เจ้าแม่จำเป็น ตอนที่ 2
เวลาเดียวกันโต๊ดกำลังจะปิดสำนัก มีชาวบ้าน 5-6 คนเดินหน้าดำคร่ำเครียดเข้ามา
“นี่พ่อโต๊ด...พ่อโต๊ด”
โต๊ดหันมา “สำนักยังไม่เปิด มาตอนเย็นก็แล้วกัน”
ชาวบ้านชื่อครูมากรีบบอก “เปล่า เราไม่ได้มาเฝ้าเจ้าแม่ แต่เราอยากจะถามพ่อโต๊ด เรื่องที่โดนไล่ที่น่ะ”
ป้าส้มลิ้มถามต่อ “ใช่..ตอนนี้พวกเรากลุ้มใจกันมาก อยากรู้ว่าเจ้าแม่ว่ายังไงบ้าง เจ้าแม่จะไปหรือเปล่า”
“ใช่! เจ้าแม่จะไปหรือเปล่าๆๆ” ชาวบ้านรุมถามเซ็งแซ่
โต๊ดเห็นหน้าชาวบ้านแล้วพูดเอาตัวรอดไปก่อน “โอ๊ย...เจ้าแม่ไม่ไปไหนหรอก เจ้าแม่ก็ต้องอยู่ข้างชาวบ้านสิ เจ้าแม่น่ะท่านไม่ใช่เจ้าที่เคลื่อนที่ ที่จะลอยไปไหนมาไหนเป็นเจ้าไม่มีศาล ท่านประจำที่ต้นโพธิ์ในซอยมหาลาภก็ต้องอยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้ชาวบ้านในซอย ทุกคนไม่ต้องเป็นห่วง เจ้าแม่ต้องอยู่เคียงข้างพ่อแม่พี่น้องแน่นอน”
โต๊ดขายผ้าเอาหน้ารอด...ชาวบ้านโล่งอก สบายใจเป็นแถว
ส่วนในบ้านติ่ง ตุ้งแช่ กะละแม แอบดูอยู่ พอได้ยินก็มองหน้ากัน
“อ้าว...ไหนพ่อบอกว่าจะรีบโกยรีบไป” ตุ้งแช่งง
“เออ นั่นดิ พ่อใครวะ พูดจาเลื่อนลอย ตกลงยังไงเนี่ย จะไปหรือไม่ไปกันแน่” ติ่งก็งง
ตุ้งแช่ยักไหล่ไม่มีคำตอบ กะละแมเซ็ง
ครู่ต่อมากะละแมเดินผ่านมาที่กลางบ้าน บริเวณที่ต้องเข้าทรง กะละแมหันไปมองที่นั่งประจำที่
ใช้สำหรับทำพิธีแล้วก็ส่ายหน้าเบื่อๆ ก่อนจะเดินออกไป
วันต่อมาช่วงตอนกลางวัน จักกายเดินสำรวจมาตามซอย มองซ้ายมองขวา แล้วสายตาก็มาสะดุดหยุดที่ร้านน้ำเต้าหู้ จักกายเดินตรงดิ่งเข้ามาทันที
กะละแมมาช่วยอาม่าจัดโต๊ะเก้าอี้อยู่ เสียงจักกายดังขึ้น กะละแมหันไป จักกายยืนหน้านิ่งๆ ดูวางมาด และถือตัว
“ขายอะไร”
กะละแมหมั่นไส้นิดๆ แต่พยายามตอบดีๆ “ขายน้ำเต้าหู้ค่ะ ถ้วยละสิบห้าบาท”
จักกายทำหน้างง “น้ำเต้าหู้ใส่ถ้วยแล้วจะกินยังไง”
กะละแมผงะ “นี่คุณ..มาจากดาวดวงไหนคะ? ถึงได้กินน้ำเต้าหู้ใส่ถ้วยไม่เป็น”
จักกายผงะบ้าง ไม่เคยเจอใครพูดแรงๆใส่หน้า จักกายมองหน้ากะละแม...คิดในใจ “ผู้หญิงคนนี้” !!
กะละแมหยิบถ้วยขึ้นมาสาธิต “นี่ถ้วย..แล้วนี่ก็น้ำเต้าหู้ ใส่เครื่อง แล้วก็ใช้ช้อน ตักเข้าปาก ง่ายมาก ตกลงว่าจะเอาอะไร”
จักกายมองกะละแมแล้วก็ยิ้มกวนนิดๆ แล้วก็หันไปมองที่แก้วน้ำสำหรับใส่น้ำเปล่าให้ลูกค้ากินฟรีวางคว่ำอยู่ แล้วก็หยิบแก้วมาส่งให้กะละแม
“เอาน้ำเต้าหู้... หนึ่งแก้ว” จักกายวางแก้วไว้ตรงหน้ากะละแม
กะละแมก้มมองแก้ว แล้วก็เงยมองหน้า “แต่นี่มันแก้วกินน้ำนะคะ”
จักกายพยักหน้า ทำหน้ากวนตาใส “อื้อ...แล้วใส่น้ำเต้าหู้ได้หรือเปล่า”
อาม่าเห็นเถียงไม่จบก็เลยตัดบท
“อาแม จะเถียงกันไปทำไม คุณเค้าอยากจะกินใส่แก้วก็ใส่ให้เค้าไปสิ ยิ่งเถียงยิ่งเสียเวลา” หันมาทางจักกาย “เอาเครื่องมั้ยคะ”
“ไม่ครับ น้ำเต้าหู้เปล่าๆ” หันมาพูดกับกะละแม “หนึ่งแก้ว” อย่างกวน
กะละแมจำใจต้องตักน้ำเต้าหู้ใส่แก้วให้ จักกาย บ่นเบาๆ
“โรคจิตป่ะเนี่ย ? ชอบเอาชนะ แม้แต่เรื่องไร้สาระ”
จักกายรับแก้วด้วยความพอใจ ไม่ได้ยินที่กะละแมแอบด่า ส่วนอาม่ามองหน้าจักกายแล้วก็ถามขึ้น
“ไม่เคยเห็นหน้า เพิ่งมาอยู่แถวนี้เหรอ”
“เปล่า..” จักกายทำเนียนโกหก “ผมมาหาบ้านเช่า แต่เห็นมีป้ายไล่ที่ สงสัยจะไม่ได้มาอยู่ เจ้าของที่โหดจริงๆเลยนะครับ ให้เวลาแค่เดือนเดียว ใครจะไปเตรียมตัวทัน”
“ไม่ทันก็ไม่ต้องย้าย เจ้าแม่บอกไม่ย้าย ม่าก็ไม่ย้าย”
จักกายฉงน “เจ้าแม่? เจ้าแม่อะไรครับ”
“เจ้าแม่มหาลาภไทรทองไง ไม่รู้จักเหรอ เนี่ยๆ..อาแมอีเป็น...” อาม่าพูดยังไม่จบคำ
กะละแมรีบแทรก “อาม่าจ๊ะ” อาม่าหยุดพูดหันมา “พอดีฉันเพิ่งนึกได้ว่าต้องรีบกลับบ้าน ฉันไปก่อนนะ วันหลังมาช่วยใหม่ สวัสดีจ้ะ”
กะละแมพูดจบแล้วก็รีบเดินไปคว้าจักรยานแล้วก็รีบขี่ออกไปเลย อาม่ามองตามงงๆ จักกายปรายตามองตามด้วยความสนใจกะละแมก่อนจะหันมาถามอาม่า
“เมื่อกี๊ที่ม่าพูดถึง เจ้าแม่ ตกลงว่า...เจ้าแม่อะไรครับ”
จักกายถามด้วยความสนใจ
เย็นนั้น กะละแมเห็นชาวบ้านกำลังนั่งรอกันตรึม..แน่นจนประตูเดินเข้าออกไม่ได้ ในบ้านก็ร้อนอบอ้าว ชาวบ้านต่างเอาพัดมาพัดกันระวิง ไม่นานต่อมากะละแมเดินออกมาด้วยท่าทางสำรวม ชาวบ้านชะเง้อชะแง้แลดูกันเป็นแถว
ขณะเดียวกันรถบริษัทมหาทรัพย์ไพศาลของชิณ..มาจอดเทียบที่หน้าสำนักทรง โดยมีชาวบ้านมายืนรอที่จะเข้าไป และบางคนเพิ่งจะเดินมาถึง
ชิณเดินลงจากรถ ถึงกับอึ้งๆ กับภาพที่เห็น ชายหนุ่มถอดแว่นดำออก ดูให้ถนัดๆ
ที่บริเวณหน้าบ้านหรือสำนักทรงเจ้าแม่มหาลาภไทรทอง ผู้คนยังทยอยมาไม่ขาดสาย ทรงวุฒิหันมาทางชิณ
“คนเยอะจริงๆ นะครับคุณชิณ...ผมว่าเรามาวันหลังดีกว่ามั้ยครับ”
