เจ้าแม่จำเป็น ตอนที่ 12
เย็นวันนั้นกะละแม ติ่ง โต๊ด ตุ้งแช่ ถือของกลับเข้ามาในบ้านท่าทางเหนื่อยล้า หมดแรงไปตามๆ กัน
“เฮ้อ....ถึงบ้านสักที หมดแรง...” ตุ้งแช่ทิ้งตัวลงบนโซฟา
“จะไม่หมดแรงได้ไงวะ ก็เอ็งเอาแต่เล่นน้ำทะเลทั้งวัน แถมยังไม่ช่วยพวกข้าทำมาหากินอีก รู้มั้ยพวกข้าเหนื่อยแค่ไหนกว่าจะรอดมาได้” โต๊ดด่า
“น้ายังไม่เท่าไหร่ ฉันสิโดนไปเต็มๆ”
“เอาน่า อย่าบ่นไปหน่อยเลย อย่างน้อยภารกิจของเราก็เสร็จแล้ว” ติ่งมากอดคอกะละแม “เก่งจริงๆน้องรัก”
“ใช่พี่ติ่งพูดถูก ภารกิจเราเสร็จสิ้นแล้ว...” กะละแมสะบัดแขนติ่งออกจากไหล่ แล้วก็หันมาทางโต๊ด “ได้เวลาที่น้าจะต้องทำตามสัญญาได้แล้ว”
โต๊ดผงะนิดๆ...ฉิบหายแล้ว
ตุ้งแช่หันมาถามอย่างสงสัย “สัญญาอะไรพี่แม”
“ก็สัญญาที่เราทั้งหมดจะต้องย้ายออกจากที่..... !”
พูดยังไม่ทันจบโต๊ดหาวเสียงดังมาก
“ห๊าว.... ทำไมมันง่วงอย่างนี้วะ สงสัยจะเพลียแดด เพลียลม เพลียทะเล” ทำเป็นหาว “ง่วงเหลือเกิน ข้าไปนอนก่อนนะ” เดินไปเลย
กะละแมโวย “อ้าว เฮ้ย เดี๋ยวสิน้าโต๊ด น้าโต๊ด ยังคุยกันไม่รู้เรื่องเลย น้าโต๊ด”
โวยจบกะละแมจะตาม ติ่งจับไว้
“ไอ้แม พอเหอะ พูดไปตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ แกก็รู้ เวลาน้าโต๊ดแกจะไม่ฟัง ... ตื้อยังไง แกก็ไม่ฟังอยู่ดี เหนื่อยเปล่า”
กะละแมไม่ยอม “ถึงไม่ฟัง แต่ฉันก็ไม่ยอมอยู่ที่นี่แล้วนะ พอกันที ทั้งเข้าทรง ทั้งดูฮวงจุ้ย ฉันจะไม่ทำอีกแล้ว ใครอยากจะทำก็ทำกันเองแล้วกัน ฮึ่ย”
กะละแมโวยวายแบบเหลืออด ติ่งส่ายหน้าแล้วก็พูดขึ้น
“ไอ้แม..พูดถึงเรื่องฮวงจุ้ยแล้วก็นึกขึ้นมาได้” หันไปเปิดกระเป๋าหยิบพัดออกมา “อะ..ไอ้คุณจักกายมันฝากมาคืนแก”
กะละแมรับมางงๆ “แล้วไปอยู่กับเค้าได้ไง”
“ไม่รู้ ถามกันเอาเองก็แล้วกัน อ้อ..แล้วมันยังฝากมาบอกว่า...แกติดหนี้มัน”
“เฮ่อ....นี่ก็อีกคน ไม่รู้จะแก้แค้นอะไรกันหนักกันหนา น่าเบื่อจริงๆ”
กะละแมบ่นๆๆ แล้วก็โยนพัดทิ้งไว้ที่โซฟา พัดกระเด้งหล่นตกมาที่พื้น ดังตุ๊บ !
ฉายตะวันกับชิณเดินเข้ามาในบ้าน แจ่มขนกระเป๋าของฉายตะวันกับชิณเดินตามหลังมาหน้าตายังครุ่นคิด แจ่มเดินเลยไป...เอากระเป๋าไปเก็บ ฉายตะวันกับชิณเดินไปนั่งที่โซฟาในห้องรับแขก
ชิณกำลังจะหย่อนก้นลงที่โซฟา “เฮ่อ...”
ฉายตะวันหันขวับ “ชิณเรื่องไปทำบุญน่ะ ไปทำมันซะพรุ่งนี้เลยนะ แม่ร้อนใจ”
ชิณร้อง หะ ค้างเลย “นี่ผมกลับมายังไม่ทันได้นั่งเลย จะให้ไปทำบุญอีกแล้วเหรอแม่”
“ของแบบนี้ช้าได้ที่ไหน แม่มีลูกชายอยู่คนเดียว ถ้าชิณเป็นอะไรไป แม่จะทำยังไง ไปทำมันซะเก้าวัดเลยนะ จะได้เป็นมงคลกับชีวิต”
“เก้าวัด! ผมไปไม่ถูกหรอกครับ”
“เรื่องนี้ไม่ต้องห่วง แม่จะให้หนูกะละแมเป็นคนพาไป”
ชิณชะงักนิดๆ ไม่โวยวายใดๆ รำพึงเบาๆ “ไปกับกะละแมเหรอ...อืม”
เวลาต่อมาสามคนอยู่ในห้องรับแขก กะละแมโพล่งออกมาด้วยความประหลาดใจ
“จะให้หนูพาคุณชิณไปทำบุญ 9 วัด”
ชิณรีบตอบ “ใช่”
ชิณมองกะละแม รอฟังคำตอบว่าจะไป ไม่ไป
“หนูกะละแมช่วยพาชิณไปหน่อยนะ ฉันจะพาไปเองก็ไม่ไหว จะปล่อยให้ไปคนเดียวก็กลัวจะไม่ถึงวัด”
กะละแมลำบากใจ...จะปฏิเสธก็เกรงใจฉายตะวัน
“ไม่กล้าไปกับฉันสองคนหรือไง” ชิณทำเป็นท้าทาย แต่ในใจก็อยากให้ไป...ไม่รู้ตัว
กะละแมมองสู้สายตาชิณ แล้วก็หันมาตอบกับฉายตะวันอย่างสุภาพ “ได้ค่ะ หนูจะพาคุณชิณไปทำบุญเอง...แต่หลังจากทำบุญเสร็จแล้ว หนูมีเรื่องสำคัญจะบอกคุณนายนะคะ”
ชิณหูผึ่ง
ฉายตะวันอยากรู้ “หนูกะละแมมีเรื่องอะไร จะคุยตอนนี้เลยก็ได้นะ”
กะละแมเหล่ชิณแล้วตอบ “ตอนนี้ไม่สะดวกค่ะ” แล้วหันกลับมาที่ฉายตะวัน “หนูขอคุยกับคุณนายเป็นการส่วนตัวพรุ่งนี้ดีกว่าค่ะ”
“ถ้างั้นก็ตามใจ”
ชิณมองกะละแมด้วยความอยากรู้ว่ามีเรื่องอะไรจะคุยกับฉายตะวัน กะละแมทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ชิณยิ่งร้อนใจ
เช้าวันต่อมา ฉายตะวัน มิ้ว กิมเอ็ง อยู่ในห้องรับแขกบ้านมหาทรัพย์ไพศาล กิมเอ็งถามฉายตะวันแบบไม่ค่อยพอใจ แต่ก็พยายามเก็บอาการ
“ทำไมคุณพี่ให้คุณชิณไปทำบุญกับกะละแมล่ะคะ ทำไมไม่ให้หนูมิ้วพาไป”
“หนูมิ้วไม่ค่อยได้เข้าวัดเข้าวาไม่ใช่เหรอ ถ้าให้ไปกับชิณสองคนคงไปไม่ถึงวัด”
คำพูดตรงๆของฉายตะวันทำเอามิ้วหน้าเสีย
“ทำบุญร่วมกันแบบนี้ ชาติหน้าก็ต้องเกิดมาเจอกันอีกนะคะคุณพี่”
“ก็ดีสิ คนดีๆ อย่างหนูกะละแมน่ะ ฉันก็อยากให้ชิณเจอทุกชาติ”
“คุณป้าพูดแบบนี้หมายความว่าคุณป้าไม่อยากให้พี่ชิณเจอมิ้วเหรอคะ” มิ้วพูดอย่างฉุนเฉียว
ฉายตะวันสะดุดในน้ำเสียง จึงมองเหล่ “นี่หนูมิ้ว หนูเข้าใจอะไรผิดตลอดเลยนะจ๊ะ ป้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น แต่ถ้าหนูจะคิดอย่างนั้น ป้าก็ไม่ว่าอะไร”
มิ้วชักสีหน้าไม่พอใจ...กิมเอ็งสะกิดให้เก็บอาการ
ระหว่างนั้นแจ่มถือโทรศัพท์มือถือของฉายตะวันเดินเข้ามา แล้วยื่นโทรศัพท์ให้ท่าทีนอบน้อม
“เลขาคุณท่านโทรมาจากสมาคมค่ะ”
ฉายตะวันรับโทรศัพท์จากแจ่มแล้วหันไปบอกกิมเอ็งกับมิ้ว “ฉันขอตัวสักครู่นะ”
ฉายตะวันเดินออกไป...แจ่มเดินตาม
ทางด้านมิ้วนั่งหน้าหงิก...อารมณ์เสียอย่างแรง และเทความแค้นทั้งหมดไปลงที่กะละแม
“ใจเย็นๆ ค่ะคุณลูกขา ใจเย็นๆ ค่ะ คาล์มดาวน์ นะคะ คาล์มดาวน์”
“วุ้ย จะมาดาวน์ เดิว อะไรตอนนี้คะคุณแม่ มิ้วบอกแล้วไงคะว่ามันไม่น่าไว้ใจ เราน่าจะขอคุณป้าไปดูที่ด้วย เห็นมั้ยคะ ไปไม่กี่วันกลับมา ไปทำบุญด้วยกันแล้วเนี่ย”
มิ้วเริ่มนอยด์
“แล้วไม่ได้ไปแค่วัดเดียว ไปตั้ง 9 วัด ถ้าพี่ชิณเกิดหลงเสน่ห์มันขึ้นมาจริงๆ จะทำยังไง”
กิมเอ็งนิ่งคิด แล้วก็พูดขึ้น
“แม่ว่า..เราต้องบุกประชิดตัวพวกมันให้มากกว่านี้” จิกตาอย่างมาดมั่น “ตามคุณแม่มาค่ะ”
กิมเอ็งลุกขึ้นแล้วเดินออกไป มิ้วรีบตามไปติดๆ
“จะไปไหนคะคุณแม่”
กิมเอ็งกับมิ้วเดินย่องๆ ออกไปอย่างระมัดระวัง
ชณะเดียวกันนั้น โต๊ดลงจากรถมอเตอร์ไซด์รับจ้างที่หน้าบ้านชิณ กำลังจะเข้าบ้าน โดยไม่รู้ว่ามีสายตาของใครบางคนที่เฝ้ามองอยู่ เห็นโต๊ดเดินลงจากรถ
โต๊ด ยังไม่รู้เรื่อง เดินไปอย่างมั่นใจ...และทันใดนั้นเองก็เริ่มรู้สึกเหมือนมีคนตาม...โต๊ดหันกลับมา
เห็นเป็นก๋อยหน้าใหญ่ในระยะประชิด และก็มีถุงดำมาคลุมหัวโต๊ดไว้มืดมิด
“เฮ้ย...” แล้วจากนั้นก็เป็นเสียงอู้อี้ๆ ฟังไม่รู้เรื่อง
ก๋อยรีบบอกลูกน้อง
“ไอ้ลำดวน รีบเอาไอ้แก่นี่ไปใส่รถ”
ลำดวนลากโต๊ดที่ถูกกระสอบคลุมหัวไปโยนใส่รถ เสียงดังโครม!
