รากบุญ ตอนที่ 4
ลาภิณพยายามพูด “ผมว่า...”
เจติยาแย่งพูดขึ้นมาด้วยสีหน้านิ่ง “ตกลงค่ะ ดิฉันขอลาออกตั้งแต่วันนี้เลยก็แล้วกัน”
ลาภิณทำหน้าเสียดาย เขามองหน้าเจติยา
“หุ้นทั้งหมดที่เธอได้ไปตามพินัยกรรมก็ต้องกลับมาเป็นของคุณต้นนะยะ” ปริมรีบบอก
เจติยาตอบหน้านิ่ง “ฉันทราบค่ะ”
ปริมชำเลืองมองชูจิตแล้วทั้งสองก็ยิ้มให้กัน
ชูจิตปั้นหน้าเป็นปกติ “คุยกันเข้าใจง่ายๆ แบบนี้ก็ดี”
เจติยาย้ำ “แต่ลาออกเองไม่ใช่ไล่ออกนะคะ ดิฉันไม่อยากให้เสียประวัติ”
“แค่ลูกจ้างชั่วคราวไม่น่ามีปัญหาอะไรหรอกมั้ง” ชูจิตยิ้มหยันอยู่ในที
ลาภิณหน้าเครียดเพราะพูดอะไรไม่ออก
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ดิฉันขอกลับไปทำงานต่อให้เสร็จนะคะ” เจติยาบอก
“แวะฝ่ายบุคคลซะเลยนะจ๊ะ จะได้ไม่ต้องขึ้นๆลงๆให้เสียเวลา” ปริมยิ้มเย้ยหยัน
เจติยาเหล่มองปริมก่อนจะยกมือไหว้ลาชูจิตแล้วเดินออกไปจากห้องโดยไม่มองลาภิณเลยแม้
แต่น้อย ลาภิณมองตามเจติยาไปด้วยความรู้สึกเห็นใจและเสียดาย ปริมและชูจิตสบตากันก่อนจะยิ้มพอใจ ลาภิณไม่พอใจจึงเดินออกไปจากห้องทำงานของชูจิต เขากระชากประตูแรงๆ ด้วยท่าทางหัวเสีย ปริมและชูจิตมองตามลาภิณไป ปริมเดินตามลาภิณออกไปติดๆ
ชูจิตรีบลุกตามมากำชับ “ใจเย็นๆ ค่อยๆ พูดนะหนูปริม” ชูจิตมองตามไปด้วยความเป็นห่วง
ลาภิณเดินมากระแทกตัวลงนั่งที่มุมพักผ่อนของบริษัทเพื่อสงบสติอารมณ์ ปริมเดินตามหาจนเจอ
ปริมโมโหและน้อยใจ “นี่คุณไม่พอใจปริม เพราะแม่นั่นเหรอคะ”
ลาภิณเคือง “ผมต้องเสียพนักงานเก่งๆ ไปคนนึงก็เพราะความขี้หึงไม่เข้าท่าของคุณ”
ปริมน้อยใจ “มีเงินซะอย่างจะหาพนักงานเก่งแค่ไหนก็หาได้”
ลาภิณใส่เป็นชุด “งั้นคุณช่วยไปหามาให้ผมหน่อยเถอะ เลือกไอ้ที่ทำงานกับศพเน่าเหม็นทั้งวันได้ไม่รังเกียจ แล้วก็ไม่ปอดแหกอยู่เวรดึกๆ คนเดียวได้ ไม่กลัวผีขึ้นสมอง ที่สำคัญ มีความซื่อสัตย์กับงาน รักบริษัท และสำคัญเหนืออื่นใด คือไม่กลัวอิทธิพลของน้าพิสัย จนยอมโดนซื้อตัวไปเป็นพวกได้ง่ายๆ”
ปริมอึกอักเพราะรู้ดีว่าคนแบบนี้หายากจริงๆ
ลาภิณเซ็งสุดๆ เขาตั้งท่าจะลุกเดินเลี่ยงไป
ปริมรีบเข้าไปดึงแขนลาภิณไว้ “เดี๋ยวค่ะต้น” ปริมมีเสียงอ่อนลง “ที่ปริมทำไปเพราะปริมหวงคุณนะคะ ปริมหวงแฟนตัวเอง มันผิดด้วยเหรอคะ”
ลาภิณถอนใจ “การเป็นแฟนของเรา มันพัฒนามาจากความเป็นเพื่อนนะปริม แล้วตอนที่เราเป็นเพื่อนกัน เรามีความสุขมากกว่าตอนนี้เยอะ ถ้าจะ ต้องหวาดระแวงไม่ไว้ใจกันแบบนี้ กลับไปเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม ผมว่าน่าจะมีความสุขกว่า”
ปริมอึ้งไป เธอเสียใจจนน้ำตาคลอ ลาภิณเดินเลี่ยงไปอย่างเซ็งๆ ปริมปาดน้ำตาออกก่อนจะมีแววตาโกรธ เธอพาลโกรธเจติยามากขึ้นอีกเพราะคิดว่าเจติยาเป็นต้นเหตุ
พิสัยที่แอบดูอยู่ยิ้มสะใจที่เห็นทั้งคู่แตกคอกัน เขา จับตามองปริมอย่างมีแผน
เจติยากำลังเก็บของใช้ส่วนตัวเพื่อเตรียมจะกลับบ้าน ขณะที่ทวีและโอเอ้คอยห้ามปราม
“ใจเย็นๆก่อนพี่เจ งานดีเงินดีอย่างงี้ไม่ได้หาง่ายๆ นะ กลับไปขอโทษคุณชูจิตแล้วขอทำงานต่อเถอะพี่”
“นั่นสิหนูเจ เดี๋ยวลุงช่วยพูดให้อีกคน” ทวีบอก
“ไม่มีประโยชน์หรอกค่ะลุง เค้าจงใจหาเรื่องเอาเจออกอยู่แล้ว หมดเรื่องนี้ เดี๋ยวก็หาเรื่องใหม่ เรื่องของเรื่องคืออยากได้หุ้นคืน ผลประโยชน์ล้วนๆ” เจติยาปลง
“ถ้าพี่เจออกไป แล้วจะเอาเงินที่ไหนใช้ล่ะครับ” โอ้เอ้ถาม
“แม่พี่หายป่วยแล้ว ไม่ได้ใช้เงินมากเหมือนก่อนแล้วล่ะ ส่วนเรื่องนที พี่ว่าใครทำผิดก็ต้องรับผิด มันถึงเวลาแล้วที่นทีจะต้องได้รับบทเรียนซะบ้าง”
ทันใดนั้นลาภิณก็เดินเข้ามาในห้อง เจติยาหันไปมองลาภิณ ต่างคนต่างมองกันนิ่งเพราะไม่รู้จะพูดอะไรเหมือนกัน
ลาภิณรู้สึกผิด “ขอโทษนะเจ เป็นความผิดผมเอง เลยทำให้คุณต้องเดือดร้อนหนักยิ่งกว่าเดิม”
“ช่างเถอะค่ะ อีกไม่กี่เดือนเจก็จะจบแล้ว เดี๋ยวก็หางานใหม่ได้”
“แต่...”
เจติยาตัดบทด้วยการหันไปไหว้ทวี “เจไปก่อนนะคะลุง เอาไว้เจจะโทรมาหานะคะ” เจติยาหันไปพูดกับโอ้เอ้ “พี่ไปก่อนนะโอ้เอ้”
เจติยาถือกล่องใส่ของเดินออกจากห้องไป ลาภิณมองตามแล้วก็ยิ่งรู้สึกไม่ดีเข้าไปใหญ่ที่ตัวเองมีส่วนทำให้เจติยาต้องตกงาน
เจติยาเดินถือของขึ้นบันไดบ้านมาด้วยสีหน้าเซื่องซึม เธอจะเดินไปเข้าห้องนอนก็เห็นประตูห้องนอนแม่เปิดอ้าอยู่ เจติยามองเข้าไปเห็นมยุรีกำลังค้นหาของบางอย่างอยู่
“หาอะไรคะแม่”
มยุรีค้นเจอกล่องใส่แหวนพอดี “เจอแล้ว ดีใจจังเลย”
มยุรีเปิดกล่องออกแล้วหยิบแหวนทองวงเล็กๆออกมาจากกล่อง
เจติยาเดินเข้ามาดู “นี่มันแหวนแต่งงานของแม่นี่คะ”
“จ้ะ” มยุรีมีสีหน้าขรึมลง “ช่วงนี้ทองราคาสูง แม่ว่าจะเอาไปจำนำ รวมกับเงินที่มีอยู่ คงพอจะช่วยนทีได้”
เจติยาโมโหจนทนไม่ไหวเลยดึงแหวนออกมาจากมือแม่
มยุรีตกใจ “เจ เอาแหวนแม่คืนมานะ”
เจติยาโมโห “ไม่ค่ะ นี่มันแหวนแต่งงานของแม่นะคะ เป็นแหวนที่พ่อให้แม่ แม่จะเอาไปจำนำใช้หนี้บอลให้ไอ้ที เจไม่ยอมหรอกค่ะ”
มยุรีน้ำตาคลอ “แล้วเจจะยอมให้น้องตายเหรอ ถึงแหวนจะสำคัญยังไง มันก็ไม่สำคัญไปกว่าชีวิตของนทีหรอกนะลูก”
เจติยาโมโห “มันไม่ถึงตายหรอกค่ะแม่ พวกมันก็แค่ขู่ ไม่ใช่ว่าเจไม่ห่วงน้องนะคะ แต่ทุกวันนี้นทีจะเสียคนอยู่แล้ว เรียนก็ไม่เรียน แถมยังเล่นพนันบอลอีก ถ้ายังขืนตามใจ ออกรับแทนนทีไปซะทุกเรื่องแบบนี้อีกไม่นาน ก็คงต้องไปเยี่ยมนทีในคุก”
มยุรีน้ำตาคลอ “แต่ถึงยังไงแม่ก็ต้องช่วยนที แม่กลัวน้องจะเป็นอันตราย ถ้าเจไม่ยอมให้แม่ช่วยน้อง ก็ฆ่าแม่ซะเลยดีกว่า แม่จะได้ไม่ต้องรู้ต้องเห็นอะไรอีก” มยุรีร้องไห้ออกมาด้วยความกดดันและเป็นห่วงลูกชาย
เจติยาเห็นแม่ร้องไห้หนักขึ้นก็ใจอ่อนอดสงสารแม่ไม่ได้เลยตัดใจยื่นแหวนคืนให้แม่ มยุรีรีบรับแหวนมา แล้วก็ซับน้ำตา เจติยากลุ้มใจหนักเพราะตัวเองตกงานแถมน้องก็หาเรื่องไม่เว้นแต่ละวันอีก เธอเดินออกไปจากห้องนอนแม่อย่างหัวเสีย
กล่องรากบุญเปล่งแสงเรืองรองพร้อมกับมีเสียงหัวเราะลึกลับดังขึ้นอย่างน่าสะพรึงกลัวเหมือนสาสมใจกับปัญหาที่เกิดขึ้นกับเจติยา เพราะหมายความว่าเจติยาจะต้องอธิษฐานขอพรกับกล่องไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง
เจติยามาคุยกับนทีด้วยสีหน้าเคร่งเครียดที่สนามข้างบ้านตอนหัวค่ำ
นทีหงุดหงิด “นี่บ้านเรามันกระจอกขนาดนี้เลยเหรอะ เงินแค่สองหมื่นก็ไม่มี”
เจติยาพยายามระงับอารมณ์ “ใช่ ฉันกับแม่ถึงได้เจียมตัว ไม่เหมือนแก”
นทีโมโห “ถ้าพี่จะมาซ้ำผมยังงี้ เราก็ไม่มีอะไรต้องคุยกันแล้ว...รำคาญ” นทีจะเดินไป
เจติยาเดินตามไปพูดแล้วจ้องนทีเขม็ง “แม่ต้องเอาแหวนแต่งงานไปจำนำเพื่อหาเงินให้แก”
นทีชะงักไป
“ดีไม่ดี แม่อาจจะตัดใจขาย เพื่อให้ได้เงินพอ...แกเห็นแก่ตัวมากเลยรู้มั้ยนที”
นทีหน้าเสีย แต่ก็ระเบิดอารมณ์ออกมาด้วยความกลัว “ผมก็ไม่อยากให้แม่ต้องทำขนาดนั้นหรอก แต่ถ้าไม่มีเงินไปให้พวกมัน ผมก็ต้องตาย พี่ต้องการยังงั้นใช่มั้ย”
“พูดบ้าๆ พี่ที่ไหนจะอยากเห็นน้องตัวเองตาย” เจติยาจ้องหน้า “ฉันจะรับผิดชอบหนี้ก้อนนี้แทนแกเองก็ได้”
นทีอึ้งเพราะนึกไม่ถึง
“แต่คงต้องขอผัดผ่อนมันก่อน ตอนนี้ฉันยังหาเงินไม่ทันหรอก”
นทีมีท่าทีอ่อนลงเพราะซึ้งใจพี่สาว “แล้วพวกมันจะยอมเหรอพี่เจ พวกมันแต่ละคนโหดๆทั้งนั้นเลย โดยเฉพาะไอ้โชค หัวหน้าพวกมัน” นทีมีสีหน้ากลัวๆ
“พี่จะเจอตัวหัวหน้ามันได้ที่ไหน” เจติยามีสีหน้าฮึดสู้ขึ้นมา
ลูกสนุ๊กเกอร์ถูกแทงลงหลุม โชคกำลังแทงสนุ๊กเกอร์อยู่ในร้าน โดยมีเจติยายืนอยู่ใกล้ๆ
“กล้ามากนะ เงินไม่จ่าย ยังมาขอผัดหนี้ฉันถึงที่อีก” โชคว่า
“แล้วคุณตกลงมั้ยล่ะ ถ้าคุณตกลง ฉันสัญญาว่าภายในสองอาทิตย์จะเอาเงินสองหมื่นมาให้” เจติยาบอก
โชคหันมามองหน้าเจติยา “แล้วถ้าฉันไม่ตกลงล่ะ”
เจติยายิ้มเล็กน้อย “คุณไม่ทำแบบนั้นหรอก เงินแค่สองหมื่น คุณจะเล่นงานน้องชายฉันให้เสี่ยงมีปัญหากับตำรวจไปทำไม ในเมื่อฉันยอมรับใช้หนี้แทนแล้ว คุณก็น่าจะพอใจไม่ใช่เหรอ”
โชคยิ้มขำ “ฉลาดพูดดีนี่..ก็ได้ แต่เธอต้องมีดอกเบี้ยให้ฉัน ไม่งั้นถ้าคนอื่นทำตามเธอหมด ฉันก็ขาดทุนป่นปี้น่ะสิ”
เจติยาเซ็งแต่ก็ยอมหยิบเงิน1พันบาทออกมายื่นให้
“ฉันมีแค่นี้แหละ หมดตัวแล้ว”
โชครับเงินมา “สองอาทิตย์ ฉันให้แค่นั้น ถึงเวลาเธอต้องเอามาให้ฉันสองหมื่น...สอง”
เจติยาโมโห “ดอกเบี้ยฉันก็ให้แล้ว ยังจะคิดเพิ่มอีกเหรอ”
“พันเดียวเนี่ยนะ” โชคยื่นเงินหนึ่งพันคืนให้เจติยา “ถ้าไม่เอา ก็เอาคืนไป”
เจติยาเจ็บใจที่โดนหักคอ แต่ก็ไม่กล้ารับเงินคืนเพราะเป็นห่วงน้องเลยสะบัดหน้าเดินออกไป โชคมองตามแล้วยิ้มเยาะก่อนจะยัดเงินใส่กระเป๋าแล้วแทงสนุ๊กเกอร์ต่อ
ตำรวจกำลังนั่งทำงานให้ชาวบ้านอยู่ที่สถานีตำรวจ เจติยาและนิษฐากำลังนั่งคุยกัน ระหว่างรอการแจ้งความให้เด็กในมูลนิธิของนิษฐา โดยมีเด็กนั่งหน้าจ๋อยๆ อยู่ไม่ห่างนัก
นิษฐาคุยกับเจติยา “เงินแกก็ไม่มี คนอื่นให้ยืมเงิน แกก็ทำหยิ่งไม่เอาซะอีก แล้วจะหาเงินที่ไหนไปใช้หนี้ยะ”
“เอียดหางานให้ฉันทำแล้วล่ะ แล้วฉันจะช่วยแม่ทำของขายเพิ่มขึ้นอีก หลายๆทางคงรวมเงินได้ทัน...แกห้ามบอกเรื่องนี้กับพี่หมวดเด็ดขาดเข้าใจมั้ย” เจติยากำชับ
“ทำไมล่ะ ให้ตำรวจไปจับมันซะเลย”
“ถ้าพลาดล่ะ คราวนี้ไอ้ทีตายแน่ๆ”
“ทำปากเก่ง จริงๆ ก็ห่วงน้อง” นิษฐาค้อนใส่
นวัชเดินออกมากจากห้องแล้วตรงเข้ามาหาเจติยาและนิษฐา เจติยาทำหน้าดุกำชับนิษฐาซ้ำไปอีกที
“เรียบร้อยแล้วฐา พาน้องกลับไปพักเถอะ” นวัชบอก
นิษฐายิ้มแย้ม “ขอบคุณค่ะพี่หมวด”
เด็กในมูลนิธิยกมือไหว้นวัช นวัชรับไหว้
นวัชหันไปยิ้มให้เจติยา “วันนี้เจไม่ต้องไปทำงานแล้วใช่มั้ย”
“ค่ะ”
“เดี๋ยวพี่ออกเวรแล้ว เราไปหาอะไรทานกันนะ”
เจติยาอึกอักเพราะไม่อยากไปแต่ก็เกรงใจนวัช
“ฝนตกไม่ทั่วฟ้า” นิษฐาค้อนใส่
“ฐาต้องไปส่งน้องเค้าไม่ใช่เหรอ” นวัชถาม
“แหม แค่ส่งขึ้นแท็กซี่ น้องเค้าไม่ใช่เบบี๋ซะหน่อย”
ทันใดนั้น ตำรวจลูกน้องของนวัชก็เดินเข้ามาหาด้วยสีหน้าเครียด
“หมวดครับ มีคนโทรแจ้งว่ามีการฆ่ากันตายที่ร้านสนุ๊กซอยห้า”
เจติยานึกแล้วก็รู้ว่าคือร้านที่เพิ่งไปมา “ร้านสนุ๊กซอย 5”
“ไอ้โชค โต๊ะบอลที่เรากำลังจับตาดูอยู่ ตายคาที่เลยครับ”
เจติยาตกใจเพราะเธอเพิ่งจะพบโชคเมื่อคืนนี้เอง
เจติยาและนิษฐาเดินแหวกผู้คนที่กำลังมุงดูศพของโชค พอเข้ามาถึงจุดเกิดเหตุก็เห็นนวัชกับตำรวจจำนวนหนึ่งกำลังตรวจศพโชคและที่เกิดเหตุอยู่ พร้อมกับกันคนไม่ให้เข้ามาทำลายหลักฐาน
นิษฐากลัว “ไม่รู้แกจะตามมาทำไม ดูซิ น่ากลัวจะตาย”
“ก็ฉันอยากรู้นี่ ว่าใช่นายโชคเดียวกันรึเปล่า” เจติยาบอก
เจติยาชะเง้อมองเห็นหน้าโชคก็ตกใจมากเพราะใช่โชคคนเดียวกันจริงๆ
นวัชเห็นเจติยาเดินเข้ามาหาก็เอ่ยถาม “ตามมาทำไมเจ”
เจติยามีสีหน้าอยากรู้ “ตกลงเค้าตายเพราะอะไรคะ”