“จะกลัวอะไร...เข้าไปดูสิ ผมอยากจะรู้ว่าข้างในมันมีอะไร” ชิณไม่หวั่นไหวเพราะไม่เชื่อเรื่องพวกนี้
“คุณชิณ..คุณชิณ”
ชิณไม่ฟังคำห้ามของทรงวุฒิ เดินลุยเข้าไปเลย
เวลาต่อมากะละแมนั่งประจำที่ โต๊ดส่งธูปเทียนให้..กะละแมเริ่มทำพิธีไหว้เจ้าแม่...ชาวบ้านต่างก็ยกมือไหว้ตามสลอน
ชิณตรงมาที่สำนักทรง พยายามจะเบียดชาวบ้านเข้าไปด้านใน...แต่ผู้คนแน่นมากเข้าไปลำบาก ชิณพยายามแทรกตัวเข้าไป
“ขอโทษครับ...ขอทางด้วย”
“คุณชิณครับคุณชิณใจเย็นๆ ครับ”
ชิณไม่ทิ้งความพยายามที่จะเข้าไปให้ได้
ติ่งกับตุ้งแช่กำลังเตรียมงาน เดินมาหยิบอุปกรณ์ที่อยู่ข้างๆ บ้าน...จังหวะนั้นก็เหลือบไปเห็นความผิดปกติ...ว่ามีคนกลุ่มหนึ่ง พยายามจะเบียดคนเข้าไปด้านใน..ติ่งเพ่งมองเพราะไม่คุ้นหน้า
ติ่งวางของแล้วเดินมาดูว่าเป็นใครวะ เพราะหน้าตาคุ้นๆ ในที่สุดติ่ง เห็นชิณ และจำได้
“นั่น...มัน..มัน..เจ้าของที่นี่หว่า”
ติ่งรีบวิ่งตาลีตาเหลือกเข้าไปในบ้าน
แท่งเทียนในมือกะละแมเริ่มสั่น เห็นน้ำตาเทียนหยดแหมะๆๆ ลงในขันน้ำมนต์ใบโต...ชาวบ้านชะเง้อชะแง้มองด้วยความอยากรู้อยากเห็น..กะละแมสวดมนต์เป็นภาษามั่วๆ มีควันธูปลอยจางๆ ไปมาในอากาศ
เสียงสวดเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ...เนื้อตัวกะละแมสั่นมากขึ้นๆๆ
โต๊ดรู้คิวรีบทำท่าเชื่อถือมาก บิ้วท์ทันที “เจ้าแม่ลงแรงจริงๆ วันนี้ สงสัยเลขจะเด็ด”
ชาวบ้านยิ่งตื่นเต้นกันยกใหญ่อยากเห็นว่าเลขอะไร
โต๊ดจัดเต็ม “ใจเย็นพ่อแม่พี่น้อง...เจ้าแม่บอกว่า ลาภในวันนี้เป็นลาภลอย ไม่ใช่ลอยธรรมดา แต่เป็น …ลอยในขัน” ชาวบ้านร้อง...โห...หน้าตาตื่นเต้น “ต้องคนมีดวงจริงๆถึงจะมองเห็น..ใครอยากจะลองดูเลขเอ้ย ดูลาภ ก็ช่วยกันทำบุญบริจาคสักเล็กน้อย เพื่อเจ้าแม่จะได้เอาไปทำบุญต่อไป”
ชาวบ้านเริ่มควักเงินกันจ้าหล่ะหวั่น ขณะที่กะละแมเอาเทียนจุ่มลงไปในขันน้ำมนต์ จังหวะนั้นติ่งรีบคลานมาหาโต๊ดแล้วก็กระซิบ..โต๊ดตกใจร้อง หะ..แล้วก็คิดหาวิธี กะละแมผิดสังเกตเหล่ๆ ตามองว่ามีอะไร
ด้านชิณยังพยายามจะแทรกตัวเข้าไป..เกือบจะถึงอยู่แล้ว
โต๊ดเอาเทียนที่ถืออยู่ในมือจุ่มน้ำเป็นสัญญาณฉุกเฉิน กะละแมเหลือบเห็นเลยทำเป็นสลบเมือดไปชาวบ้านตกใจอ้าปากร้อง..หะ...เกิดอะไรขึ้น
ชิณยิ่งเข้าไปยากขึ้น เพราะชาวบ้านเบียดเข้าไปดูกันใหญ่ว่าเกิดอะไรขึ้น ติ่งเข้ามาลากกะละแมออกไป โต๊ดรีบเคลียร์สถานการณ์
“มีข่าวร้ายครับ...วันนี้เจ้าแม่ไม่เข้าร่าง”
ระหว่างที่โต๊ดเคลียร์กับชาวบ้าน ติ่งก็พยุงกะละแมเข้าไปด้านหลังบ้านที่เวลานี้เป็นสำนักทรงเต็มคราบ
ชาวบ้านลุกฮือเล็กน้อย
“ทำไมล่ะ...” บรรยากาศเริ่มอื้ออึง “เกิดอะไรขึ้น”
โต๊ดประกาศ “เกิดเหตุอุบาทว์ มีกาลกิณีมากวน...ทำให้เสียฤกษ์...เจ้าแม่เลยไม่ยอมประทับร่าง”
เชอร์รี่ขาประจำงง “แล้วอะไรที่เป็นกาลกิณี”
พอเชอร์รี่พูดจบ เป็นจังหวะที่ชิณเบียดเข้ามาข้างในได้พอดี
“ไหน !! เจ้าแม่เจ้าพ่ออยู่ไหน? เป็นใคร...ออกมาให้เห็นหน้าหน่อยสิ”
ชิณโพล่งขึ้นเสียงดังในจังหวะที่ซวยที่สุด เพราะพอชิณโวยเสร็จทุกสายตาก็หันควับมาทางชิณเป็นตาเดียว..แววตาอริเปี่ยมล้น
เจ้าแม่จำเป็น ตอนที่ 2 (ต่อ)
ด้านติ่งลากกะละแมมาหลังม่าน พอลับตาคนกะละแมก็ฟื้นทันที เงยหน้าขึ้นขยับพรวดมาแอบดูที่ช่องข้างหลัง
“นายชิณ” กะละแมตกใจ
บรรยากาศในสำนักทรงเริ่มมาคุ ลุงมากลุกพรวดขึ้นพร้อมชี้หน้าชิณ “ใช่...ไอ้คนนี้แหละ ที่เป็นเจ้าของที่ แล้วมาไล่ที่เรา”
เชอร์รี่จำได้ “เออ...ข้าก็จำได้...นี่คุณ...คุณมาทำอะไรที่นี่หะ..หรือว่าจะมาไล่ที่เราถึงที่นี่”
ชาวบ้านทุกคนต่างลุกฮือ “เออ...ใช่ๆ...”
ป้าแช่มร้องขึ้น “หรือว่านี่เป็นอุบาทว์ เป็นกาลกิณีอย่างที่เจ้าแม่ว่า...”
ทุกคนตอบรับเห็นดีเห็นงาม “เออ..ใช่ๆ”
โต๊ดอึ้งไปเห็นเหตุการณ์ไม่ดีและทำท่าจะบานปลาย จึงจะรีบเคลียร์ “เดี๋ยวก่อนพ่อแม่ พี่น้อง ใจเย็นๆ ก่อน ใจเย็นๆ”
ป้าเม้าท์ไม่ฟัง “ต้องใช่แน่ๆเลย...ร้อยวันพันปีเจ้าแม่ไม่เคยเป็นแบบนี้”
ชิณพยายามพูดดีๆ ด้วย “ขอโทษนะครับ ขอให้ทุกคนมีสติกันหน่อย ผมทำอะไรให้เจ้าแม่พวกคุณเดือดร้อน...นี่...ต้นไม้อะไรเนี่ยก็อยู่ในที่ผม ถ้าเจ้าแม่มีตัวต้นจริงก็ต้องย้ายเหมือนกัน ผมให้เจ้าแม่อยู่ฟรีไม่เก็บค่าเช่าที่ก็ดีแล้ว...ถ้ารู้ว่าจะมาปลุกระดมชาวบ้านแบบนี้ ผมตัดทิ้งไปนานแล้ว”
ชาวบ้านตกใจร้อง “หะ...” คนแก่เอามือทาบอก..อกอีแป้นจะแตก..ทุกคนไม่พอใจ มีลุงมากพรวดขึ้นมาทันทีเลย...จนพนักงานต้องเข้ามากันชิณไว้ ชิณผงะนิดๆ
“คุณจะมากไปแล้วนะ..คุณพูดแบบนี้ ลบหลู่เจ้าแม่ชัดๆ”
เชอร์รี่ผสมโรง “ใช่ พวกนายทุนหน้าเลือด ไม่มีหัวจิตหัวใจ อยากจะทำอะไรก็ทำ”
ชาวบ้านประสานเสียง “ใช่”
“ผมว่า..เราค่อยๆ พูดกันก็ได้” โต๊ดร้องขึ้น
