xs
xsm
sm
md
lg

เจ้าแม่จำเป็น ตอนที่ 1

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เจ้าแม่จำเป็น ตอนที่ 1

ณ ซอยมหาลาภ ชุมชนเล็กๆ ที่ยังหลงเหลือ โดยซ่อนซุกอยู่ในเมืองใหญ่ กรุงเทพมหานคร ผู้คนในซอยเล็กๆ นี้อาศัยอยู่ร่วมกันอย่างอบอุ่น และในมุมหนึ่งของชุมชน เป็นที่ตั้งของ สำนักทรง “เจ้าแม่มหาลาภไทรทอง” โดยมี กะละแม ร่างทรงสาวหน้าใสขวัญใจชาวบ้าน

กะละแม เป็นเด็กสาวสู้ชีวิต กำพร้าพ่อแม่มาตั้งแต่เด็ก อาศัยอยู่กับ น้าโต้ด พร้อมกับติ่งซึ่งเป็นพี่ชายแท้ๆ และตุ้งแช่ ลูกชายของโต้ด กะละแมมีชีวิตอยู่อย่างลำบาก ปากกัดตีนถีบ แต่เพราะเป็นคนฉลาด เอาตัวรอดเก่งในทุกสถานการณ์ อีกทั้งมีความสามารถด้านการแสดงขั้นเทพ จึงถูกโต๊ดผู้เป็นน้าบังคับให้เป็นร่างทรงกำมะลอ ในนาม เจ้าแม่มหาลาภไทรทอง

บรรยากาศภายในสำนักทรงวันนี้ อึมครึม ขมุกขมัว ไม่ต่างจากวันอื่นๆ ผู้คนนั่งรอสลอน และชะเง้อมองหาร่างทรง ทั้งอยากรู้ ทั้งหวั่นๆ ในห้องพิธีมีแท่นไม้วางอยู่ข้างหน้าสำหรับให้เจ้าแม่ประทับนั่ง ด้านข้างมีโต๊ะวางสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และอุปกรณ์ทำมาหากินมากมายวางอยู่ เช่น พานใส่ลูกประคำ หัวกะโหลกปลอมทำให้ดูขลัง
ระหว่างนั้น โต๊ด เดินเข้าไปยืนข้างๆ แท่นที่นั่งของร่างทรง แล้วปฏิบัติหน้าที่เหมือนมรรคทายก คอยควบคุมดูแลการทำพิธีเข้าทรง
โต๊ด เป็นหนุ่มใหญ่วัย 40 กว่า เมียตายทิ้งลูกชายตัวแสบคือ ตุ้งแช่ ไว้ให้ดูต่างหน้า โต๊ดเป็นคนมีความรู้ต่ำแต่ความพยายามสูง อยากมีชีวิตที่ดี แต่เคยชินกับการหลอกลวงชาวบ้าน จนกลายเป็นอาชีพหลัก
ชาวบ้านกำลังนั่งรอร่างทรง นั่งคุยกันเสียงดังเซ็งแซ่
“พ่อ แม่ พี่ น้อง เงียบๆ กันหน่อย ร่างทรงกำลังจะออกมาแล้ว”
หมู่มวลชาวบ้านพอได้ยินโต๊ดพูดจบต่างก็พากันเงียบกริบ นั่งใจจดใจจ่อรอเจ้าแม่กันนิ่งงัน

ไม่นานนักกะละแมเดินหน้านิ่งออกมาจากม่านในชุดสีขาว ด้วยท่วงท่าน่าชื่อถือ กิริยาสำรวมชวนให้เลื่อมใสเป็นอย่างมาก โต๊ดจุดธูป 3 ดอก แล้วส่งให้กะละแม
กะละแมไหว้มั่วๆ ปากบ่นพร่ำไปเรื่อยฟังไม่ได้ศัพท์ ชาวบ้านยกมือขึ้นพนมไหว้ตาม
กะละแมมานั่งลงตรงแท่น แล้วก็เตรียมให้เจ้าแม่ประทับร่าง
กะละแมเริ่มสวดมั่วและตัวสั่นไปมา ชาวบ้านก็ลุ้น พอกะละแมสะบัดตัวที ชาวบ้านก็ฮือฮาที ต่างลุ้นระทึกว่าเข้าหรือยังวะ ลุ้นไปมา ตามจังหวะการสั่นของกะละแม หากใครเป็นเซียนกีฬา อารมณ์ดูคล้ายๆ กับเชียร์เทนนิสหรือแบด หันซ้ายหันขวาตามลูก
กะละแมฟุบนิ่ง ชาวบ้านก็ลุ้น หนึ่งอึดใจก็เด้งตัวขึ้นมา ชาวบ้านผงะตกใจ แล้วเสียงกะละแมก็กลายเป็นเสียงผู้หญิงแก่ ห้าว และเปลี่ยนมานั่งชันเข่าแบบคนโบราณ
“เจ้าแม่ประทับแล้ว” โต๊ดร้องบอกพร้อมกับยกมือไหว้นำร่อง ชาวบ้านฮือฮา ยกมือไหว้ตาม
“เชี่ยนหมากกูอยู่ไหนวะ”
กะละแมพูดพลางทำท่าหลับตาประหลับประเหลือก ควานหา โต๊ดรีบเอามาถวาย
“นี่ครับเจ้าแม่”
“เออดี ได้เคี้ยวหมากแล้วมันค่อยชื่นใจหน่อย” กะละแมหยิบหมากมาเคี้ยวหมับๆ แล้วก็บ้วนปิ๊ดๆ “ไหน...ใครมีอะไรจะให้ข้าช่วยว่ามาเร็วๆ”
โต๊ดกวักมือเรียกป้าไฝ หญิงวัยกลางคนท่าทางปากจัด มีไฝเม็ดใหญ่เบิ้มที่ริมฝีปาก...ป้าไฝชี้นิ้วจิ้มที่ตัวเองด้วยความไม่แน่ใจว่าตัวเองจะได้รับเกียรติคุยกับเจ้าแม่เป็นคนแรกของวันนี้
กะละแมแหงะเปลือกตาดูหน่อยหนึ่ง ก่อนจะพูด “เอ็งนั่นแหละนังไฝ”
ป้าไฝสะดุ้งโหยง! รีบคลานออกมาข้างหน้า นั่งเกร็งอยู่ตรงหน้าร่างทรง
“เอ้า...เอ็งมาทำไม ไหนว่ามาสิวะ” กะละแม ซึ่งเวลานี้ถูก เจ้าแม่มหาลาภไทรทอง ประทับร่างถาม
“หมู่นี้ไม่รู้เป็นอะไรค่ะเจ้าแม่ มันปวดหัวตุ๊บๆๆๆ ไปหาหมอเอายามากิน หมดไปตั้งหลายพันก็ไม่หาย ยาหม้อสมุนไพรก็ไม่ดีขึ้น เจ้าแม่ช่วยดูให้ฉันหน่อยเถอะค่ะ”
“เข้ามาใกล้ๆ ข้าสิ”
ป้าไฝเขยิบเข้ามาท่าทางประหม่า พนมมือแต้ นั่งตัวเกร็ง กะละแมยื่นมือไปแนบหัวไฝ แล้วก็ท่องคาถาภาษามั่ว เสียงสูง เสียงต่ำ ดูน่าเชื่อถือและน่าตื่นเต้น
แต่แล้วกะละแมก็ผงะร้อง “เฮ้ย”
“หะ...” ป้าไฝตกใจตาม
โต๊ดรีบแถเข้ามาถาม “เป็นไงครับเจ้าแม่”
“นังนี่มันโดนของ” เจ้าแม่ว่า
“โดนของเหรอคะ แล้ว...แล้วจะทำยังไงคะเจ้าแม่” เจ๊ไฝถามเสียงสั่นด้วยความกลัว
“เอ็งไม่ต้องกลัว อย่างนี้มันต้องเจอข้า ไอ้โต๊ด...เตรียมพิธีไล่ของ”
สีหน้ากะละแมดูจริงจังมาก
ระหว่างนั้น ที่หลังม่าน ติ่งยืนคุมสวิทซ์ไฟ ส่วนตุ้งแช่ยืนคุมเครื่องเสียง สองคนมองหน้ากันอย่างจริงจัง ประมาณว่าพร้อมจะออกปฏิบัติการกู้โลก
กะละแมร่ายคาถาไล่ของ พร้อมออกลีลาประกอบการไล่อย่างมืออาชีพ ดูคล้ายกับที่เห็นในรายการสยองขวัญทางจอทีวี เช่นเดินตัวสั่นไปมารอบๆ เจ๊ไฝ พร้อมกับท่องคาถาเหมือนทะเลาะกับตัวเอง โดยมีโต๊ดคอยส่งอุปกรณ์ให้ ทั้งดาบลงอาคม ที่พรมน้ำมนต์
ขณะที่หน้าม่าน ต่อมากะละแมยังโชว์ไล่ของได้อย่างตื่นตาตื่นใจ ชาวบ้านนั่งดูอยู่เหมือนดูโชว์ ส่งเสียงร้อง ฮือฮาเป็นระยะ ส่วนที่หลังม่าน ติ่ง เปิด ปิด ไฟตามคิว ตุ้งแช่ก็คอยเปิดเสียงสวดโทนต่ำๆ คลอๆ ทั้งหน้าม่าน หลังม่านทำงานเป็นทีมเวิร์คที่ยอดเยี่ยม เป็นอุตสาหกรรมในครัวเรือนระดับโอท๊อปกันเลยทีเดียว
กะละแมออกท่าหน้าตาขึงขัง
“นี่แน่ะ ดื้อนักเหรอ ไม่ยอมออกเหรอ นี่ นี่”
เจ๊ไฝนั่งตัวสั่นงันงก นึกผวาว่าวิญญาณคงจะร้ายกาจมาก
“ออกไปเดี๋ยวนี้นะ ดื้อกับกูเหรอ นี่แน่ะ ออกไปเดี๋ยวนี้” กาละแมเน้นคำตรงท้ายน่าเลื่อมใสสุดๆ
ราวกับปาฏิหาริย์เจ๊ไฝหายปวดหัวเป็นปลิดทิ้ง ออกอาการดีใจสุดๆ
“โอ้โห...รู้สึกสบายหัวขึ้นจริงๆ ด้วยค่ะเจ้าแม่”
ทุกคนอึ้ง และในวินาทีต่อมาทุกคนก็รีบเบียดเสียดแทรกตัวเข้าใกล้กะละแม
“เจ้าแม่ช่วยลูกช้างด้วยเถอะค่ะ” คนหนึ่งว่า
ชาวบ้านอีกคนร้อง “เจ้าแม่ช่วยอีฉันก่อน”
“ผมก่อนครับเจ้าแม่” เสียงเริ่มเซ็งแซ่ไปหมด “ยังไม่ได้ดูเลย...”
มีชาวบ้านคนหนึ่งโวยเสียงดังลั่น “ยังไม่ได้ดูเลย รอมาตั้งแต่เช้า”
“เฮ้ย ยังไม่ได้ดูวันนี้ ก็มาวันหลังสิวะ วันนี้ข้าเหนื่อย ใครมีปัญหาอะไรมั้ย หะ” เจอเจ้าแม่เม้งเข้าให้ ทุกคนเงียบกริบ “เออ...ไม่มีก็ดีแล้ว นังไฝแล้วทีหลังก็หมั่นทำบุญอุทิศส่วนกุศลซะมั่งนะ เจ้ากรรมนายเวรเขาจะได้ไม่มารังควานอีก ส่วนไอ้เรื่องทำบุญก็ถามไอ้โต๊ดมันเอา ข้าไปล่ะ”
สั่งเสียเสร็จ กะละแมก็นั่งลงท่องคาถาตัวสั่นเทิ้มอีกรอบก่อนจะสลบไป
 
