รากบุญ ตอน รอยรักแรงมาร ตอนที่ 14
นวัชตามมาแอบซุ่มอยู่เพื่อดูสถานการณ์ตามที่เจติยาบอก นวัชเห็นเจติยากับลาภิณกำลังต่อรองกับพิมพ์อรและอยุทธ์ โดยที่ร่างของนิษฐานอนทรุดอยู่บนพื้น นวัชหยิบปืนออกมาเตรียมพร้อม แม้จะไม่รู้ว่าไม่มีประโยชน์เท่าไหร่แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีอาวุธให้อุ่นใจเลย
ลาภิณกับเจติยา กำลังถูกกสิณ พิมพ์อรกดดัน โดยมีวิญญาณของนิษฐา และอยุทธ์อยู่ใกล้ๆ
กสิณยิ้มแย้ม “ว่ายังไงล่ะจ๊ะเจติยา เธอจะไม่ตกลงก็ได้ แต่ร่างของนิษฐาต้องเป็นของฉัน ส่วนวิญญาณของเพื่อนเธอ ก็เป็นได้แค่ผีเร่ร่อน”
นิษฐาคิดหนัก แล้วในที่สุดเธอก็ตัดใจ “ช่างมันเถอะเจ ฉันไม่กลับเข้าร่างแล้วก็ได้ ดีกว่ากล่องรากบุญต้องอยู่ในมือคนพวกนี้”
เจติยาหน้าขรึมลง “ถ้ามันเกิดกับฉัน ฉันก็คงทำเหมือนแก แต่ฉันจะไม่มีวันยอมให้แก ต้องเป็นอะไรไปเพราะฉันเด็ดขาด”
เจติยาโยนเหรียญของตัวเองออกไป เหรียญของตนลอยคว้างอยู่กลางอากาศ ไปรวมกับเหรียญอีกสองอัน กสิณกับพิมพ์อรยิ้มพอใจ ที่ในที่สุดก็สามารถแย่งเหรียญมาจากเจติยาจนได้
นิษฐาเครียดหนัก “เจ...”
“ไปเข้าร่างเร็วเข้า” เจติยาพูด
นิษฐาคิดหนักอยู่ครู่นึง แต่ในที่สุดเธอก็ตัดใจไปเข้าร่างของตน เพียงครู่เดียว นิษฐาก็ค่อยๆรู้สึกตัวขึ้นมา
นวัชรีบออกจากที่ซ่อนวิ่งเข้ามาประคองนิษฐาเอาไว้
“พี่ผู้กองพาฐาออกไปก่อน” เจติยาบอก
นวัชพยักหน้ารับแล้วประคองนิษฐาที่ยังดูเหนื่อยๆ มึนๆ ออกไป กสิณเหล่มองแล้วยิ้มเหยียดๆ ส่วนอยุทธ์มองตามนวัชและนิษฐาไปด้วยความเป็นห่วง
พิมพ์อรตัดบทแบบไม่สนใจสองคนนั่นเลย “เสียเวลามามากแล้ว รีบสร้าง กล่องรากบุญซะทีเถอะ”
กสิณมองไปที่เหรียญเขม็ง “ด้วยอำนาจของเหรียญ...”
ทันใดนั้น เหรียญทั้งสามก็ลอยแยกกัน เรียงเป็นรูปสามเหลี่ยมอยู่กลางอากาศ
เจติยาพูดสวนขึ้น “เดี๋ยวก่อน”
พิมพ์อรตวาดแว๊ด “อะไรอีกล่ะ”
เหรียญทั้งสามลอยกลับมารวมกันอีกครั้ง
“ฉันมีคำถาม เหรียญมีสามเหรียญ เจ้าของมีสามคน แต่กล่องรากบุญมีกล่องเดียว ถ้าสร้างกล่องรากบุญขึ้นมาใหม่ แล้วมันจะตกเป็นของใคร”
พิมพ์อรชะงักเพราะข้อนี้เธอก็ไม่เคยคิดเหมือนกัน
กสิณยิ้มรับ “เข้าใจถามดีนี่ ระหว่างสามคน ใครมีเหรียญในครอบครองมากกว่ากัน ก็จะได้เป็นเจ้าของกล่องรากบุญคนใหม่”
“งั้นในเมื่อมีเหรียญคนละเหรียญ ก็เท่ากับเป็นเจ้าของกล่องทั้งสามคนเลยสิ”
“เจ้าของกล่องมีได้แค่คนเดียว ในเมื่อทุกคนมีคนละเหรียญ ก็เป็นอำนาจของฉันที่จะเลือกเจ้าของเอง” กสิณหันไปมองพิมพ์อร “และฉันก็เลือก พิมพ์อร”
พิมพ์อรยิ้มดีใจที่ในที่สุดความฝันที่จะได้เป็นเจ้าของกล่องรากบุญก็กำลังจะเป็นจริงแล้ว
เจติยายิ้มบางๆ “ถ้าอย่างนั้น ฉันขอยกเหรียญของฉัน...ให้คุณอยุทธ์”
พูดจบทุกคนพากันหันไปมองเจติยาเป็นตาเดียวทันที
ลาภิณกับอยุทธ์พูดพร้อมกันด้วยความตกใจมาก “เจ / คุณเจ!”
พิมพ์อรโมโหสุดๆ “นังบ้า แกทำอย่างงี้ได้ยังไง แกทำลายความฝันของฉันได้ยังไง” พิมพ์อรหันไปพูดกับกสิณ “อย่าไปยอมมันนะกสิณ”
กสิณหน้าเครียด “เรื่องนี้อยู่นอกเหนืออำนาจของฉัน กฎก็ต้องเป็นกฎ อยุทธ์คือเจ้าของกล่องรากบุญคนใหม่”
พิมพ์อรมองเจติยาด้วยความเกลียดชังสุดๆ “แก...”
“ไหนพี่อรบอกว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือคุณพ่อไงครับ ใครจะเป็นเจ้าของกล่องก็ไม่สำคัญ ขอให้ช่วยคุณพ่อได้ก็พอแล้วไม่ใช่เหรอครับ”
พิมพ์อรโกรธจนตัวสั่น เธอกำหมัดจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อด้วยความแค้น แต่ถึงขั้นนี้แล้วเธอก็ทำอะไรไม่ได้
พิมพ์อรพยายามระงับอารมณ์เต็มที่ “ก็ได้ งั้นเธอก็รีบๆสร้างกล่องรากบุญแล้วช่วยคุณพ่อซะทีสิ”
อยุทธ์หน้าเครียดเพราะตนเองก็ไม่เคยคิดเหมือนกันว่าจะได้เป็นเจ้าของกล่องรากบุญ
เจติยาหน้าขรึมลงก่อนจะหันไปพูดกับกสิณ “ฉันยังสงสัยอีกอย่าง กล่องรากบุญต้องทำความดีเพื่อช่วยเหลือวิญญาณสามครั้ง แลกกับพรหนึ่งข้อ แต่สภาพคุณวนันต์ตอนนี้ มันอาจจะไม่ทันแล้วก็ได้”
กสิณยิ้มบางๆ “นั่นเป็นกล่องใบเก่า แต่กล่องใบใหม่ ทันทีที่ถือกำเนิด จะสามารถให้พรได้ทันทีหนึ่งอย่าง โดยไม่ต้องแลกเปลี่ยนกับอะไรทั้งนั้น”
เจติยาพยักหน้ารับอย่างเข้าใจก่อนจะหันไปพูดกับอยุทธ์ “คุณอยุทธ์คะ ทุกอย่างอยู่ในกำมือคุณแล้ว ขอให้คุณคิดถึงความต้องการที่แท้จริงของพ่อคุณให้มากๆ”
อยุทธ์เครียดและลังเล
พิมพ์อรตวาดใส่ “หุบปากซะทีเถอะ เธอพูดมากไปแล้ว” พิมพ์อรมีสีหน้าเคร่งเครียดจริงจัง “นี่เป็นครั้งสุดท้าย ที่เธอจะทำเพื่อคุณพ่อแล้วนะอยุทธ์ ที่แล้วมาเธอเห็นแก่ตัวแล้วก็ทำเพื่อตัวเองมาตลอด ถ้าครั้งนี้ เธอไม่ช่วยคุณพ่อเธอก็ไม่มีโอกาสอีกแล้ว”
อยุทธ์เครียดสุดๆ เพราะไม่รู้จะตัดสินใจยังไงดี
อยุทธ์คิดเพียงเสี้ยวของความคิดก่อนจะตัดใจหันไปพูดกับกสิณ “ฉันจะสร้างกล่องรากบุญ”
พิมพ์อรและกสิณดีใจสุดๆ ในขณะที่ลาภิณและเจติยาผิดหวังสุดๆ ที่ในที่สุดทุกอย่างที่สู้มาก็สูญเปล่า
“ฉันต้องทำยังไงต่อ” อยุทธ์ถาม
กสิณยิ้มพอใจ “ตอนนี้เธอเป็นเจ้าของกล่องแล้ว เพียงแค่เธอเอ่ยปาก กล่องรากบุญใบใหม่ก็จะถือกำเนิดขึ้นทันที”
อยุทธ์จ้องเขม็งไปที่เหรียญทั้งสาม “ด้วยอำนาจแห่งเหรียญทั้งสาม”
ทันใดนั้น เหรียญทั้งสามก็ลอยแยกกันแล้วเรียงเป็นรูปสามเหลี่ยมอยู่กลางอากาศ
“ฉันขอสร้างกล่องรากบุญขึ้นมาใหม่เดี๋ยวนี้” อยุทธ์พูด
พูดจบสีดำที่อยู่ในเหรียญแต่ละอันก็กลายเป็นควันดำลอยออกมาจากเหรียญจนเหรียญทั้งสามกลายเป็นสีขาวบริสุทธิ์ ควันดำลอยมารวมกันที่กึ่งกลางของสามเหลี่ยมก่อนจะผสมรวมกันแล้วขยายตัวมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดก็กลายเป็น “กล่องรากบุญ” ขึ้นมาใหม่
เจติยากับลาภิณตกตะลึงที่ได้เห็นกล่องรากบุญอีกครั้ง ในขณะที่พิมพ์อรดีใจสุดๆ ที่เห็นกล่องรากบุญจนลืมไปว่าเธอไม่ใช่เจ้าของกล่อง
ทันใดนั้นก็มีไฟสีดำสนิทลุกโชนขึ้นรอบตัวกสิณ กสิณสัมผัสได้ถึงพลังอำนาจที่เพิ่มขึ้นอย่างเปี่ยมล้นด้วยพลังของกล่องรากบุญที่สร้างขึ้นมาใหม่
กสิณกำลังดีใจสุดๆ กับพลังเต็มเปี่ยม ทันใดนั้นกสิณก็สัมผัสได้ถึงอันตรายบางอย่าง “อย่านะอยุทธ์!”
