หัวใจเถื่อน ตอนที่ 12
ก่อนหน้าที่อมาวสีจะเข้ามาในห้องนี้ ราชนอนหลับตานิ่งกลางเตียงใหญ่ เสียงความในใจของเขาดังก้องขึ้นในห้วงคิด
“ไม่มีใครรู้อนาคตของตัวเอง...ทุกคนรู้จักเพียงอดีต ซึ่งเราสามารถเรียนรู้ และจดจำมันได้...มากหรือน้อยอยู่ที่ความสำคัญของเรื่องราวนั้นๆ”
ภาพเหตุการณ์ในอดีตของราช ปรากฏซ้อน เรียงรายขึ้นมาในห้วงคิดของเขา
“บางเรื่องราวเกิดขึ้นมานานกว่ายี่สิบปี...แต่เรากลับจดจำได้ดีไม่ต่างจากเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น...อดีตเหล่านั้นจะมีผลอย่างไรต่ออนาคตของชีวิต ขึ้นอยู่กับว่าเรายึดติดกับความทรงจำส่วนไหนมากกว่ากัน”
ราชค่อยๆลืมตาขึ้น แววตาเต็มไปด้วยความทรงจำฝังใจมากมาย
“และเราเท่านั้น ที่เป็นผู้เลือกมัน...ด้วยตัวของเราเอง”
คืนเดียวกันนั้น รถภากรค่อยๆ แล่นเข้ามาช้าๆ แล้วจอดนิ่งริมถนนไม่ไกลจากหน้าบ้านสีไพร ภากรชะเง้อมองไปยังบ้านหลังนี้ นายสุดนั่งเล่นอยู่บริเวณหน้าบ้านนั้น เขาเหลือบมองรถภากร แล้วจึงเดินออกจากบ้านผ่านรถมันไปเฉยๆ
ภายในบ้าน สีไพรก้มหน้าอาเจียนอยู่ จนเมื่อเงยหน้าขึ้น สีหน้าเธอจึงเปลี่ยนเป็นตื่นเต้นดีใจ
“คุณภากร”
ภากรยืนอยู่เบื้องหน้าเธอ “ไม่สบายเหรอสีไพร”
“ค่ะ เวียนหัวนิดหน่อย...คุณภากรทานอะไรมารึยังคะ”
ภากรส่ายหน้า “ฉันไม่หิว ฉันแค่อยากมาคุยด้วยเท่านั้น...ฉันไม่รู้จะคุยกับใคร”
สีไพรชะเง้อมองออกไปทางหน้าบ้าน
“พ่อสีไพรเพิ่งออกไปจากบ้านเมื่อกี้นี้ เขาคงไม่อยากเห็นหน้าฉัน”
“ไม่จริงหรอกค่ะ”
“จริง...ไม่มีใครอยากเห็นหน้าฉันหรอก นอกจากคนๆ เดียวเท่านั้น...ใครรู้มั้ย”
สีไพรมองหน้าภากร รอฟังต่อ
“เจ้าหนี้ของฉันไง”
สีไพรแปลกใจ “คุณภากรติดหนี้ใครเหรอคะ”
“เยอะแยะ เธอไม่รู้จักพวกเขาหรอก สีไพร”
“เท่าไหร่คะ”
“เท่าไหร่? ลองเดาดูมั้ย บริษัทผลิตยาของฉันเจ๊ง เงินลงทุนทั้งหมดสูญเปล่าแถมกำลังจะถูกฟ้องข้อหาฉ้อฉล หลอกลวง ถ้าฉันไม่จ่ายเงินชดใช้ให้พวกเขา”
สีไพรมองภากรด้วยความสงสารเห็นใจ
“ฉันนึกไม่ออกเลยว่า อนาคตของฉันจะเป็นยังไง”
“คุณภากรต้องผ่านมันไปได้ค่ะ สีไพรเชื่อว่า คุณภากรจะต้องเอาชนะปัญหาเหล่านี้ได้แน่ๆ”
ภากรบอก “เกือบร้อยล้านบาท”
สีไพรถึงกับสะดุ้ง
“ยังคิดว่าฉันจะผ่านมันไปได้อีกมั้ย”
“ต้องได้สิคะ ก่อนแม่ตาย แม่เคยบอกสีไพรว่า ทุกปัญหาคือบททดสอบ ถ้าเราเข้มแข็ง ไม่ท้อซะอย่าง เราจะเอาชนะทุกปัญหาได้เอง ช้าหรือเร็วอยู่ที่ปัญญา คุณภากรเป็นคนหนุ่ม ฉลาด มีความสามารถ...คุณภากรจะผ่านมันไปได้ ไม่ยากหรอกค่ะ”
“เธอคิดอย่างนั้นจริงๆเหรอ”
“ค่ะ”
ภากรดึงร่างสีไพรเข้ามา โอบกอดไว้อย่างนุ่มนวล
“สีไพรพอจะช่วยอะไรคุณภากรได้บ้างมั้ยคะ”
“แค่นั่งฟังฉัน ไม่เห็นฉันเป็นไอ้หน้าโง่ ก็พอแล้ว”
“อย่าว่าตัวเองอย่างนั้นเลยนะคะ คุณภากรแค่ยังไม่มีโชคเท่านั้นเอง แต่อีกไม่นานโชคจะต้องเข้าข้างคุณภากรบ้าง คอยดูสิ"
ภากรรู้สึกชื่นใจในถ้อยคำปลอบประโลมของสีไพร
ส่วนอมาวสี ยังคงจ้องหน้าราชนิ่ง เธอค่อยๆ เอ่ยปากออกมาช้าๆ ชัดๆ
“คุณพูดว่าไงนะ”
“คุณไม่ได้ยินเหรอ...หรือคุณอยากให้ผมพูดประโยคนี้ซ้ำๆบ่อยๆ”
อมาวสีถอนใจเบาๆ เหนื่อยใจกับน้ำคำเสียดสีนั้น แล้วจึงเอ่ยปาก
“เดี๋ยวฉันหยิบยาให้นะคะ”
“ยา” ราชฉงน
“บำรุงสมอง...หมอบอกว่าช่วงนี้คุณอาจจะยังมีอาการเบลอๆ ขาดสติอยู่บ้าง”
ราชขยับตัวลุกขึ้นนั่ง ท่าทีจริงจัง
“ผมรู้ตัวว่าผมพูดอะไรออกไป โดยไม่ต้องใช้ยา และคุณไม่ควรปฏิเสธข้อเสนอของผม”
“คุณบังคับฉันเหรอ”
“ผมแนะนำ...”
คราวนี้อมาวสีงง “แนะนำ”
“ใช่...แนะนำให้คุณแต่งงานกับผม”
อมาวสีจ้องหน้าราชเต็มๆ ตา และเอ่ยปากชัดถ้อยชัดคำ
“คุณเป็นผู้ชายที่ไม่มีหัวใจจริงๆ คุณมันพวกกดขี่ทางเพศ คิดจะเอาแต่ได้ฝ่ายเดียว คุณเคยรู้บ้างมั้ยว่าความรักคืออะไร คุณเคยสนใจความรู้สึกของผู้หญิงบ้างมั้ย คุณไม่เคยเลย”
“คุณเป็นอะไรของคุณ...ถ้าไม่เห็นด้วยก็ปฏิเสธมาสิ”
อมาวสีฉันปฏิเสธ
ราชถอนหายใจ ครุ่นคิดอยู่นิดหนึ่ง
“งั้นคุณแต่งกับนายวารินก็ได้”
“อะไรนะ”
“ถ้าคุณไม่อยากแต่งกับผม ก็แต่งกับนายวาริน ผมจะขอร้องมันเอง”
อมาวสีเริ่มโกรธ “คุณเป็นบ้ารึเปล่าเนี่ย มีสิทธิ์อะไรมายกฉันให้คนโน้นคนนี้...การแต่งงานคือการที่คนสองคนตัดสินใจใช้ชีวิตร่วมกัน ร่วมเป็นร่วมตาย เป็นสามีภรรยากัน เป็นครอบครัว เดียวกัน คุณคิดว่ามันทำกันง่ายๆ เหรอ มันต้องเริ่มจากความรักคุณรู้บ้างมั้ย”
“คุณเข้าใจผิดไปใหญ่แล้ว คิดว่าผมขอคุณแต่งงานเหรอ”
อมาวสีฉงน “คุณเพิ่งพูดเมื่อกี้นี้เอง”
“ผมไม่ได้ขอคุณแต่งงาน...ผมแค่บอกให้คุณแต่งงานกับผม”
อมาวสีอึ้ง แสดงออกด้วยสีหน้างุนงงอย่างหนัก
“อะไรของคุณ”
“คุณต้องแต่งงานกับผม เพื่อรักษาเกียรติและศักดิ์ศรีของตัวคุณเอง ผมจะได้พาคุณกลับไปส่งบ้านได้โดยไม่มีใครครหา ไม่ได้เกี่ยวกับการร่วมเป็นร่วมตายอะไรของคุณเลย แต่ถ้าคุณรังเกียจผม ผมก็จะขอให้นายวารินมันออกหน้าเป็นสามีของคุณให้...ก็เท่านั้น...เข้าใจรึยัง”
อมาวสีจ้องหน้าราช สแกนทะลุลึกถึงหัวใจ บอกออกมาอย่างขุ่นเคืองว่า
“คุณเป็นผู้ชายที่โคตรชุ่ยเลย”
“คุณเป็นผู้หญิงคนแรกที่พูดกับผมอย่างนี้ แล้วผมไม่โต้ตอบ”
“คุณโต้ตอบคนอื่นยังไง”
“อย่ารู้ดีกว่า”
พลาง ราชเอนตัวลงนอน
“ถ้าการที่ฉันจะกลับบ้าน ต้องทำให้ผู้ชายอย่างคุณเดือดร้อน ต้องอุปโลกน์ตัวเองเป็นสามีละก้อ ฉันหนีกลับเองดีกว่า และฉันก็จะบอกใครๆ ว่าสามีฉันเป็นคนป่าชื่อนายแปลก”
อมาวสีปิดไฟในห้องและเอนตัวลงนอน ทั้งสองนอนนิ่งในความมืด อยู่ๆ ราชก็เอ่ยปากขึ้นมา
“อมาวสี...คุณไม่รู้อะไร”
“อะไร”
“ไอ้แปลกมีเมียแล้ว...สวยด้วย”
อมาวสียั๊วขยับตัวลุกขึ้นนั่ง ไฟในห้องสว่างขึ้น
“คุณคิดว่าฉันจะแต่งงานกับนายแปลกจริงๆเหรอ”
“ผมยังไม่ได้พูดอย่างนั้น”
“ก็คุณบอกฉันว่าเขามีเมียแล้ว”
“นั่นเป็นความจริง”
“แต่มันไม่เป็นปัญหาสำหรับฉัน เพราะฉันจะอ้างชื่อใครขึ้นมาเป็นสามีก็ได้ ไม่ได้ต่างกันตรงไหน จะเป็นมนุษย์ต่างดาว หรือคนต่างด้าวก็ได้ทั้งนั้น ไม่เห็นต้องพึ่งคุณให้ไปขอร้องพี่วารินสักนิด”
อมาวสีเอนตัวลงนอนทันทีที่พูดจบ เธอปิดไฟในห้องอีกครั้ง ราชเอ่ยปากขึ้นท่ามกลางความมืด
“แล้วถ้านายวารินเขาเต็มใจ เขาตั้งใจจริงๆ เขาอยากแต่งงานกับคุณจริงๆล่ะ”
“ให้เขามาขอฉันเอง”
“รับปากได้มั้ยล่ะว่าคุณจะตอบตกลง...ผมจะได้บอกเขา”
“ทำไมฉันจะต้องรับปากกับคุณ ในเมื่อมันไม่ใช่เรื่องของคุณ”
“โอเค ถ้างั้นผมจะพาคุณไปส่งที่บ้านเขา จากนั้น คุณกับเขาก็เจรจากันเองแล้วกัน”
ไฟในห้องสว่างขึ้นอีกครั้ง ราชและอมาวสีนอนจ้องหน้ากัน
“รับรองว่าคุณจะไม่ผิดหวังในตัววาริน”
“ฉันรู้ และรอให้เขามาขอฉันนานแล้ว”
อมาวสีกดปุ่มปิดไฟอีกที ห้องนอนนี้จึงมืดสนิทในทันใด และไม่มีเสียงโต้เถียงกันดังจากห้องนี้อีก จนเช้า
เช้าตรู่ เทินเดินเข้ามาในโรงครัวหน้าตาสดชื่น แอ้มยืนล้างถ้วยชามอยู่บริเวณนั้น หันมาทักทายเทินด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
“หลับสบายมั้ยคะ”
“สนิทเลยจ้ะ...ไม่ได้หลับลึกอย่างนี้มานาน”
“ตื่นมาหิวเลยละซี”
“แหม...รู้ใจจริงๆ”
แอ้มกระแซะเข้าไปใกล้ๆเทิน
“อยากได้คนรู้ใจอย่างนี้ไปอยู่ที่บ้านด้วยมั้ยคะ”
เทินร้อง “เฮ่ย”
“พูดจริงนะ แอ้มทำงานไร่มานานแสนนาน แอ้มอยากจะเป็นแม่บ้านแม่เรือนบ้าง...แอ้มว่า แอ้มต้องทำได้ดีแน่ๆเลย...ลองดูมั้ยคะ”
เทินถอยตัวห่างออกมาจากแอ้ม
“เอ้อ...ฉันมีเมียแล้วนะ...ลูกฉันก็โตจนเป็นหนุ่มแล้วด้วย”
ไอ้ป๊อดเดินส่งเสียงนำเข้ามาก่อนตัว
“นั่นแหละครับที่นังแอ้มต้องการ มันอยากจะเป็นลูกสะใภ้น้าเทิน”
“อ๋อเหรอ...”
ป๊อดกระชากแขนแอ้มออกมา
“มากับฉันนี่...มาเป็นลูกสะใภ้สับปะเหร่อซะดีๆ”
“เดี๋ยวก็ถีบให้หรอกไอ้นี่”
แอ้มถกผ้าถุงถีบเข้ากลางลำตัวไอ้ป๊อดทันควัน ไอ้ป๊อดฉากหลบแทบไม่ทัน
“น้าเทินครับ...นายให้ไปหาที่ห้องครับ เดี๋ยวนี้เลยนะครับ
ที่โต๊ะอาหารเช้า ราชและอมาวสีนั่งนิ่งๆ ไม่พูดไม่จากัน จนเทินเดินเข้ามาในนี้
“กินข้าวรึยัง” ราชทัก
“ยังครับ”
“รีบๆกินซะ ฉันจะรอที่รถ”
“รถใคร”
“รถน้าเทินไง”
ราชขยับตัวลุกขึ้น
“เอ้อ คุณราชจะไปไหน”
“ไปสนามบิน ฉันจะไปภูเก็ต”
อมาวสีเหลือบมอง นิ่งๆ
“เดี๋ยวนี้เลยเหรอครับ”
“น้าบอกผมเองว่าคุณลุงต้องการพบด่วน”
เทินทักท้วง “แต่คุณราชยัง...”