ชิณเริ่มต้องถอยเพราะถูกชาวบ้านรุกหนัก..โต๊ดคุมอะไรไม่อยู่ ชาวบ้านไม่พอใจชิณอย่างมาก
ที่ด้านในบ้านกะละแม และติ่ง แอบดูอยู่เห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง
จอมแสบตุ้งแช่ทำท่านับ “สิบสอง...สิบสาม”
ติ่งฉงน “นับอะไรวะไอ้แช่”
“นับคนพี่...จะได้รู้ว่ามีกี่ตีน”
กะละแมบอกเบาๆ “ไม่รู้ว่ากล้าหรือบ้ากันแน่”
กะละแมบ่นพึมพำแล้วก็แอบดูต่อไป
กลุ่มของชิณเริ่มถอยร่น ทรงวุฒิเอ่ยขึ้น
“คุณชิณครับ ผมว่าเรากลับกันก่อนดีกว่าครับ..ดูท่าจะไม่ค่อยดี”
ชาวบ้านเริ่มรุกคนหนึ่งตะโกนขึ้นมา “นายทุนหน้าเลือด อย่าคิดว่าจะมาทำอะไรเจ้าแม่ของพวกเราได้”
ชาวบ้านรับพร้อมๆ กัน “ใช่ๆ”
เชอร์รี่ตะโกน “ตัวกาลกิณี..เจ้าแม่บอกเราแล้ว ตัวซวย..ระวังตัวไว้ให้ดีเถอะ”
โต๊ดตกใจคิดว่า โอ้ย แย่แล้ว “เอ่อ...มันก็ไม่ใช่..อย่างนั้น..” พูดเบาๆ ไม่มีใครฟัง “โอ๊ย ไปกันใหญ่แล้ว”
ชิณยังไม่ยอมแพ้แหลมออกมาอีก ตะโกนกลับไปด้วยความไม่ยอมคน
“พวกคุณกำลังโดนหลอก... เจ้าแม่ไม่มีจริง และผมขอยืนยันอีกครั้ง พวกคุณต้องออกไปจากที่นี่รวมทั้งเจ้าแม่กำมะลอนี่ด้วย”
เท่านั้นแหละ ชาวบ้านลุกฮือ พรวดขึ้นมา พร้อมกับเขวี้ยงปาของใส่พัลวัน
“นี่แน่ะ ว่าเจ้าแม่เหรอ...นี่แน่ะ...” / “ไอ้ตัวซวย...ไอ้คนอุบาทว์ ระวังเถอะ...นรกจะกินหัว”
ชาวบ้านเริ่มรุนแรงมากขึ้น ทรงวุฒิรีบลากชิณออกมา
“คุณชิณผมว่าเราไปก่อนเถอะครับ..ไปครับ”
ทรงวุฒิเอาตัวเองบังของที่ชาวบ้านเขวี้ยงปามาแล้วก็พยายามดันชิณออกไป
กะละแมมองดูความวุ่นวายอยู่ที่ด้านใน แล้วก็หันหลังกลับด้วยใบหน้าเครียด ส่ายหน้าเพลียๆ
“ปากหาเรื่องจริงๆ”
ส่วนทรงวุฒิและพนักงานต้องรีบต้อนชิณขึ้นรถแทบไม่ทัน เกือบโดนรุมประชาทัณฑ์ ชาวบ้านวิ่งตามเอากระดาษรองเท้า ข้าวของใกล้มือ ไล่ขว้าง ปาใส่ชิณและคณะ...ชิณรอดไปได้อย่างหวุดหวิด รถแล่นออกไป
ที่มุมหนึ่ง ไม่ห่างออกมาไป จักกายยืนดูอยู่เมื่อไหร่ไม่รู้ จักกายยิ้มนิดๆ ด้วยความพอใจ
ชิณกลับมาถึงออฟฟิศ ตอนเย็นวันนั้น ชิณทิ้งตัวลงนั่งด้วยความไม่พอใจ มีทรงวุฒิเดินตามมาพูดเตือนสติ
“ผมบอกแล้วว่าชาวบ้านเชื่อเจ้าแม่มาก...คุณชิณไม่น่าพูดแบบนั้นเลย”
“ผมไม่กลัว...ไม่ว่ายังไงความถูกต้องก็ต้องอยู่เหนือสิ่งอื่นใด เสียดายที่ไม่เจอยัยตัวแสบ จะได้กระชากหน้ากากออกมาให้ทุกคนเห็น จับโกหกให้ได้คาหนังคาเขา ชาวบ้านจะได้เลิกงมงายเสียที”
ชิณฝังใจว่ากะละแมโกหกแน่ๆ
“ผมไม่ยอมให้ปัญหานี้ยืดเยื้อคาราคาซังมากไปกว่านี้ ผมจะต้องหาทางกำจัดยัยเจ้าแม่กำมะลอออกไปจากซอยมหาลาภโดยเร็วที่สุด”
ชิณประกาศออกมาด้วยความแค้น
ที่บ้านกิมเอ็งค่ำวันนั้น เสียงกิมเอ็งโพล่งออกมา พร้อมกับทำท่าครุ่นคิดหลังจากฟังที่ลูกสาวเล่าจบ
“เจ้าแม่มหาลาภไทรทอง”
หมวยเอ็กซ์มิ้ว สาธยายด้วยท่าทางตื่นเต้นสุดๆ
“ใช่ค่ะ มิ้วแอบได้ยินนายทรงวุฒิบอกพี่ชิณว่า ชาวบ้านในซอยมหาลาภนับถือเจ้าแม่กันทั้งซอย มิ้วว่าเรารีบไปบอกคุณป้าฉายดีมั้ยคะ เผื่อเจ้าแม่จะได้ เชคดวงพี่ชิณไงคะคุณแม่”
กิมเอ็งครุ่นคิด “คุณแม่ว่า เราไปพิสูจน์ให้เห็นกับตาก่อนดีกว่านะคะ ขืนสุ่มสี่สุ่มห้าไปบอก แล้วเกิดเป็นเจ้าแม่เก๊ขึ้นมา เราอาจถูกลดระดับความน่าเชื่อถือ”
“จริงด้วยค่ะ” มิ้วยิ้มปลื้ม “คุณแม่เนี่ย…สวยรอบคอบ จริงๆ”
กิมเอ็งยิ้มรับ “เรื่องแบบนี้เราต้องกันไว้ดีกว่าแก้ แม่ไม่อยากพลาด”
มิ้วพยักหน้าเห็นด้วย คิดแล้วก็โพล่งถามขึ้นด้วยความอยากรู้
“แล้วคุณแม่คิดว่า...เจ้าแม่จะแม่นมั้ยคะ”
ช่วงกลางวันของวันต่อมา ยินเสียงจากวิทยุเล็กๆ เก่าๆ ในมุมหนึ่งของชุมชนมหาลาภ
“ประกาศผลรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาล”
ชาวบ้านมุงฟังกันเพียบ แต่ละคนทำหน้าลุ้นระทึก
เสียงจากวิทยุประกาศต่อ “รางวัลเลขท้ายสามตัว หมุนครั้งที่หนึ่ง เลขที่ออก...”
สีหน้าท่าทางของชาวบ้านลุ้นตัวโก่ง
“สอง ศูนย์ ...เก้า” เสียงประกาศดังตามด้วย เสียงชาวบ้านเฮกันลั่นซอย
“เย้...เย้ ถูกแล้วเว้ย ถูกแล้วเว้ย เย้...เย้...ขอบคุณเจ้าแม่”
ชาวบ้านร้องรำทำเพลงกันอย่างมีความสุข
บ่ายแก่ๆ โต๊ดทั้งตกใจ ดีใจ และประหลาดใจในคราวเดียวกัน
“ถูกหวยยกซอย!” โต๊ดเบี่ยงหน้าหลบเชอร์รี่ แล้วรำพึงแบบอึ้งๆ “ถูกได้ไงวะ”
“ฉันรีบมาบอก เพราะอยากให้เปิดสำนักเย็นนี้ มีคนรอเฝ้าเจ้าแม่เยอะมาก เขาอยากมาทำบุญกับเจ้าแม่” เชอร์รี่บอกอีก
โต๊ดรีบรับปากทันควัน “ได้ๆ...เย็นนี้จะรีบเปิดสำนักเลย ไปกระจายข่าวได้เลย จะได้มากันเยอะๆ เจ้าแม่ชอบคนมาทำบุญ”
โต๊ดยิ้มแฉ่ง คิดในใจ...รับทรัพย์อื้ออีกแน่ๆ ว่าแล้วควักโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงมากดโทร. ออก
เวลาเดียวกันอาม่าวิ่งหน้าเริดมาหน้าร้านขายเต้าหู้ ตะโกนโหวกเหวก ท่าทางดีใจสุดฤทธิ์
“ถูกแล้วเว้ย... อั๊วถูกหวยเว้ย.....”
