เจ้าแม่จำเป็น ตอนที่ 4
ที่บ้านมหาทรัพย์ไพศาล ฉายตะวันกำลังพยายามอธิบายโน้มน้าวลูกชาย อย่างมีเหตุผลและเป็นห่วง
“ที่ดินในซอยมหาลาภยังเป็นชื่อแม่ แม่ก็ต้องมีสิทธิ์ที่จะทำหรือไม่ทำอะไรก็ได้บนที่ดินผืนนี้”
ชิณสวนคำแม่ทันที “แม่ทำแบบนี้เพราะยัยเจ้าแม่นั่นใช่มั้ยครับ ยัยนั่นน่ะเค้าหลอกใช้แม่ แม่ทำแบบนี้รู้มั้ยว่าผมเสียหายเท่าไหร่”
“จะเท่าไหร่ แม่ก็ยอมเสีย...มาคิดเงินกับแม่...ปล่อยชาวบ้านไปเถอะ ถือว่าทำบุญนะลูก แม่ไม่ยอมให้ชิณทำให้คนอื่นเดือดร้อนจนตัวเองต้องมีเคราะห์แบบนี้อีกแล้ว”
ชิณเถียงคอเป็นเอ็น “เคราะห์อะไรครับแม่ ที่ผมเป็นแบบนี้ ก็เพราะยัยร่างทรงปลิ้นปล้อนนั่นแหละ ยัยนั่นกับพรรคพวกเป็นคนทำร้ายผม แล้วก็ลอยนวลอยู่แบบนี้ แถมยังหลอกให้แม่มาเล่นงานผมอีก”
“ไปกันใหญ่แล้วชิณ เราไปใส่ร้ายหนูกะละแมเขาได้ยังไง มันไม่มีเหตุผลที่เขาจะต้องทำร้ายเราแบบนั้น” ฉายตะวันว่า
ชิณส่ายหน้าจนปัญญา..ชิณคิดแล้วก็หันมาต่อรอง
“ถ้าผมหาหลักฐานมาพิสูจน์ได้ว่ายัยนั่นเป็นคนร้าย และหลอกลวงแม่เรื่องเคราะห์กรรมบ้าบออะไรนั่น แม่จะเชื่อผมและปล่อยให้ผมทำงานในซอยมหาลาภต่อไปหรือเปล่าครับ”
ฉายตะวันนิ่งคิดก่อนตอบ “ก็ได้...ถ้าเราหาหลักฐานมาได้ แม่จะรับฟัง...แต่ถ้าไม่มีเราจะต้องยกเลิกโครงการที่ซอยมหาลาภทันที”
ชิณชะงักกึก!
กะละแม มีหน้าตาแปลกใจพอรู้เรื่องจากติ่ง
“อะไรนะ มีคนมาถอนป้ายไล่ที่เหรอ...เฮ้ย..มันจริงเหรอพี่ติ่ง ตาฝาดหรือเปล่า”
ติ่งยืนหอบแฮกๆ ปอดแทบแล่บออกมาทางปาก
“ไม่ฝาด...เห็นจริงๆ รื้อกันแบบขุดรากถอนโคนเลย...คนงานรางวัดก็ขนกันกลับไปหมดแล้ว...ไม่เชื่อฉันก็ไปดูเองเลยไป”
โต๊ดเองก็งงเหมือนกัน “แล้วที่ตลาดเขาว่ายังไงกันบ้างวะ”
“ตอนนี้เขางงกันทั้งตลาดเลยน้า...นี่...บางคนก็เริ่มเม้าท์ว่าเป็นเพราะเจ้าแม่เฮี้ยน...เจ้าของที่มันเลยกลัวเลิกไล่ที่พวกเรา” ติ่งบอกอีก
โต๊ดตาลุกวาว “เฮ้ย จริงเหรอวะ...แบบนี้ก็ดีสิ...ข้าว่าวันนี้คนต้องแห่มาแน่นสำนักแน่...นี่พวกเอ็งไม่ต้องมามัวตั้งวงอภิปรายเลย รีบไปเตรียมตัวทำงาน ข้าจะเปิดสำนักแต่หัววัน...น้ำขึ้นมันต้องรีบตัก”
ว่าแล้วโต๊ดก็ลุกไปเลย...เตรียมของทำพิธี
“โอ้ย..ส้มหล่นจริงๆ เว้ย...เตรียมรับทรัพย์เว้ย..เฮงๆๆ”
ติ่งเซ็ง “อ้าวไปเลย..โอ้โห...น้าโต๊ดหายใจเข้าเป็นเงินหายใจออกเป็นทองจริงๆ นี่กะละแม แล้วเอ็งล่ะ...คิดยังไง”
“ไม่รู้จะคิดอะไร...งงไปหมด”
กะละแมกลุ้มหนัก
ไม่นานต่อมา โทฟู่ทำหน้างงอีกคนพอกะละแมเล่าเรื่องข้อเสนอของจักกายจบ
“เออ..ฉันก็งงด้วย”
กะละแมยืนคร่อมจักรยานอยู่ เพราะพึ่งบึ่งมาหาโทฟู่ กะเม้าท์ให้หายกลุ้ม โทฟู่ยืนคุยอยู่หน้าร้านน้ำเต้าหู้
กะละแมกังวลไม่หาย “แกว่าจะเกี่ยวกับฉันมั้ย”
“ไม่รู้ แต่เขาไม่ไล่ที่ก็ดีแล้วนี่ ชาวบ้านจะได้ไม่เดือดร้อน จะเกี่ยวหรือไม่เกี่ยวกับแกก็ช่างมันเหอะ”
กะละแมก็ยังเครียดอยู่ดี โทฟู่มองหน้ากะละแมแล้วก็เลียบๆเคียงๆ ถามเป็นชุดเรื่องจักกายล้วนๆ
“นี่..แล้ววันนั้นที่กายเค้าไปเข้าเฝ้าเจ้าแม่..เป็นไงบ้าง? เค้ามาถามเรื่องอะไร? บอกฉันเป็นความผิดของสวรรค์หรือเปล่า?”
กะละแมหันมา “ไม่ผิดหรอก แต่แกอาจจะงงหนักขึ้นไปอีก”
โทฟู่เลิกคิ้วฉงน...อะไรวะ?
“เค้ามาจ้างให้ฉันยืนหยัดต่อสู้กับชาวบ้าน ทำยังไงก็ได้ไม่ให้นายชิณสร้างห้างสรรพสินค้าที่นี่”
จริงอย่างที่กะละแมพูด โทฟู่อึ้ง
“งง..งง อ่ะดิ ฉันยังงงเลย แถมยังบอกอีกนะว่า ต้องการเท่าไหร่จ่ายไม่อั้น”
โทฟู่คาใจมาก “ละ..แล้วเค้าทำแบบนั้นทำไม เค้าต้องการอะไร”
“เค้าบอกแค่ว่าเป็นเหตุผลทางธุรกิจ”
โทฟู่เหวอไป “ฉันนึกว่าเขาจะไปเฝ้าเจ้าแม่เพราะเรื่องส่วนตัว เรื่องสุขภาพ เรื่องครอบครัว เรื่องความรักอะไรอย่างเนี้ย ไม่คิดว่าเค้าจะมาด้วยเหตุผลนี้” แล้วนึกเสียใจที่โดนจักกายหลอก “ฉันขอโทษนะที่พาเขาไปหาแก”
“แกจะมาขอโทษฉันทำไม แกไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย เค้าเข้ามาทางแก เพราะเห็นว่าสนิทกับฉัน มันก็แค่นั้น”
โทฟู่จ๋อยๆ นึกตาม..เออจริง
“คิดแล้วก็แปลกดี คนนึงมาจ้างให้ฉันย้ายออก อีกคนก็มาจ้างให้ฉันอยู่ต่อ” กะละแมคิดไปคิดมา “สองคนนี้เป็นอะไรกันมากหรือเปล่าเนี่ย”
โทฟู่คิดตาม..จากความรู้สึกดีๆ ที่มีให้จักกาย เริ่มมีความไม่ไว้วางใจแทรกเข้ามา
ขณะเดียวกันจักกายดูภาพที่ศจีเลขานักสืบแอบถ่ายในไอแพด เป็นภาพตอนที่มีคนมารื้อป้ายออกจากซอยมหาลาภ แล้วก็ยิ้มด้วยความพอใจ
“เจ้าแม่..ฝีมือไม่เลว แค่วันเดียวเห็นผล”
จักกายยิ้มคิดถึงกะละแม
ระหว่างนั้นยินเสียงเคาะประตูดังขึ้น จักกายหันไป
“เข้ามา”
ศจีเปิดประตู พร้อมกับส่งรูปกระเป๋าแบรนด์เนมเก๋ไก๋ไฮโซให้จักกาย
“นี่ค่ะ รูปกระเป๋าที่คุณจักกายให้ดิฉันไปหา เป็นแบรนด์เนมที่กำลังอินเทรนด์ในตอนนี้ ... คุณจักกายลองเลือกดูนะคะว่าชอบแบบไหน”
จักกายรับมาดู แล้วก็ส่งคืนให้
“ผมชอบทั้งหมด คุณช่วยเป็นธุระไปซื้อมาให้ผมด้วย”
ศจีอึ้ง “หมดนี่เลยเหรอคะ”
“ใช่...ผมต้องการเย็นนี้”
“ค่ะ” ศจีรีบรับคำ แล้วรีบเดินออกไป
จักกายยิ้มนิดๆ ด้วยความพอใจ
“ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ...ในที่สุด..มหาทรัพย์ไพศาลจะต้องพ่ายแพ้ให้กับเจ้าแม่กำมะลอ ฮึๆๆๆ”
จักกายขำหัวเราะหึๆๆๆ ในลำคอด้วยความสะใจ
เวลาต่อมาชิณยืนกอดอกพิจารณาชายที่ยืนอยู่ข้างหน้าด้วยความไม่วางใจ มีทรงวุฒิยืนข้างๆ ชิณกระซิบถาม
“แน่ใจนะว่าเนี่ยเป็นช่างแต่งหน้าระดับโลก เก่งขนาดนั้นทำไมไม่แต่งให้ตัวเองก่อน หน้าโทรมอย่างกับศพ”
ช่างแต่งหน้ากะเทยเฒ่า หน้าซีด โทรมๆ ไม่ต่างจากศพ แต่ท่าทางดูอีโก้สูงๆ ฉันเก่งเป็นเบอร์1! เดินมาหา
ทรงวุฒิกระซิบตอบชิณ “คนนี้เป็นถึงช่างแต่งหน้ากองถ่ายฮอลลีวู้ดเลยนะครับ แต่งเอฟเฟ็คท์เก่งที่สุดในไทยเลย”
“ผมจะแต่งหน้าปลอมตัวเป็นคนแก่นะ ไม่ได้จะปลอมเป็นผี” ชิณไม่วางใจ
“ก็คนแหละครับ แต่งแม่พลอยในสี่แผ่นดินมาแล้ว”
ช่างแต่งหน้ามองสองคนซุบซิบก็รำคาญ โพล่งขึ้นมา
“ใช่” เดินมาตอนไหนไม่รู้ ชิณ กับทรงวุฒิแอบตกใจเล็กๆ “ฉันเนี่ยแหละเป็นคนแต่งให้แม่พลอยตั้งแต่แผ่นดินที่ 1 จนแม่พลอยแก่ตายในแผ่นดินที่ 4” ช่างแต่งหน้ากระแทกเสียงใส่ ทรงวุฒิสะดุ้งนิดๆ “ตกลงจะแต่งหรือไม่แต่ง”
ทรงวุฒิรีบบอก “แต่ง...ครับ”
“ถ้าแต่งก็เข้ามา” ช่างแต่งหน้ากระดิกนิ้วเรียก “จะแต่งให้แก่สมใจเลย…”
ชิณยังมีท่าทีลังเล ทรงวุฒิดันตัวชิณให้มานั่ง ชิณจำใจยอม..เอาวะ
ในที่สุดชิณนั่งประจันหน้ากับช่างแต่งหน้า ช่างเริ่มลงมือแต่งด้วยความชำนาญอย่างเหลือเชื่อ
ช่างเริ่มแต่งหน้าให้ชิณ จากหนุ่ม ก็เริ่มแก่ขึ้น แก่ขึ้น จนกระทั่งแก่หง่อมสมใจ เสร็จสิ้นกระบวนการ
ชิณแต่งหน้าเสร็จ หันมาหาทรงวุฒิ ทรงวุฒิตกใจ แม่เจ้า...
ชิณ...ดูแก่งัก!!แก่... แก่มั่กๆ
“เป็นไงบ้าง จำได้หรือเปล่า” ชิณถามเลขา ทนาย และบ่าวคนสนิท
“จำไม่ได้เลยครับคุณชิณ ดูแก่จริงๆ จังๆ แก่มากๆ เลยครับ แก่จนจำหน้าเดิมไม่ได้เลยครับ”
ช่างแต่งหน้ากะเทยชรายิ้มย่องอย่างภาคภูมิใจ
“ดี ... การปลอมตัวครั้งนี้จะได้ไม่มีใครจับได้” ขณะพูดชิณคิดถึงกะละแม “ยัยร่างทรงกะละแมคราวนี้ เธอเสร็จฉันแน่ !!”