“เท่าที่ดูคร่าวๆ น่าจะถูกมีดแทงจากทางด้านหลัง ตายไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ แต่คงต้องส่งให้นิติเวชตรวจอย่างละเอียดอีกที”
“จับตัวคนร้ายได้มั้ยคะ” นิษฐาถาม
นวัชส่ายหน้า “ท่าจะยาก นายนี่มีศัตรูเป็นบัญชีหางว่าวเลย ทั้งเปิดโต๊ะบอล เป็นเจ้ามือหวยเถื่อน แล้วยังออกเงินกู้นอกระบบอีก ศัตรูเพียบ”
นิษฐาพยักหน้ารับ “คนแบบนี้ก็มักจะลงเอยอย่างงี้แหละ ออกไปกันเถอะเจ เกะกะพี่หมวดเค้าทำงาน”
นิษฐาจับแขนเจติยาพาเดินเลี่ยงออกไป แต่เจติยากลับเดินไปชนคนๆ หนึ่งเข้าอย่างจัง
“อุ๊ย ขอโทษค่ะ”
เจติยามองหน้าคนที่เธอชนแล้วก็ต้องตกใจจนสะดุ้งเฮือก เมื่อเห็นว่าคนๆ นั้นคือโชค โดยวิญญาณของโชคมาในสภาพปกติแต่หน้าซีดเผือด
“บอกความจริง” โชคจ้องเจติยาเขม็ง
เจติยาหลับตาปี๋ก่อนจะลืมตามองอีกครั้งก็ไม่เห็นวิญญาณโชคแล้ว เจติยากวาดตามองหาแต่ก็ไม่เห็นเพราะถูกนิษฐาลากตัวออกไป
ลาภิณ ปริม และพ่อปริมกำลังนั่งกินข้าวไปคุยกันไปด้วยสีหน้ายิ้มแย้มในร้านอาหารสุดหรู
ปริมตักอาหารให้พ่อด้วยท่าทียิ้มแย้ม “ทานเยอะๆนะคะคุณพ่อ ตั้งแต่รับตำแหน่งรัฐมนตรี คุณพ่อผอมไปเยอะเลยนะคะ”
พ่อปริมยิ้มรับ “คนเค้าดูถูกว่าความสามารถไม่มี ก็ต้องพิสูจน์ให้เค้าเห็น แต่ถ้าอยากช่วยเสริมดวงให้พ่อ” พ่อปริมมองลาภิณนิดนึง “หนูก็รีบมีข่าวมงคลให้พ่อเร็วๆ สิปริม”
ปริมยิ้มเขิน
“คงอีกนานล่ะครับคุณลุง” ลาภิณบอก
ปริมยิ้มค้างแล้วหน้าเจื่อนลงไปทันที
ลาภิณพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “งานที่บริษัทผมยังยุ่งๆ อยู่เลย”
เวลาผ่านไป ปริมพูดอย่างไม่พอใจ ขณะที่ทั้งคู่เดินมาที่ลานจอดรถด้วยกัน “ทำไมคุณถึงตอบพ่อปริมไปยังงั้นล่ะคะ”
“จะให้ผมโกหกพ่อคุณรึไง” ลาภิณย้อนถาม
ปริมและลาภิณเดินมายืนคุยกันที่ลานจอดรถ
ปริมหงุดหงิดเพราะไม่สบอารมณ์)
“งานผมยังไม่ลงตัว ส่วนคุณเองก็ยังชอบปาร์ตี้สนุกกะเพื่อนฝูงอยู่เลย เราสองคนยังไม่พร้อมมีชีวิตครอบครัวตอนนี้หรอก”
ปริมโมโห “ทำไมจะไม่พร้อม ปริมเที่ยวก็เพราะรอเวลาเป็นแม่บ้านให้คุณอยู่นี่ล่ะ เราเป็นเพื่อนกันมาตั้งนานจนรู้ใจทุกอย่าง เราเข้ากันได้ทุกเรื่อง ไม่เคยมีปัญหาอะไรเลย” ปริมค้อน “เว้นซะแต่คุณจะมีคนอื่น”
ลาภิณถอนใจแล้วส่ายหน้า “อย่าเพิ่งคุยกันเลย ผมเหนื่อยจะทะเลาะผมมีงานต้องใช้สมองรอให้สะสางอีกเยอะ”
ลาภิณเดินไปเปิดประตูรถเพื่อให้ปริมเข้าไปนั่ง
ปริมโมโห “ไม่ต้องค่ะ ปริมกลับเองได้”
ลาภิณอ่อนใจเลยปิดประตูรถแล้วเดินอ้อมไปที่นั่งคนขับก่อนจะขับรถออกไปทันที ปริมมองตามด้วยความเจ็บใจที่ลาภิณไม่ยอมง้อเธอมากกว่านี้
ลาภิณเสร็จงานของตนจึงเดินลงมาดูงานที่ห้องแต่งศพก่อนกลับบ้านในตอนค่ำ ทันใดนั้นเขาก็เห็นโอ้เอ้ร้องโวยวายพร้อมวิ่งเตลิดออกมาจากห้องแต่งศพ
โอ้เอ้ตกใจมากจนมาเจอลาภิณ “คุณลาภิณ” โอ้เอ้ยกมือไหว้ด้วยท่าทางยังตื่นกลัว
“เป็นอะไร”
เสียงทวีดังขึ้น “เอ็งจะไปไหนไอ้โอ้เอ้”
ทวีทำหน้าเซ็งปนรำคาญเดินตามออกมา แล้วเขาก็ชะงักเมื่อเจอลาภิณ
“อ้าวคุณลาภิณ”
โอ้เอ้เดินไปหลบเยื้องๆหลังลาภิณ ทวีจ้องเขม็งไปที่โอ้เอ้
ลาภิณแปลกใจ “เกิดอะไรขึ้นเหรอลุง”
“ไม่มีอะไรหรอกครับคุณต้น โอ้เอ้มันกลัวไม่เข้าท่า” ทวีบอก
โอ้เอ้กลัวมาก “ก็มันน่ากลัวจริงๆ นี่ครับ ศพธรรมดาก็กลัวจะแย่อยู่แล้ว อันนี้มีทั้งน้ำเลือดน้ำหนอง เห็นกระดูกโผล่ออกมาด้วย” โอ้เอ้ทำท่าขนลุกขนพอง “ผมไม่ใช่ลุงกับพี่เจนะครับ จะได้ไม่กลัว”
ลาภิณถามทวีด้วยสีหน้าขรึม “แล้วพนักงานที่รับเข้ามาใหม่ล่ะครับ”
ทวียิ้มๆ “ออกไปแล้วครับ ยังไม่ทันเจอศพนี้ด้วยซ้ำ งานยังงี้ถ้ารังเกียจหรือกลัว มันทำไม่ได้หรอกครับ”
ลาภิณรับฟังด้วยสีหน้าใช้ความคิด
“ผมก็หวังว่า ดวงบริษัทเราจะดี ได้เจอพนักงานอย่างหนูเจอีกซักคนเร็วๆ นี้นะครับ ไม่งั้นผมรับรองได้เลย อีกไม่นานงานต้องสะดุดแน่ๆ” ทวีเสริม
ลาภิณมีสีหน้าเคร่งเครียดเพราะการหาคนทำงานนี้แทนเจติยาไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
ปริมและกลุ่มเพื่อนมากินข้าวกันในร้านอาหารหรูหราบรรยากาศดี โดยที่ปริมมีสีหน้าบึ้งตึงเพราะหงุดหงิดตลอดเวลา
“เป็นอะไรนักหนาปริม” เพื่อนคนแรกเซ็ง “ทำตัวงี้ทีหลังไม่ต้องนัดเพื่อนออกมาเลยนะ เสียอารมณ์”
“ปริมมันเพิ่งทะเลาะกับแฟนมาก็งี้แหละ” เพื่อนอีกคนพูดแล้วก็หันไปพูดกับปริม “เรามากินข้าวให้อร่อยดีกว่าปริม ลืมเรื่องคุณต้นไปก่อนเถอะเพื่อนๆ เซ็งหมดแล้ว”
ปริมถอนใจก่อนจะพยักหน้าแบบซังกะตาย
ทันใดนั้นเสียงพิสัยก็ดังขึ้น “อ้าว คุณปริม”
ปริมเงยหน้ามองเห็นว่าเป็นพิสัยก็ยิ่งเซ็ง แต่ก็ยกมือไหว้ตามมารยาท พิสัยรับไหว้ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
พิสัยแกล้งมองหา “คุณต้นล่ะ”
ปริมหงุดหงิด “ไม่ได้มาหรอกค่ะ ขอโทษนะคะคุณน้า ปริมคุยกับเพื่อนๆ กำลังสนุกเลยค่ะ” ปริมยกมือไหว้เป็นการไล่ “สวัสดีค่ะ”
เพื่อนจ๋อยเพราะเห็นว่าปริมแรงไป
พิสัยยิ้มขำแบบไม่แคร์ “อารมณ์ยังงี้ทะเลาะกับต้นมาแหงๆน้าจะบอกอะไรให้นะ ถึงจะไล่เด็กคนนั้นออกไปแล้ว ก็ใช่ว่าจะวางใจได้ ยังมีผู้หญิงสาวๆ สวยๆอีกเยอะ ที่หวังจะรวยทางลัดถ้าคิดจะคบต้น ก็ต้องทำใจ” พิสัยขำเบาๆ
พิสัยวางระเบิดเสร็จก็เดินอารมณ์ดีจากไป ปริมยิ่งหงุดหงิดหนักเพราะโดนพิสัยจี้ใจดำเข้าเต็มๆ
“ใครเหรอแก ดูดีเชียว” เพื่อนคนหนึ่งถาม
ปริมเบะปาก “น้าคุณต้น”
เพื่อนอีกคนนึกไม่ถึง “น้าเหรอ ทำไมดูหนุ่มนักล่ะ”
“เค้าเป็นลูกหลงก็เลยอายุแก่กว่าคุณต้นไม่กี่ปี แกอย่าไปสนใจเลย มันไม่ใช่คนดิบดีอะไรหรอก”
ปริมยังมีสีหน้าหงุดหงิดเจ็บใจในคำพูดยุงแยงของพิสัยไม่หาย พิสัยแอบมองปริมมาจากมุมหนึ่งด้วยสีหน้าเจ็บใจปนหมั่นไส้ เขาคิดในใจว่าจะต้องสั่งสอนปริมเสียบ้าง
เจติยากำลังช่วยแม่คั้นกะทิเพื่อใช้ทำของขาย ส่วนนทีนอนอ่านแมกกาซีนฟุตบอลอยู่ที่โซฟาโดย
ไม่ยอมช่วยงานอะไรเลย เจติยาเหล่มองน้องอยู่หลายตลบจนทนไม่ไหว ในที่สุดเธอก็เดินไปดึงแมกกาซีนฟุตบอลที่นทีกำลังอ่านออก
นทีไม่พอใจ “อะไรอีกพี่เจ”
“ถ้าแกไม่คิดจะช่วยงานฉันกับแม่ ก็ไปนอนซะ แกสัญญากับฉันแล้วนะ ว่าจะกลับไปตั้งใจเรียน”
นทีทำหน้าตา “ที่จริง พี่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรผมซะหน่อย ไอ้โชคมันตายของมันเอง อย่ามาอ้างเอาความดีเข้าตัวหน่อยเลย”
เจติยาโมโห “นที...”
นทีรีบเข้าไปอ้อนแม่ทันที “แต่ที่ผมยอมกลับไปเรียน ก็เพราะผมทำเพื่อแม่” นทีเบะปากใส่พี่สาว
เจติยาทั้งเจ็บใจทั้งหมั่นไส้
มยุรีลูบหัวลูกชายด้วยความเอ็นดู “ทำเพื่อตัวเองเถอะลูก ทรัพย์สินยังมีวันหมด แต่วิชาความรู้ ไม่มีใครเอาจากเราไปได้ นทีต้องขยันเรียนรู้มั้ยลูก”
นทียิ้มแล้วรับปากไปอย่างงั้น “ครับแม่”
“รับปากพล่อยๆไม่ได้นะนที นอกจากแกต้องกลับไปเรียนหนังสือแล้ว แกต้องเลิกเล่นพนันบอลเด็ดขาด เข้าใจมั้ย” เจติยาบอก
นทียักไหล่แล้วยิ้มเยาะ “เป็นมาเฟียโต๊ะบอล นึกว่าจะแน่ ถูกแทงตายยังกะหมาข้างถนน” นทีเดินขำขึ้นบันไดบ้านไป
“ดูมันสิ มันฟังที่ไหนล่ะแม่” เจติยาได้แต่มองตามนทีพร้อมกับส่ายหน้า
หลังจากนทีเดินพ้นไป วิญญาณโชคก็โผล่มายืนมองตามนทีไปด้วยสายตาโกรธแค้น
นทีคุยโทรศัพท์มือถืออยู่ในห้องนอนตัวเองด้วยท่าทีขำๆ
“พี่กูก็ดุไปงั้นแหละ เอาเข้าจริงๆ ก็ทำอะไรกูไม่ได้หรอก กูมันลูกคนโปรด”
ทันใดนั้นโทรศัพท์มือถือของนทีก็มีเสียงสัญญาณเตือนว่ามีข้อความเข้ามาดังขึ้น
“อัตราต่อรองมาแล้ว แค่นี้ก่อนโว้ย” นทีกดตัดสาย แล้วเปิดดูข้อความในมือถือ
พอกดดูข้อความ นทีก็เห็นข้อความขึ้นแต่คำว่า “โชค โชค โชค โชค...” คำเดียวเต็มความยาวของข้อความที่ส่งได้ต่อครั้ง
นทีหงุดหงิด “ใครเล่นบ้าอะไรวะ”
นทีกดปิดโทรศัพท์มือถือแล้วหันไปหยิบนิตยสารฟุตบอลก่อนจะเปิดไฟที่หัวเตียงแล้วทิ้งตัวลงนอนบนเตียงเพื่ออ่านนิตยสารฟุตบอลต่อ
ทันใดนั้นไฟตรงหัวเตียงก็ดับลง นทีเซ็ง เขาเอื้อมมือไปไปกดสวิทช์ไฟที่หัวเตียง โดยที่สายตายังอ่านนิตยสารอยู่ ขณะที่นทีกำลังคลำหาสวิทช์ไฟ มือของเขาก็ไปจับถูกมือใหญ่ๆ มือหนึ่งที่เย็นยะเยือก นทีสะดุ้งพรวดด้วยความตกใจ เขารีบลุกขึ้นนั่งจนนิตยสารบอลตกไปที่พื้นข้างเตียง นทีหันไปมองที่สวิชท์ไฟก็ไม่เห็น
มีอะไร เขาเลยเปิดไฟหัวเตียงให้สว่างขึ้นใหม่
นทีงงเล็กน้อยแต่ก็ล้มตัวลงนอนต่อ เขาทิ้งมือไปข้างเตียงเพื่อหยิบแมกกาซีนฟุตบอลหวังจะเอาขึ้นมาอ่านต่อ พอจับแมกกาซีนได้แล้วกลับดึงไม่ขึ้นเหมือนติดอะไรอยู่ นทีพลิกไปมองข้างเตียงแล้วก็ต้องผงะแทบช็อคเมื่อเห็นว่ามีเท้าผู้ชายเหยียบนิตยสารเอาไว้
นทีหน้าซีดเผือด เขาค่อยๆ เอียงหน้าขึ้นไปมองจนเห็นโชคกำลังก้มมองลงมาด้วยสีหน้าแววตาโหดเหี้ยมอาฆาต นทีแหกปากร้องลั่นด้วยความตกใจกลัว เขากระโดดตัวลอยจากเตียงแล้วพุ่งออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว
เจติยาเดินไปที่ประตู เพราะได้ยินเสียงเคาะประตูรัวเสียงดัง พอเปิดประตูออก เจติยาก็เห็นนทียืนหน้าซีดตัวสั่นอยู่หน้าห้อง
เจติยางง “เป็นอะไรของแก”
นทีวิ่งพรวดเข้ามาในห้องก่อนจะกระโดดขึ้นเตียงพร้อมกับเอาผ้าห่มเจติยาคลุมโปง
“ฉันถามว่าเป็นอะไร” เจติยากระชากผ้าห่มออก
นทีมีท่าทางกลัวมาก “ผมโดนผีหลอกมา”
เจติยาแปลกใจ “ผีที่ไหน”
“ผีไอ้โชคมันตามมาหลอกผม”
เจติยานิ่งอึ้งไป
“พี่ไม่เชื่อก็ตามใจแต่ผมเพิ่งโดนผีหลอกมาจริงๆ คืนนี้ ขอผมนอนกับพี่นะ”
นทีรีบหันไปคุกเข่าสวดมนต์ตัวสั่นงันงก เจติยาหันขวับไปทางประตูห้องอย่างเร็วเหมือนสัมผัสอะไรบางอย่างได้ แต่ก็ไม่เห็นอะไร เจติยากวาดตามองไปรอบๆ ห้องอย่างระแวง
สายวันต่อมา กุลธิดากำลังนั่งให้ช่างแต่งหน้าเติมหน้าอยู่โดย มีนิษฐานั่งมองอย่างชื่นชม
“เรียบร้อยแล้วค่ะ...รอชุดเดี๋ยวนะคะคุณเอียด” ช่างแต่งหน้าเดินออกไป
กุลธิดาถามนิษฐา “เบื่อเปล่า อีกเซ็ตเดียวก็เสร็จแล้ว”
“ไม่หรอก วันนี้ฉันว่าง” นิษฐาบอก
เจติยาเดินถือถาดใส่น้ำหวานมาให้กุลธิดา และนิษฐา
“ตายแล้วเจ แกยกน้ำมาให้ฉันทำไมเนี่ย ทำไมไม่ให้คนอื่นยกมา” กุลธิดาติงเพื่อน
“ก็มันหน้าที่ฉันนี่ จะไปใช้คนอื่นเพราะถือว่าฉันเป็นเพื่อนแกได้ไง แค่แกหางานให้ฉันก็ดีเท่าไหร่แล้ว”
“ดีแล้วเอียด นานๆจะมีโอกาสได้จิกหัวใช้มันที” นิษฐาแกล้งดุ “มีแต่น้ำหวานเหรอยะ แล้วของว่างล่ะ รู้มั้ยว่าฉันเป็นใคร ฉันเป็นเพื่อนคุณหนูกุลธิดานะยะ” นิษฐาทำเป็นเชิ่ดใส่
กุลธิดาขำเพื่อน เจติยาหมั่นไส้เลยแกล้งบีบคอนิษฐาจนนิษฐาหัวเราะคิกคักด้วยความบ้าจี้
“ไม่เอาจั๊กจี๋” นิษฐาว่า
กุลธิดายิ้มขำ “เล่นกันเป็นเด็กๆไปได้พวกแกนี่”
ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์มือถือของกุลธิดาก็ดังขึ้น
กุลธิดาดูเบอร์แล้วก็ยิ้ม “เดี๋ยวฉันมานะพวกแก” กุลธิดาเดินเลี่ยงไปพร้อมกับกดรับโทรศัพท์ “ถึงไหนแล้วคะพี่พีท...”
