เจ้าแม่จำเป็น ตอนที่ 8
สองคนอยู่ในห้องรับแขกที่คอนโดจักกาย กะละแมถามจักกายสีหน้าจริงจัง
“ถามตรงๆอย่างลูกผู้ชายเลยนะ ทำไมคุณต้องมาลงทุนทำอะไรขนาดนี้ด้วย
“งั้นก็ขอตอบตรงๆอย่างลูกผู้ชายว่าชอบ”
กะละแมฉงน “ชอบ ชอบฉันเนี่ยนะ ชอบตรงไหน”
“ก็ตรงนี้แหละ! แปลก! ไม่เหมือนใคร ถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่นก็คงจะอ้าแขนรับของที่ผมให้ แต่คุณไม่… ตัวเองก็ลำบาก ที่ก็ไม่มีจะนอน เงินก็ไม่มีจะกินแล้วยังจะหยิ่งอีก” จักกายจัดไปเป็นชุด
กะละแมเหวอ “เฮ้ย นี่จะชอบ หรือจะด่า”
“ก็ชอบไง” จักกายยืนยัน ตอบหน้านิ่งๆ
กะละแมมองจักกายนิ่ง อย่างพินิจพิจารณา จนจักกายเริ่มอึดอัดนิดๆ กะละแมมองเหมือนจะเพ่งเข้าไปให้ลึกๆ ถึงข้างในใจ จักกายเริ่มงงๆ จับหน้าตัวเอง แล้วถามแบบเกือบจะหงุดหงิด
“เป็นอะไร มองอะไร”
กะละแมตอบหน้านิ่ง ตายังเพ่งอยู่ “ฉันไม่ได้มอง...แต่ฉันกำลัง…รู้สึก”
จักกายงง “รู้สึกอะไร”
กะละแมไม่บอก หลับตา ก่อนจะลืมตาแล้วก็พูดว่า
“โอเค..ฉันจะยอมอยู่ที่นี่”
จักกายขมวดคิ้ว “อะไรทำให้คุณเปลี่ยนใจ”
กะละแมมองหน้าจักกายเขม็ง แล้วก็พูดเสียงมั่นใจ “เพราะคุณไม่ได้ชอบฉัน”
จักกายผงะ ชะงัก กะละแมพูดต่อ
“ลองนึกดูดีๆว่าเวลาที่คุณมีความสุข มีความทุกข์ หรือมีปัญหา คุณอยากอยากเจอใครเป็นคนแรก ใช่ฉันหรือเปล่า ไปถามใจตัวเองดูให้ดีๆ เดี๋ยวก็รู้เองว่าฉันพูดไม่ผิด”
กะละแมพูดจบก็เดินออกไปเลย จักกายอึ้งๆ แต่ก็ยังคิดไม่ได้
ทางด้านชิณเดินไปเดินมาอยู่ในบ้านด้วยความร้อนใจ นึกถึงคำพูดของฉายตะวัน
“เขายืนยันว่าเขาไม่เคยคิด และไม่เคยแม้แต่จะสนใจผู้ชายอย่างลูกเลย เขาบอกว่าเราน่ะ ปากไม่ดี ชอบว่าเขา และก็ไม่ใช่สเป็คเขาแม้แต่นิดเดียว ถ้าได้ไปเป็นสามีมีหวังเครียดตาย”
ชิณนึกถึงกะละแมก็แค้นใจ
“กล้าดียังไงมาพูดถึงฉันแบบนี้ รอให้เช้าก่อนเถอะ ฉันไม่ปล่อยเธอไว้แน่กะละแม”
เช้าวันต่อมาชิณพาตัวเองมายืนอยู่ที่หน้าบ้านเช่า เห็นป้ายหน้าบ้านเขียนว่า ‘ให้เช่า’ ภายในบ้านโล่งไม่มีใครชิณอึ้ง..แปลกใจ ลึกๆ อยากรู้ว่าไปไหน ?
“หายไปไหนกันหมด”
เวลาเดียวกันศจีเดินเข้ามาในห้องกะละแม พร้อมกับสาวใช้ในเครื่องแบบแม่บ้าน ถือถาดอาหารตามเข้ามาเป็นพรวน อลังการงานสร้างมาก
อาหารถูกวางลงทีละจานที่โต๊ะอาหาร เห็นอาหารเช้าที่ดูหรูหราเหมือนตามโรงแรม 5 ดาว เป๊ะ ตั้งเต็มโต๊ะ
ติ่ง โต๊ด ตุ้งแช่ มองจานอาหารที่ถูกเสิร์ฟทีละจานอึ้งๆ
“มีแต่อาหารฝรั่ง ไม่รู้ว่าจะถูกปากไหม ถ้าไม่ชอบหรืออยากรับอะไรเพิ่มเติมก็บอกได้นะคะ” ศจีว่า
สาม ต. ติ่ง โต๊ด ตุ้งแช่ กระดี๊กระด๊าจนออกนอกหน้า
“ครับๆๆ ขอบคุณมากครับ”
ศจีและเหล่าคนใช้เดินออกไป ติ่งหันมามองอาหารที่อยู่ตรงหน้า
“ไฮโซอ่ะ!”
“ลาภปากไอ้โต๊ด....!!”
“กินแล้วนะค้าบ”
ตุ้งแช่พูดจบก็ลงมือเลย ติ่ง โต๊ด ตาม ทั้งสามคนกินอย่างเอร็ดอร่อย
กะละแมมองอึ้งๆ หนักใจ แล้วหันมามองหน้าจักกาย ที่ยืนอยู่ข้างๆ ‘นายคนนี้ไม่มีความพอดีเลย’
“ไม่ต้องเตรียมให้เยอะเวอร์ขนาดนี้ก็ได้ จัดแบบปกติที่นายหรือคนทั่วไปเขากินกันก็พอ”
“นี่แหละปกติ ปกติผมก็กินแบบนี้”
“งั้นคุณก็คงไม่ปกติ เพราะคนปกติเขาไม่กินกันแบบนี้”
จักกายเหวอ ‘ตกลงโดนด่าใช่ไหม?’
“แต่ในฐานะเพื่อนมนุษย์ก็ขอบคุณคุณมากนะ ถ้าได้ดีเมื่อไหร่จะตอบแทนแล้วก็อย่าลืมที่คุยกัน ไปถามตัวเองว่าคิดยังไงกับฉันกันแน่!”
จักกายงง...อ้าว
เวลาเดียวกันโทฟู่กับอาม่ากำลังกินโจ๊กกันอยู่ในซอยมหาลาภ
“เอ่อ...ตกลงอาแมได้ไปอยู่กับเขาหรือเปล่า” อาม่าถาม
“ไปจ้ะ ตอนแรกมันก็ไม่ยอมไปเหมือนกัน แต่น้าโต๊ด ติ่ง ตุ้งแช่ขอร้องกลัวพวกเจ้ามือหวย พูดกันอยู่ตั้งนาน สุดท้ายไอ้แมมันก็เลยต้องยอม” โทฟู่บอก
“ก็ดีแล้ว ไปอยู่นั่นยังไงก็คงจะดีกว่า เฮ้อ...ก็โชคดีของไอ้แมมันเนอะ อาจักกายก็ดูจริงจัง ถึงจะแปลกๆไปบ้างแต่ก็ดูเป็นคนดี ที่สำคัญม่าไปสืบมา เขารวยมั่กมั่ก...พอๆ กับไอ้เจ้าของที่เลยนะ”
“จ้ะ” โทฟู่พูดอะไรไม่ออก
“อาแมก็เป็นเด็กดี หน้าตาก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่ ถ้าเกิดทั้งคู่ได้ลงเอยด้วยกันก็คงจะดีเนอะ อาแมจะได้สบายกับเขาซักที อาฟู่ว่าไหม”
โทฟู่อึกอัก “เอ่อ...จ้ะม่า...” พูดเศร้าๆ แต่พยายามทำเสียงให้ปกติ
โทฟู่ก้มหน้าก้มตากินโจ๊กต่ออย่างเศร้าๆ
ทันใดนั้นก็มีคนเอากระดาษมาแปะที่หน้าบ้าน อาม่ากับโทฟู่รีบออกมาดู
“เอาอะไรมาแปะนี่บ้านอั๊วนะ ขออนุญาตหรือยัง” อาม่าบ่นๆ
โทฟู่ กะอาม่ามองไปที่ประตู เห็นประกาศไล่ที่
“ไล่ที่!”
อาม่าโทฟู่มองหน้ากันคิดหนัก...
“ในที่สุดก็ไม่รอด...แล้วเราจะไปอยู่ที่ไหนกันดีละเนี่ย”
โทฟู่ กับอาม่า...หน้าเซ็ง ทำยังไงดี?
ติ่งทิ้งตัวลงนอนบนเตียงนุ่มๆ อย่างสุขใจ
“ที่นี่มันสวรรค์ชัดๆ!! จะขาดก็แต่นางฟ้า...” ติ่งตาโต “เออ ใช่แล้ว...นางฟ้า...”
ติ่งนึกถึงมิ้วแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์ อยากชวนสาวมาเที่ยว ไม่รู้เลยว่าเขาไม่ถูกกัน ว่าแล้วก็หยิบโทรศัพท์มาโทร.หามิ้ว ด้วยท่าทางคุณชายไฮโซ
ติ่งเก๊กเสียงหล่อเข้ากับห้องหรู “สวัสดีครับ คุณมิ้วเหรอครับ”
ติ่งหน้าบานรอมิ้วตอบ
เย็นนั้นสองแม่ลูกที่หน้าคอนโดจักกาย สักครู่ต่อมามิ้ว กิมเอ็งก็เดินเข้ามาในล็อบบี้คอนโดสุดหรูของจักกาย ทั้งคู่มองสำรวจไปรอบๆ อย่างอึ้งๆ หรูสุดๆ
“คุณแม่ไม่อยากจะเชื่อเลยค่ะคุณลูก ว่าน้ำหน้าอย่างพวกมันจะมาอยู่ที่หรูๆ แบบนี้ได้”
“หรือว่านังกะละแมมันจะมีเสี่ยเลี้ยงคะคุณแม่”
“หน้าไฝใหญ่อย่างมันเนี่ยนะคะจะมีเสี่ยเลี้ยง เป็นไปไม่ได้! คุณแม่ไม่เชื่อ”
ติ่งเดินลงมาอยู่ในชุดที่คิดว่าหล่อ
“สวัสดีครับ...คุณแม่” ติ่งยิ้มหล่อลากไส้
“น้าย่ะ” กิมเอ็งค้อนขวับ
“สวัสดีครับคุณน้า” ติ่งยิ้มแหะๆ แล้วก็หันมาทางมิ้ว “สวัสดีครับ...คุณมิ้ว”
มิ้วเบ้ปากเซ็ง แต่ก็ต้องจำใจพูดดีด้วย
“สวัสดีค่ะ นี่คุณติ่งมาอยู่ที่นี่จริงๆ เหรอคะ”
“ใช่ครับ...เอ่อ...คุณมิ้วครับ....ผมอยากจะย้ำอีกครั้งว่าเรื่องกะละแมเป็นเรื่องเข้าใจผิดจริงๆ” พูดเสียงหล่อ เป็นผู้ดี “ไม่ว่ามันไปทำอะไรให้คุณมิ้วระคายเคืองใจ มันไม่เกี่ยวอะไรกับผมสักนิดเดียวนะครับ”
“มิ้วทราบคะ แล้วมิ้วก็ไม่ได้ติดใจอะไรแล้วล่ะค่ะ” มิ้วยิ้มหวาน
“ผมดีใจนะครับที่คุณมิ้วหายโกรธแล้วยอมมาหาผมในวันนี้”
ติ่งเอื้อมมาจับมือมิ้ว ตีเนียนมากๆ หน้ากรุ้มกริ่มสุดๆ กิมเอ็งมองเขม็ง
“ค่ะ...” มิ้วค่อยๆ ดึงมือออกแล้วก็เช็ดกับชุด ยี้! รีบตัดบท “เอ่อ...มิ้วว่าเราอย่าเสียเวลาตรงนี้กันเลยค่ะ รีบขึ้นห้องคุณติ่งดีกว่า” อยากรู้อยากเห็นเต็มที
กิมเอ็งสะดุ้ง “ว้าย” รีบกระซิบมิ้ว “ลูกคะ ใช้คำไม่เหมาะสม” แล้วก็หันมาพูดกับติ่ง “ฉันว่าเรารีบขึ้นไปที่ห้องกันดีกว่า”
ติ่งเพ้อมิ้วชวนขึ้นห้อง “ดะ..ดะได้ครับ เชิญครับ”
ติ่งเดินนำมิ้วและกิมเอ็งไป ประหนึ่งว่าตัวเองเป็นเจ้าของห้องเต็มที่
มิ้วกิมเอ็งเดินตามไป มิ้วยังคาใจ กระซิบถามกิมเอ็ง
“มิ้วพูดอะไรผิดคะคุณแม่”
“เอาน่า..เดี๋ยวค่อยไปอธิบายที่บ้าน”
กิมเอ็งปัดไปก่อน มิ้วพยักหน้าเออออ ทั้งสองคนเดินตามติ่งไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
กะละแมนั่งอยู่ที่พื้นห้อง กางหนังสือพิมพ์หน้าหางาน อ่านอย่างตั้งใจ แล้วค่อยๆ วงกลมไว้ทีละงาน
หน้าหางานของหนังสือพิมพ์ถูกวงไว้เกือบทุกงาน โต๊ดมองกะละแมแล้วก็ส่ายหน้าอย่างระอา
“จะหางานไปทำไม แกก็รับรักคุณจักกายแล้วอยู่แบบนี้ไปเรื่อยๆให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย แต่ถ้าอยากรอดแบบตลอดรอดฝั่งก็แต่งงาน จบ! สบายยกครัว”
“ไม่เอาหรอกน้า เขาไม่ได้รักฉันจริงๆ ซะหน่อย”
“นี่เค้าให้เอ็งขนาดนี้ ยังไม่เรียกว่ารักจริงอีกเหรอหะ” โต๊ดฉุนนิดๆ
กะละแมส่ายหน้า แล้วก็ก้มหางานต่อ โต๊ถอนใจด้วยความเซ็ง
ครู่ต่อมาติ่งเดินนำกิมเอ็ง มิ้ว เข้ามาในห้อง
“ทางนี้เลยครับ เชิญครับๆ” ติ่งยิ้มหน้าบาน
กิมเอ็งมิ้วเดินเข้ามา สายตาสอดส่ายสำรวจห้องสุดฤทธิ์ มิ้วมองไปเห็นกะละแม ก็แอบค้อนขวับเบาๆ