แววตาของชิณเป็นประกายวาววาม นึกถึงกะละแมด้วยความมั่นใจ ว่าเสร็จตูแน่ยัยเจ้าแม่กำมะลอ!!!
ไม่นานต่อมา รถดวงแล่นเข้ามาจอดที่หน้าสำนักทรงในซอยใมหาลาภ..ดวงควักน้ำหอม มาฉีดๆๆๆ อัดสุดฤทธิ์ จนก๋อยแทบสลบ
“กูหล่อหรือยังวะไอ้ก๋อย” ดวงเมกชัวร์
ก๋อยอวยตามประสา “โอ้ย...หล่อแบบไม่ประนีประนอมเลยจ้ะพี่ดวง...รับรองว่าน้องกะละแมต้องหลงหัวปักหัวปำแน่จ้ะ...”
ดวงยิ้มกริ่มอย่างมั่นใจ แล้วก็หันไปที่หน้าบ้านกะละแม “พูดแบบนี้มันวอนได้ขึ้นเงินเดือนจริงๆ...” ก๋อยยิ้มรับหน้าบาน
“แล้วขึ้นมั้ยพี่”
“เดี๋ยวสิเว้ย..เอาไว้กูได้แอ้มน้องกะละแมเมื่อไหร่แล้วกูค่อยแจกโบนัสอย่างงาม”
ดวงกับก๋อยเดินลงมาจากรถ ดวงมองเข้าไปในบ้านกะละแม...ดวงควักน้ำหอมมาฉีดอีกที พอดวงกับก๋อยเดินเข้าบ้านไป...รถชิณแล่นเข้ามาแอบจอดอยู่แถวนั้น...ชิณอยู่ในรถมองๆ ดูลาดเลาอย่างระมัดระวัง
ด้านในพิธีเริ่มแล้ว กะละแมกำลังเอาเทียนน้ำมนต์หยดลงในขัน....ตัวสั่นงั่กๆ ปากก็พร่ำบ่นมั่วไปตามเรื่องตามราว ชาวบ้านชะเง้อชะแง้มองกันใหญ่
ติ่งรมควันสร้างบรรยากาศไปแต่คราวนี้พยายามชะเง้อด้วย เพราะอยากถูกเหมือนกัน ครั้งที่แล้วคนอื่นถูกไปแล้วทั้งซอย
โต๊ดเห็นชาวบ้านชะเง้อก็เอาตัวบังไม่ให้เห็น เพราะกะจะเก็บตังค์ตอนดู และตัวเองก็คอยดูเองด้วยกะละแมสั่นแรงขึ้น...สวดเสียงดังกว่าเดิม แล้วก็เอาเทียนจุ่มน้ำ ตัวเองก็สลบไป...ชาวบ้านลุกฮือถามเซ็งแซ่
“เฮ้ย...เลขอะไรวะ ...เลขอะไร”
โต๊ดรีบกันชาวบ้าน
ในขณะที่ชาวบ้านเริ่มรุมเข้ามาดูมากขึ้น จนโต๊ดเริ่มกันไม่ไหว ติ่งก็ออกมาลากตัวกะละแมไป...แต่ก็ชำเลืองดู...กะละแมเหล่ๆ มาเห็นก็ถีบเบาๆ ให้สัญญาณว่าไปได้แล้ว
ติ่งจำต้องลากกะละแมเข้าไปหลังม่าน…ใจก็อยากดูว่าเลขอะไร โต๊ดมีชาวบ้านมารุมเพียบ จะดูว่าอะไร...โต๊ดกอดขันไว้แน่นปากก็ประกาศปาวๆ
“อย่าแย่งกันอย่าแย่งกัน...รับรองว่าได้ดูทุกคนแน่...ใจเย็นๆพ่อแม่พี่น้อง..เข้าแถวให้เป็นระเบียบ เอาเงินบริจาคใส่กล่องก่อนแล้วค่อยมาดู”
ชาวบ้านยังพยายามเข้ามาดูเลขเด็ดเจ้าแม่ในขันน้ำมนต์ไม่หยุดหย่อน
เวลาเดียวกันนั้นดวงกับก๋อย เดินเข้ามา...แล้วก็ค่อยๆ พากันเลาะๆ เข้าไปที่หลังบ้าน
ส่วนชิณในมาดคนแก่หง่อม เดินเข้ามาในบ้าน มองซ้ายมองขวา เห็นชาวบ้านรุมโต๊ด จังหวะเดียวกันโต๊ดก็หันมาเห็นชิณพอดีจึงร้องเรียก
“ลุง..ลุง”
ชิณงง หันมามอง แล้วก็ชี้หน้าตัวเอง
“เอออออ..ลุงนั่นแหละ เพิ่งมาใช่มั้ย ? ถ้าจะดูเลขก็ต่อแถวเลยนะ หน้าใหม่ล่ะสิ ไม่คุ้น” โต๊ดยิ้มแฉ่งนึกว่าเหยื่อรายใหม่
ชิณพยักหน้าอ้อมๆ แอ้มๆ “อื้อ”
โต๊ดยิ้มรับ “ต่อแถวเลยนะ จะได้โชคได้ลาภแบ่งๆ กันไป” พลางหันมาทางป้าอีกคนที่ยืนอยู่ “ป้า..ยังดูไม่เสร็จอีกเหรอะ ดูนานเดี๋ยวตาลาย ตีเลขผิดนา”
พูดจบโต๊ดหันไปควบคุมคิวต่อ พอชิณเห็นว่าโต๊ดเลิกสนใจแล้ว ก็มองซ้ายมองขวาหากะละแม
ติ่งลากกะละแมเข้ามาหลังฉากแล้วก็วางอย่างไม่ไยดี...กะละแมล้มตึง...ติ่งรีบร้อนจะออกไป
“โอ้ย...จะรีบไปไหน พี่ติ่ง”
“ฉันจะรีบไปดูเลขมั่งสิ เผื่อจะแม่นเหมือนงวดที่แล้ว”
ติ่งวิ่งพรวดออกไป...ผ่านดวงกับก๋อยที่แอบอยู่...พอติ่งวิ่งผ่านไปแล้ว ดวงก็เดินเข้าไปหากะละแม ก๋อยจะตาม ดวงหันมาสะบัดหน้าเป็นเชิงไล่ ก๋อยยังไม่รู้สึก ดวงสะบัดอีกบอก “ไป” ไม่มีเสียง แต่ก๋อยยังยิ้มแป้นไม่รู้เรื่อง จนดวงต้องด่า
“มึงไม่ต้องตามมาเลย....ออกไปรอข้างนอกโน่นไป กูจะอยู่กับน้องกะละแมสองต่อสอง เข้าใจ๋”
นั่นเองก๋อยถึงได้รู้ตัว แล้วก็หยุดอยู่ตรงนั้น ปล่อยให้ดวงเดินไปคนเดียว..แต่แววตาเสียดายสุดๆ
“ไปก็ได้...ใช่ซี้ เรามันเก่าแล้วนี่”
ก๋อยเดินดราม่าออกไปอย่างเซ็งโครต
ขณะที่ดวงขยับเสื้อแล้วก็เดินหล่อเข้าไปหากะละแมด้วยความมั่นใจ
ขณะที่ชิณเดินอาดๆ เข้าไปในบ้าน และทันใดนั้นก็เหลือบไปเห็นก๋อยเดินออกมา
“โธ่...พี่ดวงนะพี่ดวง เห็นหญิงแล้วทิ้งก๋อย”
ชิณชะงัก รู้สึกคุ้นๆ ลดแว่นลงมองอีกที...แล้วก็อึ้ง เหตุการณ์ตอนก๋อยทำร้ายตัวเองผุดขึ้นในหัว
ชิณ...อึ้ง...เฮ้ย..ใช่จริงๆ แล้วก็รีบหลบวูบลง ก๋อยเดินผ่านไป...เกือบเห็นกัน..แล้วชิณก็มองเข้าไปหลังม่านที่ก๋อยเดินออกมา
ชิณเมกชัวร์ มองซ้ายแลขวาก่อนจะเดินเข้าไปหลังม่าน
ด้านกะละแมกำลังจะถอดสไบทับชุดขาวที่ใส่สำหรับเข้าทรง...แต่เอื้อมมือมาแกะผ้าข้างหลังไม่ถนัดทันใดนั้นมือดวงก็เอื้อมมาถอดให้..กะละแมสะดุ้งหันขวับมา
“เฮ้ย...เข้ามาได้ยังไง”
“ทำไมต้องตกใจด้วย...คนรู้จักกันแท้ๆ พี่ดวงไงจ๊ะ จำไม่ได้เหรอ” ดวงยิ้มเผล่
ชิณเดินเข้ามาแล้วก็ชะงัก...กับภาพที่เห็น
กะละแมถอยห่างไม่ไว้วางใจ “จำได้ แต่ฉันถามว่าเข้ามาได้ยังไง”
“ก็ไม่เห็นมีป้ายติดว่าห้ามเข้านี่จ๊ะ...น้องกะละแมแต่งตัวแบบนี้แล้วสวยจัง”
ชิณอึ้ง ภาพตอนดวงตอนทำร้ายตัวเองผุดขึ้นมาอีก ชิณรีบล้วงเอาโทรศัพท์มือถือออกมา
กะละแมไม่วางใจดวง ถอยห่างพลางถาม
“แล้วเข้ามาทำไม”
“โถ...คำก็ถามสองคำก็ถาม คุยกันดีๆ บ้างไม่ได้เหรอจ๊ะ คุณงามความดีที่พี่ช่วยน้องกะละแมไว้ ไม่ทำให้น้องกะละแมไว้ใจพี่บ้างเลยเหรอ”
ชิณคุยโทรศัพท์ไปแอบดูไป
“ทรงวุฒิ...ผมเจอคนที่ซ้อมผมแล้ว...รีบติดต่อตำรวจด่วน...ตอนนี้ผมอยู่ที่สำนักร่างทรง...ให้ตำรวจรีบมาเลยนะ”
ชิณวางหูไป...ยิ้มสะใจแล้วก็แอบดูต่อ ส่วนกะละแมฉากหลบดวงที่ย่างสามขุมเข้ามาหา
“ช่วยก็ส่วนช่วย แต่นี่บุกเข้ามาในที่ส่วนตัวแบบนี้ฉันไม่ชอบ...พี่ติ่ง” กะละแมตะโกนเรียก “พี่ติ่ง...น้าโต๊ด...”
ดวงหยุดกึก “ก็ได้...ก็ได้...ไม่ต้องตกใจ พี่ดวงไม่เข้าใกล้เกินห้าก้าว...” ถอยมายืนห่าง “ตกลงมั้ย...เอาล่ะ ตอนนี้เราคุยกันดีๆ ได้หรือยังจ๊ะร่างทรงคนสวย”
ดวงพยายามเสแสร้งทำหน้าตอแหลเป็นคนดีสุดฤทธิ์ แต่กะละแมก็ยังมองด้วยแววตาไม่วางใจอยู่ดีขณะที่ชิณเบ้หน้า “แหวะ..” พร้อมกับ ทำท่าจะอ้วก
ด้านในสำนัก ท่ามกลางชาวบ้านที่เบียดเข้าไปดูเลขเด็ด ติ่งเบียดชาวบ้านขอเข้ามาดูด้วยคน
“เฮ้ย...บอกว่าอย่าแย่งกัน” โต๊ดหันมาเจอติ่งเป็นคนเบียด “อ้าวเฮ้ย...เอ็งมาทำอะไรวะไอ้ติ่ง”
“ก็มาดูเหมือนกันสิน้า...เดี๋ยวพลาดเหมือนงวดที่แล้ว”
“เอ็งจะดูก็ต้องไปบริจาคก่อน” โต๊ดเขี้ยว
ติ่งถึงกับสะดุ้งร้อง เฮ้ย
“เขี้ยวฉิบหาย” แต่ก็เดินไปบริจาค
ส่วนก๋อย...พยายามแทรกเข้ามาดู...แต่เข้าไปไม่ได้...แล้วก็เลยเหลือบไปดูว่า...ดวงเป็นไงบ้าง...แล้วก็สะดุดตากับชิณที่ยืนหลบอยู่ ก๋อยเพ่งมองก่อนจะเดินเข้าไปหา
ชิณยืนแอบดูอยู่...ก๋อยเดินมาพร้อมส่งเสียงถาม
“เฮ้ยลุง...มาแอบดูอะไร หะ”
ชิณตกใจ เลยพรวดออกมาจากที่หลบ
“เฮ้ย”
กะละแม กับดวง ตกใจหันมาดู...ชิณยืนเอ๋ออยู่รีบก้มหน้าก้มตาทั้งที่ปลอมตัวอยู่
ก๋อยฟ้องลูกพี่เอาความดี “พี่ดวง ไอ้แก่นี่มันด้อมๆมองๆอยู่ข้างๆ เนี่ย ดีนะว่าฉันหันมาเห็นพอดี”
ดวงเดินกร่างเข้ามาหาชิณ...อวดหญิง
“แก่แล้วยังสอดรู้สอดเห็นอีกนะ...กล้าดียังไงมาแอบดูข้ากับน้องกะละแม”
ชิณอึกอัก “เอ่อ...” ก้มหน้าหลบตา “คือ”
กะละแมพยายามเพ่งมองเข้าไป ชิณยังก้มหน้างุด
“ก้มๆ ก้มหน้าทำไม ... กล้าทำก็กล้ารับหน่อยสิเว้ย ลุงนี่ ก้มหน้ามีพิรุธนะ ไอ้ก๋อยจับหน้าให้มันเงยขึ้นชัดๆ สิ”
ก๋อยจัดให้ “ได้พี่”
ชิณร้องลั่น “อย่า...”
