เจ้าแม่จำเป็น ตอนที่ 5
ตกตอนกลางคืนวันนั้น สองแม่ลูกอยู่ที่บ้านแล้ว กิมเอ็งตาเหลือกโพล่งออกมาด้วยความตื่นเต้น
“คุณชิณสนใจกะละแม! จริงๆ เหรอคะ คุณลูกขา” กิมเอ็งอึ้งปนงง
“ไม่รู้ว่าจริงมั้ย แต่พี่ชิณมองยัยนั่นไม่วางตา แล้วยังแอบไปคุยกันสองต่อสอง หน้าชิดกันมากด้วยนะคะ มิ้วยังไม่เคยชิดขนาดนั้นเลยค่ะ” มิ้วอิจฉาสุดๆ
“นางมารร้ายชัดๆ ตายแล้ว...คุณชิณจะตกหลุมพรางมันหรือเปล่าเนี่ย พวกนั้นยิ่งเป็นพวกทรงเจ้าเข้าผี ถ้าเกิดเล่นของ ทำเสน่ห์ใส่คุณชิณขึ้นมาเราแย่แน่”
“ก็ลองสิ จะเจ้าแม่ที่ไหนก็ช่าง ลองเจ๋อเข้ามา ได้เจอกันแน่ มิ้วลงทุนกับพี่ชิณไปมากแล้ว ไม่ปล่อยให้ใครมาชุบมือเปิบง่ายๆ เด็ดขาด”
“คุณแม่ก็ไม่ยอมเหมือนกันค่ะ อุตส่าห์เสียเวลาเทียวไปเทียวมาบ้านคุณพี่ฉายตะวันแทบทุกวัน อยู่ๆ จะปล่อยให้พวกนั้นได้หน้า แย่งความดีความชอบ กลายเป็นคนสนิทแทนเราสองคนแม่ลูกไม่ได้ ถ้าพวกมันคิดจะมาแย่งคุณพี่ฉายตะวันกับคุณชิณไปจากเราสองคนเมื่อไหร่ เป็นได้เห็นดีกันแน่”
กิมเอ็ง และมิ้ว ตั้งท่าประกาศสงครามกับกะละแม โดยเจ้าตัวไม่รู้เรื่องเล้ย...
ขณะเดียวกันกะละแมกับโต๊ดนั่งมัดดอกไม้เป็นกำๆ สำหรับขายชาวบ้าน ตุ้งแช่นั่งทำการบ้านอยู่
ติ่งนั่งถือดอกไม้ตาลอยๆ เพ้อถึงมิ้ว
“เออนี่...วันนี้คุณชิณเขาคุยอะไรกับเอ็งวะ เห็นหายไปตั้งนานสองนาน” โต๊ดสงสัย
“ไม่ได้คุยแต่ขู่ฉันมากกว่า เขาบอกว่าคนที่ยกเลิกการไล่ที่คือแม่เขา ไม่ใช่เขา และเขาก็จะไม่ยอม แล้วยังหาว่าฉันหลอกใช้แม่เขาอีก จะแก้ตัวก็แก้ไม่ทัน คุณมิ้วเดินมาพอดี”
“คุณมิ้ว” ติ่งหูผึ่ง “พูดถึงคุณมิ้วทำไม มีอะไรเหรอ เล่ามาเร็วๆ คุณมิ้วทำไมเหรอ” ออกอาการกระตือรือร้นขึ้นมาทันที
กะละแมหน่าย “นี่พี่ติ่ง เลิกเพ้อได้แล้ว ฉันจะบอกอะไรให้ นางในฝันของพี่ เขาไม่สนพี่หรอก”
“แกรู้ได้ยังไง” ติ่งถาม
ตุ้งแช่ส่งเสียงแหลมเข้ามา “ไม่ใช่แค่พี่แมรู้ ฉันก็รู้”
ติ่งฉุนกึก “เงียบไปเลยนะไอ้แช่ พูดมากพรุ่งนี้ไม่มีการบ้านไปส่งครูนะโว้ย เดี๋ยวฉันจะเก็บหนังสือแกไปทิ้งให้หมดเลย”
ตุ้งแช่หุบปาก รีบก้มหน้าทำการบ้านต่อ
“เรื่องคุณมิ้วของพี่ เอาเป็นว่าฉันมีเหตุผลของฉันก็แล้วกัน พี่รู้จักเจียมตัวซะบ้างเถอะ”
ว่าแล้วกะละแมก็ถือถาดดอกไม้เดินออกไป
“ไม่จริง ฉันไม่เชื่อแกหรอกไอ้แม คุณมิ้วกับฉันเป็นเนื้อคู่กระดูกคู่กันโว้ย แกไม่ต้องมาพูดให้ฉันเสียกำลังใจ คอยดู...ฉันจะพิสูจน์ให้แกเห็น ว่าฉันกับคุณมิ้วเราเกิดมาคู่กัน”
ติ่งมั่นใจมาก...โต๊ดกับตุ้งแช่ส่ายหน้าระอาใจ...กรรมแท้ๆ
เช้าวันต่อมา มีรถคันหนึ่งพุ่งมาจอดที่หน้าบ้านกะละแมด้วยความเร็วสูง ดวงโผล่หัวออกมาจากรถ...ยิ้มแป้น
“ยู้ฮู...น้องกะละแมจ๋า...อยู่มั้ยจ๊ะ”
ดวงกับก๋อยเดินลงจากรถ
กะละแม ติ่ง ตุ้งแช่เดินออกมาจากบ้าน มองที่ต้นเสียงด้วยความสงสัย
“พี่ดวงมาแล้วจ้ะ” ดวงยิ้มแป้น
“พวกเอ็งมากันอีกแล้วเหรอ ข้าชักสงสัยแล้วว่า พวกเอ็งเทียวไปเทียวมาบ้านข้าทำไมวะ พวกเอ็งเป็นลูกเต้าเหล่าใคร มาจากไหนกันแน่หะ” ติ่งฉงน
“อยากรู้ใช่มั้ย ว่าพี่ดวงมาจากไหน คำตอบก็คือ...มาจากท้องพ่อท้องแม่สิจ๊ะ”
ก๋อยว่ากวนๆ แล้วดวงกับก๋อยก็พร้อมใจกันหัวเราะ กะละแม ติ่ง ตุ้งแช่ มองเหล่ๆ
“แล้วโคตรพ่อ โคตรแม่ของพี่ดวงเป็นใครมาจากไหนล่ะจ๊ะ” ตุ้งแช่ถาม
ก๋อยชะงักขำ แล้วทำเสียงนักเลงปากซอยทันที “เฮ้ย...พูดกันดีๆ เล่นถึงโคตรเลยเหรอ เอ็งไม่รู้ซะแล้วว่าพ่อพี่ดวงน่ะเป็น...”
ดวงร้องห้าม “เฮ้ย...” เก๊กแมนสุดฤทธิ์ “อย่าบอกเขาเลยว่าพ่อเราเป็นใคร” มองจ้องกะละแมอย่างสุดซึ้ง “เรื่องของเราไม่เกี่ยวกับพ่อ มันเกี่ยวกับ...” ดวงพูดพลางเอากำปั้นทุบหัวใจ “หัวใจ”
กะละแมทำหน้าหมั่นไส้แกมคลื่นไส้ ติ่งสรุปเลย
“เอาล่ะ ไม่อยากบอกก็ไม่ต้องบอก รีบๆ ไสหัวกลับไปเลย ครั้งที่แล้วพวกเอ็งโยนความผิดให้น้องข้า ข้ายังไม่ได้สะสาง วันนี้ยังมีหน้ามาพูดจาหมาๆ อีก พวกเอ็งนี่มันหน้าด้านจริงๆ”
ตุ้งแช่ผสมโรง “ใช่...หน้าด้านจริงๆ”
ก๋อยเถียง “อย่ามาว่าพี่ดวงหน้าด้านนะเว้ย พี่ดวงใช้มอยเจอร์ไรเซอร์” ก๋อยพูดจนน้ำลายกระเด็น “ทุกวัน ยิงเลเซอร์…” น้ำลายกระเด็นอีก “ทุกเดือน หน้านิ่มยิ่งกว่าตีนเด็กอีกเว้ย!!! เอ็งมาด่าว่าพี่ดวงหน้าด้าน” หันมาทางดวง “ได้ไงวะ”
ดวงตบหัวก๋อยดังโป๊ก
ก๋อยโวย “โอ๊ย...พี่ดวงตบหัวฉันทำไม”
“เขาด่ามึงด้วย ไม่ใช่กูคนเดียว แล้วมึงไปขึ้นเสียงกับน้องเขาได้ยังไง ไปเลยมึงหลบไปเลยไอ้ก๋อย” ผลักก๋อยหลบแล้วหันมาทางติ่ง “ขอโทษนะจ๊ะ คือว่าไอ้ก๋อยมันปากหมาไปหน่อย อย่าถือสามันเลย ที่ฉันมาวันนี้ เพราะจะมาขอโทษน้องกะละแม เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวันก่อนมันเป็นอุบัติเหตุ ฉันไม่ได้ตั้งใจ”
“หนอย...ไม่ได้ตั้งใจ พวกเอ็งสองคนใส่ร้ายน้องข้าเต็มปากเต็มคำแบบนั้น ไม่เรียกว่าตั้งใจแล้วเรียกว่าบังเอิญหรือไงวะ”
เจอติ่งด่าดวงจ๋อย
“คือว่า...ฉันอธิบายได้ เหตุการณ์ในวันนั้นมันรวดเร็วมาก ฉันยอมรับว่าได้ทำในสิ่งที่ไม่สมควร และที่มาวันนี้ก็จะมาขอโทษ ที่ทำไม่ดีกับน้องกะละแม”
กะละแมพูดสวนคำออกมา “ฉันไม่ยกโทษให้” ดวงชะงัก
ก๋อยโวยวาย เสียงดังใส่ตลอดๆ “เฮ้ย...ได้ไง ไม่เคยมีใครไม่ยกโทษให้พี่ดวง”
ดวงห้าม “เย็นไว้ไอ้ก๋อย น้องกะละแมเขาสมควรจะโกรธกู” ทำวางมาดเป็นพระเอกเก๊กเสียงหล่อ “แล้ววันนึงน้องกะละแมจะเข้าใจกูเอง”
กะละแมสวนอีก “ไม่มีวัน” ดวงชะงัก “กลับไปได้แล้ว ฉันไม่อยากเห็นหน้า”
“ผู้หญิงเขาไล่แล้วก็ไปสิวะ แล้วทีหลังก็ไม่ต้องมาอีกนะเว้ย”
กะละแม ติ่ง ตุ้งแช่ เข้าบ้านแล้วปิดประตูไล่หลัง ก๋อยโมโหจะถลาเข้าใส่
“มันจะมากไปแล้วนะเว้ย ไม่เคยมีใครปิดประตูใส่หน้าพี่ดวงนะเว้ย ออกมาเลย ออกมาคุยกันให้รู้เรื่อง อย่า..อย่า พี่ดวงอย่าห้ามฉัน พี่ดวงอย่าห้าม”
ก๋อยร้องทั้งที่ดวงไม่ได้ห้าม ทันใดนั้นเสียงคุ้นหูของใครคนหนึ่งดังขึ้น
“ไอ้ดวง ไอ้ก๋อย มาทำอะไรที่นี่วะ”
ดวง ก๋อยสะดุ้งเฮือก หันไปเห็นนุ้ยยืนจังก้ามองอยู่
ดวงกะก๋อยหน้าแหย ประสานเสียง “ปะ...ป๋า”
นุ้ยลากสองแสบกลับมาบ้าน แล้วอบรมหน้าตาเอาจริงเอาจัง
“ไอ้ลูกเวร ให้ไปกำจัดศัตรูดันไปติดหญิง นี่ถ้าข้าไม่สะกดรอยตามไปจะรู้ไหมหะ”
ดวงจ๋อยแก้ตัวน้ำขุ่นๆ “ก็...ก็...หนูกะจะใช้ไม้นวม ไม้สวาทพิฆาตน่ะจ้ะป๋า”
“ก่อนที่ไม้นวมไม้สวาทของเอ็งจะไปถึง ก็เอาตีนข้า” นุ้ยจัดการถีบก๋อย “ไปก่อนแล้วกัน” ก๋อยคว่ำคาตีน “แหม...ทำเป็นไปเกาะรั้ว ลิ้นห้อย น้ำลายย้อยอยู่ได้ เสียชื่อป๋านุ้ยหมด อย่าให้ใครรู้นะว่าเป็นลูกข้า” ดวงซึม “...ไอ้ก๋อย”
ก๋อยสะดุ้ง “จ๋า...ป๋า”
“นังร่างทรงมันชื่ออะไร”
“ชื่อกะละแม พี่ชายชื่อติ่ง น้าชายชื่อโต๊ดและไอ้โต๊ดมีลูกชายชื่อไอ้ตุ้งแช่จ้ะ”
“ไอ้ก๋อย...เอ็งคอยสะกดรอยตามพวกที่สำนักทรงนั่นทุกระยะ แล้วเอาข้อมูลมันมาให้ได้มากที่สุด”
ดวงสงสัย “ป๋า...” จึงเลียบๆ เคียงๆ ถาม “ป๋าจะเอาข้อมูลมาทำอะไรจ๊ะ”
“ข้าอยากรู้ว่าพวกมันมีใครหนุนหลังอยู่รึเปล่า ทำไมมันถึงได้กล้ากำเริบขนาดนี้ ถ้ามันเป็นแค่สำนักกระจอก จะได้รีบจัดการให้สิ้นซาก ข้าจะไม่ยอมให้พวกมันเป็นหอกข้างแคร่ ทิ่มแทงอวัยวะภายในอีกต่อไปแล้ว”
สีหน้านุ้ยเคียดแค้นมากๆ...ดวงคิดหนัก...เอาไงดีวะ เพราะรู้ดีว่าคราวนี้ ป๋าเอาจริง
เย็นนั้นเองที่ร้านเต้าหู้อาม่า กะละแมโพล่งออกมาด้วยความแปลกใจ
“นายจักกายเนี่ยนะเป็นเจ้าของโครงการห้างฝั่งโน้น”
“เออดิ”
กะละแม โทฟู่นั่งอยู่ในร้านน้ำเต้าหู้ โทฟู่เตรียมไปเรียน
กะละแมคิดได้ “เขาถึงได้มาจ้างให้ฉันอยู่ที่นี่ต่อ ที่แท้ก็ทำธุรกิจแข่งกันอยู่นี่เอง”
โทฟู่ท้อใจ “พวกนักธุรกิจนี่ชอบเอาชนะกันบนความทุกข์ของชาวบ้านตาดำๆ เนอะ แถมยังหลอกใช้พวกเราอีก” สีหน้ารู้สึกผิดหวัง “แกรู้อย่างนี้แล้วจะทำยังไงต่อ”
“ไม่ทำอะไร...ฉันไม่อยากเป็นเครื่องมือทำมาหากินของใครทั้งนั้น ไม่ว่าจะฝ่ายโน้นหรือฝ่ายนี้”
โทฟู่คิดแล้วก็สงสัย
“แต่ว่าไปมันก็แปลก...จักกายรวยขนาดนั้น จะจ้างใครมาติดต่อแกก็ได้ แต่นี่ยอมเสียเวลามาเอง ฉันว่า...มันต้องมีอะไรมากกว่าธุรกิจแน่ๆ”
โทฟู่ครุ่นคิดติดใจสงสัยครามครัน...ทำไม ?