“ฉันแข็งแรงดี”
ราชลุกเดินออกไปเลย อมาวสีออกอาการหายใจแรงกว่าปกติเล็กน้อย
ป้าเอิบยกข้าวต้มโถใหญ่เข้ามา
“มาแล้วจ้า ข้าวต้มกระดูกหมูเห็ดหอม มาแล้วจ้า”
“เอาไปเก็บป้า...ไม่มีใครอยากกินหรอก” อมาวสีบอก
“กำลังร้อนๆน่าทานเลยนะคะ”
“น้าเทินกินก็แล้วกัน เดี๋ยวต้องขับรถอีกไกล...ฉันไม่หิว”
อมาวสีลุกเดินออกจากโต๊ะไปอีกคน
ไอ้ทินนั่งกินข้าวอย่างมีความสุข มันได้รับมอบหมายให้มาดูแลออฟฟิศราชในกรุงเทพฯ มันถือโทรศัพท์ออฟฟิศแนบหู พร้อมกับเอ่ยปากพูดไปด้วย
“ฮัลโหล...บริษัทดีเอสเอฟมูฟวิ่ง รับเคลื่อนย้ายพัสดุสิ่งของทั้งในและนอกราชอาณาจักรครับ...ดีย่อมาจาก ไดเร็ค ตรง...เอสย่อมาจากเซฟ ปลอดภัยเอฟย่อมาจาก ฟ้าสต์ รวดเร็ว...ส่วนผมชื่อทิน ย่อมาจากประทินแปลว่าสะอาดหมดจด ผมเป็นผู้จัดการฝ่ายรักษาความสะอาดครับ ตอนนี้บอสไม่อยู่ มีอะไรพูดกับไอ้ทินคนนี้ได้ครับ...เอ้อ...ไอ ค้าน สปี๊ค ไชนีส...เซี่ยเซี่ย...”
ทินวางหูไป จอนเดินเข้ามาด้านหลัง
“แกคือลูกชายนายเทินใช่มั้ย”
ทินหันไปมอง แปลกใจ ไม่รู้จัก
“จะล้อชื่อพ่อผมเหรอ”
“ท่าทางกวนกว่าพ่อนะ”
“รู้จักพ่อผมได้ยังไง”
“คนเก่าคนแก่ของนายรักษ์ รัชภูมิ ฉันรู้จักทุกคน”
“แต่ผมไม่รู้จักคุณ...แล้วคุณเข้ามาในนี้ได้ยังไง”
“ไม่ยากนี่...พ่ออยู่ไหน”
“ไปต่างจังหวัด ผมมาเฝ้าออฟฟิศแทนพ่อ”
“แล้วเจ้านายแกอยู่ไหน...ไอ้ราชน่ะ”
สรรพนามที่เรียกเจ้านายว่า ไอ้ ทำให้ทินมองจอนนิ่ง พิจารณาก่อนเอ่ยปากตอบ
“อือม...ไม่ทราบ”
“มันสั่งไว้ ไม่ให้บอกใครงั้นสิ”
ทินวางท่าเมินเฉย นิ่งเงียบ จอนค่อยๆ หยิบเงินออกมาจากกระเป๋าปึกหนึ่ง
“มันอยู่ไหน”
ทินยังนิ่ง จอนหยิบเงินออกมาอักปึกหนึ่ง
“ไอ้ราช อยู่ไหน...”
ทินยังคงไม่ไหวติง
จอนหยิบเงินเพิ่มขึ้น “อยู่ไหน...”
ทินเหลือบมองดูสตางค์ในมือจอน จอนหยิบเงินเพิ่มอีกหนึ่งปึก
“รู้รึยังว่าอยู่ที่ไหน”
“รู้แล้ว...แต่ไม่บอก”
จอนเงื้อหมัดชกตรงไปที่หน้าไอ้ทินเต็มๆ หมัด ไอ้ทินล้มคว่ำเลือดกบปาก
“มึงจะเอาเงินหรือเอาตีน”
เสียงโทรศัพท์สำนักงานดังขึ้น ทินขยับวิ่งไปรับโทรศัพท์ จอนกระชากคอทิน แล้วเอื้อมมือเปิดเสียงให้ดังออกมาทางลำโพง เสียงเทินดังออกมาจากลำโพงโทรศัพท์
“ไอ้ทิน”
จอนพยักหน้าให้ไอ้ทินพูดโทรศัพท์
“พ่อ”
เทินขับรถไปบนถนนร่มรื่น ออกจากบ้านกลางไร่ เขาพูดโทรศัพท์กับลูกชายไปด้วย
“อยู่บ้านดีๆ นะ พ่อจะไปภูเก็ตกับคุณราชสองวัน เงินที่ใส่ไว้ในกล่องพอใช้มั้ย”
ไอ้จอนมองหากล่องใบนั้นจนเจอ ทินยังคงอ้าปากพูดแบบอึกๆ อักๆ
“พ่อ...ครับ”
“มีอะไรรึเปล่า” น้ำเสียงเทินแปลกใจ
“มี...เอ้อ...”
“อะไร”
จอนจ้องหน้าไอ้ทินด้วยสายตาโคตรดุ
“เอ้อ...ซื้อน้ำพริกกุ้งเสียบมาฝากด้วยนะพ่อ”
จอนยิ้ม มันเปิดกล่องใบนั้นออกมาดู เห็นเงินและกระดาษโน้ตหนึ่งแผ่น บนกระดาษใบนั้นมีลายมือเขียนหมายเลขโทรศัพท์และชื่อ "น้าป่วน บ้านไร่"
จอนหยิบมันขึ้นมาดู โดยที่ไอ้ทินไม่ทันเห็น
“เออ...แล้วถ้ามีใครมาถามอะไรไม่ต้องบอกล่ะ เข้าใจมั้ย”
“ฉันเข้าใจ...แต่พ่อนั่นแหละไม่เข้าใจ”
“อะไรของเอ็งวะ”
จอนคว้าโทรศัพท์เครื่องนั้นขึ้นมาพูด เปิดปากทัก
“สบายดีเหรอน้าเทิน”
เทินพูดโทรศัพท์ขณะขับรถ
“ไอ้จอน”
ในรถคันนี้ มีราชนั่งอยู่ข้างๆ เทิน ราชหันขวับมามอง เมื่อได้ยินเทินเอ่ยชื่อไอ้จอน
จอนนั่งวางมาดพูดโทรศัพท์กลางออฟฟิศ ไอ้ทินยังคงโดนไอ้จอนค้ำคออยู่ตรงนั้น
“ฉันแวะมาที่นี่ ตั้งใจจะไถเงินไอ้ราชซะหน่อย แต่มันดันไม่อยู่...งั้นฉันขอเงินของลูกแกไปแล้วกัน...ฝากบอกไอ้ราชด้วยว่า อย่าปอกลอกลุงฉันจนหมดตัวล่ะ...เดี๋ยวตอนแบ่งมรดก มันจะไม่มีอะไรเหลือ”
จอนวางโทรศัพท์ลง คว้าเงินในกล่องนั้นทั้งหมด
“เก็บผักเก็บหญ้าแถวนี้กินไปสองวันแล้วกันนะ”
จอนเดินยิ้มกวนโทสะออกไปจากออฟฟิศทันที
ทางด้านเทินวางโทรศัพท์มือถือลง ทำหน้าที่คนขับรถต่อไป ส่วนราชนั่งเหม่อมองไกลออกไปนอกหน้าต่างรถ
“ไอ้จอนนี่มันแสบจริงๆ” เทินบ่น
“ช่างมันเถอะ ถึงยังไงมันก็เป็นหลานลุงรักษ์ มากกว่าฉันซะอีก มันอยากได้เงินก็ให้มันไปเถอะ”
รถของเทินแล่นไปบนถนนร่มรื่น มุ่งหน้าเข้าสู่สนามบินสุวรรณภูมิ
ฟากภากร ขับรถของเขา เคลื่อนไปบนถนนในเมืองหลวง สายตาของภากรทอดออกไปไกล อย่างครุ่นคิด ถึงเหตุการณ์เมื่อตอนกลางคืนที่เพิ่งผ่านมา
ในตอนนั้นสีไพร หยิบเงินปึกใหญ่ออกมาจากกล่องส่วนตัวของเธอ มันถูกมัดรวมไว้อย่างเรียบร้อย สีไพรยื่นเงินปึกนั้นให้ภากร
“มันอาจจะไม่มากเท่าจำนวนเงินที่คุณภากรต้องการ แต่มันก็น่าจะมีประโยชน์สำหรับคุณภากรบ้าง ไม่มากก็น้อย”
ภากรมองเงินปึกนั้นด้วยความแปลกใจ
“เอามาจากไหน ตั้งเยอะแยะ”
“มันคือเงินที่คุณภากรให้สีไพร ทุกครั้งที่เรา ทุกครั้งที่คุณภากรมาหาสีไพร”
ภากรถึงกับอึ้ง
“สีไพร”
“สีไพรไม่อยากได้ชื่อว่าทำเพื่อเงิน...มันคือเงินของคุณภากรค่ะ สีไพรเพียงแต่เก็บรวบรวมมันไว้ และไพรจะดีใจมาก ถ้ามันจะเป็นทุนในการสร้างโอกาสครั้งใหม่ของคุณภากร”
ภากรมองเงินปึกนั้น พูดไม่ออก เขาผลักมันกลับไปยังสีไพร
“ฉันไม่เอา”
“เก็บไว้เถอะค่ะ ขอให้ไพรทำอะไรให้คุณภากรบ้างเถอะค่ะ”
สีไพรยัดเงินปึกนั้นใส่ไปในมือภากร
ภากรมองหน้าสีไพร ซาบซึ้ง เขาดึงร่างของสีไพรมากอดไว้แน่น
“ขอบใจมากสีไพร...ขอบใจมาก”
รถภากรแล่นเข้ามาจอดในบ้านพิชิตพงษ์แล้ว ภากรนั่งนิ่งๆ หลังพวงมาลัยรถ เขาล้วงเงินปึกนั้นออกมาจากกระเป๋า จ้องมองดูมันสักพัก แล้วจึงเปิดลิ้นชักรถ โยนเงินปึกนั้นเข้าไป
ในลิ้นชักรถ เห็นสายสร้อยข้อมือที่สีไพรถักให้วางนิ่งอยู่ในนั้นด้วย
ท่านกวีเดินออกมาจากตัวบ้าน มาหยุดยืนข้างๆ รถ มองจ้องไปยังผู้เป็นลูกชาย
“แกมันจะสบายเกินไปแล้วนะ นึกอยากจะทำอะไรก็ทำ ลอยไปลอยมา ไม่มีเดือดเนื้อร้อนใจ บ้านช่องไม่คิดจะกลับ ทำบริษัทเสียหายป่นปี้ ก็ไม่สน...แกเคยคิดจะร่วมรับผิดชอบสิ่งเหล่านี้บ้างมั้ย...แล้วไปก่อเรื่องอะไรมาอีก ถึงไม่กล้าลงจากรถ”
ภากรค่อยๆ ก้าวลงจาก ท่านกวีมองจ้องสภาพหน้าตา และเฝือกอ่อนที่แขนของลูกชายเขาถึงกับถอนหายใจ อึ้ง
“มีอะไรจะอธิบายมั้ย”
ภากรส่ายหน้าช้าๆ
“ไปหาหมอมารึยัง”
ภากรค่อยๆ พยักหน้า
“บอกหมอเขาว่าโดนอะไรมา”
“หมอเขาไม่ถาม”
“เพราะเขาเห็นแผลก็รู้แล้วว่า แกไปมีเรื่องอาละวาดชกต่อยมาน่ะสิ”
ภากรก้มหน้านิ่ง
“พวกมันกี่คน”
“สาม”
“แกล่ะ”
“คนเดียว”
“แจ้งความรึเปล่า”
“เปล่า”
“แกคิดจะให้พ่อหาคนไปแก้แค้นเอาคืนกับไอ้พวกนั้นอีกใช่มั้ย”
“เอ่อ...”
“เหมือนที่ฉันส่งคนไปทลายบ่อนให้แก ใช่มั้ย”
“พวกมันถึงได้ มาเล่นงานผม เป็นการเอาคืนไงครับ”
“แกโทษพ่อเหรอ”
“เปล่า”
“แล้วแกโทษใคร”
“ผมไม่ได้โทษใคร”
“ถ้างั้นก็หัดโทษตัวเองบ้าง ด่าตัวเองบ้าง ว่า ไม่เคยรักดี ถือว่ามีพ่อเป็นนักการเมือง ก็มั่วสุมการพนัน ยาเสพติด ท้าตีท้าต่อยกับผู้คนเขาไปทั่ว ชาวบ้านเขาถึงว่า ไอ้พวกลูกนักการเมือง มันเลวไม่มีดีซักคน”
ภากรตาแดงก่ำ น้ำตาเอ่อ
“พ่อจะด่าผมยังไง ผมก็เป็นลูกพ่อนะครับ”
“เออสิ...เพราะฉันไม่มีทางเลือกแล้วไง ฉันเลือกลูกคนใหม่ไม่ได้นี่หว่า ฉันถึงต้องทนอยู่กับไอ้ลูกโง่ๆอย่างนี้
“ผมก็เลือกพ่อใหม่ไม่ได้เหมือนกันครับ”
“งั้นแกก็ไปหาแม่แก ไปอยู่กับแม่แก...แล้วไม่ต้องมาให้ฉันเห็นหน้าอีกนะ”
“ได้ครับ พ่อ”
ภากรรีบเดินไปด้วยอาการน้อยใจ
คุณหญิงอำภาก้าวเข้ามายังระเบียง หน้าตาตกใจ
“โธ่ ลูกแม่...ทำกันขนาดนี้เชียวเหรอ...เจ็บมากมั้ยลูก”
ภากรนั่งซุกตัว อยู่เบื้องหน้าผู้เป็นแม่ เขาเอ่ยปากพูดทั้งน้ำตา ไม่อายผู้ใด
“เจ็บกายไม่เท่าไหร่หรอกครับ แต่เจ็บใจ เสียใจมากกว่า...เสียใจที่ผมเกิดมาโง่ ไม่รู้ทันคน ทำให้พ่อแม่ต้องเสียหายไม่มีที่สิ้นสุด”
“ช่างเถอะลูก เราค่อยๆเรียนรู้กันไป พลาดไปแล้วก็ค่อยๆแก้ไข ปรับปรุงกันใหม่”
“ถ้าพ่อเข้าใจอย่างแม่ก็ดีสิครับ...”
