xs
xsm
sm
md
lg

สาวน้อย ตอนที่ ๑ - ๒

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


สาวน้อย ตอนที่ 1
บ้านเนาวรัตน์บนถนนสีลมเป็นตึกสถาปัตยกรรมแบบยุโรป ก่อสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๖ มีอาณาบริเวณกว้างขวาง ใหญ่โต โอ่อ่า หรูหราวิจิตรบรรจง ขณะที่ภายในตัวตึกเปิดไฟสว่างทั่วทุกตารางนิ้ว ภายนอกยังมีไฟประดับตามต้นไม้ดูแพรวพราวระยิบระยับ บนถนนที่ทอดตัวมายังตัวตึกยังมีรถยนต์ทันสมัยของยุคนั้นจอดยาวออกมาจนนอกแนวรั้ว

พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๐
ห้องจัดเลี้ยงของบ้านเนาวรัตน์ซึ่งมีพื้นที่ห้องกว้างขวางมหึมา ตรงกลางห้องเป็นฟลอร์เต้นรำ มุมหนึ่งเป็นเคาน์เตอร์เครื่องดื่ม ทางหนึ่งวางเครื่องเล่นแผ่นเสียง ลำโพงทองเหลืองส่งเสียงเพลงคลาสสิก มีโต๊ะจัดวางอย่างหรูหราหลายโต๊ะ แขกในงานล้วนอยู่ในวัยหนุ่มสาว แต่งตัวแบบสากลหรู ทั้งชายหญิงกำลังดื่มกินพูดคุยกันด้วยท่วงท่าที่ฝึกมาอย่างดี มีแขกฝรั่งและแหม่ม ๒ - ๓ คนในคืนนั้น ที่โต๊ะตัวกลางสุวลีสาวพราวเสน่ห์นั่งอยู่เป็นราชินีของงาน เธอเป็นคนสวยจัด ดวงหน้างดงามบาดจิต สูงระหง มีท่วงท่าในทุกอากัปกิริยา เธอสวมชุดราตรีเครื่องเพชรแพรวพราย ข้างกายคือ อนงค์ ผู้หญิงรูปร่างผอมบาง หน้ายาวและจืดชืดแต่ทำตัวเปรี้ยว กับรตีที่ใบหน้าคมเข้มอวบอัด แต่ตาคิ้วดูดุที่ทำท่าราวกับจะดูถูกคนทั้งโลก ลำดับถัดไปคือ ช่อผกา สาวน้อยวัย ๑๗ ปากนิดจมูกหน่อยไม่สะสวยทว่าหูตาแพรวพราว ช่อผกากำลังเลื่อนกล่องของขวัญที่วางสุมอยู่บนโต๊ะข้างๆไปตรงหน้าสุวลี ชายหนุ่ม ๒ คนกำลังยกยอสุวลีอย่างไม่ขาดสาย แต่สุวลีกลับมองเลยไปเหมือนรอคอยใครซักคน
“ขอบพระคุณค่ะ” สุวลีบอก
“นี่คุณสองคนเชิญกลับไปโต๊ะคุณได้แล้ว พลีส” อนงค์ว่า
“ยายอัมพรกับยัยยุพาชะเง้อคอหาคุณจนคอยาวเป็นคอห่านแล้ว” รตีบอก
สองชายทำหน้ากระอักกระอ่วนทำเอาช่อผกาถึงกับหัวเราะคิก เมื่อสองชายถอยไป อนงค์มองและถามช่อผกา
“ขันอะไรยะ ยายช่อผกา”
“ขันคอห่านค่ะ คุณพี่” ช่อผกาว่า
มีชายรูปร่างสูง ๒ คนก้าวเข้ามา สุวลีมองอย่างดีใจแล้วผิดหวังไปวูบหนึ่งก่อนจะปั้นยิ้มรับอย่างผู้จัดเจนสังคม ธนาหนุ่มนักเรียนยุโรปลูกเจ้าสัว แต่งตัวเนี้ยบหรูไปทั้งตัวมากับนพเพื่อนนักเรียนนอกด้วยกัน ธนามองสุวลีอย่างลึกซึ้ง แล้วส่งกล่องของขวัญใบใหญ่ให้
“แฮปปี้เบิร์ธเดย์ครับคุณสุวลี”
“ขอบพระคุณค่ะ ธนา นี่อะไรคะนี่”
“ถ้าบอกก่อนก็ไม่เซอร์ไพรส์สิครับ”
สุวลีส่งของขวัญต่อให้ช่อผกา นพส่งของขวัญกล่องย่อมกว่าให้สุวลีเป็นลำดับต่อมา
“ถึงหีบของขวัญผมจะไม่ใหญ่เท่า แต่ก็จริงใจไม่แพ้นายธนานะครับ” นพบอก

“ฉันจะพยายามเชื่อค่ะ คุณนพ”
อนงค์ยิ้มหยาดเยิ้มจนดูประหนึ่งคล้ายม้า ส่งมือมาให้ธนา
“โอ คุณธนา คุณนพ ใจคอจะไม่กรีตติ้งเราสองคนบ้างหรือคะ”
“กู้ด อีฟนิ่ง คุณอนงค์ คุณรตี น้องช่อผกา” ธนาบอก
อนงค์ทำท่ากระชดกระช้อยตอบ รตียิ้มเหยียด ช่อผกาพนมมือไหว้
“ขออภัยด้วยที่ผมไม่ทันเห็นคุณสองคน” ธนาบอก
“ค่ะ เราน่ะเหมือนดาวที่ถูกแสงเดือนบังจนหมด” อนงค์ว่า
“ต๊าย เธอน่ะหรือเหมือนดาว ถ้าจะเหมือนก็เหมือนผีพุ่งไต้มากกว่า” รตีว่า
อนงค์ทำตาเขียวร้องกรี๊ด ธนากับนพกลั้นหัวเราะ สุวลียิ้มแอบขำอย่างผู้ดี ช่อผกาหัวเราะคิก
“นี่เธอขันอะไรยะ แม่ช่อผกา” อนงค์ถาม
“ขันผีพุ่งไต้ค่ะ”

อนงค์สะบัดหน้าพรืด นพแยกไปทักทายเพื่อน ธนานั่งลงข้างสุวลี ฝ่ายสุวลีชะเง้อมองทางประตู
“นี่คุณสุ มองหาใคร” ธนาถาม
“เปล่านี่คะ”
“หรือจ๊ะ ฉันคิดว่าเธอชะเง้อมองหาคุณสรรค์ซะอีก” รตีบอก
สุวลีมองรตีด้วยสายตาปราม รตีทำเมิน ธนาหวั่นไหวแต่ยังยิ้มแย้มคุยต่ออย่างสุภาพ

บริเวณเทอเรสหน้าบ้านเนาวรัตน์ตกแต่งด้วยแจกันดอกไม้ใบใหญ่มหึมา สรรค์ชายหนุ่มวัย ๒๕ ปี บุตรของพระชาญชลาศัย ข้าราชการในกระทรวงเกษตราธิการ ดูหล่อเหลาสง่างาม ดวงตามีแววฝันแบบศิลปิน เดินมากับบุญมา เพื่อนหนุ่มในวัยเดียวกันซึ่งเป็นบรรณาธิการนิตยสารชื่อดังที่ดูรื่นเริงจนเกือบทะเล้นกว่าสรรค์ การแต่งเนื้อแต่งตัวมีความสบายพิถีพิถันน้อยกว่าและมีกล้องถ่ายรูปทันสมัยคล้องคออยู่ บุญมาถือห่อของขวัญรูปทรงสี่เหลี่ยมแบนมาด้วย
เสวกหนุ่มหล่อเจ้าสำราญ ถือแก้วไวน์ตาเยิ้มเดินมาหาสรรค์กับบุญมาแล้วทักทาย
“เฮลโล นายสรรค์”
สรรค์และบุญมามองไปตามเสียงทักทาย
“ว่าไง นายเสวกนี่เมาแต่หัววันเลยหรือ” สรรค์ว่า
“เฮ่ย ยัง...ยังไม่เมา ไง บุญมามาเหมือนกันหรือ” เสวกถาม
“ที่ไหนมีเหล้าฟรีก็ต้องมีฉัน” บุญมาบอก
เสวกพูดกับสรรค์ต่อ
“ทำไมเพิ่งมาวะ แม่น้องสาวฉันบ่นหานายสักกระบุงโกยได้แล้ว”