กะละแมมองอึ้งๆ ว่ามาได้ไง แล้วก็หันไปจ้องหน้าติ่งอย่างเอาเรื่อง ติ่งผงะเล็กน้อยแต่ก็ไม่สนใจ เอาใจมิ้วต่อ
“เชิญนั่งตรงนี้ก่อนก็ได้นะครับ หรือถ้าไม่ชอบจะไปนั่งโซฟาหลุยส์ตรงนั้นก็ได้...ว่าแต่คุณมิ้วจะกินอะไรดีครับ เดี๋ยวผมจะได้ให้แม่บ้านเอามาให้”
“ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณค่ะ”
มิ้วตอบ สองแม่ลูกสอดสายตามองสำรวจไปรอบๆ ห้อง
กะละแมชำเลืองมองติ่งเป็นระยะ เซ็งๆ หมั่นไส้ ติ่งยังคงโม้อยู่
“ไม่รู้ว่าห้องจะเล็กไปหรือเปล่านะครับ ก็แค่สามห้องนอน สองห้องน้ำเบาๆ ส่วนเรื่องความปลอดภัยไม่ต้องห่วงนะครับ ต้องมีคีย์การ์ด” ติ่งกระแดะพูดสำเนียงฝรั่งน่าหมั่นไส้ “เท่านั้นถึงจะเข้ามาได้ เอ่อ...คุณมิ้วอยากร้องเพลงไหมครับ ที่ห้องนั่งเล่นมีคาราโอเกะ ร้องเพลงได้ด้วย...หรือถ้าอยากจะว่ายน้ำก็บอกนะครับ”
ติ่งโม้เอาใจมิ้วสุดฤทธิ์ จนกะละแมทนไม่ไหว เดินมาหาติ่ง
“พี่ติ่งมานี่เลย” กะละแมลากติ่งออกไป
ติ่งโวยลั่น “อะไรวะไอ้แม” แล้วหันมายิ้มบอกกับมิ้ว “เดี๋ยวผมมานะครับ”
ติ่งโดนกะละแมลากเข้าไปด้านใน เหลือแค่โต๊ด มิ้ว กิมเอ็ง
กิมเอ็งแอบเหลือบมองโต๊ด จิกๆ จนโต๊ดรู้สึกอึดอัด
โต๊ดยิ้มแห้งๆ “เอ่อ...งั้นตามสบายนะครับ ผมขอตัวก่อน แหะๆ” เดินเข้าห้องตัวเองไป
มิ้วกับกิมเอ็งมองหน้ากันยิ้มๆ
“ดูจากลักษณะแล้ว ต้องไม่ใช่ห้องของพวกมันเองแน่ๆ ต้องเป็นของคนอื่น เราต้องหาให้ได้นะคะว่าห้องนี้เป็นของใคร แล้วก็ทำเวลาด้วย ปฎิบัติ” กิมเอ็งสั่งการ
“ค่ะ” มิ้วรับคำ
กิมเอ็ง มิ้วพยักหน้าให้กัน ก่อนจะแยกย้ายคนละมุมรื้อข้าวของกระจาย
กะละแมลากติ่งมาถึงในห้อง ท่าทีโมโหมาก
“พี่ติ่งชวนพวกเขามาทำไม ที่ผ่านมายังเกิดเรื่องวุ่นวายไม่พอใช่ไหม”
ติ่งไม่สำนักแถมด่าน้องกลับ “แกก็มองคุณมิ้วเขาในแง่ร้ายเกินไป แล้วดูสิ...แกทำอย่างนี้ไม่แคร์ฉันเลยใช่ไหม ลากออกมาต่อหน้าคุณมิ้ว หักหน้ากันชัดๆ”
กะละแมรู้สึกผิดเล็กน้อย “แต่นี่มันไม่ใช่ห้องของเราจริงๆนะพี่ติ่ง”
“เอาน่า...เดี๋ยวพอแกกับคุณจักกายเป็นแฟนกัน ของเขาก็เหมือนของเราแหละ”
กะละแมมองติ่งแล้วส่ายหน้าระอาใจอย่างหนักหน่วง
“นี่ตกลงทุกคนจะให้ฉันกับเขาเป็นแฟนกันให้ได้ใช่ไหม...ฉันยอมมาอยู่ที่นี่ไม่ได้หมายความว่าฉันจะต้องตกลงปลงใจเป็นแฟนเขานะ”
“เอาเถอะๆ แกจะยังไงก็ตามใจ แต่ตอนนี้ฉันขอตัวไปดูคุณมิ้วสุดสวยของฉันก่อนนะ”
ติ่งพูดจบก็รีบเดินออกไปอย่างมีความสุข กะละแมมองตามเซ็งๆ
มิ้วกับกิมเอ็งแยกย้ายกันรื้อค้นห้องจักกายกันคนละมุม
“เป็นไงบ้างคุณลูก เจออะไรบ้างไหมคะ”
“ทางนี้ยังไม่เจอเลยค่ะคุณแม่”
ในที่สุดกิมเอ็งก็เจอรูปๆหนึ่ง กิมเอ็งหยิบรูปขึ้นมา
“เจอแล้ว”
มิ้วรีบวิ่งมาสมทบกิมเอ็ง ทั้งคู่พยายามเพ่งไปที่รูป เห็นรูปจักกาย
สองแม่ลูกตกตะลึง
กิมเอ็งร้อง “ว้าย...นี่มัน...ไอ้เด็กนั่นนี่!”
มิ้วไม่อยากเชื่อ “อะไรจะบังเอิญขนาดนั้น เป็นไปไม่ได้หรอกคะคุณแม่ อาจจะแค่คนหน้า เหมือน”
กิมเอ็งมั่นใจ “แต่แม่ว่าใช่แน่นอน ไม่ผิดแน่”
ขณะที่มิ้วกะกิมเอ็งมองหน้ากันด้วยความสงสัยอยู่นั้น เสียงติ่งก็แหลมเข้ามา
“ทำอะไรกันอยู่ครับ”
มิ้วกะกิมเอ็งสะดุ้ง หันมาเห็นติ่งยืนอยู่
ติ่งเห็นรูปจักกายในมือกิมเอ็ง เลยแนะนำให้รู้จักคนในรูปด้วยท่าทางภูมิใจ
“หล่อใช่มั้ยครับคนในรูป ชื่อจักกาย ครับ..เป็นแฟนไอ้แมว่าที่น้องเขยผมเองครับ”
มิ้วกับกิมเอ็งมองหน้ากันอึ้งๆ ‘หะ?.. แฟนกะละแม’
ตกเย็นนั้นสองแม่ลูกก็นำเรื่องมารายงานชิณถึงที่บ้าน ชิณหน้าตึง โกรธ หรือ หวง หรือ หึง กึ่งๆ ไม่แน่ใจ เสียงมิ้วใส่ไฟต่อ
“สองคนนั้นเค้าเป็นแฟนกันจริงๆ นะคะ”
มิ้วกับกิมเอ็งกำลังใส่ไฟกะละแมกับชิณและฉายตะวันที่นั่งอยู่ด้วย
“คุณป้าบอกว่าถ้ามิ้วเปลี่ยนความคิดได้เมื่อไหร่ ค่อยมาคุยกัน ตอนนี้มิ้วเปลี่ยนความคิดแล้ว มิ้วคิดว่ากะละแมคงไม่ได้คิดจับพี่ชิณ เพราะตอนนี้เขาหันไปจับจักกายแล้วค่ะ”
สีหน้ามิ้วนั้นสะใจนัก ขณะที่ชิณสะอึก
ฉายตะวันรำพึง “ไม่น่าเชื่อเลย”
“จริงๆ ค่ะคุณพี่ คุณน้องไปเห็นกับตามาแล้ว นายนั่นจัดห้องให้อยู่หรูหราอย่างกับเจ้าหญิง” กิมเอ็งเบ้ปากหมั่นไส้ “ท่าทางจะรักกันมาก ไม่รู้ว่ายัยกะละแมสาดน้ำมันพรายจากผีหลุมไหนใส่ ถึงได้หลงหัวปักหัวปำขนาดนี้”
ชิณหมั่นไส้ตะหงิดๆ ออกอาการหวงนิดๆ โดยไม่รู้ตัว
ชิณบ่นเบาๆ “ผู้หญิงอะไร หอบเสื้อผ้าไปอยู่บ้านผู้ชายง่ายๆ”
กิมเอ็งดันได้ยินเลยรีบเสริม “ผู้หญิงสมัยนี้ก็เป็นแบบนี้ทั้งนั้นล่ะค่ะ อยากรวยทางลัด เห็นผู้ชายรวยๆ ก็วิ่งเข้าใส่” พูดโดยลืมนึกถึงตัวเอง
ฉายตะวันเอ่ยขึ้น “ฉันว่าหนูกะละแมไม่ใช่แบบนั้นนะ อย่างครั้งก่อนเขาก็เอาเงินมาคืนชิณ”
“มันสร้างภาพค่ะคุณป้า มันเอาเงินมาคืนเพราะมีเป้าหมายใหม่ที่รวยกว่า เท่าที่มิ้วเห็น นายนั่นคงให้มากกว่า 3 ล้านที่พี่ชิณเคยให้แน่นอนค่ะ”
ชิณยิ่งฟังก็ยิ่งร้อน...ต้องทำอะไรสักอย่าง
“จะว่าไปยัยร่างทรงก็เก่งนะคะ แป๊บเดียวก็หาที่พึ่งใหม่ได้แล้ว ถ้าจับ...” กิมเอ็งหลุดปาก แต่รู้ตัวรีบแก้ “พึ่งพิงจักกายได้ตลอดรอดฝั่งก็ดีนะคะ จะได้ไม่ต้องมารบกวนคุณพี่อีกไงคะ”
ฉายตะวันฟังแล้วนิ่งคิด
กิมเอ็งเห็นฉายตะวันนิ่ง คิดว่าน่าจะเข้าแผน หันมามองหน้าลูกสาวพร้อมยิ้มด้วยความพอใจ ชิณหน้าเครียด....ไม่พอใจ
คืนนั้นจักกายเดินหน้าเซ็งๆ มาที่หน้าห้องกะละแม ทำท่าจะเคาะประตู แต่ก็ไม่เคาะ เหมือนไม่ได้อยากจะคุย จักกายคิดๆ แล้วก็เดินออกไป
จักกายเดินอยู่ที่สระว่ายน้ำคอนโด สีหน้าครุ่นคิด คำพูดกะละแมดังก้องในหัว
“ลองนึกดูดีๆ ว่าเวลาที่คุณมีความสุข มีความทุกข์ หรือมีปัญหา คุณอยากอยากเจอใครเป็นคนแรก ใช่ฉันหรือเปล่า ไปถามใจตัวเองดูให้ดีๆ เดี๋ยวก็รู้เองว่าฉันพูดไม่ผิด”
จักกายหยิบโทรศัพท์ออกมากดเบอร์โทฟู่...จักกายคิดนิดหนึ่ง แล้วกดโทร.ออก
เวลาเดียวกันโทฟู่กำลังเก็บของลงกล่องกระดาษ เตรียมตัวย้ายบ้าน อาม่าช่วยเก็บอยู่ใกล้ๆ ด้านหลังมีกล่องที่แพ็คเสร็จแล้ววางอยู่ 2-3 กล่อง
เสียงโทรศัพท์มือถือของโทฟู่ดังขึ้น อาม่าเหล่ดูที่หน้าจอเห็นเป็นรูปจักกาย โทฟู่รีบคว้าโทรศัพท์ไปอมยิ้ม อาม่าเห็น แล้วโทฟู่ก็ทำเก๊กเสียงนิ่ง
“วันนี้มีอะไรให้ฉันช่วยอีก”
โทฟู่เดินเลี่ยงไปคุยอีกมุมบ้าน อาม่าเหล่ๆ แล้วก็ค่อยๆ กระดึ๊บๆๆๆ เข้าไปแอบฟัง หูผึ่งเรดาร์สาระแนเริ่มทำงาน
จักกายยิ้มก่อนตอบ
“ไม่มี”
โทฟู่แปลกใจถามกลับยิ้มๆ
“ไม่มี...แล้วโทรมาทำไม คนกำลังยุ่งๆอยู่”
อาม่ายิ้ม...น่าน
จักกายยิ้มนิดๆ “ยุ่งเหรอ?” ไม่ตอบแต่ถามกลับ “ทำอะไรอยู่”
โทฟู่ชะงักมือที่กำลังเก็บของแล้วตอบอึกอัก
“กะ...กำลัง...อ่านหนังสืออยู่”
อาม่างงมองโทฟู่ด้วยความสงสัยว่าทำไมต้องโกหก
อาม่าพึมพำเบาๆ “อ่านยังไง...เก็บของอยู่ชัดๆ”
โทฟู่ไม่ได้ยิน พูดต่อ “เอ้อ...แล้วไอ้แมเป็นไงบ้าง ได้คุยกันหรือยัง”
จักกายบ่ายเบี่ยงไม่มีอะไรจะตอบ
“ก็คุยนิดหน่อย” รีบเปลี่ยนเรื่อง “แล้วนี่กินข้าวยัง” น้ำเสียงนุ่มนวลน่าฟัง
โทฟู่ยิ้มก่อนตอบ
“กินแล้ว วันนี้อาม่าทำผัดหมี่ซั่วให้กิน”
จักกายยิ้มขำๆ
“หมี่ซั่ว...หน้าตาเป็นยังไง อร่อยไหม อยากกินจัง” น้ำเสียงมีความสุขมาก
โทฟู่ยิ้มแย้มก่อนตอบ น้ำเสียงสดใส มีความสุขเช่นกัน
“อร่อยมาก...เอาไว้ถ้าอาม่าทำอีก จะแบ่งไปให้กินที่คอนโดนะ รับรองว่าถ้าได้กินแล้วจะติดใจ ไอ้แม่ก็ชอบ น้าโต๊ด พี่ติ่ง ไอ้แช่ก็ชอบ ชอบทั้งบ้านเลย”
โทฟู่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ อาม่ามองโทฟู่แล้วคิดว่าโทฟู่ต้องชอบจักกายแน่ๆ
อาม่าพึมพำเบาๆ “คุยไป ยิ้มไปอย่างก๊ะคุยกับแฟน”
โทฟู่เริ่มรู้ตัวว่าอาม่าแอบฟังอยู่เลยเขินจะวางสาย
“แค่นี้ก่อนนะ แล้วคุยกันใหม่”
จักกายยังไม่อยากวาง...อยากคุยต่อ
“เดี๋ยวก่อนโทฟู่...อย่าเพิ่งวาง...โทฟู่...” แต่ไม่ทันแล้วโทฟู่วางสายก่อน
ระหว่างนั้นจักกายไม่รู้ว่ากะละแมแอบฟังอยู่หลังพุ่มไม้...กะละแมรู้สึกได้ทันทีว่าจักกายต้องชอบโทฟู่โดยไม่รู้ตัวแน่ๆ
กะละแมเดินเข้ามาในห้อง แล้วคิดย้อนถึงภาพที่เห็นโทฟู่กับจักกายอยู่ด้วยกันตลอดเวลา กะละแมคิดหนัก