คุณหญิงอำภาค่อยๆ โอบกอดปลอบประโลมลูกชาย
“พ่อเข้าใจลูกมากกว่าแม่ด้วยซ้ำ พ่อเขาอยากให้ลูกโตขึ้น”
“ผมไม่โตไปกว่านี้แล้วหละครับแม่ บางที ผมนึกอยากจะหนี ผมอยากหนีออกจากบ้าน ไปให้พ้นๆ แบบไอ้ภาคย์”
คุณหญิงอำภาสะอึกขึ้นมานิดนึง เมื่อได้ยินชื่อภาคย์
“ผมเข้าใจแล้วว่าไอ้ภาคย์มันหนีออกจากบ้านทำไม...วันนึงถ้าผมหายไป แม่ต้องเข้าใจผมนะครับ”
“ไม่เอานะลูก...ลูกแม่หายไปคนนึงแล้ว ภากรอย่าทิ้งแม่ไปอีกคนเลยนะลูก”
สองแม่ลูกกอดกันด้ยวยความรัก มันเป็นภาพที่ใครในบ้านพิชิตพงษ์ก็ไม่เคยเห็นมาก่อน
อ่านต่อหน้า 2
หัวใจเถื่อน ตอนที่ 12 (ต่อ)
อมาวสีและแอ้มช่วยกันเก็บที่นอนในห้องนอนของราช แอ้มเอ่ยปากบ่นไปเรื่อยๆ
“นายหญิงไม่น่าปล่อยให้นายไปเลย ไปไกลตั้งภูเก็ต ร่างกายก็ยังไม่แข็งแรงดี...อยู่ทางโน้น จะมีใครดูแล เป็นอะไรไปมันไม่คุ้มกันนะคะนาย”
“คนอย่างเขาไม่เป็นอะไรง่ายๆหรอก”
“แหม...ใครจะรู้คะ”
“แล้วใครจะห้ามเขาได้ล่ะ”
“ก็นายหญิงไงคะ คนเป็นเมีย พูดอะไรผัวก็ต้องฟังสิคะ...ถ้าเป็นแอ้มนะ ขืนไม่เชื่อ ไม่ฟังละก้อ หาผัวใหม่เลย”
“เหรอ หาได้ง่ายอย่างนั้นเลยเหรอ”
“ได้หรือไม่ได้ก็ต้องขู่ไว้ก่อนหละค่ะ”
อมาวสีเหลือบไปเห็น ไอแพดของราชวางอยู่ในห้อง
“แอ้มเอาที่นอนของฉันไปเก็บที่ห้องที”
“เห็นมั้ย นอนด้วยกันได้คืนเดียว ก็ต้องแยกกันนอนอีกแล้ว...ยังไม่ทันจะมันเลย”
แอ้มเดินบ่นออกไป อมาวสีหยิบไอแพดของราชขึ้นมาเปิดเล่น
ที่หน้าจอไอแพด เห็นตัวหนังสือบอกว่า มีข้อความส่งมาทางไลน์ มากมาย ชื่อผู้ส่งเป็นคนเดียวกันทั้งหมด คือชื่อ "น้องแก้ว อรัญญา"
อมาวสีตัดสินใจคลิกเข้าไปดูข้อความในไทม์ไลน์มีข้อความส่งมามากมาย มีใจความว่า
“คิดถึงนะคะ” / “ทำอะไรอยู่คะ” / “มิสยู” / “ฝากเพลงรักมาให้” / “เมื่อไหร่จะได้เจอกันคะ” และอีกมากมาย
ทุกข้อความเป็นของน้องแก้ว อรัญญา พร้อมกับภาพโปรไฟน์เป็นสาวน้อยน่ารัก
อยู่ๆ อมาวสีก็รู้สึกหน้าชาขึ้นมาเฉยๆ เธอวางไอแพดลงทันที อารมณ์โกรธก่อร่างขึ้นเป็นริ้วๆ โดยไม่รู้ตัว
เสียงแอ้มดังเข้ามาทางวิทยุสื่อสารในห้อง
“นายหญิงขา...มีคนมาหานายค่ะ”
อมาวสีกดวิทยุสื่อสารตอบกลับไป
“เกี่ยวกับฉันด้วยเหรอ”
“เปล่าค่ะ แค่บอกเฉยๆ เผื่อว่านายจะมาคุยกับเขาแทน”
“ไม่ละ ฉันไม่อยากยุ่งเรื่องนายของแอ้ม”
“แต่นี่เป็นเรื่องของพวกเราทุกคนนะคะ”
“เรื่องอะไร”
“เขามาดูโลเกชั่น จะขอถ่ายหนัง และขอให้พวกเราเข้าฉากด้วยค่ะ”
ขณะเดียวกัน ป่วนเดินเข้ามาที่สนามหน้าบ้านไร่ ด้านหลังเขาเป็นหมู่คนงานยืนเรียงรายกันพร้อมหน้า
“หนังเรื่องอะไร...เป็นแนวไหน”
ชายหญิงผู้อยู่เบื้องหน้าน้าป่วน คือ จอน และ สายบัวนั่นเอง ทั้งสองอยู่ในมาดของโปรดิวเซอร์ภาพยนตร์
“ยังไม่มีชื่อเรื่อง...แต่เป็นหนังรัก โรแมนติกกลางไร่ ปนบู๊ แอ๊คชั่นนิดๆ” จอนบอก
สายบัวเสริม “บู๊แบบ แย่งชิงตัวนางเอกน่ะ”
“พระเอกเป็นชาวไร่รึเปล่าครับ” ป๊อดถาม
“ใช่...ชาวไร่”
“นางเอกล่ะคะ” ป้าเอิบถาม
“นางเอกก็ทำงานในไร่ด้วย” สายบัวบอก
“เป็นแม่ครัว?” ป้าเอิบถามอีก
ป๊อดเซ็ง “นั่นมันป้านางเอกแล้ว”
“ผู้ร้ายล่ะครับ” ป่วนถาม
“เอ่อ ผู้ร้าย...เป็น...มนุษย์ต่างดาว” จอนวางท่าตอบ
ป่วนร้อง “ห๊า”
จอนว่าต่อ “มาหลงรักสาวชาวไร่”
แอ้มที่ตามมาสมทบร้อง “ว้าว...”
“แต่หล่อนะ หล่อแบบ พอร์ช ศรัณย์เลยละ” สายบัวว่า
“อุ๊ย...งั้นยอมค่า” แอ้มระรื่น
ป้าเอิบหมั่นไส้ “แกนึกว่าแกเป็นนางเอกเหรอ อีแอ้ม”
“แล้ว พวกเราช่วยอะไรได้บ้างครับ” ป่วนถาม
“คืองี้...ผมเป็นผู้จัดการกองถ่าย” จอนชี้ไปที่สายบัว “นี่คือผู้ช่วยผม เราขับรถผ่านมา ชอบสถานที่ที่นี่อยากจะขอถ่าย ไม่ทราบใครเป็นเจ้าของ”
ป่วนบอกอย่างภูมิใจ “นายราชครับ”
“ราช” จอนทำเป็นทวนชื่อ
“ราช รัชภูมิ” ป่วนบอก ภาคภูมิไม่แพ้ครั้งแรก
จอนหันมามองหน้าสายบัว
“อือม...แล้วเขา อยู่มั้ย”
“ไม่อยู่ครับ นายไม่ค่อยบอกใครว่าแกมีไร่ที่นี่” ป่วนว่า
“แล้วมีญาติพี่น้องคุณราชอยู่แถวนี้มั้ยจ๊ะ จะได้ขอคุยด้วย” สายบัวถาม
“มีแต่เมียนายครับ...สวยด้วย ถ้ายังไม่มีนางเอกผมแนะนำนายหญิงเลยครับ”
ป่วนหัดไปส่งเสียงเอ็ด ดุป๊อด
“ไอ้ป๊อด”
“ทำไมเหรอน้า” ป๊อดงง
ป่วนหันมาพูดกับจอน
“นายหญิงสติไม่ค่อยดีนัก น่าจะไม่สะดวกครับ”
“ใช่ค่ะ...นายไม่ค่อยยอมให้นายหญิงออกไปไหนหรอกค่ะ” แอ้มเสริม
“อ๋อ...แล้วนายหญิงชื่ออะไร” สายบัวซัก
“อมาวสี” แอ้มบอก
ป่วนว่าเสริม “ชื่อเดียวกับชื่อไร่เลยครับ”
จอนหันไปยิ้มกับสายบัวอีกครั้ง
“เอางี้นะ ฉันจะกลับไปคุยกับผู้กำกับก่อน แล้วจะรีบติดต่อมาอีกที...อ้อ นายราชของน้า กลับเมื่อไหร่จ๊ะ”
“อีกสามวันครับ”
“เจอกันคราวหน้า น้าช่วยพาคนงานทั้งหมดมาให้ดูตัวหน่อยได้มั้ย ผู้กำกับเขาอาจจะขอเทสต์หน้ากล้องเลย เผื่อจับพลัดจับผลูได้เป็นดาราขึ้นมา ใครจะรู้”
ป่วนยิ้ม “ได้เลยครับ”
“ถ้ายังไม่มีพระเอก...ขอแนะนำอีกคนค่ะ” ป้าเอิบภูมิใจนำเสนอ
“ใครครับ” จอนแกล้งถาม
“นายของเราค่ะ...ราช รัชภูมิ หล่อ ล่ำ คมขำ อย่าบอกใครเชียวค่ะ” ป้าเอิบอวด
จอนยิ้มในสีหน้า สาสมใจ ว่ามันมาไม่ผิดที่แน่
ทางด้านราชยืนหล่ออยู่บนระเบียงสวยชั้นบนของออฟฟิศรักษ์เล เขาทอดสายตามองออกไปไกลสุดท้องทะเล เทินเดินเข้ามาหา
“คุณรักษ์มาถึงแล้วครับ”
ครู่หนึ่งลุงรักษ์ก้าวเข้ามาในโถงกลางสำนักงานรักษ์เล
“นายเทินไปขู่อะไรเราล่ะ ถึงได้รีบร้อนมาขนาดนี้”
ราช นั่งอยู่เบื้องหน้าผู้เป็นลุง เทินยืนอยู่ข้างๆ ไม่ไกลนัก
“ผมว่ายังช้าไปด้วยซ้ำ...ผมได้ตัดสินใจทำอะไรไปหลายอย่าง โดยที่ไม่ได้บอกคุณลุงก่อน ซึ่งมันไม่ถูกต้องเลย โดยเฉพาะเรื่องไร่ที่ปากช่อง”
“เธอนึกว่าลุงไม่รู้เหรอ...”
ราชหันไปมองหน้าเทิน เขายิ้มตอบบางๆ เป็นเชิงยอมรับ
“ไม่งั้นลุงจะส่งนายเทินไปดูแลเธอทำไม”
“ลุงรู้หมดแล้วเหรอครับ”
“ลุงท่องชื่อคนงานที่นั่นได้ครบทุกคนเลยละ” รักษ์ว่า
เทินยิ้ม แล้วเดินเลี่ยงออกไปอย่างรู้งาน
“ถ้าอย่างนั้น...มีอะไรที่คุณลุงอยากรู้จากปากผมอีกมั้ยครับ”
“สิบห้าปีที่เรารู้จักกันมา ลุงได้รู้ได้เห็นปัจจุบันของเธอ ซึ่งมันทำให้ลุงคาดเดาอดีตของเธอได้พอสมควร...ลุงคิดว่า วันนี้ ถึงเวลาที่เราควรจะพูดคุยกันถึงเรื่องอนาคตได้แล้ว”
“อนาคตของผมอยู่ที่คุณลุงมาแต่ไหนแต่ไร ลุงก็รู้นี่ครับ”
“นั่นเป็นเพราะเธออยากจะทดแทนบุญคุณ ลุง ซึ่งลุงไม่ได้ต้องการ...เราสองคนอาจจะมาเจอกันด้วยโชคชะตา แต่อนาคตข้างหน้าเราควรจะวางแผนได้บ้าง ลุงจึงอยากรู้ว่าในใจของเธอวาดภาพอนาคตไว้อย่างไร...ทั้งเรื่องชีวิต และ ครอบครัว”
ราชนิ่งไปนิดหนึ่งก่อนเอ่ยปากตอบ
“ผมไม่ทราบครับ”
“อย่าปล่อยให้ลุงคาดเดาเอาเองเลย”
“ผมภูมิใจ ที่ได้เป็น ราช รัชภูมิ...และผมตั้งใจที่จะเป็น รัชภูมิที่ดีที่สุด เพื่อให้คุณลุงภาคภูมิใจด้วยเช่นกันครับ” ราชบอกหนักแน่น
“ถ้าเช่นนั้น สองเรื่องที่ลุงได้ตัดสินใจไปแล้ว ก็ไม่ผิดไปจากความมุ่งหวังของเรา”
“เรื่องอะไรบ้างครับ”
“หนึ่ง ลุงได้ทำพินัยกรรม ยกทรัพย์สินทั้งหมดของลุง ให้เป็นของเธอ ของราช รัชภูมิแต่เพียงผู้เดียว รับปากนะว่าจะดูแลเกาะรักษ์เลของลุงให้ดีที่สุด ตลอดไป”
“ครับ”
“สอง ลุงขอหนูอรัญญาให้เธอแล้วนะ”
ราชชะงัก “ขอให้ผม”
“ให้เป็นเจ้าสาวของเธอไงล่ะ เธอทั้งคู่จะเป็นทายาทรัชภูมิ รุ่นต่อไป ที่ฉันภูมิใจที่สุด”
ราชนิ่ง เขาเก็บความรู้สึกของตนอย่างมิดชิดที่สุด
“ตกลงตามนั้นนะ”
“ด้วยความเต็มใจครับ”
“และหวังว่า เรื่องราวของอมาวสีคงจะจบลงโดยเร็วนะ”
“ครับผม”
อมาวสีถูกตามตัวมารับโทรศัพท์ที่โรงครัวตอนกลางคืน ป่วนยกโทรศัพท์ที่เก็บไว้ใต้ตู้ไม้ขึ้นมาวางบนโต๊ะ อมาวสี ยืนมอง ส่ายหน้านิดๆ