โต๊ดจัดแจงปิดม่านเหมือนโชว์จบลง ขณะที่หลังม่านติ่งออกมาลากกะละแมกลับเข้าไปในบ้าน

ต่อมาไม่นานนัก ที่โต๊ะเครื่องทำบุญออกแนวไสยพานิชย์ อันประกอบไปด้วยดอกไม้ ธูป เทียน และขวดน้ำมนต์ มีโต๊ดคอยขายของอยู่ และชาวบ้านรุมซื้อกันอยู่ร่วม 10 คน

“เอ้า...เลือกกันตามใจชอบนะ ไม่ต้องแย่งกัน ดอกไม้ ธูป เทียน ชุดละ 70 น้ำมนต์ขวดละ 120 ถ้าจะให้เจ้าแม่พรมให้ มาคราวหน้าก็เอาติดมาด้วย แล้วเงินก็ไม่ต้องจ่ายกับฉัน ใส่ตู้ไปเลยนะ ฉันไม่จับเงิน” ตอนท้ายโต๊ดเน้นคำ ก่อนจะยิ้มละไม
เจ๊ไฝหยิบดอกไม้ ธูป เทียน ให้โต๊ด 5 ชุด น้ำมนต์อีก 2 ขวด แล้วควักเงินหกร้อยบาทชูขึ้น สะบัดอย่างใจถึงด้วยความเลื่อมใส
“เอาไปเลย...หกร้อย ทำบุญกับเจ้าแม่”
เจ๊ไฝหยอดเงินลงตู้ท่ามกลางสายตาชาวบ้านที่มองตาไม่กระพริบ และจากนั้นคนอื่นๆ ก็เริ่มควักเงินของตัวเองออกมาร่วมทำบุญด้วย จังหวะนั้นโต๊ดตะโกนขายของสุดฤทธิ์
“รับรองว่าทุกบาททุกสตางค์ ถึงเจ้าแม่แน่นอนจ้ะ”
โต๊ดออกท่าทาง วางสีหน้าแววตาน่าเชื่อถือสุดๆ

ในมือโต๊ด มีเงินอยู่หนึ่งปึก โต๊ดดึงออกมา ๕๐๐ ส่งให้เจ๊ไฝในฐานะนักแสดงสมทบเจ้าบทบาท
“เอ้านี่ สำหรับวันนี้”
เจ๊ไฝรับเงินมา แต่ตายังเหล่อยู่ที่เงินในมือโต๊ด
“แหม...พ่อโต๊ด ได้ตั้งเยอะ ให้แค่เนี้ยะ”
โต๊ดเอาตัวบังไว้ด้วยความงก “ตัวหารมันเยอะเว้ย ไม่ต้องมาโวย เรื่องมากนัก เดี๋ยวคราวหน้าก็งดหรอก”
เจ๊ไฝงอน “ก็ได้ ห้าร้อยก็ห้าร้อย เล่นตั้งเยอะ เกินคิวด้วย คราวหน้าถ้าเล่นเยอะแบบนี้ฉันคิดคิวละพันนะ บอกไว้ก่อน” ไฝเอาเงินเก็บชายพกแล้วเดินสะบัดตูดไปอย่างฉุนเฉียว
โต๊ดด่าไล่หลัง “แหม...คิวละพัน คิวละพัน เรียกค่าตัวยังกะเป็นดารา เอ้านี่ของเอ็งไอ้แม พันห้า” ก่อนจะส่งเงินให้กะละแมที่ยืนอยู่ไม่ห่างออกไป
จากนั้นโต๊ดหันไปส่งเงินทั้งเศษแบงค์และเศษเหรียญให้ติ่ง
“เอ้า...ของเอ็ง ห้าร้อย เจ็ดสิบแปดบาท ห้าสิบสตางค์” โต๊ดบอก
ติ่งมองแบงค์ยิบย่อยและเศษสตางค์ในมือแล้วทำหน้าเซ็งๆ ระหว่างนั้นเสียงตุ้งแช่ดังแทรกขึ้น
“แล้วของผมล่ะพ่อ”
ก่อนจะเห็นตุ้งแช่ลูกชายวัยทีนเดินยิ้มหน้าแป้นเข้ามา
“ของเอ็งมีแต่มะเหงกจะเอาไหม ช่วยงานพ่อแค่นิดๆ หน่อยๆ ก็ต้องคิดค่าจ้างด้วยเหรอ” โต๊ดสวดเอา
ตุ้งแช่จ๋อย รีบทำท่าบีบน้ำตาทันที
“ใช่สิ ผมมันไมใช่ลูกรัก เกิดมาก็ทำให้แม่ตาย ผมน่าจะตายไปพร้อมแม่ตั้งแต่ตอนคลอด จะได้ไม่ต้องโตขึ้นมาเป็นเด็กมีปัญหา เป็นลูกที่พ่อไม่รัก”
โต๊ดตบหัวไปที “นี่แน่ะ หมั่นไส้ เอาๆ ไปเลย 50 บาท แล้วก็หุบปากด้วย”
ตุ้งแช่ไหว้แล้วรีบเก็บเงิน “ขอบคุณครับ 50 บาทก็ยังดี เย้...ไปเล่นเกมดีกว่า”
ตุ้งแช่เอาเงินใส่กระเป๋าแล้ววิ่งจู๊ดออกไปเลย
“โธ่ ไอ้ลูกเวร มีเท่าไรเล่นเกมหมด”
กะละแมมองหน้าทุกคนแบบเศร้าๆ
“น้าโต๊ด ฉันไม่อยากเป็นเจ้าแม่แล้ว ฉันละอายใจ ฉันว่าที่เราหลอกชาวบ้านอยู่ทุกวันนี้นรกก็เรียกพี่แล้ว ฉันไม่อยากทำผิดไปมากกว่านี้”
โต๊ดโวยกลับ “หลอกชาวบ้านนรกเรียกพี่ แล้วที่ข้ากระเตงเอ็งสองคนออกมาจากสลัม หลังจากที่พ่อแม่พวกเอ็งตาย ส่งเสียให้เรียนจนมีปัญญามาด่าข้าแบบนี้ เทวดาจะเรียกข้าว่าพ่อมั้ยวะ” อาการน้าชายทั้งโกรธทั้งน้อยใจ
กะละแมจ๋อย พูดอีกก็ถูกอีก ติ่งเห็นบรรยากาศไม่ค่อยดีก็รีบเคลียร์
“น้าโต๊ด ไอ้แมมันก็พูดไปเพราะความเครียด ที่ต้องเล่นเป็นเจ้าแม่ทุกวัน ก็เลยขาดสติ ใช่มั้ย” ติ่งสะกิดให้น้องเออออไปก่อน
กะละแมจำใจยอมรับ “จ้ะ” แล้วยกมือไหว้ “ฉันขอโทษจ้ะ”
โต๊ดมองหน้าหลานแล้วก็ระบายความในใจ
“ข้าก็ไม่อยากหลอกชาวบ้านแบบนี้หรอกเว้ย แต่ข้ามีความรู้แค่ ป. ๔ มีปัญญาหาเงินมาให้พวกเอ็งกินก็บุญแล้ว จะเอาเวลาที่ไหนไปเป็นคนดีกับเขา คนจนน่ะมันเป็นคนดียากเว้ย เอาไว้รวยเมื่อไหร่ค่อยว่ากัน”
กะละแมฟังแล้วอดคิดแย้งไม่ได้ว่า...จริงเหร้อ?

ร่างทรงกำมะลอมองเงินในมือที่ได้มา แล้วก็คิดอีก...อาจจะจริง...มั้ง

เจ้าแม่จำเป็น ตอนที่ 1 (ต่อ)

ที่คฤหาสน์หลังใหญ่โต อลังการของตระกูลมหาทรัพย์ไพศาลของ ชิณ เศรษฐีหนุ่มโสด เจ้าของบริษัทมหาทรัพย์ไพศาล ที่ดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ต่อจากพ่อที่เสียชีวิต นอกจากนี้เขายังเป็นเจ้าของที่ดินในชุมชนมหาลาภ!

นิสัยที่ลูกน้องและคนใกล้ชิดต่างรู้ดีก็คือ อารมณ์ร้อน ไม่ยอมคน ทุ่มเทให้กับการทำงานจนคล้ายคนที่หันหลังให้กับความรัก เพราะชีวิตไม่เคยลำบาก เลยทำให้เอาแต่ใจ และไม่ค่อยสนใจความรู้สึกของคนอื่น
ต่างกันลิบลับกับ คุณฉายตะวัน แม่ของชิณ ซึ่งเป็นผู้นำครอบครัวมหาทรัพย์ไพศาลมา และเป็นคนจิตใจดีมีเมตตา ใจบุญสุนทาน มองโลกในแง่ดี ชอบช่วยเหลือผู้อื่น อีกทั้งยังเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ ฉายตะวันเลี้ยงดูชิณด้วยความรักตั้งแต่พ่อของชิณเสียชีวิต
เวลานี้ชิณนั่งอยู่ที่ห้องทำงานภายในบ้าน ท่าทางภูมิฐานน่าเชื่อถือ ในห้องนั้น แวดล้อมไปด้วยอุปกรณ์ไฮเทค วิดีโอ คอนเฟอเร้นซ์
ชิณมองจอคอมพิวเตอร์ซึ่งเห็นเป็นภาพของ ทรงวุฒิ ซึ่งอยู่ในห้องประชุมที่บริษัทมหาทรัพย์ไพศาล พร้อมบอร์ดผู้บริหาร 7-8 คน ชิณเริ่มการประชุมผ่านวิดีโอคอนเฟอเร้นซ์
“ผมขอขอบคุณทุกคน ที่ทำให้โครงการคอนโดมิเนียมริมแม่น้ำเจ้าพระยา ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม ยอดจองเต็มตั้งแต่สัปดาห์แรก ความสำเร็จครั้งนี้เป็นของพวกเราทุกคน”
ผู้บริหาร และพนักงานยิ้มหน้าบาน เช่นเดียวกับใบหน้าทรงวุฒิยิ้มแย้มเบิกบานมากเป็นพิเศษ
“ตอนนี้โครงการสร้างโรงแรมที่มัลดีฟส์ เริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นบ้างแล้ว ผมพอจะมีเวลาเริ่มโปรเจคท์ใหม่ที่ประเทศไทย...พวกคุณคิดว่า ความสำเร็จต่อไปของ มหาทรัพย์ไพศาล ควรจะเป็นอะไรดี” ชิณถามความเห็นที่ประชุม
ทรงวุฒิชายวัยกลางคน ลูกน้องคนสนิทของชิณ ซื่อสัตย์และรักเจ้านายมาก รู้ใจชิณเป็นอย่างดี ทำหน้าที่ทั้งเลขา ทนาย และเพื่อนให้ระบายอารมณ์ในบางครั้ง
ทรงวุฒิรายงานผ่านจอคอมพิวเตอร์อย่างมืออาชีพ
“จากฐานข้อมูลของเรา รวมไปถึงที่ดินที่คุณชิณมีอยู่ในมือทั้งหมดตอนนี้ พื้นที่ที่น่าสนใจที่สุดก็คือ ที่ดินในซอยมหาลาภครับ”
ชิณนิ่งฟังด้วยความสนใจ “ซอยมหาลาภ”
“ใช่ครับ...นี่เป็นภาพบรรยากาศโดยรอบ ผมทราบมาว่าตอนนี้ ทางบริษัทคู่แข่งกำลังเตรียมสร้างห้างสรรพสินค้าอยู่ฝั่งตรงข้ามครับ”
สมกับเป็นมืออาชีพ เพราะที่จอคอมพิวเตอร์ เปลี่ยนเป็นภาพบรรยากาศของซอยมหาลาภในมุมต่างๆ ที่ทรงวุฒิเตรียมการมาอย่างดี และยังมีกราฟ แสดงสถิติต่างๆ แบบเต็มรูปแบบ แล้วเปลี่ยนกลับมาเป็นภาพหน้าทรงวุฒิเหมือนเดิม
“อืมมม... น่าสนใจ” ชิณสั่งงาน “ฝ่ายพัฒนาธุรกิจหาข้อมูลเกี่ยวกับพื้นที่โดยรอบของซอยมหาลาภมาให้ผมด่วนที่สุด ผมต้องการจะสร้างห้างสรรพสินค้าครบวงจรที่รวมทุกอย่างไว้ที่นี่ที่เดียว”
พนักงานฮือฮาอึงมี่ ต่างคนต่างงวยงงว่า...อ้าว...ห้างเหรอ ?
ชิณประกาศต่อ “ไม่ว่าใครจะสร้างอีกสักกี่ห้าง..แต่ห้างของเราจะต้องเป็นห้างที่ดีที่สุด”
ชิณประกาศก้องอย่างมาดมั่นและฮึกเหิม
เวลาเดียวกัน คุณฉายตะวัน นั่งรอชิณอยู่ที่ห้องรับแขก ส่งสายตามองเข้าไปที่ห้องทำงานเป็นระยะ
“ทำแต่งานทั้งวันทั้งคืน เฮ้อ...ลูกชายฉันทำงานจนไม่มีเวลาหาเมีย แล้วชาตินี้ฉันจะได้อุ้มหลานเหมือนคนอื่นมั่งไหม ทั้งตระกูลก็เหลือกันสองคนแม่ลูก ถ้าฉันตาย ตาชิณตาย...จบ..จบกันตระกูลมหาทรัพย์ไพศาลคงจบสิ้นกัน” ท่าทางของคุณนายเครียดจริงๆ จังๆ
แจ่ม สาวใช้คนสนิทที่อยู่ด้วยสาระแนช่วยคิดตามประสา “คุณนายขา..เอาอย่างนี้สิคะ ถ้าคุณชิณไม่มีเวลาหาเมีย เอ๊ย..ภรรยา คุณท่านก็หาให้สิคะ”
ฉายตะวันได้ฟังยิ่งปลงหนัก
“คิดว่าฉันไม่พยายามหรือไง ฉันเสนอตัวจะหาให้ไปแล้ว...แกรู้มั้ยว่าคุณชิณของแกตอบว่ายังไง”
“ไม่รู้ค่ะ คุณชิณว่ายังไงคะ”
แจ่มทำหน้าทำตา สาระแนโครตๆ อยากรู้มากๆ ขณะที่นายหญิงของบ้านมหาทรัพย์ไพศาล คิดไปถึงเรื่องที่คุยกับลูกชาย