ภายในห้องจัดเลี้ยงตอนกลางคืน สุวลีเบิกตากว้างอย่างยินดีแล้วคลี่ยิ้มละไมก่อนจะลุก
เดินไปหาแล้วส่งมือทั้งสองข้างให้สรรค์ สรรค์บีบมือตอบเบาๆ
“คุณสรรค์”
“ขอให้คุณสุมีความสุขในวันนี้และตลอดไป” สรรค์บอก
สรรค์หันไปเรียกบุญมา
“นายบุญ”
บุญมาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้จนสรรค์ต้องร้อง “เฮ้ย” เตือน
“อะไรหรือ อ๋อ”
บุญมาส่งของขวัญให้สรรค์ สรรค์ส่งให้สุวลี สุวลีรับมาอย่างดีใจ อนงค์ รตี และช่อผกามองชะเง้อดูด้วยความอยากรู้
“นี่อะไรคะ รูปภาพใช่ไหม ขอสุแกะดูเลยนะคะ”
สุวลีฉีกห่อกระดาษภายในเป็นรูปเขียนสีน้ำมันภาพดอกไม้ในแจกันที่เต็มไปด้วยสีสัน และบรรยากาศ ช่อผกาชื่นชม รตียิ้มพยัก ขณะที่อนงค์เบ้หน้า
“สวยเหลือเกินค่ะสรรค์” สุวลีบอก
“ฝีมือนายดีขึ้นกว่าเดิมอีกนะนี่” เสวกบอก
“ขอบพระคุณมากค่ะสรรค์”
“รูปนี้ผมตั้งใจวาดให้สุโดยเฉพาะ”
สุวลียิ้มปลื้มมากขึ้นอีก บุญมาแกล้งทำท่าอิจฉาแล้วบอก
“เฮ้อ รู้งี้เราไปหัดวาดรูปบ้างก็ดี”
ที่โต๊ะด้านหลังสุวลี ธนากับนพยืนมองสุวลีที่ปลาบปลื้มในตัวสรรค์ด้วยแววตาริษยา

ภายในห้องจัดเลี้ยง แผ่นเสียงหมุนวนบนเครื่องเล่น ลำโพงสีทองส่งเสียงเพลงวอลซ์ดังไพเราะ คนในงานจับคู่เต้นรำกันหลายคู่จนเหลือที่นั่งเฝ้าโต๊ะอยู่ไม่กี่คน สรรค์เต้นรำกับสุวลีในจังหวะวอลซ์อยู่กลางฟลอร์
“คิดว่าคุณจะมาเป็นคนแรก แต่กลับมาเป็นคนสุดท้าย” สุวลีพูดขึ้นขณะยังเต้นรำอยู่บนฟลอร์
“เฮ้อ จะอะไรเสียอีกล่ะครับ จู่ๆ ก็มีเรื่องเร่งด่วนเข้ามาที่กระทรวง” สรรค์บอก
“นี่งานราชการแย่งเวลาของคุณไปหมดเลยนะคะ สรรค์”
“ถ้าไม่เห็นแก่คุณพ่อ ผมคงลาออกเสียวันนี้พรุ่งนี้จะได้ออกมาเขียนรูปอย่างเดียว”
“ที่นี่เมืองไทยนะคะ ไม่ใช่ยุโรป อาชีพราชการเท่านั้นที่มีเกียรติแต่อาชีพศิลปินไม่มีใครยกย่อง”
สุวลีแย้งอย่างเข้าใจและปลอบประโลมจนสรรค์คล้อยตาม
“ผมก็ได้แต่หวังว่า สักวันนึงความคิดข้อนี้จะเปลี่ยนไป”
“สุจะช่วยหวังค่ะให้ความฝันของสรรค์เป็นจริงเร็วๆ”

สรรค์มองสุวลีที่ยิ้มตาหวานฉ่ำด้วยความรักมาก
เครื่องเล่นจานเสียง มีกระบะแผ่นเสียงตราสุนัขหลายแผ่น ธนาพลิกเลือกแผ่นเสียง พลางมองดูสรรค์และสุวลี นพเข้ามาส่งแก้วเหล้าให้
“ยังไงกันธนา ของขวัญราคาเป็นร้อยเป็นชั่งของแก ดูท่าจะสู้รูปภาพฝีมือเลวๆ รูปนึงไม่ได้” นพพูดขึ้น
“แกต่างหากที่ตาไม่ถึง ฝีมืออย่างนายสรรค์ ถ้าเป็นที่อังกฤษอาจจะมีราคาเป็นร้อยปอนด์เลยก็ได้ .. แต่อย่างว่าล่ะนะ มันก็แค่ภาพวาดใบนึงเท่านั้น” ธนาบอก
ธนาพูดเรียบๆ ด้วยความมั่นใจในตัวเอง ไม่มีแววหวั่นไหวแม้แต่น้อย


ที่โต๊ะเจ้าภาพ อนงค์ รตีนั่งชูคอคลี่พัดกระพือ เท้ากระดิกไปตามเพลง ช่อผกานั่งจิ้มโน่นจิ้มนี่กินอยู่ หนุ่มหล่อสองคนเดินตรงมา อนงค์กับรตีดีใจรีบยืดตัวทำไม่สนใจ กระซิบกัน
“อุ๊ย มาแล้ว” อนงค์กระซิบกับรตี
“คนขวาของเธอ คนซ้ายของฉั...” รตีกระซิบตอบ
รตีพูดไม่ทันจบคำ สองหนุ่มก็เดินเลยไปที่โต๊ะด้านหลังแล้วโค้งขอสาวโต๊ะนั้นออกไปเต้นรำ ทำเอาอนงค์กับรตีชะงักไป ข่อผกาหัวเราะพรืดออกมาทันใด
“หล่อนขันอะไรอีกยะ” อนงค์ถาม
“ขันคุณพี่ทั้งสองคนค่ะ” ช่อผกาบอก
อนงค์และรตีแทบจะเง้อมือตบ แต่ช่อผกาบุ้ยบ้ายไปทางหนึ่ง อนงค์และรตีหันไปตามทางที่ช่อผกาบุ้ยบ้ายก็เห็นเสวกกับบุญมากำลังเมาได้ที่เดินโอบคอกันมา แต่ก้าวเท้าตามจังหวะเพลง เข้ามานั่งลงที่โต๊ะ อนงค์ถามเลียบๆเคียงๆ
“พี่เสวกขา ชอบเต้นรำไหมคะ”
“ชอบ”
อนงค์ยิ้มอย่างมีหวัง เสวกจะพูดต่อ
“แต่ถ้าเต้นตอนนี้ คงอ้วกรดคู่เต้นแน่”
อนงค์ค้อนขวับทันที รตีสะใจ อนงค์ยังไม่หมดหวังหันไปหาบุญมา เสวกซบลงกับโต๊ะ
“คุณบุญมาขา เมื่อไรจะเอารูปอนงค์ไปลงปกแมกกาซีนบ้างคะ”
บุญมาแทบหายเมา
“รอไว้ก่อนเถอะครับ ตอนนี้ยอดขายยิ่งไม่สู้ดีอยู่”
คำตอบนั้นกำกวม อนงค์เลยคิดเข้าข้างตัวเองและกำลังจะพูดเรื่องเต้นรำแต่ช่อผกาชิงเกาะแขนบุญมาก่อน
“คุณพี่บุญมาขา ช่อผกาอยากหัดเต้นรำค่ะ”
“ได้ซี พี่จะสอนให้”

บุญมาส่งมือให้ ช่อผกาพาเดินไป อนงค์กับรตีเกือบจะร้องกรี๊ด ช่อผกาปรายสายตามาดังจะเยาะเย้ยแล้วทำตาแป๋วใส่อีกต่างหาก
“ต๊าย นังเด็กหน้าซื่อมันกล้าขอผู้ชายเต้นรำก่อน” รตีว่า
“กุลธิดาไม่พึงกระทำ ชิท!” อนงค์บอก
เสวกเงยหน้าขึ้นยิ้มแล้วกุมปากขยักขย้อนส่งเสียงโอ้ก อนงค์และรตีร้องวี้ด

