบๆไป ชั้นสงสารคุณๆทั้งสองคน”
ชิดมองหน้านวลด้วยใบหน้าที่มีคำถามว่า ปัญหานั้นชื่อลิตรหรือเปล่า นวลมองชิดแบบเข้าใจกันแล้วก็ส่ายหน้า
“เฮ้อ...เรื่องบัดสีแบบนี้ ไม่น่าเกิดขึ้นในเรือนรัตนะของคุณเรไรเธอเลยนะ”
ชิดไม่ตอบแต่หันมองไปทางเรือนรัตนะด้วยความห่วงใยนายหญิงทั้งสองคน
เรไรเดินเกาะแขนลิตรลงมาจากเรือนรัตนะด้วยสีหน้าแช่มชื่น ชิดถือกระเป๋าเดินทางของลิตรมาที่รถ เรไรหันมาขอร้องแกมสั่งกับลิตรด้วยความเคยชิน
“รีบไป รีบกลับนะ อย่าเถลไถล”
ลิตรยิ้มประจบ “ครับพี่ ผมจะรีบตกลงกับทางนั้นให้เร็วที่สุด แล้วก็รีบกลับมาพี่เรไรของผมให้เร็วที่สุดครับ”
ลิตรก้มลงหอมแก้วเรไร ซ้าย ขวา อย่างไม่สนใจชิดที่ยืนอยู่ใกล้ๆ เรไรหัวเราะคิกคักด้วยความสุขใจเหลือประมาณ
ลิตรผละออกจากเรไรแล้วรีบเดินไปที่รถ เรไรยืนส่งด้วยการยิ้มหน้าบานจนลิตรขับรถออกไป ชิดมองตามรถลิตรจนลับตา
ลิตรรีบเดินอย่างเร็วเข้าไปในบ้านด้วยหัวใจที่ร้อนรนเพราะความคิดถึง ลิตรเห็นเรือนไม้หลังน้อยที่เคยดูสกปรกรกรุงรัง เพราะถูกทิ้งมานานเปลี่ยนไปมาก ต้นไม้ใบหญ้า ดอกไม้ดอกไร่ต่างๆจากฝีมือรำเพยถูกวางประดับตกแต่งไปทั่ว
รำเพยกำลังตกแต่งทำความสะอาดบ้านหลังน้อยเต็มความสามารถด้วยสีหน้าที่ยังหม่นหมอง
ลิตรหยุดยืนดูหญิงสาวคนรัก ด้วยสายตาที่เปล่งประกายไปด้วยความสุข ประกายแรงกล้าของสายตานั้นส่งถึงรำเพย รำเพยเงยหน้าเศร้าหมองขึ้นมองลิตร
“พี่ลิตร”
เสียงหวานของรำเพยทำให้โลกของลิตรสวยงามเกินกว่าจะบรรยาย ลิตรเดินเข้าตรงไปกอดและจูบรำเพยอย่างแสนเสน่หา รำเพยพยายามหลบด้วยความกระดากอาย
“พี่ลิตร อย่านะ”
ลิตรหยุดรังแกรำเพยแล้วก็หัวเราะอย่างมีความสุข
“ไม่ต้องอายหรอกจ้ะ เมียรักของพี่ บ้านสวนไกลผู้ ไกลคนแบบนี้ ไม่มีใครมาเห็นหรอกจ้ะ”
คำพูดของลิตร กระทบใจของรำเพยอย่างแรง แต่ลิตรมัวแต่หลงอยู่ในความสุขสมหวังของตัวเองจนไม่ได้สังเกตแววตาเศร้าของรำเพย
เรไรนั่งทำงานอยู่ในห้อง เสียงเคาะประตูดังขึ้น
“เข้ามา”
วันชัยเดินเข้ามาในห้องด้วยท่าทางนอบน้อม เรไรเห็นเป็นวันชัยก็ดีใจ
“อ้าว...วันชัย จะมาหาพี่ทำไมไม่บอกก่อน พี่จะได้ฝากให้ชวนรำเพยมาด้วย น้องสาวของพี่เป็นยังไงบ้าง”