โต๊ดร้องโอดโอย ส่งเสียงอู้อี้ฟังไม่รู้เรื่อง ก๋อยขึ้นรถ แล้วลำดวนก็ขับรถออกไป
รถชิณแล่นเข้ามาจอดที่ลานในวัด กะละแมและชิณลงจากรถพร้อมๆ กัน ชิณยืนมองวัดเฉยๆ กะละแมเลยหันไปออกคำสั่ง
“ไปหยิบถังสังฆทานที่ท้ายรถมาสิ”
“สั่งฉันเหรอ!” ชิณพูดเหมือนจะไม่ทำ แล้วก็ถามขึ้น “เอากี่ถัง”
“ถังเดียว”
กะละแมมองชิณเดินไปหยิบถังสังฆทานที่ท้ายรถ...กะละแมมองยิ้มๆ
ชิณหิ้วถังสังฆทานเดินกลับมาหากะละแม
“แล้วไงต่อ”
“ก็เข้าไปข้างใน”
กะละแมเดินนำชิณไปตามทางเดินเล็กๆ บรรยากาศภายในวัดร่มรื่นเงียบสงบและสวยงาม
ชิณเดินตามกะละแมไป ระหว่างที่เดินก็แอบมองกะละแมไปด้วย ชิณเห็นสีหน้ากะละแมดูสวย...สงบ มองแล้วสบายตาสบายใจ แล้วชิณก็ตัดสินใจถาม
“ฉันถามอะไรหน่อย” กะละแมเหล่...รอฟัง “ตกลงเธอกับไอ้กายเป็นอะไรกันแน่”
“ฉันกับคุณจักกาย ไม่ได้เป็นอะไรกันทั้งนั้น แฟนก็ไม่ใช่ เพื่อนก็ไม่ถึง เป็นแค่คนรู้จักแบบห่างๆด้วยซ้ำ ไม่ต้องมาถามย้ำแล้วนะ ฉันขี้เกียจตอบ” กะละแมพูดจบแล้วหันหลังไปเลย
ชิณยิ้มนิดๆ เมื่อได้ยินว่าคำว่า “เพื่อนเท่านั้น” แล้วก็รู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก แต่ก็ยังอยากจะถามย้ำให้แน่ใจ
“จริงเหรอ”
กะละแมส่ายหน้า เซ็งๆ “ไม่ต้องเชื่อก็ได้ เพราะคุณไม่เคยเชื่ออะไรฉันอยู่แล้วนี่”
ชิณเห็นกะละแมทำหน้าเศร้าๆ ก็รู้สึกไม่ดี รีบแก้ตัว
“ก็ได้...ฉันจะยอมเชื่อเธอสักครั้ง แล้วที่เธอบอกแม่ฉันว่ามีเรื่องสำคัญจะคุย...มีเรื่องอะไร” กะละแมหันมา “ไม่บอก”
กะละแมพูดจบก็รีบก้าวยาวๆ เดินนำหน้าชิณไป ชิณมองตาม...อยากรู้นะเนี่ย
ไม่นานต่อมา กะละแมก้าวข้ามธรณีประตูโบสถ์เข้าไป แล้วหันกลับมามองชิณที่ถือถังสังฆทานยืนเก้ๆ กังๆ อยู่
“เข้ามาสิ”
ชิณกำลังจะก้าวข้ามธรณีประตู แต่ก็ต้องชะงักเพราะคำสั่งของกะละแม
“ถอดรองเท้าด้วย”
ชิณก้มลงถอดรองเท้าแล้วเดินตามกะละแมเข้าไป กะละแมเข้าไปนั่งลงตรงหน้าพระ แล้วก้มลงกราบอย่างเรียบร้อย ชิณนั่งเฉยๆ กะละแมสะกิดให้กราบ ชิณก็ก้มลงกราบแบบเสียไม่ได้
“หนูพาเค้ามาถวายสังฆทานค่ะ” หันมาทางชิณ “เอ้าคุณ” สะกิดชิณ
ชิณงงๆ “อะไร”
หลวงพี่รูปนั้นมองชิณ “ท่าทางโยมคงจะไม่ค่อยได้เข้าวัดเข้าวานะ”
ชิณยื้มเจื่อน
“เป็นพวกบ้างานน่ะค่ะ เลยไม่ค่อยมีเวลาเข้าวัด” ชิณเหล่ แล้วก็หยิบถังสังฆทานส่งให้ชิณ “คุณถือของไว้แบบนี้นะ แล้วก็สวดตามฉัน”
ชิณงง “ทำไมฉันต้องสวดตามเธอ”
“ก็เป็นคำถวายสังฆทาน เพื่อความสุขความเจริญของคุณเอง” ชิณท่าทางไม่อยากสวด “เอาน่าสวดตามฉัน อิมานิ มะยัง...”
“เธอก็สวดแทนฉันไม่ได้เหรอ” ชิณอิดออด
“ไม่ได้ คุณเป็นคนถวายคุณก็ต้องสวดเอง เอ้า...อิมามิ มะยัง”
ชิณเหมือนจะพูดแล้วก็หันมา “แล้วถ้าเธอมั่วฉันจะรู้ได้ยังไง”
หลวงพี่เอ่ยขึ้น “สวดตามสีกากะละแมเถอะโยม เค้าไม่โกหกหรอก เค้ามาทำบุญที่วัดบ่อย”
ชิณงง “รู้จักกันด้วยเหรอครับหลวงพ่อ”
“เมื่อก่อนฉันเคยอาศัยอยู่ที่วัดนี้...จะเริ่มหรือยัง”
ชิณงงอีก “อยู่ที่วัดเหรอ”
กะละแมไม่ตอบ “อิมามิ มะยัง ภันเต” ยกมือไหว้และสวดด้วยกิริยาสำรวม
ชิณเห็นกะละแมหน้าตานิ่งไป ก็เลยเอาวะ “อิมามิ มะยัง ภันเต”
“ภัตตานิ สะปะริวารานิ”
“ภัตตานิ สะปะริวารานิ”
“ภิกขุสังฆัสสะ โอโณชะยามะ” ชิณอ้าปากจะสวดตาม แต่กะละแมไม่หยุด ชิณจึงหันมาทางกะละแมที่สวดอย่างคล่องแคล่ว “สาธุ โน ภันเต ภิกขุสังโฆ อิ นามิ ภัตตานิ สะปะริวารานิ”
“นี่เธอ...ช้าๆ หน่อย ตามไม่ทัน”
“โทษที...ลืมตัวไปหน่อย” กะละแมสวดช้าลง “ภิกขุสังฆัสสะ”
ชิณหันมามองกะละแม แปลกใจที่เห็นกะละแมคล่องแคล่วเรื่องทำบุญเหลือเกิน
ขณะที่สองคนเดินมาที่รถตรงลานจอดภายในวัด ชิณหันมาถามกะละแม
“เมื่อกี้เธอบอกว่าเคยอยู่วัดหมายความว่าไง”
“เมื่อก่อนน้าโต๊ดเป็นมัคนายกที่นี่ พวกฉันก็เลยได้อาศัยกินข้าววัด”
ชิณอึ้งไม่อยากเชื่อ “กินข้าววัด”
“พวกฉันไม่มีบ้านอยู่ ก็ต้องมาอาศัยอยู่ตามวัด ฉันเป็นเด็กผู้หญิงก็ไปอยู่กุฏิแม่ชี ทีนี้คุณคงจะเปลี่ยนความคิดเรื่องทำบุญกับวัดแล้วไม่ได้อะไรได้แล้ว เพราะสิ่งที่คุณทำ มันมาถึงคนที่เดือดร้อน และมาพึ่งวัดโดยที่คุณไม่รู้”
“รันทดไปหรือเปล่า จะพูดให้ฉันเห็นใจล่ะสิ” ชิณยังไม่ไว้ใจ
“นี่ยังไม่ถึงครึ่งของชีวิตฉันเลยนะ จะเอาอะไรอีกล่ะ พ่อแม่ตาย โตมาในสลัม อาศัยอยู่ตามวัด ไม่มีเงินกินข้าว ไม่มีเงินจ่ายค่าเทอม ต้องทำงานรับจ้างสารพัด ทั้งร้านอาหารตามสั่ง อู่ซ่อมรถ ร้านเสริมสวย คนรวยอย่างคุณจะเข้าใจอะไร”
ชิณชะงักกึก...กะละแมพูดต่อ
“คุณก็คิดแต่ว่าฉันโกหกหลอกลวง ต้มตุ๋นชาวบ้าน จ้องแต่จะเอาผลประโยชน์จากแม่คุณ” กะละแมหน้าเศร้าลงขณะพูดประโยคต่อมา “คุณเกลียดฉันตั้งแต่ยังไม่รู้เลยว่าจริงๆ ฉันเป็นยังไง”
ชิณอึ้งเพราะเป็นความจริง
กะละแมหันมา ฝืนยิ้ม “รีบไปเถอะ ยังเหลืออีกตั้ง 8 วัด”
ชิณมองตามกะละแมและเริ่มคิด...มีบางอย่างในตัวกะละแมที่ชิณอาจมองข้ามไป
“นี่เธอ...ที่เธอบอกว่าจะย้ายออกจากบ้านฉัน...มีที่อยู่ใหม่แล้วหรอ”
กะละแมชะงัก ไม่คิดว่าชิณจะถามเรื่องนี้
“ฉันหาบ้านเช่าได้แล้วละ ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป คุณจะได้สบายตา สบายใจที่ไม่มีพวกฉันอยู่รกหูรกตา”
กะละแมเดินนำไปที่รถ ชิณมองตามด้วยความเห็นใจและเริ่มมองกะละแมในแง่ดีมากขึ้น
มิ้วกับกิมเอ็งย่องเข้ามาในบ้านหลังเล็กแล้วก็เหลียวซ้ายแลขวาเห็นติ่งนอนกระดิกเท้าอ่านหนังสือกอสซิปดาราอย่างสบายอารมณ์อยู่ที่โซฟา กิมเอ็งสะกิดมิ้วให้มองติ่งแล้วกระซิบกระซาบ
กิมเอ็งกระซิบ “ดูเหมือนมันจะอยู่คนเดียว เดี๋ยวคุณลูกล่อมันออกไปข้างนอกนะคะ”
มิ้วเบ้หน้า “ทำไมมิ้วต้องมาฝืนใจทำอะไรแบบนี้ด้วยเนี่ย”
กิมเอ็งกระซิบอีก “หลับหูหลับตาทำไปเถอะค่ะ คุณแม่สัญญาว่าจะรีบหาสิ่งผิดปกติที่จะแฉนังกะละแมให้ได้โดยเร็ว ถ้าเจอแล้วจะรีบโทร.บอก”
“แล้วคุณแม่คิดว่าจะเจอเหรอคะ”
“ไม่ลองก็ไม่รู้ แม่จะลองดู เผื่อจะเจอพวกสมุดบันทึก หรือคลิปหลุดอะไรทำนองเนี้ยะ ลูกรีบๆพาไอ้ติ่งมันออกไปก่อน ที่เหลือแม่จัดการเอง”
“ก็ได้ค่ะ” มิ้วทำท่าแหวะใส่ติ่ง แล้วก็ปั้นเสียงหวานสุดฤทธิ์ “คุณติ่งคะ”
ติ่งตกใจสะดุ้งแล้วลุกพรวดขึ้นนั่ง พอเห็นอะไรเป็นอะไรติ่งก็ยิ้มหน้าบาน
“คุณมิ้ว...คุณมิ้วจริงๆ ด้วย ไม่อยากเชื่อเลยว่าคุณมิ้วจะมาหาผมถึงที่นี่” ยิ้มปลื้ม “สวัสดีคุณน้าด้วยครับ” ติ่งยกมือไหว้กิมเอ็ง
กิมเอ็งยกมือไหว้อย่างถือตัว
มิ้วฝืนยิ้ม “คุณติ่งอยู่บ้านคนเดียวเหรอคะ”
“ครับ...ไอ้แมพาคุณชิณไปทำบุญ ไอ้แช่ไปเรียน ส่วนน้าโต๊ดไปตลาด ไปตั้งนานแล้วไม่เห็นกลับมาสักที”
กิมเอ็งขยิบตาส่งสัณญาณบอกมิ้วให้พาติ่งออกไป มิ้วจัดการทันที
“มิ้วมีเรื่องอยากปรึกษาคุณติ่งนิดหน่อย เราไปนั่งคุยกันที่ร้านกาแฟหน้าปากซอยดีไหมคะ คุยกันไปทานเค้ก จิบกาแฟกันไป ชิลล์ๆ” ทำหน้าอ้อน “คุณติ่งพอจะมีเวลาให้มิ้วมั้ยคะ”
ติ่งแทบละลายยิ้มหน้าบาน “สำหรับคุณมิ้วผมให้เวลาทั้งชีวิตเลยครับ ไปกันเลยมั้ยครับ”
มิ้วแอบแหวะ
“ดีจ้ะ รีบๆ ไปกันเลย” กิมเอ็งเชียร์
“ขอบคุณครับคุณแม่” กิมเอ็งถลึงตาใส่ ติ่งรีบเปลี่ยนคำพูด “อุ๊ย...คุณน้า”
มิ้วพาติ่งออกจากบ้านไป จากนั้นกิมเอ็งก็ปฏิบัติการค้นหาของ
กิมเอ็งรื้อค้นของในบ้านตามจุดต่างๆ แล้วก็เจอหนังสือฮวงจุ้ยหลายเล่ม บางเล่มประทับตราห้องสมุดมหาวิทยาลัยรามคำแหง...เจอใบเสร็จที่ซื้อหนังสือฮวงจุ้ยเสียบอยู่ในหนังสือ...เจอพัดที่กะละแมใช้จดโพยฮวงจุ้ยตอนไปปราณบุรีอยู่ในตะกร้า
“คราวนี้แกดิ้นไม่หลุดแน่ นังกะละแม”
กิมเอ็งจิกตายิ้มร้าย
กะละแมกับชิณนั่งสำรวมอยู่ต่อหน้าพระภิษุอยู่ภายในโบสถ์ กะละแมนำสวดอย่างคล่องแคล่ว...ชิณสวดตามอย่างเต็มใจแล้วก็แอบมองหน้ากะละแม
กะละแมนำสวด “อิมานิ มะยัง ภันเต”
ชิณสวดตาม “อิมานิ มะยัง ภันเต”
“ภัตตานิ สะปะริวารานิ”
ชิณแอบมองมาทางกะละแม...สีหน้าชิณดูสงบ ไม่มีอคติใดๆ
ความสัมพันธ์ของกะละแมและชิณค่อยๆ ดีขึ้นทีละนิด โดยไม่รู้เลยว่ารายรอบด้านอันตรายกำลังรุกรุมเข้ามา ทั้งจากนุ้ย และ กิมเอ็งกับมิ้ว
เจ้าแม่จำเป็น ตอนที่ 12 (ต่อ)
ที่บ้านนุ้ยช่วงตอนกลางวัน โต๊ดโดนจับมัดมือ มัดปาก มัดเท้าติดกับเก้าอี้...โต๊ดดิ้นไปดิ้นมาส่งเสียงอู้อี้ๆ
ก๋อยยืนคุมโต๊ดไม่ห่าง นุ้ยเดินนำดวงเข้ามา
“เฮ้ย...ไอ้ก๋อย ทำไมมึงจับน้าโต๊ดมัดแบบนั้นวะ รีบๆ ปล่อยเลย” ดวงสั่ง
“ครับพี่ดวง”
ก๋อยรีบเอาเชือกและที่ปิดปากโต๊ดออก
นุ้ยยิ้มพอใจ “ไอ้ก๋อย ดูแลว่าที่หุ้นส่วนกูดีๆ หน่อย”
โต๊ดสะอึก...หะ!