“และฉันขอพร ให้ทำลายกล่องรากบุญลงเดี๋ยวนี้” อยุทธ์ขอ
พูดจบกล่องรากบุญใบใหม่ก็สลายไปทันที
พิมพ์อรตกใจสุดขีด “อยุทธ์” พิมพ์อรมีสีหน้าเจ็บช้ำ เธอโกรธจนตัวเกร็งและมีน้ำตาท่วมตา
ไฟสีดำรอบตัวกสิณกลายเป็นไฟสีเหลืองปกติแล้วเผาไหม้กสิณทันที
กสิณกรีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดถึงที่สุดก่อนจะหันไปมองเจติยาด้วยความแค้นสุดขีด “เจติยา!”
กสิณพุ่งเข้าใส่ร่างเจติยาอย่างรวดเร็วและหายเข้าไปในร่างเจติยาทันที
ลาภิณตกใจสุดขีด “เจ!!”
กสิณในสภาพไฟลุกท่วมกำลังบีบคอเจติยาแล้วลากลงไปสู่ก้นบึ้งของโลกวิญญาณด้วยกัน
กสิณแค้นสุดขีด “ฉันจะฆ่าแกเจติยา ถึงฉันจะสลายไป ฉันก็จะลากวิญญาณของแกไปลงนรกกับฉัน”
เจติยาถูกบีบคอจนพูดไม่ได้ มือไม้อ่อน สิ้นเรี่ยวแรงจึงได้แต่ถูกกสิณลากลงสู่เบื้องล่างของโลกวิญญาณไปเรื่อยๆ ทันใดนั้นก็มีแสงสว่างหลายดวงลอยเข้ามาหาเจติยา แสงสว่างแต่ละดวงล้อมรอบเจติยาไว้ ทำให้กสิณไม่สามารถลากวิญญาณของเจติยาลงไปได้อีก
ทันใดนั้นก็มีแสงสว่างจ้าวูบขึ้นแล้วกระแทกกสิณกระเด็นออกไป แสงสว่างแต่ละดวงลอยล้อมรอบตัวเจติยาเอาไว้ เจติยาก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น แสงสว่างแต่ละดวงก็กลายเป็นเงารูปคนสีขาวโปร่งแสง ล้อมรอบตัวเจติยาเต็มไปหมด ก่อนที่เงาอันหนึ่งจะเด่นชัดขึ้นจนกลายร่างเป็นมยุรี
เจติยาดีใจสุดๆ “แม่”
มยุรียิ้มบางๆ “ไม่ต้องกลัวนะเจ จะไม่มีอำนาจชั่วร้ายอะไรมาทำอันตรายเจได้ วิญญาณทุกดวงที่เจเคยช่วยเอาไว้ จะช่วยปกป้องเจเอง”
“เธอเคยช่วยพวกเรามามากแล้วเจติยา ถึงเวลาที่พวกเราจะช่วยเธอบ้าง” วิญญาณหนึ่งบอก
กสิณในสภาพไฟลุกท่วมกรีดร้องโหยหวนแล้วใบหน้าเปลี่ยนเป็นเน่าเฟะน่าสะพรึงกลัว ก่อนจะพุ่งเข้าใส่เจติยาทันที ทันใดนั้น วิญญาณทุกดวงที่ล้อมรอบตัวเจติยาอยู่รวมทั้งมยุรีก็เปล่งแสงสีขาวออกมาปกป้องเจติยาไว้ กสิณถูกแสงสว่างเข้าไปก็กรีดร้องด้วยความเจ็บปวดสุดๆ ก่อนที่จะสลายไปในแสงสว่างนั้นเอง เจติยาตกตะลึงอยู่ท่ามกลางการปกป้องของเหล่าวิญญาณ ทันใดนั้นก็มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง มาจับมือเจติยาไว้ เจติยาหันไปมองเด็กด้วยความคุ้นเคยอย่างแปลกประหลาดทั้งๆที่ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน
“แม่จ๋า ให้หนูได้เป็นลูกแม่อีกได้มั้ยจ๊ะ” วิญญาณเด็กหญิงพูด
เจติยาดีใจสุดๆ รู้ทันทีว่านี่คือวิญญาณลูกของตนที่แท้งไปนั่นเอง เจติยาเข้าไปกอดเด็กหญิงด้วยความดีใจและปลื้มปีติสุดๆ มยุรีหันมามองลูกสาวอย่างมีความสุขและภาคภูมิใจในการทำความดีของลูกสาวคนนี้
เจติยาลืมตาขึ้นมาแล้วก็พบว่าตนกำลังอยู่ในอ้อกอดของลาภิณ
ลาภิณดีใจสุดๆ “เจ ฟื้นแล้วเหรอเจ”
“คุณต้น”
ลาภิณประคองเจติยาลุกขึ้นยืน
ทั้งคู่มองไปก็เห็นพิมพ์อรกำลังนั่งคุกเข่าร้องไห้อยู่กับพื้นด้วยความเสียใจสุดขีด
อยุทธ์เข้าไปหาพี่สาว “พี่อร...”
พิมพ์อรเสียใจสุดๆ จึงทุบตีอยุทธ์ไม่ยั้ง “บ้าไปแล้วเหรออยุทธ์ เธอมันบ้าไปแล้ว ทำยังงี้ได้ยังไง เธอฆ่าคุณพ่อกับมือ รู้ตัวมั่งมั้ยว่าทำอะไรลงไป รู้ตัวมั้ย” พิมพ์อรร้องไห้ฟูมฟายเหมือนหัวใจแตกสลาย
อยุทธ์ปล่อยให้พิมพ์อรทุบตีโดยไม่ตอบโต้ พิมพ์อรทุบตีไปร้องไห้ไปเพราะทั้งโกรธทั้งเสียใจจนถึงที่สุด ลาภิณกับเจติยาได้แต่มองทั้งคู่ด้วยความเศร้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับพี่น้องทั้งสองคน
นวัชกับนิษฐายืนรออยู่ที่รถที่จอดอยู่ด้วยความกระวนกระวาย
นิษฐาอ่อนเพลียแต่ก็เป็นห่วงเพื่อนมากกว่า “กลับเข้าไปดูเจกับคุณต้นกันมั้ยคะ”
นวัชลังเล “งั้นฐาอยู่นี่แล้วกัน พี่กลับเข้าไปดูคนเดียวดีกว่า”
ขณะนั้น ลาภิณก็ประคองเจติยาเดินมาพอดี
นิษฐาดีใจมากจึงรีบเข้าไปหาเพื่อน “เจ”
“ฉันบอกให้แกกับพี่ผู้กองหนีไป แล้วทำไมยังอยู่ที่นี่อีก”
“ใครจะหนีไปได้ลง เป็นแก แกก็ทำไม่ได้เหมือนกันแหละ”
เจติยาจ๋อยไป
“กล่องรากบุญล่ะครับ”
“มันจบแล้วล่ะครับ ไม่มีกล่องรากบุญอีกแล้ว” ลาภิณบอก
นวัชกับนิษฐาดีอกดีใจและโล่งอก ทันใดนั้นอยุทธ์กับพิมพ์อรก็เดินซึมตามกลับออกมา พิมพ์อรทำท่าจะเดินไปอีกทาง
“พี่อร รถเราอยู่ทางนี้ครับ” อยุทธ์จับแขนพิมพ์อร
พิมพ์อรโมโหมากจึงสะบัดแขนออก “อย่ามาแตะต้องตัวฉัน ไอ้น้องทรยศ หักหลังได้แม้แต่พ่อตัวเอง”
อยุทธ์ซึมลงไปที่เห็นพี่เป็นแบบนี้ ในขณะที่พิมพ์อรเดินไปอีกทางโดยไม่สนใจอยุทธ์ นวัชกับนิษฐาหันไปมองเจติยาด้วยความงุนงง
นิษฐางงมาก “เกิดอะไรขึ้นเหรอเจ ฉันงงไปหมดแล้ว”
“เดี๋ยวเล่าให้ฟังในรถ”
ทุกคนแยกย้ายจะขึ้นรถ ทันใดนั้นเสียงมือถือของอยุทธ์ก็ดังขึ้นเป็นสัญญาณว่ามีไลน์ส่งเข้ามา
อยุทธ์หยิบมือถือมาดูแล้วก็ตกใจมากจึงรีบตะโกนบอกพิมพ์อร “พี่อร คุณพ่อแย่แล้ว”
พิมพ์อรและทุกคนหันไปมองอยุทธ์เป็นตาเดียวด้วยความตกใจทันที
พิมพ์อรกับอยุทธ์รีบเข้าไปในห้องไอซียูเพื่อดูอาการวนันต์ วนันต์นอนอยู่บนเตียง โดยมีเพียงชาครเท่านั้นที่ยืนเฝ้าอยู่
พิมพ์อรเป็นห่วงพ่อสุดๆ “คุณพ่อ คุณพ่อคะ อรมาแล้วค่ะ” พิมพ์อรหันไปดุชาคร “อาการคุณพ่อทรุดยังงี้ แล้วทำไมไม่ทำอะไรซักอย่าง เครื่องให้ออกซิเจนก็ไม่ใส่ เครื่องวัด...”