“ต้องเก็บซ่อนกันขนาดนี้เชียวเหรอ...แค่โทรศัพท์เนี่ยนะ”
“นายสั่งไว้ครับ...นายบอกว่าโทรศัพท์จะทำให้เราไม่มีสมาธิ กับงานในไร่”
ป่วนยกหูโทรศัพท์ขึ้นมาฟัง
อมาวสีบ่นบ้า “ไม่มีเหตุผล...เผด็จการ ปิดหูปิดตา เบียดเบียนเสรีภาพ”
“งั้นพูดกับนายเองเลยนะครับ”
ป่วนส่งโทรศัพท์ให้อมาวสี
ราชนั่งพูดโทรศัพท์ริมชายหาดหน้าออฟฟิศรักษ์เล เพียงลำพัง
“ผมไม่ได้เผด็จการ...แต่ต้องทำเพื่อความปลอดภัย”
“ของใคร”
“ของคุณ”
“คุณนึกจะทำอะไร คุณก็ดันทุรันอ้างนู่นอ้างนี่ได้เสมอ”
“คุณไม่เชื่อผมก็ตามใจ มันเป็นสิทธิของคุณ”
“แน่นอนอยู่แล้ว”
“คืนนี้คุณจะนอนห้องไหน”
เสียงอมาวสีย้อนถามว่า “สำคัญถึงขนาดต้องโทร.มาถามเลยเหรอคะ”
“ถ้าจะบอกว่าคิดถึง คุณก็คงจะไม่เชื่อ”
“ช่วงที่คุณนอนอยู่โรงพยาบาล มีคนคิดถึงคุณมากเลยนะ เขาฝากข้อความถึงคุณมากมาย ซึ่งคุณควรจะรีบเปิดดูซะ”
“งั้นเหรอ”
“คุณไปเช็คไลน์ดูเองก็แล้วกัน เธอชื่อ น้องแก้ว อรัญญา”
“คุณคงเปิดดูจากไอแพดของผมใช่มั้ย”
“ทีหลังก็สั่งห้ามแตะต้องไอแพดของคุณด้วยสิคะ เพื่อความปลอดภัยของข้อมูลลับของคุณ”
“ผมไม่มีอะไรเป็นความลับ น้องแก้ว อรัญญาคือว่าที่เจ้าสาวของผม ส่วนนายวาริน ว่าที่เจ้าบ่าวของคุณนั้น ผมจะแวะไปหาเขาพรุ่งนี้ เพื่อตกลงรายละเอียดต่างๆ แล้วมะรืนนี้ผมจะกลับไปรับคุณ อดทนอยู่เหงาๆอีกซักสองคืนนะครับ”
“ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับฉันค่ะ”
อมาวสีวางโทรศัพท์ลงทันที เธอรู้สึกหงุดหงิดนิดๆ หน้าชาหน่อยๆ
ที่บ้านเช่าลึกลับ ย่านใจกลางเมืองตอนกลางดึก เผือก เหิม อ้อน เดินเข้ามาหยุดหน้าบ้านหลังนี้
“แน่ใจเหรอว่า ลูกพี่นัดเราที่นี่” เผือกเอ่ยขึ้น
“ไม่รู้ ก็กูจดมาอย่างนี้ นี่ไง” อ้อนยื่นกระดาษให้เพื่อนดู
“ไม่ได้เจอกันแป๊บเดียว ลูกพี่เราได้ดีมีบ้านใหญ่โตขนาดนี้เชียวนะโว้ย”
ทั้งสามเดินเข้าบ้านอย่างเต็มภาคภูมิ
ในบ้านเช่าหลังนั้น จอนก้าวเข้ามา ยืนตระหง่านเบื้องหน้าหมู่ลูกน้อง
“เราจะอยู่ที่นี่กันไม่นาน อยู่แค่ชั่วคราว แล้วก็ย้าย”
3 ลูกน้องร้อง “อ้าว”
“อุตส่าห์ได้ออกจากห้องขัง นึกว่าจะได้ฉลองกันยาวๆ” เผือกบ่น
“เราจะย้ายไปอยู่บ้านที่มันใหญ่กว่านี้เว้ย” จอนบอก
3 ลูกน้องร้อง “เฮ”
“แต่พวกแกไม่ต้องเสือกตามไปอยู่ด้วยล่ะ” สายบัวว่า
3 ลูกน้องร้อง “อ้าว”
“เพราะฉันจะมีส่วนแบ่งให้แกคนละก้อน แยกย้ายกันไปตั้งตัว ไปมีบ้านของตัวเอง...เราจะนัดเจอกันเฉพาะเวลาที่มีงาน อย่างวันนี้เท่านั้น”
“งานอะไร ลูกพี่” เหิมถาม
“นี่เสื้อผ้าของพวกมึง”
จอนไม่ตอบ แต่โยนเสื้อผ้าสามชุดให้พวกมัน
“ไปอาบน้ำ แล้วค่อยมาซ้อมกัน”
รถตู้คันใหญ่สองคันแล่นเข้ามาจอดหน้าบ้านไร่ ในตอนเช้าตรู่ หมู่คนงานเดินออกมาจากโรงครัว
จนไปถึงตรงที่จอนและ สายบัว ยืนรออยู่บริเวณสนาม
“ไหนว่าจะมาอาทิตย์หน้าไงครับ” ป๊อดแปลกใจ
“พอดีนายทุนเขาเร่งมาน่ะค่ะ พี่ก็เลยต้องรีบพาผู้กำกับมาดูสถานที่ แล้วก็ถือโอกาสคัดเลือกนักแสดงท้องถิ่นแถวนี้ซะเลย” จอนบอก
“นี่พี่เอาจริงๆ เหรอ” แอ้มแปลกใจ
“พี่ไม่เคยเอาเล่นๆค่ะ” สายบัวบอก
“เอาละ...ขอแนะนำให้พวกเรารู้จักผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ก่อน สามพี่น้องตระกูลมะ”
สิ้นคำของจอน เผือก เหิม อ้อน ก้าวลงจากรถตู้คันใหญ่ พวกมันทั้งสาม ดูดี ในเสื้อผ้าลุคใหม่ ที่ดูเหมือนผู้กำกับภาพยนตร์
“มะม่วง” เผือกแนะนำตัว
เหิมตาม “มะกรูด”
อ้อนปิดท้ายว่า “มะนาว”
หมู่คนงานมอง อึ้งๆ ทึ่งๆ งงๆ
ป้าเอิบบอก “ไม่รู้จัก”
“พวกเราเป็นผู้กำกับรุ่นใหม่ เราโด่งดังมาจากหนังอินดี้...รู้จักมั้ย ไม่รู้จักอีก” เผือกคุย
อ้อนเสริม “คือหนังที่ดูไม่รู้เรื่องน่ะ”
ส่วนเหิมว่า “หนังมันจะไม่ตลาด เวลาดูต้องใช้ความคิด”
“แต่ตอนนี้เราจะหันมาเอาใจตลาดด้วยการทำหนังน้ำเน่า ตบ จูบ บู๊ระห่ำ และมีผีด้วย” เผือกบอก
“เพื่อความสมจริงของภาพยนตร์ เราจึงต้องการนักแสดงที่เป็นคนท้องถิ่นจริงๆ” อ้อนว่า
เหิมสรุป “ช่วยตามคนงานทั้งหมดมาให้เราลองคัดเลือกได้มั้ยครับ”
หมู่คนงานมองหน้ากันเลิ่กลั่ก และตื่นเต้น
ป่วนเอ่ยขึ้น “เอ้อ...ผมขอโทรหานายก่อนได้มั้ยครับ”
“โอเค...ระหว่างรอโทรศัพท์ ผมขอเดินดูที่รอบๆไปด้วยเลยนะครับ”
จอนและสายบัวเดินเลี่ยงออกไป
รถเทินวิ่งอยู่บนทางด่วน มุ่งสู่ใจกลางเมือง ในเวลาเช้า ราช พูดโทรศัพท์มือถือในรถคันนี้
โดยมีเทินเป็นผู้ขับรถ
“หนังรักเหรอ”
“ครับ” เสียงป่วนลอดออกมา
“ใครรักกับใครล่ะ”
ป่วนยืนพูดโทรศัพท์บริเวณเรือนคนงาน ด้านหลังของป่วน เราจะเห็นหมู่คนงานเดินเรียงแถวเข้ามา โดยมี เผือก เหิม อ้อน ทำหน้าที่เหมือนเป็น แค้สติ้ง ไดเร็คเตอร์
“พระเอกกับนางเอกสิครับ นาย” ป่วนว่า
“แล้วไง”
“แล้วเขาก็จะขอถ่ายรูปคนงานไปทำการคัดเลือกตัวแสดงด้วยนะครับ”
“จะเป็นดารากันหมดแล้วเหรอ พวกเรา...แล้วนายหญิงล่ะ” ราชแซวขำๆ
“นายหญิงอยู่ในห้อง ไอ้แปลกเฝ้าอยู่ เธอไม่ได้ลงมาข้างล่างครับ จะมีปัญหาอะไรมั้ยครับ”
“ไม่มี...ตามสบายนะ...บอกพวกเราว่า เล่นหนังแล้วอย่าลืมงานไร่ล่ะ”
“ครับผม”
ราชกดปุ่มยกเลิกการสนทนา เทินเหลียวมองราชเป็นเชิงถาม
“มีกองถ่ายหนังมาขอใช้โลเกชั่นที่ไร่”
“มาได้ยังไง”
“ก็คงขับรถดุ่มๆเข้าไป เหมือนตอนที่ฉันดุ่มๆมาเจอไร่นี้นั่นแหละ” ราชไม่ติดใจอะไร
แต่เทินไม่ “หวังว่าคงจะไม่เกี่ยวกับคุณอมาวสีนะครับ”
อมาวสีอยู่บนระเบียงห้องนอน เธอมองลงไปเบื้องล่างอย่างสนใจ เมื่อเห็นหมู่คนงานกำลังทำการแสดงตามคำแนะนำของ กลุ่มไอ้เผือก ไอ้เหิม ไอ้อ้อน ท่าทางของพวกมัน ดูทะมัดทะแมง น่าเชื่อถือนักเชียว
เผือก หยิบกล้องวิดีโอมาตั้งเบื้องหน้า
“ช่วยแนะนำตัว บอกชื่อ อายุ ส่วนสัด และ เพศด้วย”
“เพศนี่ ดูเองไม่ออกเหรอคะ” แอ้มว่า
“ที่ตาเห็น กับ ที่เป็นจริง อาจจะต่างกันสุดขั้ว” เผือกเล่นลิ้น
“และช่วยบอกความสามารถพิเศษด้วยนะ เชิญครับ พูดกับกล้องครับ” เหิมบอก
“ชื่อแอ้ม อายุ ยี่สิบสี่ สัดส่วน 30-22-32 เพศหญิง ความสามารถพิเศษ...ต้องอยู่กัน สองต่อสอง...แล้วจะทำให้ดู”
แอ้มระรื่นต่อหน้ากล้อง
ส่วนสายบัวเดินเข้ามากลางโถงบ้าน มีจอนตามมาใกล้ๆ พวกมันกวาดสายตามองหาไปรอบๆ จอนชี้ไปข้างบน สายบัวค่อยๆ ก้าวขึ้นบันไดไป
เมื่อพ้นชานพักบันได ก็เห็นไอ้แปลกพร้อมปืนที่กระชับในมือ หน้าตาดุดันยืนอยู่ จอนรีบฉากหลบมุมกำแพง สายบัวเปลี่ยนท่าทีเป็นทีมงานกองถ่ายโดยเร็ว
“อ้า...อยู่นี่เอง ตามหาตัวตั้งนาน...นี่แหละบุคลิกตรงตามบทเป๊ะเลย”
ไอ้แปลกทำหน้างุนงง
“ช่วยไปลองบทคัดเลือกตัวแสดงหน่อยนะ...บุคลิกเธอเหมือนจอมวายร้ายคู่ปรับพระเอกมากๆ”
สายบัวกดโทรศัพท์มือถือพูดกับพวกไอ้เผือกด้านล่าง
“นี่...ฉันเจอตัวละครสำคัญของเราแล้ว...กำลังจะพาลงไปเดี๋ยวนี้”
สายบัวลากตัวไอ้แปลกลงบันไดผ่านหน้าจอนไป
ประตูห้องอมาวสีเปิดออก จอนก้าวเข้าไปด้านใน อมาวสีหันมาเห็นจอน ก็แปลกใจ
“คุณเป็นใคร”
“คุณอมาวสี”
“ฉันถามว่าคุณเป็นใคร...เข้ามาในนี้ได้ยังไง” อมาวสีเสียงดัง
“ชุ่ย์ย์ย์...ผมมาช่วยคุณ” จอนทำท่าให้เงียบ
อมาวสีฉงน “ช่วย”
“คุณต้องรีบออกไปจากที่นี่โดยด่วน”
อมาวสียังงงอยู่ “ทำไม...ฉันยังไม่เข้าใจ”
“คุณถูกลักพาตัวมา ใช่มั้ย”
อมาวสีอึกอัก “เอ่อ...”
“ตอบมาตามตรงก่อนว่า...ใช่มั้ย”
อมาวสีค่อยๆพยักหน้า
“พวกเราเป็นตำรวจนอกเครื่องแบบ เราตามหาตัวคุณอยู่นาน กว่าจะได้เบาะแสคุณรู้มั้ยว่า ที่บ้านเป็นห่วงคุณมาก”
อมาวสีเริ่มเข้าใจตามคำอธิบายของไอ้จอน แต่ก็ยังมีอาการงุนงงกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วครั้งนี้
“แล้วนายราชล่ะ”
“ตอนนี้เขากำลังถูกควบคุมตัวอยู่ ข้อหาลักพาตัวคุณ”
อมาวสีตกใจ “เอ้อ...”