“หุ้นส่วน...หมายความว่าไง”
ดวงแหลมเข้ามา “แหม...น้าโต๊ด ไม่ต้องทำเป็นไก๋หรอกน่า ป๋าน่ะรู้หมดแล้วว่าน้ารู้เห็นเป็นใจกับป้าไฝหลอกชาวบ้านกับไอ้เจ้าของที่”
โต๊ดอึ้งแต่ก็ไม่ยอมรับ “อะไร...ข้าไปรู้ไปเห็นอะไร นังไฝที่ไหนข้าไม่รู้จัก”
“ไม่รู้จักเหรอ ไอ้ก๋อย” นุ้ยส่งสัณญาณให้ก๋อยไปเอาตัวไฝมา
“ครับป๋า”
ก๋อยรับคำแล้วก็เดินหน้าเหี้ยมออกไป โต๊ดชะโงกหน้าตามไปดู...ไปไหนของมันวะ?
ก๋อยเดินกลับเข้ามาอีกรอบ พร้อมกับลากตัวไฝที่โดนมัดมือ มัดปาก เข้ามาด้วย ไฝโวยวายอู้อี้ขอความ
ช่วยเหลือ พอเห็นโต๊ดก็ยิ้มดีใจ
ก๋อยดึงผ้าปิดปากไฝออก...ไฝรีบพูดกับโต๊ดทันที
“น้าโต๊ด...น้าโต๊ด ช่วยฉันด้วย มันรู้เรื่องหมดแล้ว ช่วยฉันด้วย”
ก๋อยรีบเอาผ้าปิดปากไฝ...ไฝส่งเสียงอู้อี้ๆ ขอความช่วยเหลือจากโต๊ด นุ้ยกับดวงหันมาทางโต๊ด
“ไหนบอกว่าไม่รู้จักไง แล้วนี่อะไร” นุ้ยทำเสียงเล็กเลียนแบบไฝ “น้าโต๊ดๆ” แล้วเปลี่ยนเสียง
ใหญ่เหมือนเดิม “แหม...ท่าทางหนิดหนม นังไฝมันยอมรับหมดแล้วว่ามันรับเงินเอ็งแล้วก็ไปหลอกไอ้เจ้าของที่”
“พวกแก...พวกแกต้องการอะไรหะ!”
“ขอบใจที่ถาม...กูจะได้ตอบ” นุ้ยหัวเราะฮ่าๆ “กูต้องการให้พวกมึงมาเป็นพวกเดียวกับกู”
“จะให้ข้าเดินโพยหวยเหรอ” โต๊ดงงๆ
“เด็กเดินโพยกูมีเยอะแล้ว ตอนนี้เขาก็ส่งหวยกันทางอินเตอร์เนทแล้วเว้ย แต่กูมีตำแหน่งใหม่ให้พวกมึง...ทั้งสำนัก”
“ป๋าจะให้พวกแกมาเป็นฝ่ายโปรโมชั่น” ดวงเรียกซะหรู
“ฝ่ายโปรโมชั่นอะไร” โต๊ดยิ่งงง
“ก็ฝ่ายสนับสนุนการขายหวยไง งานก็ไม่มากมายอะไร แค่หลอกชาวบ้านให้ซื้อหวยโดยการเข้าทรง ก็เดิมๆ เหมือนที่พวกมึงเคยทำนั่นแหละ”
“แต่ข้าไม่ได้อยากให้คนซื้อหวยเพราะหวังให้เขาหมดตัวเหมือนพวกเอ็งนี่หว่า ข้าทำเพราะความหวังดี อยากให้เขาถูกหวยกัน”
“มันก็หลอกเงินชาวบ้านเหมือนกันล่ะว้า ก่อนจะปฏิเสธกูมีอะไรให้มึงดู” นุ้ยว่าแล้วหันมาทางก๋อยส่งซิกอยู่รู้กัน “ไอ้ก๋อย”
“ครับป๋า”
ก๋อยเดินมาเปิดคลิปจากโทรศัพท์ถือให้โต๊ดดู เป็นคลิปที่กะละแมยื่นให้เงินป้าไฝ โต๊ดเห็นคลิปก็หน้าเสีย...ซวยแล้ว!!!
“ถ้ามึงปฏิเสธ คลิปนี้ถึงมือไอ้เจ้าของที่กับตำรวจแน่ แล้วพวกมึงก็จะได้ติดคุกหัวโตกันยกครัว คิดดูให้ดีๆ” นุ้ยยิ้มเหี้ยม “ถ้าพวกมึงยอมรับตำแหน่งฝ่ายโปรโมชั่น ก็ขนข้าวของมาเปิดสำนักที่นี่ได้เลย เงินบริจาคได้เท่าไหร่มึงเอาไป กูไม่ยุ่งแม้แต่บาทเดียว มึงจะได้มีเงินส่งลูกเรียนสูงๆ แล้วก็จำไว้ว่า คนอย่างป๋านุ้ยไม่ชอบให้ใครขัดใจเว้ย”
นุ้ยตบไหล่โต๊ดอย่างแรง โต๊ดสะดุ้ง คิดไม่ตก เอาไงดีวะกรู
ฉายตะวันนั่งอยู่ที่ห้องรับแขกในบ้าน กิมเอ็งกับมิ้วเดินเข้ามา แล้วนั่งที่โซฟา
“อ้าวคุณกิมเอ็ง หนูมิ้ว หายไปไหนกันมา ฉันนั่งรออยู่ตั้งนาน นึกว่ากลับไปแล้ว แต่รถก็ยังจอดอยู่ ก็เลยงงๆ ตกลงไปไหนกันมาจ๊ะ”
“ไปหาหลักฐานสำคัญมาค่ะ” กิมเอ็งว่า
ฉายตะวันขมวดคิ้วงง
“หลักฐานอะไร”
จังหวะนั้น มิ้ววางหนังสือฮวงจุ้ยกับพัดของกะละแมลงตรงหน้าฉายตะวัน
“หลักฐานว่ากะละแมกับพวกของมันเป็นนักตุ้มตุ๋นยังไงล่ะคะคุณป้า” มิ้วว่า
“หนังสือฮวงจุ้ยกับพัดที่จดโพยอะไรต่อมิอะไรไว้มากมาย” กิมเอ็งเสริม พลางหยิบพัดมาคลี่ให้ฉายตะวันดู “นี่แสดงว่ากะละแมดูฮวงจุ้ยไม่เป็น แล้วที่ไปดูที่ริมทะเลให้คุณพี่ ก็คงดูมั่วแน่นอนค่ะ และนี่ๆๆ ดุนี่ค่ะหนังสือนี่เพิ่งซื้อแค่ไม่กี่วันเองนะคะ” แล้วกางใบเสร็จให้ฉายตะวันดู “คุณพี่ดูวันที่ในใบเสร็จนี่สิคะ” คราวนี้หยิบหนังสือมากาง “แล้วนี่ก็ยืมมาจากห้องสมุดก่อนไปดูฮวงจุ้งแค่สองวันเหมือนกัน คุณน้องว่า กะละแมโกหกทั้งเพ ดูฮวงจุ้ยไม่เป็นชัวร์ค่ะ”
ฉายตะวันไม่เชื่อ “หนูกะละแมเค้าไม่ใช่คนอย่างนั้นหรอก คุณกิมเอ็งคิดมากไปแล้ว”
“คุณป้าลองเอาของพวกนี้ไปให้พี่ชิณดูไหมคะ ว่าพี่ชิณจะคิดเหมือนมิ้วกับคุณแม่หรือจะคิดเหมือนคุณป้า
“ก็ได้จ้ะ ถ้าชิณกลับมาแล้วป้าจะลองถามเค้าดู”
กิมเอ็งมิ้วสบตากัน...เข้าทาง!
กะละแมกับชิณถวายสังฆทานให้พระอยู่ในโบสถ์ ครั้งนี้ชิณถวายถังสังฆทานเอง สวดบทถวายสังฆทานเอง ไม่ต้องให้กะละแมนำสวด...กะละแมนั่งมองชิณแล้วยิ้ม
เสียงชิณสวดบทถวายสังฆทานอย่างคล่องแคล่ว
“อิมานิ มะยัง ภันเต ภัตตานิ สะปะริวารานิ ภิกขุสังฆัสสะ โอโณชะยามะ สาธุโน ภันเต ภิกขุสังโฆ อิมานิ ภัตตานิ สะปะริวารานิ ปะฏิคคัณหาตุ อัมหากัง ทีฆะรัตตัง หิตายะ สุขายะฯ”
กะละแมมองชิณแล้วเผลอยิ้มออกมา จนรู้สึกตัวก็ชะงัก..นี่เรายิ้มทำไม กะละแมเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่างในตัวเอง
ชิณกับกะละแมกำลังเดินมาที่รถตรงลานจอดรถในวัดแห่งนั้น ซึ่งเป็นวัดสุดท้ายในการทัวร์ทำบุญ 9 วัด ในวันนี้
“ครบ 9 วัดแล้ว...พอใจหรือยัง” ชิณเอ่ยขึ้น
“ฉันไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง แต่ทำเพื่อความสบายใจของแม่คุณ” กะละแมมองหน้าชิณ คิดแล้วถาม “คุณชิณ...ฉันถามอะไรหน่อยสิ คุณ...เกลียดฉันมากใช่มั้ย”
ชิณอึ้ง อึกอักนิดๆ “ถามแบบนี้ทำไม”
“ก็คุณเจอหน้าฉันทีไรก็จ้องแต่จะว่าฉันตลอด ฉันทำอะไร ก็ดูเหมือนจะผิดไปหมดในสายตาคุณ ฉันก็เลยคิดว่าคุณคงจะเกลียดฉันมาก”
ชิณอึกอัก “มัน...ก็...มันก็ไม่ได้มากขนาดนั้นหรอก เพียงแต่ฉันไม่ชอบให้เธอมาหลอกแม่ฉัน”
กะละแมพูดเสียงเศร้า “พูดไปคุณก็คงไม่เชื่อ ฉันไม่เคยคิดร้ายกับแม่คุณเลย ตั้งแต่ฉันเกิดมา ไม่เคยมีใครดีกับฉันเท่าคุณนาย ถึงแม้ท่านจะดีกับฉันเพราะเห็นว่าฉันเป็นร่างทรง แต่คุณไม่ต้องห่วงนะ เพราะจากนี้ไป เจ้าแม่จะไม่ประทับร่างฉันแล้ว และฉันก็กำลังจะย้ายออกจากบ้านคุณ”
กะละแมพูดด้วยท่าทีจริงจัง ด้วยความจริงใจ ชิณชะงักนิดๆ
“แล้วเธอจะทำอะไรต่อไป” ถามเหมือนไม่สนใจ แต่จริงๆ อยากรู้
“ยังไม่รู้ แต่มันคงจะมีทางไปของมันเอง” กะละแมเหล่ชิณ “ทำไม...ที่ถามเนี่ยเป็นห่วงฉันหรือไง”
ชิณชะงักไปแล้วก็เฉไฉไปเรื่องอื่น
“ฉันจะไปห่วงเธอทำไม คนอย่างเธอเอาตัวรอดได้สบายอยู่แล้ว ไป...ฉันจะกลับบ้านแล้ว”
ชิณเฉไฉเดินไปที่รถ...พออยู่ลับหลังกะละแม ชิณอดคิดไม่ได้...หรือว่าเป็นห่วงวะ?