ชาครพูดสวนขึ้น “มันเป็นความต้องการของคุณท่านครับ คุณท่านต้องการคุยกับคุณสองคนเป็นครั้งสุดท้าย”
วนันต์ลืมตาขึ้นมาอย่างอ่อนเพลีย “ลูกอร”
พิมพ์อรร้องไห้แล้วจับมือพ่อแน่น “คุณพ่อทำแบบนี้ไม่ได้นะคะ คุณพ่อต้องอยู่กับอร” พิมพ์อรตวาดใส่ชาคร “ไปตามหมอมาสิ”
อ่านต่อหน้าที่ 2
รากบุญ ตอน รอยรักแรงมาร ตอนที่ 14 (ต่อ)
วนันต์ห้ามด้วยเสียงอ่อนแรง “ลูกอร พ่อเห็นหมดแล้ว วาระสุดท้ายของกสิณและการทำลายกล่องรากบุญ” วนันต์ยิ้มดีใจก่อนจะเหลือบตามอง “เก่งมาก ลูกทำดีแล้ว”
อยุทธ์นึกไม่ถึง “คุณพ่อทราบได้ยังไงครับ”
“มีคนช่วยให้พ่อเห็นภาพพวกนั้น ก่อนที่เค้าจะมารับพ่อไป”
พิมพ์อรร้องไห้เพราะกลัวจนจับใจ “ไม่นะคะคุณพ่อ คุณพ่อต้องไม่ไปไหนทั้งนั้น คุณพ่อต้องอยู่กับอรตลอดไปนะคะ”
“ไม่มีใครฝืนความตายไปได้หรอกลูกอร ตอนนี้พ่อได้ตายอย่างหมดห่วงแล้วจริงๆ” วนันต์เอื้อมมือไปจับมือพิมพ์อรด้วยมือข้างหนึ่งแล้วจะเอื้อมมือไปจับมืออยุทธ์
อยุทธ์รีบขยับเข้ามาใกล้ช่วยจับมืออีกข้างของพ่อแทนแล้วน้ำตาก็เริ่มรื้นๆขึ้นมา
วนันต์จับมือของลูกทั้งสองคนมาจับกันไว้ พิมพ์อรและอยุทธ์สบตากันเล็กน้อย
“ต่อไปลูกสองคนต้องรักกันให้มากๆนะ ไม่มีพ่อแล้ว ลูกก็เหลือกันแค่สองคนพี่น้องจริงๆ รับปากพ่อได้มั้ย”
พิมพ์อรเอาแต่ร้องไห้ไม่ตอบอะไร
อยุทธ์น้ำตาคลอเบ้า “ครับคุณพ่อ ผมจะดูแลพี่อรเองครับ ผมไม่มีวันทอดทิ้งพี่อรไปไหนอีกแล้วครับ คุณพ่อสบายใจได้”
พิมพ์อรหันมามองหน้าอยุทธ์ทั้งน้ำตา วนันต์ยิ้มบางๆอย่างสุขใจก่อนจะมองหน้าพิมพ์อรอย่างเต็มตาเป็นครั้งสุดท้ายแล้วหลับตาลง ขาดใจตายอย่างสงบ พิมพ์อรปล่อยโฮลั่น เธอเข้าไปกอดศพพ่อด้วยความเสียใจถึงที่สุด อยุทธ์เองก็ร้องไห้เสียใจสุดๆกับการจากไปของพ่อ ชาครร้องไห้ออกมาแล้วก็คุกเข่ากราบเท้าวนันต์อย่างซาบซึ้งในบุญคุณ
อยุทธ์ประคองพิมพ์อรที่เดินซึมเหมือนคนไร้วิญญาณมาตามทาง โดยมีชาครเดินตามหลังมา ทุกคนดูซึมเศร้า
อยุทธ์ซึมๆไปก่อนจะสั่งชาคร “นายอยู่กับพี่อรก่อนนะ ฉันจะไปทำเรื่องรับศพคุณพ่อ”
“ครับ”
อยุทธ์นึกขึ้นได้ “เอ้อ คุณเจกับคุณต้นรู้เรื่องแล้ว ตอนนี้อยู่ข้างล่างกำลังจะขึ้นมา” อยุทธ์มีสีหน้าไม่สบายใจนัก “เพื่อเห็นกับวิญญาณคุณพ่อรักษามารยาทด้วย” อยุทธ์แอบเตือนพิพม์อรกลายๆ ผ่านชาคร
พิมพ์อรเหลือบตามองอยุทธ์เล็กน้อย
“ครับคุณอยุทธ์” ชาครรับคำ
อยุทธ์เดินเลี่ยงไป
ชาครเข้าไปประคองพิมพ์อร “ไปนั่งตรงนั้นก่อนนะครับคุณอร”
ทันใดนั้น ไฟบนศีรษะก็ไล่ดับลงมาเรื่อยๆจนมืดสนิทไปทั่ว ชาครกับพิมพ์อรตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ทันใดนั้นวิญญาณสิทธิพรก็ปรากฏตัวขึ้นในระยะประชิดโดยห่างจากพิมพ์อรเพียงแค่ฝ่ามือกั้น พิมพ์อรกรีดร้องด้วยความตกใจแล้วก็ผงะถอยออกมาด้วยความกลัว
ทันใดนั้น ประตูห้องผ่าตัดที่อยู่ใกล้ๆพิมพ์อรก็เปิดออกพร้อมกับมือที่ยื่นออกมาจากข้างในห้องแล้วฉุดพิมพ์อรเข้าไปข้างในทันทีแล้วก็ปิดประตูลง
ชาครตกใจสุดขีด “คุณอร!!!”
ชาครรีบเข้าไปเปิดประตูแต่ก็เปิดไม่ออก ชาครเลยเอาตัวกระแทกประตูไม่ยั้ง วิญญาณสิทธิพรยืนจังก้าอยู่หน้าพิมพ์อรที่กำลังหวาดกลัวสุดขีด
สิทธิพรยิ้มเหี้ยม “กลัวมากนักเหรอะ แล้วตอนที่แกส่งไอ้ผีนรกนั่นไป ไล่ฆ่าคนอื่น แกเคยคิดบ้างมั้ย ว่าซักวันแกจะโดนแบบนี้บ้าง”
ทันใดนั้น มีดผ่าตัดในห้องก็ลอยขึ้นมาเตรียมที่จะปักเสียบไปที่ร่างของพิมพ์อร
พิมพ์อรกลัวสุดขีด “ช่วยด้วย” พิมพ์อรจะดันประตูเปิดแต่ยังไงก็เปิดไม่ออกจึงทุบประตูตะโกนเรียก
“ชาครช่วยฉันด้วย ชาคร” พิมพ์อรทุบประตูโครมๆ หันกลับมามองทางมีดด้วยสีหน้าหวาดกลัว
สิทธิพรขำลงคออย่างสาแก่ใจ
มีดผ่าตัดที่ลอยอยู่เบนหัวปลายแหลมมาตรงตำแหน่งที่พิมพ์อรยืนอยู่ พิมพ์อรหวาดกลัวมากจึงวิ่งหนีไปทางอื่น
ชาครทุบประตูและกระแทกประตูเพื่อจะเข้าไปช่วยพิมพ์อรให้ได้
“คุณอรครับ” ชาครห่วงมากโดยทั้งทุบทั้งกระแทกอย่างสุดแรงเกิด
พิมพ์อรหวาดกลัวจนหน้าซีด เหงื่อแตก และตัวสั่น เธอเดินแบบแทบหมดแรงไปรอบห้อง มีดผ่าตัดอีกหลายเล่มก็ลอยขึ้นแล้วหันปลายแหลมตรงไปที่พิมพ์อร พิมพ์อรกลัวจนก้าวขาไม่ออกจึงร้องไห้ออกมา
สิทธิพรหัวเราะชอบใจ “กลัวมากล่ะสิ” สิทธิพรจ้องหน้าพิมพ์อร “เตรียมตัวไปนรกเป็นเพื่อนฉันได้แล้ว” สิทธิพรเพ่งพลังทั้งหมดที่มีของตนใส่กลุ่มมีดผ่าตัด
พิมพ์อรหลับตาเตรียมรับความตาย มีดผ่าตัดหลายเล่มพุ่งเข้าใส่พิมพ์อร จังหวะเดียวกันนั้นเอง ชาครก็พังประตูห้องผ่าตัดเข้ามาได้
“คุณอรหลบไป”
พิมพ์อรลืมตาขึ้นมอง ชาครรวมแรงทั้งหมดกระโดดพุ่งตัวลอยเข้าขวางหน้าพิมพ์อรรับมีดผ่าตัดแทนพิมพ์อร มีดผ่าตัดหลายเล่มพุ่งปักเสียบไปที่แขน ขา และลำตัวของชาครทันที
ร่างชาครทิ้งกระแทกพื้นแล้วก็มีสีหน้าเจ็บปวดแสนสาหัส พิมพ์อรเป็นห่วงจึงรีบเข้าไปดูอาการชาครทันที
พิมพ์อรเป็นห่วงชาครมาก “ชาคร”
สิทธิพรเจ็บแค้นสุดๆ “มึงไม่รอดมือกูหรอก”
ทันใดนั้น ลาภิณ เจติยา และอยุทธ์ก็เข้ามาในห้องพร้อมกันทันที
เจติยารีบห้าม “หยุดเถอะค่ะคุณสิทธิพร”
สิทธิพรมีสีหน้าเหี้ยมเกรียม “ผมไม่หยุด ถ้านังนี่ไม่ตาย วิญญาณผมไม่มีวันสงบ”
“ถ้างั้นคุณฆ่าผมแทนก็แล้วกัน”
อยุทธ์รีบเข้าไปขวางหน้าพพิมพ์อรกับชาครไว้
“ผมเป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด ผมเห็นแก่ตัว ทิ้งคุณพ่อกับพี่อรไป เพราะฉะนั้น คุณฆ่าผมก็แล้วกัน แล้วปล่อยพี่อรไปซะ” อยุทธ์บอก
พิมพ์อรมองไปที่อยุทธ์อย่างไม่อยากเชื่อเพราะชาครปกป้องตนไม่แปลก แต่ไม่คิดว่าอยุทธ์จะทำ
แบบนี้ด้วย
“สิทธิ... ในฐานะเพื่อน ฉันขอให้แกหยุดแค่นี้ได้มั้ย”