นิษฐามองตามก่อนจะรีบหันมาเม้าท์กับเจติยา
นิษฐาพูดด้วยความอยากรู้อยากเห็น “พี่พีทอะไรเนี่ย แฟนใหม่เอียดเหรอ”
เจติยาพยักหน้ารับ “อือ...พิทยาที่เป็นดาราไง”
นิษฐาอึ้งไปครู่ใหญ่ ก่อนจะกรี๊ดออกมา “พีท พิทยา เนี่ยนะ” นิษฐากัดเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ยัยเอียด นังเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด แกกล้าแย่งพี่พีทของฉัน”
เจติยาขำ “เค้าไปเป็นของแกตั้งแต่เมื่อไหร่ยะ เออแก...เรื่องที่ให้ไปสืบ ได้ความว่าไงมั่ง”
“น้องๆ ฉันลองถามคนในชุมชนให้แล้ว นายโชคไม่มีญาติพี่น้องที่ไหนหรอก เมื่อก่อนก็เป็นเด็กจรจัดอยู่ในชุมชน ตอนตายถึงไม่มีใครสนใจไง...แล้วแกอยากรู้ไปทำไม”
เจติยาหน้าขรึมลง “ก็เผื่อจะได้เอาไปปะติดปะต่อ ตามหาตัวคนฆ่าเค้าได้ไง”
นิษฐาเหล่มองเพื่อน “หมู่นี้รู้สึกแกจะสนใจสอบสวนสืบสวนโน่นนี่ซะเหลือเกินนะ” นิษฐาพูดดักคอ “คิดจะข้ามขั้นจากเพื่อนเป็นแฟนพี่หมวดรึไงยะ”
“ประสาท...” เจติยาเดินไปทำงานต่อ
นิษฐาเหล่มองตามแล้วพูดพึมพำ “เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดอีกตัวแล้ว” นิษฐาค้อนแบบงอนๆ ด้วยอารมณ์สนุกๆ
เจติยาเดินถือกล่องข้าวกับขวดน้ำดื่มมาหามุมเงียบๆ เพื่อนั่งกินข้าวกลางวัน เจติยาเปิดกล่องข้าวออก เพื่อจะตักข้าวกิน ทันใดนั้นเธอก็เหลือบเห็นหนอนจำนวนมากกำลังคลานยั้วเยี้ยอยู่ในกล่องข้าว เจติยาตกใจมากรีบโยนข้างกล่องทิ้งด้วยท่าทางขนลุกขนพอง
รากบุญ ตอนที่ 4 (ต่อ)
ทันใดนั้นก็มีมือข้างหนึ่งเอื้อมมาจับบ่าเจติยา เจติยาสะดุ้งเฮือกจากความเย็นเฉียบของมือนั้น พอหันกลับไปก็เห็นแต่ความว่างเปล่า
เจติยาโมโห “ฉันรู้นะว่าเป็นฝีมือนาย ทำอย่างงี้ทำไม”
ทันใดนั้นเจติยาก็ได้ยินเสียงโชคดังก้องโดยไม่มีใครได้ยินนอกจากเธอ
“ทำไมไม่ตามหาคนที่ฆ่าฉันตาย”
เจติยามองไปที่มุมสตูดิโอก็เห็นว่ามีเงาคนยืนอยู่ในเงามืด เมื่อเพ่งดูให้ดีก็เห็นว่าเป็นโชคนั่นเอง
“เธอผิดสัญญา” โชคว่า
“ฉันก็พยายามอยู่นี่ไง แต่มันไม่มีเบาะแสอะไรซักอย่าง แม้แต่ตัวนายเอง ก็ยังไม่รู้เลยไม่ใช่เหรอว่าใครฆ่านาย”
“มันเป็นหน้าที่ของเธอ เธอจะใช้วิธีไหนก็ได้ แต่เธอต้องหาตัวมันมา...ภายในหนึ่งเดือน ถ้าเธอไม่ได้มันมา เธอต้องตาย”
เจติยาโมโห “อย่ามาขู่ฉันนะ”
ทันใดนั้นทีมงานกลุ่มหนึ่งก็เดินผ่านมา ทุกคนเห็นเจติยาโวยวายอยู่คนเดียวก็มองเจติยาด้วยสายตาแปลกๆ แล้วก็รีบเดินหนีไป เจติยาได้แต่ฝืนยิ้มให้ทีมงานก่อนจะมองไปที่มุมมืดแต่ก็ไม่เห็นโชคอยู่แล้ว เจติยารู้สึกเจ็บใจที่โดนโชคขู่เข็ญแบบนี้
ลาภิณเดินถือกระเป๋าเอกสารกลับเข้ามาในบ้านตอนหัวค่ำ พอเข้ามาเขาก็เห็นปริมกำลังคุยกับชูจิตอยู่ที่โซฟา
ปริมเหล่ลาภิณนิดนึงด้วยสีหน้าบึ้งตึงก่อนจะหันมาคุยกับชูจิตต่อ “ปริมกลับก่อนนะคะคุณแม่” ปริมไหว้ลา “สวัสดีค่ะ”
ชูจิตรับไหว้ด้วยสีหน้าเจื่อนๆ ปริมเดินเชิดออกไปโดยไม่สนใจลาภิณแม้แต่น้อย
ลาภิณมองตามปริมไปแบบอ่อนใจ ก่อนจะหันมาคุยกับชูจิต “คุณแม่ครับ ผม...”
ชูจิตพูดสวนขึ้น “แม่ว่าต้นน่าจะเอาใจใส่หนูปริมเค้ามากกว่านี้หน่อยนะลูก”
ลาภิณยิ้มเล็กน้อย “ปริมเค้ามาฟ้องคุณแม่เหรอครับ”
“ถึงหนูปริมเค้าไม่ฟ้อง แม่ก็มองเห็น”
ลาภิณถอนใจ “ตอนนี้ผมไม่มีเวลาง้องอนใครหรอกนะครับ” ลาภิณเปิดกระเป๋าเอกสาร ก่อนจะหยิบเอกสารยื่นให้ชูจิต “คุณแม่ดูนี่สิครับ”
ชูจิตรับเอกสารมาอ่าน
“ตั้งแต่ที่เจติยาลาออกไป งานตกแต่งทำความสะอาดศพมีปัญหาตลอด เพราะพนักงานไม่พอ ลุงทวีแกโหมงานทั้งวันทั้งคืนไม่ไหวหรอกนะครับ”
ชูจิตก็หน้าเสียขึ้นมา เธอเหลือบตามองหน้าลูกชาย ลาภิณพูดต่อ
“นี่ลูกค้าทำหนังสือตำหนิบริษัทของเรามาหลายรายแล้วนะครับ แบบนี้แล้วคุณแม่ยังจะให้ผมคอยตามเอาอกเอาใจปริมเค้าอีกเหรอครับ”
ชูจิตมีสีหน้าบึ้งตึง “นี่ต้นกำลังตำหนิแม่ทางอ้อม” ชูจิตหมั่นไส้ “ที่แม่บีบให้แม่เจติยาออกไปจากบริษัทจนเกิดปัญหาใช่มั้ย”
“ผมไม่ได้คิดถึงขนาดนั้นหรอกครับ ผมก็แค่แจกแจงให้คุณแม่ฟัง ว่าบริษัทเรามีปัญหาอะไรบ้าง แล้วตอนนี้ ผมก็ไม่มีกะใจมาคิดเรื่องอื่นหรอกครับ”
“งั้นแม่จะจัดการเรื่องนี้แทนต้นเอง ต้นเอาเวลาไปดูแลหนูปริมดีกว่า แม่ไม่อยากให้ลูกเสียคนที่ดีพร้อมกับลูกทุกด้านอย่างหนูปริมไป” ชูจิตพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
ลาภิณอ่อนใจที่แม่ไม่ฟังเหตุผลอะไรเลยเขาจึงได้แต่ถอนใจออกมา
ปริมกำลังยืนคุยโทรศัพท์มือถืออยู่ที่รถของตนที่จอดหน้าบ้านลาภิณ
“ป่านนี้ยังคุยกันไม่เสร็จเลย สงสัยโดนคุณแม่เทศน์ชุดใหญ่” ปริมฟังอีกฝ่ายก่อนตอบด้วยสีหน้ายิ้มมั่นใจ “จะมีใครรู้นิสัยคุณต้นดีเท่าฉันยะ คอยดูนะ อีกเดี๋ยวก็ต้องเดินออกมาง้อฉันแล้ว”
ปริมหันไปมองทางบ้านโดยกะว่าลาภิณจะตามมาง้อแน่ๆ แต่พิสัยกลับเดินออกมาแทน
ปริมคุยมือถือด้วยความหงุดหงิด “แค่นี้ก่อนนะแก เจอตัวเซ็งอีกแล้ว”
ปริมกดตัดสายโทรศัพท์เพราะกะจะชิ่งหนีพิสัย แต่ก็ไม่ทันเพราะพิสัยเดินเข้ามาหาปริมก่อน
พิสัยยิ้มทักทาย “รอคุณต้นอยู่เหรอครับ”
ปริมถอนใจเซ็งๆ
พิสัยยิ้มกวน “อย่าเสียเวลารอเลยครับ คุณต้นขึ้นห้องไปนอนแล้ว” พิสัยขำ
ปริมถูกจี้ใจดำจึงหงุดหงิด “ปริมไม่ได้รอใครทั้งนั้นล่ะค่ะ กำลังจะกลับแต่ถูกขัดจังหวะซะก่อน” ปริมเปิดประตูรถ
พิสัยจับประตูรถเอาไว้ “เห็นหน้าผมก็จะกลับเลยเหรอ ไม่อยู่คุยเป็นเพื่อนกันหน่อยเหรอ”
“ปริมไม่มีอะไรจะคุยค่ะ” ปริมพูดเน้นเสียง “คุณน้า”
“เลิกเรียกผมว่าคุณน้าซะทีเถอะ ฟังดูแก่ยังไงไม่รู้ จริงๆ อายุเราก็ไม่ได้ห่างกันซะหน่อย” พิสัยยื่นหน้าเข้ามาใกล้ปริม “คบเป็นเพื่อนกันดูกลมกลืนกว่าเยอะ”
ปริมยิ้มเย็นชา “ขอโทษนะคะ ปริมเลือกคบคนค่ะ” ปริมทำหน้าดุและเสียงแข็ง “หลีกทางด้วยค่ะ”
พิสัยถอยให้แต่โดยดี ปริมขึ้นรถไปอย่างหงุดหงิดรำคาญแล้วก็ขับออกไป พิสัยมองตามปริมไปด้วยสีหน้าเจ้าชู้กรุ้มกริ่มก่อนจะมีแววตาอยากเอาชนะ
มยุรีเดินคุยกับนวัชเข้ามาที่โถงบ้าน โดยที่นวัชถือถุงใส่ยาบำรุงติดมือเข้ามาด้วย
“ทีหลังไม่ต้องลำบากเอามาฝากแล้วนะคะคุณหมวด น้าหายแล้ว” มยุรีบอก
“แต่ดื่มบำรุงร่างกายไว้ก็ไม่เสียหลายนะครับ จะได้ไม่กลับไปเป็นอีก”
“พูดเหมือนนัดกับเจ้าเจมาเลย”
นวัชยิ้ม “บ้านเงียบจังเลยไม่อยู่กันเหรอครับ”
มยุรียิ้มเลยไปที่โซฟา “หลับอยู่นั่นไง”
นวัชหันไปมองเห็นเจติยางีบหลับอยู่ที่โซฟาก็ยิ้มเอ็นดู
มยุรีส่งเสียงเรียก “เจ”
นวัชรีบห้าม “ไม่ต้องปลุกเค้าหรอกครับคุณน้า ให้นอนพักเถอะครับ ช่วงนี้เค้าขยันรับจ็อบไปทั่วเลย”
มุยรีถอนใจ “ไม่รู้จะลาออกมาทำไม รายได้ก็ดีๆ อยู่แล้ว”
“คงอยากเอาเวลาไปเรียนให้จบมั้งครับ งานที่บริษัทนิราลัยกินเวลาเอาเรื่อง”
มยุรีพยักหน้าเห็นด้วย “จบซะทีก็ดี” มยุรียิ้มแย้ม “ตามสบายนะคุณหมวด น้าขอตัวไปเตรียมของขายต่อก่อน เดี๋ยวจะดึก”
“ให้ผมช่วยนะครับ เจหลับไม่รู้จะคุยกับใคร”
มยุรียิ้ม “ขอบใจจ้ะ”
นวัชเดินตามมยุรีเข้าไปในครัวโดยไม่วายหันมองเจติยาพร้อมยิ้มเอ็นดู เจติยานอนด้วยท่าทางกระสับกระส่ายเหมือนกำลังฝันร้ายอยู่
ในฝันของเจติยา เป็นเหตุการณ์ในวันที่โชคตาย โชคยื่นเงินให้ลูกน้องรับไป
ลูกน้องคนหนึ่งยิ้มแย้ม “ขอบคุณมากครับพี่โชค ผมจะรีบไปจัดการให้เรียบร้อยเลยครับ”
“เออดี แล้วก็บอกพวกมันด้วยนะ ว่าให้เก็บเนื้อเก็บตัวหน่อย กูไม่อยากมีปัญหากับตำรวจ” โชคกำชับ
“ครับพี่”
ลูกน้องคนนั้นเดินเลี่ยงไป
โชคมองตามลูกน้องแล้วส่ายหน้า “ไอ้พวกนี้ ไม่มีกูซักคนแล้วจะอยู่กันยังไงวะ”
โชคกำลังจะเดินกลับ ทันใดนั้นเขาก็สะดุ้งเฮือก โชคค่อยๆก้มลงมองที่หน้าอกก็เห็นมีดปลายแหลมแทงจากทางด้านหลังมาทะลุหน้าอกของเขา
เจติยาร้องลั่นและสะดุ้งตื่นจากฝันร้าย เธอยกมือขึ้นซับเหงื่อ แล้วก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่อเหลือบเห็นโชคนั่งจ้องอยู่ที่เก้าอี้โซฟาข้างๆ โชคอยู่ในสภาพถูกแทงมีดปักทะลุอกเลือดโทรม เขาทำหน้าตาหื่นๆ พร้อมยื่นมือมาจับมือเจติยา
เจติยากรีดร้องพร้อมกับสะบัด “ปล่อย ปล่อยฉัน” เจติยากลัวมากจึงหลับตาปี๋
เสียงนวัชดังขึ้น “เจ เจ พี่เอง”
เจติยาลืมตาเห็นว่านวัชกำลังจับมือของเธอเอาไว้ เจติยาดีใจมากสวมกอดนวัชเอาไว้ด้วยความตกใจกลัว
มยุรีเดินเช็ดมือตามออกมาเห็นพอดีก็ถึงกับชะงักไปเพราะทำตัวไม่ถูก เจติยาตั้งสติ พอสลัดความกลัวได้ก็ลืมตามองเลยไปเห็นแม่เธอก็ตกใจปนเขินจึงรีบผละตัวออกจากนวัช
เจติยาหน้าแหยเพราะอาย “นี่เจฝันหรือความจริงคะ”
นวัชยิ้ม “ต้องพิสูจน์อีกทีแล้วล่ะ”
เจติยาเขินจัดจึงตีแขนนวัชฉาดใหญ่
เจติยาเขินอาย “ไม่ใช่อย่างที่แม่คิดนะคะ” เจติยารีบเดินหนีขึ้นชั้นบนไปทันที
นวัชยิ้มๆ ก่อนจะหันมองไปที่มยุรี “ผมอยากให้ใช่อย่างที่แม่คิดนะครับ”
“แม่ก็อยากให้ใช่เหมือนที่คุณหมวดคิดล่ะจ้ะ” มยุรียิ้มปลาบปลื้มอย่างเอาใจช่วย
นวัชค่อยยิ้มออกเพราะรู้สึกใจชื้นที่มีกำลังใจขึ้นที่มยุรีไฟเขียวแบบนี้
เจติยาก้มหน้าล้างหน้าอยู่ที่อ่างล้างหน้าในห้องน้ำก่อนจะเงยขึ้นมาส่องกระจก
เจติยาบ่นพึมพำ “บ้าจริงๆ เสียฟอร์มหมดเลย”
ทันใดนั้นไฟในห้องน้ำก็ดับวูบพร้อมเสียงประตูห้องน้ำปิดกระแทกดังโครม เจติยาสะดุ้งสุดตัว แล้วไฟก็สว่างวาบ เงาโชคปรากฏขึ้นที่กระจกวูบหนึ่งแล้วหายไป เจติยาผวาตกใจแล้วถอยหนี
เจติยาบ่นพึมพำ “มากันธรรมดาๆ เป็นมั่งมั้ยเนี่ย”
ไฟดับวูบลงอีกครั้งพร้อมเสียงโชคตะคอกดังก้องห้องน้ำ
“ฉันอยากรู้ว่าใครฆ่าฉัน เธอต้องหาตัวมันมาให้ได้”
เจติยากวาดตามองไปทั่วห้องที่มืดมิดพร้อมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงกลัวๆ
“ก็บอกแล้วไงว่าฉันพยายามอยู่ ฉันก็ต้องทำมาหากินเหมือนกันนะจะไปตามเรื่องให้นายตลอดเวลาได้ยังไงล่ะ”
ไฟสว่างขึ้นมาอีก เสียงโชคดังขึ้นอีก
“เธอช่วยฉันก็เหมือนช่วยตัวเองนั่นแหละ”
เจติยาหันไปมองทางม่านอาบน้ำแล้วก็กรี๊ดออกมาพร้อมกับถอยไปชนอ่างล้างหน้าเมื่อเห็นว่าวิญญาณโชคยืนอยู่หลังม่านอาบน้ำ
“ได้เหรียญครบเมื่อไหร่ ก็อธิษฐานขอให้ร่ำรวยซะซิ จะได้ไม่ต้องลำบากอยู่อย่างงี้ไง” โชคแนะนำ
“ไม่ ฉันจะไม่ยอมเป็นทาสของกล่องรากบุญ อย่าว่าแต่เงินทองเลย ไม่ว่าอะไรฉันก็จะไม่ขอทั้งนั้น”
“ถ้าเธอไม่ขออะไรเลย เธอนั่นแหละ ที่จะต้องเดือดร้อน”
เจติยาสงสัย “แล้วแกรู้เรื่องกล่องรากบุญได้ยังไง”
ทันใดนั้นม่านห้องน้ำก็เปิดออกเองอย่างรวดเร็ว เจติยาผวาด้วยความกลัวจึงยกมือขึ้นปิดหน้า แต่กลับไม่เห็นวิญญาณโชคอยู่หลังม่านอาบน้ำนั้น เจติยาหายใจไม่ทั่วท้อง เธอมองไปรอบๆอย่างหวาดๆ แต่ก็ไม่เห็นโชคอีก เจติยาเริ่มคิดทบทวนคำพูดของโชคแล้วก็ชักติดใจกับคำพูดของโชคที่ว่าตนจะต้องเดือดร้อนถ้าไม่ขอพรจากกล่องรากบุญอีก
ลูกค้าชายวัยกลางคนคนหนึ่งกำลังระเบิดอารมณ์ใส่ชูจิต โดยพวกพนักงานบริษัทที่อยู่ใกล้ๆ พากันนั่งจ๋อยไปหมด
“ผมอุตส่าห์ไว้ใจบริษัทคุณ ถึงได้ยอมเอาศพพี่ชายผมมาให้คุณจัดการ แล้วนี่อะไร จนป่านนี้แล้วยังไม่เสร็จอีก”
ชูจิตหน้าเสีย “ต้องขอประทานโทษจริงๆ นะคะ คืองานของเราเยอะมาก แต่เราก็พยายามเร่งเต็มที่แล้ว ศพพี่ชายคุณเข้ามาฉุกละหุกมากน่ะค่ะ”