เวลาผ่านไปในฟลอร์เต้นรำคนเริ่มบางตา เหลือเพียง ๓ - ๔ คู่ ในจำนวนนั้นมีช่อผกาเต้นอยู่กับนพ สรรค์เต้นกับสุวลี ตามโต๊ะแขกราวครึ่งหนึ่งกลับไปแล้ว ที่โต๊ะใหญ่อนงค์ รตี นั่งหน้าเป็นมันฟันเป็นยางเครื่องสำอางลบเลือน ทว่าไร้คนมาขอเต้นดังเดิม
“อี๊ย์ นังเด็กหน้าซื่อไปเต้นรำกับคุณนพอีกแล้ว” รตีว่า
“ทำไมไม่มีใครมาขอฉันเต้น ผู้ชายในงานท่าจะตาบอดกันหมดแล้ว” อนงค์พูดด้วยความฉุนเฉียว
รตีมองอนงค์มีท่าทีอยากจะตอบ บนฟลอร์สุวลียังคงเต้นรำกับสรรค์อย่างมีความสุข
แขกกลับไปหมดแล้ว ไฟในห้องถูกปิดลงไปบ้าง อนงค์กับรตีฟุบหลับคาโต๊ะ แผ่นเสียงยังคงเล่นเพลงอยู่ สุวลีกับสรรค์ตระกองกอดกันอยู่กลางฟลอร์เหมือนประหนึ่งว่าโลกหยุดนิ่ง
บ้านเนาวรัตน์เวลาดึก รถของแขกกลับไปหมดแล้ว ไฟประดับดับวูบลง ไฟตามตัวตึกหลายห้องก็ดับลง ยกเว้นห้องนอนของสุวลี

ภายในห้องนอนสุวลีใหญ่โตหรูหรา ด้านหนึ่งเป็นเตียงนอนสี่เสามีม่านระบาย มีโต๊ะเครื่องแป้งมหึมา กระจกเงามีปีกกระจกส่องด้านข้าง ปลายเตียงมีเก้าอี้นอนมีพนักสูง ถัดมาเป็นชุดโซฟากับโต๊ะเล็ก มีโต๊ะเขียนหนังสือซึ่งวางไดอารี่อยู่ บนหิ้งหนังสือมีทั้งหนังสือทั้งภาษาไทยและภาษาต่างประเทศ
สุวลีสวมชุดนอนกรุยกรายลากชายระพื้นนั่งอยู่ที่โต๊ะเครื่องแป้ง เหยียดเท้าออกให้จวน สาวใช้หน้าตาหมดจดสวมรองเท้าแตะส้นสูงลูกปัดสำหรับใส่ในบ้านให้ แล้วลุกขึ้นไปที่ผนังมองดูรูปดอกไม้ของสรรค์อย่างพอใจ จวนขยับไปคุกเข่าอยู่มุมหนึ่ง
บริเวณพื้นหน้าโต๊ะเตี้ย อนงค์และรตีสวมชุดนอนผ้าสำลี ไม่มีราศี เท้าเปล่าเปลือย กำลังแกะห่อของขวัญแล้วเอาของออกวางเรียงรายบนโต๊ะ
“ต๊าย นี่ไง ของคุณธนา” อนงค์พูดขึ้น
อนงค์เปิดหีบเห็นขวดน้ำหอมแก้วเจียระไนวางเรียงรายอยู่ ๓ ใบ บรรจุน้ำหอมต่างกัน ๓ สี รตีแย่งมาดู สุวลีเดินมานั่งบนเก้าอี้นอน รตีกับอนงค์นั่งอยู่แทบเท้า รตีส่งขวดน้ำหอมให้ สุวลีนำมาฉีดดู อนงค์พูดขึ้น
“ต๊าย น้ำอบแบบนี้ ฉันเคยเห็นในห้างแถวมิ่งเมืองราคาตั้งเป็นร้อยเป็นชั่ง”
“น้ำอบน่ะใครมีเงินก็ซื้อได้ แต่ของบางอย่างมีเงินก็ซื้อไม่ได้” สุวลีบอก
“ใช่ ไม่เหมือนรูปที่วาดด้วยหัวใจ” รตีว่า
สุวลียิ้มด้วยดวงตาเปี่ยมสุข อนงค์ทำปากยื่น
“เชอะ นายสรรค์นี่อีกแล้ว เธอน่ะรู้จักคุณธนามาตั้งหลายปีดีดัก แต่นายสรรค์นี่พี่เสวกเพิ่งแนะนำให้รู้จักไม่กี่เดือนเอง”
“วุ้ย บางคนน่ะรู้จักกันมาตั้งแต่อ้อนแต่ออกก็ยังต้องกล้ำกลืนฝืนคบเลย” รตีว่า
“นี่หล่อนว่าใครยะ...อย่ามาชักใบให้เรือเสีย คุณธนาน่ะเป็นนักเรียนยุโรปเป็นสุภาพบุรุษ นิสัยก็ดีร่ำรวยล้นฟ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นลูกเจ้าสัวทองคำ” อนงค์ถาม
“หรือกิมเบ๊” รตีพูดขัด
อนงค์สะบัดหน้าพรืดแล้วบอก
“แต่นายสรรค์น่ะเป็นแค่นักเรียนฟิลิปปินส์เป็นแค่ข้าราชการกระทรวงเกษตรฯ พ่อก็เป็นแค่คุณพระ”
“แต่ปู่คุณสรรค์เป็นเจ้าพระยานะยะ ไม่เหมือนก๋งคุณธนาเป็นแค่เจ็กขายน้ำปลา” รตีว่า
สุวลีฟังอย่างอ่อนใจ จวนก็นั่งทำตาปริบๆ อยู่ริมฝา
“นี่มันยุคประชาธิปไตยแล้วย่ะ ทุกคนเท่าเทียมกัน” อนงค์ว่า
“อย่ามาอ้างเรื่องเท่าเทียม หล่อนน่ะพอเห็นใครมีเงินก็ตาโตต่างหาก
“ไม่จริงย่ะ”
สุวลีลุกขึ้นแล้วเดินไปที่เตียง
“นี่เลิกเถียงกันเสียที ฉันจะนอนแล้ว” สุวลีบอก
รตีรีบขยับตัวขึ้นนั่งบนเก้าอี้นอน
“ฉันจองตรงนี้” รตีบอก
“แล้วฉันล่ะยะ” อนงค์ถาม
“หล่อนก็นอนพื้นไงยะ จะได้รู้ว่าโลกนี้ไม่มีใครเท่าเทียมกันหรอก”
จวนคลานมาคุกเข่าส่งหมอนผ้าห่มสำรองให้รตีและอนงค์รับมาอย่างกระชากกระชั้น อนงค์เอาหมอนวางบนพรมแล้วคลี่ผ้าห่มเอนตัวลงนอนพลางบ่นกระปอดกระแปด จวนถอยไปนั่งคุกเข่ารอรับใช้ต่อ
“เตียงใหญ่ยังกะสนามเต็นนิสจะให้ฉันนอนด้วยก็ไม่ได้” อนงค์บ่นอุบ
สุวลีนั่งพิงพนักเตียง หยิบไดอารี่ขึ้นมาวางบนตักแล้วบอกเรียบๆ
“จวน ไปพักผ่อนได้แล้วไป” สุวลีพูดขึ้น
“เจ้าค่ะ คุณสุวลี” จวนว่า
จวนกระพุ่มมือไหว้สุวลีแล้วปิดไฟในห้องเหลือเพียงไฟหัวเตียงให้สุวลี แล้วเดินออกไป สุวลีจรดปากกาลงเขียนบันทึกแล้วยิ้มกับตัวเอง
รูปวาดของสรรค์ติดเด่นอยู่บนผนัง

ค่ำคืนเดียวกัน ภายในบ้านบ้านโพธิธาราของพระชาญชลาศัย ซึ่งเป็นบ้านครึ่งตึกครึ่งไม้ขนาดใหญ่ แต่ไม่หรูหรา ด้านหน้ามีสนามขนาดกว้างพอควร ทางด้านหลังมีเรือนคนใช้และเรือนเพาะชำ ตั้งอยู่ริมถนนข้าวสาร
สรรค์เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนอน สวมเสื้อเนื้อบางสีขาวกับกางเกงนอน เดินออกจากห้องน้ำเข้ามายังส่วนห้องนอน สมพงษ์เด็กรับใช้อายุราว ๑๙ ปี หน้าตาซื่อยืนค้อมตัวรอ แล้วเข้ามารับผ้าเช็ดตัวจากมือสรรค์ไปผึ่ง แล้วมายืนรออีก สรรค์ทำตาปริบๆ
“อะไรหรือสมพงษ์”
“ไม่มีอะไรครับ ผมมารอรับใช้คุณ”
“ไม่ต้องหรอก แกไปนอนเถอะ”
“ครับ”

