เจ้าแม่จำเป็น ตอนที่ 6
ส่วนที่ห้องรับแขกบ้านมหาทรัพย์ไพศาลเวลานั้น กิมเอ็งกำลังโซ้ยส้มตำปลาร้าอย่างแซบนัว มีแจ่มคอยเสิร์ฟน้ำ มิ้วมองเหยียดๆ แต่ลึกๆ ก็แอบกลืนน้ำลายอยากกินเหมือนกัน
“แซ่บบ่คะ” แจ่มถามเสียงระรื่น
ระหว่างนั้นฉายตะวันเดินเข้ามาในบ้าน มิ้วเหลือบไปเห็นรีบยกมือไหว้ทักทายทันที
“สวัสดีค่ะคุณป้า”
กิมเอ็งตกใจรีบให้แจ่มเก็บจานส้มตำออกไป แล้วกระดกน้ำล้างปาก แล้วแอบฉีดสเปรย์ดับกลิ่นปาก...ฟี๊ดๆ
“สวัสดีค่ะคุณพี่” กิมเอ็งระแวง เช็คปากว่ามีกลิ่นปลาร้าสุรินทร์ไหม
“คุณป้าไปไหนมาคะ มิ้วเป็นห๊วง...เป็นห่วง โทร.ไปตามที่สมาคม เลขาก็บอกว่าคุณป้าออกมานานแล้ว”
“ป้าไปร้านเสื้อมาจ้ะ ตอนแรกก็นึกว่าจะต้องไปคนเดียว แต่โชคดีได้หนูกะละแมไปเป็นเพื่อน”
มิ้วกับกิมเอ็งตกใจ ร้องประสานเสียง
“หา! กะละแมร่างทรงเหรอคะ”
“จ้ะ...วันนี้หนูกะละแมเขาไปขอทุนที่สมาคม ฉันเลยชวนเขาไปด้วย”
มิ้วซักรัวเร็ว “ทุนอะไรคะคุณป้า”
ฉายตะวันยิ้มบอก “ทุนการศึกษา นี่เขาเรียนดีมากนะ หนูกะละแมเนี่ย ยิ่งรู้จักป้าก็ยิ่งถูกชะตา เป็นเด็กน่ารัก รู้จักเจียมเนื้อเจียมตัว เห็นแล้วก็อยากมีลูกสาว”
กิมเอ็งหูฝาด ยินไม่ชัด “ลูกสาวหรือลูกสะใภ้นะคะคุณพี่”
มิ้วหันขวับมามองแม่เม้งๆ “ลูกสาวค่ะคุณแม่”
กิมเอ็ง โล่งอก “อ้อๆ แล้วไป”
มิ้วฉอเลาะ “คุณป้าก็คิดว่ามิ้วเป็นลูกสาวก็ได้นี่คะ”
“หนูมิ้วเป็นเหมือนหลานมากกว่าจ้ะ แล้วยังมีแม่จริงๆ อยู่ด้วย แม่หนูยังไม่ตาย” ฉายตะวันว่า ทำเอากิมเอ็งสะดุ้งนิดๆ “กะละแมเขากำพร้าแม่ อยู่กับน้าตั้งแต่เด็ก...น่าสงสารจริงๆ วันนี้ป้ากะจะชวนมาทานข้าวที่บ้าน แต่เขามีธุระเลยกลับไปก่อน เลยฝากให้ชิณไปส่ง”
มิ้วกับกิมเอ็งฟังแล้วอึ้งกิมกี่
“พะ...พี่ชิณไปส่งมัน...เอ๊ย...กะละแมที่บ้านเหรอคะ” มิ้วตกใจ
กิมเอ็ง อุทานเบาๆ แต่ช็อคมาก “โอ้ มาย ก๊อด”
สีหน้าแววตาของมิ้วโกรธ ดูออกว่าแค้นกะละแมสุดๆ
กลับถึงบ้านกระเป๋ามิ้วถูกปาลงที่โซฟา หน้าตาอาฆาตแค้นสุดๆ
“อีนังร่างทรงนี่มันร้ายจริงๆ ดูซิคะ มันใช้แผนเข้าทางคุณป้า หน็อย...ทำตัวเป็นคนดี มาขอทุน...นังตอแหล ฮึ้ย! คิดแล้วแค้น”
กิมเอ็งผสมโรง “แม่ว่า มันต้องทำเสน่ห์ใส่คุณพี่แน่ๆ ถึงได้หลงมันขนาดนี้ นี่ยังดีที่คุณชิณไม่ชอบขี้หน้ามัน” กิมเอ็งนิ่งคิด “คุณแม่นึกออกแล้วค่ะ เราต้องใช้ความเกลียดของคุณชิณให้เป็นประโยชน์ เราต้องเป็นพวกเดียวกับคุณชิณ และทำให้คุณพี่ฉายตะวันเกลียดมันให้ได้”
มิ้วมองหน้ากับกิมเอ็งตาเป็นประกายพร้อมกับเชิดหน้า “คุณแม่ฉลาดที่สุดเลยค่ะ”
กิมเอ็งว่าต่อ “ที่สำคัญคุณลูกยังมีพี่ชายเบ๊อะๆ ของมันอยู่ในมือ ต้องใช้มันให้เป็นประโยชน์”
มิ้วพยักหน้ายอมรับข้อแนะนำอย่างเต็มใจ
“ได้ค่ะ มิ้วจะฝืนใจทำเป็นสนใจ และล้วงความลับเกี่ยวกับนังกะละแมออกมาให้มากที่สุด”
มิ้วและกิมเอ็งยิ้มให้กันด้วยความพอใจ
ที่มุมหนึ่งในบ้านมหาทรัพย์ไพศาล ตอนกลางคืน
“ร่างทรงของแม่เค้าไม่ยอมรับ” ชิณยื่นถุงเสื้อให้แม่
ฉายตะวันจ้องหน้าจับผิด “ไปหาเรื่องเขาอีกล่ะสิ เขาถึงไม่เอา”
ชิณแขวะอีกดอก “มันคงน้อยไปมั้งครับ เค้าเลยไม่เอา”
ฉายตะวันส่ายหน้า “หนูกะละแมเป็นเด็กดี ไม่ใช่คนมักมาก คงเกรงใจ...เลยไม่เอา ไม่งั้นเจ้าแม่คงไม่เลือก แล้วดูสิ ตั้งแต่ยกเลิกเรื่องไล่ที่ ชิณก็ดีขึ้น สุขภาพแข็งแรง หน้าตาแจ่มใสเจ้าแม่คงจะใช้ร่างหนูกะละแมเป็นสื่อบอกแม่ คุณตาก็เคยบอกว่าต้นไทรอยู่คู่กับที่นั่นมานาน คอยดูแลชาวบ้าน”
สีหน้าชิณดูออกว่าเบื่อหน่ายมาก
“แม่ครับ ถ้าเจ้าแม่และคนในสำนักย้ายออกไปจากซอยมหาลาภ แม่จะยอมเชื่อไหม ว่าเจ้าแม่อนุญาตให้ผมสร้างห้างสรรพสินค้าในที่ของตัวเอง”
ฉายตะวันคิดนิดหน่อยแต่ไม่ยอมให้คำตอบ
ชิณถามย้ำ “ถ้าเจ้าแม่ทิ้งให้ชาวบ้านเผชิญชะตากรรมตามลำพัง แม่จะให้ผมทำงานของผมต่อมั้ยครับ”
ฉายตะวันคิดๆ แล้วก็บอก “ก็เอาสิ...ถ้าเจ้าแม่ย้ายไปเอง ก็หมายความว่าท่านไม่อยากอยู่ในที่ดินผืนนั้น ชิณอยากทำอะไรแม่ก็ตามใจ”
ชิณยิ้มพอใจคำตอบ
“แต่แม่คิดว่าเจ้าแม่ไม่ไปแน่นอน”
ฉายตะวันตอบอย่างมั่นใจ ชิณยิ้มร้ายมั่นใจว่าแม่คิดผิดชัวร์
ที่ซอยมหาลาภเวลาเดียวกัน กะละแม โต๊ด ติ่ง และตุ้งแช่กำลังขนของขึ้นรถอย่างแข็งขัน ติ่งแบกตู้มา ท่าทางหนักมาก วางที่ท้ายรถเสียงดังสนั่น
โต๊ดร้องลั่น “เฮ้ย! เบาๆ หน่อยสิวะ มือตีนหนักจริงๆ” เดินมาตบกบาลติ่ง “เร็วๆ รีบขน จะได้รีบไป”
กะละแมมองโต๊ดแบบงงๆ แต่ก็ต้องขนต่อไป ติ่งเป็นคนขนของชุดสุดท้ายขึ้นรถ โต๊ดปิดท้ายรถ หันซ้ายหันขวาก่อนขึ้นรถไป สักครู่หนึ่งรถกระบะแล่นออกไป
ก๋อยแอบดูอยู่กับมอเตอร์ไซค์โดรเออร์รีบเปิดฝาหมวกกันน็อคมองดูพร้อมกับความข้องจิตคาใจสุดๆ
“มันขนของหนีไปไหนวะ” แล้วก๋อยก็ขึ้นนั่งมอเตอร์ไซค์ “ไอ้ลำดวนตาม”
มอเตอร์ไซค์แล่นตามกระบะไปทันที
เวลาต่อมา ทั้งสี่คนมาถึงบริเวณที่หน้าบ้านเช่าหลังใหม่ กะละแม ติ่ง และตุ้งแช่ มองบ้านแล้วตะลึงกันเป็นแถว
“โอ้โห...บ้านหลังใหญ่จังพ่อ” ตุ้งแช่อุทาน
“นี่น้าโต๊ด ฉันถามจริงๆ เถอะ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่” กะละแมถามซีเรียส
โต๊ดตัดบท “ไม่ต้องถามมาก มีบ้านให้อยู่ก็อยู่ไปเถอะ หรือเอ็งจะไม่อยู่”
ตุ้งแช่รีบพยักหน้า “อยู่จ้ะ...อยู่ แช่เอาของลงเลยนะพ่อ ไปพี่แม พี่ติ่งรีบขนของ” เด็กแสบยิ้มกับพ่อ “อย่าเพิ่งเปลี่ยนใจนะพ่อ”
ตุ้งแช่ลากติ่งเข้าบ้านไป ติ่งสะบัดสะบิ้ง
“ฉันไม่ชอบ ไม่อยากอยู่ๆๆๆ”
ตุ้งแช่เห็นท่าไม่ดีรีบเอามืออุดปากติ่ง
“อย่าพูดมากน่าพี่ติ่ง รีบไปขนของก่อนที่พ่อจะเปลี่ยนใจ...ไปเร็ว”
ตุ้งแช่ลากติ่งไปขนของ
โต๊ดมองบ้านด้วยความพอใจ แล้วก็ชะงักเพราะเห็นกะละแมจ้องอยู่ โต๊ดเลยกลบเกลื่อนด้วยการทำสีหน้าให้เป็นปกติ ไม่รู้ไม่ชี้
ไอ้ก๋อยแอบดูอยู่ในมุมหนึ่ง ยิ้มเริงร่าราวกับล่วงรู้ความลับขององค์การนาซ่าก็ไม่ปาน
ติ่งกับตุ้งแช่ขนของกันอยู่ ติ่งยังหมกหมุ่นกับการสงสัยพฤติกรรมแปลกๆ ของโต๊ด
“พี่ติ่งรีบช่วยกันยกสิ กินแรงเด็กบาปนะพี่”
“เออน่า..เด็กถือไปเท่าที่ถือได้ ที่เหลือข้าจัดการเอง”
ตุ้งแช่เชื่อฟัง หันไปหยิบของเบาๆ แล้วก็ขนเข้าไป ติ่งจิกหางตาคิด..แล้วก็หันไปมองหน้าบ้าน เห็นโต๊ดเดินมาพอดี ติ่งรีบปรี่เข้าไปถามอย่างจริงจัง
“ฉันถามจริงๆ น้าเอาเงินจากไหนมาเช่าบ้านหลังใหญ่ขนาดนี้ มีปัญญาเช่าได้ยังไง”