เจ้าแม่จำเป็น ตอนที่ 8 (ต่อ)
ตอนสายวันต่อมากะละแมเดินเข้ามาที่หน้าคณะแพทย์ สอดส่ายสายตามองหาโทฟู่ จนครู่ต่อมาเห็นโทฟู่เดินออกมาจากตึกคณะพอดี กะละแมจึงรีบเดินเข้าไปหา
“ไอ้ฟู่”
โทฟู่แปลกใจ
“เฮ้ย...ไอ้แมมาได้ไง”
กะละแมยิ้มแย้ม “คิดถึง แล้วก็...มีเรื่องจะปรึกษาแกด้วย”
“ปรึกษาได้ แต่ต้องไปปรึกษาที่โรงอาหารนะ เพราะตอนนี้ฉันหิวข้าว”
ไม่นานหลังจากนั้น โทฟู่กับกะละแมถือจานข้าวมานั่งที่โต๊ะ
“มีเรื่องอะไรว่ามาเลย” โทฟู่ตักข้าวเข้าปาก
กะละแมมองหน้าโทฟู่...ชั่งใจนิดหนึ่ง แล้วแกล้งพูดหยั่งเชิง
“ฉันคิดว่าฉันชอบนายจักกาย”
โทฟู่สำลักข้าว หยิบน้ำมาดื่มแทบไม่ทัน...กะละแมมอง สังเกต แล้วพูดต่อ
“ดูๆ ไปเค้าก็เป็นคนดีนะ ช่วยเหลือฉันทุกอย่าง หรือแกว่าไง”
โทฟู่พยายามกลบเกลื่อน “เก๊าะ...ก็ดี เขาเป็นคนดีจริงๆ แกชอบเขาเลย ฉันเชียร์เต็มที่” โทฟู่หลบตา ก้มหน้าก้มตากินข้าว
กะละแมมองโทฟู่แล้วรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ เลยถามตรงๆ
“แกเชียร์จริงๆ เหรอ”
โทฟู่ซ่อนหน้าหลบตาตอบไป “จริงสิ”
“แล้วแกไม่ติดใจเรื่องที่เค้าเคยหลอกใช้แกมารู้จักฉันแล้วเหรอ”
“ก็..เค้าทำเพราะชอบแก ไม่ได้ทำเพราะจะทำร้ายแกนี่”
“แล้วแกไม่คิดว่าเค้าจะเล่นๆ กับฉันเหรอ”
“ก็ไม่รู้สิ..แต่ถ้าเค้าเล่นๆกับแก เค้าคงไม่จริงจังขนาดนี้มั้ง อีกอย่างผู้หญิงที่พร้อมจะวิ่งเข้าหาเค้าก็มีตั้งเยอะแยะ ถ้าเค้าคิดจะเล่นๆ ผู้หญิงพวกนั้นคงน่าเล่นกว่าแกเยอะ”
กะละแมอึ้ง “อ้าว”
“คือฉันหมายถึง แกก็ไม่ได้จะเล่นด้วย ถ้าเค้าอยากเล่นๆ คงไปเล่นกับคนอื่นมากกว่า”
“อ๋อ..แล้วไป” แล้วก็หันมาทางโทฟู่ ที่เขี่ยๆ ข้าวอยู่ “คำถามสุดท้าย” กะละแมเสียงเข้ม “แกชอบจักกายหรือเปล่า”
ตึ่ง!! โทฟู่ชะงักกึก เงยหน้ามองกะละแมที่จ้องเขม็ง แล้วก็ตอบแบบโกหกเกือบเนียน
“เปล่า... ฉันไม่ได้ชอบเค้า ฉันไม่ได้คิดอะไรกับเค้า” โทฟู่เผลอหลบตานิดๆ “ไม่ได้คิดจริงๆ”
กะละแมมองจ้องหน้าโทฟู่...มั่นใจแล้วว่าโทฟู่ต้องชอบจักกายจริงๆ
ที่ออฟฟิศบริษัทมหาทรัพย์ไพศาล ทรงวุฒิเอาแผนที่คอนโดจักกายมายื่นให้ชิณ
“นี่ครับ..แผนที่คอนโดที่พักของคุณจักกาย”
ชิณรับมา “ขอบใจมาก” มองหน้างงๆ “ทำไมหามาได้เร็วจัง ผมเพิ่งสั่งงานไปเมื่อเช้า”
“คือพอดี...ผมรู้จักกับ” ทรงวุฒิเขินๆ ขณะพูด “พนักงานที่ทำงานอยู่ใกล้ชิดเค้าน่ะครับ เป็นเพื่อนเก่า แต่แอบทำหน้ากรุ้มกริ่มสุดฤทธิ์
“เพื่อน หรือ แฟน” ชิณจ้องหน้าลูกน้องคนสนิท
ทรงวุฒิลืมตัว “ก็ทั้งสองอย่าง” แล้วก็สะดุ้ง “เอ๊ย…ไม่ใช่ครับ เพื่อนครับเพื่อน เพื่อนจริงๆ” ย้ำซะน่าสงสัย ว่าแล้วก็เปลี่ยนเรื่องดีกว่า “เอ่อ..แล้วคุณชิณจะเอาแผนที่ที่พักของคุณจักกายไปทำอะไรครับ”
ชิณมองแล้วก็ยิ้มนิดๆ “ฉันตั้งใจว่าจะไปทักทายคนรู้จักสักหน่อย”
ชิณพูดทิ้งท้ายไว้แล้วก็เดินออกไป ทรงวุฒิงง
“คนรู้จัก ใครหว่า”
ระหว่างนั้นโทรศัพท์มือถือดังขึ้น ทรงวุฒิกดรับ
“สวัสดีครับคุณท่าน” นิ่งฟัง แล้วก็ตกใจ “ให้ผมสืบว่าคอนโดคุณจักกายอยู่ที่ไหน” ออกอาการงง “ครับๆๆ ผมจะหาให้เดี๋ยวนี้เลยครับ ไม่ถึง 5 นาทีผมจะแฟกซ์ไปให้ที่บ้านนะครับ ครับๆ สวัสดีครับ”
ทรงวุฒิวางสายแล้วบ่นงงๆ
“แม่ลูกคู่นี้ทำอะไรคุยกันหรือเปล่าเนี่ย”
ทรงวุฒิ งงๆ แอบเม้าท์มอยเจ้านาย
ไม่นานต่อมาชิณพาตัวเองมาอยู่ที่หน้าคอนโดจักกาย ก่อนจะเดินเข้ามามองซ้ายมองขวา กะละแม เดินเข้ามาพอดี...สองคนจ๊ะเอ๋กัน
“คุณ”
ชิณไม่ทันตั้งตัว “เธอ”
กะละแมไม่อยากพูดด้วย จะเดินไปอีกทาง ชิณตามมาดัก
“เจอหน้าก็รีบเดินหนี กลัวฉันหรือไง”
“ฉันไม่ได้กลัว แค่ไม่อยากคุยด้วย” กะละแมจะไป
ชิณขวางไว้ “แต่ฉันมีเรื่องจะคุยกับเธอ”
กะละแมฉงน “เรื่องอะไร”
ชิณยื่นหน้าเข้ามา และพูดสิ่งที่ทนไม่ได้ออกมา
“ที่เธอบอกแม่ฉันว่าไม่สนใจฉัน เพราะฉันฉลาด...รู้ทันเธอใช่ไหม”
กะละแมหัวเราะร่า ทำเอาชิณงง กะละแมท้าวสะเอวมองชิณขำๆ
“อย่าบอกนะว่าที่อุตส่าห์ถ่อมาถึงที่นี่ เพื่อมาพูดแค่นี้” ชิณสะอึก...ขำไร กะละแมพูดแทงใจดำจังๆ “เสียฟอร์มอ่ะดิ รับไม่ได้หรือไง ที่ฉันไม่สนใจคุณ แล้วก็ไม่อยากได้คุณมาเป็นสามี ตามที่คนบางคนคิด”
ชิณจี๊ดเลย มองหน้ากะละแมที่ลอยหน้าลอยตาอย่างหมั่นเขี้ยว แล้วก็เชิดขึ้น ตอบอย่างไม่แคร์ แม้จะรู้สึกเสียฟอร์มนิดๆ
“เปล๊า...เรื่องเล็กๆ เด็กๆ ไร้สาระแบบนั้น ฉันไม่เก็บมาคิดให้รกสมองหรอก ที่ฉันมาเพราะอยากมาเห็นกับตาว่าไอ้จักกายมันเลี้ยงเธอดีแค่ไหน” ชิณมองไปรอบๆ “อืม...คอนโดนี่ก็ดูหรูดีนะ คงจะหลายล้าน แล้วมันให้อะไรเธออีก รถ ค่าหน่วยกิต คงให้มากกว่าที่ฉันให้น้าเธอล่ะสิ ถึงยอมย้ายมาอยู่กับมันง่ายๆ” ทำหน้าดูถูกสุดฤทธิ์
กะละแมเลือดขึ้นหน้า
“ฉันแค่ย้ายมาอยู่บ้านเขา ไม่ได้เป็นอย่างที่คุณคิด”
ชิณกวนต่อ “ฉันคิดอะไร...ไม่ได้คิดอะไรเล้ย อย่าร้อนตัวสิ แล้วเธอคิดว่า…ฉันคิดว่า…เธอเป็นอะไรเหรอ”
“ไม่ต้องมาทำเป็นซื่อ…บื้อ ไม่รู้ว่าฉันคิดว่า คุณคิดว่าฉันอะไร ฉันรู้ว่าคุณรู้ว่าคุณคิดอะไร” กะละแมเริ่มจะงง “เอาเป็นว่าฉันไม่ได้เป็นอย่างนั้นก็แล้วกัน”
ชิณเห็นกะละแมเดือดก็ยิ่งชอบใจ กะละแมตัดบทอย่างรำคาญ
“แต่จะว่าไปมันก็เรื่องของคุณ คุณอยากคิดอะไรก็เชิญตามสบาย ชอบคิดเอง เออเอง สรุปเองอยู่แล้วนี่ คิดไปเลย ฉันไม่แคร์”
กะละแมสุดจะแค้น...แต่ก็ไม่อยากต่อปากต่อคำ เลยเดินหนีขึ้นห้องไป
ชิณมองตามแล้วยิ้มชอบใจ...นึกได้รีบเดินตามไป
“นี่เดี๋ยวสิ...พาฉันขึ้นไปดูหน่อยสิว่าไอ้จักกายมันจัดห้องหรูขนาดไหนให้เธออยู่ นี่...จะรีบไปไหน พาฉันขึ้นไปด้วยสิ”
กะละแมไม่สนใจ เข้าลิฟท์ แล้วก็กดปิดเลย ชิณพยายามจะกดเปิด รปภ.เห็นเดินมาหา มองอย่างระแวดระวังไม่ไว้ใจ
“ถ้าไม่ใช่คนที่พักที่นี่เข้าไม่ได้นะครับ”
ชิณรีบละมือจากปุ่มกดลิฟท์ ยกขึ้นทำนองว่าไม่แตะแล้ว ชิณมองลิฟท์ด้วยความเสียดายที่ไม่ได้ขึ้น ก่อนจะตัดใจหันหลังเดินออกมา เซ็งเลย
ไม่นานนักชิณเดินออกมาที่หน้าคอนโดจักกาย แล้วออกไปทางหนึ่ง ฉายตะวันกับแจ่มเดินเข้ามาอีกทางหนึ่ง...แม่ลูกคลาดกันหวุดหวิด
กะละแมนั่งหน้าหงิกอยู่ในห้อง ติ่งนั่งตัดเล็บเท้าอยู่ ตัดไปก็เหลือบมองกะละแมไป แปลกใจเป็นอะไรของมัน ระหว่างนั้นเสียงกริ่งหน้าห้องดังขึ้น
โต๊ดกำลังอ่านหนังสืออยู่ “สงสัยไอ้แช่กลับจากโรงเรียนมั้ง เอ็งไปเปิดประตูให้มันไป”
ติ่งไม่ขยับก้มหน้าก้มตาตัดเล็บต่อ “ฉันไม่ว่าง ไอ้แม...แกไปเปิดให้หน่อยดิ”
กะละแมส่ายหน้าเซ็งๆ ลุกไปเปิดประตู
ประตูเปิดออก เห็นตุ้งแช่ในชุดนักเรียนยืนหล่ออยู่หน้าห้อง
“ฉันพาแขกมาหาพี่แมด้วยนะ”
กะละแมงง
“แขก..ใคร”
ฉายตะวันกับแจ่มเดินเข้ามา
กะละแมอึ้ง “คุณนาย”
ตุ้งแช่เสิร์ฟน้ำอย่างมีมารยาท พร้อมกับพูดอธิบายขยายความให้อีก 3 คนฟัง
“ตอนฉันเดินเข้ามา เห็นคุณนายกับพี่แจ่มยืนงงๆ อยู่ที่ล็อบบี้น่ะจ้ะ ก็เลยได้ขึ้นมาด้วยกัน”
อ๋อ...โต๊ด ติ่ง กะละแม พยักหน้าเข้าใจ ฉายตะวันพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
“ที่มาวันนี้...ฉันมีเรื่องสำคัญจะมาถาม” หันมามองกะละแม “หนูเป็นแฟนกับจักกายจริงหรือเปล่า”
กะละแมรีบปฎิเสธ ฉายตะวันนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น แจ่มนั่งอยู่ที่พื้นข้างๆ คอยรับใช้ กะละแม ติ่ง โต๊ด
แช่ นั่งรายล้อมอยู่
“ไม่จริงค่ะ เขาแค่สับสน ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วตัวเองชอบใครกันแน่”
“หมายความว่ายังไง” ฉายตะวันงงๆ
“คือ ... เรื่องของเด็กๆน่ะค่ะ คุณนายอย่าไปใส่ใจเลยค่ะ เอาเป็นว่าหนูกับเค้าไม่ได้เป็นอะไรกันค่ะ ที่มาอยู่ที่นี่ก็เพราะพวกเราทุกคนกำลังเดือดร้อน และที่นี่เป็นที่เดียว ที่เราพอจะอยู่ได้...” กะละแมเน้นคำ “ชั่วคราว…ค่ะ”
ฉายตะวันพยักหน้ารับรู้
กะละแมถามอย่างสุภาพ “ไม่ทราบว่าคุณนายมาหาหนูถึงที่นี่ มีอะไรหรือเปล่าคะ”
ฉายตะวันตอบยิ้มๆ ท่าทีเมตตา “ฉันจะมารับทุกคนไปอยู่ที่บ้านฉัน”
กะละแม ติ่ง โต๊ด ตุ้งแช่ตกใจ...หะ!