วันต่อมาตุ้งแช่กำลังเตรียมเอกสารจะไปขอทุน ติ่งเดินผิวปากเข้ามาอย่างอารมณ์ดี
“ทำอะไรวะไอ้แช่”
“เตรียมเอกสารไปขอทุนพรุ่งนี้ พี่ติ่งว่างมั้ย ไปเป็นเพื่อนฉันหน่อยสิ”
“ไม่ว่างเว้ย...พรุ่งนี้ข้ามีนัด” ติ่งยิ้มหน้าบาน มีความหวัง
ตุ้งแช่มองติ่งด้วยความสงสัย
“นัดกับใคร”
มิ้วถึงกับถลึงตา…สุดจะเคือง นึกไม่ถึง
“จะชวนฉันไปกินข้าว”
ติ่งอึกอักๆ เขินสุดๆ
“คะ...ครับ...คือว่า...ผม...อยากจะ...ชวน...ชวน...คุ...คุณมิ้ว...” ติ่งพูดไปเอานิ้วพันสายโทรศัพท์ไปด้วยความเขินอาย บิดไปมาจนสายแทบขาด “ปะ...ไปทาน...ข้าว...ด้วยกัน ไม่ทราบว่าจะ...” พูดยังไม่ทันจบ
มิ้ว ตอบเลย...แววตาเจ้าเล่ห์
“ได้...ฉันจะไปกินข้าวด้วย กลางวันนี้เลยนะ เดี๋ยวเจอกัน”
ติ่งอึ้ง...หะ! ...ตะลึงยิ่งกว่าฝัน
“ดะ...ได้ครับ”
ติ่งยังพูดไม่จบ โทรศัพท์ตัดสายไปแล้ว ติ่งตะลึง พูดลอยๆ
“เจอกันครับ”
กิมเอ็งหน้าตาไม่เห็นด้วย
“มันจะดีเหรอคะคุณลูก เกิดมันเอายาสะหน่งยาเสน่ห์มาป้ายจะแย่นะ”
“คุณแม่ไม่ต้องห่วงค่ะ มิ้วไม่เสียทีใครง่ายๆ หรอก ร้านนี้เป็นร้านเพื่อนมิ้ว รับรองปลอดภัยค่ะ” มิ้วบอกอย่างมาดมั่น “มิ้วจะต้องหลอกล่อเอาข้อมูลนังกะละแมจากมันให้ได้”
“ไปกินข้าวกันสองคนแบบนี้ อย่าไปหลงรักมันเข้านะ”
“อุ๊ย...คนต่ำๆ อย่างนั้นมิ้วไม่สนหรอกค่ะ แม้แต่หางตาก็ไม่เสียเวลาเหลือบไปมอง ที่มิ้วยอมลดตัวลงไปทานข้าวด้วยก็เพราะอยากรู้เรื่องน้องสาวมันเท่านั้น”
มิ้วจิกหางตาร้าย
“มิ้วต้องรู้ให้ได้ว่ายัยร่างทรงมันเป็นใครมาจากไหน และคิดอะไรอยู่ ส่วนไอ้พี่ชายน่ะ ไม่ได้อยู่ในสายตามิ้วแม้แต่นิดเดียว”
มิ้วพูดอย่างมั่นใจ
เวลานั้นโต๊ดกำลังไหว้ต้นไทรอยู่ข้างๆ บ้าน
“เจ้าแม่ครับ...ถ้าเจ้าแม่มีจริงยกโทษให้ผมกับลูกและหลานๆ ด้วยนะครับ..พวกผมก็ไม่ได้อยากจะทำแบบนี้ แต่มันจนปัญญาจริงๆ ครับ...เจ้าแม่อย่าถือสาพวกผมเลยนะครับ.....ถ้าเจ้าแม่จะเอ็นดูพวกผม ก็ขอให้โชคหล่นทับสักป๊าบสองป๊าบได้เงินสักก้อนผมกับลูกและหลานๆ ก็จะเลิกอาชีพนี้”
พูดจบโต๊ดก็ยกมือท่วมหัว..สาธุ..
ตุ้งแช่เดินเข้ามา เพิ่งกลับมาจากขอทุน
“เป็นยังไงบ้างวะ ตกลงเอ็งได้ทุนหรือเปล่า”
“ยังไม่รู้เลยพ่อ ทางสมาคมจะติดต่อมาพรุ่งนี้...ถ้าได้ทุนก็ดีนะพ่อ แช่จะได้เรียนต่อ เค้าบอกว่าถ้าเกรดดีจะส่งถึงมหาวิทยาลัยเลยจ้ะ”
โต๊ดดีใจ “จริงเหรอ!...” แล้วก็กลับมาปกติ เสียงแอบขรึม เหมือนเตือนตัวเอง “แต่เอ็งก็อย่าไปหวังมันมากนะ ถ้าไม่ได้มันจะเสียใจ”
โต๊ดพูดตามประสาคนไม่กล้าหวัง และไม่กล้าสู้ ตุ้งแช่ฟังแล้วก็คิด
“แล้วถ้าแช่ไม่ได้ทุน พ่อจะส่งแช่เรียนม.ปลายต่อหรือเปล่าจ๊ะ”
ตุ้งแช่รอฟังคำตอบ โต๊ดอึกอักตอบไม่ได้ด้วยความไม่มั่นใจ
“เอาน่า...เหลืออีกตั้งเทอมนึง เอาไว้ใกล้จ่ายค่าเทอมม. 4 แล้วค่อยคิดกันอีกที ตอนนี้พ่อก็ยังไม่รู้เหมือนกัน...” รีบเปลี่ยนเรื่อง “หิวยังไปกินข้าวหน้าปากซอยกัน พ่อฉลองให้ล่วงหน้าเลย”
โต๊ดตอบเสียงพยายามจะปกติ ทั้งที่ในใจรู้สึกไม่ค่อยดี ที่ไม่มีความมั่นคงให้ลูก
“เย้! ไปจ้ะ! แช่ขอกินข้าวมันไก่นะ”
“ได้เลย!! พ่อให้จานใหญ่พิเศษเลย”
ตุ้งแช่ยิ้มแฉ่งเดินนำเข้าไปในบ้านพร้อมรอยยิ้ม โต๊ดเดินตามพยายามไม่คิดมาก
เวลานั้นไอ้ก๋อยซ้อนมอเตอร์ไซค์มาจอดอยู่ที่หน้าปากซอยมหาลาภ
“มึงรออยู่นี่อย่าไปไหน กูไปดูลาดเลาก่อน เดี๋ยวมา”
ก๋อยสั่งพลางมองซ้ายมองขวาว่าปลอดภัยแล้วเดินเข้าซอย ทั้งที่ยังใส่หมวกกันน็อค
ทันใดนั้น...รับที่รถเบนซ์คันโตของชิณแล่นเข้ามาจอดเทียบ โต๊ดเดินออกมาจากซอยพร้อมตุ้งแช่ โต๊ดเห็นรถก็แปลกใจ
“รถคุ้นๆ รถใครวะ หรือว่าจะเป็นลูกค้าเจ้าแม่” แล้วก็หันมาทางตุ้งแช่ “แช่รอตรงนี้แป๊บนะ เดี๋ยวพ่อมา” โต๊ดเดินตรงไปที่รถ
ก๋อยเห็นเช่นกัน รู้สึกแปลกใจ...ถึงกับเปิดฝาหมวกมาดู
ทรงวุฒิเดินลงมาเห็นโต๊ดเดินมาพอดีก็ยิ้มให้
“คุณโต๊ดใช่มั้ยครับ”
โต๊ดรับแบบงงๆ “ครับ”
ทรงวุฒิแนะนำตัว “ผมชื่อทรงวุฒิเป็นผู้ช่วยของคุณชิณครับ เราเคยเจอกันแวบๆ อาจจะจำกันไม่ได้”
ก๋อยพยายามจะกระเถิบตัวเข้าไปแอบฟัง แต่ก็ไม่ได้ยินถึงแม้จะทำหูกางแค่ไหนก็ตาม
ทรงวุฒิอธิบายต่อ
“คุณชิณขอเชิญคุณโต๊ดไปพบครับ”
“คุณชิณ...อยากพบผม..จะพบผมไปทำไมครับ”
“เรื่องนี้คิดว่าคงต้องไปถามคุณชิณเองนะครับ..ผมเองก็ไม่ทราบ” ทรงวุฒิบอก
ก๋อยกระเถิบจนสุดตัว..แต่ก็ยังไม่ได้ยินอยู่ดี ส่วนโต๊ดยังงงๆอยู่
“ไป...ตอนนี้เลยเหรอครับ”
“ครับ..เชิญครับ”
ทรงวุฒิเดินนำไป..โต๊ดนึกได้รีบเดินกลับมาหาตุ้งแช่
“แช่” โต๊ดควักเงินให้ร้อยบาท “เอาไปกินข้าวนะ พ่อไปธุระเดี๋ยวมา”
“จ้ะ” ตุ้งแช่รับเงินมาแล้วก็มองตามงงๆ
ทรงวุฒิเปิดประตูให้ โต๊ดเข้ารถไปงงๆ...
ก่อนเข้ารถโต๊ดหันมาถามย้ำอีกที “แน่ใจนะครับว่าเป็นผมแน่...เป็นคนอื่นหรือเปล่า เป็นไอ้แมหรือไอ้ติ่งหรือเปล่า”
“คุณนั่นแหละครับ เชิญครับ”
โต๊ดขึ้นรถไปทั้งที่ยังงงๆ
ก๋อยก็งงเหมือนกัน แต่พอเห็นว่ารถเบนซ์แล่นไปแล้ว ก็รีบจะวิ่งตามไป...แล้วก็นึกได้วิ่งกลับไปที่มอเตอร์ไซค์
ก๋อยวิ่งหน้าเริ่ดมาที่มอเตอร์ไซค์
“เฮ้ย...ไปเว้ย...รีบตามรถเบนซ์คันนั้นไป”
ลูกน้องรีบสตาร์ทแล้วไปเฉยเลย ทิ้งก๋อยไว้จนต้องตะโกนตาม
“เฮ้ย..เอากูไปด้วยสิเว้ย...ไอ้ลำดวน...”