“รู้ว่าไม่ทันแล้วรับลูกค้าทำไม นายคนที่ชื่อพิสัยอะไรนั่นน่ะ รับปากซะดิบดี งกอยากจะได้เงินนี่หว่า” ลูกค้าโมโหมาก “ผมไม่อยากพูดกับคุณแล้ว เสียเวลา ไปตามผู้บริหารคุณมาดีกว่า”
ชูจิตหน้าเจื่อนลงไปอีก “ฉันนี่ล่ะค่ะผู้บริหาร”
ลูกค้าชะงักไปเพราะนึกไม่ถึง แล้วเขาก็โวยใส่หน้าชูจิตต่อ “เจอตัวก็ดี คุณทำงานประสาอะไร งานแต่งงานยังมีได้หลายรอบ แต่งานศพมันมีได้ครั้งเดียวนะคุณ คุณเห็นความโศกเศร้าของครอบครัวผมเป็นของเล่นรึไง”
ชูจิตหน้าเสีย “เราไม่ได้คิดอย่างนั้นเลยนะคะ พนักงานของเรากำลังเร่งมืออยู่ เราให้ความสำคัญกับศพพี่ชายคุณมากนะคะ นี่ต้องรอช่างแต่งศพมือหนึ่งของเราทำงานให้ ช้าหน่อยแต่รับรองผลงานออกมาดีที่สุดแน่นอนค่ะ”
ลูกค้าดูอ่อนลงเล็กน้อย ชูจิตฝืนยิ้มให้
ทวีมายืนหน้าจ๋อยอยู่ในห้องทำงานชูจิต
“ผมต้องขอโทษคุณชูจิตด้วยนะครับ แต่ฝ่ายผมมีแค่ผมกับเจ้าโอ้เอ้สองคนเท่านั้นเอง มันทำไม่ไหวจริงๆ ครับ”
ชูจิตเครียดหนัก “ฉันไม่เข้าใจ ฉันรับคนมาเพิ่มตั้งหลายคน แล้วทำไมถึงทำงานกันไม่ได้ซักคน ไม่ทันข้ามวันก็ออกกันหมด”
โอ้เอ้พูดถึงศพแล้วขนลุกขน “ท่านก็ลองเข้าไปอยู่ในห้องแต่งศพดูสิครับ ใครมันจะไปทนไหว นี่ถ้าผมไม่ติดว่าสงสารลุงแก ผมก็อยากออกอยู่เหมือนกันล่ะครับ”
ทวีแอบตบหัวโอ้เอ้จากด้านหลังเบาๆ ชูจิตหน้าเจื่อนไปเพราะจะให้ตนเข้าไปก็ไม่เอาเหมือนกัน
“อย่าหาว่าผมก้าวก่ายเลยนะครับคุณชูจิต ผมก็อยู่กับศพมาเป็นสิบๆ ปี ยังไม่เคยเห็นใครทำงานได้ดี แล้วก็ไม่รังเกียจศพเหมือนหนูเจติยาเลย เธอทำงานด้วยหัวใจ ไม่ใช่สักแต่ทำตามหน้าที่เพื่อเอาเงินไปวันๆ” ทวีบอก
ชูจิตเงียบไปเพราะคิดตาม
“ผมว่าเวลาคับขันแบบนี้ คุณชูจิตน่าจะให้คุณลาภิณไปขอร้องให้หนูเจกลับมาทำงานช่วยเราไปพลางๆ ก่อนนะครับ”
ชูจิตหน้าบึ้งขึ้นมาทันที “บริษัทนิราลัยเปิดกิจการมาตั้งแต่สมัยคุณพ่อคุณสารัช ฉันก็ไม่เห็นว่าจะต้องมีเด็กคนนี้ นิราลัยก็เจริญรุ่งเรืองมาได้”
“ใช่ครับ แต่ตอนนั้นนิราลัยยังไม่ใช่บริษัทใหญ่โตอย่างทุกวันนี้ แล้วก็เน้นแต่ทำโลงศพมากกว่า งานสวดศพแบบที่เราทำก็เพิ่งเป็นที่ยอมรับ ลูกค้าสนใจมากขึ้น คุณชูจิตก็เห็นแล้วนี่ครับ ว่างานมันยุ่งแค่ไหน”
ชูจิตถอนใจออกมาเพราะยอมแพ้ในเหตุผล
“ถ้าเรายังไม่ได้พนักงานเก่งๆ อย่างหนูเจมาช่วยกู้สถานการณ์ไว้ก่อน บริษัทก็จะยิ่งประสบปัญหาสะสมหนักขึ้นเรื่อยๆนะครับ ปล่อยไว้แบบนี้ ผมกลัวว่าคุณลาภิณจะเอาไม่อยู่นะครับ” ทวีบอก
ชูจิตหน้าเครียดไปอย่างใช้ความคิด
รถสองแถวเล็กขับมาจอดหน้าบ้านเจติยาในตอนเย็น มยุรีลงมาจากรถพร้อมเพ่งมองไปที่รถหรูซึ่งจอดรออยู่ที่หน้าบ้านของเธอ ลาภิณลงมาจากรถพร้อมยกมือไหว้ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
มยุรีรับไหว้แล้วยิ้มตอบ “คุณน่ะเอง”
คนขับรถสองแถวลงมาช่วยขนหม้อแกงและข้าวของต่างๆ ของมยุรีลงจากท้ายรถ
“เจติยาล่ะครับ ปิดโทรศัพท์เงียบเลย” ลาภิณถามถึง
“ออกไปรับงานข้างนอกน่ะค่ะ มีธุระอะไรเร่งด่วนรึเปล่าคะ”
“จะว่าเร่งก็เร่งครับ คือทางบริษัทอยากได้ตัวเจติยากลับไปช่วยงานทันทีครับ”
มยุรีดีใจมาก “จริงเหรอคะ ไม่โกรธที่ลูกสาวดิฉันทิฐิขอลาออกมาเหรอคะ”
ลาภิณยิ้มแย้ม แล้วทำเนียนไปกับเหตุผลที่เจติยาอ้างกับแม่ “ไม่เลยครับ คุณแม่พอจะบอกได้มั้ยครับว่าผมจะเจอเจติยาได้ที่ไหน” ลาภิณรอฟังคำตอบแบบลุ้นๆ อย่างตั้งความหวัง
ที่ห้างสรรพสินค้า เจติยากับกลุ่มนักเต้นแต่งตัวสีสันสดใสกำลังเต้นโชว์ต่อหน้าหญิงสาวคนหนึ่ง ประกอบเพลงป๊อบแด๊นซ์น่ารักๆ เมื่อกลุ่มของเจติยาเต้นเสร็จพวกเธอก็หยิบดอกไม้สีแดงออกมาต่อกันเป็นรูปหัวใจ พร้อมๆกับตอนที่เพลงจบ แล้วกลุ่มของเจติยาก็เปิดทางให้ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินออกมาหาหญิงสาวที่พวกเธอเต้นให้ดู
ชายหนุ่มยื่นช่อดอกไม้ให้หญิงสาว “ผมรักก้อยนะครับ”
หญิงคนนั้นเขินอายแต่ก็ยอมรับช่อดอกไม้ไว้
กลุ่มของเจติยาพากับปรบมือและเป่าปากให้คู่หนุ่มสาวดังลั่น เจติยายิ้มแย้มเมื่อเสร็จงาน ทันใดนั้นเธอก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อเห็นลาภิณที่ยืนห่างไปเล็กน้อยกำลังมองอยู่พร้อมกับใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายคลิปการเต้นของเธอไว้ด้วยสีหน้ายิ้มๆ
เจติยาอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ลาภิณเหลือบตาจากมือถือขึ้นมามองไปที่เจติยาอย่างขำๆ เพราะไม่คิดว่าเจติยาจะทำอะไรแบบนี้
ลาภิณกำลังคุยกับเจติยาที่มุมสวยสงบของห้าง โดยที่ลาภิณยิ้มแย้มชอบใจแต่เจติยาหน้าหงิกงอตลอดเวลา
ลาภิณยิ้ม “ฉันเชื่อแล้ว ว่าเธอทำได้ทุกอย่างจริงๆ นี่ถ้าไม่รู้จักกันมาก่อน ฉันต้องนึกว่าเธอเป็นแด๊นเซอร์มืออาชีพแน่ๆ”
เจติยาทั้งโกรธทั้งอาย “หยุดแซวฉันได้แล้ว งานสุจริตฉันทำได้ทุกอย่างแหละ นี่คุณยังไม่ได้ตอบเลยว่ารู้ได้ไงว่าฉันมารับจ็อบที่นี่”
ลาภิณยิ้มๆ “ฉันไปหาแม่เธอที่บ้าน”
เจติยาบ่น “แม่นี่จริงๆ เลย”
“แล้วเธอจะไม่ถามฉันหน่อยเหรอ ว่าฉันตามหาตัวเธอทำไม”
เจติยาหน้าขรึมลง “ถึงไม่ถามฉันก็เดาได้ งานตกแต่งศพมีปัญหาใช่มั้ยล่ะ ก็เลยอยากให้ฉันกลับไปช่วย”
ลาภิณยิ้มๆ “แล้วเธอจะกลับไปช่วยฉันรึเปล่าล่ะ”
เจติยามีสีหน้าบึ้งตึง “ไม่ ฉันไม่ใช่คนเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา”
ลาภิณทำหน้าตาเจ้าเล่ห์เล็กน้อย “งั้นก็แปลว่าเธอชอบงานเต้นมากกว่า ได้เลย” ลาภิณหยิบมือถือออกมา “ฉันจะช่วยสนับสนุน โหลดคลิปของเธอลงยูทูปให้ กล้องฉันนี่ซูมเฉพาะเธอเน้นๆ”
เจติยาตกใจ “คุณลาภิณ...”
ลาภิณขำชอบใจ “ฉันแหย่เล่นหรอกน่ะ” แล้วเขาก็มีสีหน้าจริงจังขึ้น “ฉันรู้นะเจว่าเธอรักงานตกแต่งศพ ไม่อย่างงั้นคงทำไม่ได้ตั้งหลายปีหรอก แล้วเธอจะทิฐิอยู่ทำไม นี่ฉันเป็นฝ่ายมาง้อเธอนะ เธอไม่เสียฟอร์มหรอก”
เจติยาถอนใจสีหน้าเครียด “ฉันไม่อยากมีปัญหากับแม่คุณแล้วก็ยังแฟนคุณอีกคน” เจติยามีสีหน้าเซ็งๆ
“เรื่องคุณแม่ตัดไปได้เลย เพราะท่านเป็นคนให้ฉันมาตามเธอกลับไปเอง”
เจติยาประหลาดใจเล็กน้อย
“ส่วนเรื่องปริม ฉันคุยกับคุณแม่ให้แล้ว ท่านจะเป็นคนอธิบายให้ปริมเข้าใจ ทีนี้ก็เหลือแต่เธอแล้วล่ะ ว่ายังมีใจให้นิราลัยอยู่รึเปล่า”
เจติยาคิดหนักเพราะลึกๆ อยากกลับไปที่นิราลัยใจจะขาด แต่ก็ยังไม่สบายใจ
“เรื่องพินัยกรรมคุณพ่อ ทุกอย่างเป็นไปตามข้อตกลงเหมือนเดิม เธอยังได้หุ้น 10 เปอร์เซ็นต์อยู่”
เจติยาเสียงแข็ง “นั่นไม่ใช่ประเด็นที่ฉันจะกลับไปทำงานให้คุณหรือไม่ไป”
“ฉันรู้จักคนอย่างเธอดีหรอกน่ะ เงินซื้อไม่ได้”
“แล้วพูดทำไม”
“ก็ฉันอยากแสดงความจริงใจให้เธอเห็น ทุกอย่างตรงไปตรงมา อะไรที่เป็นของเธอ เธอควรได้ตามสิทธิ์ก็ต้องได้”
เจติยาเหยียดปากด้วยความหมั่นไส้
ลาภิณทำสีหน้าอ้อน “ตกลงกลับไปช่วยงานฉันนะ”
เจติยาค้อนใส่แล้วเดินนำไปโดยไม่ตอบอะไร ลาภิณมองตามด้วยสีหน้าลุ้นๆ ก่อนจะรีบเดินตามไปติดๆ
ปริมกำลังคุยกับชูจิตด้วยสีหน้าเคร่งเครียดในห้องทำงานตอนสายวันรุ่งขึ้น
ปริมหงุดหงิด “ปริมไม่เข้าใจค่ะคุณแม่ งานดีเงินดีแบบเนี้ย มันน่าจะมีคนแย่งกันทำ ไม่เห็นต้องกลับไปง้อยัยนั่นเลย”
ชูจิตหน้าเจื่อน “แม่ก็พยายามแล้วนะจ๊ะหนูปริม แต่ไม่มีใครทนอยู่กับศพได้เกินข้ามวันเลย จังหวะบริษัทคงยังไม่ดี นี่แม่โดนลูกค้าต่อว่าจนเสียผู้เสียคนหมดแล้ว ไม่จนแต้มแบบนี้แม่ไม่ยอมคืนหุ้นให้มันหรอกจ้ะ”
ปริมหึงหวง “ให้มันกลับมาทำงานใกล้ชิดกับคุณต้นอีก คุณแม่ไม่กลัวว่าคุณต้นจะพลาดท่ามันเหรอคะ”
“แม่จะคอยจับตาดูอย่างใกล้ชิด ไม่ยอมให้ต้นเสียทีมันได้หรอกจ้ะ” ชูจิตยิ้มบางๆ ก่อนจะเข้าไปโอบปริม “แล้วแม่ก็เชื่อว่าต้นฉลาดพอที่จะรู้ว่าอะไรเป็นเพชร อะไรเป็นกรวด ไม่มีทางที่ต้นจะทิ้งหนูไปเลือกลูกแม่ค้าขายข้าวแกงอย่างมันหรอก”
ปริมเครียดหนัก “แต่หนูก็ไม่สบายใจอยู่ดีล่ะค่ะคุณแม่”
“ถ้างั้นก็ถือว่าทำเพื่อแม่ เพื่อนิราลัยซักครั้งนะจ๊ะ เอาไว้แม่หาคนแทนยัยเด็กนี่ได้เมื่อไหร่ แม่จะรีบบีบมันออกทันที ไม่ปล่อยให้หนูปริมของแม่ต้องไม่สบายใจอยู่แบบนี้นานหรอกจ้ะ”
ปริมหน้าขรึมลง ชูจิตพูดถึงขนาดนี้เพราะตนก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกันจึงได้แต่ถอนใจออกมาแรงๆ
ปริมเดินอารมณ์เสียกลับลงมาที่จอดรถ ทันใดนั้นพิสัยก็เดินมาขวางหน้าเอาไว้ ปริมถอนใจอย่างเซ็งๆ
ปริมหงุดหงิด “ฉันกำลังอารมณ์ไม่ดี อย่ามายุ่งกับฉัน”
พิสัยยักไหล่ทำไม่แคร์ “คุณไม่ให้ยุ่ง แต่ผมอยากยุ่ง”
ปริมรำคาญมากจึงจะเดินหนี
พิสัยเดินตามมาขวาง
“เดี๋ยวสิ ผมมีข้อเสนอดีๆ มาให้คุณ”
ปริมเสียงแข็ง “ข้อเสนออะไร”
“ผมจะช่วยคุณให้ได้แต่งงานกับคุณต้นเร็วขึ้น”
ปริมอึ้งไปครู่หนึ่งเพราะนึกไม่ถึง “ใจดีเกินไปรึเปล่า คุณต้องการอะไรก็บอกมาเลยดีกว่า”
“หุ้นครึ่งนึงของนิราลัย”
“ครึ่งนึง มากไปมั้ง”
พิสัยมีสายตาเกลียดชังและริษยาอย่างเต็มเปี่ยม “ถ้าไอ้ต้นไม่เกิดมา หุ้นทั้งหมดต้องตกเป็นของผมด้วยซ้ำ มันไม่ได้เล่าให้คุณฟังเหรอะ ว่าผมถูกเลี้ยงมาไม่ต่างจากลูกของพี่สารัชกับพี่จิต” พิสัยมีสีหน้าเจ็บใจมาก “แต่นี่ผมกลับไม่ได้ส่วนแบ่งแม้แต่หุ้นเดียว สู้พนักงานกระจอกๆอย่างไอ้ทวีกับนังเด็กนั่นยังไม่ได้เลย”
“แต่คุณก็ได้ไปไม่น้อย แล้วไหนจะสมบัติส่วนตัวของคุณแม่อีก อนาคตคุณก็ต้องได้อยู่ดี”
“แต่ผมต้องการนิราลัย” พิสัยมีสีหน้าแววตาจริงจังเพราะอยากเอาชนะ
ปริมผงะไปกับพลังอำมหิตที่ออกมาจากพิสัย
“คุณก็รู้ว่าถึงต้นจะไม่ใช่คนเจ้าชู้ แต่ก็เป็นคนใจอ่อน แค่เจติยาคนเดียวคุณยังเขี่ยทิ้งไม่ได้เลย แล้วถ้ามีผู้หญิงอื่นที่ทัดเทียมกับคุณเข้ามาหาต้นอีกล่ะ ไม่รีบจับจองเป็นเจ้าของแฟนคุณไว้เสียตอนนี้ น่าเสียดายโอกาสนะ”
ปริมชักลังเลกับสิ่งที่พิสัยพูดเพราะมันก็คือสิ่งที่ตนกลัวจริงๆ
“ว่าไงล่ะ คุณจะร่วมมือกับผมรึเปล่า” พิสัยทำหน้าตากวน ๆ พร้อมยิ้มแบบถือไพ่เหนือกว่า
ที่บริษัทนิราลัยยามค่ำ เจติยากำลังเขียนเอกสารรับรองการทำความสะอาดศพให้ลูกค้าอย่างอารมณ์ดี เธอเขียนไปฮัมเพลงไปอย่างมีความสุข ทวีและโอ้เอ้กำลังจัดเตรียมอุปกรณ์ทำความสะอาดศพอยู่ ทั้งสองต่างมองเจติยายิ้มๆ
โอ้เอ้กระเซ้า “มีความสุขเหลือเกินนะพี่เจ”
เจติยายิ้มแย้ม “แน่นอน รู้สึกเหมือนได้กลับบ้านที่อบอุ่นอีกครั้ง ก็เลยอารมณ์ดีเป็นพิเศษ” เจติยาสูดลมหายใจลึกๆ ก่อนจะหลับตาอย่างมีความสุข “ไม่มีที่ไหน เหมาะกับเจเท่าที่นี่อีกแล้วล่ะ”
โอ้เอ้ทำหน้าเหยเก “บรรยากาศวังเวง มีแต่กลิ่นศพกับฟอร์มาลีนเนี่ยนะ มันน่าอบอุ่นตรงไหนพี่” โอ้เอ้ขนลุก
“ฉันเกิดมาเพื่อสิ่งนี้ย่ะ” เจติยายิ้มอย่างอารมณ์ดี
ทวีขำ “แต่ลุงเข้าใจเจนะ ศพถึงจะเหม็น น่าเกลียดน่ากลัวยังไง แต่ก็ไม่ได้สร้างปัญหาวุ่นวายเหมือนคนเป็นๆหรอก”
เจติยายิ้มแย้ม “จริงที่สุดเลยค่ะลุง เดี๋ยวเจเอาใบรับรองไปให้ลูกค้าก่อนนะคะ”
เจติยาถือเอกสารที่ตนเพิ่งเขียนเสร็จเดินออกไปจากห้อง
โอ้เอ้เม้าท์ทันที “คนประหลาดแบบนี้หาที่ไหนไม่ได้หรอกลุง สิ่งมหัศจรรย์ของโลก”
