xs
xsm
sm
md
lg

“สุกำพล” โยนบาป “องค์กรอิสระ” ชี้ทางออกต้องให้ “ทักษิณ” กลับไทยไม่ติดคุก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ในหนังสือพิมพ์คมชัดลึก วันนี้ (9 ก.ค.)
รมว.กลาโหมให้สัมภาษณ์สื่อเครือเนชั่น ชี้ทหารไม่กล้าปฏิวัติ แต่องค์กรอิสระจ้องจัดการรัฐบาล เผยทางออกดีที่สุดทักษิณกลับไทยไม่ติดคุก อ้าง จนท.จดทะเบียนที่ดินทำไมไม่ทักท้วง โต้ฝ่ายค้านเรื่องนาซา อ้าง ผบ.เหล่าทัพเป็นห่วงแค่เอกสารช่วงแรกๆ รู้ดีว่าจีนกับสหรัฐฯ คบกันแบบไหน วอนสื่ออย่าชวนทะเลาะ ยันไม่มีใครกล้าปฏิวัติแน่ เลือกซื้อใจกองทัพ-ไม่แก้ พ.ร.บ.กลาโหม เผยไม่เสียใจหากถูกปรับออกจาก ครม.

วันนี้ (9 ก.ค.) หนังสือพิมพ์ในเครือเนชั่น อาทิ เดอะเนชั่น กรุงเทพธุรกิจ และคมชัดลึก ตีพิมพ์บทสัมภาษณ์ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม ซึ่งให้สัมภาษณ์พิเศษนายสุทธิชัย หยุ่น ประธานเครือเนชั่น ถึงสถานการณ์ทางการเมืองและเก้าอี้ ครม.ที่มีข่าวว่าเป็นหนึ่งในรัฐมนตรีที่มีชื่อติดโผถูกปรับออกจากตำแหน่ง โดยกล่าวว่าทหารในบังคับบัญชาของตนไม่มีใครกล้าปฏิวัติ และอุบัติเหตุทางการเมืองจากทหารจะไม่ซ้ำรอยขึ้นอีก แต่สิ่งที่ไม่แน่นอนคือองค์กรอิสระที่มีอำนาจและเหมือนจะจับจ้องจัดการรัฐบาล อย่างไรก็ตาม ในฐานะที่ตนเป็นอดีตนักเรียนเตรียมทหารรุ่น 10 เพื่อนร่วมรุ่นของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ทางออกที่ดีที่สุดคือเปิดโอกาสให้ พ.ต.ท.ทักษิณกลับเมืองไทยโดยไม่ติดคุก

“ให้เพื่อนผมกลับมาเมืองไทยสิ แล้วจะเอาอย่างไรก็ว่ามา ไม่ใช่ให้ไปอยู่เมืองนอก” พล.อ.อ.สุกำพลกล่าว และว่าให้กลับมาติดคุกเขาก็ไม่เอา เขาบอกอยู่นี่ว่าเขาไม่ผิด โดยกล่าวอีกว่า เมีย (คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร) ซื้อที่ให้สามีเซ็นแล้วบอกว่าผิด แค่นี้โดนคุก 2 ปี ถามว่าเจ้าหน้าที่ที่รับจดทะเบียนที่ดินไม่รู้จักหรือว่าคนที่ซื้อมีสามีชื่ออะไรแล้วทำไมถึงรับจดทะเบียน ถ้าผิดก็ต้องรู้ตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว และถ้าองค์กรศาลมีความยุติธรรมจริง เขาจะกลับมาสู้คดี”