วันนั้นฉายตะวันคุยกับชิณอยู่ในห้องรับแขก
“ถึงคุณแม่หามาให้” ชิณพูดด้วยท่าทีขึงขัง “ผมก็ไม่แต่งง่ายๆ หรอกครับแม่ ผู้หญิงดีๆ สมัยนี้หายากจะตาย แต่ละคนพอเห็นผมรวยหน่อยก็จ้องจะจับ แม่จะเอาเหรอครับลูกสะใภ้แบบนั้น”
“แหม...เราก็มองผู้หญิงในแง่ร้ายเกินไป ผู้หญิงดีๆ ก็ยังมีนะ” ฉายตะวันว่า
“ถ้ามีก็คงหายากมาก และที่สำคัญ ผมยังไม่มีเวลาหาครับแม่ ทุกวันนี้งานผมยุ่งจะแย่ เวลานอนยังแทบจะไม่มี”
ชิณตอบอย่างหนักแน่นมั่กๆ

พอนึกถึงเรื่องนี้ทีไรฉายตะวันก็ทำหน้าเหนื่อยใจ
“ฟังแล้วมันน่าท้อแท้มั้ยล่ะ”
“สิ้นหวังเลยล่ะค่ะ แล้วคุณนายจะทำยังไงต่อไปคะเนี่ย” แจ่มสาระแน
“ลำพังฉันเองไม่มีปัญญาหรอก แต่…”
แจ่มหูตั้ง “แต่อะไรคะ”
“แต่...” ฉายตะวันตาเป็นประกายอย่างมีหวัง “ฉันให้คุณนายกิมเอ็งกับหนูมิ้วเชิญซินแสมาช่วย” แววตากระเหี้ยนกระหือรือขึ้นมาทันที “คุณนายกิมเอ็งบอกว่าดูแม่นยิ่งกว่าตาเห็น ฉันจะให้มาดูดวงชิณ ว่าเมื่อไหร่จะมีเมียกับเขาสักที”
ฉายตะวันยิ้มกริ่ม มุ่งมั่นมากๆ จังหวะนั้นยินเสียงรถแล่นเข้ามาพอดิบพอดี
“อุ๊ยยย..ของเค้าแรงจริงๆ แค่พูดถึงก็มาพอดี”

สองนายบ่าวฉายตะวันกับแจ่มยิ้มย่อง ท่าทางตื่นเต้นดีใจ

ที่หน้าคฤหาสน์เวลานั้น รถคุณนายกิมเอ็งแล่นเข้ามาจอด โดยมีมิ้วลูกสาวเป็นคนขับ ฉายตะวันเดินตัวปลิวออกมาต้อนรับ

กิมเอ็ง เป็นหญิงเชื้อสายจีนวัยเกือบ ๔๕ ปี ท่าทางตอแหล รวย ใส่เครื่องเพชรบิ๊กเบิ้ม ตลอดเวลา กิมเอ็งรีบลงจากรถแล้วเข้ามาทักทายฉายตะวันเสียงแจ๋น
“สวัสดีค่ะคุณพี่”
มิ้วสาวหมวย สวย เอ็กซ์ ท่าทางตอแหลไม่แพ้บุพการี จอดรถแล้วก็รีบเดินลงมาท่าทางประจบประแจง
ประจ๋อประแจ๋สุดฤทธิ์
“สวัสดีค่ะคุณป้า” มือไหว้แม่แต่สายตามองหาลูกชาย...ชิณ
“สวัสดีจ้ะ” ฉายตะวันรับไหว้ทั้งแม่และลูก ตามองหาซินแส “ซินแสล่ะ”
“อยู่นี่ค่ะ…” กิมเอ็งหันมาทางซินแสที่นั่งรออยู่ในรถ “เชิญค่ะ ซินแส”
กิมเอ็งหันไปเปิดประตูรถผลัวะ!!!
ซินแส คนดังกล่าวเป็นหมอดูจีนท่าทางทรงภูมิเดินลงมาจากรถ ทำเป็นมองรอบๆ บ้านด้วยแววตาพินิจ
ฉายตะวันไหว้อย่างเลื่อมใส “สวัสดีค่ะซินแส”
ซินแสหลับตาแล้วสูดลมหายใจลึก “ข้าได้กลิ่นของความสิ้นหวัง โดดเดี่ยว เดียวดาย ไร้ซึ่งความศรัทธาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์”
ฉายตะวัน มิ้ว กิมเอ็ง แจ่ม อื้ออึง....งุนงง และหวาดผวาต่างคนต่างคิดอย่างลุ้นระทึก...อะไรๆ

ทันใดนั้นชิณก็เดินเข้ามา มองซินแสแบบกวนบาทาสุดๆ แล้วเปิดฉากกัดทันที
“จมูกดีแบบนี้ไม่น่าจะมาดูดวง น่าจะไปช่วยตำรวจตรวจจับยาเสพติดซะมากกว่า” พร้อมกับหัวเราะฮึๆๆๆ ในลำคอ
ซินแสมองตอบแล้วสะดุ้ง ลืมตาโพลง “หมอนะเว้ย ไม่ใช่หมา” เห็นรังสีอำมหิตแผ่ซ่านไปทั่วใบหน้าชายชรา

เมื่อเข้ามาภายในบ้าน ซินแสมองหน้าชิณใกล้ๆ ทั้งพินิจพิจารณา จับใบหน้าชายหนุ่มหันซ้ายหันขวา จับกระหม่อม ท่ามกลางสายตาลุ้นๆ อยากรู้อยากเห็นของผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ ยกเว้นเจ้าตัวที่เซ็งๆ และออกจะรำคาญ
“ดี! โหวเฮ้งดีมาก ตาหงส์ จมูกสิงห์ ปากมังกร ตามลักษณะโหวเฮ้งบอกไว้ว่า จะเกิดมาบนกองเงินกองทอง ชีวิตสุขสบาย ไม่ลำบาก”
ชิณแทรกสวน “ก็เห็นอยู่ ว่าบ้านหลังใหญ่ขนาดนี้ ไม่ต้องเป็นซินแสก็รู้ว่าอยู่สุขสบาย”
ซินแสหันขวับ ฉายตะวันรีบจับลูกชายไว้เป็นเชิงปราม แล้วยิ้มแย้มให้ซินแส
“เข้าเรื่องเนื้อคู่เลยดีกว่าค่ะ”
ซินแสเอาดวงมาขีดๆ เขียนๆ แล้วก็พึมพำ ชิณเริ่มเซ็ง ดูนาฬิกา อยากไปทำงานเต็มแก่ ส่วนฉายตะวัน มิ้วและกิมเอ็งลุ้นสุดชีวิต
ซินแสขีดเสร็จแล้วก็ทำนายด้วยความมั่นใจ
“จากดวงชะตาราศีบ่งบอกว่า เจ้าชะตาเป็นคนใจร้อน ผลีผลาม ชอบลุย ทำงานแบบล้วงลูก ไม่ไว้ใจใคร อยากได้อะไรต้องได้ ทำให้ต้องเหนื่อยกับเรื่องที่ไม่ควรเหนื่อย ทางที่ดี ทำอะไรต้องรอบคอบ ใจเย็นๆ ค่อยๆ ดู อย่าผลีผลาม ตามสุภาษิตที่ว่า...ช้าๆ ได้พล้าเล่มงาม”
ชิณตอกอีกดอก “โทษนะครับ จะดูดวงหรือจะสอน? ถ้าดูแบบนี้อย่าดูเลยดีกว่า”
ซินแสผงะ ทุกคนหน้าตาตื่นหันมาทางชิณ
ฉายตะวันรีบแก้ให้ “เอ่อ...คือว่า...คือ ชิณคงอยากดูเรื่องคู่แล้วล่ะค่ะ ดูเรื่องเนื้อคู่เลยดีกว่าค่ะ” ชิณทำหน้าเซ็งๆ “อายุปาเข้าไปสามสิบกว่าแล้ว ยังไม่มีวี่แววว่าจะมีแฟนกับเขาสักที ช่วยดูทีสิคะว่าจะเจอเนื้อคู่เมื่อไหร่ แล้วลักษณะเป็นยังไง”
จังหวะนั้นมิ้วทำหน้าตาอยากรู้ยิ่งกว่าใครทั้งหมด รีบขยับเข้าไปใกล้สุดฤทธิ์ กิมเอ็งก็สนับสนุนลูกสาวเต็มที่