เจติยาเดินกลับเข้ามาชี้หน้า “ไอ้โอ้เอ้ ฉันได้ยินนะ”
โอ้เอ้รีบไปหลบหลังลุงทวีอย่างกลัวๆ
“เดี๋ยวจะสั่งผีเด็กมาหักคอ” เจติยาวางยาเสร็จแล้วก็เดินออกไป
“ลุงดูพี่เจสิ” โอ้เอ้เอาพระทั้งพวงออกมาจากเสื้อมาพนมไหว้ในมือ
ทวีได้แต่ส่ายหน้ารำคาญความปอดแหกของโอ้เอ้
เจติยาเดินออกมาจากห้องเพื่อจะเอาใบรับรองไปให้ณุและกลุ่มลูกน้องของโชคที่นั่งรอหน้าเครียดอยู่หน้าห้องแต่งศพ
เจติยายิ้มแย้ม “ใบรับรองการทำความสะอาดและตกแต่งศพค่ะ เดี๋ยวเอาไปยื่นที่เคาน์เตอร์ แล้วก็เคลื่อนย้ายศพไปที่วัดได้เลยนะคะ”
ณุรับใบรับรองมา “ขอบคุณครับ”
ทันใดนั้น ลูกน้องคนหนึ่งก็ทนความเครียดไม่ไหวจึงปล่อยโฮออกมา
ณุตบบ่าลูกน้องเพื่อปลอบใจ “ไอ้เทพ ทำใจเถอะวะ ไอ้แมนมันไปสบายแล้ว”
ลูกน้องคนนั้นร้องไห้ “ผมไม่ไหวแล้วนะพี่ พี่โชคเพิ่งตายไปไม่กี่วัน ไอ้แมนก็ตายตาม ไม่รู้ต่อไปจะเป็นผมรึเปล่า”
เจติยาสะดุดหูขึ้นมาทันทีที่ได้ยินชื่อโชค
“เอ็งอย่างี่เง่าหน่อยเลย ไอ้แมนมันเป็นมะเร็งมาตั้งนานแล้ว ไม่เกี่ยวอะไรกับพี่โชคตายซะหน่อย” ณุบอก
“ขอโทษนะคะ พี่โชคที่ว่านี่ คือคนที่ถูกแทงตายในร้านสนุ๊กซอย 5 ใช่มั้ยคะ” เจติยาถาม
“ใช่ ถามทำไม” ณุมีสีหน้าระแวงเล็กน้อย
“เอ่อ คือฉันรู้จักกับเค้าน่ะค่ะ ฉันเลยอยากรู้ว่าใครเป็นคนฆ่าเค้า คุณพอจะสงสัยใครเป็นพิเศษรึเปล่าคะ”
ณุกับพวกลูกน้องโชคหันไปมองหน้ากันอย่างไม่ค่อยไว้ใจ
เจติยาเห็นสีหน้าณุก็พอเดาได้ “ฉันไม่ใช่พวกตำรวจหรอกค่ะ แค่อยากรู้เฉยๆ เค้าเป็นลูกค้าข้าวแกงขาประจำแม่ฉันน่ะค่ะ”
ณุมองสำรวจเจติยาอีกทีแล้วก็คิดว่าไม่น่ามีปัญหา “เมื่อคุณรู้จักพี่โชค ผมจะเล่าให้ฟังก็ได้ พี่โชคแกมีศัตรูเยอะ แต่ไอ้ที่แค้นถึงขั้นจะฆ่าแกงกันได้ ก็มีอยู่แค่สองรายเท่านั้นแหละ”
ภาพเหตุการณ์ในอดีตที่ณุเล่าให้เจติยาฟัง วันนั้น โชค ณุ และบรรดาลูกน้องกำลังเผชิญหน้ากับนักเลงอีกกลุ่มในร้านสนุ๊กเกอร์
“กูว่ามึงส่งคนของมึงมาดีกว่าไอ้โชค กูกับมึงจะได้ไม่ผิดใจกัน” นักเลงขู่
“ถ้ากูคุ้มครองลูกน้องกูไม่ได้ แล้วกูจะทำมาหากินได้ยังไง กูว่ามึงต่างหากที่ควรจะกลับไป” โชคบอก
นักเลงจ้องหน้าโชค โชคจ้องกลับอย่างไม่กลัว
ทันใดนั้น นักเลงก็ชักปืนออกมาแต่โชคไวกว่าจึงเข้าไปจับมือนักเลงบิดล็อกจนปืนหลุดมือแล้วล็อกคอนักเลงเอาไว้ พวกลูกน้องของนักเลงตกใจจะเข้าไปช่วย แต่ณุและบรรดาลูกน้องชักปืนออกมาขู่ พวกลูกน้องนักเลงเลยไม่กล้าเข้าไป
นักเลงคนนั้นโดนโชคล็อกจนดิ้นไม่หลุด แต่ก็มีสีหน้าเจ็บแค้นมาก
โชคยิ้มเย้ยอย่างไม่กลัวใคร
ลูกน้องโชคกำลังรุมซ้อมชายหนุ่มฐานะดีคนหนึ่งอยู่ โดยที่โชคและณุกำลังยืนมอง
“เฮ้ย พอก่อน” โชคสั่ง
พวกลูกน้องหยุดซ้อม ชายหนุ่มโดนซ้อมจนอ่วมหน้าตาแตกยับ
โชคเดินเข้าจิกหัวชายหนุ่มขึ้นมา “กูให้เวลามึงสามวัน ถ้ามึงไม่เอาเงินมาใช้หนี้กู มึงไม่รอดแน่”
ชายหนุ่มโดนซ้อมจนทรุด แต่ก็มองโชคด้วยสายอาฆาต “มึงก็รู้ว่าพ่อกูเป็นใคร มึงเตรียมจองโลงไว้ได้เลย”
โชคยิ้มเยาะ “กูรู้ว่าพ่อมึงใหญ่ แต่ต่อให้ใหญ่กว่านี้อีกสิบเท่า ถ้าเล่นเสียมึงก็ต้องจ่าย” โชคเตะซ้ำจนชายหนุ่มจนล้มหงายไปกับพื้น
ชายหนุ่มคนนั้นมองโชคด้วยสายตาอาฆาตแค้น
เจติยามีสีหน้าครุ่นคิดถึงเรื่องที่ฟังมาจากณุในขณะที่เธอกำลังกดน้ำดื่มจากตู้กดน้ำเย็นอยู่
เจติยาถอนใจแล้วบ่น “ไม่ได้ช่วยอะไรเลย” เจติยาจะดื่มน้ำ
ทันใดนั้นโชคก็ปรากฏตัวขึ้นข้างหลังเจติยา
“ฉันมาทวงสัญญา”
เจติยาร้องด้วยความตกใจ เธอสำลักน้ำจนไอออกมา
เจติยาต่อว่า “มาให้เสียงหน่อยได้มั้ย ฉันจะประสาทกินตายอยู่แล้ว”
“ฉันไม่ใช่เพื่อนเล่นเธอนะ” โชคว่า
“ฉันก็ไม่อยากเป็นเพื่อนกับคุณหรอก” เจติยาหงุดหงิด “ฉันพยายามสุดความ สามารถแล้ว ตำรวจก็ไม่ใช่ แถมเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ ทำได้แค่นี้ก็ดีถมเถแล้ว”
โชคจ้องหน้าเจติยา “ฉันมีเรื่องจะบอกเธอ ถึงฉันจะไม่เห็นหน้าคนแทงฉัน แต่ฉันแน่ใจว่าไม่ใช่พวกศัตรูฉันหรอก เพราะแถวนั้นเป็นถิ่นฉัน ใครแปลกหน้าผ่านมาฉันต้องรู้ คนที่ฆ่าฉันก็คือคนที่อยู่ในร้านนั่นแหละ”
เจติยาคิดตาม “หรือจะเป็นพวกลูกน้องนายเอง”
โชคตวาดเสียงดัง “ไม่มีทาง ลูกน้องฉัน รักฉันทุกคน ไม่มีวันหักหลังฉันเด็ดขาด”
เจติยามีสีหน้าคิดตาม
“วันนี้เธอคงช่วยอะไรฉันไม่ได้แล้วล่ะ ไปช่วยเจ้านายเธอก่อนที่จะโดนรุมตีตายเถอะ” โชคบอก
“เจ้านายฉัน คุณลาภิณเหรอ”
แล้วโชคก็หายตัวไปทันที
เจติยากวาดตามองหา “เดี๋ยวสิ มาพูดให้รู้เรื่องก่อน”
เจติยาบ่น “ทีไม่อยากให้มาจะมา อยากให้อยู่จะไป ผีนี่เอาใจยากจริงวุ้ย” เจติยาฉุกคิดแล้วก็เป็นห่วง “คุณลาภิณ” เจติยารีบวิ่งออกไปตามหาทันที
รากบุญ ตอนที่ 4 (ต่อ)
ลาภิณเดินมาที่รถของเขาที่จอดอยู่ แล้วเขาก็กดรีโมทปลดล็อก ทันใดนั้นก็มีชายสวมโม่ง 2 คนเข้ามารุม
ทำร้ายลาภิณ ลาภิณไม่ทันตั้งตัวแต่ก็พยายามสู้ แต่ฝ่ายตรงข้ามมีมากกว่าลาภิณจึงโดนซัดจนหมอบในสภาพเลือดกลบปากลุกไม่ขึ้น ทันใดนั้นเองเจติยาก็วิ่งนำรปภ. 2 คนเข้ามาช่วย
เจติยารีบชี้ไปด้วยความร้อนใจ “นั่นไงคะคุณลาภิณ”
รปภ.รีบวิ่งปรี่เข้าไปช่วยทันที ปองกับย้งที่สวมโม่งทั้งคู่เห็นท่าไม่ดีจึงรีบดึงกระเป๋าสตางค์ลาภิณแล้ววิ่งหนีไป โดยมีรปภ.วิ่งกวดไปติดๆ
เจติยารีบเข้าไปดูอาการลาภิณ “คุณลาภิณคะ คุณลาภิณ”
ลาภิณโดนซ้อมจนปากคอแตกแถมจุกจนพูดอะไรไม่ออก
เวลาผ่านไป ปริมกำลังคุยโทรศัพท์มือถือด้วยอารมณ์โกรธระหว่างนั่งคอยชูจิตที่ล็อบบี้โรงพยาบาล
“นี่เหรอะที่บอกว่าจะช่วยฉัน ส่งคนไปซ้อมคุณต้นซะสะบักสะบอม ช่วยฉันตรงไหนไม่ทราบ”
เสียงพิสัยดังลอดโทรศัพท์ออกมา
“อย่าพูดชุ่ยๆสิคุณ คนของผมที่ไหนกัน เข้าใจผิดรึเปล่า”
ปริมโมโหมาก “ฉันไม่ได้โง่นะ คนที่รู้ความเคลื่อนไหวของคุณต้น ก็มีแต่คนในเท่านั้นล่ะ ถ้าไม่ใช่คุณแล้วจะเป็นใคร”
พิสัยนั่งไขว่ห้างคุยโทรศัพท์มือถืออยู่ที่โซฟารับแขก
พิสัยหัวเราะ “คุณนี่ฉลาดกว่าที่ผมคิดไว้เยอะเลยนะ โอเค ผมยอมรับก็ได้ แต่ที่ผมทำไปก็เพราะอยากจะช่วยคุณตะหาก”
ปริมโมโหมาก “อย่าเอาฉันมาอ้างหน่อยเลย ทำร้ายคุณต้นแล้วจะช่วยฉันได้ไง”
พิสัยยิ้มๆ “อย่าห่วงเลยน่า แค่นี้ ไอ้ต้นมันไม่ถึงตายหรอก คุณก็อาศัยโอกาสนี้เร่งทำคะแนนก็แล้วกัน คนอย่างต้น ไม้แข็งใช้ไม่ได้ผลหรอก แต่ถ้าเจออ่อนๆหวานๆเข้าเป็นเสร็จ เชื่อผมสิ มึนตึงกันมาพักใหญ่แล้วไม่ใช่เหรอะ ถ้าผมไม่ทำแบบนี้แล้วพวกคุณจะหาจังหวะคืนดีกันได้ยังไง”
ปริมอึ้งไปเพราะยอมรับว่าพิสัยพูดถูกทุกอย่าง เธอเริ่มลังเลว่าจะทำยังไงต่อไปดี
พิสัยกดตัดสายโทรศัพท์มือถือก่อนจะหันมองไปทางปองและย้งที่ยืนอยู่ไม่ห่างนัก
ปองยื่นกระเป๋าสตางค์ของลาภิณให้พิสัย “กระเป๋าตังค์ของไอ้ลาภิณครับคุณพิสัย”
“พวกแกเอาเงินไปแบ่งกัน แล้วทำลายหลักฐานซะ” พิสัยสั่ง
ปองและย้งยิ้มดีใจ
พิสัยล้วงสร้อยทองเส้นโตจากกระเป๋าเสื้อมา 2 เส้นแล้วโยนให้คนละเส้น “อ้ะ รางวัลของพวกแก”
ย้งรับสร้อยทองมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มดีใจ “แต่ก็น่าเสียดายนะครับ ถ้าพวกยามมันไม่มาขวางซะก่อน ป่านนี้ไอ้ลาภิณมันได้ใช้บริการโลงบริษัทตัวเองไปแล้ว”
พิสัยยิ้มเจ้าเล่ห์ “ยังไม่ต้องรีบร้อนหรอก เลี้ยงเอาไว้ดูเล่นก่อน สงสารพี่จิตแก...” พิสัยมีสีหน้าจริงจังขึ้นมา “พวกแกรีบไปทำงานของเราต่อเถอะ ตั้งแต่ไอ้ต้นจับได้ว่าฉันมีนอกมีใน อดอยากปากแห้งมานานแล้ว”
ย้งยิ้มแย้ม “ได้ครับคุณพิสัย กว่าไอ้ลาภิณมันจะหาย คุณพิสัยคงรับทรัพย์อื้อ”
พิสัยยิ้มเจ้าเล่ห์ด้วยความพอใจ
เจติยากำลังกดปุ่มปรับเตียงให้ลาภิณอยู่ในห้องผู้ป่วย ขณะที่ลาภิณนอนเจ็บอยู่บนเตียง หน้าตาของเขาเต็มไปด้วยแผลฟกช้ำเต็มไปหมด
“ไม่มีอะไรแล้ว เดี๋ยวฉันกลับก่อนนะคะ” เจติยาลา
“ขอบใจมากนะเจ ถ้าไม่ได้เธอตามยามมาช่วย ฉันคงไม่เจ็บแค่นี้หรอก” ลาภิณบอก
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ”
“เป็นสิ เธอมีบุญคุณกับฉันนะ จะไม่เป็นไรได้ยังไง” ลาภิณมองเจติยา “ฉันชักจะหายสงสัยขึ้นทุกทีแล้วว่าทำไมคุณพ่อถึงยกหุ้นให้เธอ”
เจติยายิ้มประชด “มองเห็นความสวยของฉันแล้วสิ”
ลาภิณหลุดหัวเราะออกมาดังๆ
เจติยาเจ็บใจ “ไม่ต้องหัวเราะดังขนาดนี้ก็ได้” เจติยาค้อนใส่
ลาภิณกลั้นขำ “ขอโทษๆ”
“เลิกคิดว่าฉันเป็นกิ๊กกับคุณพ่อคุณได้แล้วเหรอ”
ลาภิณยิ้มบางๆ “ฉันไม่ค่อยเชื่ออยู่แล้วล่ะ ฉันมั่นใจในตัวพ่อ แต่ก็โดนแม่ใส่จนเป๋ๆไปเหมือนกัน (หน้าขรึมลง) ฉันคิดว่าที่คุณพ่อโอนหุ้นให้เธอ ก็เพราะอยากให้เธอคอยช่วยเหลือฉันกับนิราลัยมากกว่า”
เจติยาเหยียดปากแล้วพูดด้วยน้ำเสียงประชด “ลูกจ้างชั่วคราวอย่างฉันจะไปช่วยอะไรได้”
“แล้วนี่เธอไม่ได้กำลังช่วยฉันอยู่เหรอ” ลาภิณจ้องหน้าเจติยา
เจติยานิ่งไปเล็กน้อย ทันใดนั้นปริมและชูจิตก็เปิดประตูห้องเข้ามา พอทั้งคู่เห็นเจติยาก็ชะงักเช่นเดียวกับเจติยาที่หน้าเจื่อนไปทันทีเพราะไม่อยากเจอสองคนนี้
ชูจิตทำหน้าบึ้งตึง เพราะไม่พอใจที่เห็นเจติยาอยู่ที่นี่ “เธอมาทำอะไร”
เจติยากำลังจะตอบ แต่ลาภิณพูดสวนขึ้นมาก่อน
“เจเป็นคนช่วยผมเอาไว้ครับคุณแม่”
ปริมแอบค้อนใส่เจติยา
ชูจิตเหล่เจติยา “เธอมีอะไรอีกรึเปล่า ถ้าไม่มีก็กลับไปได้แล้ว”
เจติยาหน้าเสีย “ค่ะท่าน” เจติยาไหว้ลา “สวัสดีค่ะ”
ชูจิตทำเมินไม่ยอมรับไหว้ เจติยากำลังจะออกจากห้องแต่ปริมพูดขึ้นมาก่อน
“ขอบใจมากนะที่เธอช่วยคุณต้นไว้”
ทุกคนต่างอึ้งที่ปริมพูดขอบใจเจติยา โดยเฉพาะเจติยาที่แปลกใจกว่าใครเพื่อน
“ฉันถือว่าฉันเป็นหนี้บุญคุณเธอไม่น้อยไปกว่าคุณต้น ไว้ฉันจะหาทางตอบแทนน้ำใจของเธอก็แล้วกัน”
เจติยายิ้มงงๆ ก่อนจะเดินออกจากห้องไป ลาภิณมองปริมอย่างนึกไม่ถึง ปริมยิ้มหวานเดินเข้าไปหา
“เจ็บมากมั้ยต้น” ปริมถาม
“ไกลหัวใจเยอะ”
“ปากเก่ง” ปริมค้อนด้วยความหมั่นไส้เล็กๆ
ชูจิตยิ้มสบายใจที่ลูกชายปลอดภัย ส่วนลาภิณได้แต่ปั้นยิ้มไปมาแต่ก็แอบลอบมองตามเจติยาไปเล็กน้อย
เจติยาเดินทำหน้างงๆ ออกมาจากห้อง เธอบ่นพึมพำอย่างไม่อยากเชื่อ
“คุณปริมกินอะไรเข้าไปเนี่ย น่าตกใจยิ่งกว่าผีหลอกซะอีก”
ทันใดนั้นเอง เจติยาก็เหลือบไปเห็นพยาบาลกำลังเข็นรถเข็นให้แฟนสาวของณุนั่ง โดยมีณุเดินตามมาเอาอกเอาใจ
แฟนณุบ่นเสียดายเงิน “แค่อาหารเป็นพิษเอง ไม่ต้องนอนโรงพยาบาลก็ได้มั้งพี่ณุ”
เจติยาจำณุได้ก็เบี่ยงตัวหลบทางพร้อมก้มหน้าเล็กน้อย
ณุยิ้มแย้ม “นอนไปเหอะ เงินแค่นี้จิ๊บๆ พี่มีจ่าย ไม่ต้องห่วง”
ณุเข็นรถเข็นพาแฟนสาวเลยผ่านเจติยาไป
เจติยามองตามด้วยความแปลกใจ ก่อนจะพูดเบาๆกับตัวเอง “ลูกพี่เพิ่งตาย ไม่ประหยัดเงินมั่งรึไง”
เจติยาจับตามองไปด้วยสีหน้าแววตาสงสัย
ที่มหาวิทยาลัย นิษฐากำลังโวยวาย
“แกจะบ้าเหรอะเจ นายโชคเป็นญาติฝ่ายไหนของแกยะ ถึงจะต้องไปบ้านเค้า”
นิษฐาโวยใส่เจติยาอยู่ที่ม้านั่งใต้ต้นไม้ในมุมหนึ่งของมหาวิทยาลัย
“แต่มันจำเป็นนะแก เผื่อฉันจะได้หลักฐานอะไรบ้าง แล้วฉันก็อยากรู้ด้วย ว่าหลังจากนายโชคตาย ใครเป็นคนได้ผลประโยชน์มากที่สุด เผื่อจะหาตัวคนร้ายได้ไง”
“แกจะดิ้นรนหาหลักฐานไปเพื่อ...”