“เพราะชิณทำให้ทุกคนต้องเดือดร้อน ฉันต้องรับผิดชอบ”
“คุณชิณไล่ที่คนทั้งซอย ถ้าจะรับผิดชอบ คุณนายคงต้องรับผิดชอบคนทั้งซอย” กะละแมพูดตามความจริง ไม่ได้ตั้งใจกวนหรือประชด
ฉายตะวันยิ้มชื่นชม “หนูกะละแมนี่เป็นคนดีจริงๆ รู้จักห่วงใยคนอื่น หนูไม่ต้องห่วง ชาวบ้านหรอกจ้ะ ฉันให้คนดูแลจัดหาที่อยู่ให้เรียบร้อยแล้ว หนูสบายใจได้...” วกกลับเรื่องเดิม “ตกลงทุกคนย้ายไปอยู่กับฉันนะ”
“ให้นังกะละแมเป็นคนตัดสินใจก็แล้วกันครับ ว่าจะอยู่ที่ไหน พวกผมยังไงก็ได้”
กะละแมนิ่งคิด...นั่นดิ เอาไงดี?
ทุกคนหันขวับไปมองกะละแมรอฟังคำตอบ...กะละแมรู้สึกกดดันขึ้นมาทันที
ภาพโทฟู่อยู่กับจักกายแล้วมีความสุขผุดขึ้นในหัว กะละแม...ตัดสินใจได้บอกอย่างมั่นใจ
“หนูตัดสินใจแล้วค่ะ...หนูจะไปอยู่กับคุณนายค่ะ”
ฉายตะวันยิ้มอย่างพอใจ
สภาพของบ้านหลังเล็กในสวนหลังตึกใหญ่ บรรยากาศอบอุ่น เป็นกันเอง ไม่หรูหรา แต่น่าอยู่ ฉายตะวันเอ่ยขึ้น
“ฉันยกบ้านหลังนี้ให้เลย อยู่กันตามสบายนะจ๊ะ จัดข้าวของให้เรียบร้อย ถ้าต้องการอะไรเพิ่มก็บอกแจ่ม”
แจ่มยิ้มแฉ่ง ติ่ง โต๊ด ตุ้งแช่กะละแมยืนถือข้าวของเครื่องใช้เต็มสองมือ มองรอบๆ ด้วยความพอใจ
กะละแมวางของและยกมือไหว้ “ขอบคุณคุณท่านมากค่ะ”
ฉายตะวันรับไหว้ “ด้วยความยินดีนะ ไม่ต้องเกรงใจ แล้วเย็นนี้ไปทานข้าวที่เรือนใหญ่ด้วยกันนะจ๊ะ ฉันขอเลี้ยงต้อนรับ”
“ขอบคุณค่ะ” / “ขอบคุณครับ” ทุกคนประสานเสียง
ฉายตะวันเดินออกไป แจ่มตาม
ทุกคนมองไปรอบๆ ห้องคิดว่าจะอยู่ห้องไหน ความตื่นเต้นเริ่มน้อยลง ย้ายบ่อยเกิ๊น
“เอ๊า...ใครจะอยู่ห้องไหน ก็เลือกเอา” โต๊ดว่า
“พ่อเราไม่ต้องหาบ้านใหม่ ย้ายแบบนี้ไปเรื่อยๆ ก็ดีนะพ่อ” ตุ้งแช่บอก
“พูดถึงอยู่ที่นี่ก็ดี ฉันจะได้เจอคุณมิ้วบ่อยๆ” ติ่งยิ้มกว้างหันมาทางกะละแม “แกคิดถูกแล้วไอ้แม”
“ขอให้ฉันคิดถูกจริงๆ เถอะ”
กะละแมนึกถึงชิณแล้วอดหวั่นใจไม่ได้
เย็นนั้นชิณคุยโทรศัพท์อยู่ในห้องทำงาน ชิณโพล่งออกมาด้วยความตกใจ
“หะ...พวกสำนักทรงย้ายมาอยู่บ้านหลังเล็ก”
แจ่มคุยโทรศัพท์อยู่ในห้องรับแขก
“ใช่ค่ะ คุณท่านชวนทานข้าวเย็นนี้ด้วยค่ะ คุณท่านให้โทรมาถามว่า คุณชิณจะกลับมาทานด้วยกันหรือเปล่าคะ”
ชิณแววตาเจ้าเล่ห์
“กลับ! ฉันจะต้องกลับไปต้อนรับพวกนั้นด้วยตัวเอง”
ชิณวางสายหน้าแค้น นึกสนุก
“เธอแน่มากนะ กะละแม ถึงกับกล้าเข้ามาล้วงคองูเห่า แล้วเราจะได้เห็นดีกัน”
เย็นนั้นกะละแมเดินอยู่หลังบ้าน มองซ้ายมองขวาหาห้องครัว จนเจอแล้วจึงเดินเข้าไป
ส่วนภายในครัว แจ่มกำลังหยิบผักสด ปลา หมู ไก่ ออกมาจากตู้เย็นมากองไว้บนโต๊ะมากมายเพื่อเตรียมทำกับข้าวเลี้ยงต้อนรับครอบครัวกะละแม แจ่มทำครัวไปร้องเพลงไปตามประสา
“ยังโสด โสด อยู่ตรงนี้ คนโสด โสด” แจ่มคัฟเวอร์ในเวอร์ชั่นเสียงอีสาน
กะละแมเดินเข้ามาถามอย่างสุภาพ
“พี่แจ่ม มีอะไรให้แมช่วยไหมคะ”
แจ่มหยุดร้องเพลง ตกใจนิดๆ หันมา “อุ๊ย...ไม่ต้องช่วยค่ะ นี่มันงานของพี่แจ่ม เดี๋ยวพี่แจ่มทำเองค่ะ”
กะละแมขอร้อง “แต่แมไม่อยากอยู่บ้านคุณนายเฉยๆ ให้ช่วยทำอะไรก็ได้ แมทำได้ทุกอย่าง”
แจ่มแกล้งทำท่าลำบากใจนิดหน่อย “เอ้าๆ งั้นพี่แจ่มไม่ขัดศรัทธาก็แล้วกัน ให้ทำนิดๆ หน่อยๆ แค่นั้นนะ” แล้วโอกาสก็สั่งยาว “ช่วยพี่ล้างผัก หั่นผัก หั่นผักชี ซอยต้นหอม ปอกกระเทียม แล้วก็หั่นหมู หั่นไก่ แค่นี้ก็พอค่ะ เยอะไปหรือเปล่าคะ” สุ้มเสียงยังทำเป็นเกรงใจ
กะละแมตอบยิ้มๆ “ไม่ค่ะ แค่นี้สบายมาก”
“พี่แจ่มจะไปหุงข้าวนะคะ”
แจ่มเดินไปหุงข้าว กะละแมลงมือทำงานที่แจ่มบอกอย่างคล่องแคล่ว
เวลาเดียวกัน จักกายนั่งเซ็นเอกสารอยู่ที่โต๊ะทำงาน ศจีเดินเข้ามาในห้องสีหน้าเคร่งเครียด
“คุณกายคะ”
จักกายเงยหน้าขึ้นรอฟัง ศจียื่นกระดาษให้
“ดิฉันเจอกระดาษแผ่นนี้วางอยู่บนโต๊ะในห้องคุณกะละแม แต่ในห้องไม่มีคนและไม่มีของใช้ส่วนตัวของพวกเค้าหลงเหลืออยู่เลยค่ะ”
จักกายรีบรับไปอ่าน เห็นเป็นลายมือฉายตะวันเขียนบอกไว้
จักกายอ่านออกเสียง “ป้ามารับหนูกะละแมและครอบครัวไปอยู่บ้านป้า ป้าจะดูแลพวกเขาเอง ...ฉายตะวัน”
จักกายเงยหน้าขึ้นด้วยความไม่พอใจและแปลกใจ
“มาได้ยังไง”
แจ่มเสียบปลั๊กหม้อหุงข้าวเสร็จ แล้วก็หันกลับมาหากะละแม แจ่มเห็นกะละแมเตรียมทุกอย่างที่สั่งเสร็จแล้ว แจ่มมองตะลึงตาค้าง อึ้งและทึ่งเอามากๆ
“แม่เจ้า...เร็วมาก”
กะละแมอธิบาย
“แมทำกับข้าวให้น้าโต๊ด พี่ติ่ง ตุ้งแช่กินทุกวันตั้งแต่เด็กๆ แล้วก็เคยทำงานร้านอาหารตามสั่งด้วย”
“มิน่าล่ะ สั่งปุ๊บได้ปั๊บ” แจ่มอะเมซิ่งมั่กๆ
“เอ่อ...พี่แจ่มมื้อนี้แมขอโชว์ฝีมือเองได้หรือเปล่าคะ? แต่ถ้าพี่แจ่มไม่ไว้ใจ กลัวว่าแมทำแล้วคุณนายจะทานไม่ได้ ก็ไม่เป็นไรนะคะ แมอยู่เป็นลูกมือเฉยๆ ก็ได้ค่ะ”
“แหม..ไม่อยากจะบอกเลยว่าจริงๆแล้ว พี่แจ่มทำกับข้าวไม่ค่อยเป็นหรอกค่ะ ปกติจะมีป้าอีกคนเป็นแม่ครัวทำอาหารให้คุณท่าน แต่วันนี้ป้าแกลากลับต่างจังหวัด พี่ก็เลยต้องทำแทน ยังหนักใจอยู่เนี่ย แต่ดูจากการหั่นผักของคุณกะละแมแล้ว” แจ่มยิ้มแป้นขณะบอก “พี่แจ่มยกครัวให้ เอาไปเลยค่ะ พี่แจ่มไว้ใจ”
แจ่มเหมือนจะโยนงานให้ซะงั้น แต่กะละแมก็ยิ้มยินดี อยากทำอยู่แล้ว
“ขอบคุณค่ะ ว่าแต่...คุณนายชอบทานอะไรคะ”
“คุณท่านรักษาสุขภาพ ห่วงเรื่องไขมัน จะเน้นไปทางผัก อย่างผัดผักรวมของโปรดคุณท่านเลย แล้วก็ทุกอย่างที่ไม่เผ็ดค่ะ ส่วนคุณชิณ” ไม่ได้ถาม แต่อยากบอก “ต้องเป็นอะไรที่แซบๆ รสจัดๆ จี๊ดๆ”
กะละแมพึมพำ “ถึงว่า...ปากจัด”
แจ่มได้ยินไม่ถนัด “อะไรนะคะ”
“เปล่าค่ะ...แล้วคุณชิณกินรสจัดมากไหมคะ”
มือก็ทำปากแจ่มก็ตอบไปด้วย แจ่มเดินไปหยิบเหยือกน้ำส้มออกจากตู้เย็น แล้วรินใส่แก้ว จัดใส่ถาดเตรียมจะเอาออกไปให้ฉายตะวัน
“มากค่ะ...แบบเผ็ดควันออกหูเลยยิ่งดี โดยเฉพาะนี่เลย...ปลาช่อนแดดเดียวยำมะม่วง ของโปรดคุณชิณ พี่เตรียมเครื่องไว้แล้ว ว่าจะทำเย็นนี้ค่ะ”
กะละแมชะงักนิดหน่อย “คุณชิณจะกลับมากินข้าวเย็นด้วยเหรอคะ”
“กลับค่ะ พี่แจ่มโทรไปถามแล้ว กลับแน่นอนค่ะ คอนเฟิร์ม”
กะละแมทำหน้าอึดอัดนิดๆ แล้วเงียบไป ก่อนจะเอ่ยขึ้น
“คุณแมคะ พี่แจ่มขอเอาน้ำส้มไปให้คุณท่านแป๊บนะคะ แล้วจะรีบกลับมาช่วย”
“ค่ะ” กะละแมรับคำ
แจ่มยกถาดน้ำส้มออกไปแล้ว กะละแมหันมามองของที่วางอยู่ตรงหน้าแล้วก็พูดกับตัวเอง
“ลุย!!!”