โทฟู่หันไปเห็นก็ตกใจ
“อาม่าอย่าวิ่งสิ กระดูกกระเดี้ยวยิ่งไม่ค่อยดีอยู่”
“ไม่เป็นไร เข้าโรงบาลก็เอาเงินถูกหวยไปให้หมอไง” อาม่าดีใจโคตรๆ “ม่าไปเอาเงินก่อนนะ” แล้วก็วิ่งไปต่อ “ถะ ถะ ถะ ถูกแล้วเว้ยยยยยย”
โทฟู่ส่ายหน้า
กะละแมที่ยืนอยู่ข้างๆ มองตามอาม่าด้วยความรู้สึกผิด ทันใดนั้นโทรศัพท์มือถือที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงก็ดังขึ้น กะละแมควักโทรศัพท์ออกมาดู เห็นหน้าจอเป็นชื่อ “น้าโต๊ด”
กะละแมกดรีบคุยโทรศัพท์ “ว่าไงจ๊ะน้าโต๊ด?” นิ่งฟัง “ไหนว่าวันนี้หยุดไง” ฟังต่อ “จ้ะๆ จะรีบกลับไปให้ทัน” วางสายแล้วบ่นเบาๆ “เข้าไม่เป็นเวล่ำเวลาจริงๆ เจ้าแม่เนี่ย”
โทฟู่ฉงน “ไอ้แม บ่นอะไร”
“ไม่มีอะไร” กะละแมหันไปเช็ดโต๊ะต่อ “ฉันกลับสำนักก่อนนะ”
โทฟู่นึกออก “เอ้อ...พูดถึงสำนักทรงแล้วก็นึกได้ เมื่อวานเจ้าของที่มาบุกสำนักทรงเหรอ” กะละแมพยักหน้ารับ “โหดว่ะ สงสัยเขาคิดว่าถ้าไล่เจ้าแม่ออกไปได้ ชาวบ้านก็คงจะยอมย้ายตามออกไปง่ายๆ มั้ง คิดแล้วก็สงสารชาวบ้านเนอะ ย้ายไปแล้วก็ไม่รู้จะไปอยู่ไหนกัน”
กะละแมพยักหน้า “อือ...เรื่องมันชักจะไปกันใหญ่แล้ว” ก่อนจะทำหน้าเซ็งๆ “อยู่ดีๆ อีตาเจ้าของที่ก็ลากเจ้าแม่เข้ามาเกี่ยวด้วยซะงั้น” กะละแมหนักใจ
“ไม่แน่นะ แกกับเจ้าแม่อาจจะเป็นคนเปลี่ยนใจเจ้าของที่ก็ได้” โทฟู่ยิ้มให้กำลังใจ
“โห..ฉันไม่มีความสามารถมากขนาดนั้นหรอก แค่เอาตัวรอดไปวันๆยังแทบจะแย่” แล้วกะละแมก็ตัดบท “ฉันกลับก่อนนะ ทรงเสร็จจะกลับมาช่วยต่อ”
กะละแมเดินออกจากร้าน นึกหมั่นไส้ชิณอยู่ในใจ
ภายในบ้านนุ้ยเวลาต่อมา เห็นสมุดโพยหวย เครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่องแฟกซ์ ไอแพด ตลอดโทรศัพท์มือถือหลายอันวางอยู่ ซึ่งล้วนเป็นเครื่องมือเพื่อเอาไว้รองรับการแทงหวยจากลูกค้าทุกกลุ่มให้ทันตามเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป
โพยหวยถูกโยนลงบนโต๊ะด้วยความไม่พอใจ ด้วยฝีมือของ ป๋านุ้ย ชายไทยวัยประมาณ ๕๐ ท่าทางนักเลงไม่กลัวใคร พูดน้อยแต่ทำจริง เป็นมาเฟียขายหวยเทรนด์ใหม่ไฮเทคสุดๆ และถือเป็นเจ้ามือหวยรายใหญ่ที่สุดแถวฝั่งธน นุ้ยโวยวายด้วยความฉุน
“นี่มันอะไรกัน ทำไมงวดนี้ชาวบ้านมันถูกกันเยอะแบบนี้วะ มันเป็นย่านไหนไอ้ก๋อย”
ก๋อยสมุนร่างอ้วนเตี้ยหน้าคล้าย “แจ๊คแฟนฉัน” ยังกะแกะ รีบรายงาน “เป็นชาวบ้านที่ซอยมหาลาภครับป๋า”
“แล้วไอ้ซอยเวรนั่นมันมีอะไรดี ชาวบ้านถึงได้ถูกกันร่วมล้านแบบนี้” นุ้ยโมโหไม่หาย
“เขาว่ากันว่าที่ท้ายซอยมีสำนักทรงแม่นมาก ชื่อ “เจ้าแม่มหาลาภไทรทอง” เปิดได้ไม่กี่ปี แต่ชาวบ้านติดตรึม เจ้าแม่ใจดี รักษาโรคฟรี ใครอยากจะบริจาคเท่าไหร่ก็ได้ตามใจ หรือจะไม่ให้ก็ได้ เจ้าแม่ไม่บังคับ ชาวบ้านก็เลยศรัทธา ที่สำคัญร่างทรงสวยครับป๋า”
ทันใดนั้นเสียงแทรกดังขึ้นมา
“ใครสวย?”
เจ้าแม่จำเป็น ตอนที่ 2 (ต่อ)
ที่แท้เป็นเสียงดวงชายวัยหนุ่มแน่น หน้าตาดีพอประมาณ ลูกชายนุ้ย ท่าทางหลงตัวเองสุดๆ เดินลงมาจากบ้าน
นุ้ยเห็นแล้วหมั่นไส้ “ได้ยินเรื่องผู้หญิงไม่ได้เลยนะ หูเงี้ยผึ่งยิ่งกว่าหูช้างอีกนะไอ้ดวง”
“โธ่ป๋า ถ้าหนูหูผึ่งตอนได้ยินเรื่องผู้ชายแล้วป๋าจะหนาว” หันมาทางก๋อย “อ้าว ว่าไงล่ะไอ้ก๋อย กูถามว่าใครสวย”
“ร่างทรงที่ซอยมหาลาภจ้ะพี่ดวง” ก๋อยบอก
“ร่างทรง....สวย” ดวงรำพึงงงๆ “สวยแล้วมาเป็นร่างทรงทำไมวะ ทำไมไม่ไปเป็นโคโยตี้นี่ถ้าสวยจริงๆ มึงไปทาบทามมาให้กูไป บอกพี่ดวงเลี้ยงเอง”
นุ้ยด่าทันที “ไม่ต้องแส่หาเรื่องเลยไอ้ดวง ทำตัวให้ดีๆหน่อย แล้วไอ้นิสัยเมาชกต่อยกับชาวบ้านหยุดได้แล้ว ข้าเหนื่อยไปประกันตัว”
ดวงออกอาการเซ็งๆ แคะหู “ป๋าไม่ต้องห่วงหนูหรอกน่า หนูเอาตัวรอดได้อยู่แล้ว ป๋าห่วงแต่บ่อน แล้วก็หวยใต้ดินป๋าเหอะ ช่วงนี้ตำรวจกำลังจับบ่อนเอาโล่ห์อยู่ ระวังบ่อนป๋าให้ดีเหอะ”
นุ้ยด่าลูกแต่ตบกบาลไอ้ก๋อยไป 1 เผียะ! “หนอยไอ้ลูกเวร!!!”
“โอ๊ย! ป๋าด่าพี่ดวง แล้วตบหัวฉันทำไมเนี่ย” ก๋อยครวญ
“ก็เอ็งอยู่ใกล้ ไอ้ดวงมันไกลตบไม่ถึง”
ก๋อยคลำหัวป้อยๆ ส่ายหน้าด้วยความเซ็ง
นุ้ยสวดต่อ “ไอ้ดวงไม่ต้องทำเป็นสั่งสอนข้า ข้าน่ะเจ้ามือหวยมืออาชีพ เดินโพยตั้งแต่ตั้งไข่ คนอย่างป๋านุ้ยใครกล้าแหยม หนอย...ตบอีกสักทีดีไหมเนี่ย”
นุ้ยง้างมือจะตบหัวก๋อยอีกที ก๋อยอวดฉลาดเอาถาดมาปิด นุ้ยรู้ทันเลยเปลี่ยนจากตบกบาลเป็นถีบกระเด็น ก๋อยกลิ้งไป โครม!!!
“โถ่ป๋า...แค่ชาวบ้านถูกหวยไม่กี่ล้าน ทำหงุดหงิดไปได้ เอางี้ป๋า เพื่อเป็นการช่วยป๋าทำมาหากิน หนูจะเป็นคนดูลาดเลาไอ้สำนักทรงอันใหม่ที่ซอยมหาลาภให้ ว่าไอ้ใครหน้าไหนที่มันบังอาจมาตั้งตัวเป็นศัตรูป๋า ให้หวยชาวบ้าน”
“เออ…ดี เอ็งรีบไปดูเลยนะว่าไอ้สำนักซอยมหาลาภน่ะมันเป็นไงบ้าง ได้เรื่องยังไงรีบมารายงานป๋าด้วย”
“จัดไป”
ดวงยิ้มกริ่ม คิดร้ายหื่นๆ...ฮึ...ฮึ..ฮึ
จากบ่ายคล้อยเป็นเย็นย่ำ รถมิ้วแล่นเข้ามาเทียบที่หน้าบ้านกะละแมสำนักทรง มิ้วมองเข้าไปข้างใน
“มิ้วว่าหลังนี้ล่ะค่ะ”
กิมเอ็งหันไปมอง...อย่างมีความหวัง
เวลาต่อมาที่ด้านในสำนัก กะละแมนั่งสั่นงั่กๆๆๆ แล้วก็หยุดสลบไป แล้วก็ฟื้นขึ้นมา โต๊ดส่งหมากให้แบบรู้งาน กะละแมรับไปเคี้ยว
“มีอะไร แห่กันมาเยอะแยะ”
กิมเอ็งและมิ้วนั่งอยู่ในวงล้อมของชาวบ้าน สองแม่ลูกมองกะละแมด้วยความตื่นเต้น
“คนมาเยอะขนาดนี้ต้องแม่นมากแน่ๆ ค่ะคุณแม่” มิ้วทึ่ง
“คุณแม่ว่าเราลองถามชาวบ้านเพื่อความชัวร์ดีกว่าค่ะ” กิมเอ็งหันมาทางชาวบ้านข้างๆ ที่หน้าตาดูเด็กกว่าเยอะ “คุณพี่มาบ่อยไหมคะ แล้วเจ้าแม่ดูแม่นมากไหมคะ”
หญิงชาวบ้านคนนั้นมองหน้ากิมเอ็งประมาณ...หน้าแก่กว่าแล้วยังจะกล้าเรียกฉันว่าคุณพี่อีก
“แม่นยิ่งกว่าแม่น นี่เพิ่งให้หวยถูกกันสามตัวตรงๆ รวยกันถ้วนหน้า ชาวบ้านถึงได้แห่กันมาแน่สำนักเนี่ย” ชาวบ้านอีกคนข้างๆ กันพยักหน้าสนับสนุนเป็นทิวแถว
กิมเอ็ง ดูจะเชื่อถือเจ้าแม่ขึ้นมาทันใด
ส่วนมิ้วกำลังหันไปถามชาวบ้านอายุรุ่นป้า อ้วนๆ และสวยติดลบ
“เจ้าแม่ดูดวงแม่นไหมคะ”
“แม่นไม่แม่นก็ดูเอาแล้วกัน วันก่อนเจ้าแม่บอกว่าฉันจะเจอเนื้อคู่ก็เจอจริงๆ”
ป้าคนนั้นหันไปมองหน้าแฟนหนุ่มหน้าตาดีแล้วเขิน บิดไปมา มิ้วเห็นแล้วอึ้ง!