เวลาต่อมาบนกระดาษซินแสขีดฆ่า เขียนตัวเลข ตัวอักษรไปมาก่อนจะเงยหน้าขึ้น แล้วส่ายหน้าน้อยๆ ทุกคนหน้าเสีย...ลุ้น
ชิณมองซินแสแบบท้าทาย...จะมาไม้ไหนอีก?
มิ้วทนไม่ไหว โพล่งถาม “ลักษณะเนื้อคู่ของพี่ชิณเป็นยังไงคะ”
“ฉลาด เก่ง หน้าตาดี” ซินแสว่า มิ้วเหมาไว้เองทั้งหมด
กิมเอ็งรีบเสริมเข้าพกเข้าห่อ “ขาวๆ หมวยๆ ด้วยใช่ไหมคะ”
ซินแสพยักหน้าครุ่นคิด แต่กิมเอ็งและมิ้วคิดว่าซินแสพยักหน้ารับ
“แปลก...แปลกมาก...เป็นดวงคู่ที่แปลกมาก จะว่าดีก็ดี จะว่าไม่ดีก็ไม่ดี ถ้าเจอความรักที่แท้จริงก็จะอยู่กันยาว ไม่มีการหย่าร้าง แต่ถ้าเจอแล้วคลาดกันไป เจ้าชะตาจะต้องอยู่คนเดียวจนตาย...เป็นดวงร้างคู่”
ซินแสเน้นคำตรงดวงร้างคู่จนฉายตะวันร้อนใจ “หะ! ร้างคู่เหรอคะ อย่างนี้ฉันก็ไม่ได้อุ้มหลานน่ะสิ”
ชิณโวยเซ็งๆ “โธ่...แม่ครับ หมอดูก็คู่กับหมอเดา เชื่อได้ที่ไหน”
เจอดอกนี้เข้าซินแสฉุนกึก “อ้าว...ลื้อพูดอย่างนี้หมายความว่ายังไง อั๊วะเป็นซินแสนะ ไม่ใช่หมอดูซี้ซั้ว อั๊วะเป็นศิษย์มีอาจารย์ ศึกษาตำรามาเป็นยี่สิบ สามสิบปี คนอวดดีไม่เคารพที่ต่ำที่สูงอย่างลื้อ โชคชะตาจะเล่นตลกไม่จบไม่สิ้น โดยเฉพาะเรื่องของความรัก ลื้อจำคำพูดของอั๊วะเอาไว้ให้ดี แล้วถ้าวันไหนลื้อเจออุปสรรค มืดสนิททั้งแปดด้าน ลื้อจะต้องกลับมาหาอั๊ว”
ซินแสสะบัดชายเสื้อพลิ้วไหวแล้วหันหลังเดินจากไปอย่างฉุนเฉียว กิมเอ็งรีบวิ่งตาม
“ซินแสรอด้วยค่ะ ซินแส…” หันมาลาฉายตะวัน “งั้นคุณน้องลาก่อนนะคะ สวัสดีค่ะ”
กิมเอ็งรีบตามไป
ฉายตะวันหน้าซีด ชิณไม่สนใจ
มิ้วจับมือชิณเนียนๆ “พี่ชิณคะ..เรื่องแบบนี้ฟังหูไว้หู ยิ่งซินแสบอกว่าเนื้อคู่พี่ชิณหน้าตาดีเนี่ย มิ้วว่าอาจจะจริงก็ได้นะคะ” พูดเองเขินเอง เพราะคิดว่าเป็นตัวเองแน่ๆ
เสียงกิมเอ็งเรียกมิ้วดังแหลมมาจากหน้าบ้าน
“คุณลูกขา คุณแม่จะไปแล้วนะคะ”
มิ้วหันหน้าหันหลัง “มิ้วขอตัวกลับก่อนนะคะ สวัสดีค่ะคุณป้า สวัสดีค่ะพี่ชิณ” ส่งสายตายั่วยวนสุดฤทธิ์
ฉายตะวันหันมามองชิณ ตำหนิด้วยสายตา ชิณยักไหล่ ไม่รู้สึกผิดสักนิด

เวลาผ่านไปอีกเล็กน้อย สามคนกลับไปแล้ว ฉายตะวันโวยลูกชายลั่นบ้าน
“ที่ซินแสพูดมามันก็มีเหตุผลหลายอย่าง เขาว่าเราใจร้อนมันก็จริง ชิณน่าจะใจเย็นลงบ้างนะ ดูสิ ไปทะเลาะกับซินแสแบบนี้ แล้วคราวหน้าเขาจะยอมมาดูฮวงจุ้ยให้แม่หรือเปล่าก็ไม่รู้”
“แม่ไม่ต้องห่วง ขอแค่มีเงินเดี๋ยวพวกนี้ก็มาเอง” ชิณยิ้มเยาะอย่างดูถูก
ฉายตะวันขัดใจ “บาปกรรม พูดออกมาได้ยังไง”
“แม่ครับ พวกนี้มันเป็นนักต้มตุ๋นนะครับ ผมจะต้องไปเคารพนับถือทำไม บางทีไอ้พวกนี้บาปกรรมยิ่งกว่าผมซะอีก พวกหากินกับการหลอกลวง ทำให้คนงมงาย” ฉายตะวันฟังอย่างไม่ค่อยพอใจ “ผมล่ะเกลียดที่สุด...ขออย่าให้เจอเลย...ถ้าเจอผมจะแฉให้หมด”
ชิณประกาศกร้าวสายตามุ่งมั่นมาดหมาย

คืนเดียวกันนั้นที่ซอยมหาลาภ กะละแมนั่งอ่านหนังสือเรียนอยู่ที่โต๊ะข้างหน้าต่าง เห็นเป็นหนังสือเรียนวิชาโฆษณาและประชาสัมพันธ์ ของมหาวิทยาลัยรามคำแหง อยู่ๆ กะละแมก็จามออกมาเสียงดังมาก
“โอ้ยยย มีใครนินทาเปล่าเนี่ย”

กะละแมส่ายหัว แล้วก็ก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือต่อ

เจ้าแม่จำเป็น ตอนที่ 1 (ต่อ)

เช้าวันต่อมา ที่บริเวณต้นไทรข้างสำนักทรงเจ้าแม่มหาลาภไทรทอง ในซอยมหาลาภ โต๊ดกำลังพนมมือไหว้ต้นไทร อยู่

“ลูกช้างก็ไม่รู้ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริงหรือเปล่า แต่ก็ต้องขอขมาลาโทษไว้ ณ ที่นี้ด้วย ที่ลูกช้างต้องทำแบบนี้เพราะหมดหนทางแล้วจริงๆ ถ้าลูกช้างถูกหวยเด็ดๆ สักงวดสองงวด มีเงินสักล้านสองล้าน ลูกช้างก็ว่าจะเลิก ถ้าท่านเมตตาลูกช้างก็มาเข้าฝันสักทีสองทีเถ้อะ...เจ้าประคู้ณ”
โต๊ดยกมือท่วมหัวตอนถวายอาหารที่ใต้ต้นไทร ระหว่างนั้นกะละแมจูงจักรยานมาถาม
“น้าโต๊ด ฉันจะไปตลาด น้าอยากกินอะไร”
“อะไรก็ได้” โต๊ดบอกแล้วก็นึกได้ “แต่เอ็งต้องซื้อที่ร้านป้าเชอร์รี่นะเว้ย แล้วบอกเขาว่า...”
กะละแมพูดต่ออย่างรู้กัน “ถวายเจ้าแม่”
โต๊ดเซ็งที่กะละแมรู้ทัน “เออๆๆๆ นั่นแหละ ทำเป็นรู้ทันนะเอ็ง ไป...รีบไป จะได้รีบกลับมาทำงาน”
กะละแมขี่จักรยานออกไป แต่มีบ่น
“ใช้งานยิ่งกว่าโรงงานนรก”
โต๊ดได้ยินตะโกนไล่หลัง “อะไรๆ ไอ้แม บ่นอะไร แหม...ไอ้พวกนี้ เลี้ยงมาไม่เคยจะคุ้มข้าวสวยเลย” หันมาฟ้องกับต้นไทร “ท่านดูสิ หลานในไส้มันยังเถียงคำไม่ตกฟากเลย เฮ่อ...”
โต๊ดเท้าสะเอวถอนใจอย่างแรง

ครู่ต่อมากะละแมขี่จักรยานมาจอดตรงหน้าติ่ง
“พี่ติ่ง ฉันจะไปตลาด จะเอาอะไรมั้ย”
“เอาผู้หญิงสวยๆ รวยๆ ดีๆ สักคน” ติ่งบอกหน้าตาย
กะละแมเบ้หน้า “ผู้หญิงแบบนี้ที่ตลาดไม่มีหรอก หลับแล้วฝันเอาเถอะ แหม...สวยๆ รวยๆ ดีๆ ถึงมีเขาก็ไม่สนพี่หรอกจะบอกให้”
กะละแมส่ายหน้าให้กับความเว่อร์ของติ่ง แล้วก็ขี่จักรยานออกไป

ที่ร้านขายข้าวแกงในตลาด กะละแมรับถุงกับข้าวมา เตรียมจะจ่ายเงิน เชอร์รี่ แม่ค้าขายข้าวแกงรีบบอก
“ไม่เป็นไรจ้ะ ป้าถวายเจ้าแม่”
กะละแมไม่ยอม “ไม่เอาป้า ของซื้อของขายจะมาให้กันฟรีๆ ได้ยังไง”
“อุ้ย...ไม่ต้องเกรงใจ วันนั้นที่เจ้าแม่รักษาโรคปวดหัวให้ป้าน่ะ มันหายเป็นปลิดทิ้งเลย กับข้าวแค่ไม่กี่สิบกี่ร้อย ไม่เป็นไรหรอก ป้าเต็มใจให้”
กะละแมเกรงใจ “แต่ว่า...”
“เอาไปเถอะน่า อย่าขัดศรัทธาเลยนะ” เชอร์รี่บอก
กะละแมรับมาแบบไม่ค่อยเต็มใจ
“ขอบใจจ้ะ”
“เดี๋ยวเย็นนี้ป้าจะแวะไปเฝ้าเจ้าแม่อีกนะ”
“จ้ะ”
กะละแมฝืนยิ้มให้

ขณะเดียวกันที่ร้าน “น้ำเต้าหู้อาม่า มหาลาภ” หน้าบ้านโทฟู่เวลานั้น โทฟู่เรียงของหน้าร้าน ดูน่ากินมาก เป็นร้านขายน้ำเต้าหู้ “เช็งซิมอี้ สะท้านโลกัณฑ์” มีเครื่องเคียงหลากหลายมากมายสารพัด โทฟู่จัดเรียงอย่างคล่องแคล่วด้วยความเป็นมืออาชีพ ด้านข้างมีหม้อต้มน้ำเต้าหู้ตั้งอยู่บนเตาถ่านแบบโบราณ
กะละแมขี่จักรยานมาจอดหน้าร้านร้องเรียกเสียงดัง
“โทฟู่”
โทฟู่เงยหน้ามองยิ้มหนิดหนม “ไงไอ้แม เหมือนเดิมมั้ยแก”
“อือ”
กะละแมบอกขณะลงจากรถจักรยาน แล้วก็เดินมาช่วยโทฟู่กางโต๊ะจัดวางเก้าอี้ อย่างคุ้นเคยและมีน้ำใจ
โทฟู่หันไปตักน้ำเต้าหู้ใส่ถุงด้วยความคล่องแคล่ว

โทฟู่ เป็นสาวนักศึกษาแพทย์ สวยเรียบร้อย มองโลกในแง่ดี เป็นเด็กกำพร้าที่อาศัยอยู่กับอาม่าที่เลี้ยงเธอมาด้วยการขายน้ำเต้าหู้ในชุมชนมหาลาภ โทฟู่เป็นเพื่อนรักของกะละแมมาตั้งแต่เด็กๆ