ชิณพูดไม่ทันขาดคำ ก๋อยก็จับหน้าชิณเงยขึ้น ฟึ่บ! ชิณเผชิญหน้ากับดวงจังๆ ดวงจดสายตาจ้อง กะละแมเองก็มองด้วยความสงสัย
“เอ็งนี่มันหน้าคุ้นๆเว้ย...”
กะละแมข้องใจ...เดินมาดึงหนวดออก
“โอ๊ย”
ชิณเจ็บ ร้องลั่น หนวดหลุดติดมือกะละแมออกมา ดวงกับก๋อยถึงกับอึ้ง สะดุ้ง กอดกันกลม
“เฮ้ย”
“หนวด...มันหลุดมาได้ไงวะ หรือว่า..ไอ้แก่ แกไม่ได้แก่จริง” ดวงเง็ง
ใบหน้าชิณ ในยามนี้มีเมคอัพแต่ไม่มีหนวด ดูแล้วก็รู้ว่าเป็นชิณ ดวงกับก๋อยเริ่มคิด ตอนที่รุมซ้อมชิณ
ดวงกับก๋อยถึงกับสะดุ้งโหยง
“แก” สองคนร้องประสานเสียง
ติ่งเดินมาเห็นพอดี....ยิ่งตกใจ
“คุณชิณ... น้าโต๊ด”
ติ่งวิ่งตาลีตาเหลือกไปหาโต๊ดอย่างว่องไว
เจ้าแม่จำเป็น ตอนที่ 4 (ต่อ)
ขณะเดียวกันชิณหันมาเผชิญหน้าทุกคน...ดวงกับก๋อยหน้าซีดเป็นกระดาษขาวด้วยความวิตก
“จำฉันได้ใช่มั้ย...จริงๆฉันก็ไม่อยากจะเปิดเผยตัวเร็วขนาดนี้...แต่ช่วยไม่ได้ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว...คุยกันตรงๆ เลยดีกว่า”
กะละแมยังทำฟอร์มนิ่ง “เราไม่มีอะไรต้องคุยกัน”
ดวงรีบผสมโรง “ชะ..ใช่..ใช่...ไม่คุย...แล้วฉันก็ไม่ได้ทำอะได้วย ฉันไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น”
ก๋อยเอาด้วย “ใช่...เราไม่รู้เรื่องนะ เราไม่ได้ทำร้ายคุณแม้แต่นิดเดียวเลยนะ ไอ้ที่คุณโดนรุมยำ ไม่เกี่ยวกับเราสักนิ๊ดดดเลย” แต่อาการเริ่มลนจริงๆ
กะละแมเซ็งเลย ดวงตบหัวก๋อย..โป๊ก...
“โอ๊ย”
ดวงเซ็ง “มึงไปบอกมันทำไม”
ก๋อยลูบหัวป้อยๆ หน้าจ๋อยๆ
ชิณยิ้ม “ยอมรับออกมาเองแบบนี้ เขาเรียกว่าร้อนตัว ดีจะได้ไม่ต้องพูดอะไรกันมากเวลาที่ตำรวจมา”
ดวงกะก๋อยซีดร้องประสานเสียง “ตำรวจ”
กะละแมฉงน “ทำไม..ตำรวจจะมาทำไม”
“ฉันไปแจ้งความว่าโดนทำร้ายร่างกาย และตำรวจก็กำลังจะมาลากคอคนร้ายเข้าคุกก็เท่านั้นเอง”
ดวงกะก๋อยร้องประสานเสียงอีก “เข้าคุก...ไม่ได้นะ...เข้าคุกไม่ได้”
กะละแมชักรำคาญสองแสบหันไปเอ็ด “นี่เป็นอะไร พูดพร้อมกันอยู่ได้ พูดทีละคนไม่ได้หรือไง”
ดวงกะก๋อย จ๋อยไป พอตั้งสติได้ดวงรีบปฏิเสธปากคอสั่น
“ผมไม่เกี่ยวนะครับ..ตะ..ตอนนั้นผู้หญิงคนนี้...เป็นคนบอกให้ผมทำเอง”
กะละแมร้อง “เฮ้ย”
ชิณยิ้มกริ่ม ยัยร่างทรงกำมะลอเอ๊ย คราวนี้เสร็จฉันแน่!!!
ติ่งลากโต๊ดออกมา เร่งยิกๆ
“เร็วน้าโต๊ด...เร็วๆ รีบไปช่วยไอ้แมเร็ว”
“เออ...กูรู้แล้ว...ทำไมชีวิตกูต้องมายุ่งกับเอ็งสองคนด้วยวะ ซวยไม่เว้นแต่ละวัน” โต๊ดบ่นอุบ
ทางด้านดวงกับก๋อยหักหลังด้วยการโยนความผิดให้กะละแมหน้าตาเฉย แถมบอกอย่างหน้าตายอีกด้วย
“จริงๆ ครับ...ผมเป็นพยานได้...ผู้หญิงคนนี้เป็นคนตะโกนบอกให้ผมกับพี่ดวงอัดคุณ...ยังบอกอีกว่า อัดให้น่วม..ไม่น่วมไม่หนุกครับ”
กะละแมฉุนกึก “นี่...จะบ้าเหรอ...พูดแบบนี้หมายความว่ายังไง ฉันไม่รู้เรื่องนะ ไอ้ป๊อด กล้าทำไม่กล้ารับ กระจอก!!”
ติ่งกับโต๊ดเดินเข้ามางงๆ
“เดี๋ยวๆ...หยุดก่อนนังกะละแมใจเย็นๆ...” โต๊ดหันมาทางชิณ “หวัดดีครับคุณ ผมเป็นน้าของกะละแม มีอะไรกันเหรอครับ...”
“ก็ไม่มีอะไรมาก ผมแค่รอให้ตำรวจมาจับหลานสาวคุณข้อหาทำร้ายร่างกาย” ชิณว่า
“ใคร..ใครทำร้ายคุณ...ฉันเปล่านะ” กะละแมไม่ยอมรับ
“ถามสองคนนี้ดีกว่า...ใครเป็นคนสั่งให้คุณสองคนทำร้ายผม”
ทั้งดวงและก๋อยพร้อมใจชี้มาที่กะละแม
ติ่งกะโต๊ดอึ้ง
“เฮ้ย...เอ็งมาใส่ร้ายน้องข้าทำไมวะ” ติ่งโวย
“ก็มันจริงนี่หว่า...น้องเอ็งน่ะเป็นคนบอกให้ข้าทำ คุณคนนี้” ก๋อยเปลี่ยนสรรพนามชิณ เป็นคุณขึ้นมาทันที
กะละแมรีบบอก “ฉันเปล่านะพี่ติ่ง น้าโต๊ดมันสองคนแส่เข้ามาช่วยเอง ฉันไม่ได้สั่งนะ มันใส่ร้ายฉัน”
“นั่นสิ ข้าก็ข้องใจ น้องสาวข้าไม่รู้จักเอ็งสองคน แล้วจะไปสั่งเอ็งสองคนได้ยังไง” ติ่งว่า
“คุณชิณครับ ผมว่าเรื่องนี้คงจะมีการเข้ากันผิดกันนะครับ...เราค่อยๆ พูดกันดีกว่าครับ” โต๊ดเคลียร์
“ได้ ผมก็ไม่ใช่คนใจร้าย เอาเป็นว่า...ผมมีทางเลือกให้หลานสาวคุณ...” ชิณมองหน้ากะละแม “หนึ่ง..รอตำรวจอยู่ที่นี่ และให้ตำรวจสอบปากคำสองคนนี้พร้อมกับรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมด ซึ่งไม่ต้องบอกก็รู้อยู่แล้วว่าผลจะเป็นยังไง” ปรายตามาทางดวงกับก๋อยที่อยู่ข้างหลัง “สอง...ไปกับฉัน และบอกความจริงกับแม่ฉันทั้งหมด ทั้งเรื่องที่เธอโกหกท่าน และเรื่องที่ฉันโดนทำร้าย”
กะละแมอึ้ง
“แล้วฉันจะยอมถอนแจ้งความกับตำรวจ...ไม่เอาผิดเธอ”
ชิณต่อรองอย่างเหนือชั้น...กะละแมคิด...สบตา ติ่ง โต๊ด และหันไปทางก๋อยกับดวงที่ยืนหลบตาอย่างกลัวผิด กะละแมเครียด
ไม่นานนัก รถชิณแล่นเข้ามาจอดหน้าบ้านมหาทรัพย์ไพศาล กะละแม นั่งหน้าเสียอยู่ในรถ ข้างๆ เห็นชิณใช้ผ้าเปียกเช็ดหน้าล้างความแก่ออกจนหมดจด ชิณลงจากรถแล้วก็เดินเข้าบ้าน เห็นกะละแมนั่งนิ่งอยู่บนรถก็หันมาเร่ง
“เร็วๆ หน่อย”
ชิณเดินมาเปิดประตูให้...กะละแมมองแล้วก็เดินลงมา
“อย่าลืม เธอต้องบอกแม่ฉันทั้งหมด...ไม่งั้น...ตำรวจแน่”
ชิณเดินนำไป...กะละแมหวั่นใจ..คิดหาทางออกสุดฤทธิ์
ขณะกำลังกลุ้มเรื่องน้องสาว ติ่งก็ต้องงหนัก เมื่อจักกายบอกว่ามาหากะละแม ติ่งมองจักกายหัวจดเท้า มีผู้ชายมาหาน้อง ว่ามันเป็นใคร? จู่ๆ นึกหวงน้องสาวขึ้นมาทันควัน จักกายยืนถือถุงของแบรนด์เนมอยู่มากมาย ตุ้งแช่นั่งทำการบ้านห่างออกไป
ติ่งทำมาดเข้มเสียงดุ “ไอ้แมไม่อยู่ ไม่รู้กลับเมื่อไหร่ มีธุระอะไรไม่ทราบ”
“จะเอาของมาให้” จักกายบอก
ติ่งงง “ของ? ของพวกนี้เหรอ”
ติ่งมองเห็นถุงของที่ดูดีมีราคา จักกายพยักหน้ารับ ติ่งถึงกับตาลุกวาวขึ้นมาทันที
“กะละแมไม่อยู่ งั้นก็...ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมมาใหม่” จักายกำลังจะหันไป
“เดี๋ยว” จักกายหันมา ติ่งยิ้มแฉ่ง พูดดีขึ้นมาทันที “จะว่าไป” รีบดึงถุงมา “ของพวกนี้ฝากไว้ก็ได้ เดี๋ยวฉันให้ไอ้แมมันเอง ฉันเป็นพี่ชายมัน...”