สองแม่ลูกหันหน้าเข้าหากันประสานเสียง
“แม่นจริงๆ ด้วย”
เหตุการณ์ที่หลังม่าน ติ่งถือธูปควันโขมง อีกมือหนึ่งก็พัดไปด้วย แล้วก็แหวกม่านดูว่าเหตุการณ์เป็นยังไงบ้าง ตุ้งแช่คอยช่วยพัดอยู่ข้างหลัง
ติ่งมองไปเรื่อยๆ เห็นชาวบ้านเพียบ แล้วก็เลยผ่านมิ้วกับกิมเอ็งไป...แล้วก็ชะงักกึก...ย้อนกลับมาใหม่...แล้วก็หยุดที่มิ้ว...นิ่งค้างอยู่ สีหน้าติ่งตะลึง โอ้โฮ...นางในฝัน
“ขาว สวย หมวย อึ๋ม นี่แหละนางในฝันของไอ้ติ่ง” ติ่งเพ้อเว่อร์
ตุ้งแช่ส่ายหัวมองอาการติ่ง...เป็นเอามาก
ใบหน้ากะละแมดูจริงจังขณะพูดกับลูกศิษย์
“เงินที่ได้จากโชคลาภน่ะมันเป็นเงินร้อน ถ้าอยากให้อยู่นานๆ ก็ต้องรู้จักใช้ให้มันดีๆ มันมาง่ายก็ไปง่าย พวกเอ็งจำที่ข้าพูดไว้ให้ดี ข้าต้องรีบไปแล้ว มีประชุมบนสวรรค์ แล้วถ้าไม่จำเป็น ก็อย่าเล่นหวยให้มันมากนักนะเว้ย คนเราไม่ได้จะถูกกันทุกงวด”
จากนั้นกะละแมตัวสั่นงั่กๆๆๆ มิ้วกับกิมเอ็งมองดูด้วยความตื่นตาตื่นใจ ไม่นานกะละแมสลบเหมือดไป
โต๊ดผิดสังเกตมองไปหลังม่าน ติ่งไม่ออกมา เลยรีบไปลากกะละแมออกมาเอง
“เอ้า พ่อ แม่ พี่ น้อง จะทำบุญทำทานก็ทำกันไปนะ ใครจะซื้อดอกไม้ ธูป เทียน ก็หยิบกันไป แล้วเอาเงินใส่ตู้ไว้”
โต๊ดลากกะละแมเข้าไป ปากก็ด่าติ่ง
“ไอ้เวรติ่ง เอ็งเป็นอะไรของเอ็งวะ”
ชาวบ้านลุกฮือมาทำบุญ ใส่เงินกันใหญ่ โต๊ดมองชาวบ้านหย่อนเงินใส่ตู้แล้วยิ้มกริ่ม แล้วเหลือบไปเห็นกิมเอ็งกับมิ้วก็ตาโตคิดในใจ...ลูกค้ารายใหม่ ท่าทางรวยมากด้วยเว้ย
“อ้าวใครหน้าใหม่ๆ ที่เพิ่งมา ก็มาทำบุญกับเจ้าแม่ได้นะ คนกันเองทั้งเอง ไม่ต้องเกรงใจ ตู้บริจาคอยู่ทางนี้จ้ะ”
มิ้วกับกิมเอ็งรีบสะกิดกันควักเงินเตรียมใส่ตู้ โต๊ดยิ้มย่อง...เออดีเว้ย
คืนนั้น ออกจากสำนักทรงเจ้า มิ้วกะกิมเอ็งก็พุ่งมายังบ้านมหาทรัพย์ไพศาล ฉายตะวันฟังอย่างสนใจ
“ร่างทรงกะละแมในซอยมหาลาภเหรอ”
กิมเอ็งพยักหน้า “ค่ะ คุณพี่ หนูมิ้วกับคุณน้องไปเห็นกับตามาแล้ว ชาวบ้านศรัทธาทั้งซอย”
“พูดถึงเจ้าแม่ ฉันเริ่มจำได้ตะหงิดๆ ตอนสมัยเจ้าคุณพ่อยังมีชีวิตอยู่ เคยบอกว่า ที่ซอยมหาลาภมีต้นไทรศักดิ์สิทธิ์อยู่ต้นนึง สงสัยจะเป็นต้นนี้แหละ”
มิ้วผสมโรง “ใช่แน่ๆ ค่ะคุณป้า เพราะสำนักนี้อยู่ข้างต้นไทรต้นใหญ่เบ้อเร่อเลยค่ะ”
กิมเอ็งรีบเสริม “ใช่ค่ะ คุณน้องก็เห็น ต้องใช่แน่ๆ คุณพี่น่าจะลองไปเฝ้า จะได้หายข้องใจเรื่องคุณชิณ”
“ดีเหมือนกัน ฉันกำลังไม่สบายใจเรื่องชิณกับจักกายอยู่พอดี”
มิ้วเตือน “คุณป้าอย่าลืมเอาวัน เดือน ปีเกิด กับรูปพี่ชิณไปด้วยนะคะ จะได้ให้เจ้าแม่ดูดวงให้ค่ะ”
“จ้ะ” ฉายตะวันหันมาเห็นรูปตั้งอยู่ข้างๆ “เอารูปนี้เลยแล้วกัน ใหญ่ดี จะได้เห็นชัดๆ”
ฉายตะวันหันไปหยิบรูปชิณที่ตั้งอยู่ข้างๆ มาดูอย่างหมายมั่นปั้นมือ ฉายตะวันมีความหวังมากๆ
เช้าวันต่อมา จักกาย เดินเข้ามาในห้องประชุมของบริษัท มาดเท่ ดูดี พร้อมศจี ผู้ช่วย สาวใหญ่มาดเนี้ยบ ทำงานเป๊ะ เดินตามหลังมาติดๆ จักกายเดินไปนั่งที่หัวโต๊ะเห็นพนักงานนั่งรอประชุมอยู่ ชื่อบริษัท Kasem construction - เกษม คอนสตรัคชั่น
“ที่ผมเรียกทุกคนมาประชุมในวันนี้ เพื่อบอกให้ทุกคนทราบว่า..ผมพร้อมจะกลับมาบริหารงานต่อจากคุณพ่อแล้ว หลังจากที่คุณลุง” หันมาทางพนักงานคนหนึ่งที่ดูอาวุโสที่สุด “เมตตาดูแลแทนผมมาหลายปี นับจากนี้ผมจะรับหน้าที่ต่อ เพื่อนำพาบริษัทของเราก้าวขึ้นสู่ความเป็นที่หนึ่งให้ได้”
บรรดาพนักงานมองจักกายด้วยความหวังและชื่นชม จักกายร่ายต่อ
“โปรเจคท์แรกที่ผมจะทำคือ สร้างห้างสรรพสินค้าครบวงจร ฝั่งตรงข้ามซอยมหาลาภ”
พนักงานแย้ง “แต่บริษัทมหาทรัพย์ไพศาลกำลังเตรียมปรับพื้นที่ในซอยมหาลาภทำห้างเหมือนกันนะครับ”
จักกายบอก “ผมรู้ .. และผมก็ตั้งใจที่จะไม่หลบ”
“เปิดห้างแข่งกันแบบนี้ ความเสี่ยงสูงนะครับ ใครๆ ก็ทราบว่าคุณชิณไม่ธรรมดา” พนักงานอีกคนว่าบรรดาพนักงานเริ่มหวั่นใจจักกายเห็นก็ไม่พอใจ
“ยังไม่ได้เริ่มก็คิดยอมแพ้กันแล้วงั้นเหรอ”
พนักงานก้มหน้างุด..ท่าทางเกรงๆ
“ผมจะให้คุณศจี” ศจีพยักหน้ารับ “ลงพื้นที่ในซอยมหาลาภหาข้อมูลของทางนั้นมาให้มากที่สุด” ก่อนจะหันมาพูดกับพนักงานทุกคน “และผมขอให้ทุกฝ่ายเตรียมงานอย่างเร็วที่สุด ไม่ว่าบริษัทมหาทรัพย์ไพศาลจะ...ไม่ธรรมดา” จักกายปรายตามาทางพนักงานคนที่พูด พนักงานก้มหน้าจ๋อยๆ “ต้องจำไว้ว่า การแข่งขันครั้งนี้ต้องไม่มีคำว่าแพ้”
สีหน้าแววจักกายดูมุ่งมั่นมาดหมาย ว่าต้องชนะเท่านั้น