วันชัยอึกอัก เขามองหน้าเรไรแล้วไม่กล้าตอบ เพราะตั้งใจมาถามหารำเพยเหมือนกัน เรไรสงสัยท่าทางของวันชัย
“เอ้า...เป็นอะไรไปล่ะ”
วันชัยมองหน้าเรไรแล้วตัดสินใจตอบเสียงอ่อยๆ
“วันนี้ผมก็มาเรื่องรำเพยนี่ละครับ”
เรไรตกใจ
“ทำไม รำเพยเป็นอะไร เธอทำอะไรน้องสาวชั้น”
ท่าทีอันดุดันของเรไรทำเอาวันชัยถึงกลับหงอ แต่สุดท้ายเธอก็กลั้นใจบอกความจริง
“ไม่มีใครทำอะไรเธอได้หรอกครับพี่เรไร เพราะรำเพยไม่ได้ไปที่บ้านผม วันนี้ผมก็ตั้งมาถามพี่เรไรเหมือนกัน ว่าทำไมเธอถึงไม่ไป”
เรไรฟังแล้วอึ้ง
“เป็นไปไม่ได้ รำเพยไม่ได้อยู่ที่เรือนรัตนะแล้ว เค้าเก็บเสื้อผ้าไปแล้ว เค้าก็ต้องไปอยู่ที่บ้านเธอสิ”
วันชัยส่ายหน้าแทนคำตอบ เรไรเริ่มกังวล
“เธอแน่ใจนะ วันชัย”
วันชัยพยักหน้าหนักแน่น
“ครับพี่...รำเพย ไม่ได้อยู่ที่บ้านผม เธอหายตัวไป”
เรไรอึ้ง
ลิตรเดินกลับเข้าบ้านอารมณ์ดีแล้วก็ต้องชะงักเพราะเสียงเกรี้ยวกราด ดุดันของเรไรดังออกมา ลิตรหยุดยืนฟัง
เสียงเรไรดังขึ้น “ไอ้พวกโง่ เลี้ยงเสียข้าวสุก น้องสาวชั้นทั้งคน ทำไมพวกแกหาไม่เจอ”
ลิตรช็อค
เรไรยืนชี้นิ้วด่ากราดด้วยความโมโหสุดขีดอยู่ในห้องรับแขก ชิด นวล แก้ว และลูกน้องผู้ชายอีก 2 คนนั่งตัวลีบ ด้วยความกลัว
“ไปเกณฑ์คนในโรงสีทั้งหมด ออกตามหาน้องสาวชั้นเดี๋ยวนี้ ถ้ายังหาไม่เจอไม่ต้องเสนอหน้าเข้ามาอีก...ไปซี่”
สิ้นเสียงของเรไร ทั้งหมดก็แตกฮือก่อนจะรีบลุกแยกย้ายกันออกไป เรไรเดินกลับไปกลับมาด้วยความว้าวุ่นใจ ลิตรที่แอบดูอยู่รีบเดินเข้ามา
“เกิดอะไรขึ้นครับพี่เรไร ผมได้ยินเสียงพี่เอ็ดใครลั่นบ้านเลย”
เรไรเห็นลิตรเข้ามาดีใจ เพราะอย่างน้อยในตอนที่เกิดปัญหาก็ยังมีคนอยู่ด้วย
“ลิตร ยายรำเพยหายตัวไป” เรไรบอก
ลิตรแกล้งทำเป็นตกใจ “จริงเหรอครับพี่”
เรไรพยักหน้า “จริงจ้ะ วันชัยมาบอกว่ารำเพยไม่ได้ไปที่บ้าน” เรไรทุกข์ใจจริงๆ “ลิตรแล้วรำเพยจะไปอยู่ที่ไหนล่ะ เค้าไม่ใช่คนเก่งกล้าอะไรเลยนะ ถ้าโดนคนหลอกไปล่ะ จะทำยังไงดี”
เรไรทรุดลงนั่งด้วยความทุกข์ใจ ส่วนลิตรลงไปนั่งข้างๆ แล้วพยายามพูดปลอบใจแต่ในหัวสมอง คิดหาวิธีหลอกล่อไม่ให้ใครตามหาตัวรำเพยได้
“พี่เรไร ใจเย็นๆครับ ค่อยๆคิด น้องงรำเพยไม่ใช่คนเก่งกล้า แต่ก็ไม่ใช่คนโง่นะครับ เค้าอาจจะ” ลิตรไม่อยากพูดต่อ เรไรหันมามองด้วยความสงสัย