เจ้าแม่จำเป็น ตอนที่ 8 (ต่อ)
ตอนเย็นวันเดียวกัน โทฟู่กำลังปิดกล่องกระดาษเก็บของใบสุดท้ายก่อนจะปาดเหงื่อ
“เฮ้อ...เสร็จสักที”
ด้านหลังโทฟู่เห็นกล่องที่แพ็คเสร็จแล้ววางอยู่ 5-6 กล่อง ข้างๆ กล่องเห็นอาม่านั่งตากพัดลมอยู่...เหนื่อยเอาการเหมือนกัน ระหว่างนั้นโทรศัพท์มือถือของโทฟู่ดังขึ้น
อาม่าทำเป็นไม่สนใจแต่แอบเหล่ดูเห็นเป็นชื่อและรูปจักกายขึ้นที่หน้าจอ อาม่าบ่นเบาๆ
“โทร.มาสามเวลาหลังอาหาร มันชักจะยังไงๆ อยู่นา”
โทฟู่รีบคว้าโทรศัพท์มากดรับสาย
“ฮัลโหล” โทฟู่พูดยิ้มๆ แอบเหล่อาม่า แล้วก็เดินออกไปคุยนอกห้อง
อาม่ามองตามโทฟู่...รู้สึกว่าอาการอินเลิฟของโทฟู่จะชัดขึ้นเรื่อยๆ
“คุยเรื่องอะไร ทำไมต้องเดินหนี”
อาม่ามองตาม จับพิรุธหลายสาวสุดๆ
โทฟู่...ตกใจอย่างแรงที่รู้เรื่อง
“หะ! ไอ้แมย้ายออกไปแล้ว”
น้ำเสียงจักกายที่ตอบ งงๆ “คุณไม่รู้เหรอ”
“ไม่รู้ ... ฉันเพิ่งรู้จากคุณนี่แหละ ไอ้แมมันย้ายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วไปอยู่ที่ไหน” โทฟู่ชักจะเป็นห่วงเพื่อน
จักกาย...สีหน้าและน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจขณะพูดต่อ
“ย้ายไปตอนกลางวัน ไปอยู่บ้านไอ้ชิณ”
โทฟู่ตกใจ “บ้านคุณชิณ”
“ผมไม่เข้าใจเพื่อนคุณจริงๆ ทำไมเค้าถึงไม่อยากอยู่กับผม หรือว่าผมทำอะไรผิด ทำอะไรให้เค้าไม่พอใจ เค้าถึงได้ย้ายออกกะทันหันแบบนี้”
โทฟู่ ได้ยินเสียงอ่อยๆ ของจักกายก็สงสาร ต้องปลอบใจอีกตามระเบียบ
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน คุณก็อย่าเพิ่งคิดมาก เอาไว้ฉันจะลองถามไอ้แมดู ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ถ้าได้เรื่องยังไงจะบอกคุณอีกทีนะ”
โทฟู่วางโทรศัพท์ แล้วนึกแปลกใจที่จู่ๆ กะละแมย้ายออกไม่ยอมบอก...เรื่องนี้ต้องมีลับลมคมในแน่ๆ
“ไอ้แมมันไปทำอะไรที่บ้านคุณชิณ”
โทฟู่แปลกใจสุดๆ
กะละแมตักปลาที่ทอดเสร็จแล้วลงวางไว้ในจาน แล้วปาดเหงื่อร้อง เฮ้อ...อย่างภูมิใจ
“สำเร็จ”
ระหว่างนั้นตุ้งแช่โผล่หน้าเข้ามาที่ประตูพร้อมทั้งสูดจมูกอย่างหอมหวน
“ห๊อม...หอมม”
กะละแมหันไปมอง “อ้าว...แช่ แหม...ตามกลิ่นมาเชียวนะ มาก็ดีแล้ว มาช่วยพี่สับมะม่วงหน่อย”
“ได้เลย” ตุ้งแช่เดินเข้ามาข้างใน มองหามะม่วง...ไม่เห็น “ไหนล่ะมะม่วง”
กะละแมหันมาหา “อ้าว...ไม่มีเหรอ” เดินไปเปิดดูในตู้เย็น “พี่แจ่มเอาไปไว้ไหนนะ”
สองคนช่วยกันหาสุดๆ แต่ก็หาไม่เจอ
“พี่แจ่มเอาไว้นะ..หรือว่าไม่ได้ซื้อมา”
ตุ้งแช่คิดแล้วก็นึกออก ยิ้มแป้น “พี่แม…แช่เห็นสวนหลังบ้านมีต้นมะม่วงออกลูกเพียบเลย เราไปเก็บมายำมั้ยพี่”
กะละแมหันมาถาม “ต้นมะม่วงในบ้านคุณนายเนี่ยนะ มีจริงๆ เหรอ”
กะละแมถามด้วยความแปลกใจ
ไม่นานนัก ตุ้งแช่พากะละแมมาถึงต้นมะม่วงที่ออกลูกดกพรึ่บ เต็มต้น
“นี่ไงพี่แม” ตุ้งแช่ภูมิใจนำเสนอ
“โห...งามว่ะ ปากตะกร้อทั้งนั้น ทำไมไม่มีคนกิน”
“โอ๊ย...คนรวยเขาไม่สนมะม่วงบ้านๆ แบบนี้หรอก”
“น่าเสียดาย ทิ้งไว้จะเน่าซะเปล่าๆ แช่ไปเอาตะกร้ามา พี่จะเก็บให้เรียบเลย”
“ตะกร้า ที่ไหนพี่”
“ก็ที่บ้านไง ลองไปหาดูสิ”
ตุ้งแช่วิ่งแจ้นไปทันที ส่วนกะละแหงนหน้ามองมะม่วง เล็งๆ ไว้หลายลูก แล้วจัดการปีนต้นมะม่วงอย่างคล่องแคล่ว
ขณะเดียวกันรถชิณแล่นเข้ามาจอดที่หน้าบ้าน ชิณก้าวลงจากรถ แล้วเดินดุ่ยๆ ไปทางบ้านหลังเล็กของกะละแมทันที
ด้านกะละแมอยู่บนต้นมะม่วง เด็ดลูกโน้นลูกนี้แล้วยัดใส่กระเป๋ากางเกง กระเป๋าเสื้อไว้...ท่าทางเมามันส์สุดๆ
ตุ้งแช่วิ่งมาที่บ้าน แหกปากมาแต่ไกล
“พ่อ! พ่อ! ขอตะกร้าหน่อย”
โต๊ดถือตะกร้าใส่ผ้าอยู่ในมือ ตุ้งแช่เข้ามาถึงก็แย่งเลย แต่โต๊ดไม่ยอมปล่อย
“ไม่ได้ พ่อจะเอาไปเก็บผ้าที่ตากไว้หลังบ้าน” ตุ้งแช่จะแย่งโต๊ดไม่ยอม “เอ็งจะเอาไปทำอะไร”
“จะเอาไปใส่มะม่วง พี่แมกำลังเก็บอยู่”
โต๊ดร้อง “หะ! เก็บมะม่วง แล้วมันเสือกทะลึ่งไปยุ่งอะไรกับมะม่วงเค้าวะ”
“พี่แมเค้าจะเก็บไปให้คุณนาย ยืมตะกร้าหน่อยนะพ่อ”
ตุ้งแช่กระชากตะกร้าวิ่งออกไป
“เฮ้ย นั่นมันตะกร้าผ้าพ่อ ไอ้แช่ เอาคืนมา พ่อจะไปเก็บผ้า”
ตุ้งแช่ไม่สน วิ่งตูดเชิดไป
“ไอ้ลูกเวร...”
โต๊ดส่ายหน้าระอาตุ้งแช่
กะละแมอยู่บนต้นมะม่วง...ยังเก็บมะม่วงอยู่อย่างเมามันส์...กะละแมมองต่ำลงมาแต่ไม่เห็นตุ้งแช่มาสักที
“ทำไมไม่มาสักทีวะไอ้แช่”
เก็บไปจนมะม่วงเริ่มเต็มกระเป๋า กะละแมเห็นลูกหนึ่งงามมาก เอื้อมมือพยายามจะเก็บให้ได้...ยืดแขนสุดแรง
ระหว่างนั้นชิณเดินมาใต้ต้นมะม่วงพอดี๊..พอดี...และทันใดนั้น...มะม่วงก็หล่นลงมาใส่หัวชิณดัง โป๊ก!!!
ชิณร้อง “โอ้ย”
กะละแมตกใจ...ก้มลงดู
“เสียงใคร”
ชิณก็ตกใจ...เงยหน้าขึ้นมอง
สองคนมองเห็นกันและกัน...แล้วต่างคนก็ต่างร้องด้วยความตกใจพร้อมกัน
“เฮ้ย”
กะละแมตกใจเสียหลักจะพลัดตกลงมา โงนเงนๆ
“เหวอ”
ชิณที่อยู่ข้างล่างกางแขนรับอัตโนมัติ เล็งซ้ายเล็งขวารอรับกะละแม...พร้อมกับแหกปากร้องลั่น
“เฮ้ยๆ ระวังๆๆๆ”
ไม่ทันแล้ว กะละแมร่วงลงมาแล้ว แถมหล่นลงบนตัวชิณดังโครม!
กะละแมตกอยู่ในอ้อมกอดของชิณแบบเต็มๆ ล้มกลิ้งกันไปทั้งคู่...แล้วกะละแมก็ทับอยู่บนตัวชิณพอดี๊พอดี...สองคนจ้องตากันอึ้งๆ
ตุ้งแช่ถือตะกร้าเดินเข้ามาเห็นพอดีก็ชะงักตกใจ ตุ้งแช่ตาค้างเมื่อเห็นภาพเด็ด กะละแมทับอยู่บนตัวชิณ ตุ้งแช่กลืนน้ำลายเอื๊อก...เอาไงดีวะ
“เฮ้ย ท่านี้...ชัดเลย!”