สมพงษ์หอบตะกร้าผ้าส่งซักออกไป สรรค์เข้าไปหวีผมที่เปียกชื้นหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ภายในห้องนอนของสรรค์ค่อนข้างเรียบ ทางด้านหนึ่งเป็นโต๊ะหนังสือกับตู้หนังสือ หนังสือส่วนใหญ่เป็นตำราทางเกษตรกรรมทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทย ที่หลังตู้ใบเตี้ยวางกรอบรูปเงินไว้หลายรูป มีรูปสรรค์เมื่ออายุ ๑๙ ปีถ่ายกับพระชาญชลาศัยและคุณหญิงวิไลเลขา รูปสรรค์กับ เสวกในชุดสูทนักเรียนนอก รูปสรรค์กับบุญมาในเครื่องแบบนักเรียนวชิราวุธ รูปเดี่ยวของสุวลีในงานวันเกิดและรูปทอม แมกกินนีฝรั่งวัย ๕๐ ปีร่างอ้วนอารมณ์ดี สรรค์ยิ้มหยิบรูปมาดู


ภายในบ้านไม้แบบโคโลเนียลเมื่อเวลากลางวันของสตูดิโอเขียนรูปแมกกินนี ดาวน์ทาวน์ มะนิลา พ.ศ.๒๔๗๙ ห้องนี้ทั้งห้องถูกทำเป็นสตูดิโอวาดรูป ภายในห้องมีขาตั้งเฟรมวาดรูปหลายอัน มีภาพวาดมากมายพิงอยู่ตามผนัง ส่วนใหญ่เป็นแนวอิมเพรสชันนิสม์ ทั้งยังมีเฟรมเปล่าๆ อีกหลายอัน ทอม แมกกินนีสวมเชิ้ตพับแขนกางเกงมีสายรั้ง ก้าวมายืนดูสรรค์ที่กำลังลงสีรูปสุดท้าย สรรค์ลงสี ๒ - ๓ จุดเพิ่มเติมแล้วถอยมามองดูข้างๆ แมกกินนี
“เป็นไงครู มาย สวีท อิสซาเบลล่าของผม” สรรค์ถาม
ในภาพนั้นเป็นหญิงสาวชาวฟิลิปปินส์ ใบหน้าดูละม้ายสาวไทยแต่คมเข้มกว่า สวมเสื้อคอกว้าง กระโปรงบานแบบสาวสแปนิชมือถือร่มสีดูฉูดฉาด
“ดี ดีมาก แต่ยังไม่ถึงขั้นยอดเยี่ยม” ทอมบอก
สรรค์วางพู่กันเอามาชื้นมาเช็ดมือ สรรค์และทอม แมกกินนียืนอยู่หน้ารูปปั้นเทพธิดามิวส์ของกรีก
“ผมวาดสุดฝีมือแล้ว แต่กลับไม่มีชีวิตชีวาเท่าตัวจริง” สรรค์บอก
“อิสซาเบลล่านี่ คนรักเธอหรือ” ทอมถาม
“แค่เพื่อนครับ อิสซาเบลล่าน่ะคู่ควงของเสวกมัน”
“เพราะเหตุนี้แหละ รูปของเธอถึงยังไม่ถึงขั้น”
“ครูหมายความว่าอะไรครับ”
“เพราะนางแบบไม่ได้รักเธอ และเธอก็ไม่ได้หลงรักนางแบบ เธอถึงถ่ายทอดชีวิตชีวาของความรักออกมาไม่ได้”
สรรค์หัวเราะเบาๆ อย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
“ถ้าเป็นอย่างงั้นจริง จิตรกรก็วาดรูปที่ดีที่สุดได้แค่หนสองหนเองซีครับ”
“ไม่เชื่อล่ะซี เอาเถอะ สักวันนึงถ้าเธอมีความรัก เธอก็จะรู้ว่าฉันพูดจริง”
แมกกินนีตบไหล่สรรค์ หันไปยังรูปปั้นเทพธิดากรีกแล้วผายมือ สรรค์แหงนดู
“ซักวัน เธอจะพบเทพธิดามิวส์(๑) เทวีแห่งแรงบันดาลใจของเธอ แล้วถึงวันนั้น เธอจะเป็นจิตรกรเอก”

ภายในห้อง สรรค์วางรูปแมกกินนีลงแล้วยิ้มกับตัวเอง
“ผมจะหาเทพธิดามิวส์ชองผมให้เจอครับ”
สรรค์ลงนอนบนเตียงแล้วหลับตาลง

บรรยากาศยามเช้า สรรค์นอนอยู่บนเตียง ลมยามเช้าพัดมาจนผ้าม่านปลิวไสว ลมนั้นพัดมาจนถึงเตียงจนมุ้งผ้าโปร่งแหวกเปิด เสียงเพลงประหลาดดังแว่วมา เป็นเสียงฮัมเพลง มันฟังดูวิเวกหวานไพเราะ ก้องสะท้อนสะท้านดุจเสียงนางพราย
สรรค์ผวาลุกจากเตียง เสียงเพลงนั้นยิ่งดังขึ้น สรรค์ฟังอย่างแปลกใจแล้วก้าวไปยังประตู เอื้อมมือเปิดออก พลันสรรค์ก็ตะลึงตะไลกับภาพเบื้องหน้าที่หน้าห้องนอนกลับกลายเป็นท้องฟ้าสีครามสด ทะเลสีน้ำเงิน คลื่นขาวซัดสาดสู่หาดทรายขาว สรรค์ก้าวออกไป

สรรค์ก้าวมายืนหน้าเรือนบังกาโลว์เล็กๆ สร้างบนโขดหินซึ่งล้อมไปด้วยไม้ดอกนานาพรรณ ต้นไม้ทุกต้น ดอกไม้ทุกดอก แม้แต่กรวดทรายดูงามมลังเมลือง เสียงเพลงดังกังวานหวาน
สรรค์ก้าวสู่หาดทรายขาวละเอียด คลื่นซัดมาถึงเท้าเกิดประกายระยิบระยับ สรรค์นั่งลง วักน้ำขึ้นมาให้มันไหลตกจากฝ่ามือช้าๆ สรรค์มองไปเบื้องหน้าแล้วตกตะลึง
ผิวน้ำทะเลเบื้องหน้าคล้ายมีแสงสะท้อนจากดวงอาทิตย์สว่างจ้าเป็นวงแล้วจางลง มีร่างแน่งน้อยแบบบางยืนอยู่บนผิวน้ำ สวมพัสตราภรณ์บางเบาพลิ้วอยู่รอบตัว ร่างนั้นก้าวเดินมาบนผิวน้ำ สรรค์ลุกขึ้นยืนช้าๆ ร่างนั้นมาหยุดยั้งลงตรงหน้าพลางฮัมเพลงวิเวกหวานนั้น
สรรค์มองดู เห็นดวงหน้างดงามอ่อนหวาน ดวงตาสุกใสราวดวงดาว ปากโค้งหยักคลี่ยิ้ม ผมนั้นเกล้าขึ้นแล้วปล่อยช่อผมลงมาเคลียไหล่ ผ้าบางขาวนั้นจับเดรปพันกายเหมือนรูปสลักกรีก ชายผ้าพลิ้วสะบัดไปราวหมอกควัน สรรค์พูดเสียงคล้ายละเมอ
“เพลงเพราะเหลือเกิน เธอเป็นใครกัน นางฟ้าหรือ” สรรค์ถาม
“นางฟ้าก็ต้องอยู่บนฟ้าซี” เทพธิดากล่าว
“หรือว่าเธอคือนางพราย”
“นางพรายต้องงามเย้ายวน แล้วมากเล่ห์เพทุบาย”
“งั้นเธอคือใครกัน”
“ก็เธอเฝ้าตามหาใครอยู่เล่า”
เทพธิดาร่างงดงามนั้นพูดเหมือนยั่วเย้า สรรค์นึกอยู่ครู่ก็นึกออก
“ฉันรู้แล้ว เธอคือมิวส์ เทวีแห่งแรงบันดาลใจ เธอมาให้พรกับฉันหรือ”
“พรนั้นอยู่ที่ตัวเธอเองต่างหาก”
เทพธิดายกสองมือขึ้น มือหนึ่งจับต้นคอสรรค์ อีกมือแตะแก้มเขาแล้วกระซิบข้างหู
“วันนี้ฉันตามหาเธอจนเจอ วันหน้าเธอต้องเป็นฝ่ายตามหาฉันบ้าง”
สรรค์ยังมึนงง เคลิ้มฝัน ทันใดเทพธิดาก็เขย่งกายจุมพิตเขาแผ่วเบา แสงเรืองรองจ้าขึ้น แล้วจางไป เหลือสรรค์อยู่ลำพัง สรรค์ใจหายวูบวับราวจะขาดใจ