“ทำไม ลิตรรู้อะไรมา”
ลิตรสะดุ้งก่อนจะรีบปฏิเสธพัลวันเพราะกลัวเข้าตัวเอง
“เปล่าครับ ผมแค่จะบอกว่า หรือรำเพยเค้าไม่อยากแต่งงาน ก็เลยหนีไปอยู่ที่อื่น”
“ไม่จริง พี่รู้จักรำเพยดี รำเพยไม่มีทางกล้า ขัดคำสั่งของพี่แน่นอน”
ลิตรมองหน้าเรไรแล้วก็รีบอาสา
“ครับพี่ ผมก็เชื่อแบบนั้น....งั้นเอาเป็นว่าเดี๋ยวผม ช่วยตามหาด้วยอีกแรงนึงนะครับ”
“ขอบใจนะจ้ะลิตร”
ลิตรดึงเรไรเข้ามากอดเพื่อปลอบใจ แต่สายตากลับมองทอดไปไกลเพราะนึกถึงแต่รำเพย
ชิดจอดรถกระบะไว้ที่ริมถนนแล้วเดินเข้าไปในร้านขายของขนาดใหญ่ ก่อนจะเดินออกมาอย่างผิดหวัง
แล้วชิดก็เดินเข้าไปในโรงพยาบาล
นาฬิกาเรือนใหญ่ในห้องทำงานเรไรเคลื่อนไปที่เวลา 4 ทุ่มตรง เรไรนั่งมองกองเอกสารตรงหน้า ไม่มีกระจิตกระใจจะทำงาน
ชิดค่อยๆเปิดประตูห้องทำงานเข้ามาอย่างแผ่วเบา เรไรหันมามองหน้าชิดอย่างมีความหวัง ชิดมองหน้าเรไรแล้วก็ส่ายหน้าช้าๆ เรไรถอนหายใจเฮือกใหญ่
“กลับก่อนเถอะครับคุณเรไร ดึกมากแล้ว ไอ้พวกนั้นมันคงหยุดตามหาคุณรำเพยแล้วล่ะครับ พรุ่งนี้ค่อยเข้ามารอฟังข่าวใหม่นะครับ”
“แล้วแกล่ะชิด แกเองก็ไม่มีวี่แววของรำเพยเลยเหรอ”
ชิดนิ่งเพราะรู้ว่าเรไรแค่ถามไปอย่างนั้นเอง เรไรเองก็ไม่ได้รอคำตอบจากชิดเพราะแค่อยากพูดระบายความรู้สึกออกมาเท่านั้นเอง
เรไรห่วงใย “นี่มันครึ่งปีแล้วนะ เค้าไปอยู่ที่ไหนของเค้านะ”
ตกกลางดึก เสียงถ้วยชามหลายใบหล่นลงพื้นพร้อมกันดังไปทั่วบ้านสวน รำเพยที่นั่งหลับตาอยู่ที่ลานคัวหลังบ้านมีท่าทางพะอืดพะอมอยู่บนพื้น จานชามกองเกลื่อนกลาด รำเพยยกมือขึ้นปิดปากตัวเอง ก่อนจะพยายามตะกายไปที่ริมระเบียงแล้วขย้อนของเก่าออกมากจนหมด ก่อนจะนั่งกองกับพื้นอย่างหมดแรง รำเพยยกมือขึ้นลูบหน้าท้องตัวเอง ด้วยสีหน้าหม่นหมอง
“แม่ขอโทษนะลูก แม่ผิดเองที่อ่อนแอ ยอมแพ้ให้กับกิเลสในหัวใจ จนทำให้ทุกอย่างมันเลยเถิดมาขนาดนี้”
รำเพยมองไปรอบๆบ้านด้วยสีหน้ามุ่งมั่นจนดูคล้ายเรไร
“แต่แม่จะไม่ให้หนู เติบโตขึ้นมาอย่างมีตราบาปติดตัวนะลูก” รำเพยบอก
รำเพยให้สัญญากับชีวิตน้อยๆที่เพิ่งถือกำเนิดขึ้นมาอย่างหนักแน่น
จบตอนที่ 12