กะละแมกับชิณหันมาเห็นตุ้งแช่ก็สะดุ้งพรวดตกใจ เด้งตัวออกจากกันแทบไม่ทัน ทำหน้าไม่ถูกทั้งคู่
“แช่ไปก่อนดีกว่า...แช่ไม่รู้ แช่ไม่เห็นอะไรทั้งนั้นนะจ้ะ แหะๆ” ตุ้งแช่รีบถอยหลัง แล้ววิ่งกลับไปบ้านเล็ก
กะละแมกับชิณมองหน้ากันเลิ่กลั่กอายๆ...ความรู้สึกหวั่นไหวแปลกๆ เกิดขึ้นในใจของทั้งคู่ยามนั้น
ระหว่างนั้นฉายตะวันเดินออกมาเห็นรถชิณจอดอยู่ก็แปลกใจ
“อ้าวทำไมวันนี้ชิณกลับเร็ว...เอ..แล้วหายไปไหนแล้ว”
สีหน้าฉายตะวันฉุกคิด แล้วตกใจนึกว่าชิณไปหาเรื่องกะละแมแน่ๆ...ไม่ได้การละ
ชิณรวบรวมสติได้ก่อนก็ลุกขึ้น ปัดเนื้อปัดตัว แล้วก็เริ่มใส่เลย
“พวกเธอยกโขยงกันเข้ามาอยู่ในบ้านฉันได้ยังไงหะ นี่คงจะหลอกแม่ฉันให้พามาอีกล่ะสิ”
“ฉันรู้อยู่แล้วว่าคุณต้องคิดแบบนี้”
“แล้วมันจริงหรือเปล่าล่ะ”
“ไม่จริง”
ชิณสวน “ไม่เชื่อ”
กะละแมกลอกตาหน่ายๆ
จู่ๆ เสียงฉายตะวันดังขึ้น
“ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เพราะแม่เป็นคนชวนพวกเขามาเอง”
ชิณหันไป เห็นฉายตะวันเดินมาร่วมวงสนทนา
“แม่ล้อผมเล่นใช่มั้ยครับ”
“แม่ไม่ได้ล้อเล่น แม่พูดจริง แม่ชวนหนูกะละแมมาอยู่ที่นี่เอง” หันมาทางกะละแมแล้วก็ตกใจ “อ้าว..หนูกะละแมไปทำอะไรมา ทำไมถึงมอมแมมแบบนี้”
“หนูปีนขึ้นไปเก็บมะม่วง แล้วตกลงมาค่ะ”
“ตายแล้ว! แล้วเจ็บตรงไหนบ้างหรือเปล่า ไหนดูซิ”
ฉายตะวันรีบเข้าไปจับเนื้อจับตัวกะละแมด้วยความเป็นห่วง
ชิณมองตามด้วยความหมั่นไส้
“กระดูกเหล็กแบบนี้จะเป็นอะไรครับ ผมสิแย่ โดนทับเต็มๆ กระดูกหักหรือเปล่าก็ไม่รู้”
“เราเป็นผู้ชายจะเป็นอะไร” ฉายตะวันไม่สนใจลูกชายเล้ย “นี่แล้วหนูจะเก็บมะม่วงไปทำอะไร เห็นแจ่มว่าทำกับข้าวอยู่ในครัวไม่ใช่เหรอ”
ชิณชะงักกึก
“หนูจะเอาไปทำปลาช่อนแดดเดียวยำมะม่วงค่ะ เห็นพี่แจ่มบอกว่ามีใครบางคนชอบกิน” กระแทกเสียงใส่ “ทำคุณบูชาโทษแท้ๆ เลย” กะละแมบ่นงึมงำ
ชิณมองเหล่ๆ ไม่ไว้ใจ
“โถๆๆ จะทำให้ชิณน่ะสิ ดูซิ เพราะชิณแท้ๆ เลย หนูกะละแมเลยต้องเจ็บตัว”
น่านโดนอีกชิณเซ็ง
“อ้าว...มาโทษผมได้ไงครับแม่”
“ไม่ต้องมาพูด” ฉายตะวันหันไปถามกะละแม “ไปหาหมอมั้ยจ๊ะ”
ชิณอึ้ง ก่อนจะระบายอารมณ์ใส่แม่ “แค่ตกต้นไม้ลงมาทับผมเนี่ย คงไม่ทำให้ใครตายได้หรอกครับแม่ ว่าแต่แม่เถอะ ไม่เห็นบอกผมสักคำเลยว่าจะให้พวกนี้ย้ายเข้ามาอยู่บ้าน...ในฐานะเจ้าของบ้านคนนึง ผมคิดว่าผมควรจะรู้ และมีส่วนร่วมในการตัดสินใจว่าจะให้คนอื่นเข้ามาอยู่ได้หรือไม่”
กะละแมกับฉายตะวันอึ้งกันไป
ด้านติ่งกับโต๊ดเดินถือผ้าที่ซักแล้วมาเต็มสองแขน
“ทำไมน้าไม่เอาผ้าพวกเนี้ยใส่ตะกร้า ให้ฉันหอบมาทำไมเนี่ย เปียกก็เปียกหนักก็หนัก” ติ่งบ่นอุบ
“ข้าซักให้ก็บุญแล้ว แค่ให้ช่วยถือมาตากนิดๆหน่อยๆ ทำเป็นบ่นไปได้ อยากซักเองหรือไง หะ”
“งั้นไม่บ่นแล้วจ้ะ หุบปากสนิทเลย กริบ! แหะๆ”
ทันใดนั้นตุ้งแช่ถือตะกร้าวิ่งถลาเข้ามา ด้วยสีหน้าแปลกๆ เหวอๆ
ติ่งตกใจเกือบชนกัน “เฮ้ยย... ไอ้แช่ระวังสิเว้ย”
“ขะ..ขอโทษจ้ะ ขอโทษ” ตุ้งแช่หลุกหลิกแปลกๆ
“เป็นอะไรไอ้แช่ ทำหน้าอย่างกับไปเจอผีมา แล้วไหนว่าจะเอาตะกร้าไปช่วยนังกะละแมเก็บมะม่วง ไหนวะมะม่วง” โต๊ดจับพิรุธลูกชายวัยแสบ
“ก็พี่มะ..มะ...แม...แม...เค้า...เค้า” ตุ้งแช่พูดไม่ออก
“อะไรของเอ็งวะไอ้แช่ ติดอ่างอยู่ได้ มีอะไรก็พูดมาสิ”
โต๊ดจ้องหน้าตุ้งแช่เขม็ง ตุ้งแช่อึกอักไม่รู้จะพูดยังไง
ขณะเดียวสงครามใต้ต้นมะม่วงยังไม่จบง่ายๆ
“แค่ช่วยคนเดือดร้อนมันจะอะไรกันนักกันหนาล่ะชิณ บ้านเราก็ปิดไว้เฉยๆ ให้เค้ามาอยู่ชั่วครั้งชั่วคราวแค่นี้ มันจะเป็นอะไรไป อย่าใจแคบไปหน่อยเลย”
“ผมไม่ได้ใจแคบ แม่ต่างหากที่ใจกว้างเกินไป เลยตกเป็นเหยื่อของคนลวงโลกพวกนี้”
กะละแมชะงัก อึ้ง ฉายตะวันขึ้นเสียง
“ชิณ”
ก่อนจะเกิดศึกคู่แม่ลูกต่อไป กะละแมก็รีบแย่งพูดขึ้น
“เอ่อ คุณนายคะ หนูว่า...พวกหนูย้ายออกไปดีกว่าค่ะ จะได้ไม่ต้องมีใครลำบากใจ แล้วก็ทะเลาะกันเพราะเรื่องนี้” กะละแมลำบากใจจริงๆ
“ไม่ต้องไปหรอกจ้ะ...ในฐานะที่ฉันเป็นเจ้าของบ้าน ฉันอนุญาตให้อยู่ได้ ก็คืออยู่ได้” กะละแมพูดจริงจังกับชิณ “แม่พูดไปแล้วก็ต้องทำตามนั้น กลับคำไปมา ต่อไปใครเค้าจะเชื่อถือ อย่าให้แม่ต้องกลืนน้ำลายตัวเองเลยนะชิณ”
ชิณขบกรามแน่นด้วยความไม่พอใจ
“ในเมื่อแม่พูดขนาดนี้ผมจะไปทำอะไรได้” พูดประชดส่งๆ “งั้นก็เชิญอยู่ตามสบาย คิดซะว่าเป็นบ้านของตัวเองก็แล้วกัน”
ชิณพูดจบก็เดินไป ผ่านหน้ากะละแมก็หยุดไซโคก่อนพูดเสียงกระซิบ “อยู่ใกล้ๆกันก็ดี..ฉันจะได้แฉเธอได้ง่ายๆ หน่อย...อย่าพลาดก็แล้วกัน” แล้วเดินหนีไป
กะละแมจ๋อยเลย ฉายตะวันรีบพูดปลอบใจ
“อย่าคิดมากนะหนูกะละแม หนูอยู่ที่นี่ต่อไปได้ เชื่อฉัน”
กะละแมยิ้มเจื่อนๆ ฉายตะวันเดินเข้าบ้านไปอีกทาง กะละแมตัวเหี่ยวหน้าเครียดเคร่ง รู้สึกผิดที่เป็นตัวปัญหาให้สองแม่ลูก
ด้านติ่งสังเกตเห็นว่าหน้าตาตุ้งแช่แปลกๆ ก็พยายามคาดคั้น
“ไปรู้ ไปเห็นอะไรมา เล่ามาเดี๋ยวนี้ไอ้แช่”
“เอ่อ..ก็...แช่เห็นพี่แมกับคุณชิณเค้า...อะจึ๋ยๆ กัน”
โต๊ดกับติ่งงงกิน
“อะไรของเอ็งวะ อะจึ๋ยๆ”
“ฉันพูดมากไม่ได้ เอาไว้ถามพี่แมเอาเองแล้วกัน”
ตุ้งแช่ตัดบทแล้วรีบเดินหนีโต๊ดกับติ่งไป
พอถูกน้ากับพี่ซัก กะละแมพูดหน้านิ่ง แต่แอบมีพิรุธ
“ไม่มีอะไร”
สาม ต. โต๊ด ติ่ง ตุ้งแช่ร้องพร้อมกัน “อ้าว”
โต๊ด ติ่ง ตุ้งแช่ นั่งหน้าหน้าสลอนอยู่ที่โต๊ะกินข้าว มองกะละแมตาไม่วางตา...กลางโต๊ะมีฝาชีปิด
กับข้าวไว้
“ฉันไม่เชื่อ ไอ้แช่มันบอกว่าเห็นแกกับคุณชิณ อะจึ๋ยๆ กันอยู่” ติ่งทำท่าทางทะลึ่ง “...ทำอะไรกัน บอกมา”
กะละแมฉุน ตบหัวตุ้งแช่...ป๊าบ!
ตุ้งแช่ร้อง “โอ๊ย”
“นี่แน่ะไอ้แช่ อะจึ๋ยๆ บ้าบออะไรของแก”
ตุ้งแช่หน้าเสียได้แต่ก้มหน้างุด ไม่กล้าสบตา โต๊ด กะติ่งจ้องหน้ากะละแมไม่วางตา...จะเอาคำตอบให้ได้
“น้าโต๊ด พี่ติ่งไม่ต้องมองฉันแบบนี้ ฉันบอกว่าไม่มีอะไรก็ไม่มีอะไรสิ”
“ถ้ามันไม่มีอะไรเอ็งก็เล่ามาสิวะ”
“ก็มันไม่มีอะไร แล้วน้าจะให้เอาอะไรมาเล่า” กะละแมรีบทำท่าโมโหกลบเกลื่อน “ถามไร้สาระกันอยู่ได้ ตกลงจะกินข้าวกันไหม”
โต๊ด ติ่ง ตุ้งแช่ สะดุ้งไปกับความดุของกะละแม
“กะ...กะ...กินจ้ะ” ตุ้งแช่บอกก่อนใคร
กะละแมเปิดฝาชีออก...เห็นกับข้าวเป็น น้ำปลาพริก ไข่ต้ม ผักริมรั้ว น้ำพริกตาแดง โต๊ด ติ่ง ตุ้งแช่ มองกับข้าวหงอยๆ
“มีแค่เนี้ยะ” โต๊ดคราง
“นั่นสิ..ไอ้แมทำไมเราไม่ไปกินข้าวกับคุณนายฉายตะวันตามคำเชิญ ทำไมเราต้องมานั่งกินข้าวกับไข่ต้มแบบนี้ด้วยหะ”
กะละแมตัดบท “กินๆไปเถอะน่า แค่นี้ก็รบกวนเค้ามากพอแล้วฉันไม่อยากให้เค้าเดือดร้อน”
“เฮ้ย แค่กินข้าว คุณนายเค้าไม่เดือดร้อนหรอกเว้ย” โต๊ดโวยวาย
“เอาเถอะน่า เอาเป็นว่าฉันไม่อยากไปรบกวนเค้าให้คนอื่นดูถูกแค่นั้นก็พอ”
กะละแมตักข้าวเสิร์ฟ
จานข้าว 4 ใบวางอยู่บนโต๊ะ มีไข่ต้มอันแสนรันทดวางอยู่กับเครื่องชูรสถ้วยน้ำปลา สามคนกระแทกกระทั้น...อารมณ์ไม่ดีสุดขีด!