“เอาน่า ข้ามีปัญญาก็แล้วกัน”
“น้าโต๊ด...น้าก็รู้ว่าเราสองคนไม่เคยมีอะไรปิดบังกัน และฉันกับน้าก็คิดอะไรคล้ายๆ กัน ถ้าน้าตัดสินใจทำอะไรสักอย่าง น้าก็รู้ว่าคนที่สนับสนุนน้ามาตลอดก็คือฉัน”
โต๊ดนิ่งฟังคิดตาม เออจริง
ติ่งพูดต่อ “เพราะฉะนั้นมีอะไรก็เปิดอกคุยกันอย่างลูกผู้ชายดีกว่า ฉันไม่อยากให้น้าต้องกลุ้มใจอยู่คนเดียว”
โต๊ดมองติ่ง...มันจริงจังเว้ย...แล้วตัดสินใจบอก
“คุณชิณเขาจ้าง 3 ล้านให้ข้าย้ายออก”
ติ่งตาแทบปลิ้น “สามล้าน”
โต๊ดรีบอุดปากติ่ง “เบาๆ สิวะ เดี๋ยวนังกะละแมได้ยินก็เป็นเรื่อง” ติ่งพยักหน้า โต๊ดปล่อยมือ
“แล้ว...น้าได้ตังค์มายัง? สดๆ เลยหรือเปล่า” ติ่งซัก
“ตอนนี้ยังไม่ได้ แต่คุณชิณเค้าบอกว่าจะรีบเคลียร์ให้ทันทีที่ย้ายออก” คิดแล้วก็กลุ้ม “เฮ้อ...ที่ข้ายอมรับเงินเขา ก็เพราะพวกเอ็ง นังกะละแมมันไม่อยากเป็นร่างทรง ไอ้แช่ก็อยากเรียนหนังสือ ส่วนเอ็งก็จะได้มีเงินไปลงทุนทำมาหากินให้เป็นเรื่องเป็นราว ข้ามีปัญญาทำให้พวกเอ็งได้เท่านี้แหละ”
ติ่งซึ้งสุดๆ “ขอบคุณนะน้าโต๊ด…ไม่ต้องห่วง ฉันจะเก็บเรื่องนี้ไว้อย่างดีที่สุด จะไม่มีใครรู้เรื่องนี้เด็ดขาด”
ติ่งรับปากอย่างมาดมั่น ท่าทีแมนมากๆ
เวลานั้น สามคนอยู่ที่ห้องทำงานนุ้ย
“ทำไมพวกนั้นถึงย้ายบ้าน” นุ้ยสงสัยเอามากๆ
“หนูว่าต้องเกี่ยวกับไอ้เจ้าของที่แน่เลยป๋า จำรูปตอนไอ้ก๋อยแอบไปเจอมันอยู่ด้วยกันได้ป่าว กลิ่นมันตุๆ อยู่นะ” ดวงว่า
ก๋อยสะดุ้ง “ฉันอาบน้ำแล้วนะ ล้างตีนแล้วด้วย” พลางยกตีนมาดม
ดวงตบหัวก๋อย...ฉาดใหญ่
ก๋อยร้อง “โอ๊ย”
ดวงด่าอีก “ยิงมุกไม่ดูตาม้าตาเรือ เงียบไปเลย!” ก๋อยจ๋อ
นุ้ยเครียด ไม่ขำสักนิด “หรือว่าไอ้เจ้าของที่จะเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังสำนักทรง พวกมันต้องรวมหัวกันทำอะไรอยู่แน่ๆ” หันมาทางก๋อย “มึงสะกดรอยตามไปอย่าหยุด สืบจนกว่าจะรู้ว่าไอ้พวกสำนักทรงกับไอ้เจ้าของที่มันคิดทำอะไรกันอยู่ แล้วรีบมารายงานข้าด่วน”
“ครับป๋า”
ก๋อยรับคำแข็งขัน นุ้ยคิดร้าย แต่ดวงกลับคิดด้วยความหวาดหวั่นใจ
เช้าวันต่อมาอาม่าและชาวบ้านยืนออกันเต็มหน้าสำนักทรงเจ้า เสียงพูดคุยดังเซ็งแซ่ระงมไปทั่วบริเวณ
“เจ้าแม่หาย” อาม่าเป็นต้นเสียง
ชาวบ้านร้องตาม “หายไปไหน”
“ไม่รู้...อั๊วมายืนเรียกตั้งนานก็ไม่เจอใครเลย” อาม่าตะโกนเรียกอีก “พ่อโต๊ด ไอ้ติ่ง ไอ้แช่ กะละแม! เฮ้ย! หายไปไหนกันหมด” เมื่อไม่มีเสียงตอบ จึงหันมาทางชาวบ้าน “มีใครรู้บ้างว่าคนในสำนักหายไปไหน”
ชาวบ้านพากันส่ายหัว บ่นเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่รู้ไม่เห็น
โทฟู่รู้ข่าวจากอาม่าก็มีสีหน้าเครียดอย่างเห็นได้ชัด
“ฟู่ก็ไม่รู้เหมือนกัน โทร. ไปก็ปิดเครื่อง ติดต่อไม่ได้” โทฟู่วางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ
อาม่าสังหรณ์ใจ “ม่าว่ามันแปลกๆ ทำไมจู่ๆ อาแมถึงหายไปไม่บอกสักคำ”
“แต่ม่าไม่ต้องห่วง ฟู่มั่นใจว่าถ้าไอ้แมมันพร้อม มันจะติดต่อมาหาฟู่เอง”
โทฟู่เครียดคิดในใจ...ไอ้แมแกอยู่ไหนวะ?
กลางวันวันนั้นเองกะละแมพาตัวเองมายืนอยู่หน้าคณะแพทย์ศาสตร์ จนกระทั่งเสียงโทฟู่เรียกขึ้น
“ไอ้แม” กะละแมได้ยินหันขวับมา โทฟู่วิ่งมาหา “ฉันกะแล้วว่าแกต้องมา อยู่ดีๆ ก็ย้ายออก...มันเกิดอะไรขึ้น?”
กะละแมหน้าสลดลง “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน อยู่ๆ น้าโต๊ดก็สั่งให้เก็บของย้ายบ้านด่วน ถามอะไรก็ไม่บอก แถมยังห้ามไม่ให้ฉันกลับไปที่ซอย ฉันถึงต้องมาหาแกที่นี่”
“ตอนนี้ชาวบ้านตกใจกันทั้งซอยที่เจ้าแม่หายตัวไป”
“อย่าว่าแต่ชาวบ้านเลย...ฉันก็ตกใจ” กะละแมครุ่นคิด “ฉันว่ามันต้องมีอะไรไม่ดีแอบแฝงอยู่แน่ๆ เพราะน้าโต๊ดท่าทางแปลกๆ ดูมีความลับยังไงก็ไม่รู้”
โทฟู่ออกความเห็น “แกว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวกับคุณชิณหรือเปล่า”
“ฉันก็คิดอยู่ แต่ยังนึกไม่ออกว่ามันจะเกี่ยวกันได้ยังไง”
“มันเกี่ยวกันได้ เพราะคุณชิณไม่มีวันยอมแพ้จักกาย ไม่ว่ายังไงเค้าก็จะต้องสร้างห้างที่ซอยมหาลาภให้ได้” โทฟู่บอก
กะละแมงวยงง “เฮ้ย...มันโยงไปหานายนั่นได้ยังไง”
“จักกายเล่าให้ฉันฟังเอง”
สองสาวมองหน้ากัน...โทฟู่อยากเล่า...กะละแมอยากรู้
เหตุการณ์ตอนที่คุยจักกายถามย้อนเข้าในความคิดโทฟู่
“แล้วผมต้องทำยังไง คุณถึงจะไว้ใจแล้วก็ช่วยผมจีบเพื่อนคุณ”
“ฉันอยากรู้เรื่องระหว่างคุณกับคุณชิณ”
จักกายคิด มองหน้าโทฟู่เห็นแววตาที่มุ่งมั่นรอคำตอบ จักกายตัดสินใจเล่า ด้วยความไว้วางใจ
“พ่อของเราสองคนร่วมหุ้นเปิดบริษัทด้วยกัน ต่อมาไม่นาน...พ่อไอ้ชิณก็แยกตัวออกไป เปิดบริษัทใหม่ แล้วทำธุรกิจแข่งกับพ่อผม มันแย่งงานโครงการใหญ่ๆ จากเราไปหมด พ่อผมเครียดจนล้มป่วย...และในที่สุดท่านก็...จากไปพร้อมกับความพ่ายแพ้”
โทฟู่ดักคอ “คุณก็เลยจะแก้แค้นแทนพ่อ”
“ใช่...ผมจะทำให้ไอ้ชิณเจ็บปวด และพ่ายแพ้ เหมือนที่พ่อมันทำไว้กับพ่อผม และการสร้างห้างครั้งนี้...ผมจะต้องชนะเท่านั้น”
จักกายบอกอย่างมุ่งมั่นและต้องชนะให้ได้ ขณะที่โทฟู่คาดไม่ถึงว่าเรื่องจะเป็นแบบนี้
กะละแมทำหน้าเซ็งสุดๆ หลังจากที่ฟังโทฟู่เล่าจบ
“นั่นมันก็เรื่องของพวกเขา...แล้วทำไมฉันต้องซวยไปด้วยเนี่ย”
“แกเคยได้ยินคำโบราณที่เค้าบอกว่า “ช้างสารชนกัน หญ้าแพรกก็แหลกลาญ” หรือเปล่า เค้าสองคนเป็นช้าง แล้วพวกเราในซอยเป็นหญ้า ก็เลยซวยโดยเฉพาะแก เพราะชาวบ้านศรัทธาในตัวเจ้าแม่ ทั้งสองคนก็เลยพุ่งเป้ามาที่แกโดยตรง”
กะละแมประชด “โห..น่าดีใจจริงๆ”
“และตอนนี้ฉันก็รู้ว่าทำไมจักกายถึงได้ลงทุนลงแรงมาติดต่อแกด้วยตัวเอง ไม่ยอมใช้ลูกน้องมาจัดการแทน”
กะละแมหันมางงสุดๆ “เออ..ทำไมวะ”
“เพราะเค้าชอบแก”
กะละแมเลิกคิ้ว “ชอบฉันเนี่ยนะ”
โทฟู่ย้ำ “อือ..เค้าบอกฉันเอง และก็ขอให้ฉันช่วยเค้าจีบแก เค้าบอกว่าแกแปลกดี”
“ประสาท! ของแปลก ไม่ใช่ของดีเสมอไป ฉันว่านายเนี่ยท่าทางจะหมกหมุ่นเรื่องแก้แค้นมากไปหน่อย ไม่ค่อยรู้ว่าชีวิตจริงเป็นไง เพี้ยน!” หันมาทางโทฟู่
โทฟู่มองกะละแมแล้วก็พยายามพูดกลางๆ “แต่ฉันว่าเท่าที่เห็นเค้าก็ไม่ใช่คนเลวร้าย แค่คิดเรื่องผลประโยชน์และธุรกิจมากไปหน่อย ตอนนี้แกก็ยังไม่มีใคร ลองให้โอกาสเค้าดู” จู่ๆ โทฟู่นึกเอะใจ “หรือว่า...แกมีใครอยู่ในใจแล้ว”
กะละแมชะงักกึก...เออว่ะ..มีหรือเปล่าวะ?