หลังถูกเสี่ยนุ้ยปล่อยตัว ตกเย็นนั้นโต๊ดนั่งครุ่นคิดอยู่คนเดียวที่หน้าบ้าน โต๊ด เห็นตุ้งแช่ใส่ชุดนักเรียนถือกระเป๋าเดินเข้ามาอย่างอารมณ์ดี ตุ้งแช่เดินเข้ามานั่งข้างโต๊ด
“พ่อเป็นไร? หน้าตาเครียดๆ”
โต๊ดถามด้วยสีหน้าจริงจัง “แช่...พ่อถามหน่อย เอ็งชอบเรียนหนังสือจริงๆ หรือเปล่า”
“ชอบสิพ่อ พ่อรู้หรือเปล่าว่าแช่ได้เกรดเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 3.5 ทุกเทอมเลย แช่ตั้งใจเรียนเพราะอยากเป็นนักพัฒนาซอฟท์แวร์คอมพิวเตอร์ แต่ก่อนจะเป็นนักพัฒนาซอฟท์แวร์ได้ แช่ต้องเรียนให้จบ ม. 6 สายวิทย์ก่อน แล้วก็สอบเข้ามหาวิทยาลัย เลือกคณะวิศวะ สาขาซอฟท์แวร์ เอ็นจิเนียริ่ง”
โต๊ดฟังแล้วก็อึ้ง ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าลูกชายแสบมีความคิดดีๆ แบบนี้
“แช่อยากเรียนสูงๆ จบมาจะได้มีงานดีๆทำ มีเงินเลี้ยงพ่อ พ่อจะได้เลิกทำอาชีพหลอกลวงชาวบ้านสักที” ตุ้งแช่ยิ้มให้กับความฝันของตัวเอง “พ่อถาม ทำไมเหรอ”
โต๊ดมองตุ้งแช่แล้วก็ตัดสินใจบางอย่างได้แล้ว
“พ่อถามเพราะจะได้ตัดสินใจอะไรบางอย่างได้”
“ตัดสินใจอะไรเหรอพ่อ” ตุ้งแช่ฉงน
“เรื่องของผู้ใหญ่ พูดไปเด็กอย่างเอ็งก็คงไม่เข้าใจ เอ็งนั่งรอตรงนี้นะ พ่อจะไปตามไอ้ติ่ง พอกะละแมมาจะได้คุยกันทีเดียว”
โต๊ดเข้าบ้านไป ตุ้งแช่มองตามงงๆ
“ตัดสินใจอะไรของเค้า”
ตุ้งแช่คิดขณะมองตามไปด้วยความอยากรู้
รถชิณแล่นเข้ามาจอดหน้าบ้านมหาทรัพย์ไพศาล สองคนอยู่ในรถ กะละแมหันมาพูดกับชิณ
“ขอบคุณนะคะ ที่ทะเลาะกับฉันน้อยกว่าที่คิด...ไม่งั้นทำบุญจะกลายเป็นทำบาปไปซะ”
ชิณเหล่ๆ “ไม่ชอบหรือไง อยากจะทะเลาะเหมือนเดิมใช่มั้ย จะได้จัดให้”
กะละแมรีบบอก “ไม่เป็นไร.. อยู่กันสงบๆบ้างก็ดีเหมือนกัน” ยิ้มแหะๆ ท่วงท่าน่ารักสดใส ชิณมองแล้วก็เผลอยิ้มตาม “ฉันไปนะ”
พอกะละแมลงจากรถไปเลย ชิณนึกได้
“เดี๋ยวกะละแม แล้วเรื่องที่จะย้ายออก”
แต่กะละแมเดินลับตัวไปแล้ว ชิณส่ายหน้า
“ยังคุยไม่รู้เรื่องเลย”
ชิณกำลังจะออกจากรถ สายตาก็เหลือบไปเห็นโทรศัพท์มือถือของกะละแมหล่นอยู่ที่เบาะ ชิณเก็บขึ้นมาแล้วออกจากรถ มองไปตามทางที่กะละแมเดินไป แต่ไม่เห็นกะละแมแล้ว
“อ้าว... เดินเร็วจริงๆ”
ชิณหยิบโทรศัพท์มือถือของกะละแมขึ้นมา
โต๊ด ติ่ง ตุ้งแช่ นั่งอยู่พร้อมหน้าในบ้าน ครู่ต่อมาโต๊ด เห็นกะละแมเดินเข้ามาในบ้าน
กะละแมมองงงๆ “เกิดอะไรขึ้น อยู่กันพร้อมหน้าเลย รออะไร”
“ก็รอเอ็งนั่นแหละ...นั่ง” โต๊ดสั่ง
“หือ” กะละแมงงมาก
โต๊ดเสียงดัง “นั่งสิเว้ย”
“จ้ะๆ” กะละแมนั่งท่าทีงงๆ
โต๊ดพูดขึ้น
“เอาล่ะ ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้าแล้ว ข้ามีเรื่องจะบอก” สูดลมหายใจลึกๆ แล้วพูด “ข้าตัดสินใจแล้ว ข้าจะย้ายไปเปิดสำนักที่บ้านไอ้ป๋านุ้ย พ่อไอ้ดวง”
ติ่ง กะละแม ตุ้งแช่ตาโต...ตกใจ ร้องพร้อมกัน
“ห๊ะ”
กะละแมอึ้ง “เกิดอะไรขึ้นน้าโต๊ด”
โต๊ดสะบัดผ้าขาวม้าขึ้นพาดไหล่ เล่าด้วยท่าทีหงุดหงิด
“พวกมันเป็นคนเสนอมาเอง เอ็งอย่าถามมากได้ไหมนังกะละแม ข้าถามพวกเอ็งแค่คำเดียว ว่าจะไปกับข้ามั้ย”
ตุ้งแช่กับติ่งมองหน้ากัน...เอาไงดี?
กะละแมพูดตอบเสียงแข็ง “ไม่มีทาง เป็นตายร้ายดียังไงฉันก็ไม่ไป พวกมันเสนอมาแบบนี้ ต้องมีเจตนาไม่บริสุทธิ์แน่”
ติ่งเห็นด้วย “นั่นสิ มันบอกน้าหรือเปล่าว่าจะให้พวกเราไปเปิดสำนักที่นั่นทำไม”
โต๊ดเห็นแววตาของติ่งและตุ้งแช่มองแบบคาดคั้นก็หลบตาไป
“มันบอกว่า อยากให้พวกเราเปิดสำนักเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้ชาวบ้าน”
“ไม่จริง คนอย่างพวกมันน่ะเหรอจะคิดถึงชาวบ้าน มันมีแต่จะหลอกให้ชาวบ้านเอาเงินไปซื้อหวยกับพวกมันล่ะสิไม่ว่า”
พูดจบแล้วกะละแมก็นึกได้ หันขวับมา คาดคั้น
“ใช่มั้ยน้าโต๊ด ไอ้พวกนั้นมันจะให้น้าโต๊ดไปเปิดสำนัก แล้วก็หลอกให้ชาวบ้านเอาเงินมาซื้อหวยใช่มั้ย”
โต๊ดอึกอัก
เวลาเดียวกัน ชิณเดินมาที่หน้าบ้านหลังเล็ก ในมือชิณถือโทรศัพท์มือถือของกะละแมอยู่ ชิณเดินใกล้เข้ามา แล้วก็ได้ยินเสียงกะละแมดังออกมา
“ฉันไม่อยากเชื่อเลยว่าน้าจะเห็นแก่เงินขนาดนี้”
ชิณชะงัก...แล้วหยุดฟังด้วยความสงสัยระคนแปลกใจ
โต๊ดของขึ้นโวยวายลั่นบ้าน
“อ้าวนังกะละแม ไหงเอ็งพูดแบบนั้นล่ะวะ นี่เอ็งกำลังด่าข้าอยู่นะ”
“แต่มันก็จริงนะน้า” โต๊ดสะดุ้งหันขวับมาทางติ่ง “ขนาดเมื่อก่อนไม่ตั้งใจบอกหวย ยังซื้อกันยกซอย ถ้าคราวนี้เน้นหวยสงสัยซื้อกันกระหน่ำแน่”
โต๊ดพูดอธิบายหลักความจริง “เค้าซื้อก็เงินเค้า ไม่เกี่ยวอะไรกับเรา พวกเอ็งอย่าคิดมากเลยวะ เราก็ทำมาหากินของเราไป ข้าเคยบอกแล้วไงว่าคนจนทำดีไม่ได้หรอก หรือเอ็งคิดว่าเจ้าแม่มหาลาภไทรทองมีจริง แล้วจะลงมาช่วยพวกเอ็ง เลิกฝันได้แล้วเพราะเจ้าแม่ไม่มีจริง ไม่มีใครเสด็จลงมาช่วยพวกเอ็ง นอกจากพวกเรา ต้องช่วยกันเอง”
ชิณอยู่ข้างนอกถึงกับอึ้ง
ขณะที่กะละแมเถียงกลับ ทั้งโกรธ ทั้งไม่เข้าใจ
“ฉันก็ไม่เคยคิดว่าเจ้าแม่มีจริง แต่ฉันเชื่อว่านรกมีจริง ที่เราหลอกชาวบ้านมาขนาดนี้ ก็ไม่รู้จะเลวยังไงแล้ว พอเถอะน้า หยุดได้แล้ว เราไปทำงานอย่างอื่นที่มันสุจริตเถอะ”
ชิณอึ้งหนัก..มองเข้าไปในบ้านเห็นกะละแมเถียงอย่างจริงจังไม่ได้เล่นละคร ชิณคิด....เชื่อ ไม่เชื่อ เชื่อ ไม่เชื่อเอาไงดี
กะละแมอ้อนวอน แต่โต๊ดใจแข็ง สะบัดหน้าหนี
“ถ้าพวกเอ็งไม่อยากไป ข้าก็ไม่ง้อเว้ย แต่ข้ากับไอ้แช่จะไป”
ตุ้งแช่สะดุ้ง...อ้าวซวยเรยตู
“แช่ต้องไปด้วยเหรอพ่อ”
“ก็เออสิวะ เอ็งเป็นลูกข้า แล้วอีกอย่าง ชาวบ้านก็รู้แล้วว่าเอ็งน่ะทรงลูกชายเจ้าแม่ เพราะฉะนั้น ข้าไม่ง้อนังกะละแมแล้ว ไอ้ติ่งเอ็งจะเอายังไง จะอยู่ไส้แห้งกับนังกะละแมหรือจะไปอยู่ดีกินดีกับข้า”
กะละแมกับติ่งมองหน้ากัน...ติ่งคิดหนัก
“ไอ้แม ที่น้าโต๊ดพูดก็มีเหตุผลนะ ถ้าเราอยู่ที่นี่ต่อไป ก็ไม่มีอะไรดีขึ้น เราไปอยู่กับป๋านุ้ยสักพัก พอมีเงินก้อนก็ค่อยแยกออกมาทำงานสุจริตตามที่เอ็งต้องการก็ได้”
โต๊ดพยักหน้าสนับสนุน...ใช่
ระหว่างนั้นชิณแอบฟังอยู่นอกบ้านก็ลุ้น รอคำตอบเหมือนกันว่ากะละแมจะตัดสินใจยังไง
ในที่สุดกะละแมมองหน้าทุกคนแล้วก็ตอบอย่างมั่นใจ
“ไม่! ฉันไม่ฝากอนาคตไว้กับวันพรุ่งนี้อีกแล้ว ถ้าคิดว่าจะเลิกก็ต้องเลิกเดี๋ยวนี้ ฉันไม่มีทางรวมหัวกับไอ้ป๋านุ้ยไอ้ดวงหลอกชาวบ้านเด็ดขาด ถ้าน้าโต๊ด พี่ ติ่ง ตุ้งแช่จะไปก็ไม่ต้องมานับญาติกับฉัน...เราขาดกัน”
ติ่งกะตุ้งแช่ตกใจร้อง “เฮ้ย”
กะละแมหันหลังให้โต๊ด
ชิณ.... พยักหน้ากับตัวเองอย่างพอใจ..ลึกๆ แอบดีใจกับคำตอบของกะละแม
ติ่งกับตุ้งแช่มองหน้ากันเลิกลั่ก
“ใจเย็นๆ ไอ้แม ค่อยๆ พูดกันก็ได้”
ตุ้งแช่พูดกับโต๊ดน้ำตาซึม “พี่แมเค้าพูดเล่นน่ะ พ่ออย่าโกรธพี่แมนะ”
กะละแมบอกกับตุ้งแช่ “พี่ไม่ได้พูดเล่น” แล้วบอกโต๊ด “ฉันยอมน้าโต๊ดมามากแล้ว ฉันยอมหลอกชาวบ้าน เพื่อให้ทุกคนมีข้าวกิน แต่วันนี้ฉันต้องทำในสิ่งที่ถูกต้องสักที”
โต๊ดโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ “นังกะละแม เอ็งคิดว่าสิ่งที่เอ็งทำมันเป็นการเสียสละมากใช่มั้ย นี่ข้าเป็นหนี้บุญคุณเอ็งล่ะสิ ได้...ถ้าการอยู่กับข้ามันทำให้ชีวิตเอ็งตกต่ำ เอ็งกับข้าก็ไม่ต้องมานับญาติกัน นับจากวันนี้ข้าไม่มีหลานอย่างเอ็ง เอ็งไม่ต้องมาเรียกข้าว่าน้า”
โต๊ดสะบัดหน้าแล้วเดินออกไป ตุ้งแช่กับติ่งมองหน้ากันเหลอหลา
กะละแมนิ่งเงียบไม่มีเสียงแม้แต่แอะเดียว...แต่น้ำตาไหลรินออกมา
“ไอ้แม ตามไปง้อน้าโต๊ดหน่อยสิ ทะเลาะกันแบบนี้ฉันใจคอไม่ดีเลย” ติ่งบอก
“นะพี่แม พ่อโกรธใหญ่แล้ว พี่แมไม่ได้เกลียดพ่อจริงๆ ใช่ไหม” ตุ้งแช่จะร้องไห้อยู่แล้ว
“พี่ไม่เคยเกลียดน้าโต๊ด แต่พี่ก็มีชีวิตของพี่ และพี่ก็ตัดสินใจแล้ว พี่ไม่อยากจะหลอกชาวบ้านอีกต่อไป”
กะละแมใจแข็งไม่ยอมไปขอโทษโต๊ด ตุ้งแช่ยืนน้ำตาไหลอยู่ข้างๆ
ติ่งกลุ้มใจทรุดตัวลงนั่ง...บ้านแตกแล้วจริงๆ!