กะละแมจัดโต๊ะไปคุยไป “แล้ววันนี้ไม่มีเรียนเหรอคุณหมอ”
โทฟู่ขัดขึ้น “ว่าที่เว้ย.. ไว้เป็นหมอจริงๆ ค่อยเรียก” กะละแมยิ้มรับ “วันนี้ฉันมีเรียนบ่าย แต่อยู่ช่วยอาม่าก่อน อาม่าบอกว่าปวดหัว มึนๆ หนักๆ ก็เลยให้พัก”
“แล้วพาอาม่าไปหาหมอยัง? ให้ฉันพาไปให้เปล่า?” กาละแมเป็นห่วง
“ไม่เป็นไร อาม่าไม่ยอมไป เห็นบอกว่าเย็นนี้จะไปให้เจ้าแม่ช่วย”
กะละแมหน้าเจื่อน วางมือจากการจัดโต๊ะเดินมาหาโทฟู่ “ไอ้ฟู่ ฉันถามหน่อย แกเรียนหมอ แต่แกปล่อยให้อาม่ามารักษากับร่างทรง แกไม่รู้สึกแปลกๆ เหรอ?”
โทฟู่มีท่าทางจริงจัง “แปลก…” แล้วก็ยิ้ม “แต่ฉันว่ามันปกติ”
“โห...ลึกซึ้ง แต่งงอ่ะ”
โทฟู่ขำกิ๊ก “ก็มันเป็นเรื่องของความเชื่อ ฉันห้ามไม่ได้หรอก ห้ามไปก็จะทะเลาะกันเปล่าๆ ถ้าอาม่าเค้าเชื่อ..แล้วมันไม่เดือดร้อน ก็ปล่อยให้เค้าเชื่อไปเหอะ”
กะละแมนิ่งคิด “แล้วแกล่ะ...เชื่อเรื่องนี้หรือเปล่า?”
โทฟู่บอกอย่างหนักแน่ “ไม่เชื่อ!!!” หยุดนิดหนึ่งแล้วบอกต่อ “ถ้าไม่ใช่แก” กะละแมขมวดคิ้ว “ก็เพราะแกเป็นเพื่อนฉัน เล่นกันมาตั้งแต่เด็ก แล้วแกก็เป็นคนดี ช่วยเหลือฉันกับอาม่าทุกอย่าง บางทีมันอาจจะมีอะไรๆ ที่เหนือธรรมชาติเกิดขึ้นกับแกก็ได้ และอีกอย่าง...ฉันไว้ใจ คนอย่างแกคงไม่หลอกชาวบ้าน”
กะละแมปั้นหน้าไม่ถูก รู้สึกผิดอยู่ในใจ
โทฟู่ยื่นถุงน้ำเต้าหู้ให้ยิ้มแย้ม “ไม่คิดเงิน... ถวายเจ้าแม่”
“ขอบใจนะ แต่..อันนี้ฉันกินเอง ไม่เกี่ยวกับเจ้าแม่” แล้วก็จ่ายเงินให้ “ขอบใจมากเพื่อน”
กะละแมยิ้มวางเงินไว้ แล้วก็หันหลังให้โทฟู่ พอลับหลังโทฟู่กะละแมหุบยิ้ม สีหน้าเศร้า...ด้วยความรู้สึกผิด

รถสปอร์ตของชิณแล่นเข้ามาจอดที่หน้าซอยมหาลาภ ก่อนจะเห็นทรงวุฒิเข้ามาหา เริ่มรายงาน
“ที่ดินผืนนี้ด้านหน้าติดกับถนนใหญ่ ห่างจากทางขึ้นทางด่วนไม่ถึง 1 กิโลเมตร และจากทางลงทางด่วนอีกด้าน จะมีที่กลับรถรองรับอยู่สองจุด ห่างกันประมาณ 500 เมตร ด้านหลังสามารถขยายทำลานจอดรถได้ถึง 1 ไร่ หรือถ้าจะทำอาคารจอดรถอยู่ด้านล่างก็สามารถขยายฐานตึกออกไปได้ครับ”
ชิณนั่งฟังอยู่ข้างๆ ทรงวุฒิ
“แถวนี้มีห้างอะไรบ้าง” ชิณถาม
“ภายในรัศมี 10 กิโลเมตร ไม่มีครับ” ทรงวุฒิตอบ
“โรงงานหรือหมู่บ้าน?” ชิณซักต่อ
“มีโรงงานกระดาษ ๒ แห่ง โรงงานผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูป 3 แห่ง หมู่บ้านระดับ B-C ประมาณ 6 หมู่บ้าน และหมู่บ้านระดับ A-B อีกประมาณ 2 หมู่บ้านครับ และในอนาคตจะมีเพิ่มอีกไม่ต่ำกว่า 5 หมู่บ้าน หมู่บ้านละ 200 - 300 หลังคาเรือน” ทรงวุฒิรายงานด้วยข้อมูลแน่นปึ๊กอย่างมืออาชีพ
ชิณพยักหน้ารับรู้ “น่าสนใจ แต่ก่อนที่ผมจะตัดสินใจ ผมขอขับรถวนดูสักหน่อย คุณกลับออฟฟิศไปก่อน เดี๋ยวผมตามไป”
ทรงวุฒิรับคำ “ครับ”
จากนั้นทรงวุฒิลงจากรถสปอร์ตแล้วเดินไปขึ้นรถตู้ที่จอดรออยู่ ชิณออกรถไปอย่างเร็ว
ชิณขับรถใกล้จะถึงทางแยก เหลือบมองนิดหนึ่ง เห็นว่าไม่มีรถสวนมา

ด้านกะละแมขี่จักรยานมาใกล้ถึงทางแยกในอีกหนึ่งอึดใจ ขณะเดียวกันชิณก็ใกล้ถึงทางแยกอีกหนึ่งอึดใจเช่นกัน แต่จังหวะนั้นชิณหันไปดูแผนที่ว่าถึงทางแยกแล้วควรจะไปทางไหนต่อ
พอกะละแมมาถึงทางแยกแล้วก็ต้องตกใจ เมื่อจู่ๆ มีรถชิณพุ่งตรงมาที่รถจักรยานของตัวเอง โดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
กะละแมร้องลั่น “เฮ้ย”
ชิณไม่รู้เรื่อง กำลังก้มดูแผนที่ ด้วยความประมาทจึงไม่ทันเห็นว่ารถพุ่งไปทางกะละแม ที่เริ่มโวยวาย ทั้งดีดกระดิ่งและเบรกรถ แต่เพราะมาเร็วมากจึงหยุดไม่ทัน กะละแมจึงพยายามหักหลบรถชิณ
“เฮ้ย”
ชิณเงยหน้าขึ้นมาดูพอดี แล้วต้องตกใจเพราะรถกะละแมเหมือนพุ่งเข้ามาจะชนกัน
ชิณร้องลั่น “เฮ้ย” แล้วรีบหักพวงมาลัยหลบ
กะละแมก็หักหลบรถชิณ ทำให้จักรยานพุ่งไปกระแทกกับเสาไฟฟ้าและตกลงไปข้างทาง ข้าวของหกกระจาย จักรยานล้มโครม กะละแมหกคะเมนตีลังกา กลิ้งไปตามพื้น

ชิณหักหลบจนรถเสียหลักไปชนกับแผงข้างทาง และเบียดชนกับเสาไฟฟ้า

กะละแมนั่งร้องโอดโอยอยู่ที่พื้น ชิณรีบลงจากรถแต่เดินไปดูรถตัวเองก่อน พอกะละแมเห็นชิณสนใจแต่รถตัวเอง ก็เลยฉุน
“คนเราแทนที่จะห่วงคน ดันห่วงรถ น้ำใจน่ะมีบ้างมั้ย”
ชิณดูรถเสร็จแล้วค่อยเดินไปดูกะละแมที่นอนเจ็บอยู่
“เป็นไงบ้าง”
กะละแมทำท่าทางไม่พอใจ “คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง กลิ้งสิบแปดตลบอย่างนี้ คนทั้งคน ยังขับรถพุ่งมาได้ ถนนก็ออกจะกว้างยังอุตส่าห์เบียดมาชนคนอื่นอีก ถามจริง...ใบขับขี่ซื้อมาหรือเปล่า” ชิณอ้าปากจะพูดแทรกแต่กะละแมไม่ให้โอกาส “หรือถือว่าขับรถแพงเลยเที่ยวไล่ชนคนอื่น รวยแล้วโหดรึไง ไร้มนุษยธรรม”
ชิณโวยสวนคำทันควัน “ฉันถามเธอดีๆ ทำไมต้องด่ากันอย่างนี้ด้วย”
กะละแมปัดเนื้อปัดตัวแล้ววีนทันที “คุณเป็นคนผิดนะ ผิดแล้วยังจะมีหน้ามาโวยวายอีก”
“ก็ใครโวยก่อน ล้มแค่นี้ โวยวายซะเป็นเรื่องใหญ่โต ฉันอุตส่าห์จะมาขอโทษ เธอก็เอาแต่ด่าๆๆๆ” ชิณเถียง
กะละแมยังยั๊วอยู่ “คิดว่าขอโทษแล้วจะหายขวัญเสียรึไง แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่าฉันไม่เป็นไร ฉันอาจจะเลือดตกในก็ได้ และที่สำคัญ คุณเป็นคนผิด คุณต้องรับผิดชอบ”
ชาวบ้านเริ่มมามุงดู ชิณมองๆ ชักอาย
“โอเคๆ ไม่ต้องเสียงดังก็ได้...เอางี้...จะให้ช่วยค่าทำขวัญเท่าไหร่ก็ว่ามา” ชิณล้วงกระเป๋าตังค์ออกมา
กะละแมเห็นชิณหยิบกระเป๋าตังค์ออกมาก็ได้ใจ แต่ยังฟอร์มอยู่
“อย่าคิดว่าจะเอาเงินซื้อฉันได้นะ ฉันไม่อยากได้เงินของคุณหรอก” ชิณจะเก็บกระเป๋า “แต่ฉันก็ต้องมีหลักประกันไว้บ้าง เผื่อเป็นอะไรขึ้นมาจะได้มีเงินรักษาพยาบาล เอางี้...ฉันคิดค่าตกใจ หนึ่งหมื่นบาท” กะละแมน้องคำตอนท้าย
“มันไม่มากไปหน่อยเหรอ แค่นี้คิดตั้งหมื่นนึง”
“นี่...เงินหนึ่งหมื่นบาทกับชีวิตฉัน มันเทียบกันไม่ได้เลยนะ ฉันว่ามันน้อยไปด้วยซ้ำ” กะละแมว่า
“หมื่นนึงน้อยไปงั้นเหรอ...ฮึ” ชิณแค่นหัวเราะ “ยังไงฉันก็ว่ามันมากไปอยู่ดี ฉันให้ได้แค่สองพัน”
“สองพัน!!! มันจะไปพออะไร ใช้อะไรคิดเนี่ย...ให้แค่สองพัน”
กะละแมเริ่มโวยวายโหวกเหวก สร้างความอับอายให้ชิณ อย่างที่เขาไม่เคยเจอมาก่อน
“พ่อ แม่ พี่ น้อง มาดูเร็ว ใครไม่เคยเห็นคนใจไม้ไส้ระกำ ขับรถซะหรูแต่พอชนคน จะจ่ายค่าทำขวัญแค่สองพัน แม่เจ้าโว้ย...มาดูกันเร้ว”
“นี่เธอ ทำไมต้องตะโกนโวยวายอย่างนี้ด้วย นี่เธอ” ผู้คนเริ่มมุงดูกันเพียบ

เวลาเดียวกันโทฟู่ยืนขายน้ำเต้าหู้อยู่ ชาวบ้านขี่จักรยานมาปาดหน้าร้านพลางร้องบอก
“ฟู่! กะละแมโดนรถชน”
โทฟู่ตกใจ
“หะ? ไอ้แมโดนรถชน!”