ชิณพูดด้วยสีหน้าพึงพอใจหลังฟังรายงานจากทรงวุฒิจบ
“เงินเปลี่ยนได้ทุกอย่างจริงๆ ต่อให้เป็นเจ้าพ่อเจ้าแม่ที่ไหนก็ต้องการเงินทั้งนั้น ทำเป็นหยิ่ง”
“นั่นสิครับคุณชิณ รีบย้ายออกไปแบบนี้ สงสัยคงกลัวจะไม่ได้เงิน”
“ยังไงเงินก็คือพระเจ้าอยู่ดี เจ้าแม่ย้ายออกไปแล้ว เราก็ทำงานกันต่อได้” ชิณหันมาสั่งงาน “เรื่องไล่ที่...ผมฝากคุณดำเนินการต่อได้เลย”
“ครับ” ทรงวุฒิรับคำ
“ผมมีเรื่องอื่นที่สำคัญกว่าต้องไปจัดการ”
ชิณยิ้มร้ายแล้วก็เดินไป
ไม่นานต่อมามีรถหกล้อแล่นเข้ามาจอดที่หน้าปากซอยมหาลาภ พร้อมเหล่าคนงานลงจากรถ บางส่วนถือป้ายมาตอกที่หน้าตลาดและตามทาง
ชาวบ้านบางส่วนมามุงดู เห็นป้าย “ประกาศย้ายด่วน” อาม่าอยู่ในนั้นถึงกับ...อึ้ง
“อั๊ยย่ะ”
เวลาเดียวกันลิ้นชักโต๊ะทำงานฉายตะวันที่มูลนิธิถูกชิณเปิดออก ชิณหยิบแฟ้มเอกสารออกมา เปิดหาประวัติกะละแมทีละเล่มๆ จนกระทั่งเจอเล่มที่มีรูปกะละแมติดอยู่ ชิณยิ้ม หันกลับมาแล้วผงะ เพราะเลขาเปิดประตูเข้ามาพอดี ต่างฝ่ายต่างผงะตกใจ
แฟ้มในมือชิณหล่นชิณรีบถามกลบเกลื่อน “แม่ไม่อยู่เหรอ”
“ผ.อ. ติดประชุมค่ะ คุณชิณมีอะไรด่วนจะให้ดิฉันแจ้งให้ท่านทราบไหมคะ”
“ไม่มีอะไร ผมแค่แวะมาเฉยๆ ไม่ว่างก็ไม่เป็นไร ผมกลับเลยก็แล้วกัน” ชิณนึกได้ “อ้อ...ไม่ต้องบอกแม่นะว่าผมมา”
“ค่ะ”
ชิณรีบเดินออกไป ปล่อยให้เลขามองตามอย่างงงๆ
ครู่ต่อมาชิณยืนอยู่หน้าห้องทำงานฉายตะวัน มองแฟ้มประวัติกะละแมแล้วยิ้มอย่างพอใจ
เจ้าแม่จำเป็น ตอนที่ 6 (ต่อ)
ทางด้านโต๊ดยืนอยู่หน้าธนาคาร มองเช็คในมือ หน้าตาตื่นเต้น ระคนดีใจ แล้วเงยหน้ามองธนาคาร มือโต๊ดเก็บเช็คใส่กระเป๋า และเช็คความเรียบร้อยของเสื้อผ้าที่ใส่ แล้วเดินเข้าไปในธนาคาร
ก๋อยแอบดูอยู่ไม่ไกลนัก เปิดฝาหมวกกันน็อคออกเพ่ง ทำหน้าสงสัย
ครู่ต่อมา เงินสดสามล้านบาทวางอยู่บนโต๊ะต่อหน้าโต๊ดที่ตื่นตะลึงอยู่อย่างนั้น
“ของผมหมดนี่เลยเหรอครับ”
เจ้าหน้าที่ธนาคารยิ้มบอก “ครับ...นับด้วยนะครับว่าครบหรือเปล่า”
โต๊ดยิ้มหน้าบาน “ขอบคุณครับ...ขอบคุณ...ขอบคุณ”
ก๋อยตามเข้าในธนาคาร รีบหยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมา แล้วกางปิดหน้าตัวเองไว้
โต๊ดนับเงิน หน้าตาเบิกบานมีความสุขมาก ก๋อยโผล่หัวออกมาจากหนังสือพิมพ์มองหาโต๊ด เห็นโต๊ดนับเงินปึกใหญ่ โต๊ดนับเงินเสร็จก็เก็บใส่ถุง ก๋อยเดินเข้าใกล้เรื่อยๆ หน้าตาสงสัยสุดขีด
สักครู่หนึ่งโต๊ดนับเงินเสร็จก็ลุกเดินออกมา ก๋อยรีบปิดหน้า ซ่อนตัว โต๊ดเดินออกจากธนาคารไปแล้ว
ก๋อยมองตามคิดหัวแทบแตกสงสัยหนัก
เสียงเจ้าหน้าที่ธนาคารดังขึ้น “คุณครับ...คุณ”
ก๋อยสะดุ้งหันมา งงเต๊ก อ้าว...ตูมาอยู่หน้าเคาน์เตอร์ตั้งแต่เมื่อไหร่ แถวยาวเชียว
“ฝากหรือถอนครับ”
“ฝาก”
ก๋อยส่งหนังสือพิมพ์ฝากไว้ให้ แล้วรีบเดินออกไปอย่างไว
ด้านมิ้วกับกิมเอ็งพากันยืนอยู่ที่หน้าสำนักทรง...เห็นบ้านทั้งหลังเงียบกริบ...สองแม่ลูกมองหน้ากันงงๆ
“มีใครอยู่ไหมคะ...คุณติ่ง...คุณติ่ง”
“ทำไมมันเงียบเชียบขนาดนี้...ไปไหนกันหมด”
มิ้วเดินอ้อมไปอีกทาง แล้วแอบดูตรงรั้วบ้าน เห็นภายในบ้านเงียบ ไม่มีของและไม่มีใครอยู่...มิ้วเดินกลับไป
“ไม่เห็นใครเลยค่ะคุณแม่ ของในบ้านก็หายเกลี้ยง”
ระหว่างนั้นมีชาวบ้านเดินผ่านมา มิ้วกับกิมเอ็งเลยหันไปถาม
“นี่ป้า...รู้ไหมว่าพวกสำนักทรงเขาไปไหนกันหมด”
“โอ๊ย! ไม่มีใครรู้หรอก อยู่ดีๆ ก็หายไปเฉยๆ คนงงกันทั้งซอย พอเจ้าแม่ย้ายไปปุ๊บ เจ้าของที่ก็มาไล่ปั๊บ สงสัยคงต้องย้ายตามไปด้วย เฮ้อ! ซวยกันทั้งซอย”
สองแม่ลูกอึ้ง...เจ้าแม่หายไปไหน? พอป้าชาวบ้านเดินลับตัวไป กิมเอ็งและมิ้วปรึกษากัน
“เราจะทำยังไงต่อคะคุณแม่”
“เราต้องเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส”
กิมเอ็งจิกตาอย่างร้ายกาจ...มิ้วมองด้วยความอยากรู้
ขณะที่กะละแมกำลังจะเดินเข้าไปในตึกเรียน แล้วก็ชะงักที่เห็นชิณโผล่มา กะละแมประหลาดใจมาก
“อ้าว...เอ๊ะ...อุ๊ย...คุณ”
“ทำไม เจอฉันแล้วต้องตกใจขนาดนี้เลยเหรอ”
“คุณมาทำอะไรที่นี่”
“ก็แค่อยากจะมาดูหน้าเธอสักหน่อย”
กะละแมงง รีบจับหน้าตัวเอง “ทำไม? จะมาดูหน้าฉันทำไม...หน้าฉันก็เหมือนเดิม”
“ก็ดูว่ามีราศีเศรษฐีใหม่จับหรือเปล่า”
กะละแมงงหนัก “เศรษฐีใหม่อะไร? พูดเรื่องอะไร?”