ลูกน้องที่ดูท่าทางฉลาดน้อยมาก เลยต้องวนรถกลับมารับ ก๋อยเอาหมวกที่ใส่อยู่ชนหัวลูกน้องที่ใส่หมวกอยู่เหมือนกัน โป้ก
“นี่แน่ะ...ไอ้ลำดวน โง่ฉิบหาย...มึงจะไม่เอากูไปด้วยเหรอ...ไอ้เวร”
ก๋อยรีบขึ้นซ้อน
“ไป...”
รถมอเตอร์ไซค์บิดออกตัวอย่างแรง...ก๋อยหงายเงิบแทบร่วง
รถเบนซ์ ชิณมาจอดที่หน้าบริษัท ทรงวุฒิมาเปิดประตูให้ โต๊ดเดินลงมาด้วยท่าทางประหม่า...
“เชิญครับ”
โต๊ดเดินตามทรงวุฒิเข้าไปด้วยความไม่ค่อยแน่ใจ
รถมอเตอร์ไซค์ พาก๋อยมาจอดหลบอยู่แถวนั้น ก๋อยเปิดหมวกแล้วก็มองเข้าไปในตึกเบื้องหน้า
“มันมาทำอะไรที่นี่วะ”
ชิณพูดด้วยความชัดเจน ตรงประเด็น
“ผมอยากชวนคุณทำธุรกิจด้วยกัน”
โต๊ดตาโต
“ธุรกิจ...อะไรครับ...แล้วมันยากหรือเสี่ยงหรือเปล่า”
ชิณนั่งเผชิญหน้า “ง่ายและปลอดภัย...เพียงแค่คุณทำตามที่ผมบอก...คุณก็เอาเช็คใบนี้” ยื่นเช็คให้ “ไปขึ้นเงินที่ธนาคารได้ทันที สามล้านบาท”
โต๊ดถือเช็คอยู่มือสั่น “สามล้าน...” อึ้งๆไป “หละ...แล้วผมต้องทำอะไรบ้างครับ”
ชิณมองอย่างลุ้นๆ “ย้ายออกจากที่ของผมโดยเร็วที่สุด”
“ย้ายออก”
โต๊ดอึ้ง
“คุณยังไม่ต้องให้คำตอบผมตอนนี้ก็ได้...กลับไปคิดดูก่อน..ว่าเงินสามล้านทำอะไรได้บ้าง...แล้วค่อยตัดสินใจ”
ชิณมองจ้องตาโต๊ดอย่างเป็นต่อ
เจ้าแม่จำเป็น ตอนที่ 5 (ต่อ)
ทางด้านก๋อยยังใส่หมวกกันน็อคนั่งรออยู่ ที่หน้าบริษัทมหาทรัพย์ไพศาลของชิณ
“นานฉิบหายมันเข้าไปทำอะไรกันวะ...ร้อนก็ร้อน...” จังหวะหนึ่งก๋อยถอดหมวกมาเกา หัวเปียกไปด้วยเหงื่อ
ระหว่างนั้นโต๊ดเดินออกมาพร้อมกับชิณ โดยมีทรงวุฒิเดินตามมาข้างหลัง
“คิดดูดีๆนะครับ...ผมไม่รีบแต่ยิ่งเร็วเท่าไหร่ เงินก็ไปอยู่ในกระเป๋าคุณเร็วเท่านั้น”
ก๋อยเหลือบไปเห็น
“เฮ้ย...ไอ้เจ้าของที่นี่หว่า”
ก๋อยนึกได้รีบใส่หมวกกันน็อค แล้วหยิบเอากล้องมือถือมาถ่ายรูปทันที
ก๋อยถ่ายรูปโต๊ดกับชิณในมุมต่างๆ จนโต๊ดขึ้นรถเบนซ์กับทรงวุฒิ และชิณก็เดินกลับเข้าไปในห้องทำงาน
ก๋อยงง
“ไอ้น้าโต๊ด...มันมาหาไอ้เจ้าของที่ทำไมวะ”
เวลาเดียวกันกะละแมเดินเข้ามาในบ้าน ร้องเรียก
“พี่ติ่ง...น้าโต๊ด” แต่ในบ้านเงียบกริบ
กะละแมเดินสำรวจซ้ายขวามองหาญาติ
“น้าโต๊ด...พี่ติ่ง...หายไปไหนกันหมด”
ตุ้งแช่เดินออกมาพอดี “ไม่มีใครอยู่หรอกพี่แม พ่อออกไปธุระกับใครก็ไม่รู้”
กะละแมพยักหน้ารับรู้อาการงงๆ แล้วก็ถามต่อ
“แล้วพี่ติ่งล่ะ หายไปไหนเนี่ย”
กะละแมถามด้วยความแปลกใจ
ที่ร้านอาหารอิตาเลี่ยนสุดหรู ติ่งแต่งตัวจัดเต็ม ทำท่าทางไฮโซนั่งอยู่ตรงข้ามมิ้ว พนักงานยืนรอรับออเดอร์ ติ่งคิดในใจ “ต้องสั่งแอ๊ปปะไทเซอร์ก่อน”
ว่าแล้วติ่งก็สั่งอาหารท่าทางคล่องแคล่วโดยไม่ต้องดูเมนู “เอ่อ...ผมขอเป็นแอ๊ปปะไทเซอร์ เซเลอรี่มายองเนส แล้วก็เฟตตูชินีวอลนัทครีม” ไม่เท่านั้นสำเนียงติ่งยังเป๊ะมากเพราะท่องมาอย่างดี
มิ้วมองอย่างอึ้งๆ...มันรู้จักได้ไง
ติ่งยิ้มหน้าบาน “ขอโทษที่สำเนียงเป๊ะเกินไป พอดีผมทานบ่อย เลยสั่งคล่องน่ะครับ” พลางยกน้ำขึ้นดื่มด้วยท่าทางเหมือนจิบไวน์ กระแดะมากๆ
“อ๋อเหรอคะ” มิ้วไม่อยากจะเชื่อ “งั้นมิ้วขอเป็นพาสต้ากุ้งซอสอัลเฟรโด”
มิ้วปิดเมนูส่งคืนให้พนักงาน แล้วพนักงานเดินไป มิ้วเข้าเรื่อง
“เอ่อ...คุณติ่งเป็นพี่ชายแท้ๆ ของกะละแมเหรอคะ”
“คะ...ครับ คลานตามตูด เอ้อ...ตามก้นกันมาเลยครับ”
“กะละแมได้เรียนหนังสือหรือเปล่า หรือว่าจบแค่ ป. 4 แล้วก็มาเป็นร่างทรง” น้ำเสียงมิ้วเหยียดๆ
“เปล่าครับ...ไอ้แมมันรักเรียนจะตาย...ตอนนี้เรียนรามอยู่ครับ” ติ่งเจื้อยแจ้วไม่สำเหนียกว่ามิ้วดูถูกน้อง
“แล้ว...กะละแมมีแฟนหรือยังคะ”
“อุ้ย... ไม่มีหรอกครับ กี่รายๆที่มาจีบก็เด้งหนีหายไปหมด”
มิ้วชักสนใจ “มีคนมาจีบเยอะเหรอคะ”
ติ่งคุยฟุ้ง “เยอะครับ...ในซอยมหาลาภเกือบทั้งซอย แล้วยังเด็กที่ซอยอื่นอีก...แล้วยังจะมีพวกลูกค้า เอ่อ..คนที่มาเฝ้าเจ้าแม่บางคนซื้อกระเป๋าแบรนด์เนมแพงๆ ให้ มันยังไม่สนเลย”
มิ้วลองหยั่งเชิง “อาจจะยังไม่เจอคนที่ชอบจริงๆ ก็ได้มั้ง”
“ก็คงงั้นมั้งครับ...มันน่ะหัวสูง...ไม่ค่อยชอบไอ้พวกเหลือขอในซอย”
“ถึงว่าสิ...”
มิ้วพูดลอยๆ พลางจิกหางตาอย่างไม่วางใจ
ไม่นานนักจานอาหารสุดอลังการวางตรงหน้า ติ่งกินอย่างเอร็ดอร่อย
ติ่งพูดทั้งที่อาหารเต็มปาก “อร่อยมากเลยนะครับเนี่ย” ติ่งพึมพำเบาๆ “เกิดมาเพิ่งเคยกิน อร่อยแบบนี้นี่เองมันถึงแพง” แล้วก็นึกได้ “คุณมิ้วอยากลองมั้ยครับ ผมป้อน” ติ่งทำเป็นตักอาหารจะป้อนอย่างโรแมนติก
มิ้วรีบบอก “ไม่ค่ะ ขอบคุณแต่ไม่” แล้วก็รีบถามต่อ “คุณติ่งคะ...ที่คุณบอกว่ากะละแมหัวสูงเนี่ย...อย่างพี่ชิณ คุณติ่งว่าเขาจะชอบมั้ยคะ”
“ชอบสิครับ...” ติ่งบอก มิ้วอึ้ง “อย่างคุณชิณใครก็ชอบ...อย่าว่าแต่ไอ้แมเลยครับ...ผมยังชอบเลย” มิ้วมองเหล่ๆ ไม่วางใจ “แล้วคุณมิ้วถามไปทำไมเหรอครับ”
มิ้วกลบเกลื่อน “ไม่มีอะไรค่ะ ก็แค่อยากรู้น่ะค่ะ”
“แล้วไม่อยากรู้ชีวิตผมบ้างเหรอครับ ชีวิตผมก็น่าสนใจนะครับ”
มิ้วรีบบอก “มะ...ไม่เป็นไร พอดีเพิ่งนึกได้ว่าต้อง...รีบไปทำธุระกับคุณแม่ เอาไว้คราวหน้าเราค่อยนัดกันใหม่แล้วคุยเรื่องคุณติ่งนะคะ”
“คราวหน้า...” ติ่งยิ้มหน้าบาน “ครับได้ครับ”
ติ่งนึกเรื่องคาใจขึ้นมาได้...
“คุณมิ้วครับ...ผมขอถามอะไรคุณมิ้วอย่างนึงได้มั้ยครับ...” มิ้วพยักหน้า “คุณมิ้ว...เอ่อ...มีแฟนหรือยังครับ”
มิ้วสะอึก ติ่งรอลุ้นคำตอบ มิ้วตอบแอบให้ความหวัง “ยังค่ะ...ยังไม่มี”
ติ่งยิ้มหน้าบานอย่างมีหวัง มิ้วหันไปหยิบกระเป๋า
“มิ้วต้องไปก่อนนะคะ...ฝากจ่ายด้วยนะคะ...โชคดี”
มิ้วเดินไปเลย ติ่งยิ้มส่ง ลืมตัว
“ได้เลยครับ สบายมาก”
มิ้วเดินตัวปลิวไป ติ่งเริ่มได้สติ
“จ่ายเงิน”
ติ่งล้วงเงินยับๆ ออกมา...ฉิบหายแล้วจะพอมั้ยวะเนี่ย
กลับถึงบ้าน มิ้วก็รายงานผลกับกิมเอ็งทันที
“มิ้วน่ะคาดไว้ไม่ผิดจริงๆนะคะคุณแม่ ยัยเด็กร่างทรงนั่นน่ะ มันกะจะจับพี่ชิณจริงๆ ด้วย”
“นังหัวสูง...นังไม่ไม่เจียมตัว หนอย...คิดจะจับผู้ชายทั้งที ยังไม่ดูกำพืดตัวเอง แต่...จะว่าไป..แม่ไม่ค่อยห่วงคุณชิณเท่าไหร่ เพราะลูกแม่สวยกว่ามัน” กิมเอ็งอวยลูกสาว
มิ้วยิ้มโพสท่าอย่างมั่นใจ
กิมเอ็งพูดต่อ “ดีนะที่ได้แม่ไปเยอะ เลยรอดไป”
มิ้วหันมา ความมั่นใจลดลงวูบ...เหรอคะ?