ภายในห้อง สรรค์ผวาตื่นขึ้นจากฝันประหลาด อกใจยังวับหวำกับความรู้สึกสูญเสีย แล้วถอนใจยาว
“ให้ตาย ฝันอะไรกันนี่”
สรรค์หัวเราะให้กับตัวเองแล้วหันไปมองรูปของแมกกินนี
“เพราะครูทีเดียวทำเราฝันเพ้อเจ้อไปได้ขนาดนี้”

เช้าสายต่อมา ภายในสวนบ้านโพธิธารา แม่ผินคุณแม่บ้านใหญ่วัย ๔๕ หน้าตามีเค้าสวยแบบเรียบๆ เดินนำสมพงษ์เข้ามา ในมือมีตะกร้าสานแน่นขนัดด้วยผักสวนครัวที่เพิ่งตัดมา
พระชาญชลาศัยเดินมาเห็นก็ถามอย่างแปลกใจ
“นั่นอะไรของแก ผิน เต็มไม้เต็มมือไปหมด”
“คะน้ากับกะหล่ำที่คุณหนูปลูกไว้ไงคะ ง้ามงามเหลือเกิน กินกันไม่หวาดไม่ไหว ดิฉันแทบจะตัดขายอยู่แล้ว”
สรรค์เดินลงมาได้ยินพอดีก็พูดตอบอย่างยิ้มแย้ม
“ก็ขายซี ฉันอนุญาต”
“วุ้ย จะให้ผินไปตากหน้าขายผัก ไม่เอาหรอกค่ะ” ผินว่า
“ผมไปขายให้” สมพงษ์บอก
“ไม่ด๊ายไม่ด้าย เดี๋ยวชาวบ้านเห็นเขาจะค่อนได้ว่า บ้านพระชาญน่ะข้นแค้นจนต้องไปขายผัก”
พระชาญชลาศัยหัวเราะขำ สรรค์พูดอย่างอ่อนใจ
“เห็นไหมครับคุณพ่อ ก็เพราะคนไทยเรามัวแต่คิดแบบนี้การค้าถึงไปอยู่ในมือต่างชาติหมด”

อ่านต่อหน้าที่ ๒


หมายเหตุ - ผู้เรียบเรียง

๑. “เทพธิดามิวส์” (Muse หรือ Muses ในรูปพหูพจน์) เป็นชื่อเรียกรวมๆของเทพธิดาแห่งศิลปะวิทยาการ และแรงบันดาลใจต่างๆทั้งยังเป็นผู้อุปถัมภ์ความทรงจำในส่วนหนึ่งอีกด้วย มีทั้งสิ้น ๙ องค์ ได้แก่
๑ ไคลโอ - มิวส์แห่งประวัติศาสตร์ มีสัญลักษณ์ประจำตัวคือม้วนกระดาษและหนังสือ
๒ ยูเรนิอา- มิวส์แห่งดาราศาสตร์ มีสัญลักษณ์ประจำตัวคือลูกโลกและเข็มทิศ
๓ เมลพอมินี- มิวส์แห่งโศกนาฏกรรม มีสัญลักษณ์ประจำตัวคือหน้ากากในการแสดงละครโศกนาฏกรรม
๔ ธาเลีย - มิวส์แห่งสุขนาฏกรรม มีสัญลักษณ์ประจำตัวคือหน้ากากในการแสดงละครสุขนาฏกรรม
๕ เทิร์ปซิคอเร - มิวส์แห่งนาฏศิลป์ มีสัญลักษณ์ประจำตัวคือพิณไลร์ (Lyre)
๖ แคลไลโอพี - มิวส์แห่งกวีนิพนธ์มหากาพย์ มีสัญลักษณ์ประจำตัวคือกระดานชนวน
๗ เอราโต - มิวส์แห่งกวีนิพนธ์รัก มีสัญลักษณ์ประจำตัวคือพิณเจ็ดสายที่เรียกว่าคิธารา (Cithara)
๘ โพลิฮิมเนีย - มิวส์แห่งเพลงสดุดีปวงเทพ มีสัญลักษณ์ประจำตัวคือผ้าคลุมศีรษะ
๙ ยูเทอร์เพ - มิวส์แห่งกวีนิพนธ์และคีตกกวี มีสัญลักษณ์ประจำตัวคือขลุ่ยและเครื่องออลอส (Aulos)
เทพธิดามิวส์ทั้งหมดเหล่านี้ได้ชื่อว่ามีเสียงไพเราะอย่างหาผู้ใดเปรียบมิได้ แม้แต่เทพเจ้าก็ต้องเงี่ยโสตสดับฟัง

สาวน้อย ตอนที่ 1 (ต่อ)
ชั้นล่างของบ้านโพธิธารา แยกออกเป็นห้องรับแขกใหญ่ ห้องรับประทานอาหารใหญ่ และห้องสมุด แต่ทางตอนหลังของบ้านเป็นโถงกว้างใช้เป็นห้องเอนกประสงค์ มีชุดโซฟานั่งเล่น โต๊ะอาหารเล็ก มีวิทยุเครื่องใหญ่ เครื่องเล่นจานเสียง การตกแต่งดูเรียบไม่หรูหรา ที่ผนังด้านหนึ่งมีรูปเจ้าพระยาโพธิธาราปู่ของสรรค์ รูปพระชาญชลาศัยในชุดข้าราชการระดับสูงกระทรวงการคลัง รูปม.ร.ว.วิไลเลขาที่ดูสวยสคราญ รูปสรรค์ในชุดสูทหรูหราและรูปในชุดข้าราชการกระทรวงเกษตราธิการ
สรรค์และพระชาญชลาศัยนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร สำรับกับข้าววางเต็มโต๊ะ บัวสาวใช้วัยรุ่นตักข้าว ผินยืนกำกับ บัวตักข้าวเสร็จก็ถอยมายืนกับสมพงษ์
“วันนี้มีแกงเผ็ดเป็ดย่างใส่ลางสาดค่ะ” ผินบอก
สรรค์ยิ้มนิดๆแล้วบอก
“ของโปรดคุณแม่”
“โถ คุณหนู คุณหญิงสิ้นไปห้าปีแล้วยังจำได้” ผินว่า
สรรค์และพระชาญชลาศัยเหลือบดูรูปคุณหญิงวิไลเลขา
“ผมน่ะจำเรื่องของคุณแม่ได้เยอะแยะ น่าแปลกไหมครับ คุณพ่อ” สรรค์บอก
พระชาญชลาศัยตอบด้วยน้ำเสียงเรื่อยๆ ไม่ได้ซาบซึ้งอะไร
“ไม่เห็นแปลกอะไร ถ้าเรารักใครมากๆ ต่อให้เป็นเรื่องเล็กน้อยแค่ไหนเราก็จำได้”
แม่ผิน บัวกับสมพงษ์อมยิ้ม สรรค์กับพระชาญชลาศัยลงมือรับประทานอาหาร
มีเสียงรถยนต์แล่นมาจอดหน้าตึก สมพงษ์กับผินกระวีกระวาดออกไป พระชาญชลาศัยพูดขึ้น
“ใครกัน มาตอนแต่เช้าแบบนี้”
“มาตรงเวลาอาหารแบบนี้ คงเป็นเจ้าบุญมาแหละครับ” สรรค์บอก
ไม่ทันขาดคำ ผินก็หน้าระรื่นเดินคล้องแขนบุญมาที่ยิ้มร่าเข้ามา สมพงษ์ บัวยิ้มรับ
“พูดถึงโจโฉจริงๆ เชิญๆ” พระชาญชลาศัยบอก
“ผมมาขอข้าวกินครับ คุณอา” บุญมาบอก
บุญมายกมือไหว้ พระชาญชลาศัยหัวเราะร่าแล้วผายมือให้นั่ง บุญมานั่งลง แม่ผินเอาจานช้อนมาเพิ่ม บัวตักข้าวให้ บุญมาทำตาหวาน
“พอแล้วจ้ะ แม่บัวแรกแย้ม” บุญมาบอก
“ชื่อบัวเฉยๆ ค่ะคุณ” บัวบอก
บัวเอียงอายเล็กน้อยแต่ไม่มากนักเพราะเคยชินกับคำพูดของบุญมาที่พูดหยอกล้ออยู่บ่อยๆ ผินทำตาเขียวใส่บัว บัวถอยไปแต่ไม่ได้กลัวเกรงนัก
“นี่แกไปไหนมา” สรรค์ถาม
“ไปทวงต้นฉบับมาน่ะซี แมกกาซีนจะปิดเล่มอยู่แล้ว ยังได้เรื่องไม่ถึงครึ่ง” บุญมาบอก
“แล้วนิยายของเธอเองเล่า ตอนนี้ไปถึงไหนแล้ว” พระชาญชลาศัยถาม
“ยังตีบตันอยู่เลยครับ” บุญมาตอบแล้วหันไปชวนสรรค์
“เลยว่าจะมาชวนแกออกไปหาแรงบันดาลใจสักหน่อย”
“เสียใจฉันมีนัดแล้ว นัดสำคัญซะด้วย”
“มีนัด นัดอะไร กับใคร”
บุญมาทำท่าอยากรู้อยากเห็น สรรค์อมยิ้มแล้วทำหน้าอย่างมีเลศนัย