พล.อ.อ.สุกำพลกล่าวต่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณอยากกลับประเทศไทยมาก และไม่เข้าใจว่าเหตุใดบางฝ่ายจึงกลัวการกลับมาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ทั้งที่เป็นแค่คนคนเดียว เขาคงคิดว่าถ้ากลับมาแล้วจะทำให้มวลชนเข้มแข็งขึ้น ซึ่งเขาไม่ต้องการ ขนาดไม่มายังขนาดนี้ ถ้ามาจะขนาดไหน อย่างไรก็ตาม พล.อ.อ.สุกำพลปฏิเสธจะให้ความเห็นถึงบทบาทของ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ที่เคยยึดอำนาจจาก พ.ต.ท.ทักษิณ แต่ปัจจุบันเป็นผู้เสนอร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง โดยกล่าวว่า ตนไม่เคยคุยกับ พล.อ.สนธิ แกเห็นตนแกก็หนี แต่ พล.อ.สนธิก็เป็นลูกผู้ชายคนหนึ่งที่ทิ้งเศษกระดาษเอาไว้แล้วเดินกลับมาเก็บ สิ่งที่ทำถือว่าเป็นบวก และเป็นสิ่งที่ดี

ต่อมา รมว.กลาโหมได้กล่าวถึงการปรับโครงสร้างกองทัพที่พบว่ามีกำลังพลจำนวนมาก แบ่งออกเป็นกองทัพบก 3 แสนนาย กองทัพเรือ 8.5 หมื่นนาย และกองทัพอากาศ 4.5 หมื่นนาย ซึ่งเห็นว่าปัญหาสำคัญคือฝ่ายบังคับบัญชามีมากเกินไป จึงได้ทำการศึกษาบทเรียนจากสมัยที่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นผู้บัญชาการทหารบกในยุคนั้น และให้นโยบายเหล่าทัพไป โดยย้ำว่าต้องจะต้องไม่ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลง เช่น การแก้ไขปัญหาภาคใต้ และป้องกันชายแดน โดยจะนำงบประมาณที่กำลังพลลดลงไปใช้ในภารกิจอื่นที่จำเป็น เช่น จัดซื้อยุทธโธปกรณ์ที่ทันสมัย ซึ่งรถหุ้มเกราะจะใช้กลไกของสถาบันเทคโนโลยีการป้องกันประเทศ จับมือกับเอกชนเพื่อลงทุน

• “สหรัฐฯ-จีน” ขยายอิทธิพลเชื่อรู้ดีว่าไทยยืนตรงไหน วอนสื่ออย่าซักถามเพื่อทะเลาะ

ส่วนกรณีที่โครงการสำรวจการก่อตัวของเมฆที่มีผลต่อสภาพภูมิอากาศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งสหรัฐอเมริกา หรือนาซา ขอใช้สนามบินอู่ตะเภา ที่ถูกยกเลิกไปก่อนหน้านี้ ซึ่งมีข้อกล่าวหาจากพรรคประชาธิปัตย์ว่า ผู้บัญชาการเหล่าทัพแสดงความเป็นห่วง อ้างว่าเป็นเพียงแค่เอกสารจากการประชุมครั้งแรกๆ ช่วงที่ยังไม่มีข้อมูลชัดเจน ทำให้มีการแสดงความเป็นห่วง และเห็นว่าแผนที่ประเทศไทยฉบับแรกสหรัฐก็เป็นคนทำให้ จึงอย่ามาพูดเรื่องจารกรรม

“เรื่องเอกสารรายงาน ลองดูเปเปอร์สภาพัฒน์สิ เขาจะเขียนว่าเห็นด้วยเฉยๆ ไม่ได้ ต้องมี “แต่” ทุกฉบับ ทุกครั้งจะเป็นแบบนี้ยืนยันว่าความเห็นของทุกหน่วยงานไม่มีคำว่า"ส่งผลกระทบต่อความมั่นคง"นาซามีเครื่องบินมาแค่ 3 ลำจะส่งผลได้อย่างไร แต่เมื่อเป็นอย่างนี้ ความร่วมมือก็หายไป แล้วบอกว่าจีนกังวล จีนมาเยือนไทย ผู้บัญชาการทหารของจีนมาไม่เห็นถามอะไรเลย ผมก็รออยู่ว่าจะถามหรือเปล่า” พล.อ.อ.สุกำพลกล่าว