กะละแมเชิดหน้าใส่ชิณ
“ทีนี้ล่ะทำเป็นอาย ทีตอนจะเอาเปรียบคนจนไม่เห็นอาย หน้าตาก็ดี ดูท่าทางจะรวยแต่ใจดำชะมัด พ่อ แม่ พี่ น้อง มาดูเร็ว จำหน้าเอาไว้ให้ดีๆ จะได้ไม่ขับรถให้คนแบบนี้ชนอีก นี่ถ้าตายคงจะเพิ่มให้เป็นสามพันนะเนี่ย ดูสิ...หมื่นนึง ต่อเหลือสองพัน ชาตินี้คงจะนอนตายตาหลับล่ะนะ เอาเปรียบคนจนได้ตั้งแปดพัน”
ชาวบ้านที่มามุงเริ่มชี้ไม้ชี้มือซุบซิบ
“โห...ใช้วิธีนี้เลยเหรอ อย่าคิดว่าฉันจะกลัวนะ ฉันไม่สนใจหรอก เต็มที่...ฉันให้ได้ห้าพัน” ชิณหยิบเงินออกมา “จะเอาหรือไม่เอาก็ตามใจ”
กะละแมบอก “ฉันจะเอาหมื่นนึง”
“ตามใจ ไม่เอาก็อย่าเอา” ชิณจะเดินไป
กะละแมเหล่ เห็นว่าไปจริง “นี่คุณ...คุณ”
กะละแมวิ่งมาดักหน้าแล้วดึงเงินจากมือชิณ
“ห้าพันก็ห้าพัน ไม่ใช่เพราะงกนะ แต่ฉันยอมลดความยุติธรรมลงครึ่งราคา ดีกว่าไม่มีความยุติธรรมหลงหลืออยู่บนโลกนี้เลย” กะละแมรีบเก็บเงิน
ชิณขำ “เหอะ...จะพูดให้ฟังดูดียังไงก็พูดไปเถอะ แต่สำหรับฉันมันคืองก เธอนี่ร้ายจริงๆ”
กะละแมลอยหน้า “น้อยกว่าคุณแล้วกัน”
ชิณหมั่นเขี้ยว “เถียงคำไม่ตกฟาก เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม จำหน้าฉันเอาไว้ให้ดีนะ แล้วเธอจะต้องเสียใจที่คิดมาลองดีกับฉัน” แล้วเดินไปขึ้นรถด้วยความแค้น
กะละแมมองตามชิณด้วยสายตาสงสัย ว่าทำไมชิณพูดแบบนั้น
ชิณปิดประตูรถ ปัง! แล้วขับรถออกไปอย่างเร็ว
โทฟู่วิ่งแหวกคนมาหากะละแม ถามดังลั่น
“เฮ้ยยย ไอ้แม เป็นไงบ้าง”
กะละแมหันมายิ้มให้นิดๆ ประมาณว่า “ยังไม่ตาย” แล้วก็หันไปมองตามรถชิณไป...ยังแอบคลางแคลงใจเล็กๆ

เวลาต่อมา กะละแมนั่งอยู่หน้าบ้าน โทฟู่ทำแผลให้ มีเงินค่าทำขวัญวางอยู่ข้างๆ ติ่งกำลังดูถุงกับข้าวว่าพอมีอะไรเหลือกินได้บ้าง แต่ไข่แตกเกือบหมด พวงมาลัยก็เปื้อนไข่อยู่ในสภาพยับเยิน

“เอ็งได้มาตั้งห้าพันเหรอวะไอ้แม” โต๊ดถาม
“พูดยังกะมันเยอะ แลกกับชีวิตฉันเลยนะน้าโต๊ด”
“แหม...ก็ข้าเห็นเอ็งกลับมาครบสามสิบสอง ก็เลยไม่ได้สนใจเรื่องสังขาร ถ้าแขนขาด ขากระเด็น แล้วข้ายังถามหาแต่เงินก็ว่าไปอย่าง” โต๊ดว่า
“ถ้ามันแขนขาด ขากระเด็น มันไม่กลับมาให้น้าโต๊ดถามหรอก” ติ่งพูดแล้วก็นึกขึ้นได้ “แต่จะว่าไป ห้าพันมันก็เยอะเหมือนกันว่ะ”
กะละแมชักสีหน้า “ตอนแรกเค้าจะจ่ายแค่สองพันเอง ดีที่ฉันใช้วิธีหน้าด้าน แหกปากร้องบอกชาวบ้านให้เค้าอาย ถึงได้มาห้าพันเนี่ย”
“ฉันว่าแกยังโชคดีนะ ที่เค้ายอมจ่าย บางคนชนแล้วชิ่งไปเลย” โทฟู่ปลอบ
“เอางี้ เพื่อล้างซวย วันนี้เอ็งหยุดเข้าทรงสักวันก็ได้ พักรักษาตัว” โต๊ดเอ่ยขึ้น
กะละแมยิ้มแป้น “ขอบใจจ้ะ เฮ้อ...คิดๆ แล้วก็เซ็ง ซวยจริงๆ ขี่จักรยานอยู่ดีๆ ก็มีคนมาขับรถชน จะมีอะไรที่มันซวยมากไปกว่านี้อีกไหมเนี่ย”
กะละแมกลุ้มใจกับชีวิตตัวเอง

ภายในห้องประชุมบริษัทช่วงตอนกลางวัน พนักงานทุกคนนั่งเตรียมพร้อมที่จะประชุม มีพนักงาน ๗-๘ คน
ชิณยืนอยู่หัวโต๊ะขณะพูดขึ้น “ผมไปดูที่มาแล้ว และผมก็ตัดสินใจแล้ว ผมจะสร้างห้างสรรพสินค้าที่ซอยมหาลาภ”
“คุณชิณจะให้ดำเนินการเมื่อไหร่ครับ” ทรงวุฒิถาม
“เร็วที่สุด!!!” ชิณบอก
พนักงานคนหนึ่งถามต่อ “คุณชิณครับ แล้วเรื่องที่จะให้แจ้งชาวบ้านย้ายออก จะให้แจ้งล่วงหน้านานเท่าไหร่ครับ?”
“หนึ่งเดือนน่าจะพอสำหรับการรื้อถอนและหาที่อยู่ใหม่ ถ้าใครมีปัญหาเรื่องค่ารื้อถอน ทางบริษัทยินดีช่วยเหลือตามสมควร”
ชิณยืนขึ้นประกาศกลางห้องประชุม
“ผมขอให้ย้ำกับชาวบ้านว่า “ทุกคน” ต้องย้ายออกภายใน ๑ เดือน นับตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป”
ชิณพูดด้วยความมั่นใจ

วันต่อมามีรถหกล้อแล่นเข้ามาจอดที่หน้าปากซอยมหาลาภ พนักงานช่างรังวัดกระโดดลงจากรถเหมือนออกรบ และบางส่วนก็ถือป้ายมาตอกลงที่หน้าตลาด
ชาวบ้านบางส่วนแตกตื่น มามุงดูป้ายด้วยความตื่นเต้น ข้อความบนป้ายใหญ่เบิ้มว่า
“ประกาศ ย้ายด่วน”

ที่บริเวณหน้าตลาดในซอยมหาลาภ เห็นช่างรังวัดกำลังทำงานง่วนอยู่ ภูมิสถาปนิกกำลังดูแปลนที่ดิน เจ้าหน้าที่อีกคนกำลังเดินแจกจดหมายตามบ้านของชาวบ้าน ชาวบ้านพากันแตกตื่นยกใหญ่
ขณะเดียวกันติ่งเดินกินไอติมอยู่ มีคนเอาใบปลิวมาแจกก็รับไว้ พออ่านแล้วก็ตาโต ตกใจ ไอติมหล่น ร้อง
“หะ”

กะละแมกำลังซื้อกับข้าวอยู่ที่ตลาด ติ่งวิ่งแจ้นมาหา
“แย่แล้ว...แย่แล้ว ไอ้แม...เกิดเรื่องใหญ่แล้วโว้ย”
กะละแมตกใจหันมา คนในตลาดก็ตกใจ
“มีอะไรพี่ติ่ง เอ้า...ใจเย็นๆ ระวังจะตายก่อนที่ฉันจะรู้เรื่อง เกิดอะไรขึ้น”
“เรา...เรา...เราโดนไล่ที่” ติ่งละล่ำละลักบอก
กะละแมกับคนในตลาดบริเวณนั้น ตกใจ ร้องออกมาพร้อมๆ กัน

“หะ...โดนไล่ที่”

เจ้าแม่จำเป็น ตอนที่ 1 (ต่อ)
 
 
ขณะนั้นหมู่มวลชาวบ้านกำลังยืนมุงดูป้ายประกาศขนาดใหญ่ อยู่บริเวณหน้าตลาดในซอยมหาลาภ กะละแม ติ่ง และแม่ค้าที่ได้ยินข่าวจากในตลาด ต่างพากันแหวกคนเข้าไปอ่าน กะละแมกับติ่งเบียดชาวบ้านเข้าไปอ่านป้ายที่ชาวบ้านกำลังมุงดูอยู่ กะละแมยืนอ่านป้าย ตั้งแต่ต้นจนจบ

“เนื่องจากที่ดินในซอยมหาลาภ ซึ่งมีพื้นที่ทั้งหมด ๑๔ ไร่ มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนจากบ้านเรือนที่พักอาศัย เป็นห้างสรรพสินค้า ทางเจ้าของที่ดินอันได้แก่ บริษัทมหาทรัพย์ไพศาล จำกัด โดยนายชิณ มหาทรัพย์ไพศาล กรรมการผู้จัดการใหญ่ จึงต้องขอความกรุณาจากผู้เช่าทุกท่าน ให้ย้ายออกจากพื้นที่ดังกล่าวภายในเวลา ๑ เดือน นับตั้งแต่วันที่ติดประกาศเป็นต้นไป หากผู้เช่าท่านใดมีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายในการรื้อถอน สามารถติดต่อขอรับเงินช่วยเหลือได้ที่ บริษัทมหาทรัพย์ไพศาล จำกัด ซึ่งทางบริษัทจะพิจารณาให้ตามความเหมาะสม ด้วยความเคารพ ลงชื่อ นายชิณ มหาทรัพย์ไพศาล”
ชาวบ้านคนหนึ่งอ่านจบก็ตกใจร้องลั่น “เฮ้ย...ทำไมมันฉุกละหุกแบบนี้วะ อยู่ดีๆ ก็บอกให้ย้ายออก ทำยังกะจะให้หนีไฟไหม้”
“ให้เวลาแค่เดือนเดียวเอง จะไปทันอะไร ทำไมเจ้าของที่มันเขี้ยวอย่างนี้วะ” ติ่งโวยลั่น
ทั้งสามยืนอึ้งอยู่หน้าป้ายนั่นเอง

เวลาต่อมาติ่งกับกะละแมยังคงยืนอยู่หน้าป้าย
“แล้วที่ตรงอื่นไม่มีแล้วหรือไงวะ ทำไมต้องมาสร้างห้างฯอะไรกันตรงนี้ด้วย” ติ่งคาใจ
ชาวบ้านคนหนึ่งเห็นด้วย “เออนั่นสิ..นั่นสิ...”
“เรารีบไปบอกน้าโต๊ดดีกว่า”
พูดจบกะละแมพร้อมกับกับติ่งก็แหวกคนออกมา จะเดินกลับบ้านก็มาชนกับชิณเต็มๆ
กะละแมร้อง “โอ้ย”
ทั้งสองคนหันมาประจันหน้ากัน
“นี่คุณอีกแล้วเหรอ..” กาละแมเซ็งสุด
ชิณตีรวนกวนกลับ “ความจำดีนี่”
ติ่งงง “ใครวะ”
“คนที่ขับรถชนฉันเมื่อวานนี้” กะละแมบอก
ติ่งพยักหน้ารับรู้ “อ๋อ...” แล้วมองด้วยแววตาอริได้ในวินาทีต่อมา กะละแมหันมาทางชิณ
“วันนี้ฉันไม่มีเวลามาต่อปากต่อคำหรอกนะ...ไม่ว่าง...” พูดจบทำท่าจะไป
“จะรีบไปเก็บของย้ายบ้านหรือไง...” ชิณคิดแล้วทำหน้ากวนใส่ “ก็ดี...เพราะมีเวลาให้แค่เดือนเดียว เดี๋ยวจะย้ายไม่ทัน”
กะละแม กับติ่งสะดุดหู หยุดชะงัก หันมาทางชิณ
“แล้วคุณเกี่ยวอะไรด้วย”
จังหวะนั้นทรงวุฒิที่แต่งตัวเนี้ยบ เดินเข้ามาหาชิณพอดี
“คุณชิณครับ ภูมิสถาปนิกมาถึงแล้วครับ...จะคุยเลยมั้ยครับ”
ชิณพยักหน้ารับทราบ ทรงวุฒิรับรู้และเดินนำไป กะละแมได้ยินทรงวุฒิพูดก็สะดุดหู นึกฉงนสงสัย
“ชิณ?” พร้อมกับหันไปมองทางป้าย สายตากะละแม เห็นชื่อที่เขียนไว้ที่ป้าย ‘นายชิณ มหาทรัพย์ไพศาล’
“นี่คุณ” กะละแมตกใจ
“รีบกลับไปเก็บของดีกว่านะ...เดี๋ยวจะเก็บไม่ทันภายใน ๑ เดือน”
ชิณพูดด้วยน้ำเสียงสะใจ...ยิ้มร้ายทิ้งท้ายก่อนเดินหนีไป..กะละแมแค้นจนระงับไม่อยู่ รีบเดินอาดๆตามไปติ่งตกใจ
“แม..เอ๊ย..” ห้ามไม่ทัน ต้องรีบเดินตามไป