“ไม่ต้องตีหน้าซื่อหรอกน่า...รู้ๆ กันอยู่ว่าเธอทำอะไร” ชิณพูดอย่างยียวน
กะละแมชักฉุน “ฉันไม่ได้จะปิดบังอะไร คุณอยากพูดอะไรก็พูดมาตรงๆ อย่ามาอ้อม...ฉันรำคาญ”
“ถ้าอยากให้พูดตรงๆ ก็ได้ ฉันก็แค่อยากรู้ว่าเธอเอาเงินฉันไปทำอะไรบ้างก็แค่นั้น”
กะละแมงงอยู่อย่างนั้น “เงิน...เงินอะไร เงินคุณมาเกี่ยวอะไรกับฉัน ฉันไม่เคยยุ่งอะไรกับเงินของคุณ”
ชิณชักสงสัย “นี่...อย่าบอกนะว่าเธอไม่รู้เรื่องเงินของฉัน”
กะละแมยืนยันขันแข็ง “ฉันไม่รู้ แล้วฉันก็ไม่สนใจเงินของคุณ สนใจไปมันก็ไม่ทำให้ฉันรวยขึ้นสักหน่อย หลีก...ฉันจะไปเรียน”
กะละแมเดินไปเลย ชิณตะโกนไล่หลัง
“เงินฉันไม่ได้ทำให้เธอรวยขึ้น...แต่ทำให้น้าเธอรวยขึ้น”
กะละแมชะงักกึก...หันมาเผชิญหน้า ชิณพูดอย่างสะใจ
“น้าเธอรับเงินฉันไป 3 ล้าน ฉันไม่รู้ว่าทำไมเขาไม่บอกเธอ บางทีเขาอาจจะคิดฮุบเอาไว้คนเดียว” หัวเราะร่า “เฮอะ...พวกเธอนี่ไว้ใจไม่ได้จริงๆ แม้แต่น้าหลานก็ยังไม่มีความบริสุทธิ์ใจให้กันเลย”
“ฉันไม่เชื่อ”
“ไม่เชื่อก็ลองไปถามน้าเธอดูเองก็แล้วกัน แต่ฉันไม่รู้นะว่าเขาจะบอกความจริงกับเธอหรือเปล่า”
ชิณเดินหนีไปอย่างสะใจ ส่วนกะละแมยืนตัวชา นิ่ง...อึ้ง...งง ระคนกัน
ส่วนกิมเอ็งกับมิ้วรีบมารายงานเรื่องเจ้าแม่หายตัว ฉายตะวันรับฟังด้วยความตกใจ
“เจ้าแม่ย้ายสำนักทิ้งชาวบ้านเหรอ ฉันไม่อยากจะเชื่อเลย เมื่อวานนี้ไม่เห็นหนูกะละแมพูดอะไรสักคำ”
“จริงล้านเปอร์เซ็นต์ค่ะ คุณน้องถามชาวบ้านแถวนั้น เขาก็บอกว่าไม่รู้ว่าย้ายไปเมื่อไหร่...ย้ายไปตอนไหน...หายไปอย่างไร้ร่องรอยเลยค่ะ” กิมเอ็งรายงาน
มิ้วรีบปั่น “มันน่าสงสัยนะคะคุณป้า อยู่ๆ ก็ย้ายออกไปไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย”
“ตอนนี้ชาวบ้านเดือนร้อนกันมากนะคะ”
“มิ้วเห็นมีป้ายปักไล่ที่ แล้วก็เห็นคนงานเดินกันให้ควั่ก...เต็มซอย เขาเตรียมจะไล่ที่ก่อสร้างกันแล้วนะคะ ถามใครก็ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น”
“แต่คุณน้องคิดว่ามีคนนึงที่รู้”
กิมเอ็งเริ่มเป่าหูพูดเป็นปริศนา แววตาเจ้าเล่ห์สุดฤทธิ์
ชิณเดินกลับเข้ามาที่หน้าบริษัท อย่างมีความสุข แล้วก็ต้องชะงักกึก เพราะคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า
“คุณแม่”
ฉายตะวัน มิ้วและกิมเอ็ง ยืนรอชิณอยู่ที่หน้าบริษัท
“แม่อยากรู้ว่าทำไมคนในสำนักทรงถึงย้ายออกจากที่ของเรา”
ไม่นานต่อมาทุกคนอยู่ในห้องทำงานของชิณ
“เงิน 3 ล้าน ไงครับ ที่มันมากพอจะทำให้พวกนั้นย้ายกันไปทั้งสำนัก”
ชิณเล่าด้วยความสะใจ มิ้วกับกิมเอ็งตาโต
“3 ล้าน” สองแม่ลูกอุทานด้วยความเสียดาย
“ใช่...เงิน 3 ล้านบาท ออกจากบัญชีผมไปเข้าบัญชีนายโต๊ดเรียบร้อยแล้ว คุณแม่ลองคิดดูก็แล้วกันนะครับ ว่าสำนักนี่มันศักดิ์สิทธิ์จริงๆ หรือแค่หลอกเอาเงินชาวบ้านไปวันๆ”
ฉายตะวันอึ้ง มิ้วกับกิมเอ็งวิ่งมาอยู่ฝั่งชิณ เริ่มปฏิบัติการเป่าหู
มิ้วออกโรงสนับสนุน “มิ้วว่าแล้วเชียว พวกนี้ดูๆ ไปก็ไม่น่าเชื่อถือเท่าไหร่”
กิมเอ็งใส่ไฟต่อ “จริงค่ะคุณพี่ ตอนแรกก็คิดว่าจะเป็นคนดี ที่ไหนได้...เป็นพวกเห็นแก่เงินนี่เอง”
“ไอ้พวกที่สำนักนั่นไม่ใช่คนดีอย่างที่แม่คิดหรอกครับ ผมว่าแม่เลิกยุ่งกับพวกนั้นดีกว่า อยู่ให้ไกลมากเท่าไหร่ยิ่งดี”
ชิณ กิมเอ็ง มิ้วอยู่ฝั่งเดียวกัน หันมาทางฉายตะวันที่นิ่งอึ้งพูดไม่ออก
ที่บ้านป๋านุ้ย ฝั่งธน ดวงโพล่งขึ้นมาทันที พอรู้เรื่องจากไอ้ก๋อย
“ต้องเป็นไอ้เจ้าของที่ที่เป็นคนให้เงินมันแน่ๆ ป๋า” ดวงหันมาทางนุ้ย “หนูว่าต้องใช่แน่ๆ เพราะตั้งแต่พวกมันเจอกัน ทำท่าลับๆ ล่อๆ ไอ้โต๊ดย้ายสำนักหนี แล้วไอ้โต๊ดก็มีเงิน”
นุ้ยงงอยู่ “แล้วมันให้เงินพวกนั้นทำไมวะ”
“ก็เพราะชาวบ้านไม่ยอมย้ายถ้าเจ้าแม่ไม่ย้าย แต่ชาวบ้านจะย้ายถ้าเจ้าแม่ยอมย้ายไง แค่นี้เอง โธ่...ป๋าไม่น่า...” ดวงเกือบหลุดคำว่าโง่...ออกมา เจอนุ้ยเหล่ ดวงรีบเปลี่ยนคำ “…นึกไม่ออกเลย”
“ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดี ต้องขอบใจไอ้เจ้าของที่ ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว” นุ้ยพอใจเดินไปตบบ่าก๋อย “ไอ้ก๋อยมึงทำได้ดีมาก เดี๋ยวข้าจะตบรางวัลให้”
ก๋อยยกมือไหว้ท่วมหัว ยิ้มแฉ่ง
นุ้ยบอกดวง “ป๋าไปก่อน จะแวะไปดูบ่อนสักหน่อย” จะเดินไปแล้วนึกได้ “นี่...ไอ้ดวง แล้วเอ็งก็ไม่ต้องไปยุ่งกับนังร่างทรงนั่นอีกล่ะ...รู้รึเปล่า” เดินออกไปเลย
ดวงยิ้มแฉ่ง “จ้ะ”
นุ้ยเดินลับตัวไปแล้ว ดวงมีสีหน้าแค้นขึ้นมาทันที
“โธ่...น้องกะละแมเห็นแก่เงินก็ไม่บอก ทำเป็นหยิ่งขึ้นค่าตัวนี่เอง อย่างงี้ต้องเอาเงินฟาดใช่ไหมไอ้ก๋อย”
ก๋อยทำหน้าเห็นด้วย “ใช่พี่ อย่างนี้มันต้องฟาดหนักๆ”
ดวงยิ้มพอใจ “ได้เลย...น้องกะละแมอยากได้...พี่ดวงจัดให้”
ดวงยิ้มร้าย มั่นอกมั่นใจมาก
ค่ำวันนั้นโต๊ดนั่งอยู่ในรถแท๊กซี่ท่ามกลางข้าวของมากมาย
“จอดตรงนี้แหละ”
โต๊ดหยิบเงินออกมาแล้วยื่นให้คนขับ
“79 ใช่ไหม เอาไปเลย 80 ไม่ต้องทอน”
โต๊ดคุยโอ่มากก่อนจะหอบข้าวของพะรุงพะรังลงรถไป
ไม่นานนัก โต๊ดหอบของพะรุงพะรังเข้ามาในบ้าน
“ไอ้ติ่ง ไอ้แช่ ไอ้แม มาช่วยกันหน่อยเว้ย...ของจะทับข้าตายอยู่แล้ว”
ติ่ง ตุ้งแช่ กะละแมเดินออกมา มองหน้ากันงงๆ แล้วเข้าไปช่วยถือ
“โอ้โห นี่มันอะไรน้า ซื้อมาขายเหรอ” ติ่งสงสัย
“จะบ้าเหรอวะ ซื้อมาใช้โว้ย
“พ่อถูกหวยเหรอจ๊ะ” ตุ้งแช่ถาม
“ไม่ใช่เงินถูกหวยหรอก เงินข้าเอง”
ติ่งมองยิ้มๆ รู้กันว่าเงินมาจากไหน แต่กะละแมสงสัย
“ฉันไม่เคยรู้เลยว่าน้ามีเงินเยอะขนาดนี้” มองอย่างจับผิด
“แล้วทำไมเอ็งจะต้องรู้ไปซะทุกเรื่องด้วย” แล้วหันมายิ้มกับตุ้งแช่ “อะนี่...ของเอ็ง” ส่งมือถือให้ “นี่ก็ของเอ็ง” ส่งให้ติ่ง “แล้วนี่ก็ของเอ็ง” โต๊ดส่งให้กะละแมเป็นคนสุดท้าย
สองคนรับไปตาโตร้อง...ว้าว!!! แต่กะละแมเฉยๆ
ตุ้งแช่รีบเปิดเครื่องกดโทร.ออก แต่โทร.ไม่ติด
“พ่อ...ทำไมของแช่โทร.ไม่ได้ล่ะ”
“ข้าซื้อแต่เครื่อง...ไม่ได้เติมเงิน พวกเอ็งไปเติมเงินกันเองก็แล้วกัน”
ตุ้งแช่โวย “โห...วัยรุ่นเซ็ง”
โต๊ดจ้องหน้า “จะเอาไหม”
“เอาจ้ะ...เอา” ตุ้งแช่ยิ้มหวาน