ส่วนโครงการจัดตั้งศูนย์บรรเทาภัยพิบัติและการช่วยเหลือเพื่อมนุษยธรรม หรือเอชเอดีอาร์ รมว.กลาโหมกล่าวว่า เป็นเรื่องของกระทรวงการต่างประเทศ แต่ไม่ใช่ความร่วมมือของ 2 ประเทศ เป็นความร่วมมือหลายประเทศ ซึ่งถ้าจีนเข้ามาร่วมด้วยก็ยิ่งดี แต่ต้องถือขั้นตอนปฏิบัติเดียวกันถือกติกาเดียวกัน อาจจะมีศูนย์ส่วนหน้าอยู่ที่อินโดนีเซียและมีศูนย์หลักอยู่ที่ไทย แต่ไม่ว่าใครจะเข้ามาต้องมีแนวปฏิบัติ มีขั้นตอนปฏิบัติร่วมกันที่เข้าใจตรงกัน แล้วก็ทำตามนั้น เสร็จภารกิจออกไป

เมื่อถามถึงการขยายอิทธิพลในภูมิภาคของชาติมหาอำนาจอย่างจีนและสหรัฐ โดยมีไทยเสมือนยืนอยู่ระหว่างเขาควาย พล.อ.อ.สุกำพลกล่าวว่า ผู้รับผิดชอบในระดับนโยบายรู้ดีว่าสถานะของไทยยืนอยู่ตรงไหน ทั้งจีนและสหรัฐฯ เป็นเพื่อนที่มีประโยชน์กับเราทั้งคู่ แต่ก็ต้องเข้าใจว่าเพื่อนบางคู่เขาก็ไม่ถูกกัน แต่การค้าระหว่างกันมีมูลค่ามหาศาล และย้ำว่า อยากให้สื่อมวลชนทำหน้าที่อย่างสร้างสรรค์ ไม่ซักถามคนโน้นคนนี้ทีเพื่อให้ทะเลาะกัน

“ถ้าพูดแล้วท่านฟังเหตุผลมันก็จบ อย่างเครื่องบินยู-2 มันเรื่องเก่าแล้ว เวลามาจริงจะพาไปดู บางคนถามว่าถ้าเขาติดตั้งเครื่องจารกรรมไว้เราจะรู้ได้อย่างไร พูดแบบนี้มันดูถูกคนไทย ดอกเตอร์บางคนพูด...ฟังแล้วอยากตบกบาล มีปัญหาอะไรรวบรวมถามกันมา ผมเป็นฝ่ายแก้ผมพร้อมที่จะตอบ สมมติมี 10 ข้อ ผมแก้ได้ 8 ข้อเหลือ 2 ข้อพอรับได้ ไม่ใช่พอพูดไปว่ามีสิบ แต่ก็มีข้อที่ 11 เพิ่มมาอีก ที่สำคัญคนกลาง คือสื่อมวลชนต้องช่วยทำให้จบ ไม่ใช่ไปตามถามให้ทะเลาะกัน สมมุติเครือเนชั่นไม่ทำตามที่เขาทำๆ กันอยู่นะ สรุปประเด็นมาเลยว่าเรื่องนาซามีคำถาม อยู่ 4 เรื่องแล้วให้ผมตอบ ให้ผมหาทางออก ถ้าผมตอบใช้ได้ก็ต้องจบ” พล.อ.อ.สุกำพลกล่าว