กิมเอ็งพูดต่อ “แม่ห่วงคุณพี่ฉายตะวันมากกว่า คุณพี่เหมือนจะชอบใจยัยเด็กนั่น และยิ่งมารู้ว่าเป็นคนพาคุณชิณไปส่งโรงพยาบาลก็ดูเหมือนจะปลื้มไปใหญ่”
“เราต้องหาทางทำให้คุณป้าตาสว่างและก็รู้ว่าธาตุแท้ของยัยร่างทรงให้ได้
“ไม่ยาก เรื่องยุให้คนแตกกัน คุณแม่ถนัด...แค่ทำให้คุณชิณกับคุณพี่เกลียดนังเด็กนั่น..ง่ายจะตาย แม่จัดการเอง”
กิมเอ็งเผยธาตุแท้ออกมา พร้อมกับจิกหางตาอย่างมาดร้าย
เย็นนั้น กะละแมกอดอกรอตุ้งแช่ที่ขี่จักรยานมาโดยติ่งซ้อนท้าย เจอหน้ากะละแมด่าพี่ชายทันที
“สมน้ำหน้า! ไม่มีเงินดันกินหรูอวดหญิง นี่ถ้าฉันไม่มีเงินเก็บ พี่จะได้กลับบ้านมั้ยเนี่ย เดือดร้อนน้องๆต้องเอาเงินไปให้...หน้าไม่อาย”
“โชคดีเป็นของแกนะไอ้แม วันนี้ฉันอารมณ์ดี ไม่มีอารมณ์โกรธใคร จะพูดหมาๆ ยังไงก็ไม่สน”
ติ่งเดินเพ้อเข้าบ้านไป กะละแมกับตุ้งแช่ได้แต่มองตามงงๆ อะไรของมันวะ
“พี่ติ่งก็กลับมาแล้ว เมื่อไหร่พ่อจะกลับมาก็ไม่รู้” ตุ้งแช่ว่า
“เออนั่นสิ...หายเงียบไปเลย น้าโต๊ดไปไหนของเค้านะ”
กะละแมมองออกไปนอกบ้านด้วยความไม่สบายใจ
โต๊ดหลบมุมมานั่งเครียดอยู่ริมน้ำ คิดถึงคำพูดของชิณ
“คุณยังไม่ต้องให้คำตอบผมตอนนี้ก็ได้...กลับไปคิดดูก่อน..ว่าเงินสามล้านทำอะไรได้บ้าง”
โต๊ดหยิบเช็คมาดูใกล้ๆ ครุ่นคิดหนัก นึกถึงตอนคุยกับตุ้งแช่เรื่องค่าเรียนตอนเช้า
“ถ้าได้ทุนก็ดีนะพ่อ แช่จะได้เรียนต่อ เค้าบอกว่าถ้าเกรดดีจะส่งถึงมหาวิทยาลัยเลยจ้ะ”
“จริงเหรอ!..” โต๊ดดีใจ แต่แล้วก็กลับมาปกติ เสียงแอบขรึม เหมือนเตือนตัวเอง “แต่เอ็งก็อย่าไปหวังมันมากนะ ถ้าไม่ได้มันจะเสียใจ”
ตุ้งแช่ฟังแล้วก็คิด
“แล้วถ้าแช่ไม่ได้ทุน พ่อจะส่งแช่เรียนม.ปลายต่อหรือเปล่าจ๊ะ”
อีกเหตุการณ์ตอนกะละแมไม่อยากหลอกชาวบ้านแล้ว
“โหย...น้าโต๊ด อย่าทำอะไรที่มันน่าละอายใจไปมากกว่านี้เลย ฉันว่าที่เราหลอกชาวบ้านอยู่ทุกวันนี้นรกก็เรียกพี่แล้ว”
โต๊ดดึงตัวเองกลับมา จนปัญญา...คิดไม่ออก
“เอาไงดีวะไอ้โต๊ด...เฮ่อ”
คิดหัวแทบแตก แต่โต๊ดยังคิดไม่ตก จนกระทั่งพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า
รูปโต๊ดกับชิณที่ก๋อยถ่ายมาได้ ถูกส่งให้นุ้ย มาเฟียหวยฝั่งธนฯรับมาดูแล้วก็แปลกใจ มีดวงวางมาดสะเหร่ออยู่ข้างๆ
“ไอ้น้าของนังร่างทรง มันไปทำอะไรกับไอ้เจ้าของที่วะ”
“ไม่รู้เหมือนกันป๋า...ฉันเห็นมีรถเบนซ์มารับมัน ก็เลยตามไปแล้วก็ได้รูปนี้มาน่ะ”
“มันคุยอะไรกัน”
“ไม่รู้เหมือนกัน”
ดวงคิดสักพักก็ทำหน้าตื่น ก๋อยเลยตาเหลือกตาม
“หรือมันจะคุยกันเรื่อง...”
นุ้ยตื่นเต้นอยากรู้ “เรื่องอะไร”
“เรื่องน้องกะละแม...” ดวงออกโอเว่อร์แอ็คติ้งสุดๆ “หรือว่าไอ้น้ามันพยายามจะขายน้องกะละแมให้ไอ้เศรษฐีนั่น เพราะดูท่าทางมันหน้าเงินออกจะตายไป เฮ้ย ไม่ได้การณ์แล้วไอ้ก๋อยเอ็งต้องตามประกบอย่าให้ห่างนะเว้ย มีอะไรคืบหน้าให้รีบรายงานด่วน”
นุ้ยตบกบาลดวงเต็มๆ
“คิดเป็นอยู่เรื่องเดียวหรือไง...หายใจเข้าเป็นหญิง หายใจออกเป็นหญิง ปัดโธ่เว้ย เฮ่อ...แล้วกูจะรู้ได้ไงวะว่ามันคุยอะไรกัน..” นุ้ยครุ่นคิด “เอางี้ ไอ้ก๋อยมึง...มึงไปสืบมาให้ได้ว่ามันสองคนคุยอะไรกัน”
“ครับป๋า”
นุ้ยหน้าตาจริงจัง
ดวงมองดูรูปแล้วก็คิดไปแต่เรื่องชู้สาว แล้วก็บังเกิดความวิตกอย่างยากจะห้ามใจไว้
เช้าวันต่อจักกายอยู่ในห้องทำงานที่บริษัท แลพกำลังเซ็นเอกสาร มีศจียืนรออยู่ มือถือจักกายวอทแอปดัง ตึ้งตึ่ง ศจีปรายตาไปดู
เห็นที่หน้าจอเป็นข้อความจากไลน์ “แนน - ทำไรอยู่อ่า..คิดถึงนะ Juzz JuzzZ”
ศจีหันมามองจักกาย แต่จักกายไม่สนใจเซ็นเอกสารต่อ
ข้อความจากไลน์เข้ามาอีก ตึ้งตึ่ง ศจีปรายตาไปดู
เห็นที่หน้าจอเป็นข้อความจากไลน์ “ทับทิม - กินข้าวกัน อยากเจอๆๆๆ...Mizzzzz!”
ศจีหันมามองจักกาย แต่จักกายก็ไม่สนใจอีก
มีข้อความจากเฟซบุคเข้ามาอีก ตึ้งตึ่ง ศจีปรายตาไปดูอีก....เฮ้ย อะไรกันนักหนายะ ?
ศจีเห็นที่หน้าจอเป็นข้อความจากเฟซบุค “จิวลี่ - อยู่หนายยยยยอ่ะ...โทหาด้วยน้า....อยากคุยด้วยที่สุดอ่ะ จ๊วฟฟฟฟ”
ทันใดนั้นจักกายก็หันมาคว้าโทรศัพท์ แล้วก็ปิดเครื่องไปเลย พร้อมกับบ่น
“ผู้หญิงชอบจิกนี่น่าเบื่อจริงๆ”
ศจีสะอึก “แรงค่ะบอส”
“ผู้ชายพูดแบบนี้ อาจจะดูไม่น่ารักในสายตาผู้หญิง แต่ผู้หญิงจิกผู้ชายแบบนี้ก็ดูไม่น่ารักในสายตาผู้ชายบางคน โดยเฉพาะผม”
ศจีคิดๆ แล้วก็ถาม แอบสาระแนนิดๆ แบบมีฟอร์ม “ถ้าแบบนี้ไม่น่ารัก...แล้วแบบไหนถึงจะเรียกว่าน่ารักในสายตาคุณกายคะ”
โดน...นั่นสิ....จักกายคิด แล้วก็ค่อยๆ หันไปมองถุงกระเป๋าแบรนด์เนมที่กะละแมเอามาคืน จักกายยิ้มนิดๆ
“แบบแปลกๆ ไม่เหมือนใครมั้ง ประหลาดนิดๆ ท้าทายหน่อยๆ เร้าใจดี”
จักกายคิดถึงกะละแมแล้วก็ยิ้มนิดๆ ตาเป็นประกาย
จักกายพุ่งไปหาโทฟู่ที่มหาวิทยาลัย บอกความประสงค์ทำเอาโทฟู่โพล่งขึ้นมาด้วยความคาดไม่ถึง
“คุณเนี่ยนะจะจีบไอ้แม บ้าหรือเปล่า”
จักกายยืนคุยกับโทฟู่อยู่ที่หน้าคณะแพทย์ศาสตร์
“ไม่ได้บ้า..แต่อาจจะดูผิดปกตินิดหน่อย”
“ผิดปกติมาก คุณเพิ่งจะรู้จักไอ้แมไม่นาน คุยกันก็แค่นิดหน่อย แล้วคิดจะจีบเนี่ยนะ ถามจริงคุณเห็นเพื่อนฉันเป็นอะไร”
“เป็นผู้หญิงที่น่ารัก แล้วก็น่าสนใจ”
โทฟู่ชะงัก มองหน้าจักกาย แล้วก็คิด
“จากคำพูดมันก็ฟังดูดีนะ แต่จากกระทำที่ผ่านมา มันไม่น่าไว้ใจ”
“ผมรู้ว่าผมทำไม่ดีเอาไว้ แต่ตอนนั้นมันเป็นเรื่องของธุรกิจ ตอนนี้เรื่องส่วนตัวล้วนๆ ไม่มีอะไรปิดบัง ไว้ใจได้”
“ความไว้วางใจมันไม่ได้จะมาสร้างกันได้แค่ไม่กี่วินาที หรือแค่คำพูดไม่กี่คำ”
“แล้วผมต้องทำยังไง คุณถึงจะไว้ใจแล้วก็ช่วยผมจีบเพื่อนคุณ”
โทฟู่คิด....แล้วก็พูดด้วยแววตาแอบเจ้าเล่ห์นิดๆ
“แน่ใจนะว่าถ้าฉันบอกแล้วคุณจะยอมทำได้”
จักกายยักไหล่ “ถ้ามันทำให้คุณยอมช่วยผม...ก็...โอเค้..ผมยอมทำตาม คุณจะให้ผมทำอะไร”
โทฟู่เชิดหน้าเล็กน้อย
“ฉันอยากรู้เรื่องระหว่างคุณกับคุณชิณ”
จักกายสะอึกนิดๆ คิดไม่ถึง
ที่บ้านมหาทรัพย์ไพศาลคืนนั้น ฉายตะวันเดินมาหาชิณในห้องทำงาน ขณะที่ชิณยังนั่งทำงานอยู่..หน้าตาเคร่งเครียด
“ดึกแล้วยังไม่เลิกทำงานอีกเหรอลูก”
“มันยังไม่เสร็จน่ะครับ”
“เอ่อ..เราน่ะทำงานหนักเกินไปหรือเปล่าชิณ..ตื่นเช้าทุกวัน นอนดึกทุกคืน ไม่รู้ว่าอะไรนักหนา อีกหน่อยคงทำงานจนลืมแม่”
“ไม่หรอกครับ...ถึงจะงานยุ่งแค่ไหนผมก็ต้องมีเวลาให้แม่อยู่ดี”
“ดี..งั้นพรุ่งนี้หลังจากที่แม่แวะเข้าไปทำงานที่สมาคม แม่ต้องไปเอาชุดที่สั่งตัดไว้ที่ร้านแนนซี่...เราไปเป็นเพื่อนแม่หน่อยก็แล้วกัน”
ชิณสะอึก “แต่พรุ่งนี้ผมมีประชุม แม่ชวนแจ่มไปเป็นเพื่อนก่อนแล้วกันนะครับ”
“เอ่อ.. มีลูกชายก็อย่างเนี้ย...พึ่งพาอาศัยอะไรไม่ค่อยจะได้เล้ย..รู้งี้น่าจะมีลูกสาวมาไว้เป็นเพื่อนก็ดี”
“โธ่แม่...” ชิณลุกมาโอบเอาใจ “อย่างอนสิครับ...พรุ่งนี้ผมยุ่งจริงๆ เอาอย่างนี้...เพื่อเป็นการไถ่โทษที่ผมไปเป็นเพื่อนแม่ไม่ได้ แม่ต้องการอะไรบอกผมเลย เดี๋ยวผมจะหามาให้ในทันที”
“แน่นะ...” ชิณพยักหน้า “งั้นเราต้องรีบหาแฟนสักคน และก็รีบมีหลานให้แม่โดยเร็วที่สุด ก่อนที่แม่จะเหงาตาย”
ชิณอึ้ง ฉายตะวันลุกขึ้น ก่อนจะไปทิ้งท้ายไว้อีกที
“เรารับปากแม่แล้วนะ ต้องทำให้ได้...อย่าลืม”
ฉายตะวันทิ้งระเบิดแล้วก็เดินออกไป...ทิ้งให้ชิณหนักใจอยู่คนเดียว...เฮ่อ...ยากจัง
เช้าวันต่อมาตุ้งแช่ดีใจ ถือจดหมายทุนวิ่งร้องลั่นเข้ามาในบ้าน ขึ้นไปที่แท่นทำพิธีของเจ้าแม่พร้อมโทรโข่ง
ตุ้งแช่ป่าวประกาศเรียกทุกคนใส่โทรโข่ง “พ่อ พี่แม พี่ติ่ง พ่อ พี่แม พี่ติ่ง ประกาศ! ประกาศ”
กะละแมเดินออกจากห้องมาด้วยความรำคาญ
“แหกปากอะไรของแกวะไอ้แช่ ไม่มีใครอยู่ มีฉันอยู่คนเดียว”
ตุ้งแช่พูดย้ำใส่โทรโข่งทีละคำ “ฉัน ได้ ทุน เรียน ต่อม.ปลายแล้วจ้ะ”
“ทุนอะไร” กะและแมหยิบจดหมายจากมือตุ้งแช่มาอ่านดู “สมาคมทางแห่งแสงตะวัน”
ตุ้งแช่รีบบอก “สมาคมของคุณนายฉายตะวันไงพี่แม วันที่ไปกินข้าว คุณนายถามฉันเรื่องเรียน ฉันก็บอกว่าฉันไม่รู้ว่าจะเรียนอะไรต่อหรือเปล่า ต้องแล้วแต่ว่าพ่อจะส่งไหวหรือเปล่า คุณนายก็เลยให้ฉันส่งใบเกรดไปที่สมาคม ถ้าเกรดถึง เค้าจะให้ทุนฉันเรียนต่อม. 4 แล้ววันนี้..ฉันก็ได้ เย้”
กะละแมฟังแล้วก็คิด...น่าสนแฮะ
“มันง่ายอย่างนี้เลยเหรอเนี่ย”
ไม่นานต่อมากะละแมพาตัวเองมาอยู่ที่ด้านนอกสมาคมทางแห่งแสงตะวัน กะละแมมองที่ป้ายชื่อสมาคมแล้วก็ตัดสินใจ เอาวะลองดู..!