ชิณเดินหนี กะละแมเดินตามมาถามให้รู้เรื่อง
“นี่คุณ...” เดินปราดมายืนดักหน้าชิณ “คุณทำแบบนี้เพราะต้องการแก้แค้นฉันที่ทำ ให้คุณเสียหน้า แล้วก็เสียเงินเมื่อวานนี้ใช่มั้ย”
ชิณขำก๊าก “ฉันจะเอาเงินเป็นพันๆ ล้านมาลงทุนเพื่อแก้แค้นผู้หญิงปากจัดอย่างเธอเนี่ยนะ...หลงตัวเองเกินไปหรือเปล่า...”
กะละแมฟังแล้วยั๊ว “ใครผู้หญิงปากจัด”
ติ่งเดินมาได้ยินพอดี ก็ไม่ค่อยพอใจ
“นั่นสิ คุณมาว่าน้องผมว่าปากจัดได้ไง”
ชิณมองติ่ง “อ๋อ...พี่ชาย” หันมาทางติ่ง “นี่ถามจริง ไม่รู้เหรอว่าน้องสาวเป็น คนยังไง...มีใครบ้างมายืนตะโกนด่าคนอื่นปาวๆ เพื่อแลกกับเงินห้าพัน...” คราวนี้หันมาทางกะละแม “นี่แล้วเงินที่ให้ไปเมื่อวานถ้าไม่พอสำหรับเช่าบ้านใหม่ก็มาทำเรื่องขอค่ารื้อถอน...ฉันมีให้” ชิณยิ้มกวนๆ “จะได้ไม่ต้องลงทุนเสี่ยงชีวิตขี่จักรยานให้คนอื่นชนเพื่อแลกเงิน”
กะละแมฉุนกึก “นี่มันจะมากไปแล้วนะ”
“นั่นสิ..มันจะมากไปแล้วนะ...”
ชาวบ้านได้ยินเริ่มมามุงดู..กะละแมกำลังยืนเถียงกับชิณโดยมีติ่งคอยสนับสนุน
“คำก็เงิน สองคำก็เงิน” กะละแมแหกปากด้วยความโมโห “เงินคุณมันไม่มีค่ามากขนาดนั้น” ชิณเบ้หน้า
“ใช่ ไม่มีค่าหรอกเว้ย” ติ่งผสมโรง
“และฉันก็ไม่สนใจไอ้ค่ารื้อถอนของคุณด้วย”
“ใช่..เออ..ใครจะสนใจวะ..โธ่ ถุย!!” ติ่งดราม่าใส่
“เงินคุณซื้อพวกเราไม่ได้”
ชาวบ้านเริ่มเข้ามาใกล้
“ใช่!! ซื้อไม่ได้หรอกเว้ย…” ติ่งใส่อีก
ชาวบ้านสองสามคนเอาด้วย “ใช่ๆ”
กะละแมประกาศ “ฉันจะไม่ไปไหนทั้งนั้น”
ติ่งดันสุดลิ่ม “ใช่”
ชาวบ้านร้องตาม “เราจะไม่ไปไหนทั้งนั้น”
ติ่งกับกะละแมมองหน้ากันงงๆ ชะงักเสียงใครวะ?

เวลาเดียวกันทรงวุฒิกับช่างเดินมาที่ป้าย..ยืนรอชิณเห็นชิณยังไม่ตามมาก็แปลกใจ มองหา..สงสัยๆ
“คุณชิณหายไปไหน” ทรงวุฒิหันไป เห็นชิณยืนอยู่ในวงล้อมของชาวบ้าน ก็ตกใจ “เฮ้ย”
ทรงวุฒิรีบวิ่งไปหาทันที

กะละแมอ้าปากจะพูดต่อ
“ฉัน ....”
แต่ยังไม่ทันพูดจบ ก็มีเสียงดังมาจากข้างหลัง เป็นชาวบ้านตะโกนขึ้นมา
“เราจะอยู่ที่นี่..!”
ชิณตกใจนิดๆ กับเสียงตะโกนโหวกเหวก
ทันใดนั้นเองชาวบ้านที่มาสมทบก็ตะโกนขึ้น เพราะนึกว่ากำลังปลุกม็อบอยู่
“ใช่..เราจะอยู่ที่นี่” ทุกคนประสานเสียง
ชาวบ้านต้นเสียงร้อง “เราจะไม่ไปไหน”
ชาวบ้านหมู่ร้องตาม “ใช่!! เราจะไม่ไปไหน”
ชาวบ้านเดินผ่านกะละแมกับติ่งไปเพื่อรุกไล่ชิณ..ติ่งรีบดึงกะละแมไว้ก่อนจะโดนม็อบชนล้ม
“เราจะไม่ไปไหนทั้งนั้น... เราจะอยู่ที่นี่ต่อ”
“ใช่!! เราจะไม่ย้ายไปไหน ..เราจะอยู่ต่อ”
ชิณโดนชาวบ้านเดินรุก ชิณถอยทีละเก้า ทรงวุฒิรีบมากันคนไว้
“ใจเย็นๆ เดี๋ยวก่อนๆ ค่อยๆ พูดกันก็ได้...ใจเย็นๆ คุณชิณครับ..มาทางนี้ก่อนครับ...” ทรงวุฒิลากชิณไปขึ้นรถ
ม็อบชาวบ้านยังคงดำเนินต่อไป เสียงเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ชาวบ้านที่อยู่ละแวกนั้นพากันมาสมทบ จากม็อบกลุ่มเล็กๆ กลายเป็นกลุ่มใหญ่
“เราไม่ไปไหน เราจะอยู่ต่อ!”
ติ่งลากกะละแมกลับบ้าน
“ฉิบหายแล้วไอ้แม..ไปกลับบ้านก่อนไป...”
ลูกน้องของชิณรีบเดินมาช่วยกันลากชิณออกจากม็อบชาวบ้าน
“ยัยตัวแสบหายไปไหนเนี่ย ฮึ่ย”
ชิณโมโห มองหากะละแม บ่นอย่างหงุดหงิด 

ไม่นานต่อมากะละแมนั่งหน้าเครียดในบ้าน โต๊ดโผล่หน้ามา หน้าตาตื่นกับข่าวเด่นประจำวัน
“อะไรวะ เราโดนไล่ที่เหรอ” 
“ใช่น้า..แล้วไอ้คนที่เป็นเจ้าของที่ ก็คือคนที่ขับรถจะชนไอ้แมเมื่อวาน” ติ่งว่า
“เฮ้ย..นังแม เพราะเอ็งไปเอาเงินมันมาหรือเปล่า มันเลยโมโหมาไล่ที่เรา” โต๊ดโวย
“ตอนแรกฉันก็ด่าไปงั้น แต่เขาย้อนกลับมาว่าไม่เกี่ยว แถมยังมาว่าฉันปากจัดอีก..ฉันล่ะไม่ชอบขี้หน้าจริงๆ เก๊กชะมัด นึกว่ารวยนักหรือไง”
“ก็เออสิวะ..ตระกูลเนี้ยะรวยจะตายห่า เขารวยกันมาตั้งแต่โคตรเหง้าศักราช ที่แถบเนี้ยยันไปถึงถนนด้านโน้น ของเขาหมดแหละ...ถ้าเขาไล่ที่ขึ้นมา เราก็ซวยกันหมด” โต๊ดเครียดจัด “ไม่ได้การณ์แล้ว.. เราต้องทำอะไรซักอย่าง”
โต๊ดลุกพรวดพราด ติ่งรีบลุกตาม
“ใช่..เราต้องทำอะไรสักอย่าง น้าโต๊ดเราไปปักป้ายประท้วง แล้วก็อดข้าวกันดีมั้ยน้า”
โต๊ดตบกบาลเบาๆ “นี่แน่ะ ใครว่าข้าจะทำแบบนั้น..จะต้องรีบโกยให้ได้เงินมากที่สุดแล้วก็ย้าย”
ติ่งงง “อ้าว..น้าโต๊ด ทำไมไปกันง่ายๆ งั้นล่ะ”
“ก็มันเป็นที่ของเขา เขามีสิทธิ์ไล่เราเมื่อไหร่ก็ได้..เอ็งจะไปทำอะไรเขาล่ะ...เอาชีวิตให้รอดก่อนเหอะ...ไปนังแมไปเตรียมตัว แยกย้ายกันไปเตรียมทำงาน..ข้าจะเปิดสำนัก”
พูดจบก็หันไปเปิดไฟ จัดของให้เข้าที่เข้าทางเตรียมงาน
กะละแมบ่นเบาๆ “ย้ายบ้านใหม่ก็ต้องใช้เงิน..ก็ต้องหลอกชาวบ้านต่อไปอีก..แล้วเมื่อไหร่ฉันจะได้เลิกทำงานแบบนี้สักที”
ติ่งปลอบน้อง “เฮ่อ..อย่าคิดมากเลย”
“นั่นสิ เตรียมตัวทำงานดีกว่า ข้าจะเปิดสำนักเย็นนี้”