จักกายลังเลไม่อยากให้ พยายามดึงกลับ
“ไม่เป็นไร ผมมาวันหลังก็ได้”
“ก็บอกแล้วไงว่าไม่เป็นไร ฝากไว้เหอะ”
“ผมให้เองดีกว่า”
ติ่งจับถุงไว้แน่น ไม่มีใครยอมใคร จนตุ้งแช่ถามโพล่งขึ้น ด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“พี่จีบพี่แมเหรอ”
จักกายผงะตกใจเผลอปล่อยมือ “ปะ...เปล่า”
ตุ้งแช่สอดต่อ “ต้องใช่แน่ๆ...ผมรู้นะพี่อยากให้พี่แมกับมือใช่มั้ยล่ะ” เด็กผีทำเป็นรู้ทัน
จักกายตอบไม่ถูกเหมือนกัน รีบแก้ตัว “ไม่ใช่!..งั้นฝากด้วยละนะ...บอกว่าจากจักกาย”
พูดจบจักกายเดินออกไป โต๊ดเดินเข้ามาพอดี
“ใครมาวะ แล้วนั่นอะไร”
ผู้สื่อข่าวพิเศษตุ้งแช่รีบรายงาน “มีผู้ชายเอาของมาให้พี่แม หล่อด้วย”
โต๊ดดึงถุงมาดู “อะไรวะ ระเบิดหรือเปล่า เอ็งนี่รับของมามั่วๆ ระวังจะซวยไม่รู้ตัว วันหลังต้องเช็คให้รอบคอบก่อน มาข้าดูเอง”
โต๊ดรีบคว้าถุงมาเปิดดู ตุ้งแช่ กะติ่งมุงดูด้วย ทั้งสามเห็นกระเป๋าแบรนด์เนม สวยๆ ดีๆ หรูๆ ทั้งนั้น
“โห...มีของดีๆแพงๆทั้งนั้นเลย” ติ่งตาวาว
“เยอะขนาดนี้ เอาไปขายได้เลยนะเนี่ย..ไอ้นี่มันทุ่มว่ะ ท่าทางจะไม่ธรรมดา ตกลงมันจะจีบไอ้แมหรือเปล่าวะ”
โต๊ด ติ่ง และตุ้งแช่ต่างครุ่นคิด สงสัยตะหงิดๆ ไม่แน่ใจเหมือนกัน
ขณะที่โทฟู่กำลังขายน้ำเต้าหู้อยู่ จักกายเดินเข้ามาหน้าร้าน โทฟู่ทำเป็นไม่เห็นขายน้ำเต้าหู้ต่อ ยังเคืองไม่หายที่โดนจักกายหลอกใช้
“ผมมาขอบคุณที่คุณช่วยให้ได้เข้าเฝ้าเจ้าแม่”
โทฟู่ทำน้ำเต้าหู้ไปพูดประชดไป “ไม่ต้องขอบคุณหรอก ที่ช่วยเพราะคิดว่ากำลังเดือดร้อน ไม่ได้มีเจตนาแอบแฝง”
จักกายสะอึก โทฟู่ใส่ต่อ “ฉันไม่รู้หรอกนะว่าคุณทำธุรกิจอะไร แต่ฉันไม่ใช่เครื่องมือที่คุณจะมาหลอกใช้ ถ้าไม่จริงใจ ก็ถอยไปไกลๆ เลย” พอพูดจบก็หันหลังให้ จะเดินเอาของเข้าไปเก็บ
จักกาย คิดแล้วก็ถามตรงๆ ด้วยความไม่ยอมโดนด่าฝ่ายเดียว
“ถ้าคุณเลือกคบแต่คนที่จริงใจ ขอถามหน่อย...คุณคิดว่าเพื่อนคุณเป็นร่างทรงจริงๆหรือเปล่า”
โทฟู่หันกลับมาตอบ “จริง! และฉันก็มั่นใจว่าเพื่อนฉันไม่ใช่พวกไว้ใจไม่ได้เหมือนใครบางคน”
โทฟู่จงใจพูดกระแทกใส่ แล้วก็เดินเข้าบ้านไป จักกายส่ายหน้าแล้วก็ขำเบาๆ
“ไร้เดียงสาจริงๆ ฮึๆๆ”
ขณะเดียวกันฉายตะวันนั่งมองกะละแมหน้างงๆ กะละแมนิ่งอึดอัด ชิณคะยั้นคะยอ
“เริ่มได้เลยแม่ฉันรอฟังอยู่”
“คือ..เรื่องของเรื่องมันเริ่มต้นที่...”
ชิณกระหยิ่มยิ้มย่อง คิดว่าคงจะเป็นไปตามแผน
กะละแมเล่าต่อเสียงนิ่มๆ ท่าทีเจียมตัว “ตอนเช้าของวันที่เกิดเรื่อง...ขณะที่กำลังเดินอยู่ ก็มีมือของผู้ชายคนหนึ่งกระชากหนูเข้าไปในมุมมืด”
ชิณสะดุดหู เริ่มเอะใจ
“หนูดิ้นหลุดออกมาได้ ถึงได้เห็นว่า...ผู้ชายคนนั้นคือ...คุณชิณ”
ฉายตะวันตกใจ หันมามองหน้าลูกชาย
“อ้าว...เราทำอย่างนั้นทำไมตาชิณ”
“เดี๋ยวครับแม่...ฟังให้จบก่อน นี่เธอไม่ต้องอ้อม...เข้าเรื่องเลยอย่าตุกติก”
กะละแมดราม่าต่อ “ด้วยสัญชาตญาณการป้องกันตัว หนูเลยเอื้อมมือไปหยิบไม้มาถือไว้ แต่มันก็ช่วยอะไรได้ไม่มาก เพราะ…” คราวนี้เริ่มร้องไห้ “ไม้นั้นหลุดไปอยู่ในมือของคุณชิณ..และคุณชิณ…ก็กำลังจะ...จะ…”
ทนไม่ไหวแล้วว๊อย ชิณขึ้นเสียง “นี่พอได้แล้ว...ฉันไม่ได้ให้เล่าตรงนั้นนะ”
“เล่าต่อสิหนู...นี่ตาชิณ...ถ้าจะให้แม่ฟังก็ต้องให้ฟังทั้งหมด...เล่าเลยจ้ะ”
“ขณะที่คุณชิณถือไม้อยู่ก็มีผู้ชายสองคนมาจากไหนไม่รู้ เค้าคิดว่าคุณชิณเป็นคนร้ายก็เลยทำร้ายคุณชิณ หนูพยายามจะห้าม แต่เขาไม่ฟัง พอยำเสร็จสองคนก็หายตัวไปเลยค่ะ”
ชิณลุกพรวด “โกหก...เธอนี่มันไว้ใจไม่ได้จริงๆ...ลืมไปแล้วเหรอว่าเธอรับปากฉันว่ายังไง...หรือต้องให้สองคนนั้นมาแฉว่าเธอเป็นคนสั่งให้ทำ”
ฉายตะวันสับสน “อ้าว...ตกลงยังไงกัน สองคนนั้นกับหนูกะละแมรู้จักกันด้วยเหรอ”
“ตอนแรกก็ไม่รู้จักค่ะ แต่หลังจากเกิดเรื่อง สองคนนั้นก็บุกมาที่บ้านโดยที่ไม่ได้เชิญ คุณชิณก็แวะมาที่บ้านโดยที่ไม่ได้เชิญเหมือนกัน ก็เลยไปเจอกัน ทั้งสองคนกลัวความผิดก็เลยโยนมาให้หนู”
“พูดง่ายไปหรือเปล่า ใครจะไปเชื่อว่าพวกนั้นโยนความผิดให้เธอ ฉันเห็นเธอสองคนดูสนิทสนมกันดี คำว่า คนสวย สองคำก็ คนสวย”
ชิณลอยหน้าลอยตาประชด ฉายตะวันหันมามองชิณ..เอ๊ะยังไง กะละแมปรายตามามองด้วยความหมั่นไส้ แล้วก็ตอบกลับไป
“ถ้าฉันจะทำร้ายคุณจริงๆ ฉันคงไม่พาคุณส่งโรงพยาบาล ปล่อยให้เป็นอาหารแมงหวี่อยู่ที่นั่นแหละ”
ชิณกับฉายตะวันอึ้ง
ฉายตะวันได้สติรีบถาม “หนูเป็นคนพาตาชิณส่งโรงพยาบาลเหรอจ๊ะ”
“แม่อย่าไปเชื่อนะครับ..นี่เธอยังกล้าโกหกอีกเหรอ”
“ถ้าคุณไม่เชื่อ เราไปพิสูจน์กันที่โรงพยาบาลก็ได้...ว่าฉันเป็นคนพาคุณไปส่งจริงหรือเปล่า”
ชิณไม่เชื่อเด็ดขาด กะละแมท้าทาย
ไม่นานต่อมาทุกคนอยู่กันที่เคาท์เตอร์รับส่งคนไข้ของโรงพยาบาล นางพยาบาลเวรกำลังเปิดดูสมุดเซ็นรับส่งตัวคนไข้ ชิณยืนดูอยู่ด้วยความร้อนร้น...กะละแมพยายามรักษาฟอร์ม...ฉายตะวันลุ้นๆ
“หาเจอหรือยังครับ...ทำไมนานจัง...ให้ผมหาเองมั้ยครับ”
“เออ...นี่ค่ะ..เจอแล้วค่ะ...”
พยาบาลเงยหน้าขึ้นมาจากสมุด
“คนที่มาส่งคุณชิณชื่อ....”
ทุกคนลุ้นระทึกรอฟัง
“นางสาวกุหลาบ หางนกยูงค่ะ”
ทุกคนอึ้ง...โดยเฉพาะกะละแม ภาพตอนที่พาชิณมาส่งโรงพยาบาลแล้วบอกชื่ออื่นเพราะไม่อยากยุ่งผุดขึ้นมา
“ไหน...ไหนชื่อเธอ ไม่มี...ไม่ใช่ชื่อเธอสักหน่อย แม่เชื่อหรือยังครับว่ายัยเนี้ยเป็นพวกต้มตุ๋นขนาดแท้” ชิณจ้องหน้าเอาเรื่อง
กะละแมพยายามอธิบายยืนยัน “ไม่ใช่นะ...ฟังก่อน...ถึงมันไม่ใช่ชื่อฉัน แต่ฉันเป็นคนพาคุณมาจริงๆ นะ”
ชิณไม่เชื่อเด็ดขาด “เธอนี่...สุดๆจริงๆ หลักฐานเห็นๆยังจะไหลไปได้...แม่ครับมีแต่คำโกหกปลิ้นปล้อน เธอหลอกแม่ฉันทั้งเรื่องเคราะห์ เรื่องที่ทำร้ายฉัน และหลอกใช้แม่ฉันเรื่องยกเลิกไล่ที่ มันเป็นแผนของเธอทั้งหมด”
ฉายตะวันงุนงง ไม่กล้าสบตากะละแม...เพราะสับสน กะละแมหน้าเหลอหลา
“ฉันไม่ได้โกหกนะ..ถ้าไม่เชื่อฉันก็ลองถามพยาบาลคนที่เป็นคนรับเรื่องก็ได้ เขาต้องจำหน้าฉันได้แน่ๆ...คุณนายคะหนูไม่ได้โกหก...หนูพูดจริงๆนะคะ”
ชิณรำคาญจนหันมาดุเสียงดัง
“คำว่าจริงของเธอน่ะมันไม่มีความหมาย เลิกพูดได้แล้ว...” ชิณหันมาทางฉายตะวัน “เรากลับกันดีกว่าครับ”
ชิณพาแม่เดินหนีไปเลย กะละแมพยายามตามมาอธิบาย
“ฉันพูดจริงนะ...ฉันไม่ได้โกหก ฉันเป็นคนช่วยคุณไว้จริงๆ...คุณนายคะ หนูไม่ได้โกหกนะคะ..หนูเป็นคนช่วยคุณชิณไว้จริงๆ...หนูเป็น...”
กะละแมพูดไม่ทันจบคำ ทันใดนั้นเสียงพยาบาลคนหนึ่งก็ดังขึ้นมา เหมือนระฆังช่วยชีวิตกะละแมแท้ๆ
“พลเมืองดี...คุณพลเมืองดีใช่มั้ยคะ”
ทุกคนหยุด...แล้วก็หันมาทางพยาบาล
“ใช่คุณจริงๆ ด้วย...คุณพลเมืองดีที่พาคนไข้มาส่งเมื่อวันก่อน”
ทุกคนเหวอ ใบ้กิน โดยเฉพาะชิณ
พยาบาลชี้มาที่กะละแมบอกย้ำอย่างมั่นใจ
“คุณคนนี้ล่ะค่ะ ที่พาคุณมาส่งที่โรงพยาบาล ดิฉันจำได้ค่ะ”
ชิณไม่เชื่อ “คุณนึกดูให้ดีๆนะ...เพราะชื่อที่เขียนไว้ไม่ใช่ผู้หญิงคนนี้”
“ฉันบอกแล้วไง ว่าเหตุผลที่ไม่อยากให้ชื่อจริงเพราะ” กะละแมเริ่มสร้างภาพ “ฉันไม่อยากเปิดเผยตัว กลัวคนอื่น” มองหน้าชิณขณะพูดประโยคต่อมา “จะคิดว่าทำความดีเพื่อเอาหน้า”
ชิณไม่ยอม “นี่คุณพยาบาล คุณลองดูอีกที แน่ใจเหรอว่าเป็นคนเดียวกัน”
ฉายตะวันเสียงดัง “พอได้แล้วชิณ”
ชิณ “แม่ครับ”
“เราจงใจเอาผิดกะละแมมากเกินไปแล้วนะ และที่สำคัญแม่ข้องใจอยู่อย่างนึง เราเป็นคนไปหาเขาก่อน แถมยังลากเขาเข้าไปในซอกตึก เราทำแบบนั้นทำไม หะ ไหนตอบมาสิ” ฉายตะวันจ้องหน้ารอฟัง
“เอ่อคือ...” ชิณอึ้ง
กะละแมได้ที “คุณนายคะ..อย่าไปว่าคุณชิณเลยค่ะ...เรื่องมันแล้วไปแล้ว”
ชิณอึ้งอ้าปากค้างอยู่อย่างนั้น
“ไม่ได้ ถึงหนูไม่เอาเรื่องแต่ฉันไม่ยอม ตาชิณ...ขอโทษหนูกะละแมเขาเดี๋ยวนี้”
“อ้าว...แม่...ทำไมผมต้องขอโทษด้วย ผมเป็นคนโดนทำร้ายนะครับ”
“ก็เราจะไปทำเขาก่อน เขาก็ต้องป้องกันตัว” ฉายตะวันว่า
ชิณอึ้งอีก กะละแมรีบแทรก
“ไม่ต้องหรอกค่ะคุณนาย ที่หนูทำไม่ต้องการคำขอโทษจากใคร แล้วก็ไม่ต้องการคุณงามความดีอะไร...ทำทานเป็นกุศลอันยิ่งใหญ่ เจ้าแม่เข้าฝันบอกหนูเสมอค่ะ” กะละแมเสริมความน่าเชื่อถือด้วยการยกมือขึ้น...สาธุ
ชิณเหล่ๆ เล่นละครเก่งจริงๆ น่าจะได้...รางวัลนาฏราช!