สิทธิพรหันไปพูดกับลาภิณ “แม้แต่แกก็ปกป้องมันเหรอ มันวางแผนใส่ร้ายแก ไล่ต้อนแกจนเกือบจะล้มละลาย แกจะปกป้องมันทำไม”
“ฉันปกป้องแกต่างหาก ฉันไม่อยากเห็นเพื่อนต้องวนเวียนอยู่กับความแค้นและการแก้แค้น หยุดแค่นี้เถอะวะสิทธิ จะได้ไม่เป็นบาปกรรมติดตัวแกต่อไปมากกว่านี้”
สิทธิพรขบกรามแน่นเพราะรู้ว่าเพื่อนเป็นห่วงแต่ก็ยังแค้นอยู่
เจติยาพูด “ความแค้นของคุณ อยู่ที่กสิณกับคุณพิมพ์อร กสิณก็สลายไปแล้วส่วนคุณพิมพ์อรก็เสียคนที่รักมากที่สุดอย่างคุณพ่อไป ถือว่าได้รับบทเรียนแล้ว อย่าผูกพยาบาทกันอีกเลยนะคะคุณสิทธิพร”
สิทธิพรหน้าขรึมลง “ก็ได้ แต่ฉันยังมีห่วงอีกเรื่องนึง”
“บอกมาเลยเพื่อน”
สิทธิพรจ้องหน้าลาภิณด้วยสีหน้าแววตาเป็นห่วง “ก็เรื่องแกยังไงล่ะต้น”
ลาภิณอึ้งไปเล็กน้อย
“แกดีกับฉันมาก แกไม่ควรต้องได้รับผลแบบนี้”
“ฉันจะให้เอ็ตต้ารับผิดชอบสร้างโครงการต่อเอง แค่นี้น้องต้นก็ไม่ต้องถูกปรับแล้ว พอใจรึยังล่ะ”
สิทธิพรหันไปจ้องพิมพ์อรเขม็ง “จำคำพูดเธอไว้ให้ดีก็แล้วกัน”
ร่างสิทธิพรเริ่มจางๆ ไหวๆ เหมือนอ่อนพลังลงเต็มที
ลาภิณหน้าเศร้าลง “ขอบใจมากนะสิทธิ ที่แกห่วงฉัน แกเป็นเพื่อนที่ดีของฉันเสมอ”
สิทธิพรยิ้มให้ลาภิณอย่างหมดห่วงก่อนจะเลือนหายไปในที่สุด เจติยาเข้าไปจับมือลาภิณไว้ ในขณะที่ลาภิณหน้าขรึมลงที่ต้องเสียเพื่อนสนิทไป
หกเดือนต่อมา ลาภิณเดินออกมาจากศาลด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม สบายใจ พร้อมกับทนายของตนพร้อมขึ้นนักข่าวกรูกันเข้าไปสัมภาษณ์ยกใหญ่
“ลูกความของผมบริสุทธิ์ ไม่มีอะไรแล้วนะครับ”
“หลักฐานชิ้นใหม่ คือภาพจากกล้องวงจรปิด ยืนยันความบริสุทธิ์ทั้งหมดของผมแล้ว”
“แล้วคุณจะฟ้องกลับคนที่เคยพูดจาให้คุณเสียหายรึเปล่าครับ”
“ไม่ครับ ผมอยากจบจริงๆ ขอตัวก่อนนะครับ”
ลาภิณเดินเลี่ยงไป พวกนักข่าวรีบตามไปสัมภาษณ์ต่อ
“เดี๋ยวสิครับคุณลาภิณ”
“คุณลาภิณคะ คุณลาภิณ”
เจติยากับนิษฐากำลังดูโทรทัศน์อยู่
“โห นักข่าวตามเป็นพรวน ยังกะซุป’ตาร์แน่ะ” นิษฐาว่า
เจติยากดรีโมทปิดโทรทัศน์แล้วก็ยิ้มแย้ม “ตอนเป็นข่าวฉาว ตามยิ่งกว่านี้อีก”
“บทจะเคลียร์ ก็ง่ายนิดเดียวเลยเนอะ”
“เพราะไม่มีกสิณแล้วน่ะสิ หลักฐานทั้งหมดถึงได้ปรากฏออกมา ไม่เหมือนตอนแรก ที่อะไรๆก็ชี้ไปที่ตัวคุณต้นท่าเดียวเลย”
นิษฐายิ้มแย้ม “ดีใจด้วยนะแก คุณต้นไม่ติดคุกแล้ว เรื่องที่ไปค้ำประกันไว้ก็ไม่ต้องห่วงแล้วใช่มั้ย”
“ก็ต้องขอบคุณ คุณพิมพ์อรที่รักษาสัญญา”
“เออ ฉันได้ยินมาว่าสองคนนั่น เค้าประกาศขายหุ้นเอ็ตต้าแล้วจะเดินทางไปต่างประเทศ จริงรึเปล่า”
“วันนี้คุณอยุทธ์เค้าเข้าไปที่นิราลัย เจอตัวแล้วจะถามให้ละกัน” เจติยามีสีหน้าอยากรู้อยู่เหมือนกัน
อยุทธ์กำลังเดินแจกรายงานความคืบหน้าของโครงการให้คณะกรรมการทุกคน
อยุทธ์พูดไป เดินแจกรายงานไป “ก็อย่างที่ทราบกันว่าคุณลาภิณติดธุระ เพราะฉะนั้นวันนี้ ผมขอรายงานความคืบหน้าของโครง การที่นิราลัยค้ำประกันไว้แทนละกันนะครับ”
“ไม่ต้องรายงานก็ได้มั้งครับ ผมไปเห็นมาแล้ว เสร็จไปเกือบแปดสิบเปอร์เซ็นต์ได้ ยังไงก็ทันตามกำหนดแน่”
“พวกเราขอแค่นิราลัยไม่ต้องถูกยึด ก็ดีใจแล้วล่ะครับ เอ่อ ได้ข่าวมาว่าคุณกับพี่สาวจะขายหุ้นของเอ็ตต้าเหรอครับ”
“ครับ แต่ผมจะรอให้จบโครงการนี้ก่อน จะได้ไม่มีปัญหาตามมา”
“ขายหุ้นแล้ว คุณอยุทธ์จะไปทำธุรกิจอะไรต่อคะ หรือว่าจะไปอยู่ต่างประเทศตามที่เค้าลือกัน”
อยุทธ์ยิ้มรับแต่ไม่ได้ตอบอะไร
อยุทธ์กำลังช่วยเจติยาแต่งศพอยู่
อยุทธ์พูดไปทำงานไป “ผมก็คงไปๆมาๆระหว่างประเทศไทยกับสิงคโปร์น่ะครับ คงไม่ได้ย้ายกลับไปอยู่ถาวรหรอกครับ ถ้าพี่ อรขายเอ็ตต้าแล้ว คงว่างมาก ผมอยากใช้เวลาอยู่กับเค้ามากกว่านี้น่ะครับ”
เจติยาพูดไปทำงานไป ยิ้มแย้ม “เจคงเสียดายแย่เลยนะคะ ที่ขาดคนแต่งศพฝีมือดีไป”
“ผมก็เสียดายงานนี้เหมือนกันครับ บอกตรงๆ ผมชอบรองลงมาจากวาดรูปเลยนะ”
เจติยายิ้มแย้ม พอแต่งศพเสร็จเธอก็คลุมผ้าศพเรียบร้อย
อยุทธ์หน้าขรึมลง “ขอบคุณมากนะครับคุณเจ ที่ยอมรับผมกลับมาเป็นเพื่อนเหมือนเดิม”
เจติยายิ้มๆ “เราไม่เคยเลิกเป็นเพื่อนกันซะหน่อย” เจติยายักไหล่ “ก็แค่เพื่อนเข้าใจผิด ทะเลาะกันเท่านั้นเอง”
อยุทธ์ขำๆ “ผมเกือบเสียเพื่อนดีๆ ไปซะแล้ว”
ทั้งคู่มองหน้าสบตาแล้วก็ยิ้มๆ ให้กันด้วยความเข้าใจแต่สายตาแว่บหนึ่งของอยุทธ์ที่มองเจติยาลึกซึ้งมากกว่าแค่คิดเป็นเพื่อน เจติยาก็รู้สึกได้จึงรีบหลบสายตา
อยุทธ์รีบเปลี่ยนเรื่องแก้ความอึดอัดแล้วก็มีสีหน้าขรึมลง “คุณเจครับ ผมมีเรื่องสงสัยอยู่เรื่องนึง”
“อะไรคะ” เจติยาถาม
“ทำไมตอนนั้น คุณเจถึงได้ยกเหรียญให้ผมล่ะครับ คุณเจไม่กลัวว่าผมจะหักหลังคุณเจเหรอ”
เจติยายิ้มบางๆ “เวลานั้น เจจำเป็นต้องเดิมพันกับความเชื่อของเจค่ะ”
อยุทธ์มีสีหน้าสงสัยอยากรู้
“เจมั่นใจว่าคุณอยุทธ์ไม่ใช่คนที่จะทำทุกอย่าง เพื่อสนองความโลภของตัวเอง” เจติยายิ้มดีใจ “แล้วความเชื่อของเจก็ถูกต้อง”
อยุทธ์ยิ้มดีใจ “แล้วคุณคิดว่าผมจะทำลายกล่องรากบุญด้วยเหรอ”
“ถ้าคุณเข้าใจในสิ่งที่พ่อคุณพูด และรู้ว่าการมีอยู่ของกล่องรากบุญมันเป็นภัยขนาดไหน เจก็มั่นใจว่าคุณจะทำลายมันค่ะ”
เจติยาหันไปเตรียมอุปกรณ์อย่างอื่นต่อ อยุทธ์มองเจติยาด้วยสายตาชื่นชมก่อนจะหน้าเศร้าลง เพราะเขาคงต้องเก็บความรู้สึกนี้ไว้กับตัวเองตลอดไป
อ่านต่อหน้าที่ 3
รากบุญ ตอนรอยรักแรงมาร ตอนที่ 14 (ต่อ)
กลางดึก ลาภิณนอนเอียงข้างกอดเจติยาหลับสนิทอยู่ ใครบางคนค่อยๆ เดินใกล้เข้ามาที่เตียงนอนโดยเดินวนไปรอบเตียงแล้วมาหยุดอยู่ตรงเจติยา