กะละแมเดินมาที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์
“ขอโทษนะคะ...จะมาส่งใบสมัครเรื่องขอทุนการศึกษาของนักเรียนระดับปริญญาตรีค่ะ”
“เดี๋ยวไปส่งที่โต๊ะด้านโน้นเลยนะคะ” พีอาร์บอก
“ขอบคุณค่ะ”
กะละแมหันมาจะเดินไปที่โต๊ะ แต่ก็ชนเข้ากับผู้หญิงคนหนึ่ง เอกสารตกกระจาย
กะละแมตกใจร้อง “อุ๊ย”
ผู้หญิงคนนั้นร้อง “ว้าย”
กะละแมรีบก้มเก็บเอกสารและส่งให้...
“ขอโทษค่ะ...ขอโทษค่ะ” พอเงยหน้าขึ้นมองแล้วต้องชะงัก “อ้าว...คุณนาย”
ที่แท้ผู้หญิงคนนั้นคือฉายตะวันนั่นเอง...ทั้งสองคนตกใจไม่แพ้กัน
“หนูกะละแม”
ที่ห้องประชุมในออฟฟิศชิณ เอกสารบนโต๊ะชิณถูกพับเก็บ
“วันนี้ขอปิดประชุมแค่นี้นะครับ”
พนักงานทุกคนเดินออกไป
ชิณเดินมานั่งที่โต๊ะทำงาน มองเห็นรูปถ่ายคู่กับฉายตะวันที่วางอยู่บนโต๊ะ แล้วก็นึกถึงแม่ขึ้นมา...ดูนาฬิกาข้อมือ แล้วจึงโทร.ไปที่บ้าน
แจ่มเดินมารับโทรศัพท์
“สวัสดีค่ะ...คุณชิณเหรอคะ”
ชิณพูดโทรศัพท์มือถือไป ก็เดินมาหยิบกุญแจรถเตรียมออก
“แม่ล่ะ”
“คุณนายออกไปแล้วค่ะ เห็นว่าจะไปที่สมาคมน่ะค่ะ”
“ไปสมาคมฯ เหรอ...เออ งั้นแค่นี้นะ”
ชิณวางสายและเดินออกจากห้องทำงานไป
เวลาเดียวกันฉายตะวันดูผลการเรียนของกะละแมด้วยความพอใจ
“เก็บได้หลายหน่วยกิจแล้วนี่ ขยันจริงๆ”
กะละแมยิ้มหน้าบาน
“นี่ต้องทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย แล้วเอาเวลาที่ไหนท่องหนังสือจ๊ะเนี่ย”
“ก็เวลาที่ว่างจากตอนเข้าทรงค่ะ”
ฉายตะวันอึ้งปนทึ่ง “หนูเนี่ยมีเรื่องให้ฉันประหลาดใจอยู่เรื่อยนะ ยิ่งรู้จักยิ่งมีแต่เรื่องที่คาดไม่ถึง ถึงว่าเจ้าแม่ถึงได้เลือกเป็นร่างประทับ”
กะละแมอึ้ง “อุ๊ยไม่หรอกค่ะคุณนาย...หนูก็เป็นแค่นังกะละแม ท้ายซอยมหาลาภนั่นแหละค่ะ...ไม่ได้ดีเด่อะไร...”
ฉายตะวันดูนาฬิกา “ตายจริง...ฉันนัดเพื่อนไว้ต้องไปรับชุดที่จะใส่ไปงานสำคัญด้วยสิ ต้องรีบออกไปแล้ว” นิ่งคิด “เอายังไงดีนะ...หนูจะติดรถไปคุยกับฉันต่อระหว่างทาง หรือว่าจะกลับไปก่อนแล้วค่อยนัดสัมภาษณ์วันหลัง”
กะละแมคิดแล้วบอก “ถ้าไม่เป็นการรบกวนเกินไป หนูไปกับคุณนายก็ได้ค่ะ”
“อุ้ย รบกงรบกวนอะไร...ไม่หรอก ไป งั้นเราไปด้วยกันเลย...ฉันจะได้สัมภาษณ์หนูบนรถ”
กะละแมยิ้มรับ “ค่ะ”
ฉายตะวัน หันไปหยิบกระเป๋าเอกสาร...กะละแมรีบเข้ามาช่วยถือด้วยความเป็นคนมีน้ำใจ ฉายตะวันอมยิ้ม เพราะดูแล้วไม่ใช่พวกเสแสร้งทำเอาหน้า
รถฉายตะวันจอดอยู่หน้าสมาคม ฉายตะวันเดินมาขึ้นรถพร้อมกับกะละแม รถขับออกไป ชิณขับรถเข้ามาจอดสวนกันนิดเดียว
เจ้าแม่จำเป็น ตอนที่ 5 (ต่อ)
ชิณก้าวลงจากรถเดินเข้าไปด้านในสมาคม และในเวลาต่อมาเลขากำลังตอบด้วยน้ำเสียงสุภาพนอบน้อมเมื่อถูกชิณถามถึงแม่
“ท่าน ผ.อ. ออกไปข้างนอกแล้วค่ะ”
“ออกไปแล้ว...นานหรือยังครับ”
“ไม่นานค่ะ เมื่อครู่นี้เองค่ะ...เห็นว่าจะไปรับเสื้อที่ร้านคุณแนนซี่แล้วจะกลับบ้านเลยค่ะ”
“ขอบคุณครับ”
ชิณเดินกลับออกมา แล้วขับรถไปหาแม่ที่ร้านเสื้อ
ฉายตะวันและกะละแมอยู่บนรถ
“ฉันอาจจะเริ่มด้วยคำถามธรรมดานะ แต่ฉันสงสัยจริงๆ ทำไมหนูถึงชื่อกะละแมล่ะจ๊ะ”
“ตอนที่แม่ตั้งท้อง พ่อกำลังจะทิ้งแม่ไป แม่ก็เลยตั้งชื่อหนูว่ากะละแมเพราะมันฟังดูเหนียวๆ หวานๆ ดีค่ะจะได้ดึงพ่อไว้ แต่มันไม่สำเร็จ...พ่อทิ้งเราไปจนได้”
ฉายตะวันฟังคำตอบแล้วอึ้งไป
“งั้น...ตอนนี้หนูก็อยู่กับแม่สินะ”
“ไม่ได้อยู่หรอกค่ะ แม่หนูเสียไปแล้ว ตอนนี้หนูอยู่กับน้าโต๊ด”
ฉายตะวันมองเด็กสาวด้วยความสงสาร
กะละแมเล่าต่อ “ส่วนเมียน้าโต้ดก็ตายไปแล้วเหมือนกันค่ะ เราก็เลยเหลือกันอยู่แค่สี่คน...เมื่อก่อนน้าโต้ดก็ทำงานหาเลี้ยงอยู่คนเดียว พอพวกหนูเริ่มโต ก็เลยต้องช่วยกันทำงานอย่างที่เห็นน่ะค่ะ”
ฉายตะวันมองกะละแมด้วยความสงสารเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ
“ทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย...หนูแบ่งเวลายังไงถึงยังเรียนได้คะแนนดีแบบนี้จ๊ะ”
“ก็ทำทุกอย่างน่ะค่ะ ไม่ว่ายุ่งแค่ไหน ก็ต้องมีเวลาอ่านหนังสือ...กะละแมอยากเรียนสูงๆค่ะ จะได้ไปประกอบอาชีพอย่างอื่นได้ หนูไม่ได้อยากเป็นร่างทรงไปตลอดชีวิตหรอกนะคะ”
คราวนี้ฉายตะวันมองกะละแมด้วยความชื่นชม
ที่หน้าร้านเสื้อผ้าแนนซี่ ที่ตกแต่งหรูหราแห่งนั้น ฉายตะวันเดินนำกะละแมที่ยืนอึ้งค้างอยู่เข้ามาด้านใน
“หนูกะละแมจ๊ะ มาทางนี้จ้ะ”
“เอ่อ...คุณนายคะ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว...หนูขอตัวกลับก่อนแล้วกันนะคะ” กะละแมจะขอตัว
ฉายตะวันไม่ยอม “อุ๊ย ได้ยังไง มาถึงนี่แล้ว..ยังไงๆ ก็อยู่เป็นเพื่อนฉันหน่อยแล้วกัน ไม่นานหรอก...นะ...เรียบร้อยแล้วฉันให้คนรถไปส่ง”
กะละแมเหมือนโดนมัดมือชก ฉายตะวันลากไปเลย
ฉายตะวันเดินนำเข้ามาภายในร้าน...มีพนักงานในร้านมาต้อนรับอย่างสนิทสนมและเอาใจใส่อย่างดี
“สวัสดีค่ะ”
ฉายตะวันยิ้มอย่างคุ้นเคย “สวัสดีจ้ะ”
แนนซี่ เจ้าของร้านอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน แต่เปรี้ยวทันสมัย หันมาทักทายอย่างสนิทสนม
“ว่าไงจ๊ะ คุณนายฉาย..แหมหายหน้าหายตาไปเลยนะ”
“ก็งานที่สมาคมยุ่งๆ น่ะ แล้วก็มีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นนิดหน่อย เพิ่งจะว่างวันนี้เลยแวะมาหา แล้วชุดฉันเรียบร้อยมั้ย”
“เรียบร้อยสิ...เดี๋ยวฉันจัดการให้...เอ้า เด็กๆ เอาชุดคุณนายฉายมาให้ฉันหน่อยสิ” แนนซี่หันไปทางพนักงาน
ฉายตะวันบอกกับกะละแม “เดี๋ยวหนูนั่งรอฉันอยู่ที่นี่ก่อนนะ ฉันไปลองเสื้อเดี๋ยวมา”
ฉายตะวันเดินไป ทิ้งให้กะละแมนั่งในที่หรูหราอยู่คนเดียวเด่ๆ
ฉายตะวันลองเสื้อผ้าชุดเดรสราตรีดูหรูหราและภูมิฐาน ประมาณ 5-6 ชุด หมุนดูความเรียบร้อยไปมาที่หน้ากระจก โดยมีแนนซี่คอยขยับให้เข้าที่ และกะละแมยืนอยู่ข้างๆ คอยมองอย่างสนุกสนานออกความเห็นบ้างเล็กน้อย ดูเหมือนลูกสาวมาลองชุดกับแม่
ถุงเสื้อของฉายตะวัน ประมาณ 5-6 ถุง วางอยู่ข้างๆ ฉายตะวันหันมาทางกะละแม
“เป็นไงจ๊ะ..เบื่อมั้ยมาเป็นเพื่อนคนแก่”
“ไม่เบื่อค่ะ สนุกดี”
“ดูคนแก่เปลี่ยนเสื้อผ้าสนุกยังไงไหนว่ามาสิ”
“ธรรมดาเวลาซื้อเสื้อผ้าก็ซื้อที่ตลาดนัด ซื้อทีละตัวสองตัว เขาไม่มีห้องให้ลองค่ะ พอเห็นแบบนี้ก็เลยตื่นตาตื่นใจ”
ฉายตะวันมองกะละแม แล้วก็นึกสงสารเลยพูดขึ้นด้วยความเมตตา
“หนูอยากได้เสื้อผ้าแบบนี้สักชุดมั้ยล่ะ”
กะละแมตกใจ “อุ้ย ที่กะละแมพูดไม่ได้หมายความว่าอยากจะได้นะคะ”
“ฉันรู้จ้ะ แต่ฉันอยากจะให้...นะหนูลองเลือกดูว่าสนใจชุดไหน ฉันซื้อให้”
“หนูรับไว้ไม่ได้หรอกค่ะ...แค่คุณนายช่วยหนูที่ผ่านๆ มาก็พอแล้วค่ะ”
“เอาเถอะน่า...ไม่ต้องเกรงใจ...เอาเป็นว่าฉันให้เพราะเสียเวลามาเป็นเพื่อนฉัน” กะละแมอ้าปากจะค้าน “ห้ามปฎิเสธไม่งั้นฉันจะโกรธจริงๆนะ” พลางหันไปทางแนนซี่ “นี่แนนซี่ เธอช่วยเลือกชุดให้หนูคนนี้สักชุดสิ...เอาที่สวยที่สุดในร้านเลยนะ”
กะละแม เลยไม่รู้จะพูดยังไง...น้ำท่วมปาก