“โหน้า...นี่มันรุ่นใหม่ล่าสุดเลย เจ๋งจริงๆ” ติ่งลูบๆ คลำๆ “ว้าว...รุ่นโทร.ทีกรี๊ดทั้งซอย”
กะละแมดูของที่โต๊ดซื้อมา ของดีๆ ทั้งนั้น “น้าบอกฉันมาดีๆ ดีกว่า ว่าไปเอาเงินมาจากไหน” จดสายตาจ้องโต๊ดเพื่อจับผิด
โต๊ดเก๊กเข้ม “นี่ถ้าถามข้าอีกคำ ข้าเอาคืนจริงๆ นะนังกะละแม”
ติ่งรีบช่วยโต๊ด “ไอ้แมไม่ต้องถามมากเลย ได้ของก็พอน่า” รีบเอาใจโต๊ด “น้าเรามาดูของกันต่อดีกว่า..นี่ของฉันใช่มั้ย”
ติ่งดูของอย่างตื่นเต้น แต่กะละแมยังคาใจและสงสัยอยู่
ของมากมายที่โต๊ดซื้อมากองอยู่ที่มุมหนึ่งของบ้าน กะละแมยืนมองด้วยความสงสัย สีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด
โต๊ด ติ่ง และตุ้งแช่ นั่งคุยกันอยู่ที่เดิม
“ไอ้ติ่ง ไอ้แช่...ข้าว่าจะเปิดร้านเล็กๆ สักร้านดีไหมวะ”
“ก็ดีนะพ่อ แล้วพ่อจะขายอะไร” ตุ้งแช่ถาม
“นั่นสิ ข้ายังไม่ได้คิดเลย ขายอาหารดีไหม ให้นังกะละแมมันทำ ฝีมือมันก็ไม่เลวนะ”
“ฉันว่าเปิดร้านเสริมสวยดีกว่า ลูกค้าส่วนใหญ่ที่มาจะได้เป็นผู้หญิงไง” ติ่งยิ้มหื่น
“เปิดแล้วใครจะทำ...เอ็งเหรอไอ้ติ่ง ขนาดหัวตัวเองยังไม่อยากจะสระเลย ริอ่านจะเปิดร้านเสริมสวย”
โต๊ดส่ายหัวติ่งยิ้ม แหะๆ
จังหวะนั้นกะละแมเปิดประตูเข้ามาในห้องโต๊ด เห็นห้องอยู่ในสภาพไม่เรียบร้อย ของเต็มห้องไปหมด กะละแมมองไปรอบๆ แล้วตรงไปที่ลังกระดาษ กะละแมเปิดลังค้นหาว่าเงินอยู่ไหน
กะละแมรื้อค้นรอบห้องทุกซอกทุกมุม เปิดตู้ เปิดลิ้นชักหา ค้นไปก็คอยระวัง กลัวโต๊ดมาเห็น
เวลาผ่านไปกะละแมนั่งเหนื่อยหอบอยู่ที่พื้นห้องโต๊ด หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอเงิน
“อยู่ไหนวะ หรือไม่ได้เก็บไว้ที่บ้าน”
ระหว่างนั้นโต๊ดคว้าหนังสือพิมพ์แล้วตรงไปทางห้องน้ำ ส่วนกะละแมฮึดลุกขึ้นหาใหม่อีกครั้ง ก้มดูใต้เตียง จังหวะนั้นโต๊ดกำลังจะเดินผ่านห้องนอน กะละแมเริ่มท้อ...หาไม่เจอ
“หรือเอาไปฝากธนาคาร แต่ไม่น่าจะใช่..น้าโต๊ดเป็นคนไม่ชอบฝากเงินไว้กับธนาคารนี่นา” กะละแมคิดไปคิดมา “หรือว่านายหน้าเลือดจะโกหกเรา…ชัวร์เลย..เฮ่อ”
กะละแมตัดสินใจจะออกจากห้อง เดินไปที่ประตู แต่ต้องชะงัก...เห็นโต๊ดเดินมาเลยรีบผลุบกลับเข้าห้องไปใหม่
ด้านโต๊ดกำลังจะเปิดประตูเข้าห้องน้ำ พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นประตูห้องตัวเองแง้มอยู่ โต๊ดเอะใจ
เลยเดินไปที่ห้อง กะละแมรีบวิ่งไปซ่อนในตู้เสื้อผ้า เห็นโต๊ดเดินเข้ามา
โต๊ดมองซ้ายมองขวา กวาดสายตาทั่วห้องไม่มีอะไร ก้มดูใต้เตียง หลังประตูก็ไม่มีอะไร ตัดสินใจจะเดิน
ออกจากห้อง ด้วยความระแวงหันมาอีกที แล้วก็เดินตรงมาที่ตู้ที่กะละแมซ่อนตัวอยู่ เอื้อมมือเหมือนจะเปิดตู้
กะละแมลุ้น...แต่โต๊ดเอื้อมมือไปหยิบกล่องบนหลังตู้มาเปิดดู กะละแมแปลกใจพยายามชะเง้อว่ามันคืออะไร โต๊ดเปิดกล่องใบนั้น แล้วนับเงินในกล่อง กะละแมชะเง้อสุดตัว อยากรู้มาก...กะละแมตาโตเห็นเงินเต็มกล่อง
“ค่อยยังชั่ว...อยู่ครบ”
กะละแมอึ้งตะลึงตาค้าง...ตกใจจนกระทั่งเสียหลักหล่นโครมออกมาจากตู้เสื้อผ้า
โต๊ดสะดุ้งโหยงตกใจมากเพราะคาดไม่ถึง
“นังกะละแม”
ติดตาม "เจ้าแม่จำเป็น" ตอนที่ 6 (ต่อ) เวลา 17.00 น.
เจ้าแม่จำเป็น ตอนที่ 6 (ต่อ)
ไม่นานหลังจากนั้น กล่องใส่เงินวางอยู่ที่โต๊ะในห้องรับแขก กะละแมยืนเผชิญหน้ากับโต๊ด ติ่งกับตุ้งแช่ยืนอยู่ฟากเดียวกับโต๊ด
“น้าโต๊ด น้าเอาเงินมาจากไหน”
โต๊ดหน้าซีด “เอ่อ...เจอบนแท็กซี่” หลบตาวูบ
กะละแมไม่เชื่อ “ไม่ต้องมาหลอกฉันเลย นายชิณหน้าเลือดบอกฉันเองว่าน้ารับเงินเขามา เขาจ้างให้น้าย้ายออกใช่มั้ย”
โต๊ดหน้าเสียนิดๆ โดนจับได้ แล้วก็แกล้งทำเป็นโวยวายกลบเกลื่อน
“ถ้า...ถ้าใช่แล้วข้าทำผิดตรงไหน หะ”
กะละแมสวน “ไม่ผิด แต่มันน่าอาย” โต๊ดจ๋อย “น้าคิดบ้างไหมว่าเขาจะคิดยังไงกับเรา เขาต้องคิดว่าเราเห็นแก่เงิน”
“แต่ที่ข้าทำทั้งหมดก็เพราะพวกเอ็ง” โต๊ดจ้องหน้ากะละแม “เอ็งก็บอกเองว่าไม่อยากทำอาชีพนี้ ข้าก็เลยตัดสินใจรับเงินมา”
ติ่งช่วยพูด “มันก็จริงอย่างที่น้าโต๊ดพูดนะไอ้แม”
“หรือว่าเอ็งลืมตัว คิดว่าเป็นเจ้าแม่จริงๆ ต้องยืนหยัดอยู่ข้างชาวบ้าน” โต๊ดเตือนสติกะละแม “เฮ้ย...นังกะละแม เราก็คนธรรมดานะโว้ย...มันก็ต้องมีเห็นแก่ตัวกันบ้าง”
กะละแมสวนคำ “แต่ไม่ใช่เห็นแก่เงิน”
โต๊ดอึ้ง
“ถ้าเราจะย้าย ก็ต้องย้ายแบบมีศักดิ์ศรี ย้ายแบบสมัครใจไม่ใช่เพราะเงิน ฉันตัดสินใจแล้ว ฉันจะเอาเงินไปคืน!” น้ำเสียงกะละแมเด็ดขาด
ติ่ง โต๊ดร้องลั่น “เฮ้ย”
โต๊ดรีบบอก “ไม่!! ข้าไม่คืน เงินพวกนี้ คุณชิณเค้าให้ข้า ข้ามีสิทธิ์จะทำอะไรกับมันก็ได้ เพราะฉะนั้นข้าไม่คืน”
พร้อมกันนั้นโต๊ดเอาเงินมากอดไว้ ยืนกรานไม่ยอมคืน กะละแมเครียด ตุ้งแช่คิดๆ แล้วก็ตัดสินใจพูดขึ้น
เสียงอ่อยๆ “ฉันรู้ว่าไม่ใช่เรื่องของเด็ก...แต่ฉันก็เห็นด้วยกับพี่แมนะจ๊ะพ่อ...” ตุ้งแช่เดินมาอยู่ฝั่งกะละแม “เอาเงินไปคืนเค้าเถอะจ้ะ”
โต๊ดด่า “ไอ้แช่...ไอ้ลูกทรพี ทำไมเอ็งไม่เข้าข้างพ่อตัวเองหะ”
“ฉันขอโทษ.. ฉันก็อยากมีเงินนะพ่อ แต่ถ้ามีเงินแล้วทำให้คนอื่นมาดูถูก ฉันยอมไม่มีดีกว่าจ้ะ”
โต๊ดสะอึก ตุ้งแช่ก้มหน้าแต่ยืนยันคำพูดตัวเอง กะละแมรีบยื่นคำขาด
“ถ้าน้าจะเอาเงินไว้ เราขาดกัน ไม่ต้องคุยกันอีกตลอดชีวิต! และฉันจะบอกชาวบ้านในซอยมหาลาภว่าที่เราต้องย้ายออกมา เพราะน้าขายตัวให้เจ้าของที่”
“นังกะละแม” โต๊ดเสียงสั่น
“ฉันทำจริง ถ้าน้าไม่เชื่อก็ลองดู”
กะละแมพูดอย่างหนักแน่น แววตาเด็ดเดี่ยวและเจ็บปวดที่ต้องใช้วิธีนี้ โต๊ดกัดฟันกรอด...คิดหนักเอาไงดี
เช้าวันต่อมาฉายตะวันเพิ่งใส่บาตรเสร็จ กำลังกรวดน้ำอยู่ในสวน พอเสร็จหันมาก็เห็นมิ้วกับกิมเอ็งเดินยิ้มเข้ามาพอดี
สองแม่ลูกแม่ค้าน้ำปั่นไหว้งามๆ “สวัสดีค่ะคุณพี่” / “สวัสดีค่ะคุณป้า”
ฉายตะวันรับไหว้ “แหม...มาแต่เช้าเลยนะจ๊ะ ฉันเพิ่งจะใส่บาตรเสร็จเมื่อกี๊นี้เอง”
“ก็หนูมิ้วน่ะสิคะ ร้อนใจบอกว่าจะมาอยู่เป็นเพื่อนคุณพี่ เพราะเห็นว่าคุณพี่คงจะเสียใจเรื่องสิบแปดมงกุฎ” ตั้งชื่อใหม่ให้เรียบร้อย “หนูมิ้วก็เลยเป็นห่วงคุณพี่ม๊ากมาก” กิมเอ็งแหลได้โล่สุดๆ