“เพื่อความสบายใจ ว่าจะไม่มีใครมาตามเล่นงานเจ้านทีต่อจากนายโชคอีก”
นิษฐาค่อยอ่อนลงเพราะเหตุผลของเจติยาถือว่าฟังขึ้น
“แกมีคนรู้จักที่อยู่ในชุมชนเดียวกับนายโชคไม่ใช่เหรอ ขอให้เค้าพาฉันไปที่บ้านนายโชคหน่อยสิ” เจติยาบอก
นิษฐาไม่ค่อยเห็นด้วย “เออๆ ฉันจะลองถามเค้าให้ละกัน แต่ไม่รับปากนะว่าจะสำเร็จ”
เจติยายิ้มดีใจ “ขอบใจมากจ้ะเพื่อนเลิฟ”
นิษฐาทิ้งค้อนด้วยความหมั่นไส้
ทันใดนั้น พิทยาก็ขับรถสปอร์ตสุดหรูซึ่งมีกุลธิดานั่งมาด้วยมาจอดหน้าเจติยา พิทยาและกุลธิดาลงรถมาพร้อมกัน พอนิษฐาเห็นพิทยา เธอก็ทำหน้าบึ้งตึงขึ้นมาทันที กุลธิดาเดินนำมาหากลุ่มเพื่อน ส่วนพิทยายืนพิงรถรอ
“ไงยะพวกแก สุมหัวเม้าท์อะไรฉันอยู่รึเปล่า” กุลธิดาถาม
เจติยายิ้มๆ “ฉันกำลังปรึกษากันว่าจะโทรไปฟ้องแฟนคลับพี่พีทให้มารุมขย้ำแกดีมั้ย”
กุลธิดาขำ “บ้า”
นิษฐาเหล่มองไปทางพิทยาอย่างจับสังเกตเพราะไม่ไว้ใจเนื่องจากเห็นนักศึกษาสาวๆ มาขอถ่ายรูปคู่ด้วยโทรศัพท์มือถืออยู่เรื่อยๆ ในขณะที่พิทยาก็ยิ้มแย้มเป็นมิตรกับแฟนๆดี
กุลธิดาหันไปพูดกับนิษฐา “สร้อยข้อมือฉันล่ะฐา”
นิษฐาเปิดกระเป๋าสะพายแล้วหยิบสร้อยข้อมือทองเส้นเล็กๆเส้นหนึ่งยื่นให้กุลธิดา
“ฉันให้ช่างซ่อมตะขอให้แล้ว มันหลวมนิดหน่อย แกไม่ต้องจ่ายค่าซ่อมหรอก” นิษฐาบอก
กุลธิดารับสร้อยมาใส่ที่ข้อมือตัวเองด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ขอบใจจ้ะ มีเพื่อนเป็นลูกสาวร้านทองมันก็ดีอย่างงี้นี่เอง”
พิทยาเดินยิ้มเข้ามาหา “จะไปรึยังครับเอียด จะได้เวลาเรียนแล้วนะ”
กุลธิดายิ้มรับ “ค่ะพี่พีท” กุลธิดาหันไปพูดกับเพื่อนๆ “ไปก่อนนะพวกแก เดี๋ยวพรุ่งนี้เจอกัน”
พิทยาโปรยยิ้มมาให้เพื่อนๆ ของกุลธิดาก่อนจะโอบเอวแล้วพาขึ้นรถ
นิษฐามองตามไปด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ในขณะที่เจติยายิ้มแย้ม
“ตัวจริงพี่พีทเค้าดูติดดินดีเนอะ” เจติยาว่า
นิษฐายังคงมีสีหน้าเคร่งเครียดrพร้อมทั้งมองตามพิทยาไปอย่างจับผิด
เจติยาเห็นสีหน้าเพื่อนก็แปลกใจมาก “ฐา เครียดไรแก”
นิษฐาเพิ่งรู้สึกตัว “เออ ก็คงงั้นแหละ” นิษฐาตัดบท “ฉันไปเรียนก่อนนะ”
นิษฐาหยิบหนังสือเรียนแล้วเดินเลี่ยงไป เจติยามองตามเพื่อนด้วยความแปลกใจกับท่าทีของนิษฐา
ลาภิณกำลังกินยาแล้วดื่มน้ำตาม โดยมีปริมคอยดูแลหยิบน้ำ หยิบยาให้
ปริมยิ้มแย้ม “เดี๋ยวเย็นนี้ตำรวจจะมาสอบปากคำนะคะ คุณสะดวกรึเปล่า”
“ได้ สอบปากคำเสร็จแล้ว ผมจะกลับบ้านเลยนะ ผมไม่อยากนอนโรงพยาบาลแล้ว” ลาภิณบอก
ปริมยิ้ม “ทำเป็นเด็กๆ ไปได้ กลัวโดนฉีดยารึไงคะ”
ลาภิณยิ้มอย่างอารมณ์ดี
ปริมปั้นหน้าเศร้าก่อนจะจับมือลาภิณ “คุณต้นคะ ช่วงนี้ถ้าปริมทำตัววีนเหวี่ยงจนทำให้คุณต้องอึดอัด ปริมขอโทษด้วยนะคะ ปริมรู้ตัวแล้วว่าทำเกินไป ต่อไปปริมจะปรับปรุงตัวนะคะ”
ลาภิณจับมือปริมกระชับไว้ “ผมก็ต้องขอโทษคุณเหมือนกัน ที่ไม่ค่อยมีเวลาให้คุณเลย เพราะผมอยากจะพิสูจน์ตัวเอง ว่าไม่ใช่ลูกเศรษฐีสมองกลวง ไร้ความสามารถ ผมก็เลยโหมงานมากไปจนไม่ค่อยได้คิดถึงจิตใจคุณ ผมขอโทษนะ”
ปริมยิ้มดีใจ แล้วคำพูดของพิสัยที่แนะก็ดังก้องขึ้นมาในหัว
“คนอย่างต้น ไม้แข็งใช้ไม่ได้ผลหรอก แต่ถ้าเจออ่อนๆ หวานๆเข้าเป็นเสร็จ เชื่อผมสิ”
ปริมยิ้มแย้มเพราะเริ่มรู้สึกมั่นใจในตัวพิสัยมากขึ้น
ชูจิตกำลังคุยกับพิสัยอยู่ในห้องทำงานด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“พอต้นเข้าโรงพยาบาล ก็สั่งของด่วนมาเลยนะ ตกลงเธอจะไม่ยอมเลิกกินนอกกินในแน่ใช่มั้ย”
พิสัยแกล้งทำเป็นจ๋อย “ผมไม่ได้ทุจริตนะครับพี่จิต ของทุกอย่างที่สั่งมันจำเป็นทั้งนั้น ราคาก็เท่ากับท้องตลาดทั่วไป พี่ตรวจดูได้เลยครับ”
ชูจิตมองพิสัยอย่างระแวงปนห่วง “เธอไม่ได้ตุกติกจริงๆนะ”
“โธ่พี่จิต พี่ออกตัวช่วยผมเอาไว้คราวก่อน ผมก็เข็ดแล้วล่ะครับ” พิสัยปั้นหน้าเศร้า “พี่กับพี่สารัชมีบุญคุณท่วมหัวผม ใจจริงผมไม่เคยคิดจะทุจริตเลย แต่ทุกวันนี้ผมก็ไม่ต่างจากลูกจ้างคนนึง ผมก็เลยอยากมีกิจการของตัวเองบ้าง พอมีปัญหาขึ้นมา ผมก็ขายทิ้งให้คนอื่นไปแล้ว พี่ไม่เชื่อ จะให้ผมไปสาบานที่ไหนก็ได้”
ชูจิตใจอ่อน เพราะสงสารน้อง “ไม่ต้องถึงขั้นสาบงสาบานหรอก เมื่อเธอยืนยันหนักแน่นขนาดนี้ พี่ก็เชื่อเธอ” ชูจิตมองหน้าพิสัยด้วยความเห็นใจ “ต่อไปก็เลิกคิดน้อยอกน้อยใจที่ไม่ได้อะไรจากพี่สารัชได้แล้ว เพราะเธอจะได้จากพี่อย่างแน่นอน”
“ขอบคุณครับพี่จิต”
“ถ้าขาดเหลืออะไรก็มาบอกพี่ได้ ยังไงเธอก็เป็นน้องชายแท้ๆ ของพี่ พี่ต้องช่วยเหลือเธออยู่แล้วพิสัย”
พิสัยไหว้แล้วปั้นหน้าซึ้งใจสุดๆ “ผมก็มีแต่พี่จิตคนเดียวนี่ล่ะครับ ถ้าไม่มีพี่ซักคน ก็คงไม่มีใครต้องการผม”
ชูจิตมองน้องชายด้วยความสงสารและเห็นใจจนอดไม่ได้ที่จะลุกไปกอดน้องชายเอาไว้ พิสัยมีสีหน้านิ่งๆ เหมือนกำลังคิดอะไรในใจ
พิสัยเดินออกมาจากหน้าห้องทำงานของชูจิต พอประตูปิดลง พิสัยก็หยิบมือถือขึ้นมากดโทรออก
พิสัยยิ้มอารมณ์ดี “เฮ้ย ทางสะดวกแล้ว เอาของมาส่งได้เลย เคลียร์เงินให้จบภายในวันนี้ก่อนไอ้ตัวมารจะกลับมา”
พิสัยกดตัดสาย แล้วกระหยิ่มยิ้มย่องอย่างสะใจ
เจติยา นิษฐาและครูหวาน เพื่อนสมัยเด็กของโชคซึ่งสอนเด็กๆอยู่ในชุมชนแออัดกำลังเดินคุยกันมาบริเวณซอยบ้านของโชค
“โชคเป็นเด็กกำพร้า พ่อแม่ตายหมด ก็เลยเร่ร่อนมาเรื่อยๆก่อนจะมารวมกลุ่มตั้งแก๊งกันที่นี่” หวานหน้าเศร้าลง “พี่เองรู้จักเค้ามาตั้งแต่เด็ก เคยเตือนเค้าเรื่องนี้หลายครั้งแล้ว แต่เค้าก็ไม่ยอมฟัง”
นิษฐาใจอ่อน “ฟังอดีตรันทดอย่างงี้แล้ว ชักสงสารนายโชคขึ้นมาแล้วนะคะครู”
หวานยิ้มบางๆ “โชคเค้าทำเรื่องแย่ๆ ไว้เยอะ แต่ก็พอจะมีส่วนดีอยู่บ้าง”
ทั้งสามคนเดินมาถึงหน้าบ้านหลังหนึ่งซึ่งเป็นบ้านขนาดกลางๆ แต่ถูกทิ้งร้าง หน้าต่าง ประตูถูกงัดจนเปิดออกหมด
“นี่ล่ะค่ะบ้านโชค” หวานบอก
เจติยาแปลกใจ “ทำไมโทรมนักล่ะคะครู” เจติยามองเข้าไปในบ้าน “แล้วนี่มีคนอยู่รึเปล่าคะ ประตูหน้าต่างเปิดไว้ แต่ทำไมเงียบจัง”
“ไม่มีคนอยู่หรอกค่ะ โชคเค้าอยู่คนเดียว แต่ที่เห็นบ้านเปิดไว้ก็เพราะโดนงัดค่ะ พอโชคตาย พวกขโมยขโจรแถวนี้ ก็เลยงัดบ้านเข้าไปขโมยของน่ะค่ะ”
เจติยาถอนใจ “งั้นหนูขอเข้าไปในบ้านหน่อยนะคะ เผื่อจะเจออะไรบ้าง”
“เชิญค่ะ”
หวานเปิดประตูพาเจติยาและนิษฐาเดินเข้าไป ทันใดนั้นนิษฐาก็เหลือบเห็นรถของพิทยาขับช้าๆผ่านไป
นิษฐาเอะใจ “แกเข้าไปก่อน เดี๋ยวฉันตามไป”
นิษฐารีบเดินตามรถของพิทยาไปทันที เจติยามองตามไปอย่างงงๆ ก่อนจะเดินเข้าบ้านไป
เจติยาเดินตามหวานเข้ามาในบ้าน ภายในบ้านแทบไม่มีข้าวของเหลืออยู่เลย แถมถูกรื้อค้น
ทุกซอกทุกมุมจนเละเทะไปหมด
“ดูน้องจะสนใจการตายของโชคมากเลยนะคะ คนส่วนใหญ่โล่งอกที่โชคตายไปซะได้ ไม่มีใครสนใจคนฆ่าหรอกค่ะ” หวานบอก
เจติยายิ้มๆ เพราะไม่รู้ว่าจะตอบยังไง แล้วเธอก็นึกขึ้นได้ “เอ่อ ครูคะ ครูพอทราบมั้ยคะ ว่าหลังจากนายโชคตาย ใครเป็นคนคุมโต๊ะบอลของนายโชคต่อ...”