ขณะนั้นชิณจอดรถแล้วเดินตรงเข้าไปที่ร้าน โดยไม่คาดคิดเลยว่าจะเจอกับสิ่งที่ไม่คาดฝันด้านใน
ครู่ต่อมาชิณเดินเข้ามา มองหาแม่..เห็นฉายตะวันนั่งอ่านหนังสืออยู่
“แม่ครับ”
ฉายตะวันหันมาด้วยความแปลกใจ
“อ้าว...ชิณ มาได้ยังไงล่ะลูก”
“พอดี ประชุมเสร็จเร็วครับ แล้วนึกได้ว่าเมื่อวานมีคนงอนอยู่ เลยต้องรีบมาง้อสักหน่อย...นี่แม่ ได้เสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วใช่มั้ยครับ...แล้วแม่จะกลับบ้านเลยหรือเปล่าครับ”
ฉายตะวันดึงมือไว้ “เดี๋ยวก่อนลูก...ยังไปตอนนี้ไม่ได้ แม่ยังไม่เสร็จธุระ”
ชิณฉงน “อ้าว...มีอะไรอีกเหรอครับ...ก็นี่เสื้อผ้าแม่ไม่ใช่เหรอหรือว่ารอชุดอื่น”
“เปล่า...ไม่ได้รอชุด แต่รอคน”
ชิณแปลกใจ “รอคน...รอใครครับ”
ฉายตะวันยิ้มยังไม่ทันจะได้ตอบอะไร...เสียงแนนซี่ก็ดังขึ้น
“มาแล้วจ้ะ...แม่เงาะถอดรูปเรียบร้อยแล้วจ้ะ”
ชิณหันไปตามเสียงแนนซี่...แล้วก็ต้องตื่นตะลึง
เมื่อเห็นกะละแม เดินลงมาจากบันไดในร้าน..อยู่ในชุดเดรสราตรีสั้นเก๋ไก๋สวยงามหรูเริด ขับเน้นให้เห็นความสวยที่ซ่อนเร้นมานาน เผยออกมาเป็นครั้งแรก
ชิณอึ้งกับความสวย บวกกับความคาดไม่ถึง ว่าคนที่อยู่ข้างหน้าคือกะละแม
กะละแมเองก็อึ้งที่เห็นชิณ
“เธอมาที่นี่ได้ไง”
กะละแมอึกอัก
ฉายตะวันตอบแทน “หนูกะละแมเขามาทำเรื่องขอทุนที่สมาคมฯ แต่ยังคุยกันไม่จบ เพราะแม่ต้องรีบออกมารับเสื้อ แม่เลยชวนหนูกะละแมมาคุยต่อบนรถ”
“ทุนอะไรครับ?” ถามแม่แต่มองกะละแม “อ้อ...สงสัยจะเป็นทุนเรียนดีแต่หลอกลวง”
กะละแมรู้ตัวว่าโดนแขวะ ฉายตะวันชักสีหน้าไม่พอใจลูกชาย
“คุณนายคะ หนูขอตัวไปเปลี่ยนชุดก่อนนะคะ”
กะละแมเดินไป ฉายตะวันหันมามองชิณ สายตาเคืองสุดๆ
กะละแมรูดม่านขณะเข้ามาในห้องลองเสื้อด้วยความหงุดหงิด
“รู้งี้น่าจะกลับตั้งนานแล้ว ไม่น่าอยู่เลย ซวยจริงๆ”
กะละแมเซ็งสุดๆ แล้วก็หันมาเห็นเงาตัวเองในกระจก...ก็สวยเหมือนกันเว้ย...กะละแมมองตัวเองแล้วยิ้มนิดๆ แล้วก็รู้สึกตัว สะบัดหัวไล่ความคิดบ้าๆ ออกไป หันมาหยิบเสื้อตลาดนัด 199 บาทของตัวเองมาเปลี่ยนคืน
ฉายตะวันมองหน้าชิณ
“มาได้ยังไง ไหนว่าติดประชุม”
“พอดีประชุมเสร็จเร็วก็เลยตามมาครับ แล้วยัยร่างทรงมาได้ไงครับแม่”
“เมื่อกี้แม่ก็บอกแล้วไง เรานี่จ้องจับผิดหนูกะละแมเขาอยู่ได้”
“ผมว่าเค้าเอาเรื่องทุนมาบังหน้า หาเรื่องตีสนิทกับแม่มากกว่า” ชิณไม่ไว้ใจเอาเลย
“ชิณ...ถ้าจะมาหาเรื่องก็กลับไปเลยนะ แม่มีเพื่อนแล้ว แต่ถ้าอยากอยู่ต่อก็สงบปากสงบคำหน่อย อย่าทำให้แม่ต้องลำบากใจ”
ชิณอึ้งไปเห็นแก่แม่ “โอเคครับ...โอเค ผมจะสงบปากสงบคำไว้ก็ได้”
ชิณทำท่ารูดซิบปาก
กะละแมเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดเดิม เดินออกมาหน้าเซ็งๆ ชิณเห็นกะละแมเดินมาก็กัดอย่างลืมตัว
“คนสมัยนี้ก็แปลก เรียนไปทรงเจ้าเข้าผีไป แหม...ขยัน”
“ไหนบอกว่าจะสงบปากสงบคำไง” ฉายตะวันเหน็บลูกชาย
ชิณยักไหล่...ลืมตัว!
กะละแมพยายามระงับอารมณ์แล้วก็เดินมาหาฉายตะวัน
“หมดธุระแล้ว หนูขอตัวกลับก่อนนะคะคุณนาย”
“อ้าว...ทำไมรีบกลับล่ะจ๊ะ เอางี้...เดี๋ยวฉันให้คนรถไปส่ง”
“ไม่เป็นไรค่ะ หนูกลับเองได้”
“แล้วหนูจะกลับยังไง”
“รถเมล์แถวนี้มีเยอะแยะ แม่ไม่ต้องห่วงเขาหรอกครับ”
ฉายตะวันไม่สนชิณ “อย่าปฏิเสธความหวังดีของฉันเลย ให้คนรถไปส่งเถอะ” กะละแมนิ่งพูดไม่ออก “ชิณ...เดี๋ยวไปส่งแม่ที่บ้าน”
ชิณชะงัก รีบบอก “ไม่ได้ครับแม่ ผมมีนัดทานข้าวกับลูกค้าแถวออฟฟิศ แม่กลับกับคนรถ ส่วนยัยร่างทรงก็ให้กลับเอง เขาไม่หลงหรอก...มีเจ้าแม่คุ้มครอง”
ฉายตะวันนิ่งคิด “ได้...แม่กลับกับคนรถ แต่ชิณไปออฟฟิศก็ต้องผ่านซอยมหาลาภ งั้นก็แวะไปส่งหนูกะละแมด้วย”
สองคนเงียบกริบ...ที่ชิณกับกะละแมอึ้งค้าง แล้วโพล่งออกมาพร้อมกัน
“ไม่เป็นไรค่ะ” / “ไม่ได้ครับแม่”
กะละแมกับชิณหันมามองหน้ากันนิดๆ แหมะ...พูดพร้อมกัน
ชิณหันไปพูดกับฉายตะวันต่อ “เดี๋ยวผมไปไม่ทันนัดลูกค้า”
กะละแมพูดต่อ “หนูกลับเองได้ค่ะ”
ฉายตะวันไม่ยอม “ไม่ได้...หนูอุตส่าห์มาเป็นเพื่อนฉัน จะให้โหนรถเมลล์กลับเองได้ไง ถ้าชิณไม่ไปส่ง ฉันจะไปส่งเอง”
ชิณหน้าอึดอัด...ไม่ยอม...คิดๆ
ชิณก็ได้ “โอเคครับแม่ เพื่อเป็นการตัดปัญหา ผมไปส่งเอง”
กะละแมมองชิณ...ซวยแน่ตู
เวลาเดียวกันรถมิ้วแล่นเข้ามาจอดหน้าบ้านมหาทรัพย์ไพศาล กิมเอ็งกับมิ้วเดินลงมา แจ่มวิ่งออกมารับ
“คุณพี่อยู่ไหม”
“ไม่อยู่ค่ะ ไปสมาคม อีกสักพักคงกลับค่ะ”
กิมเอ็งกับมิ้วมองหน้ากัน
“เอาไงดีคะคุณแม่”
“รอแล้วกันค่ะ ไหนๆ ก็มาแล้ว” กิมเอ็งพูดกับแจ่ม “นี่เธอ...มีอะไรให้กินมั่ง เอามาเลี้ยงแขกหน่อย ฉันจะนั่งรอคุณพี่”
“มีส้มตำปลาร้าค่ะ...พวกหนูกำลังโซ้ยกันนัวอยู่ในครัวพอดีเลยค่ะ” แจ่มระรื่นบอก
มิ้วเม้ง “บ้า! เธอเห็นฉันเป็นอะไร ฉันไม่กินหรอกของแบบนี้”
กิมเอ็งน้ำลายสออยากกิน “ปลาร้าสุรินทร์ บ้านเกิดเธอหรือเปล่า”
“ใช่เลยค่ะ”
กิมเอ็งถามย้ำ “ไหเดียวกับที่ตำให้ฉันกินคราวก่อนนะ”
แจ่มบอก “แม่นค่ะ”
กิมเอ็งทำท่าน้ำลายไหล “งั้นเอาแบบแซ่บๆ มาให้ฉันครกนึง”
“คุณแม่! ได้ไงคะ ส้มตำปล้าร้า อี๊...เสียลุคหมด” มิ้วโวยแม่
“เอาน่าคุณลูกขา นิดๆ หน่อยๆ นานๆ ติดดินที พอคุณพี่มาก็ค่อยแปรงฟัน” หันมาเร่งแจ่ม “เร็วแจ่ม จัดมาแบบแซบๆ เลย”
“ค่ะ”
แจ่มเดินไป...กิมเอ็งเปรี้ยวปากมาก...มิ้วเคืองขัดใจสุดๆ
สามคนอยู่ที่หน้าร้านเสื้อแนนซี่ ฉายตะวันยื่นถุงเสื้อให้กะละแม
“ชุดนี้ฉันซื้อให้จ้ะ”
“ขอบคุณคุณนายมากค่ะ แต่หนูรับไว้ไม่ได้หรอกค่ะ เอาไปก็ไม่ได้ใส่อยู่ดี ไม่รู้จะใส่ไปไหน”
ฉายตะวันคะยั้นคะยอ “รับไว้เถอะ ถือว่าเป็นสินน้ำใจ เผื่อมีเหตุต้องใช้”
“เอาไปเถอะ ชุดนี้แค่ไม่กี่พันเอง” ชิณพูดเสียงเบาๆ เหน็บ “หรือว่ามันน้อยเกินไป”
จากนั้นชิณกับกะละแมสู้สายตากัน
“ใช่จ้ะ” ฉายตะวันไม่ได้ยินที่ชิณพูด “ไม่เท่าไหร่หรอก หนูรับไว้เถอะ”
กะละแมลังเลและอึดอัดเลยตัดปัญหา ยกมือไหว้ “ขอบคุณค่ะ” แล้วรับถุงมาอย่างไม่เต็มใจ
ฉายตะวันยิ้มพอใจ กำชับลูกชาย
“ส่งหนูกะละแมให้ถึงบ้านนะชิณ”
“แม่ไม่ต้องห่วง รับรองถึงบ้านแน่” ปรายตาชำเลืองมองกะละแม
ฉายตะวันเดินขึ้นรถไป ครู่หนึ่งรถฉายตะวันแล่นออกไป ชิณหันมาทางกะละแม
“ที่ฉันยอมไปส่ง ไม่ใช่เพราะพิศวาสเธอหรอกนะ แต่ฉันไม่ไว้ใจให้อยู่กับแม่ฉันตามลำพัง นี่อยู่ด้วยกันมาตั้งครึ่งวันแล้ว ไม่รู้ว่าเธอหลอกอะไรแม่ฉันไปบ้าง”
“ตอนนี้แม่คุณก็กลับไปแล้ว คุณไม่ต้องไปส่งฉันหรอก ฉันกลับเองได้” กะละแมจะเดินไป
ชิณคว้าถุงไว้หมับ “ทำไม...ไปกับฉันสองคน กลัวว่าจะโดนล้วงความลับเหรอ หรือเธอมีอะไรปิดบังอยู่ เลยไม่กล้าเผชิญหน้า”
“ฉันไม่ได้กลัว แต่ฉันไม่ชอบบังคับใคร” กะละแมดึงถุงกลับ
ชิณแขวะอีก “ไม่จริงมั้ง วัวสันหลังหวะ คงจะไม่อยากให้ใครอยู่ใกล้ เพราะกลัวจะเห็นแผลมากกว่า”
“รถคุณอยู่ไหน”
กะละแมจ้องชิณเขม็ง ของขึ้นด้วยความไม่ยอมคน!