มิ้วทำเป็นเขินอาย
“พูดถึงเรื่องเด็กกะละแมแล้ว ยังช็อกอยู่เลยนะ ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นคนแบบนั้น”
มิ้วสร้างภาพแสนดี “โถ คุณป้าขาเรื่องมันผ่านไปแล้วก็ลืมๆ มันไปเถอะค่ะ”
“ใช่ค่ะคุณพี่ ทำใจให้สบายนะคะ ต่อจากนี้เราคงไม่ได้โคจรไปเจอพวกต้มตุ๋นหลอกลวงนั่นอีกแล้ว”
กิมเอ็งพูดอย่างมั่นใจ สองแม่ลูกยิ้มกว้างอย่างมีความสุข
ทันใดนั้นแจ่มเดินเข้ามา
“คุณท่านขา คุณกะละแมมาขอพบค่ะ”
มิ้ว...กับกิมเอ็งหน้าตาตกใจ หุบยิ้มทันที สองแม่ลูกคิดเหมือนๆ กัน “หะ? มันมาได้ยังไง”
ขณะที่ฉายตะวันแปลกใจ
กะละแม นั่งรอฉายตะวันอยู่ที่ซุ้มหน้าบ้าน มีถุงเงินวางกองอยู่ตรงหน้า สักครู่หนึ่งมิ้ว กิมเอ็ง และฉายตะวันเดินเรียงกันเข้ามาเป็นพระอันดับ พอใกล้ถึง มิ้วกับกิมเอ็งเดินปาดหน้าฉายตะวัน แล้วจิกหางตามองกะละแมอย่างดูถูก
“เธอมาทำไม หรือว่าจะมาขอเงินเพิ่ม ที่ได้มันน้อยไปล่ะสิ”
กะละแมเงยหน้ามองมิ้ว พยายามอดกลั้นข่มโทสะ ปล่อยให้มิ้วด่าไป หน้านิ่งๆ
“ไม่ต้องมาทำแบ๊ว ตอนนี้ใครๆก็รู้เช่นเห็นชาติเธอหมดแล้ว” กิมเอ็งใส่อีกดอก
มิ้วตามติดๆ “ยังกล้าเสนอหน้ามาให้เขาด่าอีก”
กะละแมนิ่ง ใช้ความสงบสยบความแรงส์ของสองมาร
“ต๊าย ตายคุณพี่ดูสิคะ โดนด่าขนาดนี้ ยังทำเฉยได้ แสดงว่าหน้าหนาจริงๆ”
ฉายตะวันอึดอัดขัดใจ พูดอะไรไม่ออก
กะละแมจ้องสองแม่ลูกเขม็งพูด ช้า และชัด “ด่าจบแล้วใช่มั้ยคะ” พร้อมกับเอาเงินออกมาวางตรงหน้าขณะหันมาทางฉายตะวัน “หนูฝากเงินคืนคุณชิณด้วยค่ะ รบกวนฝากบอกเค้าว่า เงินของเขาซื้อพวกเราไม่ได้”
ฉายตะวันแปลกใจ มิ้วกับกิมเอ็งเบ้หน้ามองอย่างหมั่นไส้
“น้าโต๊ด ทำไปเพราะอารมณ์ชั่ววูบ...ตอนนี้เขาได้สติกลับมาแล้ว...หนูเลยเอาเงินมาคืน เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้าแม่ ที่น้าโต๊ดทำเป็นการตัดสินใจส่วนตัว หนูไม่รู้เรื่อง”
ฉายตะวันนิ่ง มองกะละแมอย่างพินิจพิจารณา
กะละแมพูดต่อ “สำหรับเรื่องที่ในซอยมหาลาภ สบายใจได้ เราจะไม่กลับไปอีก เรายอมย้ายออกมา แต่ไม่ใช่เพราะเงิน” น้ำเสียงเด็ดขาดมาก “แล้วเงินบางส่วนที่น้าโต๊ดใช้ไปแล้ว หนูจะรีบหามาคืนให้เร็วที่สุด ลาล่ะค่ะ”
กะละแมยกมือไหว้ แล้วเดินออกไป ฉายตะวันอึ้งมองที่เงิน แววตาอ่อนลง
มิ้วใส่ไฟต่อทันที “คุณป้าอย่าไปเชื่อมันนะคะ มิ้วว่ามันเล่นละครค่ะ มันจะไม่รู้เรื่องนี้ได้ยังไง...อมพระร้อยวัดมาพูดก็ไม่เชื่อ...”
กิมเอ็งพยักพเยิด “นั่นสิ....ใครเชื่อก็โง่แล้ว”
ฉายตะวันบอกนิ่มนิ่ง “ฉันเชื่อ”
กิมเอ็งสะดุ้ง “อุ๊ยตาย”
สองแม่ลูกอึ้ง หะ มองหน้ากันเหวอๆไป
เวลาต่อมา ฉายตะวันวางเงินที่กะละแมนำมาคืนลงบนโต๊ะทำงานของชิณท่าทางฉุนๆ ชิณมองเงินที่อยู่ตรงหน้างงๆ
“หนูกะละแมเขาฝากมาคืน”
ชิณชะงัก
ฉายตะวันพูดต่อ “เขาบอกว่าเงินนี่เขาไม่รู้เรื่อง น้าเขาเป็นคนตัดสินใจคนเดียว”
ชิณไม่เชื่ออยู่ดี “คงจะร้อนตัวที่โดนจับได้ ถึงรีบกลับลำ”
มิ้วรีบสอด “จริงค่ะ มิ้วคิดเหมือนพี่ชิณเปี๊ยบเลยค่ะ”
ฉายตะวันไม่สนใจมิ้ว “แต่แม่เชื่อหนูกะละแม แม่เชื่อสายตาตัวเองว่ามองคนไม่ผิด”
ทุกคนอึ้ง...มิ้วกับกิมเอ็งแค้นมาก
“เงินนี่มีบางส่วนที่ใช้ไปแล้ว แต่แม่เอาเงินส่วนตัวเติมจนครบสามล้าน ตอนนี้เขาติดหนี้แม่ไม่ได้ติดหนี้ชิณ!”
ชิณสะอึก ฉายตะวันเดินออกไป กิมเอ็งรีบตาม
“คุณพี่คะ รอด้วยค่ะ...” มิ้วยืนนิ่งไม่อยากไปเพราะแค้น แถมไม่พอใจฉายตะวัน กิมเอ็งต้องกลับมาลากไป “ไปก่อนนะคะคุณชิณ”
กิมเอ็งลากมิ้วออกไปเลย ชิณส่ายหน้า ไม่เข้าใจแม่จริงๆ...เฮ้อ หันมามองเงิน
“จะมาไม้ไหนอีกเนี่ย”
ชิณไม่ไว้ใจกะละแม
ตอนกลางวัน ที่มุมหนึ่งของบ้าน โต๊ดเอาครวญครางด้วยความเสียดาย
“หมด หมด หมดตัวจริงๆ รวยเป็นล้านอยู่แค่วันเดียว ซวยจริงๆ ไอ้โต๊ด นอกจากไม่มีเงินอีกหน่อยก็จะไม่มีที่ให้ซุกหัวนอน ข้าวปลาก็ไม่มีกิน เฮ้อ”
“อ่ะน้า...เอาเงินฉันไปก่อน” กะละแมยื่นเงินให้ปึกหนึ่งประมาณเกือบหมื่น
โต๊ดมองที่เงิน “เอ็งเก็บไว้เถอะ แค่นี้ใช้แป๊บเดียวก็หมด หยิ่งดีนัก รวยอยู่ดีๆ เสือกจองหองเลยจนเหมือนเดิม”
ตุ้งแช่ร้องถาม “พ่อ...แล้วเมื่อไหร่ แช่จะได้ไปโรงเรียน”
“ไปอะไร...เงินยังไม่มีจะกิน” โต๊ดถอนหายใจ แดกดันลูกชาย “เป็นไงล่ะ อยากเป็นคนดีกันนักสะใจหรือยัง”
ตุ้งแช่ก้มหน้าเศร้า
กะละแมให้เงินกับแช่ “เอาเงินพี่ไปก่อน...แล้วพรุ่งนี้ก็ไปเรียนเหมือนเดิม”
ตุ้งแช่ยิ้มพลางรับมา “ขอบคุณจ้ะ”
ติ่งครวญ “เฮ้อ แล้วเราจะทำยังไงต่อไปดีล่ะน้า หรือว่าจะต้องเปิดสำนักอีกที”
“เฮอะ...อยู่ๆ ก็ย้ายสำนักหนี ทำชาวบ้านเดือดร้อน แล้วอยู่ๆ ก็จะกลับไปเปิดสำนักใหม่ จะมีใครเชื่อเอ็งไอ้ติ่ง ป่านนี้เขาคงรู้ทั้งซอยแล้วว่าเจ้าแม่ไม่มีจริง นอกจากจะมีปาฏิหาริย์”
โต๊ดประชด ติ่ง กะละแม และตุ้งแช่นั่งหน้ากลุ้มทุกข์ใจตามๆ กัน
ในร้านค้าแห่งหนึ่งมีประตูกระจกปิด ในซอยมหาลาภ อาม่าและชาวบ้านนั่งลุ้นหวยที่หน้าวิทยุยินเสียงผู้ประกาศหวยอ่านเลขตามวงล้อที่หมุน
“เลขที่ออก...”
ที่หน้าร้านเสริมสวยเห็นคนเฮลั่น
โทฟู่เดินมาพอดี...งง อาม่าวิ่งออกมาจากร้าน
“ม่าเกิดอะไรขึ้น”
“เจ้าแม่ให้หวยถูกอีกแล้ว! งวดนี้เป๊ะๆ ไม่ต้องกลับหน้ากลับหลัง สามตัวเรียงตามลำดับอย่างสวยงาม ถูกยกซอย”
โทฟู่แปลกใจ
“แต่ไอ้แมมันไม่อยู่แล้ว เจ้าแม่ให้หวยได้ยังไง”
“เจ้าแม่ให้ไว้ตั้งแต่ยังไม่ย้ายสำนัก ท่านคงจะให้โชคทิ้งท้ายก่อนจะไป เจ้าแม่เนี่ย มีเมตตาจริงๆ”
อาม่ายิ้มแป้น โทฟู่คิดถึงกะละแมจับจิต
ไม่นานต่อมา แก้วเหล้าในมือนุ้ยหล่นลงพื้น...แตกดัง...เพล้ง เศษแก้วกระเด็น นุ้ยโกรธจนตัวสั่น ดวง และก๋อยยืนจ๋อยอยู่ข้างๆด้วยความเป็นห่วง
“ไอ้พวกสำนักทรง มันต้องตาย”
ดวงรีบเข้ามาพูดปลอบ “ป๋า ใจเย็น ป๋า”
ก๋อยตกใจกลัวยืนตัวลีบเล็กอยู่ที่มุมห้อง ดวงต้องใช้ ‘เท้า’ กวักให้มาช่วยกันปลอบประโลม ก๋อยกล้าๆกลัวๆ
“กูทนไม่ไหวแล้ว กูจะไม่ปล่อยให้ไอ้สำนักกระจอกมันผยองพองขนกับกูอีกแล้ว ต้องเอาให้มันสิ้นชื่อ...กำจัดไม่ให้เหลือซาก”
มาเฟียและเจ้าพ่อหวยไฮเธคฝั่งธนฯคำราม พร้อมกับทุบโต๊ะอย่างแรง ดังปัง!