ทันใดนั้นเองหวานก็เหลือบไปมองที่ด้านหลังของเจติยาก็เห็นชายติดยาหน้าตาถมึงทึงกำลังเมายาเต็มที่ เดินถือมีดมาที่ด้านหลังของเจติยา
หวานตกใจสุดๆ “ระวังค่ะ”
เจติยาหันไปมองจังหวะเดียวกับที่คนติดยากำลังเงื้อมีดจะแทง เจติยารีบฉากหลบตามสัญชาติญาณเลยรอดไปได้หวุดหวิด
“พวกมึงจะมาฆ่ากู พวกมึงต้องตาย” คนติดยาเมายามาก
คนติดยาเอามีดไล่แทงเจติยากับหวาน ทั้งคู่ร้องลั่นแล้วจะวิ่งหนีออกไปจากบ้าน แต่คนติดยาก็วิ่งมาดักหน้าไม่ให้หนี แล้วเขาก็ฟาดมีดมั่วจนเจติยาไม่กล้าเข้าใกล้ หวานจะวิ่งหนีไปอีกทางแต่ก็โดนคนติดยาจิกหัวเอาไว้แล้วเงื้อมีดจะแทง เจติยารีบเข้าไปจับแขนคนติดยาเอาไว้ไม่ให้แทง แล้วเธอก็ตัดสินใจกัดเข้าเต็มเขี้ยว จนคนติดยาร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด
คนติดยาเหวี่ยงหวานล้มลงก่อนจะกระชากเจติยามาเหวี่ยงไปกระแทกผนังบ้านจนล้มคว่ำ เขามองไปที่เจติยาด้วยตาขวางก่อนจะเงื้อมีดขึ้นสูง
พิทยาจอดรถสปอร์ตหรูอยู่ในซอยเหมือนรอใครซักคน นิษฐากำลังแอบดูพิทยาอยู่ ทันใดนั้นณุก็เดินเข้ามาหาพิทยา นิษฐาหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาถ่ายคลิปไว้
พิทยากดป่มลดกระจกรถลง ณุเดินเข้ามาพูดคุยทักทาย แล้วพิทยาก็ยื่นเงินปึกหนึ่งให้ณุ พร้อมกับที่ณุยื่นซองพลาสติกเล็กๆซองหนึ่งให้พิทยาเป็นการแลกเปลี่ยน ณุนับเงิน
นิษฐาตื่นเต้น เธอพึมพำกับตัวเอง “ได้เรื่องแล้ว”
ทันใดนั้นเอง นิษฐาก็ได้ยินเสียงเจติยากรี๊ดลั่นดังแว่วมา
นิษฐาตกใจ “เจ”
นิษฐารีบวิ่งกลับไปหาเจติยาทันที
พิทยาได้ยินเสียงผู้หญิงร้องก็เห็นท่าไม่ดีรีบถามณุ
“ครบนะ”
ณุพยักหน้ารับ พิทยารีบขับรถออกไปอย่างรวดเร็ว
นวัชกำลังสอบปากคำลาภิณอยู่โดยมีปริมทำทีนั่งอ่านแม็กกาซีนแฟชั่นอยู่ใกล้ๆ แต่คอยเงี่ยหูฟัง
อยู่ตลอด
“คุณลาภิณแน่ใจได้ยังไงครับ ว่าไม่ใช่คดีชิงทรัพย์ธรรมดา” นวัชถาม
“ผมเพิ่งกลับจากต่างประเทศได้ไม่ถึงปีเลยนะครับ ไม่มีศัตรูที่ไหนหรอก แล้วในบริษัทก็มีทั้งร.ป.ภ. ทั้งกล้องวงจรปิด แต่คนร้ายก็ยังเข้ามาได้ แสดงว่าต้องรู้ทางหนีทีไล่เป็นอย่างดี”
“แปลว่าคุณลาภิณสงสัยคนใน”
“ครับ เมื่อไม่กี่เดือนก่อน ผมเพิ่งไล่พนักงานออกไปสองคน ผมคิดว่าสองคนนี่อาจจะแค้นผม ก็เลยมาลอบทำร้าย แต่ที่เอากระเป๋าเงินผมไปด้วย ก็เพื่อจะกลบเกลื่อนเท่านั้นเอง”
ปริมเห็นท่าไม่ดีเพราะกลัวตำรวจจับได้แล้วจะซวยมาถึงตนด้วย “คงไม่ใช่สองคนนั่นหรอกค่ะคุณต้น ตั้งแต่ถูกไล่ออกไป ก็เงียบหายไปเลย ถ้ามันแค้นคุณต้นจริง ก็น่าจะทำซะตั้งนานแล้ว”
ลาภิณได้ยินปริมแย้งก็ชักลังเล
“เรายังตัดประเด็นไหนทิ้งไม่ได้หรอกครับ เอ่อ แล้วนอกจากคนงานสองคนนี่ คุณลาภิณยังสงสัยใครอีกรึเปล่าครับ” นวัชถาม
ลาภิณยิ้มเล็กน้อย “ถ้าเป็นนายปองกับนายย้งจริงอย่างที่ผมสงสัย หมวดก็จะได้ตัวคนที่อยู่เบื้องหลังมาเองล่ะครับ”
ปริมมีสีหน้ากังวล
ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์มือถือของนวัชก็ดังขึ้น
“ขอโทษนะครับ” นวัชหยิบมือถือขึ้นมาดูเบอร์ก่อนจะกดรับ “มีอะไรเหรอฐา พี่กำลังทำงานอยู่”
นวัชได้ยินเสียงนิษฐาร้องไห้สะอึกสะอื้นดังแว่วออกมาจากโทรศัพท์
“พี่หมวด...เจแย่แล้ว”
นวัชตกใจจนหน้าถอดสี “เจเป็นอะไร เกิดอะไรขึ้นกับเจ”
ลาภิณมีสีหน้าสนใจปนห่วงขึ้นมาทันที
นวัชร้อนใจสุดๆ “อย่าเพิ่งร้องไห้ได้มั้ย เกิดอะไรขึ้นกับเจก็บอกมาสิ” นวัชนิ่งฟังอีกฝ่าย แต่ยิ่งร้อนใจหนักเพราะนิษฐาเอาแต่ร้องไห้จึงพูดไม่รู้เรื่อง “ เออๆ ไม่ต้องพูดแล้ว ยิ่งพูดยิ่งงง ตอนนี้อยู่ไหน” นวัชฟังอีกฝ่าย “โอ.เค.พี่จะไปเดี๋ยวนี้ล่ะ”
นวัชกดตัดสายทันที
ลาภิณเป็นห่วง “เจติยาเป็นอะไรเหรอครับ”
“โดนคนทำร้ายครับ” นวัชบอก
ลาภิณตกใจปนห่วง
นวัชตัดบทด้วยสีหน้าร้อนใจ “ขอบคุณมากนะครับสำหรับข้อมูล งั้นผมลาเลยนะครับ”
“ขอผมไปด้วยนะครับ”
ปริมโมโหหึง “คุณต้นจะไปทำไม ไม่ใช่เรื่องอะไรของเราซะหน่อย”
ลาภิณไม่พอใจ “เจติยาเป็นพนักงานของนิราลัย แล้วก็เป็นคนช่วยผมเอาไว้ด้วย ปริมลืมแล้วเหรอ”
ปริมหน้าเสียเพราะเถียงไม่ออก
“ให้ผมไปด้วยนะครับหมวด” ลาภิณบอก
นวัชไม่เต็มใจนักแต่ก็ต้องพยักหน้ารับไปด้วยมารยาท ปริมหงุดหงิด แต่เพราะเพิ่งจะดีกับลาภิณได้ก็เลยไม่อยากทะเลาะอีกจึงได้แต่อดทน
ลาภิณ นวัช และปริมรีบเดินเข้ามาในโถงบ้านเจติยา นวัชมีท่าทางร้อนใจอย่างเห็นได้ชัด ในขณะที่ลาภิณก็มีสีหน้าเคร่งเครียด มีแต่ปริมเท่านั้นที่ทำหน้าบึ้งตึงเพราะไม่เต็มใจมาแต่ก็ต้องตามมาคุม พอเดินเข้ามาก็เห็นนิษฐากำลังคุยกับหวานอยู่ที่โถงบ้าน
นวัชร้อนใจ “เจเป็นยังไงบ้างฐา”
นิษฐาหน้าเจื่อนเพราะไม่รู้จะพูดยังไงดี ทันใดนั้นเจติยาก็เดินออกมาจากข้างในบ้าน
เจติยาแปลกใจ “อ้าว พี่หมวด คุณลาภิณ คุณปริม มาได้ไงคะเนี่ย”
นวัชและลาภิณมองเจติยาด้วยความแปลกใจ
ลาภิณแปลกใจ “นี่คุณไม่ได้เป็นอะไรเหรอ”
เจติยางง “เปล่านี่คะ ฉันสบายดี”
ทุกคนหันมามองทางนิษฐา
นิษฐาหน้าจ๋อยและพยายามอธิบาย “คือเจโดนคนเมายาบ้าเอามีดไล่แทง แล้วก็สลบสไลไม่ได้สติ ฐาห่วงเจมาก ตกใจไม่รู้จะทำไงดี ก็เลยโทรหาพี่หมวดก่อนน่ะค่ะ” นิษฐาหน้าแหยๆ
ปริมหงุดหงิดจึงหันไปวีนใส่นิษฐา “แล้วทำไมเธอไม่โทรกลับไปบอกว่าไม่เป็นไรแล้ว รู้มั้ยว่าพวกฉันรีบมาแทบแย่”
นิษฐาจ๋อยสนิท “ขอโทษค่ะ คือฐามัวแต่ดีใจว่าเจไม่เป็นอะไร ก็เลยลืมน่ะค่ะ”
ปริมถอนใจด้วยความหงุดหงิดออกมาแรงๆ พร้อมส่ายหน้า
“ไม่เป็นไรก็ดีแล้วล่ะ” ลาภิณบอก
ปริมรำคาญปนเซ็ง “หมดเรื่องแล้ว ก็กลับกันซะทีเถอะค่ะคุณต้น เสียเวลาจริงๆเลย ปริมไปรอที่รถนะคะ” ปริมเชิดใส่แล้วเดินออกจากบ้าน พร้อมบ่นลับหลัง “จะห่วงอะไรมันนักหนา”
ลาภิณหน้าเสียที่ปริมเสียมารยาท “ผมกลับก่อนนะ ยังไงก็ขอบคุณอีกครั้งที่ช่วยผมเอาไว้”
เจติยายิ้มให้ แล้วลาภิณก็เดินตามปริมออกไป
“แล้วตกลงคนเมายาหนีไปแล้วเหรอ” นวัชถาม
“ฉันเรียกรถพยาบาลมารับไปแล้วล่ะค่ะ” หวานบอก
นวัชมีสีหน้าแปลกใจ
“ตอนที่เค้ากำลังจะแทงน้องเจ อยู่ๆก็ชักน้ำลายฟูมปากขึ้นมาเลยค่ะหมวด” หวานเล่าด้วยสีหน้าตื่นตกใจไม่หาย
เจติยานึกย้อนถึงเหตุการณ์ตอนนั้นแล้วก็มีสีหน้าขรึมลง เพราะนอกจากเธอแล้วก็ไม่มีใครรู้ว่าจริงๆเกิดอะไรขึ้น
ตอนนั้นเจติยาวิ่งหนีคนติดยาจนหกล้มลง ในขณะที่คนติดยาเงื้อมีดจะแทง เจติยาก็กรี๊ดลั่นด้วยความหวาดกลัวสุดๆ ทันใดนั้นวิญญาณของโชคก็โผล่มาขวางหน้าคนติดยาไว้ สีหน้าของโชคถมึงทึงและดุร้ายจนน่าหวาดกลัว คนติดยาตาเหลือกด้วยความหวาดกลัวสุดๆ แต่เขาก็ขยับตัวไม่ได้ เจติยามองโชคด้วยความตะลึงเพราะไม่คิดว่าโชคจะโผล่มาช่วยตน
โชคตะคอกใส่คนติดยา “ออกไปจากบ้านกู ไป”
ทันใดนั้นเอง คนติดยาก็มีอาการช็อคจนตาเหลือกน้ำลายฟูมปากก่อนจะลงไปชักดิ้นชักงออยู่กับพื้นซักพักแล้วก็สลบแน่นิ่งไป เจติยาเห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง โชคหันขวับมาจ้องหน้าเจติยา ด้วยพลังของโชคที่ส่งมาถึงเลยทำให้เจติยาเป็นลมสลบไปอีกคน ทันใดนั้นนิษฐาก็โผล่เข้ามาพอดี
นิษฐาตกใจ “เจ” นิษฐารีบเข้าไปดูอาการเจติยา “แกเป็นอะไรไป เจๆ”
หวานตั้งสติได้ก็รีบเข้ามาดูอาการเจติยาอีกคน เจติยายังคงสลบสไลไม่ได้สติ
เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านไป เจติยาก็กลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ ก่อนจะเหลือบตามองไปที่นวัชที่กำลังพูดขึ้นมา
“ฐาก็ไม่ควรปล่อยให้เจเข้าไปในบ้านนั้นเลย”
นิษฐางอน “ถ้าฐารู้ว่ามีคนติดยาอยู่ในบ้าน ก็คงไม่ยอมให้เจเข้าไปหรอกค่ะ”
“ช่วงนี้ยาบ้าในชุมชนระบาดหนักมากเลยค่ะ เสียดายที่โชคตาย ไม่ยังงั้นก็คงไม่เป็นแบบนี้” หวานบอก
“นายโชคเนี่ยนะครับ จะไปช่วยอะไรได้” นวัชข้องใจ
เจติยาและนิษฐารอฟังคำตอบเช่นกัน
“ได้สิคะ โชคเค้าเกลียดยาเสพย์ติดมาก เพราะพ่อแม่เค้าตายเพราะยานรกพวกนี้ ถึงเค้าจะทำเลวเรื่องอื่น แต่เรื่องยานี่เค้าไม่ยุ่งเลย แถมยังคอยเฝ้าระวังให้อีก” หวานบอก
เจติยา คอยฟังด้วยความสนใจและเก็บข้อมูลตลอด
เจติยาที่เปลี่ยนชุดนอนแล้วกำลังนั่งหวีผมอยู่ที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งในห้อง
“ขอบคุณนายมากเลยนะ ถ้านายไม่ช่วยฉันไว้ ป่านนี้ฉันคงได้ล่องลอยเป็นเพื่อนนายไปแล้ว” เจติยาเหลือบตามองผ่านกระจก
วิญญาณโชคหน้าซีดขาวยืนมองเจติยาด้วยสีหน้านิ่งเรียบอยู่ทางด้านหลัง
“ถ้าฉันไม่ช่วยเธอ แล้วใครจะบอกความจริงให้ฉันรู้ล่ะ” โชคมีสีหน้าเคียดแค้น “ว่าใครเป็นคนฆ่าฉันตาย”
เจติยาถอนใจออกมาก่อนจะลุกเดินไปพับเสื้อผ้า
“ฉันมีข้อสงสัย 2 ข้อ อยากจะถามนาย” เจติยาเอ่ยขึ้น
“มีอะไร” โชคเดินตาม
เจติยายกมือห้าม “ไม่ต้องตาม คุยห่างกันระยะนี้กำลังดี”
โชคถอนใจด้วยสีหน้านิ่งเพราะพยายามสะกดความหงุดหงิดเอาไว้
“แล้วก็ขอบคุณที่วันนี้ปรากฏตัวแบบให้สุ้มให้เสียง ไม่ต้องโชว์พาวว่าฉันเป็นผี ต้องเปิดตัวแบบให้ฉันต้องช็อคร้องกรี๊ด มันเหนื่อย”
“เมื่อไหร่จะหยุดพล่าม แล้วถามคำถามของเธอมา” โชคว่า
“รู้แล้วน่ะ นายไม่ได้ขัดผลประโยชน์เรื่องยาเสพย์ติดจนถูกฆ่าแน่นะ”
“ก็อย่างที่ครูหวานบอกน่ะแหละ เรื่องนี้ฉันไม่เกี่ยว เคยมีแก๊งใหญ่มาทาบทามให้ฉันเป็นเอเย่นต์หลายครั้ง แต่ฉันไม่เอาด้วย พวกมันไม่อยากทับเส้นกับฉัน ก็เลยไปที่อื่นหมดแล้ว”
เจติยาพยักหน้ารับทราบ “งั้นข้อสอง หลังจากนายตายแล้ว ไอ้กิจการผิดกฎหมายทั้งหมดของนาย ใครเป็นคนดูแลต่อ”
“ถามทำไม”
“ตอบมาเหอะน่ะ”
“ไอ้ณุ มันเป็นมือขวาของฉัน แล้วฉันก็รักมันเหมือนน้องแท้ๆ ไม่มีใครเหมาะเท่ามันหรอก”
เจติยามีสีหน้าครุ่นคิดเมื่อได้รู้ข้อมูลจากโชค
ทันใดนั้นกรอบรูปหัวเตียงก็ล้มกระแทกเสียงดังจนเจติยาสะดุ้งโหยงและร้องลั่นออกมา เจติยาหันมองโชค
โชคยกมือพร้อมยักไหล่ปฏิเสธ “ฉันเปล่า”
เจติยาถอนใจแรงออกมาก่อนจะมีสีหน้าใช้ความคิดต่อ
เช้าวันใหม่ ลาภิณเดินหน้าหงิกลงบันไดมาหาชูจิตที่โต๊ะอาหาร
ลาภิณเดินมาหาแม่พร้อมต่อว่า “ผมไม่ได้ไปทำงานแค่วันเดียว น้าพิสัยสั่งของเข้ามาล็อตใหญ่เลยนะครับ”
“ของจำเป็นทั้งนั้นล่ะต้น ลูกอยากตรวจสอบดูก็ได้นี่” ชูจิตว่า
“ป่านนี้แล้ว ยังจะเหลืออะไรให้ตรวจอีกล่ะครับ”
ชูจิตไม่สบายใจ “น้าเค้าทำงานไปตามหน้าที่ ก่อนจะสั่งของล็อตนี้ เค้าก็มาบอกแม่แล้ว ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ”
“ถึงมีคุณแม่ก็ออกรับแทนอยู่ดีล่ะครับ ก็อย่าให้มันเกินจะรับได้ก็แล้วกันนะครับ”
ชูจิตชักเคือง “ต้น แม่ก็รักบริษัทนี้ไม่แพ้กับต้นหรอกนะ”
ลาภิณพูดหน้านิ่ง “ผมไม่ทานนะครับ” ลาภิณเดินหน้าเซ็งออกไปจากบ้าน
ชูจิตมองตามลาภิณไปพร้อมถอนหายใจยาวออกมา
รากบุญ ตอนที่ 4 (ต่อ)
ชูจิตนั่งลงที่เก้าอี้ทำงานที่บริษัทด้วยท่าทางเคร่งเครียดเพราะรู้สึกละเหี่ยใจ
ชูจิตกดปุ่มโทรศัพท์ภายในเพื่อต่อสายออกไปหาเลขา “ตุ้ม ขอน้ำให้ฉันหน่อย ฉันจะทานยา”
ชูจิตหยิบกระเป๋าถือมาควานหายาแก้ปวดหัว ทันใดนั้นเองก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นก่อนที่เจติยาจะถือถาดใส่น้ำเย็นเดินเข้ามาชูจิต แต่ชูจิตมัวแต่หายาอยู่ทำให้ไม่เห็นว่าเจติยาเดินเข้ามาในห้อง