คนๆ นั้นก้มมองลงมาที่เจติยา เจติยารู้สึกตัวตื่นจึงลืมตามองสวนขึ้นไป
เจติยาเห็นเพดานห้องโดยไม่เห็นใคร แต่วิญญาณมยุรีนั่งหันหลังอยู่แล้วที่ปลายเตียง เจติยาสะดุ้งสุดตัว
เจติยาตกใจจึงขยับตัวขึ้นนั่ง “แม่”
มยุรีในสภาพสวยงามแต่งตัวสวยหันมายิ้มแย้มอย่างมีความสุขให้เจติยา เจติยารีบขยับตัวมากอดมยุรีเอาไว้
เจติยาน้ำตาคลอ “เจคิดถึงแม่ที่สุดเลยค่ะ”
มยุรียิ้มแย้มแล้วก็ลูบผมเจติยา “แม่ก็คิดถึงเจจ้ะ ตอนนี้แม่หมดห่วงเรื่องเจกับคุณต้นแล้ว แม่สบายใจที่สุดเลย”
เจติยาผละตัวออก “แม่ยังวนเวียนอยู่เพราะยังมีห่วงนี่เอง”
มยุรียิ้มแย้ม “ขอบใจมากนะเจที่ไม่ทิ้งนที เอาน้องมาอยู่ด้วย”
“เจจะทิ้งน้องได้ยังไงคะแม่ เรามีกันอยู่แค่ 2 คนพี่น้องเท่านี้เอง”
มยุรียิ้มชื่นชม “ดีแล้วลูก”
เจติยามีสีหน้าเป็นห่วงนทีขึ้นมา “แต่น้องดูเหงาๆ นะคะ ปกติจะมีแม่เป็นเพื่อนคุย” เจติยายิ้มๆ “นึกๆ แล้วก็อยากหาแฟนให้นทีซักคน”
มยุรียิ้มๆเหมือนรู้อะไรมา “ไม่ต้องหรอกเจ ช่วงนี้ให้นทีไปดูหนังบ่อยๆ ก็แล้วกัน”
เจติยาสงสัย “ทำไมเหรอคะแม่”
มยุรียิ้มๆ อย่างมีเลศนัยก่อนจะจางหายไป
เจติยาพยายามเรียก “แม่คะ อย่าเพิ่งไปค่ะ”
เจติยาหลับฝันอยู่โดยจับแขนลาภิณที่กอดตนอยู่เขย่าๆ
เจติยาหลับตาแล้วฝันจนละเมอ “เดี๋ยวค่ะแม่ เจไม่เข้าใจ อย่าเพิ่งไปสิคะ”
ลาภิณตื่นขึ้นมา “เจ..”
เจติยาสะดุ้งตื่นขึ้นอย่างงงๆ ก่อนจะกวาดตามองไปรอบๆห้องเมื่อพบว่าที่แท้ก็ฝันไป
ลาภิณขยับตัวไปกดเปิดไฟโคมหัวเตียง “ฝันร้ายเหรอเจ”
เจติยายิ้มแย้ม “ฝันดีค่ะ แม่มาหา”
“จริงเหรอ ผมก็ฝันถึงแม่เจเหมือนกัน ท่านมาแบบสวยมากเลยนะ”
เจติยาน้ำตารื้นขึ้นมาพร้อมรอยยิ้มสบายใจ “ค่ะ แม่คงสบายใจ ไม่มีอะไรต้องห่วงแล้ว” เจติยาสูดหายใจลึกอย่างโล่งอก เธอนึกแล้วยิ้มๆ ก่อนจะซักลาภิณ “แล้วคุณต้นฝันว่าอะไรเหรอคะ”
ลาภิณยิ้มขี้เล่น “แม่มาบอกว่าอีกไม่นานเกินรอ”
“อะไรเหรอคะ”
“ก็เจน้อยน่ะสิ” ลาภิณทำหน้าขี้เล่นแล้วก็ยิ้มๆ “แต่แม่บอกว่าต้องขยันทำการบ้านกว่านี้หน่อย อย่ามัวแต่ทำงานหนัก”
เจติยายิ้มเขิน “แม่ไม่พูดยังงั้นหรอก”
ลาภิณสวมกอดเจติยาเอาไว้ “ผมจะโกหกเจทำไมล่ะ” ลาภิณหน้าตาขี้เล่น “สงสัยช่วงนี้ต้องขยันทุกวันซะแล้ว”
เจติยาเขินอายมาก “คุณต้น” เจติยาหยิกแขนลาภิณ
ลาภิณทำหน้าตากรุ้มกริ่มอย่างทะเล้น “งั้นขยันเลยแล้วกัน คุณแม่ขอร้อง...” ลาภิณเอื้อมมือไปปิดโคมไฟพร้อมโน้มตัวไปจุ๊บเจติยา
เจติยากับลาภิณมาจดทะเบียนสมรสกันอีกครั้งต่อหน้าเจ้าหน้าที่เขต ทั้งคู่มีแต่รอยยิ้มแห่งความสุข พอเซ็นชื่อเสร็จทั้งคู่ก็สวมกอดกันด้วยความดีใจ เจ้าหน้าที่พลอยยิ้มดีใจไปด้วย เจติยาและลาภิณต่างยิ้มทั้งน้ำตาคลอที่ผ่านอุปสรรคครั้งใหญ่นี้ไปได้
ลาภิณเดินโอบเอวเจติยายิ้มแย้มและคุยกันมาตามทางเดินบริษัท
ลาภิณถามยิ้มๆ “ตกลงนทีไปดูหนังคนเดียวจริงๆ เหรอ”
“ค่ะ”
“นทีนี่ก็ตลกดีนะ เชื่อความฝันของเจไปได้” ลาภิณขำๆ
เจติยายิ้มๆ “ขอให้ฝันเจแม่นทีเถอะค่ะ”
ลาภิณยิ้มๆ แล้วกระชับกอดเจติยา “ห่วงแต่เรื่องคนโน้นคนนี้ คิดถึงเรื่องของเรามั่งเถอะ” ลาภิณอ้อนๆ เขาจะหอมแก้มแต่ก็ต้องชะงัก
เจติยาและลาภิณผละออกจากกันเล็กน้อยเมื่อเห็นแขกไม่ได้รับเชิญคนหนึ่งยืนดักรออยู่ตรงหน้า
“พี่อร”
พิมพ์อรมองลาภิณและเจติยาด้วยสีหน้าเรียบเฉย
พิมพ์อรพูดหน้านิ่ง “ขอโทษนะคะที่มารบกวน”
“ไม่เป็นไรครับ” ลาภิณบอก
ลาภิณพาพิมพ์อรมาคุยกันที่ห้องทำงาน
“พี่ขายหุ้นแอ็ตต้าได้แล้วนะคะ”
“ผมทราบแล้ว แต่อยากรู้เหตุผล” ลาภิณบอก
“ถ้าไม่มีเหรียญ พี่ก็บริหารงานต่อไม่ได้หรอก งานนี้ไม่ใช่ความถนัดของพี่ พี่ไม่มีความสุขกับงานเลย แต่จำเป็นต้องทำเพื่อคุณพ่อ”
ลาภิณพยักหน้ารับอย่างเห็นใจ “ผมเข้าใจครับ”
พิมพ์อรมองหน้าลาภิณนิ่งด้วยสีหน้ารู้สึกผิด “พี่ขอโทษสำหรับความวุ่นวายทั้งหมดที่พี่สร้างให้กับน้องต้น รวมถึงคุณเจด้วย”
“ช่างมันเถอะครับ เรื่องมันผ่านไปแล้ว แล้วที่พี่อรทำไปมันก็เกิดจากอำนาจของเหรียญ ไม่ใช่ความต้องการที่แท้จริงของพี่อรซะหน่อย”
พิมพ์อรหลบสายตาลาภิณเล็กน้อยเพราะจริงๆ มันก็ไม่ใช่อำนาจกสิณทั้งหมด “พี่ถามอะไรน้องต้นอย่างนึงได้มั้ย”
“หลายๆ อย่างก็ได้ครับ”
พิมพ์อรเลื่อนตาขึ้นสบตากับลาภิณ “น้องต้นเคยนึกชอบพี่มั่งมั้ย”
ลาภิณชะงักไปเล็กน้อยเพราะเกิดภาวะอึดอัด แต่เขาก็ปั้นยิ้มตอบเฉไฉไป “พี่อรก็เหมือนพี่สาวผม ผมจะไม่ชอบได้ยังไงล่ะครับ”
พิมพ์อรหน้านิ่งก่อนจะน้ำตารื้นขึ้นมา “พี่มีน้องชายคนนึงแล้ว พี่ไม่ได้อยากเป็นพี่สาวใครอีก”
ลาภิณเข้าใจชัดเจนถึงความหมายที่พิมพ์อรจะสื่อจึงมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาก่อนตอบ “ชีวิตผมเคยรักผู้หญิงแค่ 2 คน คนนึงตายไปแล้วอีกคนก็คือเจติยา”
พิมพ์อรรีบตัดบท “พี่เข้าใจแล้วค่ะ...พี่หมดเรื่องค้างคาใจแล้ว” พิมพ์อรมองหน้าลาภิณ “โชคดีนะคะน้องต้น”
พิมพ์อรเดินเชิดหน้าออกไปจากห้อง ลาภิณได้แต่ถอนใจออกมายาวๆ
ลาภิณเดินเลี้ยวที่มุมตึกก็โดนเจติยาที่ดักรออยู่จับหูบิด ลาภิณร้องออกมาด้วยความเจ็บ
“โกรธอะไรผมเจ”
เจติยาขำๆ ก่อนจะยอมปล่อย “เปล่าค่ะ เจอยากลองทำเหมือนเมียคนอื่นมั่ง แฟนเราไม่ยักกะเจ้าชู้” เจติยาแกล้งยิ้มหยันๆ แต่จริงๆ ภูมิใจและปลื้มสามีมาก
ลาภิณยิ้มกวน “อ๋อ ชอบแบดบอยว่างั้น”
เจติยากอดอกแล้วยักไหล่กวนๆ
“ได้เลย” ลาภิณช้อนตัวเจติยาอุ้มขึ้นมาเลย “ป่ะ ห้องแต่งศพว่าง” ลาภิณอุ้มเจติยาพาเดินเข้าซอกตึกไปทันที
เจติยาทั้งอายทั้งขำ “ปล่อยเจค่ะ อายเค้า...”