จอนกล่อม “อีกสักพักกำลังตำรวจจะบุกเข้าจู่โจมที่นี่...คุณต้องรีบออกจากที่นี่โดยด่วน เพราะอาจมีการปะทะกันรุนแรง”
“เดี๋ยวก่อน ใครปะทะกับใคร”
“ก็เจ้าหน้าที่กับพวกลูกน้องไอ้ราชนั่นไง...ไอ้พวกนี้มันเป็นกองกำลังต่างด้าวลักลอบเข้าเมืองทั้งนั้น”
“ไม่...ไม่ใช่ ไม่ใช่อย่างนั้น” อมาวสีพยายามอธิบาย
“ไม่ใช่ แล้วจะยังไง...คุณอย่าเถียงเจ้าหน้าที่สิ...ไปรีบไปเร็ว”
“เอ้อ...ขอฉันไปหาเขาหน่อยได้มั้ย”
“เป็นห่วงเขาซะอย่างนั้น มีอะไรกันแล้วละซี ผู้หญิงก็อย่างนี้แหละ พอเสียตัวเข้าหน่อย ไอ้ที่เกลียดก็กลายเป็นรักทันที” ไอ้จอนยั่ว
“ไม่ใช่อย่างนั้น”
“ผมจะพาคุณไปหาเขาก็ได้ แต่คุณต้องทำตามวิธีของผมนะ”
“ทำยังไง”
“เราจะแอบไปขึ้นรถด้านหลัง โดยไม่ให้สมุนของไอ้ราชเห็น...ไม่งั้นจะโกลาหลวุ่นวายมาก.....อนาคตของไอ้ราชอยู่ที่ท่าทีของคุณนะครับ คุณอมาวสี”
ที่ลานหน้าบ้านกลางไร่ ไอ้ป๊อดกำลังแสดงความสามารถในท่าปั่นจิ้งหรีด ซึ่งถือเป็นความสามารถพิเศษของมัน ไอ้แปลกเดินเข้ามาสมทบ ป่วนหันไปหามันทันที
“ไอ้แปลก มึงลงมาทำไม นายหญิงล่ะ”
สายบัวเดินตามหลังมันมาติดๆ รีบอธิบายโดยพลัน
“ฉันขอให้เขามาเองจ้ะ เพราะบุคลิกเขาเหมาะกับดาวร้ายของเรามาก”
“บทมนุษย์ต่างดาวเนี่ยนะ” ป๊อดถาม
“โอ ใช่เลย อย่างนี้แหละ นี่แหละนักแสดงที่เราตามหา”
เผือก เหิม และอ้อน เข้าไปรุมล้อมรอบไอ้แปลก
“มนุษย์ต่างดาว ทำไมหน้าโง่จัง” แอ้มบ่น
“อย่าเสียเวลากันเลยครับ พวกเรามาทำทะเบียนประวัติกันดีกว่า...เวลาทำสัญญาจะได้เขียนประวัติได้ถูกต้อง” อ้อนว่า
ป้าเอิบ เดินเข้าไปสะกิดแขนอ้อน
“ขอโทษนะจ๊ะ...คือว่า ป้ายังไม่ได้ลองบทนางเอกเลย จะไม่ให้ป้าลองซักหน่อยเหรอ”
“เอ้อ รอสักครู่...เอาไว้เป็นคิวสุดท้ายแล้วกันนะครับป้า”
สายบัวเดินเลี่ยงห่างออกมาจากกลุ่มคนเหล่านั้น
“ฉันขอขับรถวนดูรอบๆ ไร่หน่อยนะ”
ไม่มีใครสนใจสายบัวแม้แต่น้อย พวกชาวไร่มะรุมมะตุ้มกับการทำประวัตินักแสดงอยู่
สายบัว ลอบส่งสัญญาณให้เผือก ไอ้เผือก มันพยักหน้ารับรู้
สายบัวเดินไปทางหลังบ้าน
ประตูรถตู้เปิดออก จอนดันร่างของอมาวสีเข้าไปในรถ แล้วปิดประตู
“เขาถูกคุมตัวที่ไหนคะ”
จอนยิ้มร้าย “น่าอิจฉาไอ้ราชจริงๆ มีสาวสวยขนาดนี้ คอยห่วงใย ถามไถ่ถึงอยู่ตลอดเวลา ถ้าจะโดนมันล่อเข้าไปหลายดอกละซี ถึงกับหลงเลยใช่มั้ย”
อมาวสีสะดุดหู เริ่มรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัย
“ทำไมคุณพูดจาอย่างนี้”
“ทำไมจะพูดไม่ได้”
อมาวสีค่อยๆกวาดสายตาไปรอบๆรถตู้ ไม่มีอะไรในนี้บ่งบอกถึงความเป็นตำรวจเลยสักนิด
“คุณเป็นตำรวจจริงรึเปล่า”
“แยกไม่ออกจริงๆเหรอ ระหว่างตำรวจกับโจรน่ะ”
จอนกดโทรศัพท์
“แกไม่ใช่ตำรวจ แกจะทำอะไรฉัน”
“ยัง ยังไม่ทำ เจ้าบ่าวของคุณ เขาห่วงคุณมากรู้มั้ย”
อมาวสีตะลึงคาดไม่ถึง “คุณภากร”
“ใช่...เขาตั้งราคาค่าตัวคุณไม่น้อยเลย”
สายบัวเปิดประตูรถเข้าไปนั่งด้านคนขับ จอนพยักหน้าให้สัญญาณ สายบัวสตาร์ทรถ
ส่วนจอนพูดโทรศัพท์ “ออกมาได้แล้ว ฉันได้ตัวนังนี่มาเรียบร้อยแล้ว”
“แกจะพาฉันไปไหน”
“เอาไปขึ้นเงินน่ะสิ”
จอนใช้เชือกที่เตรียมมา มัดมืออมาวสีไว้ สายบัวบังคับรถให้เคลื่อนตัวออกไปทันที
อ่านต่อหน้า 3
หัวใจเถื่อน ตอนที่ 12 (ต่อ)
ที่ลานหน้าบ้านไร่เวลานี้ ไอ้แปลกกำลังแอ๊คท่าเป็นดาวร้ายตัวฉกาจ มันถือปืนยืนนิ่งปั้นหน้าดุอย่างสุดๆ อ้อนตบมือแสดงความชื่นชม
“ดีมาก เยี่ยม จอมวายร้ายจากดาวดวงอื่น ต้องเงียบขรึม ไม่พูดไม่จาอย่างนี้แหละ”
“ไอ้นี่มันเป็นใบ้” ป๊อดบอก
อ้อนร้อง “อ้าว”
เผือกเดินถือโทรศัพท์มือถือตรงไปที่น้าป่วน
“โทรศัพท์คุณอมาวสีครับ น้าป่วน”
ป่วนทำหน้า งุนงง ไม่เข้าใจ
“เธอนั่งรถออกไปกับผู้จัดการของผม แล้วโทร.เข้ามาน้านี่ไง”
“อ๋อ...” ป่วนหยิบโทรศัพท์มาพูด “ฮัลโหล”
ในรถตู้คันนั้น จอนยื่นโทรศัพท์ไปใกล้ปากอมาวสี มืออีกข้างของมันจิกกระชากผมอมาวสีอยู่
เพื่อบังคับให้ยอมเอ่ยปากพูด
“น้าป่วนเหรอ...ฉันออกมาเที่ยวตลาดหน่อยนะ”
เสียงป่วนงงๆ “ไปยังไงครับ”
“ขอติดรถตู้กองถ่ายออกมา”
ป่วนอยู่ที่สนามหน้าบ้านไร่
“นายหญิงไปตลาดทำไมครับ”
“ฉันจะหาซื้อเครื่องประดับมาแต่งตัว ฉันจะขอเขาลองบทนางเอกจ้ะ”
ป่วนยิ้มร่า “ห๊า...นายผู้ชายรู้รึยังครับ”
อมาวสีเอ่ยปากพูดโทรศัพท์ หน้าตาเหมือนจะร้องไห้
“ยังจ้ะ...เซอร์ไพร้ส์ไงจ้ะ ฝากบอกแอ้มเก็บห้องให้ฉันด้วยนะ...คิดถึงทุกคนนะจ๊ะ”
จอนรีบดึงโทรศัพท์ออกมาจากปากอมาวสี
“ดีมาก...เล่นละครเก่งเหมือนกันนะเรา”
“แกทำอะไรคุณราชรึเปล่า บอกมาเดี๋ยวนี้นะ”
จอนหมั่นไส้ “หลงรักมันมากเลยใช่มั้ย ไอ้ราชเนี่ย ตั้งแต่ขึ้นรถมา ฉันยังไม่ได้ยินเธอถามถึงคุณภากร ว่าที่สามีเลยซักคำ มีแต่ถามถึงไอ้ผัวชั่วคราวไม่หยุดปากเลย เดี๋ยวก็ไอ้ราช เดี๋ยวก็ไอ้ราช...มันมีอะไรดีนักเหรอ...มันเป็นถึงโจรจับคนไปเรียกค่าไถ่เชียวนะ”
อมาวสีโมโห “เขาไม่หยาบคายอย่างแกก็แล้วกัน”
“รู้ได้ไงว่าฉันหยาบคาย ถามสายบัวดู เวลาเข้าด้ายเข้าเข็มแล้ว ฉันละมุนละไมขนาดไหน”
จอนใช้มือลูบไล้ไปตามเรือนร่างอมาวสี สายบัวตะโกนออกมาจากที่นั่งคนขับ
“พอทีเหอะพี่จอน...เดี๋ยวมีหึงหรอก...”
จอนก้มลงไปกระซิบข้างหูอมาวสี
“ฝากไว้ก่อนนะคนสวย”
“ไอ้เลว”
“ทีนี้ก็นั่งหุบปากได้แล้ว”
จอนใช้ผ้ามัดปากอมาวสี จากนั้นจึงหยิบถุงผ้าสีดำครอบลงไปบนหัวเธออีกที
ฟากวารินเดินก้าวยาวๆ ลงมาจากบันไดบ้าน ท่าทีรีบร้อน ระคนดีใจ
“นายราช รัชภูมิ...แหมกว่าจะโผล่หน้ามาให้เห็น”
ราช รัชภูมิ ยืนรออยู่กลางโถงบ้าน เขายิ้มให้เพื่อน พร้อมเอ่ยปากทักตอบ
“คิดถึงเราเหรอ”
“ใช่...คิดว่าจะหาวิธีเลิกคบกับนายยังไงดี”
“เฮ้ย เราคุ้นเคยกันมาตั้งกี่ปี จะมาเลิกคบกันง่ายๆแบบนี้ ไม่ได้นะ”
“ก็นายมันพวกสับปลับ หลอกลวง ผิดนัด ไม่รักษาคำพูด เราไม่รู้จะคบไว้ทำไม นี่คงเที่ยวพม่าจนหนำใจแล้วสิ ถึงได้กลับมา ทำไมไม่นุ่งโสร่งมาซะเลยล่ะ”
วารินชกท้องราชเบาๆ เป็นการหยอกเอิน
“โอ๊ะ เบาๆ นิดนึงเพื่อน เราตกช้างที่มัณฑะเลย์ ไปไหนไม่ได้ตั้งอาทิตย์นึง”
“อ้าว เหรอ”
“ถึงได้มาหานายตามนัดไม่ได้ไง”
“งั้นก็ให้อภัยได้ แต่นายรู้ข่าวน้องอมาวสีมั้ย เธอฝากจดหมายมาถึงเรานะ เนื้อความในจดหมายบอกว่าจะไม่กลับมาแล้ว...เฮ้อ เราโคตรเสียใจเลย”
“ใจเย็นๆเพื่อน...น่าจะเป็นอารมณ์ชั่ววูบ”
“ยังไง”
“ล่าสุดเราเพิ่งได้เจอตัวเขา”
วารินตื่นเต้น “เหรอ...เจอตัวน้องเลยเหรอ”
“อืม...น้องเขาอยากจะกลับบ้านแล้วหละ แต่มีข้อแม้…”
“ข้อแม้อะไร”
“นายต้องแต่งงานกับน้องอ้อ”
วารินร้อง“ห๊ะ”
“น้องเขาไม่กล้าบอกผู้ใหญ่ว่ารังเกียจนายภากร ก็เลยเลือกที่จะบอกว่ามีคนรักอยู่แล้ว คือ…”
วารินตอบให้ว่า “ฉัน”
“อืม...” ราชพยักหน้า
วารินดีใจ กระโดดตัวลอย “เย้...สุดยอดเลยอ้ะ”
“ทีนี้นายก็ต้องรับสมอ้างว่า นายเป็นคนพาน้องไปหลบซ่อนตัว และดูแลน้องอย่างดี ...เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ใครครหาว่า ถูกฉุดไปทำมิดีมิร้าย”
“หรือถ้าใครจะคิดอย่างนั้น เขาก็จะคิดว่าเราเป็นคนทำมิดีมิร้ายเอง”
“ถูกต้อง”
“ดังนั้นน้องก็เลยจะแต่งงานกับเรา”
“ใช่...เข้าใจง่ายจัง”
วารินครุ่นคิดสักพักจึงเอ่ยปาก
“แล้วน้องเขาไม่ได้รักเราเลยเหรอ อันนี้มัน แต่งหลอกๆแบบในละครรึเปล่า”
“ไม่รู้สิ มันก็อยู่ที่ตัวนาย แต่ถ้าน้องเขากล้าเลือกนายก็แปลว่าเขามีใจให้นายอยู่นะ วาริน”
วารินหายใจลึกๆอย่างภาคภูมิใจอีกครั้ง
“สุดยอดว่ะ ยังถือว่า สุดยอดอยู่”
“งั้นเรากลับละนะ เรื่องสำคัญที่จะบอกนาย มีเท่านี้ละ”
ราชขยับตัวจะกลับ
วารินรีบบอก “เดี๋ยวก่อน มีสุภาพสตรีท่านนึงอยากพบนายมาก พอรู้ว่านายจะมาที่นี่ เธอรีบบึ่งมาเลย นายอยู่รอเจอเธอหน่อยสิ”
“ล้อเล่นน่า เสน่ห์เราไม่ได้แรงขนาดนั้น”
คุณหญิงทิพย์สุดา เดินก้าวเข้ามาในบ้าน
“เรื่องนี้สำคัญมากกว่าเสน่ห์ค่ะ...คุณภาคย์ ทวยไท”
วารินปล่อยสองคนไว้ตามลำพัง สักครู่ต่อมา สองคนอยู่ที่ บริเวณห้องรับแขกบ้านวาริน เบื้องหน้าของราชคือ ม.ร.ว.หญิงทิพย์สุดา นั่งเป็นสง่าอยู่สมเป็นราชนิกุล
“คุณเรียกผมผิดทั้งชื่อและนามสกุลนะครับ”
“แต่คุณก็ยังยอมอยู่คุยกับดิฉัน”
“ก็เผื่อว่าจะมีอะไรน่าสนใจเป็นพิเศษ”
คุณหญิงทิพย์สุดาหายใจลึกๆ ตั้งหลักก่อนพูดเรื่องสำคัญ
“คุณรู้มั้ยว่านามสกุลทวยไท เป็นของใคร”
“ผมไม่มีความสามารถพิเศษในการท่องจำนามสกุลผู้คนครับ”
“หม่อมเจ้าคฑาเทพ ทวยไท”
“คนที่มีหน้าเหมือนผม”
คุณหญิงทิพย์สุดาย้อน “หน้าคุณต่างหาก ที่ไปเหมือนท่าน”
“อย่าพยายามบอกว่าท่านตายแล้วมาเกิดเป็นผมนะครับ”