“ขอบใจหนูมากนะจ๊ะ..ที่ไม่เอาเรื่องชิณ..ในเมื่อลูกฉันไม่ขอโทษ ฉันขอโทษแทนก็ได้”
ชิณฉุนขาดแล้ว “แม่...แม่..ไปขอโทษยัยนั่นทำไม..ผมไม่ได้ทำผิดอะไรนะแม่”
“มันเรื่องของแม่..เราไม่ต้องมายุ่ง” ฉายตะวันบอกลูกชาย แล้วหันมาทางกะละแม “หนูร่างทรง หนูชื่อกะละแมใช่มั้ย ฉันต้องขอโทษหนูจริงๆ นะ ที่เกิดเรื่องแบบนี้ เอาอย่างนี้ดีกว่า พรุ่งนี้ ฉันขอเชิญหนูมาทานข้าวที่บ้านเพื่อเป็นการขอโทษ”
ชิณคาดไม่ถึง “แม่”
กะละแมเองก็อึ้ง...ซึ่งชิณอึ้งกว่า
ตกตอนเย็น ชิณเดินหน้าง้ำ จ้ำพรวดๆๆ เข้ามาในบ้าน ฉายตะวันเดินตามพยายามปรับความเข้าใจ
“ชิณ...ชิณ...คุยกับแม่ก่อนสิลูก...นี่..มาคุยกันให้รู้เรื่อง ทำไมมาทำหน้าบึ้งหน้างอไม่พูดไม่จาแบบนี้หะ”
“ก็แม่น่ะ ไปทำญาติดีกับยัยนั่นทำไม แล้วนี่ยังชวนมากินข้าวอีก ผมไม่เข้าใจจริงๆ พวกนั้นน่ะ ไว้ใจได้ที่ไหน ผมว่าไม่มีเหตุผลที่จะต้องไปสุงสิงด้วยแม้แต่นิดเดียว”
ชิณโวยวาย ฉายตะวัน พูดเตือนสติลูกชายด้วยเหตุผล
“แม่ไม่สนใจว่าหนูกะละแมเขาจะประกอบอาชีพอะไร แต่เขาช่วยเราไว้ ถึงเราจะไม่ขอโทษที่โยนความผิดสารพัดให้ ก็น่าจะขอบใจที่เขาช่วยเราไว้บ้าง แม่สอนเสมอว่าให้เราเป็นคนไม่ลืมบุญคุณคน คิดดูให้ดีๆว่าตอนนี้เราตัดสินหนูกะละแมด้วยเหตุผลหรือว่าอารมณ์”
ฉายตะวันพูดจบก็เดินไป...ทิ้งให้ชิณเก็บคำพูดไปคิด...แต่คิดแล้วคิดอีกชิณก็ได้แต่ส่ายหน้า..ยังไง๊..ยังไงก็ไม่เชื่อ
เจ้าแม่จำเป็น ตอนที่ 4 (ต่อ)
พอโต๊ดรู้เรื่องก็ตกใจร้องเสียงดัง
“หะ! ไปกินข้าว”
ตุ้งแช่เข้ามาเกาะแขนอย่างเร็ว “ฉันไปด้วย”
กะละแมรีบแกะแขนตุ้งแช่ออก “พี่ยังไม่รู้เลยว่าจะไปหรือเปล่า ไม่ได้ทำความดีอะไรให้เขาซะหน่อย อยู่ดีๆ จะไปกินฟรี”
“แต่ถ้าไม่ไปเขาจะหาว่าเล่นตัว ไปกินแล้วจะได้จบ แค่กินข้าวไม่มีอะไรหรอก” โต๊ดว่า
กะละแมคิด...แค่นี้จริงเหรอ? ทันใดนั้นเองกะละแมเหลือบไปเห็นถุงของที่จักกายซื้อมาให้ กะละแมขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ ติ่งเห็นก็กลัวกะละแมเอาไปคืน จึงรีบเอาเท้าเขี่ยถุงหลบ พร้อมเอาตัวบัง...แต่ไม่รอด
“ถุงอะไร ของใคร”
“เอ่อ...” ติ่งพูดไม่ทันจบ
ตุ้งแช่พูดแทรก “ถุงกระเป๋าไฮโซของพี่แม คนชื่อจักกายฝากไว้ให้”
ติ่งเซ็ง มองตุ้งแช่...เจือกนัก!!! กะละแมหันขวับมาทางถุง พุ่งเข้ามาหมายจะหยิบ
“ฉันจะเอาไปคืน”
“เฮ้ย ! เขามาจีบเอ็ง เอาของมาให้ก็รับๆ ไปเถอะ ทำเล่นตัวไปได้ ไอ้แมมันเป็นอะไรของมันวะ หยิ่งผิดพี่ผิดน้อง” โต๊ดส่ายหน้าไม่ยอมให้
“นั่นดิ ถ้าแกไม่อยากได้ ฉันขอนะ จะเอาไปให้สุดสวยของฉัน” ติ่งยิ้มกว้าง
“ไม่ได้ ถึงฉันไม่อยากได้ ฉันก็ไม่ให้” กะละแมหันมาทางโต๊ด “และเขาก็ไม่ได้มาจีบฉัน เฮ่อ...เรื่องมันซับซ้อนพูดไปก็ไม่เข้าใจหรอก”
กะละแมตัดบท ไม่พูดไม่จา รีบหอบถุงทั้งหมดแล้วเดินออกไป ทุกคนมองตามอย่างงงๆ
โต๊ดตะโกนตามหลัง “ไอ้แมแล้วเอ็งจะเอาของไปไหน หะ? ไอ้แม”
โต๊ดมองตามงงๆ ส่วนติ่งมองตามอย่างเซ็งโครตๆ
ไม่นานต่อมา แท็กซี่คันหนึ่งแล่นเข้ามาจอดที่หน้าบริษัทเกษมคอนสตรัคชั่นของจักกาย ก่อนจะเห็นกะละแมหอบของลงจากแท็กซี่พะรุงพะรัง มีโทฟู่ตามลงมาติดๆ ช่วยถือบางส่วน
กะละแมหยิบนามบัตรมาดูเชคเมกชัวร์ว่าชื่อเดียวกับที่เขียนไว้ในนามบัตร โทฟู่เดินมาประกบถามอีกที
“แกจะเอาของไปคืนเขาจริงๆ เหรอ” โทฟู่ถามอีก
“จริง เพราะฉันไม่ได้รับปากจะช่วยเค้า ถ้าฉันรับของก็เท่ากับ ฉันยอมช่วย เพราะฉะนั้น ฉันรับไม่ได้”
กะละแมจะเดินไปในออฟฟิศ โทฟู่ดึงแขนไว้
“แล้วถ้าเค้าไม่ได้เอาของมาให้เพราะเรื่องงาน แต่เขาคิดจะจีบแก แกจะทำยังไง”
กะละแมไม่เชื่อ “ไม่มีทาง เค้ายังไม่รู้จักฉันเลย เจอกันก็แค่ครั้งสองครั้ง คุยกันก็ไม่กี่คำ ถ้านายจักกายของแก มาจีบฉันก็บ้าแล้ว”
โทฟู่ปฏิเสธแบบเขินๆ “เค้าเป็นของฉันที่ไหนเล่า ฉันก็เจอเค้าไม่ได้มากไปกว่าแกสักหน่อย”
“เออๆ เขาจะเป็นของใครก็ช่าง แต่ตอนนี้ฉันต้องเอาของไปคืนเขาก่อน”
กะละแมตัดบท รีบเดินลุยโลดพุ่งเข้าไปในออฟฟิศเลย โทฟู่เดินตามไป
“เฮ้ย รอด้วยดิ ไอ้แม” !
เวลานั้นจักกายกำลังดูโมเดล และดูรายงานการก่อสร้างห้างสรรพสินค้า มีพนักงานรายงานความคืบหน้าอยู่ในห้องทำงาน
“นี่เป็นรายงานการก่อสร้างห้างสรรพสินค้าตรงข้ามซอยมหาลาภ ตอนนี้งานโครงสร้างเกือบจบ งานระบบเริ่มไปได้กว่าครึ่งแล้วครับ”
“ดีมาก ถ้างานเร็วแบบนี้ไปเรื่อยๆ อีกไม่นานเราก็น่าจะเปิดได้” จักกายยิ้มพอใจ
ระหว่างนั้นศจีเดินเข้ามา
“คุณกายคะ...คุณร่างทรง เอ่อ...คุณกะละแมมาขอพบค่ะ”
จักกายเผลอยิ้มดีใจนิดๆ
“สงสัยจะมาขอบคุณเรื่องกระเป๋า หึหึหึ”
จักกายพูดลอยๆ ด้วยความมั่นใจ
ต่อมาไม่นาน ถุงของมากมายถูกวางลงบนโต๊ะอย่างแรง พร้อมกับเสียงและท่าทีฉุนเฉียวของกะละแมดังประกอบว่าแรงจริง
“ฉันเอาของมาคืน”
จักกายมองของ แล้วมองหน้ากะละแมงงๆ กะละแมยืนอยู่ตรงข้ามมีโทฟู่ยืนอยู่ข้างๆ โทฟู่ยังถือถุงอยู่ มองไปรอบๆ ห้องด้วยความช่างสังเกต เห็นโมเดลแบบห้างสรรพสินค้าใหม่ และชื่อห้าง และแฟ้มรายงานที่วางอยู่
กะละแมเอาไหล่กระแทกแขนโทฟู่ โทฟู่รู้ตัวรีบวางถุงของข้างๆ ถุงของกะละแม จักกายมองของที่วางอยู่แล้วก็ตอบยิ้มๆ
“ผมให้แล้ว” จักกายเลื่อนของคืน “ไม่รับคืน”
“แต่ฉันไม่ได้ทำอะไรให้คุณ ไม่ต้องเอาของมาให้” กะละแมบอก
“คุณทำให้ไอ้ชิณล้มเลิกโปรเจ็คท์ในซอยมหาลาภ ผมก็ต้องตอบแทน ตามที่เราตกลงกันไว้”
โทฟู่มองหน้าจักกาย แล้วคิดไปคิดมา โทฟู่เริ่มมองเห็นด้านมืดของจักกาย
“ฉันไม่ได้ตกลงอะไรกับคุณ ส่วนเรื่องที่ยกเลิกการก่อสร้าง คุณนายฉายตะวันเป็นคนสั่ง ไม่เกี่ยวกับคุณชิณ แล้วก็ไม่เกี่ยวกับฉัน”
จักกายเฉไฉ “ถึงไม่เกี่ยวก็อยากให้ รับไว้เถอะ ไหนๆ ก็ซื้อมาแล้ว ถ้าคุณไม่รับ ผมก็ไม่รู้จะเอาไปทำอะไร นะ..รับไปเหอะ”
“ไม่”
กะละแมเชิดใส่
จักกายเลยหันไปกระซิบกับโทฟู่อ้อนๆ