“น้ำค่ะท่าน”
“ขอบใจจ้ะ” ชูจิตเงยหน้าขึ้นมองก็ตกใจ “อ้าว นี่เธอเข้ามาได้ยังไง แล้วตุ้มล่ะ”
“พี่ตุ้มเอาเอกสารไปให้ที่ฝ่ายบุคคลค่ะ พอดีเจอหนูที่หน้าลิฟท์ ก็เลยฝากโต๊ะหนูชั่วคราว อีกเดี๋ยวพี่ตุ้มก็มาแล้วค่ะ”
ชูจิตไม่พอใจ “ดีเหลือเกินนะบริษัทนี้ ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกันก็ฝากงานทำแทนกันได้” ชูจิตมองแก้วน้ำ “ก่อนจะเอาน้ำมาให้ฉัน เธอล้างมือแล้วรึยัง”
“ล้างแล้วค่ะ เรื่องความสะอาดเป็นกฎเหล็กของห้องแต่งศพอยู่แล้ว”
“ถึงยังงั้น เธอก็ไม่ควรเอาของกินมาให้ฉัน ทำงานคลุกคลีอยู่กับศพมีแต่เชื้อโรค เกิดฉันเป็นอะไรขึ้นมา ใครจะรับผิดชอบ”
เจติยาหน้าเจื่อนเพราะไม่คิดว่าเอาน้ำมาให้แล้วยังจะถูกหาเรื่องอีก
“ไป ออกไปได้แล้ว”
เจติยาเซ็ง “ค่ะ”
“แก้วน้ำเธอด้วย ฉันกินไม่ลงหรอก เดี๋ยวให้ตุ้มรินมาให้ฉันใหม่”
“ค่ะ” เจติยาเดินถือแก้วน้ำออกไปจากห้องด้วยหน้าตาเบื่อหน่าย
ชูจิตบ่นด้วยความหงุดหงิด “แค่ลูกกับน้อง ทะเลาะกันก็กลุ้มจะแย่อยู่แล้ว ยังมาเจอหน้านังเด็กบ้านี่อีก”
ชูจิตวางกระเป๋ากระแทกลงกลางโต๊ะทำงานอย่างหัวเสีย
เจติยากำลังคุยกับทวีและโอ้เอ้ด้วยสีหน้าเซ็งๆ อยู่ในห้องแต่งศพ โดยที่ทวีและโอ้เอ้คุยไปเตรียมเครื่องไม้เครื่องมือไป
โอ้เอ้เซ็งแทนเจติยา “ทีอย่างงี้มารังเกียจศพ อีตอนรับเงินจากศพไม่เห็นท่านจะรังเกียจเลย”
ทวีปราม “น้อยๆหน่อยเจ้าโอ้เอ้ เดี๋ยวถึงหูคุณชูจิตขึ้นมา ก็โดนไล่ออกหรอก”
โอ้เอ้ยิ้มแหยๆ เพราะกลัวโดนด่าเหมือนกัน
ทวีหันไปพูดกับเจติยา “อย่าไปโกรธคุณชูจิตเค้าเลยนะหนูเจ คงอารมณ์หวงลูกกำเริบอีกนั่นล่ะ ก็เลยพาลมาลงที่หนู”
“เซ็งจังเลย ทำไมทุกคนต้องมาลงที่เจด้วยก็ไม่รู้ ทั้งเรื่องคุณสารัช เรื่องคุณลาภิณ หนูไม่เคยรู้เรื่องอะไรด้วยเลย แต่กลายเป็นว่าหนูซวยอยู่คนเดียว” เจติยาถอนใจด้วยความเซ็ง
“แบบนี้ไม่ใช่สวยเลือกได้ แต่เป็น ซวยเลือกไม่ได้” โอ้เอ้หัวเราะ
“ไอ้โอ้เอ้” เจติยาจะลุกไปเล่นงานแต่โทรศัพท์มือถือดังขัดจังหวะขึ้นมาเสียก่อน เจติยาดูเบอร์แล้วกดรับ
ที่สวนหย่อมแห่งหนึ่ง กุลธิดาโวยลั่นใส่หน้านิษฐาด้วยความโกรธ
“ก็ใครใช้ให้ฐามาใส่ร้ายพี่พีทของฉันก่อนล่ะ”
นิษฐาโมโห “ฉันไม่ได้ใส่ร้ายนะ แกมันหลงผู้ชายจนไม่ฟังเหตุฟังผลตะหาก คนที่มูลนิธิฉันยืนยันได้ว่าพี่พีทของแกอัพยา ฉันเป็นห่วงก็เลยมาเตือนแก”
กุลธิดาโมโห “แกดูมันนะเจ มันหาว่าฉันหลงผู้ชาย ฉันเป็นแฟนเค้า ทำไมฉันจะไม่รู้ว่าเค้าเป็นยังไง”
นิษฐาโมโห “แกก็รู้นะเจ ว่าฉันไม่ใช่คนปากพล่อย ฉันสืบดูจนแน่ใจแล้วไม่งั้นไม่มาเตือนแกหรอก”
เจติยามึนไปหมดเพราะไม่รู้จะเข้าข้างไหน
“ฐาแกมีหลักฐานอะไรยืนยันมั้ยล่ะ ว่าพี่พีทเค้าติดยาจริงๆ” เจติยาถาม
“ใช่ จะมากล่าวหากันลอยๆ ยังงี้ไม่ได้ พี่พีทเค้าเป็นดาราดัง พวกอิจฉาจ้องจะทำลายเค้ามันก็เยอะ”
“อยากดูหลักฐานใช่มั้ย ได้” นิษฐาหยิบมือถือออกม “ งั้นเอานี่ไปดูเลย ฉันถ่ายเองกับมือ ถึงจะไม่เห็นจะๆแต่ก็เดาไม่ยากหรอก” นิษฐากดเปิดคลิปแล้วยื่นให้กุลธิดาและเจติยาดู
คลิปที่ณุกำลังยื่นซองพลาสติกเล็กๆให้พิทยา แลกกับเงินของพิทยาที่ส่งให้ณุปรากฏขึ้นที่หน้าจอมือถือ
เจติยาเพ่งมอง แล้วก็ตกใจจนพูดออกมาเบาๆ “ณุ”
“เป็นไง ถึงจะดูไม่ออกว่ายื่นอะไรให้ แต่ลองได้เงินกลับมาก้อนโตขนาดนั้น คงไม่ใช่ซื้อขายอมยิ้มกันหรอกนะเอียด”
กุลธิดาชักหวั่นใจ แต่ก็ไม่ยอมแพ้ “ฉันจะไปคุยกับพี่พีทให้รู้เรื่อง ยังไงฉันก็ไม่เชื่อ หรอกว่าเค้าจะทำเรื่องแบบนั้น”
กุลธิดาสะบัดหน้าเดินจากไป เจติยาพยายามผูกเรื่องทั้งหมดเข้าด้วยกัน
ภายในร้านสนุกเกอร์มีคนมาใช้บริการพอสมควร ลูกน้องของโชคกำลังเอาเงินที่เก็บมาได้ยื่นให้ณุ
ณุนับเงินแล้วก็ยิ้มพอใจ “พวกเอ็งไปบอกทุกคนนะ ว่าไม่ต้องห่วงอะไรทั้งนั้น ถึงพี่โชคจะไม่อยู่แล้ว แต่ข้าจะดูแลทุกอย่างเอง ใครมีหน้าที่ทำอะไรก็ทำไปเหมือนเดิม”
“ครับพี่ณุ”
ทันใดนั้นก็มีลูกน้องคนหนึ่งเดินเข้ามาหาณุ
“พี่ครับ มีคนให้ผมเอานามบัตรนี่มาให้พี่ครับ” ลูกน้องยื่นนามบัตรให้ณุ
ณุรับนามบัตรมาดูแล้วก็ยิ้มดีใจ “ เค้าอยู่ไหน”
“อยู่หลังร้านครับพี่”
ณุหันไปบอกลูกน้องทุกคน “พวกเอ็งอยากกินอะไรก็สั่งตามสบายนะโว้ย ข้าเลี้ยงเอง”
ณุเดินเลี่ยงออกไปอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง
ผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่ที่หลังร้านสนุ้กเกอร์ สักพักณุก็เดินออกมาหาผู้ชายคนนั้น
ณุส่งนามบัตรให้ผู้ชายคนนั้น “คุณเอานามบัตรนี่มาจากไหน”
“เพื่อนผมให้มาอีกที มันบอกว่าถ้าอยากได้ของ ให้เอานามบัตรนี่มาให้คนชื่อณุ” ผู้ชายคนนั้นหยิบเงินออกมา “ผมมีเงินเท่าเนี้ย คุณมีของรึเปล่า”
ณุรับเงินมาตรวจนับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “มี แล้วทีหลังคุณไม่ต้องมาด้วยตัวเองหรอก โทรมาสั่งตามเบอร์ที่อยู่ในนามบัตรได้เลย เดี๋ยวจะมีเด็กไปส่งถึงที่”
ณุหยิบซองพลาสติกเล็กๆออกมาจากกระเป๋าเสื้อแล้วยื่นให้ชายคนนั้น ทันใดนั้นเอง ชายคนนั้นก็จับแขนณุล็อกไว้ทันที พร้อมกับที่ตำรวจที่ซ่อนตัวอยู่ต่างก็กรูกันออกมาล้อมณุไว้
ณุตกใจสุดๆ “อะไรกันวะ”
เจติยาและนวัชเดินออกมาหาณุ
“เราขอจับคุณข้อหาค้ายาเสพย์ติด เชิญไปให้ปากคำที่โรงพักด้วยครับ” นวัชบอก
“อาจจะมีข้อหาฆ่าคนตายพ่วงด้วยอีกกระทงนะคะ” เจติยาเสริม
ณุจ้องเจติยาเขม็ง “ฆ่าคนตายอะไร ฉันไม่เคยฆ่าใครทั้งนั้น”
“ฉันสงสัยว่านายอาจจะเป็นคนฆ่านายโชค ลูกพี่เก่าของนายก็ได้” เจติยาทำสีหน้ากวนๆ
วิญญาณโชคค่อยๆ ปรากฏขึ้นข้างๆ ณุ เขาจ้องหน้าเจติยาด้วยสีหน้าไม่เห็นด้วย
“อีปากพล่อย หาคุกให้กูซะแล้ว มึงอย่ามากล่าวหากันมั่วๆ พูดลอยๆ ยังงี้หมวดอย่าไปเชื่อนะครับ ยัยนี้มันเพ้อเจ้อ ล้างศพมากจนเพี้ยน” ณุว่า
เจติยาโกรธ “ต้องการหลักฐานใช่มั้ย ตอนนี้ตำรวจกำลังค้นบ้านนายอยู่ เดี๋ยวคงเจออะไรมั่งแหละ”
ณุตกใจจนหน้าซีดเผือด
“มีอะไรไปคุยต่อที่โรงพัก” นวัชบอก
นวัชและตำรวจนอกเครื่องแบบพาตัวณุไป วิญญาณโชคพุ่งปราดเข้าไปบีบคอเจติยา
โชคมีสีหน้าโกรธจัด “อย่ามากล่าวหาไอ้ณุมั่วๆ”
เจติยาหายใจไม่สะดวก “ฉันไม่ได้มั่ว”
โชคโกรธปนเจ็บใจ “คิดจะใช้ไอ้ณุเป็นแพะฆ่าฉัน เพื่อให้เธอพ้นงานบอกความจริงใช่มั้ย”
เจติยาเริ่มกลืนน้ำลายไม่ลงคอ “ฉันเปล่า ฉันหายใจไม่ออก”
โชคมีสีหน้าโหดเหี้ยมในขณะที่บีบคอเจติยาแน่น เพราะเขารักและมั่นใจในตัวณุมาก เจติยาทนไม่ไหวแล้ว เธอหลับตาปี๋แล้วพยายามดึงมือโชคออก
นวัชเดินกลับมาตาม “เจเร็วซิ”
เจติยาหลับตาปี๋และกำลังทำท่าดึงง้างมือโชคออกอยู่คนเดียว
นวัชงง “เล่นอะไรอยู่น่ะ เร็วๆ”
เจติยาค่อยๆ ลืมตาขึ้นแล้วก็อายมากที่นวัชเห็นเธอทำท่าประหลาดๆ อยู่คนเดียว เจติยารีบยืนนิ่ง ฉีกยิ้ม แล้วทำบีบนวดแขนยืดเส้นคลายกล้ามเนื้อไปมาเพื่อแก้เก้อ
นวัชส่ายหน้าเดินนำไปก่อน เจติยาขนลุกเกรียวก่อนจะรีบวิ่งตามนวัชไปทันทีด้วยความหวาดกลัว
นวัชกำลังคุยนอกรอบกับณุอยู่ที่ห้องทำงาน โดยมีเจติยานั่งฟังอย่างเงียบๆอยู่ใกล้ๆ
นวัชพยายามหว่านล้อม “โดนข้อหาค้ายาอย่างเดียว ก็ติดคุกไม่รู้กี่ปีแล้ว แกรับสารภาพเรื่องที่ฆ่านายโชคมาซะเถอะ โทษจะได้เบาลง”
ณุทำหน้ากวนประสาท “อย่าพยายามจับผมเป็นแพะเพื่อปิดคดีหน่อยเลยหมวด พี่โชคเป็นลูกพี่ผม มีบุญคุณกับผม แล้วเรื่องอะไรผมต้องฆ่าเค้าด้วย”
“เราเจอมีดที่ใช้ฆ่านายโชคที่บ้านนาย รอยบาดแผลศพตรงกับชนิดของมีดนายพอดิบพอดี”
ณุยักไหล่กวนๆ “มีดนะหมวด ไม่ใช่ลายนิ้วมือ ตรงกันก็ไม่เห็นจะแปลก มีดแบบนี้บ้านไหนๆ ก็มีได้ทั้งนั้น อย่างที่บอกน่ะแหละ ผมมีเหตุผลอะไรต้องฆ่าพี่โชค หมวดเลิกยัดข้อหาผมซะทีเถอะ ขอร้อง”
เจติยาพูดขัดขึ้นมาหลังจากเงียบฟังอยู่นาน “ที่จริงนายก็มีเหตุผลมากเหมือนกันล่ะ ที่อยากให้นายโชคตาย”
ณุหันไปจ้องเจติยาเขม็ง “อย่ามาสู่รู้นักเลย ยุ่งมากๆนัก ระวังตัวไว้ให้ดี” ณุด่าด้วยสายตา
นวัชไม่พอใจ “กล้าข่มขู่คนอื่นต่อหน้าเจ้าพนักงานเหรอ”
ณุมีสีหน้าหงุดหงิดเพราะเริ่มหัวเสีย
เจติยาหันไปพูดกับณุ “ฉันอาจจะไม่รู้รายละเอียดทั้งหมดหรอกนะ” เจติยามองหน้าณุ “แต่ฉันก็พอจะเดาได้ ว่าทำไมนายถึงต้องฆ่านายโชคลูกพี่นายด้วย”
ณุจ้องเจติยาเขม็งด้วยสีหน้าชิงชัง วิญญาณโชคปรากฎอยู่ด้านหลังเจติยาโดยที่ไม่มีใครเห็น
เจติยาจ้องหน้าณุแบบไม่กลัว “เพราะนายต้องการค้ายา แต่นายโชคขวางทางนายอยู่”
วิญญาณโชคคิดตามที่เจติยาพูด
ณุพูดแบบไม่สู้ตา “พูดมั่วซั่ว”
ทันใดนั้นวิญญาณโชคก็เข้าสวมร่างเจติยาเพื่อเล่าเหตุการณ์บางอย่างให้เจติยาฟัง ร่างเจติยาผงะไปเล็กน้อย แววตาของเจติยาแข็งๆ ลอยๆ
เรื่องที่โชคเล่าผ่านเจติยา เริ่มขึ้นที่โชคกำลังคุยกับพ่อค้ายาเสพย์ติดอยู่ในบ้านของตน โดยมีณุอยู่ใกล้ๆ
“เสียใจด้วยเฮีย ถ้าเรื่องอื่นผมยินดีรับใช้เฮีย แต่ถ้าเรื่องยา ผมขอไม่ยุ่งดีกว่า” โชคบอก
“อั๊วเข้าใจ ว่าโต๊ะบอลกับดอกเบี้ยเงินกู้ของลื้อกำไรอื้อซ่า แต่มันจิ๊บจ๊อย มากถ้าเทียบกับยาของอั๊ว รึว่าลื้อกลัวตำรวจ”
โชคมีสีหน้ามั่นใจ “ถ้าผมกลัวตำรวจ ผมจะทำงานยังงี้อยู่ถึงทุกวันนี้เหรอะเฮีย” โชคขำ
“งั้นก็ดีแล้ว แต่ทำงานกับอั๊ว ไม่ต้องห่วงเลย แบ็คอั๊วแข็งปึ้กไม่มีใครหน้าไหนกล้าแตะหรอก”
โชคมีสีหน้าจริงจัง “แต่ผมก็มีกฎเหล็กของผม เรื่องยา ยังไงผมก็ไม่ยุ่งครับ”
พ่อค้ายาเสพติดไม่พอใจแต่ยังเก็บอาการ “ก็ตามใจ ถ้าลื้อเปลี่ยนใจเมื่อไหร่ก็บอกอั๊วแล้วกัน”
พ่อค้ายาเดินหงุดหงิดออกจากบ้านไป
ณุเสียดาย “พี่โชค ไม่ลองคิดดูอีกทีเหรอพี่ ส่วนแบ่งมันเยอะมากเลยนะพี่ ผมว่า...”
โชคตะคอกสวน “หุบปากไปเลยไอ้ณุ เรื่องอะไรข้าก็ทำได้ทั้งนั้น แต่เรื่องยาข้าไม่เอาด้วยหรอก เอ็งอย่าพูดเรื่องนี้ให้ข้าได้ยินอีกเด็ดขาด เข้าใจมั้ย”
ณุจ๋อย “ครับพี่”
โชคถอนใจเดินเลี่ยงออกไป ณุมองตามด้วยความหงุดหงิดเพราะอยากได้ผลประโยชน์มากกว่านี้ แต่โชคก็ไม่ยอม
วิญญาณโชคออกจากร่างเจติยา เจติยาดูมึนๆ งงๆ เธอพยายามลำดับความคิดในหัวไปมา ณุดูหน้าซีดไปถนัดตา
“เป็นอะไรรึเปล่าเจ” นวัชถาม
เจติยาส่ายหน้า ก่อนจะกวาดตาไปรอบๆ ห้องเล็กน้อยแต่ก็ไม่เห็นอะไร แล้วเธอก็หันไปจ้องณุพร้อมพูดเสียงแข็ง “แกเลยร่วมมือกับมันหักหลังลูกพี่ตัวเอง”
ภาพในความฝันของเจติยาย้อนกลับมาอีกครั้ง วันที่โชคตาย โชคยื่นเงินให้ลูกน้องรับไป
ลูกน้องยิ้มแย้ม “ขอบคุณมากครับพี่โชค ผมจะรีบไปจัดการให้เรียบร้อยเลยครับ”
“เออดี แล้วก็บอกพวกมันด้วยนะ ว่าให้เก็บเนื้อเก็บตัวหน่อย กูไม่อยากมีปัญหากับตำรวจ”
“ครับพี่”
ลูกน้องคนนั้นเดินเลี่ยงไป
โชคมองตามลูกน้องแล้วส่ายหน้า “ไอ้พวกนี้ ไม่มีกูซักคนแล้วจะอยู่กันยังไงวะ”
โชคกำลังจะเดินกลับ ทันใดนั้นเขาก็ต้องสะดุ้งเฮือก โชคค่อยๆ ก้มลงมองที่หน้าอกก็เห็นมีดปลายแหลมแทงจากทางด้านหลังมาทะลุหน้าอกของตน
โชคตาเหลือกค้าง ความหวาดกลัวแล่นขึ้นมาจับใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แต่โชคกลับส่งเสียงร้องไม่ออกแม้แต่นิดเดียว มีดถูกดึงออกมาพร้อมกับร่างของโชคค่อยๆล้มลงไปขาดใจตาย ซึ่งคนที่แทงโชคจากข้างหลังก็คือณุนั่นเอง