ลาภิณแกล้งเพราะมันเขี้ยว “มือขยันมาช่วยขยี้”
“คุณต้น จั๊กจี๋” เจติยาขำร่วนเพราะจั๊กจี้
อยุทธ์มารอรับพิมพ์อรอยู่หน้านิราลัย พิมพ์อรเดินออกมาหน้าซึมๆ
“ไม่มีอะไรค้างคาใจแล้วนะครับ” อยุทธ์ถาม
พิมพ์อรพยักหน้ารับ
“เราไม่ควรเจอพวกเค้าอีกเลยตลอดชีวิต ไม่ว่าเราจะอยู่ที่นี่ หรือย้ายกลับไปอยู่ที่สิงคโปร์”
พิมพ์อรเหลือบตามองอยุทธ์แล้วก็ใจหายชอบกล
“เราทำความเดือดร้อนให้พวกเค้ามามากเกินพอแล้วนะครับพี่อร”
พิมพ์อรถอนใจก่อนจะเดินนำไปที่รถ อยุทธ์หันมองตามแล้วพูดขึ้นมา
“พี่อรยังอยากเป็นดีไซน์เนอร์อยู่มั้ยครับ”
พิมพ์อรหยุดเดินแล้วหันมองอยุทธ์
“เรามาลงทุนเปิดห้องเสื้ออย่างที่พี่อรฝันเอาไว้มั้ยครับ”
พิมพ์อรมองอยุทธ์นิ่งก่อนที่จะน้ำตารื้นขึ้นมา
“ผมเคยเป็นต้นเหตุทำลายความฝันของพี่อร ผมอยากจะแก้ตัว มาช่วยทำความฝันของพี่อรให้เป็นจริงอีกครั้ง”
พิมพ์อรน้ำตาไหลซึมออกมาแล้วเดินกลับมาสวมกอดอยุทธ์เอาไว้
อยุทธ์กอดพี่สาวแน่น “พี่ยังมีผมอยู่นะครับ ผมสัญญา ผมจะไม่ทิ้งพี่ไปไหนอีกแล้ว”
พิมพ์อรร้องไห้สะอึกสะอื้นเพราะเข้มแข็งต่อไปไม่ไหว สองพี่น้องกอดกันแน่นแล้วปลอบประโลมให้กำลังใจกันและกัน
พิมพ์อรเข็นรถเข็นที่พาชาครนั่งมาที่สนามหน้าบ้าน ชาครชำเลืองมองพิมพ์อรแล้วยิ้มปลื้มใจ
“ดูแลผมทุกวันแบบนี้ไม่เบื่อเหรอครับคุณอร ให้พยาบาลทำก็ได้” ชาครถาม
“ฉันดูแลเธอแค่นี้ยังน้อยไปด้วยซ้ำ” พิมพ์อรบอก
พิมพ์อรเข็นรถเข็นพาชาครมาหยุดที่ราวเกาะฝึกเดินสำหรับทำกายภาพ
ชาครมีสีหน้าไม่ค่อยสบายใจ “ถ้าผมเกิดไม่หายไปตลอดชีวิตล่ะครับ”
พิมพ์อรมองหน้าชาครนิ่ง “ในทางกลับกัน ถ้าฉันเป็นฝ่ายเจ็บแทนเธอ แล้วฉันไม่หายไปตลอดชีวิตล่ะ”
ชาครมองพิมพ์อรด้วยสีหน้าแววตาจริงจังและจริงใจ “ผมจะอยู่ดูแลคุณอรจนกว่าผมจะหมดลมหายใจครับ”
พิมพ์อรน้ำตารื้นขึ้นมาก่อนจะรีบปั้นยิ้มกลบเกลื่อน “งั้นก็อย่ารีบตายล่ะ ฉันไม่อยากเหงา”
ชาครยิ้มกว้างออกมาอย่างดีใจ พิมพ์อรช่วยประคองชาครลุกขึ้นยืนเกาะราวฝึกเดินไป
พิมพ์อรคอยดูแลชาครทำกายภาพบำบัดไปด้วยความห่วงใยและเข้าใจกัน
นทีมาต่อคิวซื้อตั๋วหนังรอบหัวค่ำ เมื่อได้ตั๋วแล้วก็เดินออกมา
นทีมองตั๋วหนังในมือแล้วพูดพึมพำ “วันนี้ 2 เรื่องแล้วนะแม่”
เสียงผู้หญิงสดใสดังขึ้นข้างๆ “ขอโทษค่ะพี่”
นทีหันไปมองก็เห็นเฟิร์นในชุดนักศึกษา หน้าตาจิ้มลิ้ม กำลังยืนถือแบบสอบถามอยู่ข้างๆ นทีรู้สึกปิ๊งตั้งแต่แรกเห็น
เฟิร์นยิ้มแย้ม “เฟิร์นขอรบกวนสอบถามความเห็นซัก 10 นาทีได้มั้ยคะ”
นทียิ้มแย้มตาหวานเยิ้ม “นานกว่านั้นก็ได้ครับ”
เฟิร์นยิ้มเขิน “ขอบคุณค่ะ” เฟิร์นเปิดแบบสอบถามด้วยมือไม้ที่สั่นเล็กน้อย
นทีหยิบขึ้นมาดูแล้วพูดเบาๆ “ขอบคุณครับแม่”
เฟิร์นสัมภาษณ์นที โดยที่นทีก็ยืนล้วงกระเป๋ากางเกงตอบคำถามไปด้วยสีหน้ากรุ้มกริ่มยิ้มหวาน เฟิร์นเองก็แอบเขินๆ สายตานทีอยู่เหมือนกัน
เด็กวัยรุ่นหญิงออกมาจากห้องแต่งศพทำท่าผะอืดผะอมคล้ายจะอ้วก เพื่อนรีบตามไปช่วยเพื่อนลูบหลัง
นิษฐาที่หายป่วยแล้วเดินเข้ามาที่หน้าห้องแต่งศพ
“อ้าว อ้วกแตกกันหมด”
วัยรุ่นชายหิ้วปีกเพื่อนอีกคนที่เป็นลมออกมานั่งพักข้างนอก นิษฐาถอนใจส่ายหน้า โอ้เอ้เดินตามออกมาดู
นิษฐาหน้าแหยๆ “จะเหลือได้เรื่องซักคนมั้ยเนี่ยโอ้เอ้”
“เหลืออยู่ 1 ครับ” โอ้เอ้ตอบ
“มา 8 ใช้ได้ 1 ก็โอล่ะนะ...ฝากดูน้องๆ ทีนะโอ้เอ้ ขอเข้าไปดูฮีโร่หนึ่งเดียวของฉันหน่อย”
“เชิญครับ” โอ้เอ้ไปดูแลเด็กๆ
อ่านต่อหน้าที่ 4
รากบุญ ตอน รอยรักแรงมาร ตอนที่ 14 (ต่อ)
นิษฐาเดินเข้าไปในห้องแต่งศพก็เห็นเด็กสาวลักษณะท่าทางสนุกกับการแต่งศพเหมือนเจติยาไม่มีผิด กำลังช่วยลุงทวีทำงานรวมทั้งฟังที่ทวีสอนอย่างตั้งใจ
นิษฐายกมือไหว้ “สวัสดีค่ะลุง”
“อ้าวหนูฐา ผมยาวเร็วนะ”
“รอเลี้ยงผมอีกแป๊บนึงก็ยาวเท่าเดิมแล้วล่ะค่ะ” นิษฐายิ้มแย้มมองเด็กสาวคนนั้นอยู่ห่างๆ “เก่งมากแพรว กู้ชื่อให้เด็กมูลนิธิเราหน่อย”
แพรวยิ้มปลื้มใจ
“คนนี้มีแววนะเนี่ย เหมือนหนูเจตอนมาฝึกงานกับลุงแรกๆเลย” ทวีบอก
“เก่งกว่าฐาอีกนะคะเนี่ย ฐาต้องอยู่ห่างๆ เดี๋ยวเป็นลม...” นิษฐาชม “เข้มแข็งมากแพรว” นิษฐายกสองนิ้วโป้งให้ “เยี่ยม”
ทวีชื่นชม “หนูฐาก็เข้มแข็งไม่แพ้ใครหรอก ผ่านช่วงเวลาลำบากมาได้เพราะใจสู้แท้ๆ”
“กำลังใจดีค่ะลุง”
“ใช่ ไม่จำเป็นต้องอาศัยอำนาจลึกลับที่ไหนหรอก ใจสู้ซะอย่าง ก็รักษาไปตามโรคนั่นแหละ ถ้าดวงเรายังไม่ถึงฆาต ยังไงก็ไม่ตายหรอก”
“ฐายังไม่ยอมตายง่ายๆ หรอกค่ะลุง ถ้ายังไม่ได้แต่งงาน”
ทวีขำๆ “มันสำคัญตรงนี้แหละ ถึงหายมาได้”
นิษฐาขำ “ค่ะ”
โทรศัพท์มือถือนิษฐาดังขัดขึ้นมาพอดี นิษฐาดูเบอร์โชว์ก็เห็นเป็นเบอร์แปลกๆ แต่ก็กดรับ
“ฮัลโหล...” นิษฐาฟังก่อนตอบ “ใช่ค่ะ ฐาเองค่ะหมวด” นิษฐาฟังแล้วหน้าเสียไปด้วยความร้อนใจมาก “ผู้กองเป็นอะไรมากรึเปล่าคะ”
ทวีและแพรวไปหันมองนิษฐา