เจ้าแม่จำเป็น ตอนที่ 12 (ต่อ)
ชิณยืนอยู่ที่เดิมคิดไปคิดมา...มองโทรศัพท์มือถือแล้วตัดสินใจเก็บโทรศัพท์ไว้แล้วเดินกลับไปทางตึกใหญ่
ด้านกะละแมเดินออกมาหน้าบ้าน แล้วเดินหลบมุมไปนั่งร้องไห้ กะละแมเสียใจที่ไม่มีใครเข้าใจ
ชิณเดินเข้ามาในบ้าน สีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด ชิณกำลังจะเดินผ่านหน้าฉายตะวันขึ้นไปข้างบน แต่ฉายตะวันทักขึ้น ชิณเลยชะงัก
“กลับมาแล้วเหรอชิณ ไปทำบุญมาเป็นยังไงบ้าง”
ชิณเดินไปนั่งลงข้างฉายตะวัน “ก็ดีครับแม่”
ฉายตะวันตื่นเต้นดีใจ “เหรอๆๆ ดียังไง ไหนเล่ามาสิ”
“ก็....ได้ทำอะไรที่ไม่เคยทำ” ชิณคิด แล้วก็พูดต่อ “ได้รู้อะไรที่ไม่เคยรู้ตั้งหลายอย่าง”
ฉายตะวันยิ้มแย้มสุขใจ “ดีแล้วล่ะ แม่ยังนึกว่าชิณจะบ่นซะอีก แต่นี่ไม่บ่นแถมยังบอกว่าดีอีก..แหม..หนูกะละแมนี่เก่งจริงๆ” แล้วนึกได้เรื่องที่สองแม่ลูกนำหลักฐานมาให้ดูเมื่อบ่าย “เออจริงสิ พูดถึงกะละแมก็นึกได้..นี่...แม่มีอะไรจะให้ดู”
ฉายตะวันหยิบหนังสือฮวงจุ้ยกับพัดโพยบทของกะละแมให้ชิณดู ชิณมองเห็นพัดก็จำได้ว่าเป็นของกะละแม
“แม่ไปเอามาจากไหนครับ”
“คุณกิมเอ็งกับหนูมิ้วเค้าไปเอามาจากบ้านหลังเล็ก บอกว่าเป็นของกะละแม แล้วยังบอกอีกว่ากะละแมเป็นนักต้มตุ๋น มาหลอกดูฮวงจุ้ยให้แม่ จริงๆ น่ะดูไม่เป้น...” ฉายตะวันพูดเสียงสูง “ถึงได้มีหนังสือกับโพยพวกนี้”
ชิณมองหนังสือกับพัดแล้วก็นิ่งคิดนิดหนึ่งก่อนพูด....ชิณคิดถึงตอนกะละแมร้องไห้ทะเลาะกับโต๊ดเมื่อกี๊แว่บเข้ามา
“ฉันก็ไม่เคยคิดว่าเจ้าแม่มีจริง แต่ฉันเชื่อว่านรกมีจริง ที่เราหลอกชาวบ้านมาขนาดนี้ ก็ไม่รู้จะเลวยังไงแล้ว พอเถอะน้า หยุดได้แล้ว เราไปทำงานอย่างอื่นที่มันสุจริตเถอะ”
ชิณคิดแล้วก็ตัดสินใจพูดออกไป
“ผมว่ามันก็ปกตินะครับ ที่กะละแมเค้าจะมีหนังสือพวกนี้ไว้อ่าน หาความรู้เพิ่มเติม กะละแมจะเป็นนักต้มตุ๋นหรือไม่เป็นไม่ได้ขึ้นอยู่กับหนังสือพวกนี้”
มาแปลก...ฉายตะวันมองหน้าชิณ แอบแปลกใจนิดๆ แล้วก็พูดต่อยิ้มๆ เนียนไป
“ใช่...แม่ก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน แต่หนูมิ้วกับคุณนายกิมเอ็งเค้าไม่เชื่อ ยังบอกให้แม่ เอาหลักฐานพวกนี้มาให้ชิณดูด้วยนะ เค้าคงคิดว่าชิณจะเหมือนเค้าแน่ๆ”
ชิณชะงักนิดๆ แล้วก็ตอบแบบเลี่ยงๆ เพราะยังไม่เข้าใจตัวเองอยู่เหมือนกัน
“ผมก็แค่..เชื่อในสิ่งที่เห็น จะเหมือนหรือไม่เหมือนก็แล้วแต่สถานการณ์”
ฉายตะวันแอบมองจับสังเกตชิณ วันนี้ลูกชายชั้นพูดแปลกๆ แฮะ
ชิณเริ่มรู้ตัว จึงขอตัว “ผมขอตัวนะครับแม่ รู้สึกเหนื่อยๆ”
“ไปเถอะ ไปทำบุญมาตั้ง 9 วัด คงจะเพลียล่ะสิ ขึ้นไปอาบน้ำแล้วนอนพักซะหน่อยนะ จะได้หายเพลีย”
“ครับ..กู๊ดไนท์ครับ” ชิณลุกขึ้นแล้วนึกได้ “อ้อ...ให้แจ่มเอาโทรศัพท์นี่คืนกะละแมด้วยนะครับ เค้าลืมไว้บนรถ”
ฉายตะวันรับมา “จ้ะ”
ชิณเดินขึ้นชั้นบน ท่าทางเพลียๆ สีหน้าและแววตาครุ่นคิดถึงเรื่องราวต่างๆ ของกะละแมที่ได้รับรู้มาตลอดวัน ส่วนฉายตะวันแอบมองตามแล้วพึมพำ
“ทำไมวันนี้มาแปลกๆ ดูปกป้องหนูกะละแมชอบกล แต่ก็ดี จะได้เลิกทะเลาะกันสักที”
ฉายตะวันยิ้ม โล่งใจ
ชิณเดินเข้ามาในห้องนอน คิดถึงสิ่งที่กะละแมพูดและสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่ มาประติดประต่อกันเป็นเรื่องราว เริ่มจากคำพูดที่วัด
“พวกฉันไม่มีบ้านอยู่ ก็เลยต้องอยู่ตามวัด ฉันเป็นเด็กผู้หญิงก็ต้องไปอยู่กุฏิแม่ชี...พ่อแม่ตาย โตมาในสลัม อาศัยอยู่ตามวัด ไม่มีเงินซื้อข้าวกิน ไม่มีเงินจ่ายค่าเทอม คนรวยอย่างคุณจะเข้าใจอะไร... ฉันไม่เคยคิดร้ายกับแม่คุณ ตั้งแต่ฉันเกิดมายังไม่เคยมีใครดีกับฉันเท่าคุณนายเลย ถึงแม้ว่าท่านจะดีกับฉันเพราะคิดว่าฉันเป็นร่างทรงก็ตาม...ฉันไม่ได้พูดเล่น ฉันยอมน้าโต๊ดมามากแล้ว ฉันยอมที่จะหลอกชาวบ้าน เพื่อให้ทุกคนมีข้าวกิน แต่วันนี้ฉันต้องทำสิ่งที่ถูกต้องสักที”
ชิณเครียด ยกมือลูบหน้า แล้วก็เริ่มเห็นมุมใหม่ๆ ของกะละแม ที่เขาไม่เคยรู้และไม่เคยสนใจมาก่อน เพราะเมื่อห่อนถูกอคติครอบงำ
ตกค่ำคืนนั้นโต๊ดนั่งอยู่ในห้อง เสียใจและน้อยใจที่กะละแมมองไม่เห็นความหวังดีของตัวเอง
ส่วนตุ้งแช่นั่งคุยหารือกับติ่ง
“พี่ติ่งจะไปกับพ่อหรือเปล่า” ตุ้งแช่ตาละห้อย
“เฮ้อ...ไม่รู้เหมือนกันว่ะ คนนึงก็น้า คนนึงก็น้อง ไม่รู้จะเลือกใคร” ติ่งเครียด
“แต่ถ้าพี่ติ่งไม่ไป ฉันต้องซวยแหงๆ ไอ้พวกนั้นมันต้องรังแกฉันแน่ แล้วพ่อก็คงไม่กล้าทำอะไรพวกมัน”
“ถึงฉันไป ก็ไม่รู้ว่าจะช่วยแกได้หรือเปล่า เข้าไปในบ้านป๋านุ้ยก็เหมือนเข้าถ้ำเสือ แต่ถ้าไม่ไปก็ไม่มีกิน ไม่มีกินหญิงก็ไม่สน เฮ้อ...ทำไมไม่เกิดมาเป็นคนรวยๆ กับเขาบ้างวะ”
ตุ้งแช่สงสัยจึงถาม “ตกลงพี่ติ่งจะไปกับแช่หรือเปล่า”
ติ่งยังคิดหนักอยู่อย่างนั้น
เช้านี้บรรยากาศแสนสดใสที่บริเวณหน้าบ้านหลังเล็ก แต่ด้านในกลับหมองหม่นอึมครึม กระเป๋าเสื้อผ้า และข้าวของเครื่องใช้ หม้อชามรามไหของโต๊ด ติ่ง และตุ้งแช่ กองเกลื่อนสามคนเตรียมตัวย้ายออกจากบ้าน
“ไอ้แช่ เอาสบู่ในห้องน้ำมาหรือยัง ถุงเท้าที่ตากอยู่หลังบ้านด้วย อย่าลืมนะ”
“จ้ะพ่อ”
ตุ้งแช่หันมาเห็นสบู่และถุงเท้าในมือกะละแมส่งให้
“พี่เก็บมาให้แล้ว แล้วนี่ก็ผ้าเช็ดหน้า สมุดการบ้าน”
“ขอบใจจ้ะพี่แม” ตุ้งแช่หน้าเศร้า
โต๊ดยังเคืองอยู่ บอกกับตุ้งแช่ “ใคร...ใครเป็นพี่เอ็ง จำไม่ได้เหรอ เอ็งมีลูกพี่ลูกน้องแค่คนเดียวคือ
ไอ้ติ่ง เอ็งไม่มีพี่สาวเว้ย”
กะละแมชะงักกึก...นี่ถึงขนาดตัดญาติเลยรึ?