เจ้าแม่จำเป็น ตอนที่ 5 (ต่อ)
ชิณขับรถแล่นมาตามทางได้สักระยะหนึ่งแล้ว แต่ยังไม่เลิกแขวะกะละแม
“เธอกำลังทำอะไร แสดงเป็นคนดีให้แม่ฉันเห็นใจ หรือทำคะแนนเรียกร้องความสงสาร หรือหวังอะไรอยู่ แต่ที่แน่ๆ คงจะไม่ใช่แค่ชุดนี้ล่ะมั้ง”
“ฉันไม่ได้หวังอะไรทั้งนั้น ที่ฉันทำทั้งหมด ฉันแค่...”
เสียงโทรศัพท์ของชิณดังขึ้น ชิณยกมือมาปิดปากกะละแมให้เงียบก่อน
“เงียบ”
กะละแมงง อะไรวะ โคตรชอบสั่งเลย
ชิณกดรับสาย เสียงทรงวุฒิดังออกทางลำโพง
“คุณทรงวุฒิ”
“คุณชิณครับ มีการเปลี่ยนแปลงกะทันหันครับ ลูกค้าจากฮ่องกงเขาขอเลื่อนนัดจากตอนนี้มาเป็นตอนบ่าย อีกสักพักลูกค้าก็คงจะไปถึงร้านอาหารที่นัดไว้แล้วครับ คุณชิณอยู่ที่ไหนครับ จะไปที่ร้านหรือเปล่า”
“ผมอยู่แถวร้านพอดี กำลังจะไปเดี๋ยวนี้”
ทันใดนั้นชิณก็หักรถเลี้ยวกลับเฉยเลย
กะละแมร้องลั่น “เฮ้ย”
รถชินเลี้ยวกะทันหัน
กะละแมหน้าเหวอ
“คุณจะพาฉันไปไหน หะ”
รถชิณแล่นเข้ามาจอดที่หน้าร้านอาหารแห่งหนี่ง ชิณกับกะละแมก้าวลงจากรถพร้อมกัน กะละแมมองหน้าร้านแล้วถาม
“คุณพาฉันมาที่นี่ทำไม”
ชิณมองมาหน้าตาจริงจังมาก “ฉันนัดลูกค้าไว้ที่นี่ และเธอก็ต้องอยู่กับฉันด้วย”
กะละแมฉงน “แล้วทำไม ฉันต้องอยู่กับคุณ” หน้าตาเหลอหลาสุดขีด
“ก็เพราะฉันต้องไปส่งเธอตามที่แม่สั่ง เพราะฉะนั้นเธอก็ต้องไปนั่งรอฉัน จนกว่าจะประชุมเสร็จ”
กะละแม ไม่ยอม “ไม่! ฉันไม่รอ ฉันกลับเองได้” และกำลังจะหันตัวเดินหนีไป
“ก็ลองดูสิ ถ้าเธอไป ฉันจะบอกให้ทางสมาคมไม่ให้ทุนการศึกษากับเธอ” ชิณขู่ กะละแมหันขวับ “นอกจากแม่ฉันจะเป็นนายกสมาคมแล้ว ฉันยังเป็นรองนายก มีสิทธิ์ไม่น้อยไปกว่าแม่ ว่าไง จะรอ หรือไม่รอ”
กะละแมแค้นสุดๆ สองคนมองหน้ากัน ต่างคนต่างไม่ยอม ...
ชิณเดินเข้ามาในร้านอาหารหรู กะละแมเดินตามมาอย่างไม่มั่นใจ ชิณหยุดเดินกึก กะละแมไม่ทันระวัง เดินชนเข้าอย่างจัง
“โอ๊ย”
ชิณมองดุๆ “เดินระวังๆ หน่อย”
กะละแมชักสีหน้า เถียงทันควัน “จะหยุดก็บอกหน่อยสิ จะได้ระวัง”
“เถียงคำไม่ตกฟากจริงๆ” ชิณสั่ง “นั่งรอตรงนี้ ฉันจะไปคุยกับลูกค้าที่โต๊ะทางด้านหลัง” พลางยื่นหน้ามาขู่ “แล้วก็จำไว้ ถ้าหนีกลับบ้าน อดได้ทุนแน่”
ชิณขู่อย่างสะใจ กะละแมเม้มปากเป็นเส้นตรงกัดฟันกรอด แล้วก็จงใจสะบัดหน้าใส่ ให้ผมสะบัดไปโดนหน้าชิณ ฟึ่บ !! ผมกะละแมตะวัดโดนหน้า ชิณหลับตาปี๋ .. ยัยเด็กบ้า
ชิณนั่งลงที่โต๊ะอาหาร ตัวที่หันหลังให้กะละแม สองคนนั่งหันหลังให้กัน พนักงานเดินเอารายการอาหารมาให้ทั้งคู่
ชิณกะกะละแมพูดพร้อมกัน “ขอบคุณค่ะ”
ต่างคนต่างชะงัก..พูดพร้อมกัน !! แล้วก็เก๊กทำเป็นไม่สนใจ พนักงานถาม
พนักงานถามชิณ “รับเครื่องดื่มอะไรดีครับ”
พนักงานอีกคนถามกะละแม “ไม่ทราบว่าจะดื่มอะไรดีครับ”
ชิณกะกะละแมพร้อมกันอีก “น้ำส้มคั้น”
ใจตรงกันอีกแล้ว ต่างคนต่างชะงัก พนักงานเดินไป ชิณทำเป็นพูดขึ้นลอยๆ
“สั่งน้ำส้มคั้น ทำเป็นนางเอกไปได้”
กะละแมชะงักกึก รู้ว่าโดนด่า ก็กัดลอยๆ กลับไปมั่ง
“ถ้าสั่งน้ำส้มแปลว่าอยากเป็นนางเอก แล้วผู้ชายที่สั่งน้ำส้ม... แปลว่าอะไรน้า ? หรือแปลว่าเป็น…” กะละแมยังไม่ทันพูดจบคำ
ชิณหันขวับผ่านโซฟามา “หยุดเลยนะยัย..” ยังพูดไม่จบคำ แต่ชิณเหลือบไปเห็นว่าลูกค้าเดินมาพอดี ชิณจำต้องยุติศึกชั่วคราว
“ลูกค้าฉันมาพอดี ฝากไว้ก่อน เดี๋ยวค่อยคิดบัญชีย้อนหลัง”
ชิณรีบสำรวมกิริยา และหันไปทักทายลูกค้า ซึ่งเป็นสาววัยกลางคนที่เดินมาพร้อมกับเลขาอย่าง
เป็นการเป็นงาน
“Hi ! how do you do?”
ชิณทักทายกับลูกค้าเป็นภาษาอังกฤษ ลูกค้าตอบกลับมาอย่างเป็นกันเอง
กะละแมนั่งตัวตรง สงบเสงี่ยมขึ้นมาอีกเล็กน้อย กะละแมเหลือบมองคุณลูกค้าที่ยืนอยู่ไม่ไกล เห็นจี้รูปเจ้าแม่กวนอิมที่คอของคุณลูกค้า กะละแมนิ่งคิด
แก้วน้ำส้มวางบนโต๊ะชิณ พนักงานส่งรายการอาหารให้ชิณ เห็นชิณนั่งอยู่กับเลขาลำพัง
“คุณชิณสั่งอาหารได้เลยนะคะ บอสลี่เจียงฝากดิฉันสั่งแล้ว พอเธอกลับจากห้องน้ำมาจะได้ทานไปคุยงานไป ไม่เสียเวลา”
“ได้ครับ...”