ท้องฟ้าสีคราม เมฆขาวเกลื่อนไปบนท้องฟ้า ต่ำลงมาที่เทอเรสบ้านเนาวรัตน์ ใต้ซุ้มกุหลาบเลื้อยออกดอกสีแดงเจิดจ้า สุวลีนั่งอยู่บนเก้าอี้นอน วางศอกกับพนักเอามือทั้งสองข้างเท้าคาง ดวงตาคมมองเหม่อไปเบื้องหน้าราวกับตกอยู่ในห้วงรักและเปี่ยมสุข ห่างออกมาสรรค์ยืนอยู่หน้าผืนผ้าใบบนขาตั้งกำลังลงสีรูป แต่ยังไม่มีรายละเอียด
คุณหญิงบัวผันวัย ๔๕ ปีดูสะสวย นิ่มนวล เดินนำสาวใช้ ๓ คนเข้ามา จวนถือถาดกาน้ำชา วาดถือถาดของว่างที่มีถึง ๕ อย่าง และเถื่อนถืออ่างล้างมือกระเบื้องลอยกลีบกุหลาบมาวางที่โต๊ะเก้าอี้สนาม สุวลีหันไปยิ้มสดใสกับคุณหญิงบัวผันผู้เป็นมารดา
“พอแค่นี้ก่อนไหมคะ สรรค์” สุวลีบอก
“โอเคครับ”
“บ่ายสามโมงแล้ว แม่เกรงว่าจะหิวกัน วาดมาตั้งนานแล้วเมื่อไรจึงจะเสร็จ” บัวผันบอก
สุวลีทำจมูกย่นแล้วว่า
“คงเสร็จเร็วกว่านี้ค่ะถ้าสรรค์ไม่มัวแต่ติดงานอยู่”
“ยังไงงานก็สำคัญกว่านะพ่อสรรค์ อย่าตามใจสุวลีมากนัก เอ้า มารับประทานของบ่ายก่อนเถอะ แม่เข้าข้างในก่อน” บัวผันว่า
คุณหญิงบัวผันเดินกลับเข้าไปในบ้าน วาดกับเดือนเดินตามไป เหลือเพียงแต่จวนคนเดียวที่รอรับใช้ สรรค์เลื่อนเก้าอี้ให้สุวลีนั่ง จวนเข้ามาจะหยิบกาน้ำชา สุวลีโบกมือห้าม
“ฉันรินเอง จวน”
จวนย่อตัวถอยไปนั่งคุกเข่าลง สุวลีรินน้ำชาให้สรรค์ปรุงอย่างแคล่วคล่อง
“เมื่อคืนผมฝันแปลกมากเลย สุ ผมฝันเห็นนางฟ้า” สรรค์พูดขึ้น
“นางฟ้าบนสวรรค์น่ะหรือคะ” สุวลีพูดพลางยิ้มขำ
“จริงๆ นะสุ ผมฝันเห็นทะเลสวยเหมือนกับสวรรค์แล้วก็เห็นนางฟ้า”
“นางฟ้าสวยไหมคะ”
สุวลีถามเรียบๆ ตาจ้องสรรค์
“สวยซี” สรรค์บอกและเล่าไปโดยไม่ทันได้สังเกตอาการของสุวลี
“สวยแบบเด็กๆ บริสุทธิ์ ไร้เดียงสา”
สุวลีมีสีหน้าระแวงนิดๆแล้วถามด้วยความอยากรู้
“แล้วยังไงอีกคะ”
“นางฟ้าบอกผมว่า เธอเป็นเทพีแห่งแรงบันดาลใจมาให้พรผม แปลว่าผมต้องวาดรูปสุได้อย่างวิเศษแน่ๆ เลย”
สรรค์มองสุวลีด้วยความรักมากมาย สุวลีคลายใจลงแล้วยิ้มมองสรรค์อย่างเอ็นดู
“ฉันชอบคุณตรงนี้แหละค่ะ คุณน่ะช่างฝันเป็นศิลปินแท้ๆ เชียว”
สรรค์ทำตาซึ้งกุมมือสุวลี สุวลีจุ๊ปากดุแบบไม่จริงจัง
“แค่ชอบแค่นั้นหรือสุ”
“อย่ามาทำมือไวใจเร็วนะคะ ตอนนี้เจ้าคุณพ่ออาจส่องกล้องดูคุณอยู่ก็ได้”
สรรค์หดมือทำหน้าตาตื่น สุวลีขบขันหัวเราะเบาๆ

ที่ริมหน้าต่างชั้นบนของบ้านเนาวรัตน์ พระยากีรติเกษตรวัย ๕๕ ปี ท่าทางสง่างามภาคภูมิดูหรูไปทั้งตัว มองลงมายังเทอเรสพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย
ที่โต๊ะอาหารเล็กซึ่งจัดเครื่องว่างไว้ชุดใหญ่ คุณหญิงบัวผันกำลังรินน้ำชา เฟื่องคุณแม่บ้านคอยดูแลใกล้ๆ เดือนและวาดคุกเข่ารอรับใช้อยู่ที่พื้น ห้องนั้นทั้งห้องมีแต่ตู้กระจกใส่เครื่องลายครามสูงค่าราว ๖ - ๗ ตู้ พระยากีรติเดินมานั่งลงตรงกลางโต๊ะที่มีคนโทลายครามลวดลายละเอียดยิบวางอยู่
“นายจิตรกรเอกนั่น ลูกพระชาญชลาศัยใช่ไหม” กีรติถาม
“ค่ะ ไปเรียนฟิลิปปินส์รุ่นเดียวกับตาเหวก ตอนนี้รับราชการที่กระทรวงเกษตราธิการ” บัวผันบอก
“แล้วนี่ไอ้เจ้าเสวกไปไหน”
“ตอนนี้กำลังเห่อรถคันใหม่ก็คงหัวหกก้นขวิดไปตามประสาแหละค่ะ”
“ชังน้ำหน้ามันจริงๆ เออ นี่ยายสุเขาอี๋อ๋อกับนายสรรค์อยู่หรือ” กีรติพูดด้วยน้ำเสียงไม่จริงจัง
“แหม ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ ยายสุน่ะไว้ตัวจะตายไป”
พระยากีรติหยิบคนโทลายครามมาดู
“วันก่อนลูกชายเจ้าสัวทองทำเอาคนโทนี่มากำนัลฉัน” กีรติบอก
“ธนาน่ะหรือคะ”
“ตอนแรกฉันคิดว่า ยายสุจะตกลงปลงใจกับนายนี่ซะอีก”
“ก็ยังคบหากันอยู่นี่คะ ดิฉันเห็นยังพบปะกันประจำ”
“แล้วคนอื่นๆ ล่ะ ไอ้เจ้านายทหารกับท่านชายอะไรนั่น”
“หายหน้ากันไปหมดแล้วค่ะ ตอนนี้ก็เหลือขับเคี่ยวกันอยู่สองหน่อนี่เท่านั้น .. แต่ดูท่าทางพ่อสรรค์จะได้เปรียบอยู่”
พระยากีรติมองไปเห็นสุวลีกลับไปนั่งเป็นแบบให้สรรค์วาดอย่างตั้งใจ