กะละแมกลุ้มใจกับชะตาชีวิตของตัวเอง ถอนหายใจ...เฮ่อ

รูปเก่าประมาณ ๔๐ ปีก่อน พงษ์พ่อของชิณ และ เกษมพ่อของจักกายยืนอยู่หน้าบริษัทแห่งแรกที่เปิดด้วยกัน ชื่อ “พงษ์เกษมก่อสร้าง” รูปถูกใส่กรอบไว้อย่างดี วางอยู่ข้างๆ นิตยสาร “Business Focus” หน้าปกเป็นรูปชิณมาดอย่างหล่อ
สักพักมีมือใครคนหนึ่งยื่นเข้ามาผ่านนิตยสารและหยิบกรอบรูปมาดู ที่แท้เป็น จักกาย ชายหนุ่มเจ้าของแววตาทะเยอทะยานและไม่ยอมคน จักกายมองรูปภาพด้วยแววตาที่แฝงไว้ด้วยความอาฆาต
จังหวะนั้นยินเสียงฉายตะวันดังขึ้น แสดงออกถึงความเป็นมิตร ฉายตะวันเดินเข้ามาพร้อมกับแจ่มที่เดินตามหลังนายติดๆ
“กาย...กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่? แล้วนี่..เรียนจบแล้วเหรอจ๊ะ”
จักกายเบนสายตาออกจากรูป แล้วตอบกลับมาไม่ตรงคำถาม
“สวัสดีครับ ไม่คิดว่าคุณป้าจะยังเก็บรูปคุณลุงที่ถ่ายคู่กับพ่อตอนสร้างบริษัทด้วยกันเอาไว้ด้วย”
ฉายตะวันยิ้มรับอย่างเป็นมิตร
“เก็บสิ...คุณพงษ์บอกให้ป้าเก็บไว้อย่างดี คุณพงษ์ระลึกถึงบุญคุณที่พ่อกายชวนเค้ามาทำงานด้วยเสมอ.. ไม่เคยลืม”
จักกายวางรูปแล้วหันมา ถามเสียงเข้มขึ้น
“ถ้าไม่ลืม...แล้วทำไมถึงแยกบริษัทออกมาทำแข่งกับพ่อผม”
ฉายตะวันชะงักไป จักกายมองฉายตะวันด้วยความเคียดแค้น
“ยังไม่รวมที่ดึงงานไปจากลูกค้า ดึงคนของคุณพ่อไปอีกเกือบครึ่งบริษัท งานก่อสร้างใหญ่ๆ ที่พ่อรับไว้ต้องพัง..คุณพ่อเครียดจนเส้นเลือดในสมองแตกตาย ก็เพราะโดนคุณลุงหักหลัง”
“กาย..กายเข้าใจผิด สามีป้าไม่ได้หักหลัง แต่พ่อกายเป็นคนไล่พวกเราออกมาเอง ส่วนลูกค้ากับลูกน้องเค้าก็ตามเรามาเอง เราไม่ได้ไปแย่ง” ฉายตะวันพูดด้วยดีๆ
จักกายแค่นหัวเราะ “คำแก้ตัวของคุณป้า ฟังไม่ขึ้นหรอกครับ ผมไม่ใช่เด็กๆ ผมแยกแยะได้ ว่าอะไรจริง อะไรไม่จริง”
ฉายตะวันอยากจะพูดมากมายแต่พูดไม่ออก แจ่มมองฉายตะวันเป็นห่วงนาย
“ในวันนั้น คุณพ่ออาจจะอ่อนแอเกินไป ถึงได้พ่ายแพ้ แต่วันนี้....” หันไปหยิบนิตยสารหน้าปกชิณขึ้นมาดู แล้วพูดเหมือนพูดกับชิณ “ผมกลับมาแล้ว”
จักกายหันมาทางฉายตะวัน
“ฝากบอกลูกชายคุณป้าด้วยว่า เรื่องของเรามันยังไม่จบ” เดินมาหาฉายตะวัน “และผมไม่มีวันยอมแพ้เหมือนพ่อ! สวัสดีครับ” กายไหว้ลา พร้อมกับวางหนังสือลงตรงหน้าฉายตะวัน
ฉายตะวันมองหน้าจักกายกิริยาอึ้งๆ
จักกายมองตอบแววตานิ่ง จริงจัง และไม่ยอมแพ้ ก่อนจะเดินออกไปอย่างมั่นใจ
ฉายตะวันได้แต่มองตามยังอึ้งอยู่ 



ฉายตะวัน มิ้ว กิมเอ็ง นั่งอยู่ตรงห้องรับแขกในบ้าน โดยมีแจ่มคอยรับใช้ กิมเอ็งโพล่งขึ้นมาหลังฟังเรื่องราวจากฉายตะวันจบ
“แรงอ่ะ! เด็กคนนี้นอกจากจะไม่มีสัมมาคารวะแล้ว ยังแอบแรงอีกต่างหากนะคะคุณพี่! คุณน้องว่าไม่น่าวางใจสุดๆ” 
กิมเอ็งนั่งเม้าท์กับฉายตะวันที่มีหน้าตากลุ้มใจสุดๆ มิ้วนั่งอยู่ไม่ห่าง แจ่มเดินเอาน้ำชามาเสิร์ฟ
“เรื่องที่ซินแสทำนายไว้ ดิฉันก็ยังกลุ้มใจไม่หาย ยังจะมีเรื่องนี้มาอีก...” ฉายตะวันว่า
กิมเอ็งเสี้ยมทันที “เจอคู่แข่งแบบนี้ คุณชิณจะต้องเหนื่อยขึ้น! ทำงานหนักขึ้น! ลำบากขึ้น! ไหนจะต้องดูบริษัท ไหนต้องรับมือกับเด็กปีนเกลียวอีก..ต้องแย่แน่ๆ”
ฉายตะวันฟังแล้วยิ่งเครียด “ฉันควรจะช่วยตาชิณยังไงดีคะ” ปรึกษาหวังได้คำตอบที่ดี แต่..กิมเอ็งได้โอกาสขายลูกสาว “ไม่เห็นจะยากเลยค่ะคุณพี่...คุณพี่ก็แค่หาคนช่วยแบ่งเบาภาระให้คุณชิณ คนที่สามารถดูแลคุณชิณได้..ทั้งกายและใจ...” ยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วมองมาทางลูกสาว มิ้วหน้าบาน “ส่วนเรื่องที่ซินแสบอกว่าถ้าเจอเนื้อคู่แล้วคลาดกันไป เจ้าชะตาจะต้องอยู่คนเดียวจนตาย...เป็นดวงร้างคู่ คุณพี่ก็ไม่ต้องเครียดหรอกค่ะ บางทีคุณชิณอาจจะเจอแล้วก็ได้...”
มิ้วต่อคำให้ “แต่ไม่รู้ตัว” พร้อมกับหัวเราะโฮะๆๆๆ
จากนั้นมิ้วนั่งยืดตัวให้ฉายตะวันเห็นเป็นเชิงบอกว่า... ‘หนูเองไงคะคุณป้า’ แต่ฉายตะวันมองข้ามมิ้วไป พยักหน้าคล้อยตามกิมเอ็ง
กิมเอ็งย้ำ “เพราะฉะนั้นถ้าคุณพี่เจอใครก็ต้องอย่ามองข้ามนะคะ ให้โอกาสเขาเลยค่ะ ไม่งั้นคุณชิณอาจต้องร้างคู่ตลอดชีวิต!”
ฉายตะวันนึกขึ้นได้ “จริงด้วย...” หันมาทางมิ้ว
มิ้วตาโตวาววับ นึกว่าฉายตะวันจะพูดว่าจริงด้วย “หนูมิ้วไง”...แต่เปล่า
“ทำไมเราไม่ลองหาหมอดูคนอื่นที่แม่นๆ..มาเชคดวงให้ชิณอีกที เผื่อเขาจะบอกได้ว่าจะต้องแก้ยังไง วันนั้นก็ยังดูไม่รู้เรื่อง ดันมีเรื่องซะก่อน”
มิ้วโพล่งออกมา “หาหมอดู” ในใจโคตรผิดหวัง

กิมเอ็งเซ็ง แต่ก็ต้องตามน้ำ สะกิดปรามให้มิ้วอย่าเพิ่งเหวี่ยง

“ก็ได้ค่ะคุณพี่ คุณน้องจัดให้ค่ะ”
“แต่ครั้งนี้เราไม่ต้องบอกให้ชิณรู้นะคะ เดี๋ยวจะหาว่าฉันงมงาย”
ฉายตะวันยิ้มพอใจ แจ่มยิ้มพอใจตามนาย
กิมเอ็งยังไม่ยอมแพ้ วกเข้าเรื่องมิ้วอีก “งั้นระหว่างที่ยังหาไม่เจอ ไม่รู้จะแก้ยังไงก็ให้หนูมิ้วช่วยดูแลคุณชิณไปก่อนนะคะ จะได้ผ่อนหนักเป็นเบา” รีบมัดมือชก “ว่าแต่... ตอนนี้คุณชิณอยู่ไหนคะเนี่ย”

กิมเอ็งมองซ้ายแลขวาหาเป้าหมาย...ชิณ แต่ไม่เจอ

เย็นวันเดียวกันนั้น จู่ๆ ชิณถามโพล่งออกมา

“เจ้าแม่มหาลาภไทรทอง?...เป็นใคร? เป็นมาเฟียหรือนักเลงในท้องถิ่นเหรอ..ให้ตำรวจจัดการสิ”
“ไม่ใช่ครับ..คือว่า เจ้าแม่ท่านประทับอยู่ที่ต้นโพธิ์ท้ายซอย ไม่ได้เป็นคนครับ...แต่เป็นเจ้าที่ที่ชาวบ้านในย่านนั้นนับถือมากครับ”
ที่แท้ชิณกำลังประชุมบอร์ดอยู่ที่ห้องประชุมบริษัท

มิ้วนั่งหงุดหงิด อยู่หน้าห้องทำงานชิณ..ท่าทีกระสับกระส่ายและเดินมาที่เลขา
“พี่ชิณยังประชุมไม่เสร็จอีกเหรอ นั่งรอมาเป็นชั่วโมงแล้วนะ ขาชาจะติดเก้าอี้อยู่แล้ว”
“ดิฉันก็ไม่ทราบว่าจะทำยังไงค่ะ เพราะคุณชิณไม่อนุญาตให้ใครพบค่ะ”
เสียงโทรศัพท์ดัง เลขาหันไปรับ ตัดบทสนทนา มิ้วฟึดฟัด..ฮึดฮัด และเดินกระแทกส้นจะกลับไปนั่ง
“สวัสดีค่ะ รอสักครู่นะคะ”
เลขาก้มลงไปหยิบเอกสารใต้โต๊ะ..มิ้วเห็น..แล้วก็คิด ก่อนที่จะค่อยๆ แทรกตัวเข้าไปในประตูห้องทำงานชิณ ก่อนที่เลขาจะเงยหน้าขึ้นมา

มิ้วค่อยๆ ย่องเข้ามาในห้องชิณ ทันใดนั้นเสียงชิณก็ดังมาจากห้องประชุมที่ประตูแง้มทิ้งไว้ มิ้วชะงัก ตกใจ..หันมาได้ยินชิณโวยวายกับพนักงานระดับผู้จัดการ
“ชาวบ้านไม่ย้ายออกเพราะเชื่อต้นโพธิ์เนี่ยนะ...ไร้สาระ...วุ่นวายนักก็ตัดต้นโพธิ์ทิ้งไปเลย”
“มันไม่เท่านั้นน่ะสิครับ เพราะว่าที่ชาวบ้านเชื่อพอๆ กับเจ้าแม่ก็คือร่างทรงที่ทำหน้าที่เป็นร่างประทับเจ้าแม่” ผู้จัดการคนแรกบอก
มิ้วฟังหูผึ่ง รำพึงเบาๆ
“ร่างทรง...” กระเถิบเข้ามาใกล้อีก จนหูแทบจะทะลุกำแพง

ชิณชักจะไม่ค่อยพอใจ
“ชักจะไปกันใหญ่แล้ว..ไปถึงร่างประทงประทับอะไรเนี่ย..แล้วไอ้ร่างทรงอะไรนี่มันเป็นใครมาจากไหน...หะ”
“เป็นผู้หญิงคนที่มีเรื่องกับคุณชิณเมื่อวันก่อนน่ะครับ” ชิณชะงัก “ชื่อกะละแมเป็นร่างทรงที่ชาวบ้านเชื่อถือมาก...เขาว่ากันว่า แม่นมากเลยนะครับ”

มิ้วออกอาการตื่นเต้น
“กะละแม...แม่นมาก”
มิ้วมีสีหน้ามุ่งมั่นในข่าวนี้

ชิณประชุมต่อ เลขาเดินเข้ามาเสิร์ฟกาแฟ ทรงวุฒิเอ่ยขึ้น
“นับจากวันที่ผู้หญิงคนนั้นบอกว่าจะไม่ย้าย ชาวบ้านก็เลยคิดว่าเป็นความต้องการของเจ้าที่ไม่อยากให้พวกเขาไป”
ชิณยั๊ว “บ้า...งี่เง่า... ผมฟันธงได้เลย ไอ้ที่ว่าเข้าทรงน่ะ หลอกเอาเงินชาวบ้าน..ผมไม่เคยเชื่อไอ้เรื่องพวกนี้เลยแม้แต่นิดเดียว ผมว่าเรื่องนี้ปล่อยไว้นานๆ ไม่ดีแน่ เรื่องเล็กจะกลายเป็นเรื่องใหญ่”
“แล้วคุณชิณจะให้พวกผมทำอย่างไรครับ” ทรงวุฒิสงสัย
“เราต้องตัดไฟตั้งแต่ต้นลม”

ชิณประกาศก้องอย่างมั่นใจแววตามุ่งมั่นมาก

ติดตาม "เจ้าแม่จำเป็น" ตอนที่ 2
กำลังโหลดความคิดเห็น