ติ่งหอบของออกมา โต๊ดหันไปเห็นแล้วก็ยิ้ม กะละแมหันตาม อึ้งไป ที่เห็นติ่งหอบของออกมา
“นี่สิ ถึงจะเป็นหลานข้า ไอ้ติ่งเอ็งคิดถูกแล้วที่ทำแบบนี้”
ติ่งเดินมาหยุดที่กะละแม “ฉันขอโทษ...แต่ฉันก็มีชีวิตของฉัน แต่ฉันก็ตัดสินใจแล้ว แกไม่ต้องห่วง ถึงฉันจะไปอยู่ที่อื่น แต่ยังไงแกก็ยังเป็นน้องฉัน”
“แต่ไม่ได้เป็นหลานข้าโว้ย ไปไอ้แช่ ขนของขึ้นรถ จะได้รีบไป ข้าเหม็นขี้หน้าคนอกตัญญูแถวนี้เต็มทน” โต๊ดด่าส่งท้าย
กะละแมสะอึก ติ่งจับไหล่กะละแม
“เปลี่ยนใจเมื่อไหร่ก็บอก ฉันจะมารับ”
“พี่ก็ระวังตัวแล้วกัน ไอ้พวกนั้นมันไม่ใช่คนดี คบคนเลวก็มีแต่จะพาเราตกต่ำ”
“ฉันรู้ แต่ชีวิตฉันไม่ได้มีทางเลือกเหมือนแก แกเรียนหนังสือเก่ง อีกไม่นานก็จบ มีงานดีๆ ทำ แต่ฉัน ก็คงต้องหลอกชาวบ้านไปวันๆ แบบนี้แหละ ฉันไปละ”
ติ่งตัดใจ เดินจากกะละแมไป กะละแมมองดู สาม ต. โต๊ด ติ่ง ตุ้งแช่เดินจากไปอย่างอาวรณ์...และเหลือแต่บ้านที่ว่างเปล่า
เอาของไปไว้ที่รถรับจ้างแล้ว ติ่ง โต๊ด ตุ้งแช่ มากราบลาฉายตะวันที่อยู่ในห้องรับแขก
“อุ๊ยๆ ไม่ต้องกราบขนาดนี้หรอกจ้ะ”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ เพราะบุญคุณคุณนายที่ให้ที่ซุกหัวนอนพวกเรามันล้นพ้นจริงๆ ครับ”
“ฉันก็ช่วยเท่าที่ฉันช่วยได้ ไม่ได้เหนือบ่ากว่าแรงอะไร ว่าแต่ย้ายออกไปแล้วจะไปอยู่ไหนกัน”
โต๊ดตัดสินใจโกหก “เอ่อ...ไปอยู่กับญาติที่ต่างจังหวัดครับ”
“อ๋อ...แล้วกะละแมล่ะ ไม่ได้ไปด้วยกันเหรอ” ฉายตะวันมองหากะละแม
ติ่ง โต๊ด ตุ้งแช่มองหน้ากัน ติ่งคิดออกก่อน
“คือ...กะละแมติดเรียนน่ะครับ ก็เลยไปด้วยไม่ได้”
“แล้วตุ้งแช่ล่ะ เรียนอยู่เหมือนกันนี่” ฉายตะวันถาม
“เอ่อ...เด็กมัธยมย้ายโรงเรียนง่ายครับ ไม่เหมือนเด็กมหา’ลัยอย่างนังกะละแม”
ฉายตะวันพยักหน้ารับรู้ โต๊ดตัดบทไปเลย
“สายแล้ว พวกผมคงจะต้องขอตัวก่อนนะครับคุณนาย เดี๋ยวจะตกรถ”
“จ้ะ...โชคดีนะ”
“ขอบคุณครับ”
โต๊ด ติ่ง ตุ้งแช่ ประสานเสียง ก่อนจะกราบลาฉายตะวันอีกที แล้วก็พากันเดินออกไป
โต๊ด ติ่ง ตุ้งแช่ขึ้นรถสองแถวออกไปแล้ว ชิณยืนมองอยู่ แล้วมองไปที่บ้านหลังเล็ก
กะละแมดูบ้านที่ว่างเปล่าแล้วก็เศร้า คิดว่าจะทำยังไงกับชีวิตต่อไปดี ครู่ต่อมาชิณเดินเข้ามา
“ฉันเห็นพวกญาติๆ เธอไปกันหมดแล้วนี่”
กะละแมสะดุ้งตกใจรีบลุกขึ้น หน้าเศร้าแต่พูดเสียงหนักแน่น
“คุณไม่ต้องห่วง วันสองวัน ฉันก็จะไปเหมือนกัน”
“เธอนี่ร้อนตัวจริงๆ ฉันไม่ได้จะมาไล่ ฉันแค่อยากจะมาบอกว่า...” ชิณเว้นวรรค “ถ้าเธอยัง ไม่มีที่ไป จะพักที่นี่ไปก่อนก็ได้”
กะละแมตกใจ เงยหน้าขึ้น เหวอๆ
“นี่ฉันหูฝาดหรือเปล่าเนี่ย”
ชิณเหล่ “นี่เธอเห็นฉันเป็นคนใจไม้ไส้ระกำนักหรือไง เธอเองก็ตัดสินฉัน ทั้งๆ ที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจริงๆ ฉันเป็นคนยังไง”
กะละแมชะงัก...นี่มันคำพูดเรามานี่หว่า
“ฉันจะมาบอกแค่นี้แหละ เธอก็อยู่ไป ไม่ต้องคิดมาก ฉันจะไปบอกคุณแม่เองว่าฉันอนุญาตให้เธออยู่”
กะละแมมองหน้าชิณแล้วก็ถามตรงๆ “คุณทำแบบนี้ทำไม คุณเกลียดฉันมากไม่ใช่เหรอ แล้ว..มาทำดีกับฉันแบบนี้ทำไม”
ชิณมองหน้ากลับ “ฉัน...” แต่ติดอ่างพูดไม่ออกว่าสงสาร เลยเฉไฉ “ฉันว่าเธอไม่ต้องรู้หรอก..รู้แค่ว่าการทำดีของฉัน..ฉันต้องการสิ่งตอบแทน”
กะละแมหลิ่วตา “ตอบแทนยังไง”
ชิณจ้องตานิ่งๆ จริงจัง “พูดในสิ่งที่ฉันควรจะรู้เกี่ยวกับตัวเธอ”
กะละแมอึ้ง...มองหน้าชิณ
ชิณพูดต่อ “ฉันไม่บังคับ...ถ้าเธออยากบอกเมื่อไหร่ ก็บอกมา ฉันพร้อมจะรับฟังเสมอ”
ชิณจะเดินไป กะละแมยังยืนอึ้งอยู่ที่เดิม....ตกลงจะดีหรือร้ายกับเรากันแน่นะอีตาชิณคนนี้
ตอนสายวันนั้น ที่บ้านนุ้ยย่านฝั่งธน ลูกน้องนุ้ยหน้าตาเหี้ยมโหด ยืนคุมเชิง โต๊ด ติ่ง และตุ้งแช่ อยู่ในห้องรับแขก สามคนมีท่าทางหวาดๆ กระเป๋าสัมภาระของแต่ละคนวางระเกะระกะอยู่ข้างๆ
นุ้ย ดวง และก๋อยเดินเข้ามา
“ดี! มันต้องอย่างนี้สิวะถึงจะเรียกว่าคนฉลาด”
นุ้ยเอ่ยขึ้น ตุ้งแช่กลัวๆ เกาะโต๊ดแจไม่ปล่อย
ดวงมองหากะละแม “แล้วน้องกะละแมล่ะ” พร้อมกับเดินมารื้อกองของ “น้องกะละแมอยู่ไหน เอ๊ะ...หรือว่ารออยู่ข้างนอก แหม...ไม่เห็นต้องอายพี่ดวงเลย” ดวงทำท่าจะออกไป
โต๊ดอึกอัก “เอ่อ...เปล่าจ้ะ นังกะละแมไม่ได้มาด้วย”
ดวงตกใจ “อ้าว ทำไมน้องกะละแมไม่มา หรือว่าต้องให้พี่ดวงเป็นคนไปรับ”
“เอ่อ...ไม่ใช่จ้ะ คือว่านังกะละแมมันบอกว่ามันล้างมือจากการเข้าทรงแล้วจ้ะ มันจะเรียนหนังสือ” โต๊ดว่า
นุ้ยฉุน ลุกพรวด “เฮ้ย...มันล้างมือแล้วใครจะทรงวะ”
โต๊ดรีบบอก “ไอ้แช่จ้ะ...ไอ้ตุ้งแช่ลูกฉันเอง”
ทุกคนหันมาทางตุ้งแช่ที่นั่งจ๋อยอยู่
“ไอ้หนูเนี่ยนะ” นุ้ยถาม
“จ้ะ...ก็ในการทรงครั้งสุดท้ายชาวบ้านรู้แล้วว่ามันเป็นลูกชายเจ้าแม่...ถึง ไอ้แมไม่ทรงไอ้แช่ก็ทรงแทนได้จ้ะ”
โต๊ดมองตุ้งแช่ด้วยความรู้สึกผิดอยู่ลึกๆ ในใจ นุ้ยมองตุ้งแช่ครุ่นคิด
ส่วนตุ้งแช่เหงื่อแตกพลั่ก แต่ก็ทำใจดีสู้เสือ ดวงไม่พอใจ
“ไม่เอา...หนูไม่เอาไอ้เด็กเวรนี่” ตุ้งแช่สะดุ้ง “หนูจะเอาน้องกะละแมๆๆๆ” ดวงทำท่า งอแงเหมือนเด็กจะเอาของเล่น
นุ้ยยกสันมือขึ้น “เฮ้ย...เงียบ” ดวงเงียบ ก๋อยรีบปลอบ...นุ้ยหันมาพูดกับโต๊ด “มึงเป็นน้ามันไม่ใช่เหรอไอ้โต๊ด ทำไมควบคุมหลานตัวเองไม่ได้วะ แล้วอย่างนี้มันจะมาวุ่นวายทีหลังหรือเปล่า”
“ไม่มีทาง เพราะฉันกับมันตัดขาดกันแล้ว ไอ้หลานอกตัญญู ถือว่าเป็นคนโปรดคุณนายฉายตะวัน เลยถีบหัวน้ามันทิ้ง ตัดช่องน้อยแต่พอตัว” โต๊ดว่าไปนั่น
ติ่งเหล่โต๊ดด้วยความไม่พอใจ
“ไม่รู้ล่ะ หนูจะเอาน้องกะละแมๆๆๆ”
“เฮ้ย” นุ้ยเหล่ลูกชาย ดวงนิ่งเงียบ “มึงอย่าเอาเรื่องส่วนตัวมาทำให้เสียงานใหญ่ เรื่องนังกะละแมแป้งเปียกอะไรน่ะเดี๋ยวกูจัดการให้ แต่ตอนนี้...ไอ้ก๋อย มึงพาไอ้พวกนี้เข้าไปในบ้านพักก่อน เรื่องอื่นเดี๋ยวค่อยว่ากัน”
“ครับป๋า”
ก๋อยเดินนำไป โต๊ด ติ่ง และตุ้งแช่ถือของเดินตาม ดวงยังงอแงอยู่
“ป๋าน่ะ หนูจะเอาๆๆๆ”
นุ้ยมองลูกชายด้วยความรำคาญ คิดเสียดายที่ไม่ได้เอาขี้เถ้ายัดปากเมื่อตอนที่มันเกิด
ครู่ต่อมาก๋อยเดินนำหน้าเข้ามาภายในห้องพักอันใหญ่โตมโหฬาร โต๊ดกับตุ้งแช่มองรอบๆ ห้องด้วยความตื่นตาตื่นใจ แต่ติ่งไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ ก๋อยหันมาสั่งด้วยท่าทางฮึกเหิม อารมณ์ตั้งตนเป็นใหญ่
“เอ๊าถึงแล้ว แต่บอกไว้ก่อนเลยนะว่าเพิ่งมาใหม่น่ะหัดเจียมเนื้อเจียมตัวไว้ด้วย ให้มันรู้มั่งว่าใครมาก่อนมาหลัง แล้วอีกอย่าง อย่าออกไปเดินเพ่นพ่านข้างนอกเด็ดขาด ถ้าไม่ฟังจะถือว่าเป็นการขัดคำสั่งลูกพี่ก๋อย เข้าใจมั้ย!”