นิษฐาฟังปลายสายแล้วก็น้ำตาคลอจนท่วมตา “ตอนนี้ผู้กองอยู่ไหนคะ” นิษฐาฟัง “ไม่แน่ใจค่ะ แต่คิดว่าไปถูก ใกล้ๆ แล้วฐาโทรหาหมวดอีกทีนะคะ” นิษฐาน้ำตาซึมออกมา “บอกผู้กองให้แข็งใจรอฐาก่อนนะคะ” นิษฐากดตัดสายแล้วรีบวิ่งออกไปทั้งน้ำตา
นิษฐาขับรถมาจอดที่หน้าตึกหนึ่งแล้วก็รีบร้อนลงจากรถในสภาพน้ำตาคลอเพราะห่วงนวัชมาก นายตำรวจคนหนึ่งยืนรออยู่ด้วยสีหน้าท่าทางร้อนใจ
“ทำไมช้าจังเลยคุณฐา”
“ผู้หมวดบอกทางผิด ฐาไปอ้อมตั้งไกล”
ตำรวจยิ้มแหยๆ “โทษทีครับ”
“ผู้กองล่ะคะ”
“อยู่ที่สนามด้านข้างตึกครับ ระวังด้วยนะครับคุณฐา คนร้ายยังหนีรอดอยู่อีกคนนึง”
“ค่ะ”
ตำรวจชักปืนออกมาคอยคุมกันนิษฐา นิษฐารีบวิ่งเข้าตึกไปอย่างรวดเร็วด้วยสีหน้าร้อนใจเพราะเป็นห่วงนวัชสุดๆ หมวดคนนั้นตามหลังนิษฐาเข้าไป
นิษฐาวิ่งมาถึงสวนหย่อมมืดๆ ข้างตึกแล้วนิษฐาก็ชะงักไป
“มืดจังเลย” นิษฐาหันไปถาม “ผู้กองอยู่ไหนคะหมวด” นิษฐาตกใจเล็กน้อยที่ผู้หมวดไม่ได้ตามมา “หมวดคะ หมวด”
นิษฐากวาดตามองหาก็ไม่เจอ เสียงนวัชดังแทรกความมืดของสวนหย่อมมาเข้าหูนิษฐา
“ฐา”
นิษฐาดีใจมากจึงกวาดตามองหา
“พี่อยู่ไหนคะ”
เสียงนวัชดังขึ้น “ผมถูกจับมัดอยู่ในสวน คนร้ายยังอยู่ ฐาหนีไปเถอะ”
นิษฐาเป็นห่วงมาก “ไม่ค่ะ ฐาจะไปหาพี่”
นิษฐาวิ่งฝ่าเข้าไปในสวนแล้วก็เกิดเสียงดังเปรี้ยงปร้าง นิษฐายกมืออุดหูร้องกรี๊ดกร๊าดก่อนจะวิ่งหลับหูหลับตาไปเข้าไปจนเห็นนวัชถูกมัดกับต้นไม้ใหญ่ในท่ายืน
นิษฐาเห็นนวัชก็ดีใจมาก “พี่ผู้กอง”
นวัชทำหน้าตาตกใจมาก เขามองไปด้านหลังนิษฐา “ระวังฐา ระเบิด”
นิษฐากรี๊ดแล้วหลับหูหลับตาพุ่งเข้ากอดนวัชชนิดที่ตายก็ตายด้วยกัน เสียงระเบิดดังตูมใหญ่
นิษฐากลัวสุดชีวิตจึงหลับตาปี๋กอดนวัชแน่นพลางคิดในใจว่าตายแน่แล้ว แต่แค่อึดใจก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ทั่วบริเวณเงียบๆ มีแต่เสียงไฟฟู่ๆ
นิษฐาหันมองไปด้านหลังก็พบว่าเป็นพลุไฟจำพวกน้ำตกจุดกระจายอยู่หลายหม้อในสวนหย่อม นิษฐาอึ้งๆ ก่อนจะหันมามองหน้านวัช นวัชยิ้มๆ แล้วเอามือที่ไพล่หลังไว้เฉยๆ ไม่ได้ถูกมัดเลื่อนมาจับมือนิษฐาเอาไว้
นวัชจ้องตานิษฐา “แต่งงานกันนะฐา”
พอนวัชพูดจบประโยค ทั้งสวนหย่อมที่มืดก็สว่างระยิบระยับด้วยไฟหลากสีที่ประดับตามต้นไม้ไว้ทั่วสวน ราวกับสวนสวรรค์ นิษฐากวาดตามองไปรอบๆ แล้วก็น้ำตารื้นขึ้นมาด้วยความตื้นตัน
ลาภิณโอบเอวเจติยาถือไฟเย็นในมือออกมาจากหลังสุมทุมพุ่มไม้ ตามมาด้วยการปรากฏตัวของเหล่าเพื่อนฝูงทั้งทวี โอ้เอ้ แพรวและเด็กมูลนิธิ หมวดและเพื่อนๆ ตำรวจของนวัชต่างก็ถือไฟเย็นเดินออกมาจากหลังต้นไม้รอบๆ
นิษฐาพูดทั้งน้ำตาคลอ “ฐาห่วงพี่แทบแย่ ที่แท้ถูกต้มอยู่คนเดียว” นิษฐาหยิกนวัชแล้วกระเง้ากระงอด
นวัชยิ้มๆ “ก็ฐาชอบอะไรซึ้งๆ เหมือนในหนังไม่ใช่เหรอ เจเลยช่วยออกไอเดีย”
นิษฐาหันไปจ้องหน้าเพื่อนด้วยแววตาดุ
เจติยาซบแขนลาภิณ “คุณต้นออกตังค์”
ลาภิณยิ้มๆ “น้องที่มูลนิธิกับเพื่อนๆ ผู้กองช่วยกันตกแต่งสวน”
นิษฐากวาดตามองไปที่เด็กๆมูลนิธิและเพื่อนตำรวจของนวัชที่ยิ้มแย้มให้ก็ยิ่งปลื้มใจจนน้ำตาท่วมตา
“ส่วนผมกับลุง ไม่ได้ช่วยอะไร เป็นแขกมาร่วมงานเฉยๆครับ” โอ้เอ้บอก
ทุกคนขำๆ นิษฐาก็ขำทั้งน้ำตา
นวัชจ้องตานิษฐา “ฐายังไม่รับปากพี่เลย แต่งงานกับพี่นะ” นวัชมีสีหน้าแววตาอ้อนวอน
นิษฐาพูดทั้งน้ำตาท่วม “พี่ทำเพื่อฐาขนาดนี้ ส่งตัวเข้าหอคืนนี้เลยแล้วกัน”
นวัชขำ
นิษฐาน้ำตาท่วมตาขณะมองนวัช “ฐารอวันนี้มานานแล้ว ขอบคุณมากค่ะ” นิษฐาน้ำตาไหลพรากขณะสวมกอดนวัชแล้วร้องไห้สะอึกสะอื้น
นวัชและนิษฐากอดกันกลมท่ามกลางความชื่นชมยินดีและซาบซึ้งของทุกคนที่มาเป็นสักขีพยาน ลาภิณและเจติยากระชับกอดกัน เจติยาน้ำตารื้นซาบซึ้งไปกับเพื่อนด้วย ลาภิณก้มมาหอมแก้มเจติยาเบาๆ แล้วกอดซบกันร่วมแสดงความยินดีกับเพื่อนรักทั้งสองท่ามกลางบรรยากาศสวนสวรรค์ที่สวยงาม
หัวค่ำ ประตูห้องนอนลาภิณแง้มเปิดออกมา ลาภิณยิ้มหน้าเป็น เขาเอาป้ายสั่งทำพิเศษเป็นรูปผีตาเหลือกขาวในวงกลมกากบาทพร้อมข้อความ “งดบอกความจริง” มาแขวนหน้าห้อง ลาภิณยิ้มทะเล้นก่อนปิดประตูห้อง
เวลาผ่านไป เจติยาสอนการแต่งศพให้คนที่มีใจรักอาทิ แพรว เด็กวัยรุ่นชายหญิงอีก 3-4 คน รวมทั้งโอ้เอ้ที่ยังดูแหยงๆ แต่ก็สนใจอยากหาความรู้เพิ่มเติมกะเค้าบ้าง โดยมีทวีคุมการสาธิตอยู่ใกล้ๆ ลาภิณเดินตามเข้ามามองภรรยาสาวทำงานด้วยสีหน้าปลาบปลื้มชื่นชม
นวัชกับนิษฐาอยู่ในชุดเจ้าบ่าวเจ้าสาว นิษฐาถือช่อดอกไม้แล้วเดินจูงมือกันฝ่าผ่านกลุ่มเพื่อนฝูงซึ่งก็มีลาภิณ เจติยา และนทีรวมอยู่ด้วย กลุ่มเพื่อนฝูงกำลังโปรยกลีบดอกไม้สวยงาม นวัชและนิษฐายิ้มแย้มทักทายให้กับกล้องบันทึกภาพงานของตัวเอง
งานวันเปิดร้านห้องเสื้อ “ PIM-ON” สาวไฮโซชื่อดังเป็นประธานตัดริบบิ้นเปิดร้าน ท่ามกลางความยินดีของแขกเหรื่อระดับไฮคลาส พิมพ์อรยิ้มแย้มปลาบปลื้มก่อนจะหันมายิ้มขอบใจให้กับอยุทธ์ สองพี่น้องยิ้มแย้มให้กันด้วยความเข้าใจก่อนจะหันมายิ้มแย้มถ่ายรูปหมู่บริเวณหน้าร้าน