• โทษ “องค์กรอิสระ” ตัวปัญหา อ้างทำอะไรหน่อยก็ผิด ถามกลับแก้ รธน. ล้มล้างตรงไหน

รมว.กลาโหมยอมรับว่า ความเสี่ยงจากการทำหน้าที่ขององค์กรอิสระ ทำให้รัฐบาลตัดสินใจไม่นำกรณีนาซาขอความเห็นชอบจากรัฐสภา ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 190 โดยเห็นว่า ถ้าเข้าก็มีปัญหาอีก พอเอาเรื่องนี้เข้าก็จะมีคนถามว่าแล้วข้อตกลงก่อนๆ ทำไมไม่เข้า คนจะหาเรื่องก็หาได้เรื่อย แต่เชื่อว่าสักวันจะดีขึ้น ถ้าเป็นอย่างนี้ตลอดไปประเทศก็อยู่ไม่ได้ เริ่มอะไรหน่อยก็ผิดแล้ว แม้แต่สมเด็จฯ ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ยังรู้จักเวลาทางการไทยพูดว่าต้องเอาเข้าสภาก่อน เพราะข้อตกลงหลายเรื่องรอไทยอยู่ชาติเดียว แต่เขาถือปากกากันอยู่

เมื่อพูดถึงการทำหน้าที่ขององค์กรอิสระ โดยเฉพาะศาลรัฐธรรมนูญ ที่อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุทางการเมือง พล.อ.อ.สุกำพลเชื่อว่าอุบัติเหตุใหญ่ ไม่น่าจะเกิดขึ้น เพราะคำว่าอุบัติเหตุหมายถึงทุกอย่างต้องพร้อมหมด ทุกอย่างมันพอดี เช่น มืด ถนนลื่น แต่ในทางการเมือง อุบัติเหตุใหญ่ๆ คงไม่มี อาจจะมีเล็กน้อยบ้าง สำหรับตนเองก็คุมเกมไว้ ทหารก็คุยกันรู้เรื่อง อยู่ในกรมกอง มีปัญหาอย่างเดียวคือองค์กรกลาง ถ้าตัดสินค้านคนดูตนไม่ว่า แต่เวลาบอกว่าผิดมันมีผลมาก ซึ่งตนคิดว่าน่าจะปล่อยให้ทำไปก่อน ถ้าพลาดแล้วค่อยฟัน ไม่ใช่ยกแรกก็เอาเลยแบบนี้

“องค์กรกลางนั้น คำว่ากลางกลับไม่กลางจริง ก็ต้องดู วิจารณ์กัน ใครเชื่อได้หรือเชื่อไม่ได้ก็ว่ากันไป วาระแก้รัฐธรรมนูญอยู่ที่สภาก็ถูกต้อง แต่กลายเป็นว่าจะล้มล้างการปกครอง มองอย่างนั้นได้อย่างไร ผมไม่เข้าใจ” พล.อ.อ.สุกำพลกล่าว และเมื่อเมื่อซักว่าจะแก้ปัญหานี้อย่างไรจึงย้อนทันควันว่า “ต้องแก้ที่ฝ่ายโน้น ไม่ใช่แก้ที่ผม”

• ลั่นไม่กลัวปฏิวัติ ยันไม่ล้างแค้น เลือกซื้อใจกองทัพ-ไม่เสียใจถ้าถูกเขี่ยออก ครม.

เมื่อถามว่าอุบัติเหตุทางการเมืองอาจการถูกรัฐประหารจากกองทัพ รมว.กลาโหมกล่าวยืนยันว่า ตนไม่กลัวปฏิวัติ เพราะไม่เชื่อว่าจะเกิดขึ้นได้ วันนี้เอาปืนจี้หัวเขายังไม่กล้าเลย ปฏิวัติครั้งที่แล้วมันเป็นบทเรียน เป้าหมายกี่ข้อไม่สำเร็จเลยสักข้อ เขาเข้าใจแล้ว มันไม่ควรจะเกิดกับประเทศไทยอีก เหตุผลคราวที่แล้วเป็นเหตุผลอะไรก็ไม่รู้ แล้วทำสำเร็จไหมก็ดูเอาเอง