คุณหญิงทิพย์สุดายิ้ม “เป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ เพราะท่านเพิ่งเสียมาซักสองปีนี้เอง”
“งั้นก็เรื่องบังเอิญ” ราชดูไม่สนใจเอาเลย
“หรือไม่ก็เป็นเพราะสายเลือด”
ราชนิ่ง รอฟังประโยคต่อไปของทิพย์สุดา
คุณหญิงทิพย์สุดาขยับเปลี่ยนอิริยาบถ
“ฉันขอให้คุณตอบคำถามฉันข้อเดียวได้มั้ย”
“ผมไม่รับปาก”
“คุณคือลูกชายของคุณหญิงอำภาที่หนีออกจากบ้านไป ใช่หรือเปล่า”
“ผมไม่ทราบว่าคุณพยายามจะทำอะไร แต่ตอนนี้ไม่มีอะไรน่าสนใจสำหรับผมแล้วครับ”
ราชลุกขึ้นยืน ขยับตัวจะเดินออกไป คุณหญิงทิพย์สุดา รีบเอ่ยปาก
“ถ้าฉันบอกว่า ฉันรู้สาเหตุที่ไม่มีใครรักภาคย์ล่ะ น่าสนใจขึ้นบ้างมั้ย”
ราชกดโทรศัพท์มือถือ แล้วพูด “น้าเทินเอารถมารอรับฉันหน้าบ้านได้เลย”
“สาเหตุที่ไม่มีใครรักภาคย์ก็เพราะ สายเลือดที่แท้จริงของเขาไม่ใช่พิชิตพงษ์ แต่เป็นทวยไท...บิดาของเขาไม่ใช่ท่านกวี แต่เป็น ท่านชายคฑาเทพ ทวยไท ท่านอาของฉัน
ราชชะงัก สมองสับสนกับข้อมูลใหม่ที่เพิ่งได้รับ
“ฉันรับปากท่านอาไว้ว่า จะตามหาตัวทายาทคนเดียวของท่านอาให้ได้ เพื่อมอบสิทธิ์ทุกอย่างของความเป็นทวยไทให้กับเขา”
รถของเทินวิ่งไปบนถนนหลวง ท่ามกลางแดดจ้า ราชนั่งนิ่งเงียบมาตลอดทาง เขาทอดสายตาผ่านหน้าต่างรถออกไปไกลอย่างไร้จุดหมาย เทินเหลือบมองดูราชแล้วจึงเอ่ยปาก
“คุณราชจะไปไหนครับ”
“ขับไปเรื่อยๆก่อน น้าเทิน”
ราชยังคงครุ่นคิดถึงทุกถ้อยคำของ ม.ร.ว.หญิงทิพย์สุดา
ก่อนหน้านี้ไม่นาน คุณหญิงทิพย์สุดา เอ่ยปาก พูดถึงเรื่องราว ความจริงในอดีต
“คุณหญิงอำภา แต่งงานกับท่านกวีทั้งๆ ที่กำลังอุ้มท้องบุตรที่เกิดจากท่านอาคฑาเทพอยู่ เมื่อท่านอารู้เข้า ท่านโศกเศร้าเสียใจมาก เช่นเดียวกับท่านกวี ต่างกันตรงที่ท่านกวีมีความแค้นเคืองมากยิ่งกว่า จึงเป็นเหตุผลที่อธิบายได้ว่าทำไมท่านกวีถึงได้จงเกลียดจงชังภาคย์มากยิ่งนัก”
เทินขับรถมาตามถนน ราชยังคงนั่งนิ่ง หน้าตาครุ่นคิด เครียด เทินหันไปถามราชอีกครั้ง
“ขับกลับออฟฟิศดีกว่ามั้ยครับ”
ราชส่ายหน้า เสียงโทรศัพท์มือถือของเขาดังขึ้น ราชยกขึ้นมากดปุ่มรับสาย
“ฮัลโหล”
ป่วน ยืนพูดโทรศัพท์มุมหนึ่งบริเวณเรือนคนงานของบ้านไร่
“นายครับ เกิดเรื่องอีกแล้วครับนาย”
“เรื่องอะไร”
“นายหญิงหายตัวไปครับ”
ราชตกใจ “ว่าไงนะ”
เสียงป่วนดังออกมาว่า “นายหญิง หายไปจากบ้านครับ”
“หายไปยังไง”
“ไปกับรถกองถ่ายหนัง จนป่านนี้ยังไม่กลับเลยครับ”
สีหน้าราชเต็มไปด้วยความกังวลและประหลาดใจ
“เขาไม่ได้บอกอะไรไว้เลยเหรอ”
“บอกว่า จะไปลองบทนางเอก จะทำเซอร์ไพร้ส์นาย และก็บอกว่า คิดถึงทุกคน”
ราชฉุกคิด นิ่ง ซึมมากขึ้นไปอีก
“งั้นเขาคงไม่กลับมาแล้วละ น้าป่วน”
ราชกดยกเลิกการสนทนาทันที เทินคอยเหลือบมองด้วยความเป็นห่วง
“น้าเทิน...ไปบ้านพิชิตพงษ์”
ไม่นานต่อมารถเทิน แล่นตรงมาจอดหน้าบ้านพิชิตพงษ์
ในรถคันนี้ ทั้งราชและเทินต่างนั่งนิ่งเงียบด้วยกันทั้งคู่
“น้าลงไปกดออดที”
“เอ้อ...เรามาที่นี่ทำไมครับ” เทินงง
“ดูว่าเธอกลับมาที่นี่หรือเปล่า”
เทินก้าวลงจากรถ เดินตรงไปกดออดที่หน้าประตูบ้าน สักพัก ประตูบ้านเปิดออก จันยืนอยู่กลางประตูนั้น
“มาพบใครคะ”
“เอ้อ...คุณอมาวสีอยู่มั้ย”
จันส่ายหน้าหลายที แล้วจึงยื่นหน้าเข้าไปพูดเบาๆ
“หายไปตั้งนานแล้ว ยังไม่กลับมาเลยค่ะ”
“อ๋อ...ขอบใจนะ”
เทินหมุนตัวเดินกลับไปขึ้นรถ ประตูรั้วบ้าน ยังไม่ทันจะปิด คุณหญิงอำภาเดินออกมาตรงเข้ามาหาจัน
“ใครน่ะ จัน”
“ไม่ทราบค่ะ เขามาถามหาคุณอ้อ”
ราชจ้องมองไปที่คุณหญิงอำภาด้วยความชิงชังยิ่งนัก
ต้นเหตุมาจากเรื่องราวที่บ้านวาริน เวลาบ่ายก่อนหน้านี้
ตอนนั้นคุณหญิงทิพย์สุดา พร่ำพรรณนาเรื่องราวในอดีตต่อเนื่อง
“ถึงแม้จะเป็นผู้หญิงด้วยกัน แต่ฉันก็ไม่เข้าใจว่าทำไมคุณหญิงอำภาถึงทำได้ขนาดนี้ และฉันก็ไม่อาจจะสงสารหรือเห็นใจคุณหญิงได้แม้แต่น้อย”
ราชยืนก้มหน้าเครียด
ทิพย์สุดาค่อยๆเอื้อมมือแตะที่ไหล่ของเขาอย่างนุ่มนวล
“ถึงวันนี้ ฉันคงไม่ต้องตามหาตัวภาคย์อีกต่อไปแล้ว...ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหน ฉันหวังเพียงให้เขาได้รู้ว่า แม้ผู้เป็นแม่จะเหลวไหล ไม่เหลียวแลเขาอย่างไร แต่เขาก็ควรจะภาคภูมิใจที่ได้สืบสายเลือดทวยไทของผู้เป็นพ่อ”
ราชก้าวลงจากรถ เขาเดินผ่านประตูรั้วบ้านตรงไปที่คุณหญิงอำภา
คุณหญิงหันมาเห็นเป็นราช ก็ชะงัก และหลุดปากออกมาว่า
“ภาคย์”
“อย่าเรียกผมอย่างนี้อีก”
แม้ท่วงท่าของราชจะดูดุดัน แต่คุณหญิงอำภาก็เผยอยิ้มให้กับเขา
“ภาคย์มาหาแม่เหรอ”
“ผมมาหาคุณในฐานะตัวแทนของเด็กคนนึง ที่ลืมตาขึ้นมาดูโลกพร้อมกับความสับสน เพราะเขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเขาเป็นผลผลิตที่เกิดจากความรัก หรือความใคร่ หรือความเหลวไหลไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจของคนเป็นแม่กันแน่”
รอยยิ้มของคุณหญิงอำภาหุบลง ตกตะลึงกับท่าทีและถ้อยคำของราช
“เขาเคยคิดเอาเองว่า มันคงเป็นชะตากรรมของเขา ที่ไม่เคยได้รับความรักเหมือนเด็กคนอื่น แต่ที่จริงแล้วมันไม่ใช่กรรมของเขาเลย...มันเป็นบาปของผู้หญิงคนนึงที่ไม่ได้มีความเป็นแม่แม้แต่น้อย...ผู้หญิงคนนี้ทำลายชีวิตของท่านชายคนนึงจนย่อยยับ หมดสิ้นอนาคต”
คุณหญิงแทบช็อก น้ำตาทะลักไหลพรั่งพรูออกมา
“เท่านั้น ยังไม่พอ เธอยังทำลายชีวิตของเด็กที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อีกคนนึง เพียงเพราะว่า มันเป็นก้อนเนื้อที่ฟ้องถึงความร่านของผู้หญิงคนนี้”
“ภาคย์...พอเถอะลูก” คุณหญิงอำภาใจจะขาดรอนๆ
ราชตะโกนสวน เสียงดังสนั่น
“อย่ามาเรียกผมว่าลูก ผมไม่ใช่ลูกคุณ ผมไม่มีวันยอมมีแม่เลวๆอย่างนี้ รู้ไว้ด้วย คุณใจบาปกว่าที่ผมคิดไว้มาก คุณหญิงอำภา วันนึงคุณจะต้องชดใช้กรรมที่คุณทำไว้อย่างสาสม”
ราชหันตัวเดินกลับไปขึ้นรถทันที ส่วนคุณหญิงอำภาค่อยๆ ทรุดตัวล้มลง สิ้นเรี่ยวแรง
รถที่เทินขับเคลื่อนตัวออกจากหน้าบ้านพิชิตพงษ์ไป ขณะที่นมพริ้งวิ่งตรงมายังคุณหญิงอำภาหน้าตาตื่น
“คุณหญิง...คุณหญิงคะ”
“เขามาที่นี่จ้ะนม”
“ใครคะ”
“เขามาหาฉัน มาด่าฉันถึงที่นี่”
คุณหญิงครวญคร่ำร่ำไห้ เป็นที่น่าเวทนา
ราชนั่งนิ่งมาตลอดทาง จนแม้เวลานี้ที่รถของเทินพักจอดริมถนน ในแววตาของเขามีความปวดร้าว เจ็บช้ำ แฝงอยู่ไม่น้อย มันปนไปกับหยาดน้ำตาลูกผู้ชาย ที่เอ่อเต็มดวงตาทั้งสองข้าง
เทินยืนพูดโทรศัพท์อยู่นอกรถ สักพักเทินจึงลดโทรศัพท์ลง เขาเดินกลับเข้ามานั่งข้างๆ ราช ประจำที่คนขับ
“ผมเช็คกับน้าป่วนอีกทีแล้ว ไม่มีใครเห็นตอนคุณอมาวสีเดินไปขึ้นรถเลย เธอใช้โทรศัพท์โทรเข้ามาบอก...ผมว่ามันดูผิดสังเกตอยู่นะครับ”
ราชหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา เขากดหมายเลขของนายวาริน
“ฮัลโหล วาริน อมาวสีอยู่บ้านนายรึเปล่า
“นายพูดอะไรของนายวะ” เสียงวารินฉงนฉงายมาก
“อย่าเพิ่ง งง อยู่ก็บอกว่าอยู่ ไม่อยู่ก็บอกว่าไม่อยู่ อย่าโกหก”
“ไม่อยู่ จะอยู่ได้ยังไงวะ นายเพิ่งนัดกับเราเมื่อกี้นี้เอง จะบ้าเหรอ...ตกช้างจนความจำเสื่อมรึไง”
ราชเครียด สูดหายใจลึกๆ คล้ายจะตัดสินใจอะไรบางอย่าง
“นายแวะมาหาเราหน่อยได้มั้ย วาริน”
ตกตอนกลางคืน วารินพาตัวเองมาตามนัด เขาก้าวเข้าในห้องโถงบ้านพักราช เปิดปากถามทันที
“ว่าไง มีเรื่องอะไรนักหนา อยู่ๆก็เป็นวัยรุ่นใจร้อนขึ้นมาซะงั้น”
ราชก้าวเข้ามาประจันหน้าวาริน
“นั่งก่อนสิ”
“เรานั่งมาทั้งวันจนเมื่อยก้นไปหมดแล้ว”
“เรามีเรื่องจะบอกนายว่ะ”
“บรรยากาศอย่างนี้ ต้องขออะไรเย็นๆซักแก้วละ”
วารินเดินไปเปิดตู้เย็นหยิบเบียร์กินอย่างคุ้นเคย ราชเอ่ยปากโดยไม่รอให้วารินเปิดเบียร์เสร็จ
“เราเป็นคนฉุดน้องอ้อไปเอง”
วารินทวนคำพูดของราช “นายเป็นคนฉุดน้องอ้อ”
“เราเอาตัวน้องเขาไปเก็บไว้ที่บ้านกลางไร่ที่ปากช่อง”
วารินเริ่ม งุนงง
“ไร่ที่ปากช่อง”
“เพื่อเธอจะได้ไม่ต้องเข้าพิธีแต่งงานกับนายภากร”
“แล้วนายกับน้องอ้อ...?” วารินอดคิดไม่ได้
ราชส่ายหน้า “ไม่ได้มีอะไรกัน...เพราะเราคิดว่าน้องเขาเหมาะกับนาย”
สีหน้าของวารินเริ่มดูไม่สบอารมณ์นัก
“แต่...ทำไม นายไม่บอกอะไรเราเลย”
“นายไม่รู้เรื่องเลย น่าจะดีกว่า”
“ดีกว่ายังไง ในเมื่อสุดท้ายนายก็ให้เรารับสมอ้างว่าเป็นคนทำ”
“มันจะดีสำหรับนาย ถ้านายรู้เพียงเท่านั้น น้องเขาจะได้ไม่เคืองนาย นายจะเป็นพระเอกด้วยซ้ำ ที่ยอมเอาตัวเข้ามากู้สถานการณ์ให้...สุดท้ายนายกับน้องจะได้ลงเอยกันอย่างมีความสุข”
“ถามจริงๆ ทั้งหมดนี้ นายทำเพื่อช่วยเราเหรอ?”