เช้าเดียวกันนั้นชิณยังนั่งหันหลังอยู่ในห้องทำงานที่บริษัท ทรงวุฒิมองดูท่าทางไม่ค่อยแน่ใจ
“คุณชิณแน่ใจเหรอครับว่าจะไปแบบนี้จริงๆ”
ชิณหันมา พรางตัวเต็มรูปแบบใส่วิก ติดหนวดยาวโง้ง
“อยากได้ลูกเสือ ก็ต้องเข้าถ้ำเสือ”
ทรงวุฒิกังวลไม่หาย “เสี่ยงนะครับ ผมว่าเราน่าจะให้นักสืบหรือพนักงานคนอื่นเข้าไปดูแทน”
“ผมไม่ไว้ใจ เรื่องนี้ถ้าพลาดแม้แต่นิดเดียว พวกนั้นรู้ตัวก็จบ และที่สำคัญผมอยากเห็นตอนยัยร่างทรงโดนชาวบ้านประชาทัณฑ์ด้วยตาตัวเอง”
“แต่เพื่อความปลอดภัยของคุณชิณ ผมจะให้พนักงานปลอมตัวเข้าไปคอยดูแลใกล้ๆ อีก 3-4 คนนะครับ”
“ได้ แต่ต้องกำชับว่าห้ามทำอะไรกระโตกกระตากเด็ดขาด ผมไม่อยากให้งานนี้พลาด” ชิณเชิดหน้าตาวาววับ “ผมจะต้องเปิดโปงขบวนการอุบาทว์นี้ให้ได้”
ชิณในคราบอาบังมุ่งมั่นอย่างแรง
ตอนกลางวัน ที่หน้าสำนักทรง ชาวบ้านทยอยมากันมาเป็นแถว ในกลุ่มนั้นมีฉายตะวัน มิ้ว และกิมเอ็ง ยืนอยู่ข้างหน้า ฉายตะวันมองเข้าไปด้วยความสนใจ
“ชาวบ้านมาเยอะจริงๆ”
“ใช่ค่ะคุณพี่” กิมเอ็งเร่ง “คุณน้องว่าเรารีบไปเถอะค่ะ เดี๋ยวคนเยอะจะเบียดเข้าข้างในไม่ได้” หันมาพูดกับมิ้ว “ไปค่ะคุณลูก”
ทั้งหมดพากันรีบเดินออกไป
ขณะที่ชาวบ้านเริ่มทยอยมาไม่ขาดสาย รถของชิณแล่นเข้ามาจอดที่หลังบ้านสำนักทรงของกะละแม ชิณซึ่งปลอมตัวลงมาจากรถ ตามมาด้วยทรงวุฒิซึ่งปลอมตัวเหมือนกัน
“ผมจะไปดูลาดเลาข้างใน” ชิณบอก
“ครับ”
ทรงวุฒิรับคำ จากนั้นสองคนมองซ้ายมองขวาอย่างระมัดระวังแล้วเดินไป
ที่บริเวณกำแพงหลังบ้าน ชิณกับทรงวุฒิโผล่ขึ้นมาแค่ตา หันซ้ายหันขวาเมื่อเห็นว่าทางโปร่ง ทั้งคู่ก็ปีนข้ามกำแพงลงมา ทว่าทรงวุฒิเสียหลักล้มลง
“เบาๆ หน่อยสิ เดี๋ยวก็เสียแผนกันพอดี” ชิณบอกเบาๆ
ทรงวุฒิหน้าแหย
“เอางี้ คุณดูต้นทางให้ผมแล้วกัน ถ้าเห็นใครมาก็ร้องเหมียวๆ เข้าใจมั้ย”
“ครับ”
ชิณค่อยๆ ย่องเข้าไปในบ้านอย่างระมัดระวัง
ชิณเดินเข้ามาในบ้าน มองซ้ายมองขวา ฟึ่บ! ฟึ่บ! แล้วก็เดินเข้าไปในห้องๆ หนึ่ง ติ่งเดินมา ฟึ่บ! คลาดกับชิณแค่นิดเดียว โชคดีของชิณที่ติ่งไม่เห็น
ชิณเดินสำรวจรอบห้องแล้วก็ต้องผงะ เมื่อเห็นติ่งเดินมา ชิณรีบหลบเข้าข้างเสา ติ่งหันมารู้สึกเหมือนเห็นอะไร...แต่ก็ไม่เห็นชิณ จึงหันกลับไปหยิบธูป เทียนต่อ ชิณลุ้นว่า...จะเจอตูไหม ?
ติ่งหยิบของแล้วออกจากห้อง พร้อมปิดประตู ชิณเดินออกมา ถอนหายใจอย่างโล่งอก แล้วเดินต่อไป
ลูกบิดประตูถูกเปิดออก ติ่งเดินเข้ามาอีกครั้ง ที่ด้านหลังบานประตูเห็นชิณแอบอยู่ หน้าเสียวๆ
“เอาไว้ไหนวะ” ติ่งคิดในใจ เอามือล้วงกระเป๋า แล้วหยิบกล่องไม้ขีดออกมา
“โธ่เอ๊ย...ก็หยิบออกมาแล้วนี่หว่า” ติ่งเกาหัวยิกๆ แล้วเดินออกไป
ชิณโล่งอก โผล่หัวออกมาตรงบานประตู เห็นติ่งเดินไปหยุดอยู่ที่หน้าห้องๆ หนึ่ง
“ไอ้แม เร็วๆ คนมารอเพียบแล้ว”
เสียงกะละแมดังออกมา “รู้แล้วน่า” ติ่งเดินไป
ชิณยิ้มมีเลศนัย มองซ้ายมองขวา เดินเข้าไปในห้องกะละแมอย่างระแวดระวัง
เจ้าแม่จำเป็น ตอนที่ 2 (ต่อ)
ขณะที่กะละแมกำลังแต่งตัว ก็รู้สึกเจ็บคอจึงกระแอมเบาๆ
“แฮ่ม! แฮ่ม! เจ็บคอจัง...เฮ้อ”
จังหวะนั้นชิณเดินแอบเข้ามา มองหากะละแม กะละแมเทียบคีย์เสียงเจ้าแม่เบาๆ
“เฮ้ย...เฮ้ย...พวกเอ็ง” ส่ายหน้า “เสียงเล็กไป” ลองใหม่ “เฮ้ย...พวกเอ็งน่ะ...” เริ่มเจ็บคออีก...ไอแค้กๆๆๆ
ชิณสะดุ้งตกใจ ได้ยินเสียงไอ เลยหันมา ชนของตก...เพล้ง!
กะละแมตกใจ รีบหันมาแล้วชะโงกหน้าออกไปดูด้านนอก
ทรงวุฒิเห็นหน้ากะละแมโผล่ออกมาก็รีบร้องเสียงแมว เพื่อส่งสัญญาณให้ชิณรู้ตัว
“เมี้ยวๆๆๆ”
กะละแมยิ่งแปลกใจ “เฮ้ย แมวที่ไหนวะ เสียงยังกะควาย”
ชิณรีบแทรกตัวเข้าไปในห้องกะละแม จังหวะที่กะละแมโผล่หน้าไปทางหน้าต่าง พอเห็นกะละแมหันกลับมา ชิณรีบกระโดดหลบเข้าไปในตู้เสื้อผ้า กะละแมอึ้ง เหมือนเห็นอะไรแวบๆ ปรับสายตา สะบัดหน้าไปมาอย่างไม่แน่ใจแล้วมองใหม่ ทุกอย่างเงียบ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ชิณยังหลบอยู่มีเสื้อเต็มตู้ และชุดชั้นในของกะละแมห้อยอยู่ข้างๆ ชิณเบ้หน้า...ซวยจริงตู กะละแมหันมาส่องกระจกดูความเรียบร้อย...ยินเสียงติ่งเร่งอีกที
“ไอ้แม...เสร็จยัง”
กะละแมหันมา จะหยิบสไบแต่หาไม่เจอ ค้นบนเตียงก็ไม่มี
“สไบอยู่ไหน...อ๋อ” พลางหันขวับมาที่ตู้เสื้อผ้า
ชิณที่แอบมองอยู่ในตู้เสื้อผ้าสะดุ้งพึมพำเบาๆ
“ฉิบหายแล้ว”
กะละแมเดินมาที่ตู้เสื้อผ้า
ชิณพยายามเอาโน่นเอานี่ในตู้มาปิดตัว หยิบไปหยิบมาดันเจอชุดชั้นในอีก เฮ้ย!!!