ก๋อยยืดพุงแล้วเดินตัวเป่งออกไป
ตุ้งแช่ยกกำปั้นไล่หลัง ทำเป็นเก่ง พอก๋อยรู้หันมาอีกที ตุ้งแช่รีบวิ่งไปหลบหลังโต๊ดแทบไม่ทัน โต๊ดยิ้มแห้งส่งให้ พอก๋อยเดินออกไป ติ่งหันมาใส่โต๊ดทันที
“น้าโต๊ดไปด่าไอ้แมให้ไอ้พวกนั้นฟังทำไม เราจะทะเลาะอะไรกันยังไงก็ไม่น่าไปโพนทะนาบอกใครเขา แล้วพูดแบบนั้นไอ้แมมันก็เสียสิ”
“เออน่า เอ็งไม่ต้องพูดมาก ที่ข้าทำแบบนั้น ข้ามีเหตุผลของข้าก็แล้วกัน”
“เหตุผลเอาตัวรอดล่ะสิ” ติ่งบ่นๆ
“เออข้ารู้ ตอนนี้ข้าเหมือนเป็นยักษ์เป็นมารในสายตาพวกเอ็ง แต่เอ็งจำไว้นะ วันข้างหน้าพวกเอ็งจะต้องขอบคุณที่ข้าทำแบบนี้” โต๊ดบอกกับตุ้งแช่ “ไปไอ้แช่ ไปเก็บของ เดี๋ยวพ่อจะสอนวิธีเข้าทรงขั้นสูงให้”
พูดจบโต๊ดหอบของพะรุงพะรังเดินนำไป
“เริ่มเรียนวันนี้เลยเหรอพ่อ แช่ยังไม่ได้ทำการบ้านเลย”
“เออน่า...การบ้งการบ้านเอาไว้ก่อน เอ็งต้องเริ่มเรียนหลักสูตรขั้นสูงกว่าครั้งที่ แล้ว อันนั้นมันเด็กๆ แค่ชิมลาง นับจากนี้ไป เอ็งต้องเตรียมตัวสำหรับของจริง”
ติ่งมองโต๊ดแล้วก็ถอนหายใจเฮือกๆ คิดผิดหรือคิดถูกวะตู
เจ้าแม่จำเป็น ตอนที่ 12 (ต่อ)
เวลาเดียวกันกิมเอ็งกับมิ้วแวะมาที่บ้านมหาทรัพย์ไพศาล และถามฉายตะวันด้วยความอยากรู้สุดๆ
“คุณชิณเห็นหนังสือกับพัดที่จดตำราฮวงจุ้ยของกะละแมแล้วว่ายังไงบ้างคะ คุณพี่”
มิ้วรอฟังคำตอบด้วยใจจดจ่อ
“ชิณก็คิดเหมือนฉัน ไม่ได้คิดว่าหนูเป็นนักต้มตุ๋นอย่างที่คุณกิมเอ็งกับหนูมิ้วเข้าใจ”
มิ้วกับกิมเอ็งแปลกใจ...เป็นไปได้ยังไง
“ไม่คิดอะไรสักนิดเลยเหรอคะคุณพี่ แต่หลักฐานมันก็เห็นอยู่ทนโท่”
ฉายตะวันโบกมือส่ายหน้า “พอเถอะๆ... ฉันว่าคุณกิมเอ็งกับหนูมิ้วเลิกมองกะละแมใน แง่ร้ายได้แล้ว หนูกะละแมเป็นคนดีจริงๆ” กิมเอ็งอึ้ง...งง...ขัดใจ “แล้วยิ่งตอนนี้เหลือตัวคนเดียวก็ยิ่งน่าสงสาร”
มิ้วงง “เหลือตัวคนเดียว...แล้วญาติๆ มัน เอ่อ... ญาติๆ เค้าไปไหนกันคะ”
“ย้ายกลับต่างจังหวัดกันหมดแล้ว เพิ่งไปเมื่อเช้านี้เอง หนูกะละแมเค้าติดเรียนหนังสือเลยไม่ได้ไปด้วย”
“แล้วกะละแมยังอยู่ที่บ้านหลังเล็กเหมือนเดิมหรือเปล่าคะคุณพี่”
“ใช่ ชิณเค้าเป็นคนอนุญาตให้กะละแมอยู่ต่อ”
มิ้วกับกิมเอ็งไม่พอใจกะละแมสุดขีด
สองแม่ลูกอึ้งแกมเหวอ “คุณชิณเนี่ยนะคะ” / “พี่ชิณ เนี่ยนะคะ”
ฉายตะวันพยักหน้า
“ใช่ นี่พูดแล้วก็จะหาว่าฉันงมงาย .. ตั้งแต่ไปทำบุญเก้าวัด ตาชิณเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด สงสัยผลบุญจะทำให้ จิตใจอ่อนโยนลง”
มิ้ว กะกิมเอ็ง สองแม่ลูกหน้าหงิก เม้งสุดๆ ‘เครียดเว้ย’
“ยังกะคนละคนเลยนะ แหม..ถ้ารู้ว่าส่งไปทำบุญแล้วจะเป็นผู้เป็นคนแบบนี้ ฉันส่งไปนานแล้ว”
ฉายตะวันพูดต่อตลกอย่างอารมณ์ดี กิมเอ็ง มิ้ว หน้าเครียด อารมณ์เสีย
ขณะเดียวกันชิณกำลังอ่านเอกสารอยู่ในห้องทำงาน ทรงวุฒิเดินเข้ามายื่นเอกสารให้ชิณ พลางอธิบาย
“นี่เป็นเอกสารขอทุนจากโรงเรียนบ้านปิต็อกครับ จะขอทุนสนับสนุนการสร้างอาคารเรียน โรงเรียนนี้น่าสงสารมากเลยนะครับ มีแต่อาคารเรียนชั่วคราวหลังคามุงจาก วันไหนฝนตกเด็กนักเรียนก็ต้องย้ายไปเรียนที่ศาลาวัด
ชิณเงยหน้าขึ้นมามองทรงวุฒินิ่งๆ ทรงวุฒินึกว่าชิณไม่อยากฟัง เพราะปกติชิณไม่ชอบทำบุญ
“เอ่อ...ขอโทษครับ...ผมลืมไปครับว่าคุณชิณไม่ชอบทำอะไรแบบนี้”
“เปล่า! ผมแค่จะบอกว่าให้คุณไปเช็คมาว่าโรงเรียนนี้เป็นอย่างที่บอกจริงหรือเปล่า ถ้าลำบากจริง ผมจะอนุมัติเงินบริจาคให้” ชิณนึกได้ “เอ่อ...ดูมาด้วยนะว่าโรงเรียนขาดแคลนอุปกรณ์อะไรบ้าง มีนักเรียนทั้งหมดกี่คน จะได้บริจาคของไปให้พอดีกับจำนวนเด็ก”
ทรงวุฒิอึ้ง “หะ? อะไรนะครับ ทำไมจู่ๆ คุณชิณถึง...”
ชิณตัดบท “เอาน่า...ผมบอกให้ทำก็ทำ”
ทรงวุฒิรับคำนายงงๆ “ครับๆ”
ทรงวุฒิเดินเกาหัวออกไป พึมพำงงๆ
“ทำไมจู่ๆ เปลี่ยนไปได้ขนาดนี้วะ”
มิ้วกับกิมเอ็งเดินออกมาจากบ้าน หน้าตาเครียดเคร่งมากจากเรื่องที่ฟังมา
“คุณแม่คะ! พี่ชิณเปลี่ยนไปจริงๆ ด้วย พี่ชิณเปลี่ยนไป...มิ้วจะทำยังไงดี ถ้าพี่ชิณชอบนังกะละแม มิ้วจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน แล้ว...บ้านเราที่ติดหนี้แบงค์ไว้ จะเอาเงินที่ไหนไปจ่าย...”
กิมเอ็งรีบส่งเสียงกลบ “ว้ายๆๆๆ คุณลูกพูดอะไรออกมาคะ...หุบปากเดี๋ยวนี้เลย...สติค่ะลูก...สติ เราต้องมีสตินะคะอย่าเวิ่นอย่านอยด์....ใจเย็นๆค่ะใจเย็นๆ” พลางมองซ้ายมองขวา “เกิดมีคนมาได้ยินจะซวยกันหมดนะคะ”
มิ้วไม่แคร์แล้ว “ไม่ต้องมีคนได้ยินก็ซวยค่ะ...คุณแม่ไม่ได้ยินเหรอคะ พี่ชิณญาติดีกับนังกะละแมได้แค่ไหน แล้วเราจะทำยังไงกันดีคะคุณแม่”
กิมเอ็ง หันไปเห็นแจ่มหิ้วตะกร้าจ่ายตลาดเดินกลับเข้ามา
กิมเอ็งหรี่ตา “เราต้องรู้ให้ได้ว่าสองสามวันที่ผ่านมาเราพลาดอะไรไปบ้าง”
กิมเอ็งรีบเดินไปหาแจ่ม
“เอ่อ...อ้าว...คุณแม่ รอด้วยค่ะ” มิ้วรีบตามกิมเอ็งไปติดๆ
แจ่มเดินหิ้วตะกร้า ร้องเพลงเดินเข้ามาอย่างอารมณ์ดี แล้วก็หยุดกึก เพราะมิ้วกับกิมเอ็งมายืนดักหน้าไว้ จนแจ่มเกือบชน
“อุ้ย...คุณกิมเอ็ง คุณมิ้ว ขอโทษค่ะ แจ่มไม่ทันมอง”
“ไม่เป็นไรจ้ะ ฉันไม่ถือ” กิมเอ็งยิ้มเป็นกันเองสุดๆ “เอ่อ นี่แจ่ม...สองสามวันก่อนที่ ไปปราณบุรีมาเป็นยังไงบ้าง สนุกมั้ย”
“สนุกมากค่ะ อาหารทะเลส๊ด...สด กุ้งตัวเท่าฝ่ามือ เนื้อปูก็หว๊านหวาน พูดแล้วก็น้ำลายสอ” แจ่มเล่าแล้วทำท่าเปรี้ยวปาก “อยากกินอีก”
มิ้วชักสีหน้านิดๆ “นอกจากเรื่องกิน แล้วมีอะไรที่มันน่าสนใจอีกมั้ย”
แจ่มบอก “มีค่ะ...มีแขกมาสะใภ้”
กิมเอ็งกะมิ้วพูดพร้อมกัน “เซอร์ไพร้ส์”
“นั่นแน่...ดูตลกกับเค้าเหมือนกันเหรอคะ ต่อมุกให้ด้วย”
มิ้วรำคาญ “นี่...รีบเล่ามา มีใครมาเซอร์ไพร้ส์”
แจ่มรีบเล่า “คุณจักกายตามไปหาคุณกะละแมที่นู่นค่ะ ท่าทางเหมือนตามไปจีบคุณแม คุณชิณงี้หน้าหงิกเลย”
มิ้วกับกิมเอ็งแปลกใจ
มิ้วรีบถาม “ทำไมพี่ชิณต้องไม่พอใจด้วย”
แจ่มพูดไม่คิด “หึงมั้งคะ” มิ้วอยากจะกรี๊ด แจ่มยิ้ม “อ๊ะ ล้อเล่น...” มิ้วหน้าวีนสุดๆ “ยังไม่หมดค่ะ ยังมีเรื่องตื่นเต้นด้วยนะคะ ตอนดูฮวงจุ้ยกันอยู่ คุณจักกายยังส่งผู้ช่วยไปสืบข่าวเรื่องโครงการใหม่ของคุณชิณด้วย เห็นคุณทรงวุฒิว่า คุณจักกายชอบเอาชนะคุณชิณที่ตามคุณกะละแมไปก็อาจจะเป็นเพราะเรื่องนี้ด้วยก็ได้ค่ะ”
สองแม่ลูกฟังอย่างตั้งใจ
“จักกาย”
กิมเอ็งพึมพำพลางหรี่ตาคิดไปมา
ไม่นานหลังจากนั้น กิมเอ็งกับมิ้วพากันมาอยู่ที่ห้องทำงานต่อหน้าจักกายซึ่งกำลังนั่งมองสองแม่ลูกด้วยแววตานิ่งเฉย
“คุณสองคนมาหาผมมีธุระอะไร”
กิมเอ็งกับมิ้วยิ้มกริ่มแล้วก็ยื่นข้อเสนออย่างมั่นใจ
“ฉันจะไม่อ้อมค้อมให้เสียเวลา ฉันรู้ว่าคุณต้องการเอาชนะคุณชิณในทุกๆ เรื่อง” จักกายมองหยั่งเชิง มาไม้ไหน “รวมทั้งเรื่อง..กะละแม”
“เกี่ยวอะไรกับกะละแม”
“คุณชอบกะละแมอยู่ไม่ใช่เหรอ ไม่งั้นคงไม่ลงทุนตามไปถึงปราณบุรี แถมยังไปทำสวีตกันต่อหน้าพี่ชิณ” มิ้วว่า
ระหว่างนั้นโทฟู่เดินมา ได้ยินเสียงมิ้วก็หยุดแล้วหลบเข้ามุม แอบฟังด้วยความสงสัย
“ผมไม่ได้ตามไปเพราะกะละแม แต่ที่ผมไป..มันเป็นเหตุผลทางธุรกิจ คุณเข้าใจผิดแล้ว”
โทฟู่ได้ยินว่าถูกหลอกไปปราณบุรีก็ชักสีหน้า โกรธจัด รำพึงเบาๆ กับตัวเอง
“เหตุผลทางธุรกิจ ไหนว่าอยากพาอาม่าไปเที่ยว...หลอกกันนี่นา”
กิมเอ็งกับมิ้วมองหน้ากันเลิ่กลั่กๆ แต่ไม่ฟัง พยายามยุแยงต่อ
“แหมม..โดนจับไอ้อายล่ะสิ ไอ้ธุรกิจอะไรนั่น มันก็ใช่ แต่น้าว่าลึกๆ มันก็ต้องมีเรื่องหญิงบ้างแหละ”
“ใช่...นี่จะบอกอะไรให้นะ ตอนนี้แต่ดูเหมือนพี่ชิณจะเริ่มมีใจให้กะละแม ฉันคิดว่าถ้าคุณได้นังกะละแม ก็เท่ากับคุณได้ชนะพี่ชิณ” มิ้วเสริม
จักกายหรี่ตามอง หน่ายปนเพลียกับแม่ลูกคู่นี้
กิมเอ็งพูดต่อ “แค่เราร่วมมือกัน ทำให้คุณชิณเข้าใจผิดว่ากะละแมเป็นสายของคุณ ที่คอยสืบข่าวธุรกิจของคุณชิณ แค่นี้คุณชิณก็จะเกลียดกะละแม แล้วคุณก็จะได้มันมาครองสบายๆ”
จักกายยิ้มเยาะ “ผมไม่ใช่คนโง่เป็นป้าฉายตะวันนะ จะได้เชื่อคุณสองคน”
กิมเอ็งกับมิ้วชะงักกึก
จักกาย มองหน้ามิ้ว “คุณอยากได้ไอ้ชิณ กลัวจะเสียมันให้กะละแม ถึงได้อยากให้ไอ้ชิณเกลียดกะละแม” จักกายยิ้มร้ายก่อนจะพูดต่อ “คิดจะหลอกใช้ผม ไม่ง่ายอย่างที่คิดหรอก”
กิมเอ็งกับมิ้วหน้ากัน ‘เอาไงต่อดี’ แล้วกิมเอ็งก็ลุยต่อ
“อุ๊ย...หลอกช้งหลอกใช้อะไรกันคะ ฟังดูน่าเกลียดยังไงชอบกล” กิมเอ็งยิ้มแสนดีผูกมิตรสุดๆ “เรียกว่าร่วมธุรกิจกันดีกว่าค่ะ คุณไม่อยากเอาชนะคุณชิณเหรอคะ ลองเก็บไปคิดดูก่อนก็ได้ อย่าเพิ่งรีบปฏิเสธ”
จักกายลุกขึ้นทำท่าทางเหมือนจะ ‘ส่งแขก’ กิมเอ็งกับมิ้วเลยต้องลุกตามไปด้วย
จักกายบอกด้วยท่าทางจริงจัง “ผมมั่นใจว่าเอาชนะไอ้ชิณได้ โดยไม่ต้องร่วมมือกับพวกคุณ เชิญคุณสองคนกลับไปได้แล้ว”
“เอ่อ...แต่ว่า” กิมเอ็งอิดออด
“เชิญ!” จักกายเสียงแข็ง
กิมเอ็งกับมิ้วเชิดหน้า ค้อนขวับ ‘ไปก็ได้ย่ะ!’ แล้วเดินออกไปท่าทางแค้นๆ เจ็บใจที่หว่านล้อมจักกายไม่สำเร็จ
จักกายยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ส่ายหน้า...หันมาชะงัก กึก! เห็นโทฟู่ยืนหน้าบึ้งอยู่ จักกายตั้งหลัก...เตรียมรับมือ
โทฟู่โวยวายใส่ทันที
“คุณหลอกใช้ฉันกับอาม่าทำไม”
“โทฟู่...ฟังผมอธิบายก่อนได้มั้ย”
โทฟู่จ้องหน้าจักกาย “อธิบายหรือว่าแก้ตัว”
จักกายชะงัก โทฟู่พูดต่อ
“เพราะถ้าจะมาแก้ตัวฉันไม่ฟัง เสียเวลา”
จักกายอึกอักพูดไม่ออก โทฟู่ยิ่งเสียใจ
“คุณเป็นอะไรของคุณ อยากแก้แค้นักหรือไง อยากเอาชนะจนต้องหลอกใช้คนอื่น หลอกฉันคนเดียวไม่พอ แต่นี่หลอกอาม่า...มันมากเกนิไปแล้ว ฉันรับไม่ได้”
จักกายพูดลอยๆ “ทำยังกะตัวเองไม่เคยโดนคนใกล้ตัวหลอก”
“ไม่เคย คนในชีวิตฉัน ไม่มีใครเป็นคนแบบคุณ คนที่ไม่เห็นคนอื่นเป็นคน ใช้เหยียบขึ้นไปเพื่อให้ได้สิ่งที่คุณต้องการ ฉันไม่เคยพบ ไม่เคยเห็น”
จักกายหลุดปาก “ไม่จริง! เพื่อนสนิทคุณเป็นยิ่งผม ไม่เห็นคุณจะเดือดร้อนเลย”
โทฟู่อึ้งตาค้าง...หะ!!!