อยุทธ์ขับรถพาพิมพ์อรกลับมาถึงหน้าบ้าน ทั้งคู่ลงจากรถก็เห็นชาครนั่งรถเข็นพร้อมช่อดอกไม้รอแสดงความยินดีกับพิมพ์อรอยู่ที่หน้าระเบียงบ้าน พิมพ์อรยิ้มแย้มแล้วก็เดินขึ้นระเบียงไปหาชาครเพื่อจะไปรับช่อดอกไม้ โดยไม่ทันคาดคิดชาครก็ลุกขึ้นยืนเอง
พิมพ์อรตกใจปนแปลกใจมากจนยกมือขึ้นปิดปากด้วยความเซอร์ไพรส์ ชาครพยายามเดินต่อด้วยตัวเอง มาหาพิมพ์อรเพื่อมอบช่อดอกไม้ให้ถึงมือเธอ พิมพ์อรดีใจมากที่ชาครเดินได้อีกครั้ง พิมพ์อรรับช่อดอกไม้ทั้งน้ำตาคลอแล้วโผสวมกอดชาครเอาไว้ ชาครดีใจที่สุดในชีวิตที่พิมพ์อรเปิดใจให้ตนในที่สุด เขายิ้มทั้งน้ำตาไหลซึมออกมา อยุทธ์ยิ้มแย้มดีใจไปกับบทลงเอยที่สมบูรณ์ของพี่สาว
นทีแต่งตัวหล่อมายืนรอเฟิร์นที่หน้าโรงหนัง นทีถอดใจคิดว่าเฟิร์นคงไม่มา นทีเดินจ๋อยๆ ลงบันไดเลื่อน
ทันใดนั้นเฟิร์นในชุดหวานอย่างมีสไตล์ก็เดินขึ้นบันไดเลื่อนข้างๆ มา เฟิร์นยิ้มหวานให้นที นทีทำหน้างอนๆ ไม่สนใจโดยมองตรงไปข้างหน้า บันไดเลื่อนเลื่อนลงไป เฟิร์นหันมองตามไปแบบหน้าจ๋อยๆ ก่อนจะหันกลับไปก้มหน้าซึมๆ
นทีรีบร้อนวิ่งลงบันไดแล้ววิ่งกวดขึ้นบันไดเลื่อนตามเฟิร์นขึ้นมาจนทัน นทีมาหยุดข้างเฟิร์น เฟิร์นหันไปมองแล้วก็ดีใจมากที่เป็นนที เธองอนๆ แล้วก็ทั้งตีทั้งหยิกนทีก่อนจะโดนนทีจับมือเอาไว้ แล้วเดินจับมือขึ้นบันไดเลื่อนไปด้วยกัน
ลาภิณขับรถเปิดประทุนให้เจติยานั่งคู่หน้า ส่วนคู่หลังคือนวัชและนิษฐา ทั้ง4 คนคุยกันสนุกสนานเฮฮาบนรถที่แล่นไปตามถนนนอกเมืองวิวสวยงาม ป้ายทะเบียนหลังรถเขียนว่า “Honeymoon” พร้อมลากกระป๋องตามไปเป็นพรวน
ลาภิณเดินลากกระเป๋ามือนึงโอบเอวเจติยาอีกมือนึง โดยเดินคุยมาตามทางเดินกับคู่ของนวัชและนิษฐาที่ต่างลากกระเป๋ามือนึง จูงมือกันข้างนึง สองคู่เดินคุยกันมา
“คุณต้นเอาเสื้อผ้ามาน้อยจังเลย” นิษฐาว่า
ลาภิณตอบหน้าตาย “จะมีเวลาได้ใส่เหรอ”
เจติยาเขินอายจึงหยิกเอวลาภิณบิดทันที นวัชขำๆ ส่วนนิษฐาก็เขินๆ เหมือนเพื่อน
“อีก 15 นาทีเจอกันนะฐา” เจติยาบอก
นวัชกระเซ้าหน้าตาย “เร็วไปป่ะเจ”
ลาภิณขำๆ แล้วแซว “หักห้ามใจนิดนึงนะผู้กอง”
นิษฐายิ่งเขินๆ จึงทั้งหยิกทั้งตีนวัชเป็นการใหญ่
“โอ๊ยฐา พี่ไม่ได้หมายความยังงั้นซะหน่อย คิดลึกกันไปเอง” นวัชว่า
เจติยากลั้นยิ้มจ้องหน้านวัชและนิษฐา “ตกลงจะไปเดินเล่นกันมั้ยคะ”
นวัชกับนิษฐาตอบพร้อมกัน “ไปจ้ะ”
ลาภิณทำรีบร้อนจูงเจติยาวิ่งนำไปยังบ้านพัก “เร็วเจ ทำเวลา”
เจติยาโดนลากตัวปลิวตามไป “บ้า คุณต้น เดี๋ยวเค้าเข้าใจผิด”
นวัชกับนิษฐามองตามเพื่อนไปขำๆ ก่อนจะหันมายิ้มแย้มให้กัน นวัชหอมแก้มนิษฐาก่อนกอดเอวเดินคู่ไปยังบ้านพักของตน
เจติยาเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่เดินนำออกมาจากตัวบ้านมายืนสูดอากาศบริสุทธิ์ที่หน้าระเบียง ชายคนหนึ่งเดินตามออกมา
“ไปค่ะ เลทแล้ว เดี๋ยวพวกนั้นแซวตายเลย” เจติยาหันกลับไปแล้วก็สะดุ้งสุดตัว
คนที่เดินตามออกมาไม่ใช่ลาภิณ แต่เป็น”ฉายา”
เจติยาตกใจมาก “ท่านยมฑูต”
ฉายายิ้มบางๆ “ไม่ต้องตกใจ ฉันไม่ได้มารับวิญญาณใคร ฉันแค่นำคำขอบคุณจากองค์มัจจุราชมาให้เธอ” ฉายายิ้มให้ “ท่านบอกว่าท่านดีใจที่ท่านเลือกคนไม่ผิด”
เจติยายิ้มรับ “ขอบคุณค่ะ”
“นอกจากเธอจะทำลายเหรียญได้แล้ว เธอยังช่วยมนุษย์ไม่ให้ตกเป็นทาสกิเลสเพิ่มขึ้นอีกคน” ฉายายิ้มชื่นชม “นี่ถ้าอยุทธ์ไม่ได้เธอชี้หนทาง เค้าอาจไม่ช่วยให้ภารกิจครั้งนี้สำเร็จก็เป็นได้”
“มันเป็นเพราะคุณอยุทธ์คิดได้เองตะหากล่ะคะ แต่มันก็ยากอยู่เหมือนกัน เพราะมันเกี่ยวพันกับชีวิตของพ่อเค้า”
“ถึงจะเลือกรักษาชีวิตพ่อแม่ด้วยกล่องรากบุญได้ แต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลง คือพวกเค้าจะมีเวลาตายอยู่เคียงข้างเสมอ หมายความว่าผู้ที่เลือกกล่องรากบุญ ก็จะเป็นทาสไม่รู้จบของมายาบาปในคราบการทำบุญร่ำไป เธอเป็นคนเดียวที่ยืนหยัดและรู้แจ้ง ยอมรับในชะตากรรมของมนุษย์ แม้จะต้องสูญเสียแม่ ข้อนี้ฉันชื่นชมเธอนะ เจติยา”
เจติยายิ้มรับกับคำชมนี้
ฉายามีสีหน้านิ่งขรึมลง “ฉันมาที่นี่ เพราะมีภารกิจสำคัญที่จะมาบอกกับเธอ”
“ภารกิจอะไรคะ” เจติยาถาม
ฉายายื่นมือข้างหนึ่งแบออกมา เจติยายื่นมือไปจับมือของฉายาไว้ สิ่งที่เจติยาเห็นทำให้เจติยาตกใจจนหน้าซีดเผือด ลาภิณเดินตามออกมาก็ไม่เห็นยมทูตฉายาแล้ว เขาเห็นแต่เจติยาคนเดียวที่ยืนหน้าซีดๆ
มีท่าทางตกใจอยู่
“มีอะไรเหรอเจ” ลาภิณทำหน้าเซ็ง “มีวิญญาณมาขอความช่วยเหลืออีกแล้วเหรอ”
“เปล่าค่ะ”
เจติยาเข้าไปสวมกอดลาภิณเอาไว้แน่น
ลาภิณรู้สึกทะแม่งๆ “เจแน่ใจนะว่าไม่มีอะไร”
“ค่ะ”
เจติยาซบหน้ากับอกลาภิณโดยมีสีหน้าแววตาเครียดไปอย่างใช้ความคิดกับภารกิจใหม่ที่ได้รับมอบหมายจากท่านยมฑูต
จบบริบูรณ์