ติ่งเห็นกะละแมช้า เดินมาเร่ง ทรงวุฒิเห็นติ่งเดินมาก็ส่งเสียงร้อง
“เมี้ยวๆๆๆ”
ชิณคิดในใจ...เอาไงดีวะ พยายามเอาโน่นเอานี่มาบังหน้าไว้ ยิ่งทำให้ดูโรคจิตหนักขึ้นไปอีก กะละแมเดินมาจะถึงตู้อยู่แล้ว ชิณหลับตาปี๋ ตายแน่ๆ ทรงวุฒิกับพวกช่วยกันร้องเสียงแมวระงม
“เมี้ยวๆๆๆ”
กะละแมเอื้อมมือมาถึงประตูตู้ แล้วหยิบสไบที่แขวนไว้ข้างหน้าแทน...ติ่งเปิดประตูเดินเข้ามาในห้อง
“เสร็จยัง จะแต่งอะไรนักหนา เข้าทรงนะเว้ย ไม่ได้จะไปเดินแบบ”
“เสร็จแล้ว แหม...เร่งจริงเว้ย ไปๆๆๆ”
ชิณค่อยๆ ลืมตาขึ้น อ้าว...ไม่เปิดตู้เหรอ ชิณถอนหายใจโล่งอก...เฮ้อ...รอดไป สักพักก็ค่อยๆ เปิดตู้แล้วเดินออกมา มีชุดชั้นในติดที่ไหล่ เหลือบไปเห็นก็รีบเอาออก วางไว้ในตู้ตามเดิม แล้วรีบเดินออกไป
ตรงประตูทางเข้าสำนักทรง ฉายตะวัน กิมเอ็ง และมิ้วกำลังจะเดินเข้าประตู ก็มีชาวบ้านขบวนหนึ่งพยายามแทรกเข้าไป กิมเอ็งกับมิ้วเอาตัวเข้าขวาง กันทางให้ฉายตะวันเข้าไปก่อน
“เข้าไปค่ะคุณป้า เข้าไปก่อนเลยค่ะ”
และแล้วฉายตะวัน กิมเอ็งและมิ้วก็เข้าไปจนได้...ชาวบ้านก็แห้วไป ฉายตะวันมองไปรอบๆ ด้วยความตื่นตะลึงอึ้งในความขลัง ยิ่งรู้สึกเลื่อมใส
ทางด้านทรงวุฒิยังร้องเสียงแมวอยู่ ชิณเดินมา
“ไม่ต้องร้องแล้ว”
ทรงวุฒิหยุด “เป็นไงครับ ได้หลักฐานอะไรไหมครับ”
“ยังไม่ได้ แต่เดี๋ยวก็ได้” ชิณมองเข้าไปในสำนัก “ไป...พิธีเริ่มแล้ว”
ทรงวุฒิชะงัก “คุณชิณจะเข้าไปอีกเหรอครับ”
ชิณไม่ตอบใดๆ เดินนำไป ทรงวุฒิกับพวกเลยต้องรีบตามไป
ที่ด้านในสำนักทรง ผู้คนล้นหลาม เห็นกิมเอ็ง ฉายตะวัน มิ้ว พยายามขยับเข้ามานั่งเป็นผู้หญิงแถวหน้า
“เข้ามาค่ะคุณพี่...เข้ามาค่ะ” ข้ามชาวบ้านคนหนึ่ง “ขอโทษนะคะ ไม่ได้ตั้งใจค่ะ” กิมเอ็งเกือบเหยียบหัวเขาอยู่แล้ว
“คุณป้าขา เข้าไปเลยค่ะ...เข้าไปเลยค่ะ อยู่หน้าๆ เจ้าแม่จะได้เรียกเราก่อน”
ทั้งสามสามารถเบียดแทรกชาวบ้านมานั่งหน้าสลอนอยู่ด้านหน้าได้สำเร็จ
ระหว่างนั้นโต๊ด กำลังเตรียมอุปกรณ์ เห็นผู้คนล้นหลามก็ชื่นใจ
ติ่งกำลังจัดของอยู่ด้านหลังฉาก ยกธูป เทียน อุปกรณ์เทคนิคพิเศษดาหน้ากันเข้ามา ติ่งจัดของไปก็แหวกม่านดูแขกข้างนอก
“ไอ้แมเสร็จยัง คนแน่นเอี๊ยดเลย”
กะละแมชัก “เสร็จแล้ว”
ติ่งยังส่องดูสถานการณ์ เห็นผู้คนนั่งหน้าสลอน แล้วก็ผ่านมิ้วไปร้อง...หะ! แล้วก็ย้อนกลับมา...เฮ้ย!
เจอนางในฝันติ่งเริ่มจะลนลาน ปากคอสั่น ล่ะล่ำละลักเรียกกะละแม
“อะ...อะ...ไอ้...แม...มา...มา”
กะละแมงง “อาราย...พี่ติ่งเป็นอะไร” เดินมาหาช้าๆ
“มาดูเร็ว...มาดูหน้าพี่สะใภ้แกไว้...เร็ว”
ติ่งลากกะละแมมาตรงจุดที่ตัวเองยืนแล้วดันให้ดูมิ้ว กะละแม กวาดไปทั่วแล้วก็หยุดที่มิ้ว เป็นลักษณะตามที่ติ่งว่า มิ้วนั่งร้อน ควักพัดไฮโซดิ้นทองออกมาพัด ฟึบๆๆๆ
“นั่นน่ะ ผู้หญิงที่ใส่เสื้อสีชมพู ผมยาว ขาว หมวย ที่ฉันเก็บมาฝัน ไม่น่าเชื่อเลยว่าเขาจะมาอีก นางในฝันของไอ้...” ติ่งบรรยายยังไม่จบ
กะละแมส่ายหน้าด่า “เพ้อ”
กะละแมเลิกสนใจ เดินไป เสียงติ่งเพ้ออยู่ข้างๆ
“สวยทะลุมิติ สวยเด้งทรีดีสุดๆ”
ติ่งมองมิ้วตาเยิ้มพร่ำเพ้อสุดๆ
ขณะเดียวกันชาวบ้านทยอยเข้ามาไม่หยุดหย่อน ชิณแฝงตัวเข้ามา ดูกลมกลืนมาก ชิณมองซ้ายมองขวาหาที่นั่ง แล้วก็เดินเลาะๆ เลียบๆ หลบคน พยายามจะแทรกเข้าไปนั่งให้ใกล้มากที่สุดเพื่อจับผิด ในที่สุดชิณก็ต้องนั่งอยู่ด้านหลัง เยื้องกับฉายตะวันไม่ไกลกันเลย แต่สองแม่ลูกมองไม่เห็นกัน
กะละแมแต่งตัวเตรียมออกโชว์ ติ่งรีบมาปะเหลาะคุยเรื่องมิ้ว
“เป็นไงไอ้แม สวยแจ่มใช่ป่ะ”
“สวยแล้วไง? พี่สนเขา แต่ดูท่าทางเขาไม่น่าจะสนพี่”
ติ่งเหล่ไม่เข้าใจ “เอ็งหมายความว่าไง”
“เขาทั้งสวย ทั้งรวย ดูใส่แหวนสิ...ฮึ่มขนาดนั้น เขาไม่เอาพี่หรอก” กะละแม
ติ่งฉุน “ขอร้องอย่ามาดูถูก คนอย่างไอ้ติ่งเป็นเหมือนเงาะรอวันถอดรูปเว้ย”
“ระวังถอดออกมาแล้วจะเหลือแต่กะโหลก เฮ่อ...เสียเวลาทำมาหากินจริงๆ ฉันไปเข้าทรงดีกว่า”
ติ่งรีบเข้าไปจับแขน...อ้อน “ไอ้แม...เดี๋ยวก่อนดิ...ช่วยอะไรอย่างได้ปะ”
กะละแมเหล่...รอฟัง
“คือ...ฉันอยากรู้ว่าเขามาทำไม เดือดเนื้อร้อนใจเรื่องอะไร แกเรียกเขาเป็นรายแรกได้ปะ”
กะละแมนิ่งคิด “ก็ได้” ติ่งยิ้มหน้าบาน “แต่ต้องแบ่งค่าแรงวันนี้ให้ฉัน 30 เปอร์เซ็นต์นะ”
ติ่งหุบยิ้มทันควัน...คิด กะละแมลอยหน้าลอยตาอย่างเป็นต่อ ติ่งคิดทบทวน แล้วความรักก็บังตา
“ก็ได้ 30 ก็ 30 แต่แกต้องถามให้รู้เรื่องนะ”
“เออน่า...ไม่ต้องห่วง มือชั้นนี้ ไม่มีพลาดอยู่แล้ว”
กะละแมเดินท่าทีสบายใจเฉิบออกไป ติ่งได้แต่แค้นในความเขี้ยวของกะละแม แต่ทำไงได้...ต้องยอม แล้วก็วิ่งแจ้นออกไปแอบดูมิ้ว...เพ้อต่อ
โต๊ดเห็นว่าผู้คนเข้ามาแน่นจนได้ที่แล้ว ก็ตะโกนขึ้นมาเป็นสัญญาณเริ่มงาน
“ร่างทรงออกมาแล้ว”
ชิณเพ่งสายตามองดูและจับจ้องอย่างตั้งใจ ฉายตะวัน กิมเอ็งและมิ้ว ตื่นเต้นกันใหญ่
กะละแม เดินออกมาในชุดขาวกิริยาสำรวมโครตๆ ท่าทางสงบ
โต๊ดส่งธูปให้เหมือนเดิม กะละแมรับแล้วก็กราบไหว้ ทุกคนทำตาม
ฉายตะวัน กิมเอ็ง มิ้ว กราบตาม ชิณมองอึ้งๆ ไม่น่าเชื่อ ทุกคนทำตามอย่างสงบ