“ป๋า..ป๋าพูดยังกะจะให้พวกหนูยกพวกไปบุกบ้านมันงั้นแหละ”
“เออสิวะ..นักเลงอย่างเราจะทำอย่างอื่นได้ไง...นอกจากใช้กำลัง ไอ้ดวงเอ็งรีบ คัดแต่พวกหัวกะทิไปเลย ถล่มพวกมันให้ราบอย่าให้เหลือ”
ดวงยังอ้อล้อ “เอ่อ..แต่..ปะ..ป๋าหนูขอน้องกะละแมไว้คนได้ป่ะ”
นุ้ยประกาศกร้าว “ไม่ได้! ใครก็ไม่ได้ทั้งนั้น โดยเฉพาะนังร่างทรงตัวดี ต้องทำให้มันเจ็บเข้าไปถึงเอ็นร้อยหวาย เอ็งไม่ต้องห่วงไอ้ดวง เราเป็นผู้ชาย ต้องรู้จักใช้กำลัง ถ้าเอ็งเอาจริงวันนี้ วันหน้ามันไม่กล้าปฏิเสธเอ็งแน่”
ดวงเห็นด้วยฮึกเหิมตาม
“เอาสิวะไอ้สำนักกระจอก ฮึ..เล่นกับใครไม่เล่น”
ท่าทางนุ้ยแค้นจัด เอามือทุบโต๊ะอย่างแรงดัง...ปัง ถึงเจ็บเพียงใดก็ต้องเก๊กโหดไว้
ตัวละคร - ป้าส้มลิ้ม ป้าเชอร์รี่ อาม่า ชิณ ทรงวุฒิ
บ่ายวันหวยออก ที่บริเวณต้นไทรข้างสำนักทรง มีชาวบ้านนับสิบมุงอยู่รอบๆ บางคนเอาผ้าสีๆ มาผูกต้นไทร บางคนก็เอาหัวหมู เครื่องเซ่นไหว้มาถวาย อาม่าก็เอาน้ำเต้าหู้มาแก้บนกับเขาด้วย บางคนก็ขูดต้นไม้หวังให้เลขขึ้น
อาม่าขูดต้นไม้ด้วย “เจ้าแม่มหาลาภไทรทอง งวดหน้าขอตรงๆ อีกทีเถอะนะเจ้าคะ ถ้าถูก อีฉันจะเหมาคณะลำซิ่งถวายเลยเจ้าประคู้ณ...” ขอไปขูดไปอย่างเร็ว
เวลาเดียวกันนั้นชิณกำลังเดินตรวจที่อยู่กับทรงวุฒิ พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นพวกชาวบ้านรายล้อมต้นไทร ชิณหยุดเดินแล้วมองอย่างคาใจ
“เกิดอะไรขึ้น”
“เจ้าแม่ให้หวยถูกอีกแล้วครับ ถูกกันตั้งแต่หัวซอยยันท้ายซอย เจ้าแม่เนี่ยศักดิ์สิทธิ์จริงๆ” ทรงวุฒิรายงานด้วยอาการตื่นเต้น “เสียดายผมลองไปนิดหน่อย ได้มาแค่ สามสี่หมื่นเอง น่าจะซื้อเยอะกว่านี้”
ชิณเหล่ ทรงวุฒิรีบแก้ตัวสอพลอตอแหลโปรโมชั่นสุดๆ
“แต่...คงจะไม่ลองอีกแล้วล่ะครับ...อบายมุขมันเป็นสิ่งไม่ดี ไม่มีทางซื้ออีกเด็ดขาด!”
ชิณมองไปที่ชาวบ้านสีหน้าครุ่นคิด...แปลกใจว่าทำไมบังเอิญแบบนี้
เย็นนั้นติ่งโพล่งบอกกะละแมด้วยความดีใจ
“รวยแล้วเว้ย! นี่ดีนะที่ฉันกับน้าโต๊ดไหวตัวทัน ซื้อหวยที่แกใบ้ไว้ครั้งที่แล้ว ถูกจังๆ”
กะละแม..หา ‘ฉันใบ้หวยถูกอีกแล้วเหรอ’
“เออสิวะ”
โต๊ดยิ้มย่อง
เจ้าแม่จำเป็น ตอนที่ 6 (จบตอน)
กะละแมอึ้งไม่รู้ควรดีใจ หรือเสียใจดี ในขณะที่ติ่ง โต๊ด นับเงินที่ถูกหวยไปด้วยอย่างมีความสุข
“ที่ถูกหวยครั้งนี้ต้องเป็นเพราะเจ้าแม่แน่ๆ ที่ช่วยไอ้โต๊ดไว้ เจ้าแม่คงยกโทษให้ไอ้โต๊ดแล้วโว๊ย เจ้าแม่แม่นแบบนี้ เปิดสำนักใหม่อีกที รับรองลูกค้าตรึม”
กะละแมตะลึง “เปิดสำนักใหม่! นี่ตกลงน้าจะเปิดอีกแล้วเหรอ”
“เออสิวะ...แล้วเอ็งก็ต้องเป็นร่างทรงเหมือนเดิม”
โต๊ดหันไปนับเงินต่ออย่างเบิกบานใจ ในขณะที่กะละแมหน้าเครียดเคร่ง
โต๊ดเอาเงินมาดมพูดเพ้อ “เงินถูกหวยนี่มันห้อมหอม”
มือกะละแมเอื้อมมาหยิบเงินที่มือโต๊ดไป...โต๊ดมองตามตกใจ
“พรุ่งนี้ฉันจะเอาเงินนี่ไปคืนคุณนายฉายตะวันในส่วนที่น้าใช้ไป”
โต๊ดคราง “จะคืนอะไรนักหนา” พยายามจะดึงเงินคืน “เงินแค่นั้นเค้าไม่สนหรอก ป่านนี้เขาคงลืมไปแล้วมั้ง”
“ถึงเขาลืม ก็ต้องคืน ฉันรับปากเขาแล้ว คำไหนก็ต้องคำนั้น”
โต๊ดจนแต้ม จึงเริ่มดราม่าใส่
“มันจะอะไรกันนักกันหนาหะนังกะละแม๊.....นังหลานอกตัญญู ข้าอุตส่าห์เก็บเอ็งมาเลี้ยง...เอ็งเคยคิดถึงความลำบากของข้าบ้างมั้ย...ตอนนี้ไอ้แช่มันก็ยังเด็ก มันต้องใช้เงินเรียนหนังสือหนังหา...ข้าจะเอาเงินที่ไหนมาให้มัน” ร่ายยาวเป็นชุด
กะละแมตัดบท “พอเลยน้า...มุขเก่า...เบื่อ ไม่ต้องเอาไอ้แช่มาอ้างเลย น้องคนเดียวฉันเลี้ยงได้”
โต๊ดอึ้งตาค้าง และค่อยๆ จ๋อยสนิท
“เอางี้ น้าจะเอาเงินนี่ไปก็ได้ แต่...ถ้าน้าเปิดสำนักใหม่ ฉันจะไม่เป็นร่างทรง น้ากับพี่ติ่งก็เป็นกันเองแล้วกัน”
“อ้าว เกี่ยวอะไรกับฉันด้วยเนี่ย” ติ่งโวย
โต๊ดนิ่งอึ้งไปสักพัก แล้วก็โวย “ข้าจะบ้าก็เพราะเอ็งนี่แหละ นังกะละแม นังหลานสุดประเสริฐ เอ็งจะเอาเงินนี่ไปทำอะไรก็เอาไปเลย ข้ายกให้” ยัดเงินใส่มือประชดส่งๆ “จะเอาไปทำความดี เอาไปให้คนโคตรรวยก็เรื่องของเอ็ง ... เฮ่อ... กรูล่ะกลุ้ม”
โต๊ดเกาหัวยิกๆ แล้วทิ้งตัวนั่งลงอย่างหมดอาลัยตายอยาก ก่อนจะเหล่ตามองติ่ง
“ไม่ต้องมามองเลย งานนี้ฉันไม่เกี่ยว”
ติ่งกอดเงินไว้แนบอก หน้าตามีความสุข คิดถึงมิ้วจับใจ
คืนนั้น มิ้วคุยโทรศัพท์กับติ่ง หน้าตายิ้มแย้มพอใจ
“โทร.มาได้จังหวะจริงๆ...มิ้วกำลังอยากจะเจอคุณติ่งอยู่พอดี” มิ้วหยอดคำหวาน
ติ่งตาโต...เหมือนสวรรค์หล่นทับหัว
“หะ...อยากเจอผม...โอ้ว...โอ้ว...เอ่อ เป็นบุญของไอ้ติ่งจริงๆ ครับที่คุณมิ้วอยากเจอ...งั้นให้ผมไปหาคืนนี้เลยมั้ยครับ”
มิ้วรีบห้าม
“ไม่เป็นไรค่ะ ไม่ต้องรีบขนาดนั้นก็ได้ พรุ่งนี้ก็แล้วกัน”
ติ่งยิ้มกว้าง
“ได้ครับ พรุ่งนี้ครับ...แต่ครั้งนี้ผมขอเป็นคนเลือกร้านเองนะครับ รับรองว่าคุณมิ้วจะต้องชอบ”
ติ่งเพ้อหนัก หน้าตามุ่งมั่นมาดหมายมาก
วันต่อมาที่ร้านก๊วยเตี๋ยวเรือแห่งนั้น น้ำเดือดปุดๆ ในหม้อ คนขายเสียงดังโหวกดหวกโวยวาย ลูกค้าพลุกพล่าน บรรยากาศติดดินสุดๆ
ติ่งนั่งหน้าบานตรงข้ามกับมิ้วที่นั่งหน้าหงิกๆ เหวอๆ ทั้งร้อนทั้งสกปรก ท่าทางไม่คุ้นเคยกับพื้นที่และบรรยากาศ
“ใหญ่มั่วตก 2 เล็กซกไม่งอก 4 หมี่ชิ้นไม่ตก 5 โต๊ะ 9” คนขายตะโกน
เด็กเสิร์ฟเอาก๊วยเตี๋ยวมาเสิร์ฟประมาณเกือบสิบชาม มิ้วตกใจ แต่ติ่งยิ้มน้ำลายไหล
ติ่งภูมิใจนำเสนอ “นี่น้ำตกเลือดกระจาย นี่ก็มีเครื่องในด้วย เขาเรียกมั่วครับ ใส่ทุกอย่าง...เนี่ยน้ำตกพิเศษเลือดสด ไม่ลวก เด็ดครับเด็ดขอบอก” ยื่นให้อย่างภาคภูมิ “เชิญคุณมิ้วตามสบายเลยครับ”
มิ้วดันชามออก “ไม่ค่ะ ขอบคุณ” พยายามกลั้นอ้วกไว้ “เอาแบบธรรมดาดีกว่าค่ะ”
มิ้วตัดใจเลือกชามที่หน้าตาธรรมดาที่สุดมากิน...แต่กว่าจะกินได้ทั้งช้อนทั้งตะเกียบ ก็เช็ดแล้วเช็ดอีก
“เออ...” ติ่งนึกได้หันไปกินน้ำหนึ่งอึกใหญ่ “เมื่อคืนที่คุณมิ้วบอกว่าอยากเจอผมมีอะไรหรือเปล่าครับ” พูดไปพลางเอาตะเกียบคนก๊วยเตี๋ยวในชามอายๆ