ผ่านเวลาไปหลายวัน สุวลียังสวมชุดเดิมนั่งเป็นแบบให้สรรค์วาดแล้วเหลือบสายตาเหมือนอยู่ในภวังค์ ดวงตาเพ้อฝันดื่มด่ำมาที่สรรค์ที่อยู่หน้าผืนผ้าใบ สรรค์ตวัดแปรงอย่างมีสมาธิและมั่นใจ แสงยามบ่ายส่องมาที่สรรค์จนดูมลังเมลือง สุวลีมองสรรค์ด้วยความรัก สรรค์เงยหน้าจากภาพ มองสุวลีนิ่งอย่างดื่มด่ำ
“คะ?”
สรรค์วางแปรงลงแล้วเดินมาหาสุวลีพลางจับมือให้ลุกขึ้นแล้วจูงมาเบื้องหน้ารูป
สุวลีดูรูปแล้วนิ่งอั้นตะลึงตะไล รูปนั้นส่งความงามบาดจิตบาดใจของสุวลี ดวงตา สีหน้า ท่วงท่า ถ่ายทอดความเป็นสาวในห้วงรัก พื้นหลังก็เต็มไปด้วยบรรยากาศ สุวลียกมือปิดปากแล้วหันมาบอกสรรค์
“สรรค์คะ สวยเหลือเกิน”
“เพราะแบบของผมสวยอย่างไม่มีใครเปรียบต่างหาก”
สุวลีขยับเข้าใกล้สรรค์อีก
“แต่รูปจะไม่งามขนาดนี้ ถ้าคนวาดไม่ได้เชื่อมโยงจิตใจเข้ากับแบบ”
สรรค์ขยับมาใกล้สุวลีแล้วจับมือเธอไว้
“และแบบก็จะไม่งามขนาดนี้ ถ้าเธอไม่ได้มีใจผูกพันกับคนวาด”
สุวลีสะเทิ้นหลบตา สรรค์ยกมือเธอขึ้นจรดริมฝีปาก
“สุวลีผมรักคุณเหลือเกิน”
สุวลีโผเข้าสู่อ้อมอกสรรค์ ซบหน้ากับไหล่ สรรค์กอดเธอไว้แนบแน่น
“คุณรักผมบ้างไหม”
“คุณก็ทราบคำตอบอยู่แล้ว”
สรรค์ประคองสุวลีมาที่เก้าอี้นอนให้สุวลีนั่งแล้วสรรค์ก็คุกเข่าลงพลางถอดแหวนจากนิ้วก้อย
“แหวนวงนี้คุณพ่อผมมอบให้แก่คุณแม่ คุณแม่ให้ผมใส่ติดนิ้วไว้ ก่อนที่ท่านจะจากไป สุวลีโปรดรับแหวนวงนี้เป็นสัญญาของเราได้ไหม”
สุวลีพยักหน้า สรรค์บรรจงสวมแหวนที่นิ้วนางข้างซ้ายของสุวลี เพชรนั้นไม่ใหญ่นักแต่น้ำงามแพรวพราว สุวลีกรายนิ้วดู
“เป็นสัญญาว่าผมรักคุณ ไม่มีอะไรในโลกแปรเปลี่ยนมันได้”
สรรค์ดึงสุวลีมาตระกองกอด ท้องฟ้าเบื้องบนเป็นสีครามเมฆมหึมาเคลื่อนผ่านไป

เวลากลางคืน ภายในห้องนั่งเล่นของเนาวรัตน์ที่ตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจง มีแกรนด์เปียโนวางอยู่ ทั้งวิทยุเครื่องใหญ่ เครื่องเล่นจานเสียง โซฟาชุดหลุยส์ดูอ่อนช้อย บนโต๊ะวางนิตยสาร หนังสือพิมพ์
เสวกดึงสุวลีมากอดแล้วเหวี่ยงหมุนสุวลีไปรอบๆ

“คองเกรจูเลชั่น คุณน้อง” เสวกบอก
“คุณพี่”
ที่โซฟายาว พระยากีรตินั่งอยู่กับคุณหญิงบัวผันมองดูเสวกกับสุวลีอย่างยิ้มๆ ด้านหลังมีเฟื่องกับจวนนั่งรอรับใช้อยู่
“พอๆ ตาเหวก เดี๋ยวน้องเวียนศีรษะแย่” บัวผันว่า
“คุณน้องเต้นบัลเล่ต์หมุนเร็วกว่านี้อีก” เสวกบอก
เสวกวางสุวลีลง พระยากีรติมองสุวลีอย่างสุดรัก
“หนูไตร่ตรองดีแล้วหรือลูก” กีรติถาม
“ค่ะ เจ้าคุณพ่อ”
“พระชาญน่ะหน้าที่ราชการมั่นคง นายสรรค์เองก็เอาการเอางานขนาดเจ้ากระทรวงเอ่ยปากอย่างนี้คงก้าวหน้าไม่หยุดแน่” กีรติว่า
“พระชาญก็ฐานะไม่เลวถึงจะไม่ร่ำรวยล้นฟ้า คุณปู่พ่อสรรค์ก็เป็นถึงเจ้าพระยา ท่านตาก็เป็นหม่อมเจ้า ตอนที่คุณหญิงแม่สิ้นก็ทิ้งสมบัติไว้ให้ไม่น้อย” บัวผันพูดเสริม
เสวกทำตาโต ล้อคุณหญิงบัวผัน
“โอ มาย ก้อด คุณแม่ นี่คุณแม่สืบมาละเอียดขนาดนี้เชียวหรือ”
“แน่ละสิ แกเองก็เถอะ ไปคบหาอยู่กับนางละครที่ไหน แม่ก็รู้หมดล่ะ” กีรติว่า
“ตายละวา .. แล้วนี่เจ้าคุณพ่อ โอเคกับเจ้าสรรค์ใช่ไหมครับ” เสวกถาม
“ต่อให้พ่อไม่มั่นใจนายสรรค์ แต่พ่อก็วางใจยายสุ ว่าตัดสินใจอะไรไม่เคยพลาด” กีรติบอก
“วางใจได้ค่ะคุณพ่อ ลูกสาวที่เพียบพร้อมของคุณพ่อ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ต้องดีที่สุด
เสมอ”
สุวลีพูดอย่างภูมิใจในตัวเอง พระยากีรติและคุณหญิงบัวผันลูบผมสุวลีอย่างรักใคร่

เวลากลางคืน ภัตตาคารหยาดสวรรค์ในบริเวณสามแยกเป็นตึกสูงสามชั้นงดงาม มีป้ายไฟนีออนตัดเป็นตัวหนังสือหลากสี แสงไฟสว่างไสว เสียงดนตรีดังออกมานอกถนนที่มีรถยนต์ รถสามล้อ จักรยานวิ่งไปมา
ชั้นสองของภัตตาคารเป็นแหล่งบันเทิงยามราตรี ตกแต่งอย่างหรูหราตระการตา พื้นเป็นกระเบื้องจากยุโรป เพดานมีโคมระย้าเป็นระยะ ทางด้านหนึ่งมีวงดนตรีสากล หน้าวงดนตรีมียกพื้นสำหรับนักร้อง หน้าเวทีมีฟลอร์เต้นรำกว้าง รอบฟลอร์ทั้ง ๓ ด้านมีโต๊ะอาหารเรียงราย แขกแน่นทุกโต๊ะ บริกรเป็นหนุ่มจีนสวมเชิ้ตผูกหูกระต่ายเดินเสิร์ฟขวักไขว่ บรรยากาศคึกคัก
ไฟที่เวทีหรี่อยู่แล้วสว่างขึ้น มารศรีสวมชุดราตรีสีขาวปักเลื่อมสีเงินเป็นริ้วยืนหันหลังอยู่ มีนักเต้นลูกคู่อีก ๖ คนเป็นสาวน้อยสะอิ้งกายเรียงราย บนศีรษะติดดอกบัวประดิษฐ์สีขาว ในมือยังมีดอกบัวอีก ๒ ดอก สวมกางเกงขาสั้นรัดรูปโชว์ขาขาว ดนตรีขึ้น มารศรีหันขวับมา ดวงหน้าที่สวยจัด แต่งไว้อย่างเข้มดูเร่าร้อน ผมดัดเป็นรอนคลื่น อกเสื้อแหวกลึกถึงเอว ปักดอกบัวขาวไว้บนผม

“เห็นบัวขาว...” (๑)