“อื่อฮึ”
“ขออะไรอย่างได้มั้ย”
“ได้สิ”
“ขอชกหน้านายทีหนึ่งเถอะว่ะ”
วารินเงื้อมือชกหน้าราชอย่างเต็มแรง ราชเซไปนิดๆ
“แล้วเรื่องชายแดน แม่สอด เรื่องเด็กแรงงานต่างด้าว”
“ไม่มีหรอก...เรามั่วเอาทั้งนั้น”
“งั้นนายก็เอาตัวน้องมาส่งได้แล้ว นายจะยังมัวทรมานน้องอยู่ทำไม”
“นั่นแหละปัญหา”
“ยังไง”
“น้องอ้อหายตัวไป”
วารินอึ้ง “อ้าว”
“หายไปตั้งแต่เช้า จนป่านนี้ยังตามหาตัวไม่เจอเลย”
วารินตะโกนลั่นบ้าน
“อะไรวะ มีคนมาลักพาตัวน้องไปอีกทีเหรอ”
“ก็อาจเป็นได้”
“โธ่ ไอ้บ้า ขอชกหน้าแกอีกทีได้มั้ยวะ”
วารินชกหน้าราชอีกทีอย่างแรง ราชยืนนิ่งให้ต่อยโดยดี
“นายรู้มั้ยว่า นายทำอะไรลงไป นายทำอย่างนี้กับน้องได้ยังไง ทั้งหมดนี่มันเป็นเรื่องที่งี่เง่าที่สุด...ป่านนี้น้องอ้อไม่โดนข่มขืนไปจริงๆ แล้วเหรอเนี่ย นายมันโง่ บ้า เซ่อ ทำอะไรไม่รู้จักคิด โธ่ เว้ย...แล้วทีนี้เราจะทำยังไงกันดีล่ะ”
ราชนั่งนิ่ง เครียดหนัก ไม่มีคำพูดใดๆออกจากปากของเขาในเวลานี้
อ่านต่อหน้า 4
หัวใจเถื่อน ตอนที่ 12 (ต่อ)
รถตู้คันนั้นแล่นเข้ามาจอดหน้าบ้านเช่าลึกลับ ใจกลางเมือง จอนลงมาไขกุญแจบ้าน มีสายบัวเดินตามเข้ามายืนใกล้ๆ
“เราเอาตัวนังนี่ไปส่งให้เขา แล้วรับเงินก็จบแล้ว พี่จะเอามันมากักขังอีกทำไม” สายบัวไม่เห็นด้วย
“มันเป็นโอกาสที่เราจะเรียกราคาค่าตัวเชลยได้มากขึ้น” จอนยิ้มลำพอง
“โอ๊ย เท่าที่เขาให้เราก็เยอะพอแล้ว พี่จะเอาอีกซักแค่ไหน”
“มากที่สุด ต้องได้มากที่สุดเท่านั้น ถึงจะคุ้ม”
“แล้วพี่คิดว่าคุณภากรเขาจะมีเงินให้เราเหรอ”
“พ่อมันสิโว้ย ที่จะต้องจ่ายเงินให้เรา ถึงเวลาเอาคืนจากพวกนักการเมืองเลวๆ บ้างแล้วเว้ย เอ็งเอาอีนั่นเข้าไปในบ้านก่อน เฝ้าไว้ให้ดีๆล่ะ พี่จะไปเคลียร์เงินกับไอ้พวกเด็กๆ...แป๊บนึง”
ในเวลาต่อมา สายบัวดันตัวอมาวสีเข้ามาในบ้าน แล้วดึงถุงดำคลุมหัวอมาวสีออก พบว่าอมาวสี หน้าตาอ่อนล้าและผมเผ้ายุ่งเหยิง สายบัวพูดพร้อมกับลากอมาวสีขึ้นบันไดไปยังชั้นบน
“ฉันจะให้เธอพักผ่อนให้สบายตัวก่อน แต่สบายได้เฉพาะในห้องนะ จะมาเดินเพ่นพ่านไม่ได้เข้าใจมั้ย”
“ที่นี่ที่ไหนเหรอ” อมาวสีถาม
“อย่ารู้จะดีกว่า”
“พาฉันมาที่นี่ทำไม”
“รอ...” สายบัวเริ่มรำคาญ
“รออะไร”
“รอพี่จอน...พี่เขากำลังดูราคาที่เหมาะสม”
“พวกเธอเป็นโจรใช่มั้ย”
สายบัวส่ายหน้า) ป่าว...ไม่ได้เป็น
อมาวสีไม่เห็นจะต่างจากโจรตรงไหน
สายบัวต่างย่ะ...ฉันสวยกว่า
สายบัวผลักอมาวสีเข้าไปในห้องและแกะเชือกที่มัดมือออก
“นี่คือห้องของเธอ ประตูห้องนี้จะปิดตาย อย่าได้คิดหนีเป็นอันขาด เพราะไม่มีทางให้เธอแทรกตัวออกไปได้แม้แต่น้อย”
อมาวสีมองไปรอบๆห้อง
“ห้องอาจจะไม่หรูหราเหมือนบ้านไร่ของนายราช แต่กุญแจล็อค อันใหญ่กว่ากันเยอะ”
สายบัวชูกุญแจอันเบ้อเริ่มให้อมาวสีดู
“อ้อ ลืมถามไป อันนี้ฉันอยากรู้จริงๆ เธอ เสร็จนายราชไปรึยัง”
อมาวสีนิ่ง ไม่ตอบ
สายบัวเซ้าซี้ “เถอะน่า ลูกผู้หญิงด้วยกัน บอกมาซะดีๆ อยู่บ้านอย่างนั้น บรรยากาศอย่างนั้นสองต่อสองกับนายราช เป็นฉันละ ไม่เหลือ...ว่าไง เสร็จแล้วใช่มั้ย”
อมาวสีตัดสินใจ พยักหน้ารับคำช้าๆ
“นั่นไง แซบมั้ย เทียบกับคุณภากรล่ะ ใครแซบกว่ากัน”
จอนเดินเข้ามาดุเมีย
“สายบัว พูดมากไปแล้ว”
จอนวางห่อผัดไทให้
“ก๋วยเตี๋ยวผัดไท เจ้าอร่อย หิวก็กินซะ อยากได้อะไรก็ตะโกนบอก สายบัวจะเฝ้าเธออยู่หน้าห้อง
จอนก้มหน้าลงไปพูดใกล้อมาวสี”
“หรืออยากให้ฉันอยู่ในห้องกับเธอด้วย” ไอ้จอนคนชั่วสูดดมกลิ่นกายอมาวสี แล้วหายใจเต็มปอด “แหม เนื้อหอมๆอย่างนี้ น่านอนด้วยเหมือนกันนะเนี่ย”
จอนยื่นปากเข้าไปหมายจะจูบ อมาวสียกขาถีบจอนจนมันกระเด็นออกไป
“ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ...ชอบว่ะ แนวนี้พี่ชอบ...ฝากไว้ก่อนนะ รอให้อารมณ์เราตรงกันก่อนดีกว่า”
จอนชอบใจ เดินหัวเราะร่าออกจากห้องไป
ที่โถงหน้าห้องนั้น จอนถือห่อก๋วยเตี๋ยวเดินเข้าไปหาสายบัวที่นั่งอยู่กลางโถงห้อง
“เอ็งอยู่นี่ก่อนนะ เดี๋ยวพี่มา นี่ราดหน้า พี่ซื้อมาฝาก”
“พี่จะไปไหนอีกแล้ว”
“ไปฉลอง”
“อ้าว...แล้วฉันล่ะ”
“เอ็งต้องเป็นคนเฝ้านังนี่ไว้ พี่ไม่ไว้ใจคนอื่น มันคือตัวเงินตัวทองของเรา ท่องเอาไว้”
จอนเดินปร๋อออกจากบ้านไปอย่างมีความสุข
สายบัวโผล่หน้าเข้ามาในห้องกักขังอมาวสี
“ถามจริงๆ รักใครมากกว่ากัน นายราช หรือ ภากร”
อมาวสีเงียบ ไม่เอ่ยปาก
“คิดออกแล้วค่อยบอกฉันก็ได้”
สายบัวเดินนวยนาดออกไป อมาวสีนั่งครุ่นคิดเพียงลำพังกลางห้องนี้
ที่บ้านพิชิตพงษ์ค่ำคืนนี้ นมพริ้งกำลังป้อนยาให้นายในห้องนอน ท่าทางคุณหญิงอำภายังดูซีดเซียว ซึมเศร้าอยู่ไม่น้อย
“ฉันว่า ฉันกินยามากไปแล้วนะพริ้ง”
“ไม่มากหรอกค่ะ ก็เท่าที่หมอสั่งนั่นแหละ”
“งั้นฉันคงเริ่มจะดื้อยาแล้วละ ฉันน่าจะศึกษาวิธีธรรมชาติบำบัดบ้าง คงจะดี”
“มีหมอคอยดูแล อุ่นใจกว่านะคะ”
“ใจของฉัน มันจะเย็นจะอุ่นก็อยู่ที่ฉัน...หมอไม่เกี่ยวหรอก”
นมพริ้งถือขวดน้ำและแก้ว ขยับเดินออกจากห้อง คุณหญิงถามถึงผู้เป็นสามี
“คุณกวียังไม่กลับมาอีกเหรอ”
“ยังค่ะ”
ท่านกวียังอยู่ที่ออฟฟิศในอาคาร กวี พิชิตพงษ์ เลขาเดินถือโทรศัพท์ตรงไปในห้องประชุม ท่านกวีนั่งนิ่งอยู่ในนั้น ไม่ไกลกันมีหนุ่มใหญ่บุคลิกคล้ายตำรวจนอกเครื่องแบบเดินวนไปวนมา
ส่วนอีกมุมหนึ่งมีชายวัยสันทัดบุคลิกเหมือนนักข่าว เขากำลังก้มหน้าก้มตาพูดโทรศัพท์มือถือของเขาอยู่ เลขาเดินตรงไปที่ท่านกวี
“ท่านคะ คุณหญิงโทร.มาค่ะ”
“บอกว่าผมกำลังเครียด มีอะไรให้สั่งไว้ หรือไม่ก็รอไปคุยกันที่บ้าน เสร็จธุระแล้วผมจะโทร.กลับไปเอง
“ค่ะ” เลขาเดินออกไป พร้อมกับยกโทรศัพท์ขึ้นพูด “คุณหญิงคะ”
คุณหญิงอำภานอนพูดโทรศัพท์อยู่บนเตียงนอนเดิม
“ฉันได้ยินแล้ว บอกเขาด้วยว่าฉันไม่มีอะไรจะฝาก แค่โทร.มาเพราะเป็นห่วงเท่านั้น”
คุณหญิงอำภาวางโทรศัพท์ลง ถ้อยคำด่าทอต่อว่าอย่างรุนแรงของราช ผุดขึ้นมาหลอกหลอน
“มันเป็นบาปของผู้หญิงคนนึงที่ไม่ได้มีความเป็นแม่แม้แต่น้อย ผู้หญิงคนนี้ทำลายชีวิตของท่านชายคนนึงจนย่อยยับ หมดสิ้นอนาคตเท่านั้น ยังไม่พอ เธอยังทำลายชีวิตของเด็กที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อีกคนนึงเพียงเพราะว่า มันเป็นก้อนเนื้อที่ฟ้องถึงความร่านของผู้หญิงคนนี้ คุณใจบาปกว่าที่ผมคิดไว้มาก คุณหญิงอำภา วันนึงคุณจะต้องชดใช้กรรมที่คุณทำไว้อย่างสาสม”
คุณหญิงอำภา สะอื้นไห้ น้ำตาทะลักออกมาอีกครั้ง
ที่ห้องประชุมในสำนักงานท่านกวี นักข่าวคนนั้นลดโทรศัพท์ลงจากหู เดินตรงมาหาท่านกวี
ซึ่งยังคงนั่งนิ่งหน้าเครียดอยู่ที่เดิม
“ยืนยันตรงกันหมดทุกสำนักพิมพ์ครับท่าน บรรดานักข่าวที่ช่ำชองเรื่องคดีอาชญกรรมทางเศรษฐกิจ กำลังเตรียมจะแฉ เพียงแต่ว่าทางอินเทอร์โพลขอให้เก็บเงียบไว้ก่อน เพื่อรอคุ้ยให้ถึงต้นตอเรื่องก็เลยยังชะลออยู่”
“มีชื่อผมอยู่ในเคสนี้ด้วยใช่มั้ย”
“ครับ...เงินที่ไม่มีที่มาที่ไปของท่าน เอาไปเก็บไว้ที่นี่ทั้งหมดครับ เกือบพันล้าน”
ท่านกวีถอนใจแรงๆ
“เพราะท่านมีบุญคุณกับผมมามาก ผมเลยต้องรีบมาบอกก่อน”
ท่านกวีหันมามองหน้านายตำรวจนอกเครื่องแบบ
“ทางเดียวของท่านก็คือ นิ่งเงียบ อย่าเคลื่อนไหวเงินจำนวนนี้ ฟรีซตัวเองไว้ก่อนดีที่สุด...ถ้าเคลียร์ไม่ได้ก็ปล่อยให้ยึดไป กันตัวเองออกมาก่อน”
“เท่ากับว่า ฉันกำลังจะกลายเป็นคนหมดเนื้อหมดตัว”
“น่าจะดีกว่า หมดอิสรภาพนะครับท่าน” นายตำรวจบอก
จอนนัดเจอภากร ที่ร้านเหล้า มันนั่งกินเหล้าฉลอง โดยมีสาวแต่งตัวโป๊ มาดเปรี้ยว หนึ่งคนนั่งคลอเคลียอยู่บนตัก ภากรเดินเข้ามาในร้าน มองหาจอนจนเจอ แลัวจึงเดินตรงเข้าไปหา
“แผลหายดีรึยังครับ”
ภากรพยักหน้า “นิดหน่อย”
“แล้วตรง...” จอนชี้ที่ไหปลาร้า
“ก็ยังเจ็บๆอยู่”
“เล่นกับพวกพ่อเลี้ยงก็งี้แหละ...น้องออกไปก่อน พี่ขอคุยธุระนิดนึงนะ”
จอนไล่เด็กเชียร์เบียร์คนนั้นออกไป
“ไหนพี่จอนบอกว่ามีข่าวดีไง”
“ก็มีน่ะสิ...ข่าวดีจริงๆด้วย”
“ข่าวว่าไง”
“เจอตัวอมาวสีแล้ว...”
“เจอที่ไหน”
ภากรคุยโต้ตอบเสียงเรียบเฉย จอนขมวดคิ้ว แปลกใจ
“ทำไม ดูไม่ค่อยตื่นเต้นเลยล่ะ”
“ผมมีเรื่องเครียดๆ หลายเรื่องน่ะ แล้วตอนนี้น้องอ้ออยู่ไหนล่ะ ผมจะได้ไปรับกลับบ้าน”
“แล้วเรื่องเงินรางวัลจากพ่อคุณล่ะ ยังเหมือนเดิมรึเปล่า”
“ก็ งั้นสิ”
“สิบล้าน” จอนย้ำ
“งั้นมั้ง” ภากรว่า
“อย่ามามั้งสิครับ ต้องเอาให้แน่ จะให้เท่าไหร่ก็ว่ามา ตอนนี้ผมกำลังมีปัญหาอยู่ด้วย”
“ปัญหาอะไร”
“ปัญหาคือ ไอ้ราชมันวางกำลังคนเฝ้าไว้เยอะมาก”
ภากรตาลุกวาว มีอารมณ์โกรธแค้นขึ้นมาทันทีที่ได้ยินชื่อราช
“ไอ้ราชจริงๆด้วย”
“ใช่ ไอ้นี่มันเลวสุดขั้วจริงๆ อาวุธยุทโธปกรณ์ของมันก็มหาศาล ถ้าเราจะเข้าไปชิงตัวน้องอมาวสี ก็ต้องใช้ทีมงานที่มีประสบการณ์หลายคนหน่อย”
“แจ้งตำรวจเลยดีกว่า ให้เจ้าหน้าที่จัดการให้”
“ถ้าแจ้งตำรวจ คุณก็จะไม่ได้รางวัลนำจับนะ จะเอาเงินที่ไหนมาใช้หนี้พ่อเลี้ยงล่ะ”
ภากรนิ่ง อึ้งไป จอนกล่อมต่อ
“เอาน่า เชื่อมือผมเถอะ ผมจัดการให้เอง ไม่ยากหรอก มือดีๆผมมีอยู่เยอะแต่ว่า มันต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมน่ะสิ”
“เท่าไหร่”
“ขอเพิ่มอีกซักห้า…ไหวมั้ย”
“ให้ได้ตัวน้องอ้อมาก่อน ผมจะลองพูดกับพ่อดู”
“แล้ววันนี้ พอจะมีสักสี่ห้าหมื่นก่อนมั้ยครับ เอาไปมัดจำพวกเด็กๆ มันหน่อย”
ภากรควักสตางค์ในกระเป๋าออกมาดู “มีเท่านี้ สองหมื่นแปด”
“ก็ยังดี”
ภากรส่งเงินให้จอน “ขอให้จบเร็วที่สุดนะพี่จอน”
“อยากมีเมียเร็วๆ แล้วสิน้องชาย...ฮ่ะฮ่ะฮ่า”
จอนหัวเราะเสียงดังสนั่น น่าหมั่นไส้เป็นที่สุด