“อ๋อ...ก็แค่มีเรื่องอยากถามนิดหน่อย เกี่ยวกับเอ่อ...กะละแมน่ะค่ะ”
ติ่งคิดว่าเรื่องใบ้หวย “อ๋อ...เรื่องที่กะละแมมันให้หวยถูกใช่มั้ยครับ...โอ้ย ถูกกันทั้งซอยเลย...เนี่ยผมก็พลอยได้หางเลขมาด้วย เสียดายถ้ารู้ว่าแม่นจะซื้อให้มากกว่านี้อีก”
มิ้วเอะใจ “อ้าว...พูดแบบนี้แสดงว่าปกติเจ้าแม่ไม่แม่นเหรอคะ”
ติ่งรีบแก้ตัว “อ้อ...ไม่ใช่ครับ คือว่าไอ้ที่จะแม่นหรือไม่แม่นมันก็แล้วแต่ดวงคนซื้อ ถ้าดวงไม่ดีตียังไงก็ไม่เห็นเลข แต่ถ้าดวงดีตีถูกก็ดีไป...ส่วนเจ้าแม่น่ะ ยังไงก็ต้องแม่นอยู่แล้ว” ปาดเหงื่อ “ผมว่าเรารีบทานกันดีกว่าครับ...อืดหมดแล้ว”
ติ่งรีบแกล้งทำเป็นกินไม่พูดอะไรแล้ว เดี๋ยวพลาด มิ้วมองๆ ติ่งเริ่มมีความสงสัย
ฉายตะวันกำลังกำลังจัดของเตรียมไปทำบุญ
“ทำบุญอะไรอีกล่ะครับแม่...เยอะแยะเลย”
“ก็ว่าจะไปถวายสังฆทานให้วัดป่าที่สุรินทร์กับคุณหญิงสุภา...แล้วก็อาจจะสร้างอาคารเรียนให้ครูใหญ่ที่โน่นสักหลัง อาคารเก่ามันโทรมมากแล้ว” ฉายตะวันว่า
“ดีครับ เอาเงินไปทำบุญทำทานให้เด็กให้พระดีกว่าเอาไปให้พวกทรงเจ้าเข้าผี”
ฉายตะวันหงุดหงิดนิดๆ “นี่...ตาชิณไม่ต้องมาแขวะแม่”
“ผมไม่ได้แขวะนะครับ แค่พูดตรงๆ แล้วยัยร่างทรงสิบแปดมงกุฎ” ฉายตะวันเหล่ๆ ชิณเลยเปลี่ยนสรรพนาม “หนูกะละแม” ทำเสียงล้อเลียนอย่างหมั่นไส้ “ของแม่น่ะครับเอาเงินที่ขาดไปมาคืนแม่หรือยัง”
ฉายตะวันเงียบหลบตา ชิณเลยสันนิษฐานได้เอง
“เงียบแบบนี้แสดงว่ายังไม่คืนใช่มั้ยครับ..ผมว่าแล้ว คำพูดของพวกต้มตุ๋น เชื่อถือได้ซะที่ไหน”
ฉายตะวันยังไม่ทันโต้ตอบ แจ่มก็เดินเข้ามา
“คุณนายขา คุณกะละแมมาค่ะ บอกว่าจะเอาเงินมาคืนคุณนาย”
ชิณอึ้ง ฉายตะวันยิ้มกระหยิ่ม
ฉายตะวันดีใจ “แต่แม่ว่าบางที บางคนก็เชื่อถือได้นะ”
ฉายตะวัน เดินออกไป ชิณอึ้งไปนิดหน่อย ทำไมมันบังเอิญแบบนี้เนี่ย เหมือนละครน้ำเน่าหลังข่าวที่สุด
กะละแมวางถุงเงินบนโต๊ะให้ฉายตะวันกับชิณ
“หนูเอามาคืนให้ส่วนนึงก่อนนะคะ แล้วส่วนที่เหลือหนูจะรีบหามาใช้คืนให้เร็วที่สุดค่ะ”
ฉายตะวันทึ่ง “หนูกะละแมเนี่ยพูดคำไหนเป็นคำนั้นจริงๆ ไม่เสียแรงที่ฉันเชื่อใจ”
ฉายตะวันเน้น..ประชดชิณ..ปรายตามามองเล็กน้อยให้รู้ตัว
“ไปรีดไถชาวบ้านที่ถูกหวยมาหรือไง”
กะละแม ชะงัก..ชิณยิ้มนิดๆ อย่างมีชัย..ฉายตะวันหันมาสงสัย
“ชาวบ้านถูกหวยแล้วเกี่ยวอะไรกับหนูกะละแมด้วย”
“ก็คุณร่างทรงแสนประเสริฐเลิศเลอของแม่ มอมเมาชาวบ้านโดยการใบ้หวย แล้วมันก็บังเอิ้ญบังเอิญถูก ชาวบ้านก็เลยไม่เป็นอันทำมาหากิน เอาแต่รอเลขจากเจ้าแม่”
กะละแมนิ่งอดกลั้นไม่เถียง
ฉายตะวันหน้าเครียด ถามออกมา “จริงเหรอ”
ชิณยิ้ม...กะละแมจ๋อย...แล้วฉายตะวันก็พูดต่อ
“ไม่อยากเชื่อเลย...เจ้าแม่ศักดิ์สิทธิ์จริงๆ”
อ้าวเป็นงั้นไป สถานการณ์พลิกผัน...ชิณจ๋อย...กะละแมเริ่มยิ้มออก
“แล้วชาวบ้านถูกกันมากี่ครั้งแล้วจ๊ะ”
“แม่ครับ...” ชิณจะขัด
กะละแมแย่งตอบ “3-4 ครั้งแล้วค่ะ แต่เจ้าแม่ไม่ได้ให้บ่อยๆ นะคะ นานๆ ถึงจะให้ที จะเป็นตอนที่ชาวบ้านเดือดร้อนมากๆอย่างตอนโดนไล่ที่ค่ะ” ท้ายประโยคมองเหล่ชิณ
“เหรอ...เออแปลกดีนะ ไม่เคยได้ยินว่าเจ้าแม่เลือกเวลาใบ้หวยได้ด้วย” ฉายตะวันขำๆ “เอางี้ เรื่องเงิน...ฉันไม่เอาคืน ฉันขอทำบุญถวายเจ้าแม่แล้วกัน”
ชิณร้องเสียงดัง “แม่”
กะละแมรีบบอก “อย่าเลยค่ะ คุณนายรับคืนไปเถอะค่ะ...หนูไม่อยากให้คนอื่นนินทาว่าร้าย เจ้าแม่น่ะค่ะ”
“อย่าไปสนใจคนอื่นเลย ฉันเต็มใจทำบุญ...ถ้าไม่รับฉันโกรธจริงๆ ด้วย” ตัดบทโดยรีบยัดเงินคืนใส่มือ ก่อนที่ฉายตะวันกระซิบกระซาบกับกะละแม
“พรุ่งนี้แวะมาหาฉันที่สมาคมหน่อยนะ ฉันมีข่าวดีจะบอก”
กะละแมสงสัย...ชิณเห็นแม่ซุบซิบๆ ก็รีบเดินมาประกบ กะละแมชิ่งเลย
“ขอบคุณนะคะคุณนาย หนูลาล่ะค่ะ...สวัสดีค่ะ”
ฉายตะวันรับไหว้และยิ้มให้...ชิณจ้องกะละแม แต่กะละแมทำเป็นไม่มองแล้วเดินออกไป ชิณหันมาทางแม่
“แม่พูดอะไรกับเขา”
“ไม่มีอะไร...แม่ก็แค่บอกว่าถ้างวดหน้ามีเลขเด็ดก็อย่าลืมบอกแม่ด้วย..แม่ก็อยากถูกหวยกับเขาเหมือนกัน”
ฉายตะวันจงใจพูดประชด แล้วเดินเข้าบ้านไป...ทิ้งให้ชิณได้แต่สงสัยว่าคุยอะไรกัน...ชิณรีบหันไปที่หน้าบ้านร้องเรียก
“กะละแม!”
ชิณวิ่งตามออกมาที่หน้าบ้าน
กะละแมเดินออกมาที่หน้าบ้าน
“นี่เธอ! หยุดก่อน”
กะลแมไม่สนใจเดินต่อไป ชิณวิ่งตามมาประกบพูดเหน็บ “เธอนี่มีความลับเยอะจังนะ ไหนจะกับแม่ฉัน ไหนจะกับไอ้จักกาย”
“จักกาย” กะละแมรำพึง
“อย่าบอกนะว่าไม่รู้จัก”
“ฉันรู้จัก...คุณจักกาย...แล้วเกี่ยวอะไรด้วย”
ผิดคาด ชิณคิดว่ากะละแมถามว่าจักกายเกี่ยวอะไรด้วย
“ฉันต้องถามเธอมากกว่าว่ามันเกี่ยวอะไรกับเธอ”
กะละแมย้อน “ไม่ใช่...ที่ฉันถามว่าเกี่ยวอะไรด้วย หมายถึงคุณนั่นแหละ เกี่ยวอะไรด้วย ฉันจะรู้จักกับเค้ายังไงมันก็เรื่องของฉัน คุณไม่เกี่ยว”
ชิณอึ้งอย่างแรง แต่ยังแถต่อ “แต่สำนักเธออยู่บนที่ของฉัน...มันมาหาเธอต้องเหยียบที่ดินของฉัน...มันก็ต้องเกี่ยวกับฉัน ตกลงจะบอกได้หรือยังว่า...มันมาหาเธอทำไม”
กะละแมยื่นหน้ามา “อยากรู้ .... ก็ไปถามกันเองสิ” พูดจบก็เดินไป
ชิณมองตามกะละแม ยิ่งไม่บอก ยิ่งอยากรู้ !!
โต๊ดดีใจสุดๆ ตบเข่าฉาดด้วยความพอใจ
“เห็นมั้ยนังกะละแม ข้าบอกแล้วว่าเงินแค่เนี้ยไม่สะเทือนขนหน้าแข้งเขาหรอก” โต๊ดแบมือ “เอามา...ข้าจะเตรียมไว้ทำสำนักให้เจ้าแม่”
กะละแมคืนให้แค่ครึ่งนึง “คุณนายเขาฝากมาทำบุญไม่ได้ฝากมาคืนน้า..น้าเอาไปแค่นี้ก็พอ ที่เหลือฉันจะเอาไปบริจาคให้สมาคมของคุณนาย...ทำบุญทำทานซะมั่ง...เผื่อชาติหน้าจะได้ไม่ต้องต้มตุ๋นชาวบ้านเขาแบบนี้”
โต๊ดประชด “โถ...นังคนดี..ดีให้รอดนะเอ็ง...เฮ่อ...จนแล้วยังเสือกเอาเงินไปบริจาคอีก...กูล่ะกลุ้ม..บุญที่เอ็งทำ เมื่อไหร่มันจะกลับมาสักทีวะนังกะละแม”
โต๊ดถอนใจด้วยความหนักใจ
กะละแมฟังแล้วก็จุก...เออนั่นสิ
ติดตาม "เจ้าแม่จำเป็น" ตอนที่ 7