ส่วนติ่งแอบดูมิ้วตาเป็นประกายเจิดจ้า ปิ๊งสุดๆ ลุ้นด้วยความระทึก
ขณะที่กะละแมเริ่มพิธีกรรม เสียงดนตรีปี่พาทย์บรรเลง โต๊ดก็สวดบ่นพึมพำสร้างบรรยากาศให้ดูขลัง กะละแมก็สวดประสานเสียง รับส่งเป็นช่วงๆ ชิณกวาดตามองรอบๆ สำนักทรงอย่างพินิจพิจารณา แต่ยังไม่เห็นอะไรผิดสังเกต
จังหวะต่อมากะละแมเริ่มตัวสั่นเทิ้ม ชาวบ้านฮือฮา ฉายตะวัน มิ้ว กิมเอ็ง ออกอาการตื่นเต้น ชิณหันกลับมาดูกะละแมเขม็ง
กะละแมสั่นงั่กๆๆๆ แล้วสลบไป ฉายตะวัน มิ้ว กิมเอ็ง ตกใจ ชิณเพ่งจับผิดเต็มๆ พลางพึมพำอย่างหมั่นไส้
“เล่นละครเก่งจริงๆ”
จู่ๆ กะละแม ก็เด้งตัวพรวดขึ้นมา ชาวบ้านร้องฮือทึ่งสุดๆ
“เข้าแล้วๆๆๆ”
ชิณมองรอบๆ เห็นทุกคนตื่นตาตื่นใจมากก็ส่ายหน้า...บ่นกับทรงวุฒิที่นั่งอยู่ข้างๆ
“นี่มันการแสดงชัดๆ เชื่อเข้าไปได้ยังไง” ชิณส่ายหน้าด้วยความไม่เข้าใจ
ทรงวุฒิสะดุ้ง หันซ้ายหันขวา ระแวดระวัง กลัวชาวบ้านได้ยิน
ฉายตะวัน มิ้ว กิมเอ็ง เชื่อสนิท
“ดูสิคะคุณป้าขา เจ้าแม่เข้าแล้วค่ะ อุ๊ย...มิ้วขนลุกไปหมดเลยค่ะคุณป้า”
ฉายตะวันด้วย “ป้าก็เหมือนกันจ้ะ...ดูสิ” ฉายตะวันกับมิ้วยกแขนอวดขนตั้งกันไปมา
กะละแมเริ่มเรียกหาเชี่ยนหมาก ด้วยการดัดเสียงเจ้าแม่
“เอาหมากกูมาไอ้โต๊ด มึงนี่ชอบลืมหน้าที่เรื่อยเลย มึงก็รู้ว่ากูชอบเคี้ยวหมากหะ!” โต๊ดรีบเสนอหน้าเอาให้ “เอ็งนี่มันน่านัก เดี๋ยวข้าก็ไม่มาอีกซะหรอก”
“ครับๆ เจ้าแม่...นี่ครับ” โต๊ดส่งให้แต่มีแอบเหล่ด่าในใจ แหมนังกะละแมได้ทีนะเอ็ง
กิมเอ็งตื่นเต้นสุดๆ
“เห็นมั้ยคะ เสียงเปลี่ยนด้วยค่ะคุณพี่”
ชิณส่ายหน้า
“แบบนี้ใครๆ ก็ทำได้ แค่กินหมาก เขากินกันมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยแล้ว เออ...ถ้าอมไฟ เคี้ยวถ่านก็ว่าไปอย่าง แล้วไอ้เสียงเนี่ย ใครๆ ก็ดัดได้ เฮ่อ...ไร้สาระจริงๆ”
ทรงวุฒินั่งกระสับกระส่าย หน้าแหยงๆ ด้วยว่ากลัวโดนบาทาชาวบ้าน
ติ่งแอบลุ้นอยู่ข้างหลัง
“อย่าลืมนะไอ้แม...เสื้อชมพู...เสื้อชมพู”
กะละแมเคี้ยวหมากหมับๆ แล้วก็บ้วนปิ๊ดๆ เอาผ้าที่เหน็บไว้ที่เอวมาเช็ดน้ำหมากด้วยท่วงท่าอาการที่เหมือนคนแก่ยุคโบราณเด๊ะ
“ไหน...ใครมีเรื่องอะไร ถึงได้ยกขบวนกันมาซะแน่นสำนักกูแบบนี้ ไหนว่ามาสิ นัง...”
ชาวบ้าน ลุ้นกันสุดๆ รอเจ้าแม่เรียก
“นังเสื้อชมพูเนี่ย...หะ...เอ็งมีอะไร” กะละแมชี้ที่มิ้ว มองจ้องหน้า
ติ่งยิ้มแก้มแทบแตกพอใจสุดๆ ส่วนมิ้ว ตะลึงร้อง หะ!
“เรียกหนูเหรอคะ” ชี้หน้าตัวเองอย่างไม่เชื่อ
ชิณชะงักนิดๆ เสียงคุ้นๆ
กะละแมพะยักพะเยิด “เออ! เอ็งนั่นแหละ เสื้อชมพูแจ๋นอยู่คนเดียว จะมีใครอีกวะ เอ็งนี่ข้าไม่เคยเห็นหน้า มาทำไมวะ”
มิ้วกับกิมเอ็งหน้าบาน ฉายตะวันประหม่านิดๆ
“หนูไม่ได้มีเรื่องหรอกค่ะเจ้าแม่ แต่คุณป้าหนูมี”
ชิณเริ่มคุ้นเสียง พยายามเพ่งมองแต่คนบังอยู่ ระหว่างนั้นมิ้วรีบดันฉายตะวันเขยิบไปข้างหน้านิดๆ
“คุณป้าขา...บอกเจ้าแม่ไปสิคะ...คุณป้า”
“เอ่อ...สวัสดีค่ะเจ้าแม่” ฉายตะวันไหว้
ชิณชะงักอีกคิดในใจ เฮ้ย...เสียงนี้? แล้วยิ่งอยากรู้ ชะเง้อชะแง้มองใหญ่ แล้วก็เห็นหน้าแม่ตัวเองเต็มๆ เฮ้ย...ฉายตะวันนั่งอยู่หน้าสุดติดกับกะละแม
ชิณคราง “แม่...”
ทรงวุฒิอึ้ง “คุณ...คุณ...คุณท่านครับ” ก่อนจะเปลี่ยนเป็นตกใจ
ชิณเซ็ง “เออ...รู้แล้ว ไม่ต้องย้ำ แม่มาทำอะไรเนี่ย”
ชิณทั้งสงสัยทั้งเคือง
กะละแมบ้วนน้ำหมากอีกปิ๊ด แล้วก็หันมาทางฉายตะวัน
“มีอะไรรีบๆ ว่ามา ข้ามีเวลาไม่มาก”
ฉายตะวันประหม่า “ค่ะ...เอ่อ...คือว่า...” ไม่ค่อยกล้าพูด
กิมเอ็งจัดการเอง “คือว่าอย่างนี้ค่ะเจ้าแม่” เสนอหน้าเต็มที่ “คุณพี่เขามีปัญหา แต่ไม่ใช่ปัญหาของเขา...เป็นปัญหาของลูกชายค่ะ”
คำพูดนั้นกระแทกเข้าหน้าชิณ อึ้ง
“เฮ้ย!!!” ชิณร้องเสียงดัง
ทุกคนเหลียวขวับมามองทางต้นเสียงเป็นตาเดียว ชิณรีบทำเป็นกระแอม “แค้กๆ” กลบเกลื่อน
“ไม่มีอะไร...ไอครับไอ...ค้อกแค้กๆ” ทรงวุฒิไอด้วย
ชาวบ้านหันกลับไปหาเจ้าแม่ ชิณรีบขยับเข้าไปใกล้ๆ อยากรู้เหลือเกินว่าเกิดอะไรขึ้น
ขณะเดียวกันโต๊ดเหล่ๆ ฉายตะวัน เห็นเครื่องเพชรบิ๊กเบิ้ม ก็ตาลุกวาว
“ลูกชายเป็นอะไรล่ะ หรือว่าตายไปแล้ว” ชิณสะดุ้ง กะละแมถามต่อ “อยากให้ไปถามข่าวคราวมาให้เรอะ”
“เปล่าค่ะ...ยังไม่ตายค่ะเจ้าแม่ คือว่า...ดิฉันอยากให้เจ้าแม่ช่วยตรวจดูดวงชะตาของลูกชายดิฉันน่ะค่ะ เพราะเคยมีหมอดูทักว่าดวงไม่ค่อยดี ดิฉันกังวลก็เลยอยากจะดูให้มันชัดๆ ไปเลยค่ะ”
ด้านชิณรู้สึกคันปาก อยากแทรก แต่ก็ทำไม่ได้ ได้แต่ฮึดฮัดขัดใจไปมา
โต๊ดรีบเข้ามาแทรกและดำเนินการต่อ
“อ๋อ...เรื่องแค่นี้เอง ไม่ทราบว่าคุณนายเอาวัน เดือน ปีเกิดของลูกชายมาด้วยหรือเปล่าครับ”
“เอามาค่ะเอามา...นี่ค่ะ” ฉายตะวัน รีบส่งกระดาษให้โต๊ด
“มีรูปมาด้วยนะคะ...รูปค่ะรูป...รูปล่ะคะคุณป้า” มิ้วว่า
ชิณอึ้งคิดในใจ ตายหะ เอารูปมาด้วยเหรอ...อายเขาตายห่า ชิณอ้าปากจะห้าม แต่ไม่ทันแล้ว
รูปชิณอยู่ตรงหน้า กะละแมเหล่ดู โต๊ดรับมาดู แล้วสองคนก็อึ้ง เฮ้ย!
กะละแมถึงกับหยุดสั่นไปหนึ่งอึดใจ โต๊ดกับกะละแมสบตากัน ฉิบหายแล้ว
โปรดติดตาม "เจ้าแม่จำเป็น" ตอนต่อไป