ส่วนที่บ้านเช่าลึกลับ กลางดึก อมาวสีนั่งนิ่งอยู่ในห้องกักขัง สภาพห้องไม่ได้สะดวกสบายน่าอยู่เหมือนบ้านไร่ เธอนิ่งนึก คิดทบทวนถึงเรื่องราวระหว่าง เธอและราช ขณะใกล้ชิดกันที่บ้านไร่ อยู่ๆ น้ำตาก็ไหลรินออกมา
สายบัวก้าวเข้ามาในห้อง เอ่ยถาม
“หลับยัง”
อมาวสีสั่นศีรษะช้าๆ
“ฉันเหงาปาก ไม่มีคนคุยด้วย...เราหาเรื่องมาเม้าท์กันหน่อยมั้ย”
อมาวสีไม่ขยับปาก ไม่ขยับกาย ได้แต่นอนนิ่งเงียบ
“คุยไม่เก่งเหรอหล่อน เบียร์หน่อยมั้ย จะได้ลื่นคอ”
สายบัวชะโงกเข้าไปดูหน้าอมาวสีใกล้ๆ
“อ้าวร้องไห้ เหรอ คิดถึงบ้านละซี หรือคิดถึงผัว”
อมาวสียังคงนอนนิ่ง ไม่ตอบเช่นเดิม เสียงจอนตะโกนเข้ามาดังลั่น ฟังออกว่าเมาหนัก
“สายบัว สายบัว อยู่ไหนวะ”
“ฉันไปรับหน้าผัวฉันก่อน เสียงเมาๆอย่างนี้ มีหวังคืนนี้โดนหลายดอกแน่ๆ”
สายบัวเดินออกไปจากห้อง อมาวสีตัดสินใจลุกขึ้น เดินเขย่งไปปีนดูทางช่องแสงเหนือประตู
อมาวสีเห็นจอนยืนคุยกับสายบัวกลางโถงหน้าห้อง
“ไปซื้อเหล้า ซื้อกับแกล้มให้พี่หน่อยซี่”
“ยังเมาไม่พออีกเหรอเนี่ย”
“ยัง ยังไม่พอ...เมื่อกี้พี่ไปเมาอยู่คนเดียว ตอนนี้พี่อยากเมาพร้อมกับสายบัวไม่ได้เหรอ”
“ในตู้เย็นมีเบียร์แพ็คนึง ไม่พอเหรอ”
“ไม่พอ ระดับพี่กับสายบัว อย่างต่ำมันต้องสาม ต้องจัดให้หนัก เราไม่ได้มีอะไรกันหลายวันแล้วนะสายบัว” จอนทำหน้าหื่นใส่
“ก็ได้”
“แล้วนังนั่นล่ะ”
“นอนร้องไห้อยู่...อาจจะหลับแล้วก็ได้”
“เดี๋ยวพี่เฝ้ามันเอง”
สายบัวจ้องหน้าจอน “ห้ามยุ่งกับมันนะ”
“เออน่า รับรอง...รีบไปรีบมาแล้วกันสายบัว”
สายบัวเดินออกไป จอนหันหน้ามองมาทางห้องกักขังอมาวสีตาวาววาม
อมาวสีคว้าของแข็งใกล้ตัวได้ กลับมานอนกอดไว้นิ่งๆ ประตูห้องเปิดออก จอนค่อยๆ ย่องเข้ามาในห้อง มันยืนมองสำรวจอมาวสีจนทั่วเรือนร่าง อมาวสีกระชับของแข็งในมือนั้นไว้จนแน่น
ไอ้จอน ถอดเสื้อ ถอดกางเกงพุ่งเข้าไปกอดอมาวสี แต่อมาวสีเอี้ยวตัวหลบ คว้าของในมือฟาดหัวไอ้จอนแตกเลือดอาบ
“อีนี่ เล่นซะหัวกูแตกเลยนะ...อย่างนี้ต้องเอาให้คุ้ม”
“อย่านะ...อย่าเข้ามานะ”
จอนโผเข้าหาอมาวสีอีกครั้ง อมาวสีออกแรงสู้สุดชีวิต ทั้งผลัก ทั้งถีบ ทั้งข่วนด้วยเล็บอุตลุด
สายบัวก้าวเข้ามาพร้อมด้วยเก้าอี้ในมือ ฟาดเก้าอี้ตัวนั้นลงไปกลางหลังไอ้จอน
“หยุดเดี๋ยวนี้นะพี่จอน ไหนรับปากว่าจะไม่ยุ่งกับมันไง แหม ทำเป็นใช้ไปซื้อเหล้า พี่จะเอาอีนี่ใช่มั้ยล่ะ”
“ก็ทีไอ้ราชยังได้มัน ฉันก็ต้องได้มันด้วยสิ”
“ได้ งั้นเราเลิกกันวันนี้เลย...เอามั้ยพี่”
“อย่าพูดจาเลอะเทอะน่า”
“ฉันพูดจริง...จะเลิกกันมั้ย”
จอนหายใจหอบ แรง พ่นออกมาว่า “นาทีนี้ ยังไม่เลิก”
“งั้นก็ห้ามยุ่งกับนังนี่ ตั้งแต่นาทีนี้และตลอดไป เอ้า เบตาดีน ไปล้างแผลเอาเอง”
จอนรับยา แล้วกระเถิบเข้าไปพูดเสียงข่มขู่ใส่สายบัวบ้าง
“เอ็งก็เหมือนกัน อย่าให้พี่รู้นะ ว่าเอ็งแอบไปมีอะไรกับไอ้ภากร”
“ทำไม”
“เอ็งจะเจอดี หนักกว่านี้หลายเท่า”
จอนเดินหัวเสียออกจากห้องไป
“ขอบใจนะ สายบัว”
“ฉันหวงผัวฉัน ไม่ได้ห่วงเธอ ไม่ต้องขอบใจ”
“ชื่อสายบัวใช่มั้ย”
“บางวันก็ขื่อจูดี้”
อมาวสีทวนชื่อ “จูดี้”
“คุณภากรเรียกฉันอย่างนั้น...” สายบัวว่า
อมาวสีทำหน้าแปลกใจ
“ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันกับคุณภากร ยังไม่ได้มีอะไรกัน แค่…เกือบๆ เท่านั้น”
อมาวสียิ้ม ดูเหมือนว่าเธอจะสบายใจขึ้น
“ชอบเขามั้ย”
“ถ้าไม่มีพี่จอนละก้อ โอ๊ย เป็นไปไม่ได้อยู่ดี เขาจะแต่งงานกับเธออยู่แล้วนี่”
“ไม่หรอก เราแต่งกันไม่ได้หรอก”
“ทำไม” สายบัวแปลกใจ
“ฉัน...ฉัน...ท้อง”
สายบัวงงมากกว่าตกใจ “หือ”
อมาวสีบอกอีก “ท้องกับ ราช รัชภูมิ”
สายบัวตาลุกวาว สนใจขึ้นมานิดหนึ่ง
“ที่นอนร้องไห้เมื่อกี้ ก็...”
อมาวสีบอก “ฉันคิดถึงเขา...เขายังไม่รู้เลยว่า ฉันอุ้มท้องลูกเขาอยู่”
“เอ๊า...ฉิบหายละซี...”
“สายบัวช่วยฉันเถอะนะ...เราลูกผู้หญิงเหมือนกัน เห็นใจฉันเถอะนะ”
“คุณภากรเอ๊ย โดนสวมเขาตั้งแต่หนุ่มๆ เลยนะเนี่ย” สายบัวบ่นบ้าเซ็งๆ
อมาวสีลอบมองดูท่าทีสายบัว ด้วยความคาดหวังว่าสายบัวน่าจะยอมช่วยเธอได้
เช้าตรู่วันนี้ ภากรนั่งดื่มกาแฟเพียงลำพังในคอฟฟี่ช็อปในโรงแรมแห่งหนึ่ง ทนายชอบเดินตรงมาหาภากร
“คุณจะตะลอนๆ นอนตามโรงแรมอย่างนี้อีกนานมั้ยครับ”
ภากรส่ายหน้า “จนกว่าผมจะจัดการเรื่องยุ่งๆนี้ได้หมด ไม่งั้นผมเข้าหน้าพ่อไม่ติดหรอก”
“มันจะนานไปมั้ยครับ”
“ก็อาจจะไม่นาน สายข่าวบอกว่าใกล้จะเจอตัวอมาวสีแล้ว ส่วนเรื่องหนี้สิน ก็อยู่ที่ว่าอาจะช่วยผมได้แค่ไหน”
“เช็คแล้วครับ ทรัพย์สินของคุณที่เป็นชื่อคุณ และพอจะเอาไปกู้เงินมาได้มากพอ มีเพียงชิ้นเดียวครับ”
“อะไร”
“บ้านพิชิตพงษ์”
ภากรชะงัก “บ้าน”
“คุณพ่อโอนให้เป็นของคุณ ตั้งแต่ตอนเปิดบริษัทยา”
“แล้วผมจะไปอยู่ไหนล่ะ”
“ไม่ได้ขายครับ เราเอาไปจำนองกับแบงค์ คุณพ่อคุณท่านก็ทำอย่างนี้...แต่ท่านไม่อยากเป็นหนี้นาน เมื่อเดือนที่แล้วท่านเอาเงินสดคืนแบงค์ครบถ้วน ซึ่งคุณภากรก็สามารถเอาไปเข้าไฟแนนซ์อีกครั้งได้ เพราะดูจากประวัติเดิมแล้ว แบงค์น่าจะปล่อยเงินกู้ได้ไม่ยาก”
“แน่นะคุณอา...ไม่หลุด ไม่ถูกยึด แน่นะ”
“คุณภากรก็ต้องหมั่นส่งต้นส่งดอก ทำตัวเป็นลูกหนี้ที่ดีด้วยครับ แต่เครดิตคุณพ่อซะอย่าง ไม่น่ามีปัญหา”
“งั้นก็ เอาเลย จัดการตามนั้นเลย ด่วนเลยนะคุณอา”
“ครับผม”
ทนายชอบเดินออกไป ภากรนั่งอยู่เพียงลำพังกับความหวังครั้งสุดท้าย
ขณะเดียวกันรถของราชที่วิ่งขึ้นเขา มุ่งสู่บ้านไร่ ท่ามกลางแสงแดดสวย
ไม่นานต่อมา กลางลานหน้าบ้าน หมู่คนงานยืนเรียงกันเป็นแถวรอรับ ราชก้าวมาเบื้องหน้าพวกเขา หน้าตาของราชแสดงออกถึงอารมณ์ที่ไม่ค่อยจะดีนัก
“ผมขอเป็นตัวแทนของคนงานทุกคน ที่จะกล่าวคำขอโทษนายจากหัวใจครับ” ป่วนประเดิม
ป๊อดเสริม “พวกเรามัวแต่ตื่นเต้นกับการจะได้เป็นดารา”
แอ้มตาม “ได้เป็นรึเปล่ายังไม่รู้เลย”
ป้าเอิบปิดท้ายขบวน “อิฉันก็อีกคน...แก่แล้วยังฝันเฟื่อง ไม่รู้จักเจียม”
ราชยืนสงบนิ่ง ไม่มีท่าทีตอบรับหมู่คนงานแต่อย่างใด
“ถ้าพวกเรารู้ว่าผลลัพท์จะเป็นอย่างนี้ ละก้อ...เราคงไม่...” แอ้มเสียใจสะอื้นไห้ออกมา
“หรือมีอะไรที่เราจะแลกได้ เพื่อให้นายหญิงกลับมา พวกเราทุกคนยอมครับ” ป่วนว่าหน้าจ๋อง
“ไปเถอะ...จะไปไหนก็ไปเถอะ ฉันไม่มีอะไรจะพูดแล้ว”
ป๊อดอ้าปากจะอธิบายอีก “ผม...”
ราชส่งเสียงตะโกนลั่น ชนิดที่ทุกคนไม่เคยเห็นอารมณ์นี้มาก่อน
“บอกให้ออกไปให้พ้นไง ออกไปให้หมด”
หมู่คนงานทุกคนค่อยๆ ทยอยเดินออกไป
“ฉันอาจจะไม่กลับมาที่นี่อีกแล้วนะ ฉันจะยกไร่นี้ให้เป็นของพินัย”
หมู่คนงานชะงัก ตกใจกว่าเก่า ป้าเอิบค่อยๆเอ่ยปาก
“แต่นี่คือไร่อมาวสีนะคะ”
“ก็แค่ชื่อ ตัวเขาไม่อยู่ จะมีความหมายอะไร”
ราชเดินเข้ามาในห้องอมาวสี มองดูข้าวของทุกชิ้นในห้อง เสื้อผ้าชุดต่างๆ ยังคงวางอยู่ที่เดิม รวมทั้งชุดแต่งงานชุดนั้น สีหน้าขอราชเศร้า รันทด เห็นถนัดตา
ภาพเหตุการณ์ระหว่างเขาและเธอ ทั้งที่เกิดขึ้นในห้องนี้ กลางป่า และ กลางไร่ ผุดซ่อนขึ้นมา
ราชหยิบสมุดบันทึกที่เขาให้เธอไว้เขียนเรื่องราวขึ้นมาเปิดอ่าน เสียงอมาวสีดังก้องขึ้นมาราวกับมาอ่านให้ฟังข้างๆ หู
“ยากแค่ไหนนะที่จะทำให้คนใจร้าย กลับมามีหัวใจได้ ยากแค่ไหนนะกว่าเขาจะยอมรับความเป็นพี่ภาคย์คนเดิม มันช่างยากเหลือเกิน หรืออาจจะไม่มีทางเป็นไปได้”
ราชนึกถึงเหตุการณ์ที่เขาเคยใจร้ายกับเธอ อันเป็นที่มาของบันทึกนี้
ราช เปิดอ่านหน้าต่อไป
“ไม่น่าเชื่อ ว่าฉันจะต้องมาอยู่ในชุดเจ้าสาว เคียงข้างกับเจ้าบ่าวที่จงเกลียดจงชังฉันที่สุด โธ่ ทำเต๊ะไปอย่างนั้นเอง ชอบก็บอกมาเถอะ แอบชอบเราอยู่เหมือนกันใช่ไหมล่ะ”
ภาพเหตุการณ์ที่สองคนทำพิธีแต่งงานต่อหน้าคนงาน และเป็นที่มาของบันทึกนี้ ผุดซ้อนขึ้นมาอีก
ราช เปิดอ่านหน้าถัดไป บันทึกเขียนว่า
“แปลกนะ ที่อยู่ๆ เราก็สัมผัสถึงความอ่อนโยนของเขาได้ ยิ่งนานไป เรากลับคุ้นเคยกับสายตา อารมณ์ และท่าทีของเขา จนรู้สึกว่า เราอาจจะขาดเขาไม่ได้ซะแล้ว”
อีกเหตุการณ์ตอนสองคนใกล้ชิดกันระหว่างหนีพวกไอ้มาก ไปหลบอยู่ที่บ้านพักกลางป่าผุดซ่อนขึ้นมา และมันเป็นที่มาของบันทึกนี้ของอมาวสี
ราช เปิดอ่านหน้าต่อไป อมาวสีบันทึกความรู้สึกนี้ตอนราชรักษาตัวหลังถูกยิงเพราะเอาตัวบังอมาวสีไว้
“เขาจะตายมั้ย...ไม่นะ เขาต้องไม่เป็นอะไรนะ...ฉันอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเขา”
ถึงตอนนี้น้ำตาลูกผู้ชายของ ราช รัชภูมิ เอ่อขึ้นมาเต็มสองตา
“ไม่มีทาง ทั้งหมดที่เกิดขึ้นไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง อย่างน้อยเขาก็มีผู้หญิงอื่นรออยู่อีกหลายคน ทั้งชิดชไม วัชรี แล้วยังน้องแก้วอรัญญาอีก ไม่...ฉันจะไม่อยู่รอพบความช้ำใจเหล่านั้นหรอก”
ราชปิดสมุดบันทึกลง ด้วยความเศร้าสะเทือนใจเป็นที่สุด
ไอ้ป๊อดค่อยๆ ก้าวเข้ามาในห้องท่าทีเกรงใจสุดขีด ในมือของเขาถือกล้องถ่ายรูปตัวเก่งมาด้วย
“นายครับ อย่าเพิ่งไล่ผมนะครับ นายลองดูนี่ก่อน เผื่อมันจะมีประโยชน์กับนายก่อนที่นายจะทิ้งพวกเราไป”
ป๊อดส่งกล้องถ่ายรูปให้ราช
“ผมเห็นเขาแต่งตัวโป๊ เลยแอบถ่ายไว้ เพิ่งจะนึกได้ว่า เผื่อนายจะรู้จักพวกเขา เผื่อจะได้ตามหาตัวนายหญิงได้”
ราชรับกล้องมาดู
“ในนั้นจะมีรูปผู้กำกับครับ สามพี่น้อง นั่นเป็นผู้อำนวยการสร้าง แล้วก็ผู้จัดการที่แต่งตัวโป๊ๆน่ะครับ”
ราชเห็นสายบัวในรูปที่ป๊อดแอบถ่ายไว้ และในหลายๆ รูป มีจอนอยู่ในนั้นด้วย ราชตาลุกวาว
“ขอบใจมากไอ้ป๊อด”
ป๊อดดีใจ “นายรู้จักเหรอครับ”
“ฉันรู้จักมันดี ลูกพี่ลูกน้องฉันเอง ไอ้เหี้ย...จอน”
ขณะพูด หน้าตาของราชเหี้ยมเกรียม และดุดันยิ่งนัก
อ่านต่อตอนที่ 13