“เพื่อนสนิทฉัน”
จักกายรู้ตัวว่าเผลอพูดสิ่งที่ไม่ควรพูดออกไปก็ชะงัก...แต่ก็คิดว่าไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วเลยตัดสินใจพูดต่อ
“ก็..กะละแมเค้าไม่ได้เป็นร่างทรง เค้าหลอกคุณ หลอกชาวบ้าน แล้วเค้าก็ดู ฮวงจุ้ยไม่เป็น ตอนที่ไปปราณบุรีผมก็เก็บโพยที่เค้าจดข้อมูลฮวงจุ้ยเอาไว้หลอกป้าฉายตะวัน”
“คุณอย่ามาพาล ฉันคบไอ้แมมาตั้งแต่เด็กทำไมฉันจะไม่รู้ว่าเพื่อนฉันเป็นคนยังไง ไอ้แมไม่มีวันหลอกฉัน”
จักกายส่ายหน้า..แค่นหัวเราะ
“ฮึๆๆ นี่ไง...ลำเอียง คนทำผิดสองคน คนนึงโดนด่ารุนแรงเกินกว่าเหตุ อีกคนไม่โดนอะไร แถมยังไม่เชื่ออีกต่างหาก ที่ผมบอกเพราะหวังดี ไม่อยากให้โดนหลอกซ้ำซาก”
“อย่ามาเปลี่ยนประเด็นดีกว่า ฉันไม่ฟังคำแก้ตัวของคุณ ก็ไปดึงไอ้แมมาเป็นแพะ คุณนี่...เห็นแก่ตัวจริงๆ”
ถูกโทฟู่ด่า จักกายต้องปราม “นี่...เยอะไปแล้ว เห็นผมยอม ด่าใหญ่เลยนะ ผมไม่ได้เปลี่ยนเรื่อง เพราะจะเอาตัวรอด แต่ผมพูดความจริง...ผมอาจจะดูน่าเชื่อถือน้อยกว่าเพื่อนสนิทคุณ แต่ถ้าคุณใจกว้างพอ...ไปถามกะละแมด้วยกัน ผมก็อยากรู้ว่าเค้าจะบอกความจริงกับคุณหรือเปล่า”
จักกายท้าทาย โทฟู่เชิดหน้าขึ้นอย่างไม่กลัว และมั่นใจว่าถูก
“ได้ ไปถามตอนนี้เลย จะได้รู้กันไปว่าฉันโดนหลอก หรือว่าคุณโกหก”
โทฟู่กับจักกายมองตากัน ไม่มีใครยอมกัน ต่างคนต่างมั่นใจว่าตัวเองคิดถูก
ส่วนกะละแมเทกระปุกออมสินออกมา มีเงินเก็บอยู่ไม่กี่ร้อยบาท กะละแมนับเงินแล้วเอามารวมกับแบงค์เก่าๆ ที่มีอยู่ในกระเป๋าอีกพันกว่าบาท ได้เงินรวมกันแล้วไม่ถึงสองพัน...กะละแมมองเงินแล้วก็ถอนหายใจด้วยความกลัดกลุ้ม
“สงสัยต้องหางานทำจริงๆ จังๆ ก่อนจะอดตาย..นี่ยังดีนะ ไม่มีเงินแต่ยังมีที่ซุกหัวนอน” กะละแมนิ่งคิด “จะว่าไปคุณชิณก็แปลก อยู่ๆ ก็มาดีด้วย..ทำไมนะ”
กะละแมคิดถึงเรื่องที่ชิณพูดเอาไว้
“เธอก็อยู่ไป ไม่ต้องคิดมาก ฉันจะไปบอกคุณแม่เองว่าฉันอนุญาตให้เธออยู่”
“คุณทำแบบนี้ทำไม คุณเกลียดฉันมากไม่ใช่เหรอ แล้ว...มาทำดีกับฉันแบบนี้ทำไม”
“ฉันว่าเธอไม่ต้องรู้หรอก...รู้แค่ว่าการทำดีของฉัน...ฉันต้องการสิ่งตอบแทน”
“ตอบแทนยังไง”
“พูดในสิ่งที่ฉันควรจะรู้เกี่ยวกับตัวเธอ ฉันไม่บังคับ...ถ้าเธออยากบอกเมื่อไหร่ ก็บอกมา ฉันพร้อมจะรับฟังเสมอ”
กะละแมดึงตัวเองกลับมา..ท่าทางยังคงคิดหนัก
“สิ่งที่เค้าควรจะรู้เกี่ยวกับเรา...ก็มีอยู่เรื่องเดียว แต่ไม่รู้จะบอกยังไง เฮ่อ”
ทันใดนั้นเสียงแจ่มก็ดังเข้ามา
“คุณแม...คุณท่านให้มาตามไปพบค่ะ”
กะละแมหันไปตามเสียงด้วยความแปลกใจ
ไม่นานนัก กะละแมเดินเข้ามาในห้องรับแขก
“คุณนายให้พี่แจ่มไปตามหนูมาพบ มีเรื่องอะไรเหรอคะ”
“ฉันจะบอกว่า ทุนของหนูออกแล้วนะ อาทิตย์หน้าก็ไปรับได้เลย”
กะละแมยิ้ม “ขอบคุณค่ะคุณนาย” แล้วไหว้ขอบคุณ “หนูกำลังคิดอยู่เลยว่าจะเอาเงินที่ไหนไป
ลงทะเบียน”
“นั่นสิ...ตอนนี้พวกนายโต๊ดก็ไปอยู่ต่างจังหวัดกันหมดแล้ว หนูกะละแมเอาเงินที่ไหนใช้จ๊ะ”
กะละแมอึกอัก “ก็...พอมีเงินที่หยอดกระปุกไว้บ้างค่ะ แต่ก็คงอยู่ได้ไม่กี่วัน หนูกำลังคิด ว่าจะออกไปหางานพิเศษทำค่ะ”
ชิณยืนแอบฟังอยู่มุมหนึ่งใกล้ๆ
“ไม่ต้องไปทำหรอกงานพิเศษน่ะ อยู่กับฉันนี่แหละ ขาดเหลืออะไรก็บอก ฉันจะช่วยเหลือเอง”
“ขอบคุณค่ะ แต่หนูไม่อยากรบกวนคุณนาย แค่นี้ก็มากจนหนูไม่รู้ว่าจะตอบแทน ยังไงแล้ว”
“ไม่ต้องเกรงใจ ฉันคิดว่าหนูน่ะ เป็นเหมือนคนในบ้านที่ฉันต้องดูแล สิ่งที่หนูกะละแมจะตอบแทนฉันได้คือการเป็นคนดี แค่นั้นฉันก็พอใจแล้ว”
กะละแมยิ้มมีความสุข แต่ลึกๆ ก็แอบรู้สึกผิดต่อฉายตะวัน ชิณมองกะละแม แววตาครุ่นคิด
ขณะที่กะละแมเดินมาตามทาง และกำลังจะเลี้ยวไปที่บ้านหลังเล็ก แต่เสียงชิณก็ดังขึ้นเสียก่อน
“เดี๋ยวก่อนกะละแม”
กะละแมชะงักแล้วหันหลังกลับไปมอง เห็นชิณยืนทำเป็นเก๊กอยู่
“ถ้าเธออยากทำงานพิเศษ ไปทำที่บริษัทฉันก็ได้”
กะละแมอึ้ง “ทำงานกับคุณ”
“ใช่ ว่าแต่เธอทำอะไรเป็นบ้าง”
“ก็เป็นหมดทุกอย่างล่ะค่ะ รับโทรศัพท์ พิมพ์ดีด ใช้คอมพ์ เวิร์ด วินโดว์ เอ็กเซลล์”
“ดี! งั้นฉันจะให้เธอมาเป็นผู้ช่วยเลขาฉัน”
“ผู้ช่วยเลขา จริงเหรอคะ” กะละแมแทบไม่เชื่อหู
“จริง” ชิณย้ำ
“ขอบคุณค่ะ ขอบคุณมากเลยค่ะ”
ชิณยิ้ม กะละแมฉุกคิด... มองหน้าชิณแบบพิจารณา
“นี่ ตั้งแต่กลับจากวัด คุณใจดีกับฉันผิดปกติ...ผิดปกติไปมาก.....ด้วย ถามจริงนะ มีแผนอะไรหรือเปล่า”
“ฉันไม่มีแผน แต่ฉันมีจุดมุ่งหมาย...และฉันก็บอกเธอไปแล้ว”
“พูดในสิ่งที่ฉันควรจะรู้เกี่ยวกับตัวเธอ!! ฉันไม่บังคับ...ถ้าเธออยากบอกเมื่อไหร่ ก็บอกมา ฉันพร้อมจะรับฟังเสมอ”
คำพูดของชิณ ดังก้องในหัวกะละแมอึ้ง..คิดหนัก
ชิณพูดต่อท่าทีสบายๆ “หรือถ้าฉันใจดีแล้วเธอไม่สบายใจ .. ฉันกลับไปใจร้ายเหมือนเดิมก็ได้นะ เอาเป็นว่า...ที่ฉันพูดเมื่อกี้นี้ฉันยกเลิก”
ชิณพูดจบก็จะเดินเข้าบ้าน กะละแมรีบวิ่งไปดักหน้า
“หูย...หัวก็ไม่ล้านทำใจน้อยไปได้ .. โอเค..ฉันเชื่อคุณ ... คุณให้ฉันทำอะไรฉันก็ทำได้ทั้งนั้นแหละ อย่าโกรธนะ..นะ..นะ” กะละแมอ้อนนิดๆ
ชิณยิ้มๆ มองหน้ากะละแมแล้วดันเขินซะเอง “เอ้อๆ ไม่โกรธก็ได้” เก๊กขรึมต่อ “พรุ่งนี้เช้าไปออฟฟิศพร้อมฉันก็แล้วกัน”
กะละแมยิ้ม “ได้เลยค่ะ...ว่าที่เจ้านาย”
ชิณกับกะละแมมองตากัน...เห็นประกายเจิดจ้า ความเห็นอกเห็นใจกันเกิดขึ้นวิบวับ แล้วกะละแมก็ฉุกคิดเรื่องที่ชิณให้พูดในสิ่งที่เขาควรจะรู้ กะละแมแววตาเปลี่ยนเป็นเครียดขึ้นมาเล็กน้อย
“คุณชิณคะ...” ชิณมองหน้าอยู่ “คือ ที่คุณบอกว่า...อยากให้พูดในสิ่งที่คุณควรจะรู้...ฉันมีเรื่องนึงอยากจะบอก”
“เรื่องอะไร”
“คือเรื่อง...ที่ฉัน..ไม่ได้เป็น....” กะละแมพูดยังไม่จบคำ
ทันใดนั้นเสียงโทฟู่ก็ดังขึ้นขัดจังหวะ
“ไอ้แม”
กะละแมกับชิณหันไปตามเสียง เห็นโทฟู่เดินเข้ามาท่าทางขึงขัง สองคนเห็นจักกายเดินตามมาติดๆ
“ไอ้ฟู่...จะมาทำไมไม่โทร.มาบอกก่อน” กะละแมทักทายอาการงงๆ
“ฉันมีเรื่องสำคัญจะถามแก”
โทฟู่พูดด้วยหน้าตาจริงจัง จนกะละแมหวั่นใจว่า...เรื่องสำคัญอะไร?
ติดตาม "เจ้าแม่จำเป็น" ตอนที่ 13 เวลา 17.00 น.