เจ้าแม่จำเป็น ตอนที่ 8 (ต่อ)
เมนูที่บ้านโต๊ด แตกต่างลิบลับกับที่โต๊ะอาหารบ้านชิณ ตระการตาไปด้วยอาหารผัดผักรวม กุ้งแม่น้ำ ปลาช่อนทอดยำมะม่วง และอื่นๆ อีก 2-3 อย่าง ดูอลังการต่างจากไข่ต้ม ผักลวกจิ้มน้ำปลาพริกมากมาย
แจ่มจัดจานอยู่ ฉายตะวันเดินเข้ามาพร้อมชิณ ฉายตะวันเห็นจานสองชุดก็แปลกใจ
“ทำไมจัดจานแค่สองที่ล่ะแจ่ม ฉันบอกแล้วไงว่าจะให้หนูกะละแมกับญาติๆ มากินด้วย”
ชิณชักสีหน้าไม่ชอบใจที่ฉายตะวันจะให้กะละแมมากินข้าวด้วย แต่ไม่พูดอะไร
“คุณกะละแมบอกว่าจะไม่มาทานที่นี่ค่ะ”
ชิณแอบยิ้ม...กะละแมไม่มาก็ดีแล้ว
“ทำไม” ฉายตะวันฉงน
“ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ คุณกะละแม่ไม่ได้บอกค่ะ”
ฉายตะวันเหลียวขวับมาทางชิณฟึ่บ! ชิณสะดุ้งโหยง...งานเข้าตูแน่ๆ
“ชิณไปตามหนูกะละแมกับทุกคนมากินข้าวไป”
ชิณอึ้ง “ผมเนี่ยนะ”
ฉายตะวันพยักหน้าหนักแน่น “ใช่”
“ไม่มีทาง! เค้าไม่มาก็ช่างเขาสิครับแม่ ไม่เห็นต้องไปง้อเลย เรากินกันสองคนก็ได้”
ชิณโอบฉายตะวัน พาไปนั่งที่โต๊ะเอาใจแม่เต็มที่
“ที่หนูกะละแมไม่มากินข้าวที่นี่ก็เพราะชิณไปว่าเค้า เค้าก็คงจะเกรงใจ ลำบากใจไม่อยากมา” ฉายตะวันสั่ง “เพราะฉะนั้นชิณต้องเป็นคนไปเรียกเค้ามากินข้าว”
ชิณคราง “โธ่แม่”
ฉายตะวันงอนลูกชาย “ถ้าชิณไม่ไปตามหนูกะละแมมากินข้าวด้วยกัน แม่ก็ไม่กิน”
ชิณสะอึก...ไรวะไปกันใหญ่ “ขนาดนั้นเลยเหรอแม่”
“ใช่ ขนาดนี้แหละ” ฉายตะวันเลิกคิ้วถาม “จะไปไม่ไป”
ชิณเห็นแม่ท่าทางเอาจริง ก็จำใจต้องยอม
“โอเคๆ ผมไปตามให้ก็ได้ แต่เค้าจะมาหรือไม่มาผมไม่รู้นะครับ”
“ก็ตามมาให้ได้สิ ถ้าตามมาไม่ได้ แม่ก็ไม่กินจริงๆ ด้วย” ฉายตะวันเน้นคำท้ายประโยค
ชิณกัดฟันพูด “ครับ ผมจะพยายาม...เพื่อแม่”
ชิณเดินออกไปตามกะละแมอย่างไม่เต็มใจ
ด้านกะละแม ติ่ง โต๊ด และตุ้งแช่กำลังกินข้าวกับไข่ต้ม น้ำปลา น้ำพริก ผักริมรั้วกันแบบฝืนๆ ฝืดๆ
โต๊ดบ่นเอากับกะละแม “เพราะความหยิ่งยโสของเอ็งคนเดียว ทำให้ญาติพี่น้องต้องอดลาภปากไปด้วย”
“อย่าบ่นเลยน้า แค่มาอยู่บ้านเขาฟรีๆ ก็เกรงใจจะแย่อยู่แล้ว น้ายังจะกล้าไปกินของเขาอีกเหรอ”
โต๊ดทำหน้าเซ็งๆ ตุ้งแช่งเขี่ยข้าวแล้วก็พูดเสียงเฉาๆ
“แต่แช่อยู่ในวัยกำลังเจริญเติบโตนะพี่แม ต้องการอาหารดีๆ ไปบำรุงสมอง ไม่ใช่แค่ไข่ต้ม ผักน้ำพริก ขืนกินแบบนี้ทุกวัน สมองแช่คงฝ่อ เทอมนี้เกรดต้องตกแน่ๆ”
ตุ้งแช่เครียดจริงอะไรจริง
กะละแมมองตุ้งแช่แล้วก็สงสารน้องจับใจ
ขณะเดียวกันนั้น ชิณเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าบ้านหลังเล็ก แล้วคิดว่าจะเข้าหรือไม่เข้าดี แล้วก็ตัดสินใจเดินเข้าไป
ครู่ต่อมาชิณเดินเข้ามาในบ้านหลังเล็ก แล้วยืนเก๊กมาดอย่างท่านชายสุดฤทธิ์ กะละแม ติ่ง โต๊ด และตุ้งแช่ นั่งล้อมวงกินข้าวกันอยู่ ไม่มีใครเห็นชิณ
“กินๆ เข้าไปเหอะน่า ถึงอาหารจะไม่ดี แต่ก็ไม่มีใครมาดูถูกหาว่าเราไปขอเค้ากิน โดยเฉพาะคนที่เค้ามองเราในแง่ร้าย ทำอะไรก็ผิดไปหมด หน้าเหมือนมะม่วงแล้วยังจะใจแคบอีก”
ชิณสะอึก… “ด่ากรูนี่” ชิณยืนจี๊ดอยู่ทนไม่ได้เลยกระแอมเสียงดัง
“อะแฮ่มๆๆ”
ทุกคนหันมาตามเสียงชิณอย่างพร้อมเพรียงกันโดยมิได้นัดหมาย หมู่มวลตกใจยิ่งกว่าเห็นผี
“คุณชิณ”
“ใช่ ฉันเอง จะตกใจอะไรกันนักกันหนา... แต่ก็อย่างว่าอ่ะนะ พวกวัวสันหลังหวะ” ชิณหัวเราะหึๆ
กะละแมเซ็งจิต “จะมาหาเรื่องอะไรฉันอีกคะ”
ชิณเดินเข้ามาใกล้ทุกคนอีกนิด แต่ยังเก๊กเป็นท่านชายอยู่พูดใส่กะละแม
“ฉันไม่ได้ว่างมาทำเรื่องไร้สาระขนาดนั้น ที่ฉันมาเพราะแม่ให้มาตามเธอกับทุกคนไปกินข้าวที่ตึกใหญ่”
ติ่ง โต๊ด ตุ้งแช่ ได้ยินก็ตาลุกวาว พากันผลักจานข้าวของตัวเองออกห่าง แล้วลุกขึ้นพร้อมกัน...พรึ่บ!!!
สาม ต. ติ่ง โต๊ด ตุ้งแช่ ประสานเสียง “ไปครับไป”
กะละแมรีบลุกมาแล้วเอามือกันไว้ “ไปไม่ได้”
สาม ต. ร้อง “เฮ้ยย” หันขวับ “ทำไมอ่ะ”
ชิณมองหน้า “นั่นสิ…ทำไม”
“ก็...พวกเรามีกับข้าวกินแล้ว ฝากขอบคุณคุณนายด้วยที่มีน้ำใจ เรากินแค่นี้ก็พอ”
ติ่ง โต๊ด ตุ้งแช่ ไม่ยอม รีบโวยวายพร้อมกัน
“แค่ไข่ต้มจะไปพออะไรวะไอ้แม” ติ่งโวยก่อน
โต๊ดตาม “ใช่ มีแค่ 4 ฟอง คนละฟองก็หมดแล้ว”
ตุ้งแช่ปิดขบวน “ฉันต้องใช้พลังงานในการอ่านหนังสือ และสารสมองไปผลิตเซลส์สมองนะพี่แม แค่ไข่ไม่พอหรอก”
“แต่...” กะละแมยังไม่ทันจะได้พูดจบ
ชิณได้ทีรีบใส่ไฟ “งั้นเอาอย่างนี้...ในเมื่อกะละแมไม่อยากไปก็ไม่ต้องไป เราไปกินกันเองก็ได้ ดีซะอีก...จะได้คุยอะไรอะไร” ทำหน้าเจ้าเล่ห์ “กันได้สะดวกๆ ฉันมีเรื่องอยากจะถามเยอะเลย..โดยเฉพาะเรื่องของ…” ชิณปรายตามาทางกะละแม “เจ้าแม่”
กะละแมสะอึก…งานเข้าเลยตู
โต๊ดดันไปรับคำ “ครับๆๆ ได้ครับ ด้วยความยินดีเลยครับ”
“งั้นเชิญครับ...คืนนี้ยาวแน่”
ชิณพูดกวนๆ ตั้งใจให้กะละแมร้อนใจเล่นๆ
ทุกคนกำลังจะเดินออกไป กะละแมก็โพล่งออกมาตัดสินใจได้
“เดี๋ยว! ฉันเปลี่ยนใจแล้ว...ฉันไปก็ได้”
ชิณ…สะใจ หันมาทางกะละแมที่ยืนอยู่
สองคนมองสู้สายตากัน..ไม่มีใครยอมใคร
อาหารวางเต็มโต๊ะ ติ่ง โต๊ด ตุ้งแช่ มองแล้วแอบกลืนน้ำลายเอื๊อก...ช่างต่างกับอาหารที่จะกินเมื่อกี้ราวฟ้ากับเหว กะละแมนั่งใกล้ชิณ ทำตัวลีบเล็ก ระวังตัวไม่รู้ว่าจะถูกชิณกัดอะไรอีก
“ขอบใจทุกคนที่มานั่งทานข้าวเป็นเพื่อนฉัน เดี๋ยวกินกันเยอะๆ นะ ไม่ต้องเกรงใจ” ฉายตะวันหันมาทางแจ่ม “แจ่มตักข้าว”
แจ่มตักข้าวเสิร์ฟให้ทุกคน
“วันนี้มีแขกนั่งเต็มโต๊ะ ไม่ค่อยคุ้นเลยนะครับ รู้สึกเหมือนไม่ใช่บ้านตัวเอง รู้สึกเหมือนโรงทานยังไงชอบกล”
เจอคำพูดชิณดอกนี้ กะละแมสะดุ้ง โต๊ดยิ้มเจื่อนๆ แล้วพูดแก้เก้อ
“แหม...คุณชิณเนี่ย มีอารมณ์ขันจังนะครับ”
ฉายตะวันพูดกับชิณ “วันนี้หนูกะละแมโชว์ฝีมือทำกับข้าวเองด้วยนะชิณ”
ชิณหันมามองกะละแม “เธอทำกับข้าวพวกนี้เหรอ”
“ค่ะ” กะละแมพยักหน้า
“ฉันจะไว้ใจได้ยังไงว่าเธอไม่ได้แอบใส่อะไรลงไปในอาหาร ฉันเคยได้ยินว่า พวกเธอมียาเสน่ห์ น้ำมันพรายอะไรพวกนั้นด้วยไม่ใช่เหรอ”
กะละแมหมั่นไส้ตอกกลับ “ไหนคุณบอกว่าไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ไง ถ้าไม่เชื่อก็ไม่เห็นต้องกลัว และถ้าฉันมียาเสน่ห์จริงๆ ก็ไม่รู้จะใส่ให้คุณกินทำไม เสียของเปล่าๆ”
ติ่งกับตุ้งแช่ได้ยินกะละแมว่าชิณก็ขำคิกคัก แต่โต๊ดตบหัวให้เงียบ ติ่งกับตุ้งแช่พยายามกลั้นหัวเราะ ฉายตะวันอมยิ้มชอบใจ
ชิณกับกะละแมประสานสายตาอย่างไม่มีใครยอมใคร ฉายตะวันตัดบท
“ฉันว่าเราเริ่มกินกันเถอะจ้ะ...อาหารเย็นหมดแล้ว”
โต๊ด ติ่ง และตุ้งแช่ พยักหน้ารับเชิญทันที “ครับๆ”
ทุกคนเริ่มลงมือกิน ยกเว้นชิณที่ยังมีอคติ ทำเหมือนไม่อยากจะกิน
ฉายตะวันตักอาหารเข้าปากแล้วก็เคี้ยวช้าๆ แววตาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นตื่นตะลึง อเมซิ่ง
“อร่อยมาก...หนูนี่ผัดผักเก่งนะ ผัดได้กำลังดี ไม่สลบ กรอบ แต่นุ่ม นี่ขนาดเย็นแล้วยังอร่อยอยู่เลย...เก่งมาก”
กะละแมยิ้มรับเขินๆ “ขอบคุณค่ะ”
ชิณไม่เชื่อ แดกดันอีก “กะอีแค่ผัดผัก มันจะอะไรนักหนาครับคุณแม่...ผมว่าคุณแม่คงหิวมาก ก็เลย.. คิดไปเองว่ามันอร่อยๆ จริงมันก็ไม่เท่าไหร่หรอกครับ” ส่ายหน้าขำๆ ไม่เชื่อ พร้อมกับตักปากช่อนทอดยำมะม่วงเข้าปาก...แล้วก็เคี้ยว ทันใดนั้นชิณก็อึ้งไป กับความกลมกล่อม อื้อออออ...อร่อยจริงด้วยเว้ยเฮ้ย
ฉายตะวันมองหน้าลูกชาย กะละแมแอบลุ้นไม่รู้ตัว
“เป็นไงล่ะ..อร่อยใช่หรือเปล่า”
“อืออ อ…” ชิณเกือบจะหลุดว่ามันอร่อย แต่ก็ชะงักกึก...หยุดไว้ กลืนอาหารแล้วทำหน้าปกติเนียนโคตรๆ “มันก็...งั้นๆน่ะ รสชาติทั่วไป ไม่ได้จะอร่อยเว่อร์อะไรมากมาย....ธรรมด๊า !! นี่ถ้าผมไม่หิว ไม่เสียดายของ อย่าหวังเลยว่าจะแตะ”
ว่าแล้วชิณก็จ้วงตักปลาช่อนราดยำมะม่วงแล้วก็เคี้ยวตุ้ยๆๆๆๆ อร่อยจนหยุดไม่ได้ พูดไป กินไป
“ที่กินเนี่ยเพราะไม่อยากเหลือต้องทิ้ง ไม่อยากให้ปลาตายเปล่า ก็แค่ทอดไม่อมน้ำมัน กรอบนอกนุ่มใน ยำมะม่วงรสชาติกลมกล่อม รสจัด เผ็ดเปรี้ยวนำ เลือกมะม่วงได้ดี มันก็แค่นั้น..ไม่เห็นจะอร่อยวิเศษวิโสอะไรแม้แต่นิดเดียว” ชิณอ้ำอีก....ตักเข้าปากคำใหญ่มากก
ทุกคนมองชิณแล้วก็อึ้ง คือ ปากกับการกระทำต่างกันสิ้นเชิง !!