“ช่วยพูดให้เพื่อนคุณรับของผมหน่อยสิ...นะ...นะ”
โทฟู่ลำบากใจที่ต้องเป็นคนกลาง แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร กะละแมก็ลุกพรวดขึ้น แล้วเอ่ยขึ้น
“หมดธุระแล้ว ฉันกลับล่ะ” กะละแมบอกกับโทฟู่ “ไอ้ฟู่กลับ”
พูดจบกะละแมเดินนำไป โทฟู่ลุกขึ้นกำลังจะเดินตาม
จักกายฉุดข้อมือโทฟู่ไว้...โทฟู่เหล่มองข้อมือที่ถูกจับ แต่จักกายก็ไม่รู้ตัว จับไม่ปล่อย
“ผมแค่เอาของไปให้ ทำไมเพื่อนคุณต้องโกรธด้วย”
โทฟู่หน้านิ่ง แววตาเศร้า “เอาของไปให้มันไม่น่าโกรธหรอก แต่หลอกใช้คนอื่นน่ะ มันทั้งน่าโกรธแล้วก็น่าเกลียด..และที่สำคัญ...จับมือผู้หญิงโดยไม่ได้รับอนุญาตก็เป็นสิ่งที่ไม่มีมารยาทที่สุด”
โทฟู่สะบัดมือออกแล้วเดินไป...จักกายมองตามแบบไม่เข้าใจทั้งโทฟู่และกะละแม
จักกายงงคิดในใจ “นี่เราอยู่เมืองนอกมากไป หรือผู้หญิงไทยเข้าใจยากวะเนี่ย”
จักกายยืนมึนคาที่
ที่บ้านนุ้ย บริเวณด้านนอกบ้านนุ้ย ตอนกลางคืน มีนักเลงยืนคุมอยู่หน้าบ้าน
แผ่นดิสก์ในมือสายหวยถูกส่งให้ลูกน้องนุ้ย...ภายในห้องรับแทงหวยมีคนนั่งหน้าคอมพ์ สามสี่คน ตามผนังติดปฎิทินใบ้หวย มีสายหวยนั่งอยู่ที่โต๊ะ..รอส่งหวย
เสียงโทรศัพท์ดังตลอดเวลา...มีคนคอยจดหวยที่มีคนโทรเข้ามาซื้อ
ที่เครื่องแฟกซ์ก็มีโพยหวยถูกแฟกซ์มาไม่ขาดสาย
นุ้ยนั่งดูอยู่อีกห้องที่กั้นแยกต่างหาก...ห้องถูกตกแต่งตามสไตล์บ้านมาเฟียเยอะเข้าว่า นุ้ยกำลังให้อาหารปลาสวยงามที่เลี้ยงไว้ในตู้กลางห้อง...ลูกน้องวิ่งเข้ามาหาหน้าตาตื่น
“ป๋าครับ ตอนนี้มีชาวบ้านแทงเลขนี้...” ลูกน้องคนนั้นส่งโพยให้นุ้ยดู “...กันเกือบล้านแล้วครับ ป๋าจะรับต่อมั้ยครับ หรือว่าจะให้หยุดรับ”
นุ้ยหยิบมาดู “ทำไมมันซื้อเลขนี้กันเยอะนัก ย่านไหนวะ”
“ซอยมหาลาภครับป๋า”
นุ้ยชะงักกึก...อาหารปลาในมือหล่นลงไปในตู้
“อีกแล้วเหรอ”
เวลาเดียวกันดวงหน้าตากลุ้มใจเรื่องกะละแม เดินไปเดินมาอยู่บนบ้าน
“ทำไมถึงได้ซวยแบบนี้วะ ไม่รู้ว่าน้องกะละแมจะเกลียดกูไปถึงไหนแล้ว กูจะทำไงดีวะไอ้ก๋อย”
“ฉุดเลยพี่ดวง” ก๋อยเสนอ
ดวงตบหัวหนึ่งโป๊ก “นี่แน่ะ แค่นี้เขายังเกลียดกูไม่พอใช่มั้ย มึงนี่แนะนำมาแต่ละอย่าง ไม่ได้เรื่อง”
ระหว่างนั้นนุ้ยเดินเข้ามา หน้าตาบึ้งตึง
“ไอ้ดวง! ที่เอ็งบอกป๋าว่าจะไปจัดการเรื่องสำนักทรงที่ซอยมหาลาภ ไปถึงไหนแล้วหะ งวดใหม่มันแทงกันมาอีกแล้วนะ ไม่ถึงครึ่งวันร่วมล้านแล้วเนี่ย”
ดวงยกข้ออ้าง “โธ่...ป๋าใจเย็นๆ หน่อยสิ หนูก็กำลังจัดการอยู่ อีกไม่นานหรอกน่า เชื่อหัวไอ้ดวงเถอะ”
“เอาให้มันคืบหน้านะโว้ย ถ้างวดนี้ ชาวบ้านที่ซอยมหาลาภมันถูกเพราะไอ้สำนักบ้านั่นอีก ป๋าจะลงมือเอง”
นุ้ยประกาศกร้าวด้วยสีหน้าเหี้ยมโหด
ตอนกลางวันของวันต่อมา ที่หน้าบ้านมหาทรัพย์ไพศาล มองเข้าไปเห็นบ้านหลังใหญ่โตและอลังการ
มิ้ว กิมเอ็ง นั่งคุยอยู่กับฉายตะวันในห้องรับแขก ด้านหลังเห็นคนใช้จัดอาหารขึ้นโต๊ะสุดอลังการ
“หนูร่างทรงเนี่ยเป็นคนดีจริงๆ นะคะคุณพี่ ช่วยคุณชิณแล้วยังไม่ยอมเปิดเผยตัวอีก แบบนี้น่าจะได้โล่” กิมเอ็งอวย
“แหม...แต่ที่คุณป้าจะเลี้ยงอาหาร พวกเขาก็คงจะดีใจแล้วล่ะมั้งคะ” มิ้วว่า
“ป้าก็พยายามเตรียมอาหารดีๆ ไว้อย่างเต็มที่ แล้วก็ส่งรถไปรับตั้งแต่เช้า อีกไม่นานก็คงจะมาถึง”
ระหว่างนั้นชิณเดินลงมาจากบ้านด้วยชุดลำลอง...มิ้วหันไปเห็น
“อุ๊ย...พี่ชิณขา สวัสดีค่ะ เอ๊ะ...วันนี้พี่ชิณไม่ไปทำงานเหรอคะ”
ชิณอึกอัก “พอดีเพิ่งออกจากโรงพยาบาล พี่เลยอยากอยู่บ้านพักฟื้นสักหน่อย”
“อยู่พักฟื้นหรือว่าอยู่จับผิดกันแน่” ฉายตะวันเหน็บ
ชิณเฉไฉ “ผมอ่านหนังสืออยู่ที่ห้องทำงานนะครับแม่”
ชิณเดินไป...มิ้วมองตามเริ่มรู้สึกแปลกๆ
“ที่คุณป้าบอกว่าพี่ชิณจะอยู่จับผิดน่ะ จับผิดใครคะ”
“จะใครซะอีก ก็หนูกะละแมน่ะสิ ไม่รู้อะไรนักหนา จ้องแต่จะหาเรื่องเขาอยู่ได้ ป้าว่าที่อยู่บ้านวันนี้ ก็คงอยากเจอหนูกะละแมนั่นแหละ”
มิ้วชะงักกึก ตาร้อนผ่าวขึ้นมาทันที
ไม่นานต่อมา รถเบนซ์มาแล่นจอดที่หน้าบ้านชิณ กะละแม ติ่ง โต๊ด และตุ้งแช่ก้าวลงมา มองบ้านสุดอลังการด้วยความตื่นเต้นและตื่นตา
กะละแมบ่นไม่เลิก “ถ้าน้าโต๊ดไม่บังคับ ฉันไม่มีทางมาหรอก”
“เอาน่า...ถือว่าเป็นโบนัสให้ทีมงานก็แล้วกัน นานๆ จะมีลาภปากสักที”
ติ่งเห็นรถมิ้วจอดอยู่ “รถคุณมิ้ว หรือว่า...คุณมิ้วก็มาด้วย” รีบหันไปทำหล่อ
ตุ้งแช่บอกกับติ่ง “เค้ามา ก็ไม่ได้หมายความว่าเค้าจะสนใจพี่สักหน่อย”
ติ่งสะบัดหางตาเตรียมด่า ตุ้งแช่รีบหันมาบอก
“พี่ติ่ง...แอ๊บผู้ดีด่วน”
ติ่งรีบหุบปากเป็นผู้ดีขึ้นมาทันที สักครู่หนึ่งแจ่มเดินออกมาต้อนรับ
“คุณนายรออยู่ข้างในแล้วค่ะ เชิญทางนี้เลยค่ะ เดินตามมาดีๆนะคะ เดี๋ยวหลง บ้านมันใหญ่”
แจ่มทักทายแล้วยิ้มแฉ่งอย่างเป็นมิตร ก่อนจะเดินนำไป กะละแม โต๊ด ตุ้งแช่เดินตามไปแบบปกติ...ติ่งเดินปั้นหน้าเก๊กหล่อเต็มที่
ในบ้าน ฉายตะวัน กิมเอ็ง มิ้ว เดินมารับชาวคณะเจ้าแม่ของกะละแม ติ่งกับตุ้งแช่ เห็นมิ้วเดินมากิมเอ็งก็ตะลึงมองตาค้าง
สองคนพูดขึ้นพร้อมกัน “สวยจัง”
ติ่งหันขวับมาด่าตุ้งแช่
“ทะลึ่งแระ เป็นเด็กเป็นเล็ก แก่แดดนะไอ้แช่”
โต๊ดหันมาปราม “พอกันทั้งสองคน หยุดเลย สำรวมหน่อย เสียภาพพจน์ชาวคณะเจ้าแม่หมด”
ติ่ง กะตุ้งแช่ เงียบกริบ สำรวมชั่วขณะ
“สวัสดีจ้ะ” ฉายตะวันทักทาย
กะละแม ติ่ง และตุ้งแช่ยกมือไหว้ “สวัสดีครับ” / “สวัสดีค่ะ”
โต๊ดยิ้มกว้าง ยกมือไหว้นอบน้อมและสอพลอสุดๆ “สวัสดีครับคุณนาย โห…บ้านคุณนายใหญ่มากเลยนะครับเนี่ย นี่ถ้าไม่มีคนเดินนำเข้ามา ผมต้องหลงทางแน่ๆ ใหญ่ยังกะวัง”
ติ่งหันมากระซิบประชดเอากับตุ้งแช่ “พ่อใครวะ โคตรสำรวม โคตรรักษาภาพพจน์เลย”
ตุ้งแช่ยิ้มแห้งๆ…พ่อไอ้แช่เอง
“หิวกันหรือยังจ๊ะ”
“ไม่หิวเลยครับ อิ่มแล้วครับ...อิ่มอกอิ่มใจ” ติ่งตอบฉายตะวันแต่ตามองมิ้ว
ด้านมิ้วทำหน้าอึดอัด รู้ตัวว่าโดนหลี กิมเอ็งเหล่ๆ ...ยังไงยะ?