ชิณก้มลงอ่านรายการอาหาร ในเมนูมีภาพอาหารพิเศษเป็นเนื้อ “มัทซึซะเกะ” สักพักมีเสียงกะละแมกระซิบ
กะละแมพูดมาจากโต๊ะหลัง “สั่งอะไรก็ได้ แต่อย่าสั่งเนื้อวัว”
ชิณชะงัก...อะไรเนี่ย ยัยตัวแสบ แล้วก็ทำเป็นไม่สนใจ อ่านเมนูต่อ
กะละแมพูดอีก “ถ้าอยากให้ลูกค้าประทับใจ ก็กินอย่างอื่น”
ชิณชักสีหน้า งงปนฉุน อะไรอีกหะ? กะละแมพูดอีกที
“แต่ถ้าไม่แคร์ ก็กินไป”
ชิณทนไม่ไหวหันมาทางเลขา
“ขอโทษนะครับ มีเรื่องต้องเคลียร์นิดหน่อย” เลขางงๆ เหวอๆ แล้วชิณก็หันมาทางกะละแม “จะป่วนอะไรฉันหะ”
กะละแมหันมาพูดดีๆ
“ฉันไม่ได้ป่วน แต่ฉันเตือนด้วยความหวังดี”
“ฉันไม่ต้องการ”
กะละแมสวน “ไม่ต้องการ ก็ตามใจ คนอุตส่าห์จะช่วย”
“ช่วยอะไร? ไม่ให้ฉันสั่งเนื้อวัวมากินเนี่ยนะ มันจะช่วยอะไรได้”
ชิณโวยวาย แต่ไม่ดังมาก พูดแค่ได้ยินกันสองคน แต่เลขาดันได้ยินด้วยก็เลยพูดแทรกขึ้น
“มันช่วยได้จริงๆ นะคะ”
ชิณหันไปงงๆ กะละแมหันไปมองด้วย คุณเลขาพูดต่อ
“ดิฉันว่าอย่าสั่งสเต็กเนื้อเลยนะคะคุณชิณ บอสลี่เจียงนับถือเจ้าแม่กวนอิม ไม่ทานเนื้อและเคร่งมาก เวลาไปไหนกับบอสดิฉันยังสั่งมาทานไม่ได้เลยค่ะ”
กะละแมเหล่ชิณ...บอกแล้วไม่เชื่อ ชิณอึ้งนิดๆ
“ตอนแรกที่เห็นร้านนี้มีเมนูแนะนำเป็นสเต็กเนื้อมัทซึซะเกะ บอสก็เกือบจะเปลี่ยนร้าน แต่ก็กลัวจะเสียเวลา เพราะหลังจากคุยงานกับคุณชิณเสร็จบอสต้องรีบไปขึ้นเครื่องไปดูสถานที่สร้างโรงแรมที่เกาะมัลดีฟท์ ถ้าคุณชิณอยากให้การเจรจางานครั้งนี้ราบรื่น ดิฉันว่างดเนื้อวัวดีกว่าค่ะ”
ชิณอึ้ง เกือบพลาดแล้วไหมล่ะ ชิณปรายตามาทางกะละแม
กะละแมยักไหล่พรืด....เป็นไงล่ะ แล้วก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้...อย่างสะใจเล็กๆ
ชิณมองกะละแม...ยัยเด็กนี้ก็มีประโยชน์เหมือนกันเว้ยเฮ้ย
ชิณขับรถอยู่บนท้องถนนด้านหน้าร้านอาหาร สีหน้าอารมณ์ดี การเจรจาธุรกิจผ่านไปด้วยดี
“ดีใจด้วยนะ ที่การเจรจาธุรกิจผ่านไปได้ด้วยดี ไม่มีอุปสรรค หรือสิ่งที่ทำให้ลูกค้าต้องตะขิดตะขวงใจ”
กะละแมยิ้มกริ่ม ชิณเหล่ๆ อย่างรู้ทัน
“พูดแบบนี้ อยากจะได้ความดีความชอบ ที่เตือนฉันเรื่องไม่ให้กินเนื้อวัวหล่ะสิ จะบอกให้นะ เรื่องเล็กแค่นั้น มันไม่กระทบกับงานของฉันหรอก”
“ไม่กระทบแล้วทำไมไม่สั่งมาล่ะ สั่งปลามากินทำไม”
“ก็เพราะวันนี้ฉันอยากกินปลา ฉันก็สั่งปลามาสิ ไม่เห็นแปลก” ชิณแถ
กะละแมส่ายหน้า..ในความดื้อรั้น ไม่ยอมรับความจริง
“จะว่าไปเป็นสิบแปดมงกุฎก็ดีนะ รู้ไปทุกเรื่องว่าใครชอบอะไรไม่ชอบอะไร ฉันเจอกับมิสลี่เจียงมาตั้งหลายครั้ง ยังไม่เคยสังเกตด้วยซ้ำว่าเค้านับถือเจ้าแม่กวนอิม...แต่ก็อย่างว่า คนทำงานอยู่กับหลอกลวงคนอื่น มันก็ต้องคอยสังเกตเหยื่อ จะได้มีวิธีเข้าใกล้ โดยไม่ให้เหยื่อรู้ตัว”
กะละแมชักทนไม่ไหว
“ฉันว่าพอได้แล้ว ฉันเสียเวลาไปกับคุณทั้งวัน ฉันเบื่อต้องมาฟังคำถากถาง แล้วก็น้ำเสียงประชดประชันเต็มที ถ้ายังไม่เลิกใส่ร้ายฉัน ฉันจะลงเดี๋ยวนี้”
“ถ้ากล้าก็ลงไปสิ” ชิณท้า
“คุณรู้จักฉันน้อยไป” ปลดที่ล็อคเข็มขัดนิรภัย
“นี่เธอจะทำอะไร” ชิณดึงเข็มขัดนิรภัยรั้งไว้
“ฉันไม่ใช่คนที่จะนั่งนิ่งๆ ยอมโดนกระแนะกระแหนไปตลอดทาง จะจอดดีๆ หรือจะให้ฉันโดดลงไป” กะละแมทำท่าจะกระโดด
“เธอจะโดดจริงๆ เหรอ”
“ลองไม่จอดสิ” ทำท่าดึงดันเปิดล็อคเปิดประตู
“เอ้า...จอดก็ได้” ชิณยอมชะลอและจอดรถข้างทาง
กะละแมหันมาทางชิณ แล้วก็พยักพเยิดไปทางชุดที่วางไว้เบาะหลัง
“ฉันฝากชุดนี้ไปคืนแม่คุณด้วย ฉันรับไว้ไม่ได้ เพราะมันจะทำให้ใครบางคนดูถูกฉันไปตลอดชีวิต”
กะละแมลงจากรถ ชิณเรียกไว้
“นี่เธอ...เธอ”
ชิณเห็นกะละแมไม่หยุด...มองดูที่ถุงเสื้อแล้วก็ตัดสินใจถือถุงวิ่งตามลงไป
กะละแมก้าวเดินฉับๆ ไม่สนใจชิณที่วิ่งตามมา
“นี่เธอ...ทำแบบนี้เดี๋ยวแม่ก็โวยฉันอีก เอาไปเถอะ ไม่ต้องมาทำเป็นหยิ่ง”
“ฉันจะหยิ่งหรือไม่หยิ่งก็เรื่องของฉัน ไม่ต้องมายุ่ง แทนที่จะตามมากระแนะกระแหนฉัน นู่น...” ปรายตาไปที่รถชิณ “เก็บน้ำลายไว้คุยกับตำรวจดีกว่า”
ชิณหันตามไป เห็นตำรวจจราจรกำลังเขียนใบสั่งและกำลังจะเหน็บที่รถ...ชิณมองเห็นป้ายห้ามจอดก็ตกใจ
“เฮ้ย...เดี๋ยวครับคุณตำรวจ”
ชิณรีบวิ่งแจ้นกลับไปที่รถ กะละแมยืนขำด้วยความสะใจ แล้วก็ถือโอกาสเดินชิ่งขึ้นรถเมลล์
ชิณวิ่งมาถึงรถแต่ไม่ทัน ตำรวจเหน็บใบสั่งไว้แล้วก็ขี่รถออกไป
“คุณตำรวจครับ...คุณตำรวจ...เดี๋ยวครับ”
ชิณได้แต่มองตามหลังด้วยความเสียดาย แล้วก็หันมาหยิบใบสั่งออกจากหน้ารถด้วยความหงุดหงิด...หันไปทางกะละแมก็ว่างเปล่า...หายไปแล้ว
“บ้าจริง!” ชิณหงุดหงิด “เจอยัยบ้านี่ทีไรซวยทุกที”
ชิณมองถุงเสื้อแล้วก็เซ็ง
“ดันไม่ยอมเอาของไปอีก...ฮึ่ย”
กะละแมมาถึงบ้านในตอนเย็น เดินกระฟัดกระเฟียด อาการหงุดหงิดหน้าบึ้งเข้ามาในบ้าน ตุ้งแช่นั่งทำการบ้านอยู่ ส่วนติ่งนั่งเพ้อฝันตามเคย
“ทำไมคนเราถึงชอบมองกันแต่ภายนอกนะ เห็นเราทำงานแบบนี้ก็คิดว่าเราต้องปลิ้นปล้อน โกหก หลอกลวง ทำอะไรไม่จริงใจบ้างล่ะ อย่างโง้น...อย่างงี้ เฮ้อ...แต่มันก็จริงอย่างที่เขาว่าล่ะวะ”
ติ่งหันมา “เป็นอะไรไอ้แม บ่นเป็นหมาแก่ไปได้”
“ก็เรื่องจุกๆ จิกๆ กวนหัวใจนั่นแหละ ฉันขี้เกียจเล่า เปลืองน้ำลาย”
ติ่งสะดุ้ง...อะไรวะ ถามดีๆ เสือกกวนตีน
ระหว่างนั้นโต๊ดเดินเข้ามา พูดท่าทางซีเรียส
“ข้าคิดทบทวนอย่างดีแล้ว พวกเอ็งเตรียมเก็บของวันนี้พวกเราจะย้ายออก”
ตุ้งแช่กับกะละแมตกใจ...ส่วนติ่งชะงักหน้าซีด
กะละแมกะตุ้งแช่ร้องเสียงหลง “ย้ายออก”
ตุ้งแช่ถามต่อ “ย้ายไปไหนพ่อ”
“เอ็งไม่ต้องถามมาก รถจะมารับคืนนี้ตอน 2 ทุ่ม”
กะละแมสงสัยมากๆ “ทำไมอยู่ๆ ก็จะย้ายกระทันแบบนี้ มีอะไรหรือเปล่าน้าโต๊ด”
กะละแมเหล่...โต๊ดนิ่ง ไม่ตอบ...กะละแมคิดว่าต้องมีอะไรแน่ๆ
“ถ้าน้าไม่บอกเหตุผล ฉันก็ไม่ย้าย”
โต๊ดเสียงดัง “ก็เอ็งอยากเลิกเป็นร่างทรงไม่ใช่เหรอ นี่ไง...เลิกไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ ไม่ดีหรือไง”
“มันก็ดี แต่ฉันพูดมาตั้งนานไม่คิดย้าย แล้วทำไมอยู่ๆ ถึงมาย้ายง่ายๆ แบบนี้”
“อะไรของแกวะ ข้าไม่ไป เอ็งก็ด่า ข้าจะไป เอ็งก็จะมาจับผิด ตกลงข้าทำอะไรไม่เคยถูกเลยใช่มั้ย หะ” กะละแมสะอึก..นั่นสิ โต๊ดโวยต่อ “ที่ข้าตัดสินใจไป เพราะคิดจะเลิกทำสำนักตามที่เอ็งต้องการ เอ็งกับไอ้แช่จะได้เรียนหนังสือ ไอ้ติ่งก็จะได้ทำงานทำการเป็นเรื่องเป็นราว ไม่ดีหรือไง? หรือว่าเอ็งอยากจะอยู่เป็นร่างทรงต่อ”
กะละแมเงียบไป...ติ่งโวยบ้าง
“ไม่ไป! ไม่ย้าย! ฉันจะไม่ยอมไปไหนทั้งนั้น ฉันจะอยู่ที่นี่” ทุกคนมองเป็นตาเดียว อะไรของมัน “ถ้าฉันย้ายไปแล้วจะติดต่อคุณมิ้วได้ยังไง”
โต๊ด “ถุย” ติ่งหลบทัน “ถ้าเอ็งอยากอยู่ต่อก็อยู่ไปเลย อยู่กับนังกะละแมสองคนก็แล้วกัน” หันมาทางตุ้งแช่ “ไอ้แช่...เก็บของ”
โต๊ดหันไปมองกะละแม...กะละแมนิ่งคิด เอาไงดี?
จักกายยืนอยู่หน้าบ้านกะละแม ได้ยินที่ทั้งสี่คนคุยกันก็อึ้ง! เกิดอะไรขึ้น?
กะละแมถามโต๊ดตรงๆ
“มีอะไรปิดบัง เคลือบแคลงแอบแฝงหรือเปล่าน้าโต๊ด...ท่าทางน้าดูมีพิรุธ”
“ไม่มี๊!” โต๊ดเสียงสูง “ข้าบอกให้เก็บของก็เก็บเถอะน่า ถามมากเดี๋ยวก็ทิ้งให้อยู่กับไอ้ติ่งซะเลย...ไปเก็บของ”
โต๊ดออกคำสั่งเสียงดัง
ทางด้านจักกายได้ฟังที่โต๊ดบอกลูกและหลานก็คิดกังวลหนัก...ครู่ต่อมาชายหนุ่มจึงเดินเลี่ยงกลับออกไป ระหว่างนั้นชิณเดินถือถุงเสื้อกะละแมเข้ามาจากอีกมุมอย่างเร่งร้อน...เหงื่อแตกซิก ชิณเดินๆ อยู่แล้วก็ชะงักกึก เมื่อมองไปเห็นจักกายกำลังเดินมา...ชิณรีบหลบวูบ แอบมองจนจักกายเดินลับตัวไป
“จักกาย...มันมาสำนักทรงทำไม”
จักกายเดินกลับออกไป ชิณมองตามแล้วคิด...ท่าจะไม่ดี
ทันใดนั้นโทรศัพท์มือถือดังขึ้น ชิณรีบรับ
“ว่าไงคุณทรงวุฒิ”
เสียงทรงวุฒิดังมาจากโทรศัพท์ “นายโต๊ดบอกว่าจะย้ายออกคืนนี้ 2 ทุ่มครับ”
“ดีมาก”
ชิณยิ้มร้ายในสีหน้า ขณะเหลียวมองไปที่สำนักทรงอย่างสะใจ
ติดตาม "เจ้าแม่จำเป็น" ตอนที่ 6