แจ่มแทรกขึ้นแบบพาซื่อ “โห…นี่ขนาดไม่อร่อยนะคะเนี่ย คุณชิณทานไม่หยุดเลย”
ชิณชะงักกึก อมอาหารที่อยู่เต็มปากแก้มตุ่ย....มองหน้าทุกคนที่กำลังมองอยู่
รีบทำเก๊กดุกลบเกลื่อน “มองอะไร..กินสิ”
โต๊ด ติ่ง ตุ้งแช่ประสานเสียงอีก “ครับๆๆ” / “กินครับๆ” / “เฮ้ย กินกิน”
ทุกคนก้มหน้ากิน ทำเป็นไม่สนใจชิณ...กะละแมอมยิ้มนิดๆ ชิณเก๊กแล้วก็ลดระดับความตื่นเต้นในการกินลง พยายามทำเป็นปกติ
ฉายตะวันมองแล้วก็ขำนิดๆ...หึๆๆๆ สมน้ำหน้า
หลังจากนั้นไม่นาน จานชามถูกแจ่มวางลงในอ่างล้างจาน แจ่มหันมาเจอกะละแมยกจานตามมาอีกชุดก็เกรงใจ
“อุ๊ย...คุณกะละแมไม่ต้องค่ะ พี่แจ่มทำเอง”
“ไม่เป็นไรค่ะ แมอยากช่วย” กะละแมเตรียมล้าง “แมล้างให้นะ”
“แหม..จะดีเหรอคะ...แต่ก็ได้ค่ะ... เพราะเห็นคะยั้นคะยอนะถึงยอมให้ช่วย” แจ่มบอก
กะละแมงง “เมื่อกี๊คะยั้นคะยอแล้วเหรอคะ” พร้อมกับหัวเราะแห้งๆ “แหม...ไม่รู้ตัวเลยนะคะเนี่ย”
“ตกลงจะล้างมั้ยคะ” แจ่มทำซื่อถาม
“ล้างค่ะล้าง เดี๋ยวแมล้างให้เองค่ะ พี่แจ่มไปพักผ่อนเถอะค่ะ”
แจ่มยิ้มรับ “งั้นพี่แจ่มไปดูแลคุณท่านก่อนนะ ก่อนนอนคุณท่านชอบให้พี่นวด พี่ไปก่อนนะ ขอบใจจ้ะ”
“ค่า...” กะละแมลากเสียงยาวพร้อมกับยิ้มรับด้วยความเต็มใจ
แจ่มเดินจากห้องครัวไป กะละแมหันมามองจาน ชามกองโต แล้วก็เริ่มลงมือล้างด้วยความเต็มใจ
คล้อยหลังแจ่ม เห็นชิณค่อยๆ เดินออกมา มองซ้ายมองขวา เห็นว่าปลอดคนก็เดินเข้าตรงไปที่ห้องครัว
ชิณจิกตายิ้มร้ายอย่างหมายมาด…กะละแมเธอโดนเอาคืนแน่ๆ
ขณะที่กะละแมล้างจานอย่างเพลิดเพลินอยู่นั้น เสียงชิณดังขึ้น
“จะแสดงเป็นคนดีไปถึงไหน”
กะละแมตกใจหันมาพร้อมกับมือที่เต็มไปด้วยฟองน้ำยาล้างจาน
“ว้าย”
ฟองจากน้ำยาล้างจานกระเด็นเข้าหน้าชิณเต็มเปา ฟองฟอด
กะละแมตกใจเอามือที่เปรอะอยู่แล้วมาป้ายหน้าอีก “ขอโทษๆๆๆ ฉันขอโทษ ฉันตกใจ ไม่ได้ตั้งใจ” ยิ่งป้ายยิ่งเลอะไปกันใหญ่
“เฮ้ยยยยย ...พอแล้ว หยุดดดด..ฉันแสบตาไปหมดแล้ว...เอามือออกไป”
ชิณโวยวายพลางโบกมือไปมาทั้งที่แสบๆ มือชิณป้ายแปะไปโดนหน้าโดนตาโดนตัวกะละแม ป้ายไปมากลายเป็นกอดกะละแมเข้าเต็มเปา กะละแมทั้งตกใจ ทั้งอาย กะละแมร้องลั่น
“นี่คุณ...มากอดฉันทำไมเนี่ย ? ปล่อยนะ” กะละแมรีบดันตัวชิณออก
ชิณโวยกลับ “ฉันไม่ได้อยากจะกอดเลยนะ ฉันมองไม่เห็น ไม่เห็นหรือไง โอ๊ย... แสบตาไปหมดแล้ว รีบเอาน้ำมาให้ฉันเร็วสิ....น้ำ..น้ำ โอยยย แสบตา”
กะละแมเห็นว่าแสบจริงเริ่มเป็นห่วงนิดๆ
“น้ำ”
ด้วยความรีบร้อน กะละแมหันไปคว้าชามมารองน้ำแล้วก็สาดเข้าหน้าชิณทันที โครม!!
ชิณชะงักกึก ถูกน้ำซัดเข้าเต็มๆ หน้า
ชิณทั้งโกรธ ทั้งจุกน้ำ “อืมม”
กะละแมเห็นชิณเปียกโชกก็รู้สึกผิด “อุยยย... ขอโทษ เห็นบอกว่าจะเอาน้ำ”
“ไม่ต้องเยอะแบบนี้ก็ได้ จะบ้าหรือไง แค่ล้างหน้า ไม่ได้จะเอามาดับไฟ บ้าจริงๆ เปียกหมดแล้ว เอาผ้ามาสิ”
“ผ้า” กะละแมหันซ้ายหันขวาแล้วก็เห็นผ้าขี้ริ้ววางอยู่รีบหยิบมาให้ “นี่ค่ะ ผ้า”
ชิณรับมาเกือบจะเช็ดหน้าอยู่แล้ว แต่พอลืมตาปรือๆมาเห็นแล้วก็สะดุ้งเฮือก “เฮ้ย”
กะละแมตกใจ “เฮ้ย เฮ้ย ทำไม”
ชิณหันขวับมาทางกะละแม “นี่มันผ้าขี้ริ้ว จะเอามาให้ฉันเช็ดหน้าเนี่ยนะ ตั้งใจจะแกล้งฉันใช่มั้ย หะ”
ชิณปาผ้าขี้ริ้วลงที่พื้น
กะละแมตกใจรีบแก้ “ฉันไม่ได้แกล้งนะ ก็…มันตื่นเต้น ตกใจ เลยไม่ทันมอง”
ชิณเอามือปาดน้ำออกจากหน้าแล้วก็โวยต่อ “ไม่ต้องมาแก้ตัวเลย เธอพูดอะไรมันก็ฟังไม่ขึ้นทั้งนั้น...ต่อให้เธอมาบอกฉันว่า หนึ่งบวกหนึ่งเป็นสองฉันยังไม่อยากจะเชื่อเลย”
กะละแมของขึ้นมั่ง จี๊ดเลย โวยกลับ ด้วยน้ำเสียงตัดพ้อนิดๆ
“ถ้าคุณไม่เชื่อคำพูดของฉัน แล้วมาคุยกับฉันทำไม”
“ฉันก็ไม่อยากคุย ถ้าเธอไม่มาหาผลประโยชน์จากแม่ฉัน แค่คลาดสายตานิดเดียว ถึงกับหอบข้าวของเข้ามาอยู่ในบ้านฉัน ไม่เข้าใจจริงๆ ผู้หญิงหน้าใสๆ อย่างเธอทำไมถึงใจร้าย หลอกแม้กระทั่งคนดีๆ อย่างแม่ฉัน”
กะละแมจุกเลย...ความรู้สึกผิดถูกสะกิดด้วยคำพูดที่โคตรตรงไปตรงมาของชิณ
“ฉันไม่ได้หลอก คุณแม่คุณให้ความช่ายเหลือพวกฉัน ก็เพราะความเมตตาปราณีของท่าน และพวกฉันก็มาอยู่ที่นี่แค่ชั่วคราวเท่านั้น”
ชิณขึ้นเสียงใส่ “ฉันไม่เชื่อ ! อย่างพวกเธอน่ะเหรอจะยอมไปง่ายๆ อ้อยเข้าปากช้างแล้วนี่ มีเหรอจะยอมคาย”
กะละแมสะอึก...เศร้าใจ ชิณรุกหนัก
“ฉันไม่มีวันไว้ใจนักต้มตุ๋นอย่างเธอ สักวันฉันจะกระชากหน้ากากของเธอออกมาให้แม่ฉันเห็น ระวังตัวไว้ให้ดีก็แล้วกัน”
ชิณเดินหัวเสียออกไป กะละแมจะเถียงก็เถียงไม่ออกเพราะที่ชิณพูดมันก็ถูกของเขา...กะละแมเศร้า
กะละแมล้างจานเสร็จ เดินเข้ามาในห้องนอนหงอยๆ เหมือนคนหมดแรง นั่งเหม่อๆ เศร้าๆ อยู่ที่ขอบเตียง คิดถึงคำพูดชิณแล้วก็เศร้า
“ฉันก็ไม่อยากคุย ถ้าเธอไม่มาหาผลประโยชน์จากแม่ฉัน แค่คลาดสายตานิดเดียว ถึงกับหอบข้าวของเข้ามาอยู่ในบ้านฉัน ไม่เข้าใจจริงๆ ผู้หญิงหน้าใสๆ อย่างเธอทำไมถึงใจร้าย หลอกแม้กระทั่งคนดีๆ อย่างแม่ฉัน ... ฉันไม่มีวันไว้ใจนักต้มตุ๋นอย่างเธอ สักวันฉันจะกระชากหน้ากากของเธอออกมาให้แม่ฉันเห็น ระวังตัวไว้ให้ดีก็แล้วกัน”
กะละแมถอนหายใจด้วยความเศร้า
“ในสายตาคุณ..ฉันคงเป็นคนที่เลวมาก” ยิ่งคิดแล้วก็ยิ่งเศร้าหนัก “แต่มันก็เป็นความจริงไม่ใช่เหรอ... เฮ่อ...”
กะละแมเศร้า ความรู้สึกผิดพอกพูน และดูน่าสงสาร
ระหว่างนั้นโทรศัพท์มือถือที่วางไว้หัวเตียงดังขึ้น กะละแมเอื้อมมือไปหยิบมาดู เห็นชื่อโทฟู่...กะละแมกดรับ
“ว่าไงไอ้ฟู่ โทรมาซะดึกเลย”
โทฟู่อยู่ที่ร้านขายเต้าหู้ รีบถามด้วยความเป็นห่วง
“ไอ้ฟู่ตอนนี้แกอยู่ไหน ทำอะไรอยู่ ฉันโทร.หาแกเป็นร้อยรอบแล้ว ทำไมฉันติดต่อแกไม่ได้ ไม่รับสายแล้วก็ไม่โทร.กลับ แกเป็นไรมากเปล่าเนี่ย”
กะละแมถอนใจยาว
“แกนั่นแหละ เป็นอะไรมากหรือเปล่า? ฉันไม่ได้รับโทรศัพท์เพราะฉันวางโทรศัพท์ไว้ที่ห้อง เพิ่งจะได้เข้าห้องเมื่อกี๊นี้เอง ก็ไม่เลยไม่ได้โทรกลับและ ฉันก็กำลังจะอาบน้ำ เข้านอน ตอนนี้ฉันอยู่ที่บ้านคุณนายฉายตะวัน ตอบครบทุกคำถามมั้ย”
โทฟู่ถามซ้ำอีกที
“ครบ แต่ฉันก็ยังสงสัย แกคิดยังไงถึงได้ย้ายไปอยู่บ้านคุณชิณ” โทฟู่ลังเลนิดๆ ก่อนจะถามต่อ “แล้วเมื่อวานที่แกบอกฉันว่าแกชอบคุณจักกาย แล้วทำไมแกไม่อยู่กับเค้า แกย้ายออกมาทำไม”
กะละแมตอบนิ่งๆ ไม่ค่อยใส่ใจมาก
“ฉันเลิกชอบเค้าแล้ว”
โทฟู่งง
“หะ เลิกชอบแล้ว อะไรของแกวะไอ้แม ฉันงงไปหมดแล้วเนี่ย”
กะลแม...ถอนหายใจหนึ่งเฮือกแล้วตอบเนือยๆ เหนื่อยๆ
“เอาน่า..แกรู้แค่ว่าฉันสบายดี ไม่ต้องห่วงฉัน ฉันดูแลตัวเองได้ น้าโต๊ด พี่ติ่งก็ดูแลฉันได้ แกห่วงตัวเองก่อนดีกว่า รู้หรือยังจะพาอาม่าย้ายไปอยู่ไหน ใกล้ครบกำหนดที่เขาให้ย้ายออกแล้วนี่”
โทฟู่...หน้าเศร้า เสียงอ่อย
“ยังไม่รู้เลย ห้องเช่าที่พอจะหาได้ก็แพงมาก คงต้องดูไปเรื่อยๆ ก่อน”
กะละแมรู้สึกผิด “เฮ่อ...เวลาที่ฉันเดือดร้อนแกช่วยได้ทุกอย่าง เวลาแกเดือดร้อนฉันช่วยอะไรแกไม่ได้เลย” คิดแล้วแววตาก็มุ่งมั่นขึ้น “แต่แกไม่ต้องห่วง ถึงฉันยังไม่รู้ว่าจะช่วยแกยังไง แต่ฉันก็ไม่ทิ้งแกแน่นอน ฉันต้องหาทางช่วยแกให้ได้”
กะละแมมุ่งมั่น...ต้องหาทางช่วยโทฟู่ให้ได้ แล้วก็วางสายไปเลยขณะที่โทฟู่งง
“อ้าวเฮ้ย ไอ้แม ไอ้แม” แล้ววางสายตาม “อะไรของมันนึกจะวางก็วาง ตกลงยังไม่รู้เลยว่ามันอยู่บ้านคุณชิณเป็นยังไงบ้าง? ขอโทษนะคุณจักกายฉันช่วยได้แค่นี้จริงๆ”
โทฟู่คิดถึงจักกายแล้วก็ท้อแท้ใจ
ติดตาม "เจ้าแม่จำเป็น" ตอนที่ 9