กะละแมเห็นรีบเอาศอกกระทุ้งติ่ง “แหะๆ พี่ติ่งเค้าพูดเล่นน่ะค่ะ”
กิมเอ็งตัดบท “คุณพี่คะ ตรงนี้ร๊อน..ร้อน ยืนนานๆผิวเสีย เรารีบไปที่โต๊ะอาหารกันดีกว่าค่ะ” หันมาพูดกับกะละแมและชาวคณะ “นี่....คุณพี่ฉายตะวันจัดอาหารดีๆ ที่พวกเธอคงไม่เคยกินเอาไว้เยอะแยะเลยนะ ไปจ้ะไป”
คนอื่นยิ้มตื่นเต้น แต่กะละแมสะอึก รู้สึกแปลกๆ กับคำพูดของกิมเอ็ง ฉายตะวัน กิมเอ็ง และมิ้ว เดินนำไป...กะละแม โต๊ด ตุ้งแช่ เดินตาม ส่วนติ่งมองมิ้วตาค้างอยู่ กะละแมต้องกลับมาลากไป
เวลานั้นชิณเดินออกมาจากห้องทำงาน ทำเป็นยืนเลือกหนังสืออยู่ที่ชั้นหนังสือแถวๆนั้น แล้วก็มายืนแอบมองกะละแมกับชาวคณะด้วยความไม่วางใจ
มิ้วเดินตามหลังแล้วเหลือบไปเห็นว่าชิณยืนมองกะละแมอยู่
ชิณรู้สึกตัวว่ามิ้วมองมาก็ทำเป็นเฉไฉหยิบหนังสือ แล้วเดินเข้าห้องทำงานไป
มิ้วเริ่มสงสัยชิณมากขึ้น...ท่าทางแปลกๆ
อาหารเต็มโต๊ะ สิบกว่ารายการ ติ่ง โต๊ด ตุ้งแช่มองตาโต...กะละแมมองนิ่งๆ
ฉายตะวันยิ้มแย้มเชื้อชวน “เชิญจ้ะ ไม่รู้ว่าจะทานกันได้หรือเปล่า ถ้าทานไม่ได้ จะเอาอะไรเพิ่มก็บอกนะ” รีบบอกแจ่ม “แจ่ม...ตักข้าว”
แจ่มตักข้าวให้ทุกคน
ติ่งเอ่ยขึ้น “คุณนายครับ ถ้าพวกผมทานไม่หมด ขอเอาใส่ถุงกลับบ้านได้ไหมครับ”
กะละแมรีบก้มหน้างุด...อายจริงๆ
มิ้วแอบเบ้หน้า อี๊...ไอ้พวกคนจน
ฉายตะวันยิ้ม “ได้สิจ๊ะ”
ติ่งยิ้มหน้าบาน “ขอบคุณครับ”
การกินเลี้ยงขอบคุณเจ้าแม่เริ่มต้น...ติ่งอดใจไม่ไหวจะใช้มือหยิบ กะละแมหยิกให้รักษามารยาท ติ่งรู้ตัวรีบหันมายิ้มให้มิ้วเขินๆ
มิ้วไม่ได้มองติ่งเลย มัวแต่มองหาว่าชิณแอบดูอยู่ตรงไหนหรือเปล่า
กะละแมมองหาชิณด้วยความหวั่นกลัวว่าจะเจอ...มิ้วหันมาเห็นพอดี
“นี่เธอ มองหาใคร”
กะละแมตกใจนิดๆ ที่โดนมองจ้องจับผิดอยู่ “อ๋อ...เปล่าค่ะ ไม่ได้มองใคร แค่มองไปรอบๆ บ้านน่ะค่ะ”
กะละแมยิ้มๆ แล้วเฉไฉกินข้าวต่อ
ทันใดนั้น ชิณก็เดินมาพร้อมกับพูดขึ้น
“ผมขอทานข้าวด้วยคนนะครับ ดูบรรยากาศน่าสนุก” ชิณยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
กะละแมชะงักกึก ช้อนข้าวที่กำลังจะเข้าปากค้างเลย
มิ้วมองชิณจับกิริยา แววตาเริ่มไม่ไว้วางใจ
ชิณเดินมาข้างกะละแม “ฉันจะนั่งตรงนี้ จัดจานมาด้วย”
ชิณบอกแจ่มแล้วนั่งแหมะลงเก้าอี้ข้างกะละแม ฉายตะวัน กิมเอ็ง ติ่ง โต๊ด ตุ้งแช่ แปลกใจ
มิ้วมองด้วยความไม่พอใจสุดๆ
กะละแมอึ้งไปชั่วครู่ ในขณะที่ชิณนั่งลงข้างๆ ไม่รู้จะมาไม้ไหน บรรยากาศมาคุแผ่ไปทั่วโต๊ะกินข้าว
เจ้าแม่จำเป็น ตอนที่ 4 (ต่อ)
ไม่นานนัก แจ่มเดินเข้ามาพร้อมชุดจานและช้อน ส้อม ที่เตรียมให้ชิณ แจ่มตักข้าวให้ชิณ บรรยากาศบนโต๊ะอาหารมีความอึดอัดปกคลุมอยู่บางๆ หนา เป็นพิเศษเฉพาะบริเวณที่กะละแม ชิณและมิ้วนั่ง
“ทานข้าวด้วยกันก็ดี จะได้ทำความรู้จักกันให้มากขึ้น” ฉายตะวันพยายามสร้างยรรยากาศ
“ผมก็อยากจะรู้จักกันให้มากกว่านี้เหมือนกันครับแม่”
ชิณพูดพร้อมกับปรายตามาทางกะละแมเพ่งมอง กะละแมไม่สู้ตา...ตั้งหลักอยู่ มิ้วจ้องตาไม่กะพริบ
“จะว่าไป มันก็บังเอิ๊ญบังเอิญนะคะ ที่หนูกะละแมเป็นพลเมืองดี ที่ช่วยคุณชิณไว้ นึกไม่ถึงจริงๆ” กิมเอ็งว่า
โต๊ดรีบสร้างภาพ “กะละแมมันก็เป็นแบบนี้แหละครับ ชอบช่วยเหลือคนอื่นมาตั้งแต่เด็กๆ”
ชิณเหน็บ “ช่วยบอกหวยชาวบ้านด้วยใช่ไหม แหม...เป็นคนดีจริงๆ ช่วยทำให้คนงมงายไม่รู้จักการพึ่งตัวเอง” พูดจบก็ยิ้มกลบ...ทำเป็นไม่รู้ตัวว่าหลอกด่ากะละแม
ทุกคนอึ้ง ฉายตะวันจ้องเขม็ง ชิณเฉไฉ
“ทานอาหารกันเถอะครับ เดี๋ยวเย็นหมด” ชิณตักอาหารให้กะละแม “ทานเยอะๆ นะ...นี่ปลาไหลญี่ปุ่นย่างซีอิ๊ว เห็นแม่ครัวบอกว่าตัวนี้ไหลลื่นเป็นพิเศษ เธอน่าจะชอบ นี่ก็น้ำพริกนรก เธอคงกินได้ใช่มั้ย แต่ถ้าเป็นพวกที่ชอบโกหก หลอกลวง ก็คงไม่อยากกินเท่าไหร่ เพราะชื่อมันแสลงแทงใจดำ”
“ขอบคุณค่ะ” กะละแมพูดเบาๆ เม้มปาก เพราะรู้ว่าโดนกัด
ท่าทีกะละแมไม่ค่อยวางใจชิณเอาเลย ชิณอมยิ้มรู้สึกสนุกที่ได้แกล้ง แต่มิ้วมองด้วยความไม่พอใจ
“พี่ชิณตักให้มิ้วบ้างสิคะ มิ้วตักไม่ถึงค่ะ” มิ้วสะบัดหางเสียงนิดๆ
ติ่งสาระแนเสนอหน้า “ผมตักให้เองครับ นี่ครับ...ยำเห็ดนางฟ้าคู่ควรกับคุณมิ้วมากๆ เอาอันนี้อีกไหมครับ” ตักให้อีก “อันนี้ด้วยครับ” จนกับข้าวเต็มจานมิ้ว
มิ้วเสียงดัง “นี่! พอแล้ว ไม่เอาแล้ว ฉันบอกว่าพอ”
ติ่งสะดุ้ง “ครับ...ครับ...พอ...แหะๆ”
ตุ้งแช่ส่ายหน้าอายสุดๆ...โต๊ดมองติ่งตำหนิ...ติ่งยิ้มแฉ่งไม่รู้ตัว
ส่วนชิณปรายตามามองกะละแมแล้วยิ้มสะใจ...กะละแมก้มหน้าทำตัวลีบเล็ก...มิ้วมองชิณกับกะละแมไม่วางใจ
จักกายยืนอยู่หน้าบ้านกะละแม มองเข้าไปเห็นบ้านปิดเงียบ จักกายจึงเดินสำรวจรอบๆ แล้วก็คิด...หายไปไหนกันหมด
อาหารมือนั้นกะละแมแทบกลืนไม่ลง และอยากไปให้พ้นๆ บ้านนี้ เวลาต่อมาที่มุมหนึ่งในสวน กะละแมลากติ่งกับโต๊ดมา โต๊ดลากตุ้งแช่มาด้วยอีกทอดนึง
“รีบกลับเถอะ!”
โต๊ดดึงแขนรั้งไว้ “เฮ้ย...กลับได้ยังไง เพิ่งกินอิ่ม ใจคอเอ็งจะกินอิ่มปุ๊บเปิดตูดกลับปั๊บ มันจะไม่น่าเกลียดไปหน่อยเหรอวะ อยู่คุยกับคุณนายเขาหน่อยสิ”
“น้าโต๊ดกับพี่ติ่งไม่เห็นเหรอ ว่านายชิณจ้องจะเล่นงานฉันอยู่”
“คิดมาก ข้าก็เห็นเขาเอาใจเอ็งดี เขาอาจจะเลิกคิดไม่ดีกับเอ็งแล้วก็ได้” โต๊ดว่า
ตุ้งแช่หนับหนุน “ใช่ ไม่เหมือนคุณมิ้ว ดูรำคาญพี่ติ่งอย่างเห็นได้ชัด”
ติ่งหันหน้ามาเอาเรื่อง “อ้าวไอ้แช่ ไอ้น้องเวร พูดงี้หมายความว่าไงวะ”
โต๊ดรีบห้าม “พอๆ เอ็งสองคนหยุดทะเลาะกันเดี๋ยวนี้เลย ไม่งั้นข้าจะไล่กลับทั้งคู่” สองคนเงียบกริบ โต๊ดหันไปทางกะละแม “ไอ้แม เอ็งมาทำปั้นปึ่งชิ่งกลับบ้านแบบนี้ เขาจะคิดว่าเราจนแล้วหยิ่ง เกิดหมั่นไส้ บอกไล่ที่อีก จะซวยกันหมด”
“แต่ฉันอยากกลับบ้านนี่ ที่นี่มันทะแม่งๆ ยังไงก็ไม่รู้ คุณมิ้วก็จ้องฉันแปลกๆ”
กะละแมหนักใจ
เวลาเดียวกันชิณเดินหากะละแม เห็นอยู่ในสวนก็ยิ้มร้าย เดินเข้าไปหาทันที
กะละแมฟันธง
“เอางี้...ใครจะอยู่ก็อยู่ไป ฉันจะกลับก่อน”
กะละแมตั้งท่าจะเดินไป เสียงชิณก็ดังขึ้น
“ทำอะไรกันอยู่ ทำไมไม่เข้าไปในบ้าน”
โต๊ด ติ่ง ตุ้งแช่หันมา กะละแมชะงักเท้ากึก!
โต๊ดอึกอักก่อนตอบ “ก็...ก็...ชมสวนน่ะครับ พอดีกินอิ่มๆ เลยออกมาเดินสูดอากาศข้างนอกเปลี่ยนบรรยากาศครับ เอ่อ คุณชิณมีอะไรหรือเปล่าครับ”
“คุณแม่บอกว่ามีเรื่องจะคุยด้วย ท่านนั่งรออยู่ที่ห้องรับแขก”
“อ้อ...เหรอครับ งั้นพวกผมจะรีบไปเลยครับ ไปติ่ง ตุ้งแช่ ไอ้แม”
สามหนุ่มเดินไป
กะละแมยังนิ่งอยู่ “แต่ว่าฉัน...” แต่ยังไม่ทันจะได้บอกว่าจะกลับบ้าน ชิณเดินมาขวางกะละแมไว้
“สำหรับเธอ อยู่ที่นี่...ฉันขอคุยเป็นการส่วนตัว”
กะละแมชะงัก อึกอักไม่อยากอยู่ โต๊ด ตุ้งแช่ ติ่งหันมา
“หรือว่าไม่ไว้ใจฉัน”
โต๊ดรีบออกตัว “ไม่ใช่ครับ ไอ้แมมันจะไม่ไว้ใจคุณชิณทำไม” แล้วบอกกับกะละแม “ใช่ไหม...ไอ้แม เดี๋ยวเอ็งอยู่คุยกับคุณเขานะ” โต๊ดยัดเยียดสุดฤทธิ์ “ไปติ่ง ตุ้งแช่ เราไปคุยกับคุณนายกัน”
ติ่งกะตุ้งแช่รับ “จ้ะ” พร้อมกัน
โต๊ด ติ่ง ตุ้งแช่เดินไป กะละแมเรียกตามหลัง
“เดี๋ยวสิ น้าโต๊ด พี่ติ่ง ตุ้งแช่ รอฉันด้วย”
กะละแมจะอ้อมไปอีกทาง ชิณตามมาดักไว้
“ถ้าไม่ได้ทำอะไรผิด ก็ไม่เห็นต้องร้อนตัวเลยนี่ หรือว่าไม่กล้าเผชิญหน้ากับฉัน เพราะมีความผิดติดหลังอยู่!”
กะละแมเจอท้าแบบนี้เลยชะงัก แล้วหันกลับมาเผชิญหน้า
ด้านมิ้วเดินไปเดินมานั่งไม่ติดอยู่ในห้องรับแขก มองหาชิณกับกะละแมตลอด กิมเอ็งนั่งจิบน้ำชาอยู่กับฉายตะวัน
“เดินไปเดินมาทำไมคะคุณลูก เดินมากเดี๋ยวน่องปูดไม่สวยนะ”
“ก็มิ้วไม่อยากนั่งนี่คะคุณแม่ ไม่รู้ว่าพวกสำนักเจ้าแม่หายไปไหนกันหมด”
“ป้าให้ชิณไปตามหาอยู่จ้ะ สักพักก็คงมา”
ระหว่างนั้นโต๊ด ติ่ง ตุ้งแช่ก็เดินเข้ามา
“ขอโทษนะครับคุณนายที่ให้รอ พอดีพวกผมไปเดินเล่นในสวนกันน่ะครับ”
“แล้วนัง...เอ่อ...กะละแมล่ะ หายไปไหน” มิ้วพยายามคุมอารมณ์
“อ๋อ...คุณชิณบอกว่าจะขอคุยกับพี่แมเป็นการส่วนตัวครับ”
ฟังตุ้งแช่บอกสีหน้ามิ้วอึ้ง หะ...ส่วนตัว!