ส่วนความสัมพันธ์กับผู้นำเหล่าทัพ เห็นว่าผู้บัญชาการเหล่าทัพที่เป็นแขนขาของตน เราทันเห็นกันตอนอยู่โรงเรียนนายร้อย ก็เลยคุยกันรู้เรื่อง เขาให้เกียรติเราทุกอย่าง ตอนแรกคิดว่าเข้าไปจะเจอราวีแต่ก็ไม่มีอะไร เมื่อถามว่าจะมีการเช็กบิลจากเหตุที่เมื่อครั้งรัฐประหารทำให้ชีวิตราชการดับวูบลง พล.อ.อ.สุกำพลเปิดเผยว่า ตนไม่ปฏิเสธว่าเคยคิด แต่สุดท้ายก็เลือกไม่ทำอะไรเพื่อความสะใจ แต่เลือกที่จะบริหารความสัมพันธ์กับผู้นำเหล่าทัพจนทำให้มั่นใจว่าการยึดอำนาจจะไม่เกิดขึ้น ยืนยันว่า ผู้บัญชาการเหล่าทัพมีความสุขที่ได้ร่วมงานกับตน

“สมมุติผมเชื่อใจคุณ แล้วไปเปลี่ยนมือซ้ายมือขวาของคุณอย่างนี้มันก็เกิดความหวาดระแวง มันเปลี่ยนไม่ได้ แต่ต้องเป็นคนที่พูดกันรู้เรื่องนะ ฉะนั้นผมจะไม่ทำอะไรให้คนที่พูดกันรู้เรื่องไม่ไว้วางใจ สมมุติเราเอาคนของเราไปอยู่หมด บางทีมันก็ไม่สำเร็จแต่ต้องมีกลไกบางตัวที่เช็กได้ ฉะนั้นอย่าไปใช้วิธีเก่าๆ ต้องซื้อใจใช้ความเป็นลูกผู้ชาย” พล.อ.อ.สุกำพลกล่าว และว่า “คนเราบางทีก่อนเจอกันก็เขม่นกัน แต่พอมาเจอจริงๆ ก็เป็นอีกอย่าง ไม่ใช่อย่างที่คิด วิธีการของผมคือคุยกัน แต่อย่าคุยนาน ผมไม่ตีกอล์ฟคุย เพราะครึ่งวันยังไม่รู้เรื่อง แต่เราคุยสั้นๆ คุยอย่างไรก็ได้ให้เขาเชื่อว่าพูดจริง พูดสั้นๆ แล้วทำได้ แล้วก็ใช้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ ฝ่ายที่เราคุยด้วยก็เหมือนกัน ต้องใช้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์”

รมว.กลาโหม ยังยืนยันที่จะไม่แก้ไขพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2551 แม้จะไม่เห็นด้วยในหลักการอย่างสิ้นเชิง ซึ่ง พ.ร.บ.ฉบับนี้มี 2 ส่วนคือ ตัวพร.บ.กับข้อบังคับกลาโหม ส่วนหลังนี้ก็รีบทำเพื่อประโยชน์อะไร ตอนนั้นก็เห็นกันอยู่ แต่ถ้ามองกลับกัน ถ้าตนคุมเสียงข้างมากได้ ตนก็คุมการโยกย้ายได้หมด แต่ยืนยันว่ายังไม่แตะ และทหารก็ไม่ยุ่งเรื่องนี้ แต่คนอื่นยุ่งแทน

ในตอนท้ายกล่าวถึงกระแสข่าวการปรับ ครม.ซึ่งมีชื่อของ พล.อ.อ.สุกำพลที่จะถูกปรับออกในลำดับต้นๆ โดยกล่าวว่า ต้องถามคนปรับว่าจะตัดสินใจอย่างไร แต่ก็ยืนยันว่าไม่เสียใจหากต้องพ้นเก้าอี้รัฐมนตรี ตนไม่ใช่นักการเมืองแท้ๆ ถ้าไม่ใช้ตนแล้ว ตนก็กลับบ้านไม่เสียอะไรเลย ตนออกจากราชการมาก่อนเกษียณ 2 เดือน ที่ทำมานี่กี่เดือนแล้ว ฉะนั้นจะเอาอย่างไรยกหูมาเลย ตนก็กลับ ตนมาตนลงทุนอะไรบ้าง แต่ตนทำเต็มที่ เพราะทุนของตนคือความสามารถ
กำลังโหลดความคิดเห็น