ด้านกะละแมร้อนตัวสุดๆ
“คุณมีอะไรก็รีบๆ พูดมา”
“ทำไม? อยู่กับฉันสองต่อสองแล้วกลัวเหรอ ที่จริงเธอไม่น่าจะกลัวฉันนะ ฉันน่าจะกลัวเธอมากกว่า เธอจะมาเสกหนังควายเข้าท้อง หรือจะมาทำเสน่ห์ใส่ฉันหรือเปล่าก็ไม่รู้”
“ทำเสน่ห์ใส่คุณเนี่ยนะ ทำไปก็เสียดายน้ำมันพรายเปล่าๆ ฉันไม่ทำให้โง่หรอก เอ้า...มีอะไรก็รีบๆ พูดมา ยืนตรงนี้นานๆ ฉันร้อน” กะละแมเฉไฉ
“โอเค...” ชิณเว้นจังหวะ “ก็ไม่มีอะไรมาก ฉันแค่อยากจะขอบใจที่เธอช่วยฉันไว้”
กะละแมหลิ่วตาไม่ไว้ใจ ชิณเห็นก็รู้ทัน
“ฉันขอบใจเธอจริงๆ ที่ช่วยฉันไว้ จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม อย่างน้อยฉันก็คิดว่าควรจะขอบใจเธอ”
“ไม่น่าเชื่อ คนอย่างคุณจะรู้จักบุญคุณคนกับเขาด้วย นึกว่าดีแต่รังแกคนจน”
“แต่...” น้ำเสียงชิณเข้มขึ้น “เรื่องที่เธอช่วยฉัน ก็ไม่เกี่ยวกับเรื่องที่ดินในซอยมหาลาภ เพราะไม่ว่ายังไงฉันก็ต้องไล่ชาวบ้านออกอยู่ดี ครั้งนี้คนที่ยกเลิกการไล่ที่คือแม่ฉัน ไม่ใช่ฉัน ถึงเธอจะหลอกแม่ฉันสำเร็จ แต่เธอหลอกฉันไม่ได้ วันนี้ฉันจะปล่อยเธอไปก่อน...แต่ไม่ใช่ตลอดไป”
ชิณมองกะละแมตาดุจริงจัง...กะละแมแอบหวาดหวั่นในใจ
ส่วนที่ห้องรับแขกโต๊ดพล่ามเรื่องกะละแมให้ฉายตะวันและกิมเอ็งฟัง
“ตอนแรกเจ้าแม่ก็จะประทับร่างผมเองนี่แหละครับ แต่ว่าดวงชงกัน วันเกิดผมคลาดวันกันนิดหน่อย ท่านก็เลยเลือกไปประทับร่างกะละแมแทน”
“จริงเหรอพ่อ” ตุ้งแช่สงสัยจริงๆ
“ก็จริงสิวะ ตอนนั้นเอ็งยังเด็ก ไม่รู้เรื่องหรอก” โต๊ดส่งสายตาอาฆาต...ไอ้ลูกเวร
ด้านมิ้วนั่งกระสับกระส่าย มองหาแต่ชิณกับกะละแม มิ้วทนไม่ได้ ลุกขึ้นยืน
“มิ้วจะไปตามพี่ชิณกับกะละแมนะคะ หายไปนานแล้ว ไม่รู้จะคุยอะไรกันนักหนา” หึงจนหลุดวีน “เดี๋ยวมิ้วมานะคะ”
“ให้ผมไปเป็นเพื่อนไหมครับ” ติ่งลุกขึ้น
“ไม่ต้อง ฉันไม่ต้องการเพื่อน”
มิ้วเดินไปเลย...ติ่งมองตาม เสียดาย ฉายตะวันหันมาทางตุ้งแช่
“หนูชื่ออะไร...เรียนชั้นไหน”
“กำลังจะจบ ม. 3 ครับ”
“แล้วจะเรียนต่อ ม. 4 หรือสายอาชีพจ๊ะ”
“เอ่อ...” ตุ้งแช่อึกอัก “ยังไม่ทราบครับ พ่อบอกว่าต้องดูก่อนว่าจะมีเงินส่งหรือเปล่า”
โต๊ดยิ้มเจื่อน “แหะๆ ... ตอนนี้อะไรๆ มันก็แพงน่ะครับ”
“เอางี้...ลองมาขอทุนที่สมาคมฉันนะ ฉันจะพิจารณาให้เป็นพิเศษ”
ตุ้งแช่ยกมือไหว้ ยิ้มแฉ่งด้วยความดีใจ “ขอบคุณครับ”
ทุกคนดีใจ กิมเอ็งเริ่มเอะใจ ในใจริษยาเล็กๆ
ด้านชิณรุกกะละแมเดินหน้าจนหลังชนฝา กะละแมพยายามจะเถียง
“ฉันไม่ได้หลอกแม่คุณ ที่คุณนายยกเลิกการไล่ที่ เพราะท่านมีเมตตา ฉันไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น”
“อยู่กันแค่สองคนแบบนี้ ไม่ต้องมาแอ๊บเป็นคนดี แค่อ้าปากฉันก็เห็นไส้ติ่งเธอแล้ว ไม่ต้องทำมาเป็นสร้างภาพ ฉันไม่เชื่อ”
ระหว่างนั้นมิ้วเดินมาพอดี เห็นชิณยืนเกือบชิดกะละแมในขณะที่หลังพิงฝาอยู่ ดูห่างๆ เหมือนจะโรแมนติกชอบกล มิ้วโกรธประสาทเต้นตุบๆ รีบเดินเข้าไปหาทันที
“พี่ชิณ !! มาคุยอะไรกันอยู่ตรงนี้คะ ทำไมไม่เข้าไปคุยกันในบ้าน”
ชิณกับกะละแมหันมา
“ไม่เป็นไร พี่คุยจบพอดี” ชิณกำชับกะละแม “หวังว่าเธอจะเข้าใจในสิ่งที่ฉันพูด”
ชิณเดินไป...มิ้วหันขวับมาทางกะละแม...กะละแมสะดุ้ง
“พี่ชิณคุยอะไรกับเธอ”
“ก็เรื่องทั่วไป ไม่มีอะไร”
“ฉันไม่รู้ว่าพี่ชิณคุยอะไรกับเธอ แต่รู้ไว้ด้วยว่า ฉันกับพี่ชิณเป็นมากกว่าคนรู้จัก!!! ถึงเธอจะเป็นร่างทรงเจ้าแม่ แต่ตอนที่เจ้าแม่ไม่ได้ประทับ เธอก็เป็นแค่นังเด็กผู้หญิงจนๆ คนนึง พี่ชิณเค้าไม่สนใจเธอหรอก จำไว้”
มิ้วสะบัดหน้าเดินไป กะละแมงง
เวลาเดียวกันโทฟู่ลดหนังสือตำราแพทย์ลง แล้วก็ตอบหน้านิ่งๆ
“ไอ้แมไม่ได้อยู่ที่นี่”
โทฟู่นั่งอ่านหนังสือเรียนอยู่หน้าร้าน ไม่มีลูกค้า จักกายยืนอยู่ตรงหน้าท่าทางแปลกใจ
“คุณรู้ได้ยังไงว่าผมจะมาหากะละแม”
“ทุกครั้งที่คุณมาหาฉัน ก็มีแต่เรื่องไอ้แมไม่ใช่เหรอ” โทฟู่น้อยใจโดยไม่รู้ตัว
จักกายยิ้ม “เออ..ฉลาด แหะ”
โทฟู่ยิ้มแห้งๆ ...ฉันควรภูมิใจใช่ไหม?
ระหว่างนั้นอาม่าเดินเข้ามาในร้านท่าทางเหนื่อย เหงื่อซก
“เฮ้อ...ทำไมมันร้อนอย่างนี้ เดินออกไปข้างนอกแป๊บเดียว กลับมาดำเลย” อาม่าบ่นตามประสา
จักกายยกมือไหว้ “อาม่าสวัสดีครับ”
“สวัสดีๆ” มองหน้าอีกทีแล้วก็จำได้ “อ๋อ...เธอที่เคยโกหกเรื่องมาหาบ้านเช่า แล้วก็มาหลอกไอ้ฟู่ให้พาไปหาเจ้าแม่นี่ ม่าจำได้ แล้วนี่มีอะไร? จะมาหลอกใครเค้าอีกเหรอ?” อาม่าถามแบบจริงใจ พูดเหมือนด่า แต่ก็ฟังดูเหมือนไม่ได้ด่า ทำเอาจักกายงง
“เอ่อ” จักกายอึ้งหันมาทางโทฟู่ “คุณบอกอาม่าเรื่องนี้ด้วยเหรอ”
“ฉันบอกอาม่าทุกเรื่อง”
“เอาน่า...คนเราไม่มีใครดีไปหมดทุกอย่าง มันก็ต้องมีด้านเลวๆกันบ้าง ไม่ต้องคิดมาก ม่ารับได้” อาม่ายิ้มกว้าง
จักกายสะดุ้งโหยง เหมือนโดนด่า โทฟู่ขำคิกคัก จักกายหันมามองโทฟู่แล้วก็ยิ้มแห้งๆ รู้สึกเหมือนโดนด่าว่าเลวยังไงไม่รู้
โทฟู่มองหน้าแล้วก็ย้อน “เอ้อ...ฉลาดแหะ”
จักกายสะอึก...อ้าว...โดนย้อนอีกแระ
โทฟู่ลอยหน้าสะใจแล้วก็หันมาทางอาม่า
“แล้วนี่ม่าไปไหนมา”
อาม่าตาโต ทำหน้าสอดรู้สอดเห็น “ม่าไปสืบเรื่องเจ้าของที่ นี่ม่ารู้แล้วนะ ที่เค้าให้เราอยู่ต่อก็เพราะเค้าได้ที่สร้างห้างใหม่แล้ว”
จักกายลืมตัว “ที่ไหนครับ”
โทฟู่หันมามองจักกายทำนองว่าจะมาสนใจฟังทำไม จักกายไม่สนใจตั้งใจฟังต่อ
อาม่าตอบด้วยความมั่นใจ “ก็ที่ตรงข้ามซอยนี่ไง กำลังก่อสร้างกันอยู่เลย อีกไม่นานก็คงจะเสร็จแล้ว” จักกายฟังอาม่าแล้วก็อมยิ้ม “ข่าวว่าห้างใหญ่มาก...หรูสุดๆ ห้างเนี่ยเป็นของตระกูลคุณชิณ”
จักกายตอบยิ้มๆ “ผมว่าข่าวอาม่าผิดแล้วครับ”
อาม่า โทฟู่หันมางงๆ
“ห้างที่อยู่ตรงข้ามซอยมหาลาภ ไม่ใช่ของตระกูลมหาทรัพย์ไพศาล”
โทฟู่เลิกคิ้ว “แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่าไม่ใช่”
“ผมรู้..เพราะผมเป็นเจ้าของห้างสรรพสินค้าที่กำลังก่อสร้าง เป็นของผมเอง”
จักกายยิ้มอย่างมั่นใจ โทฟู่อึ้งไป อาม่าอึ้งด้วย....หะ?
ภาพต่างๆ ที่เห็นในห้องทำงานของจักกาย ภาพแบบห้าง รายงาน เป็นการยืนยันว่าสิ่งที่จักกายพูด
มันน่าจะเป็นความจริง
โทฟู่มองจักกายอีกที....ผู้ชายคนนี้มีอะไรที่ซ่อนไว้เยอะจริงๆ
ในมือติ่งถือถุงอาหารมากมาย โต๊ด ตุ้งแช่...กะละแมมองด้วยความอาย ชิณยืนส่งอยู่ข้างหลัง ยังคงจับตามมองกะละแมอยู่ห่างๆ
“เดี๋ยวฉันจะให้คนรถไปส่ง” ฉายตะวันกำชับตุ้งแช่ “ส่วนเธอ...อย่าลืมเรื่องขอทุนที่เราคุยกันไว้”
ตุ้งแช่ยกมือไหว้ “ขอบคุณมากครับ”
“หนูกะละแม ฉันขอบใจมากนะ ที่ช่วยลูกชายฉันไว้”
กะละแมยิ้มเขินๆ “ด้วยความยินดีค่ะคุณนาย”
มิ้วมองชิณกับกะละแมไม่วางตา ส่วนติ่งมองมิ้วตาเยิ้มเหมือนหมามองเครื่องบิน
กิมเอ็งหันมาเห็นสายตาติ่งที่มองมิ้วก็แปลกใจ...ติ่งยิ้มหวานให้มิ้ว กิมเอ็งมองแล้วก็คิด กะละแมรู้สึกอึดอัดกับสายตาชิณและมิ้ว
กะละแมจึงตัดบท “หนูขอตัวกลับก่อนนะคะ สวัสดีค่ะ” ยกมือลาเลย “หนูต้องขอบคุณคุณนายมากนะคะที่เลี้ยงข้าวพวกเรา”
ฉายตะวันยิ้มรับ ชิณมองพร้อมกับเบ้หน้า “โถ ทำเป็นพูดดี”
ติ่งยังคงมองมิ้ว...ซึ่งมิ้วรำคาญมาก...ตุ้งแช่ก็รำคาญพอกัน
“พี่ติ่ง”
ติ่งไหว้ทั้งที่ถืออาหารเต็มมือ
“ลาล่ะครับ”
ติ่งเดินไปแต่ตายังคงมองมิ้วจนชนประตูรถเบนซ์เข้าให้...แต่ยิ้มกลบเกลื่อนก่อนเดินขึ้นรถไปด้วยความเจ็บ
ชิณยังคงมองกะละแมไม่วางตา มิ้วมองชิณอย่างไม่วางใจ
ติดตาม "เจ้าแม่จำเป็น" ตอนที่ 5