โต๊ะตัวหนึ่ง สรรค์นั่งอยู่กับบุญมา ตรงหน้ามีเครื่องดื่มและกับแกล้ม บุญมามีสาวพาร์ทเนอร์ท่าทางน่าเอ็นดูนั่งอยู่ข้างๆ บุญมามองมารศรีตาเป๋ง
ที่โต๊ะอื่นมีเฒ่าหัวงูวัย ๖๐ โขยงหนึ่งมองตาค้าง อีกโต๊ะเป็นโต๊ะข้าราชการมีตั้งแต่หนุ่มถึงวัยกลางคน หลายโต๊ะก็เป็นหนุ่มๆ ทุกโต๊ะมีพาร์ทเนอร์นั่งพูดคุย ทุกคนหยุดกิจกรรม มองดูมารศรีและดาวเต้นบนเวที
มารศรีโยกกายกรีดมือทอดสายตา เผยอปากดูเร่าร้อนยวนยั่ว นางดอกบัวทั้งหลายก็ขยับกายไขว้ขาโยกแขนเป็นบึงบัวไปมา
“...พราวอยู่ในบึงใหญ่...”
มารศรีกางแขนสองข้างเผยให้เห็นทรวงที่แทบจะผลัดออกมา สรรค์ทำตาปริบๆ บุญมาถอนใจ
“เห็นบัวขาว จริงๆ” บุญมาบอก
“ที่นี่เก่งจริง เอาเพลงดีๆมาทำเป็นเพลงปลุกใจเสือป่าได้” สรรค์บอก
“นักร้องใหม่ ดาราของที่นี่ ชื่อมารศรี”
สรรค์มองอย่างเยาะๆ
“ก็ไม่เห็นจะสวยตรงไหน”
“แหง๋ล่ะ ใครจะไปสวยสู้ว่าที่คู่หมั้นของแก เอาน่า เจ้าสรรค์ ฉันอุตส่าห์พาแกมาฉลองทั้งทีทำตัวให้มันร่าเริงหน่อย เข้าใจ๋” บุญมาว่า

หลังเพลงจบมารศรีลงจากเวที นักร้องสาวอีกคนขึ้นร้องเพลง มารศรีตวัดผ้าบางปักเลื่อมคลุมตัวเดินมาทักทายแขกตามโต๊ะ เมื่อมารศรีเดินมาถึงโต๊ะเฒ่าหัวงูซึ่งมีทั้งคนไทย คนจีน มารศรียกมือไหว้
“อุ๊ย สวัสดีค่ะ เจ้าสัว”
เจ้าสัวเฒ่าคนหนึ่งจะดึงแขน มารศรีร้องอุทานแล้วกระถดถอยแต่เจ้าสัวไขว่คว้า
“หนูมารศรี ดื่มกับป๋าก่อน”
“เอาไว้ก่อนนะคะ เดี๋ยวมารศรีกลับมา”
มารศรียิ้มแย้มแล้วหลบไปแต่ดวงตาขมขื่นวูบนึง
ที่มุมหนึ่ง สิน ชายวัย ๓๕ ปี กำยำล่ำสันหน้าตาดุดันแต่งกายเหมือนบริกร แต่เป็นเจ้าหน้าที่ดูแลความสงบมองตามดูมารศรีด้วยใบหน้าเรียบเฉยแต่มีแววแห่งความห่วงใย
สรรค์จิบเครื่องดื่ม มองไปรอบๆ เห็นมารศรีที่ยิ้มให้ สรรค์ทำเมินไม่สนใจ
มารศรีเดินผ่านมายังโต๊ะข้าราชการ ซึ่งมีหลวงจินดาวัฒนกิจ อายุราว ๓๕ ปีที่ดูหล่อคม หลวงไพจิตรวัย ๔๐ ปี และพระอักษรวัย ๔๕ ปี

“คุณมารศรี” จินดาเรียกไว้
“อุ๊ย คุณหลวงขา คุณพระ มารศรีเพิ่งเห็น” มารศรีแสร้งปดอย่างเอาใจ
หลวงจินดาวัฒนกิจทำตาหวาน หลวงไพจิตรหัวเราะ พระอักษรเขี่ยผ้าคลุมมารศรีเล่น
“ถ้าอย่างนั้นก็ต้องปรับ” จินดาบอก
หลวงจินดาวัฒนกิจดึงมารศรีลงนั่งเบียด หลวงไพจิตรส่งแก้วให้ พระอักษรเหล่ดูอกที่วับแวมอยู่
สรรค์มองมารศรีในหมู่ชายอย่างดูถูก มารศรีเห็นแววตาของสรรค์แล้วมองตอบอย่างท้าทาย

ธนากับนพเดินนำเพื่อนชาย ๒ - ๓ คนเข้ามาในภัตตาคารหยาดสวรรค์ในเวลาต่อมา ธนาหน้าตาบึ้งตึงสุดๆ นพชะงักแล้วพูดขึ้น
“ให้ตายสิ ไม่นึกว่าโลกจะกลมอย่างนี้”
“อะไรของแก นพ” ธนาถาม
นพพยักเพยิดไปด้านใน ธนาเห็นสรรค์กับบุญมากำลังชนแก้วกันอยู่
“ไปที่อื่นดีไหม” นพถาม
สรรค์มองมาสบตากับธนาพอดี ธนาแค่นยิ้มแล้วบอก
“ไม่จำเป็น”
ธนาก้าวมาหาสรรค์ บุญมาลุกขึ้น ธนาเชกแฮนด์กับสรรค์และบุญมา แต่นพแค่ก้มศีรษะให้นิดหนึ่งแล้วทำเป็นสนใจการแสดง
“ไม่นึกว่าจะเจอคุณสรรค์ที่นี่” ธนาบอก
“ผมก็เหมือนกัน สบายดีหรือครับคุณธนา”
“สบายดี แต่คงไม่สบายเท่าคุณกระมัง”
“พูดแบบนี้ แปลว่าคุณธนาคงได้รับฟังข่าวดีของเจ้าสรรค์กับคุณสุวลีแล้วใช่ไหมครับ” บุญมาบอก
ธนาแค่นยิ้มด้วยแววตาไม่พอใจ แต่ยังไม่ทันตอบอะไร นพก็พูดแทรกขึ้น
“ไปนั่งกันเถอะธนา เพื่อนๆ เรารออยู่”
“งั้นผมขอตัวก่อน”
สรรค์ผายมือ
“ครับ...เชิญ”
ธนาก้มศีรษะให้แล้วเดินไปรวมกลุ่มกับเพื่อน ส่วนสรรค์กับบุญมานั่งลงที่เดิม

ในฟลอร์มีหนุ่มเท้าไฟลงไปวาดลวดลายกับพาร์ทเนอร์หลายคู่ กลางฟลอร์บุญมากับคู่เป็นตัวเด่น เดี๋ยวหมุนตัว เดี๋ยวเตะเท้า สรรค์หัวเราะแล้วยกนิ้วให้บุญมา
ที่โต๊ะธนา นพและเพื่อนมองไปที่สรรค์อย่างหมั่นไส้
“ไม่น่าเชื่อ นี่นายแพ้ไอ้เจ้าสรรค์หรือ นายน่ะเหนือกว่ามันทุกอย่าง” นพว่า
ธนามีแววเคียดแค้นวูบหนึ่งแล้วก็นิ่งสุขุมตามเดิม
“ไม่จริงหรอก นายสรรค์น่ะมันผู้ดีเก่าเหง้าผู้ดี แต่ฉันมันแค่เศรษฐีใหม่” ธนาบอก
“แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมา สุวลีไม่เคยรังเกียจนาย” นพว่า
“ใช่ สุวลีดีกับฉันตลอดมา แต่ถ้าให้ฉันเดาก็คือ ท่านเจ้าคุณกับคุณหญิงรังเกียจตระกูลฉัน”
“ตัดอกตัดใจเสียเถอะธนา”
“ฉันไม่ใช่คนที่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ”
“ดูมันสิ ท่าทางมันกร่างน่าดูคงสะใจที่เอาชนะแกได้”
“เลิกพูดเรื่องนี้เสียทีเถอะน่ะมาสนุกกันไม่ใช่เหรอ” ธนาว่า
ธนาไม่พอใจ พอดีมารศรีเดินผ่านมา
“คุณมารศรี เชิญแวะที่โต๊ะหน่อย”
มารศรีมองไปเห็นพวกเพื่อนๆของธนาที่มีท่าทีหื่นก็เม้มปาก มารศรีแล้วเห็นสรรค์นั่งอยู่คนเดียวเลยเดินผ่านธนาเลยไปหาสรรค์ ธนาเสียหน้า
มารศรียิ้มให้ สรรค์ยิ้มนิดๆ อย่างไว้ตัว มารศรีนั่งลงใกล้ๆสรรค์
“ทำไม นั่งอยู่คนเดียวล่ะคะ”
“เพื่อนผมออกไปเต้นรำอยู่”
ที่โต๊ะธนา นพตะโกนมาด้วยเสียงเสียงเมาๆเรียก
“คุณมารศรี เพื่อนผมเรียกคุณไม่ได้ยินหรือไง”
มารศรีรีบดึงสรรค์ลุกขึ้น
“เต้นรำกับดิฉันนะคะ ได้โปรด”
มารศรีดึงสรรค์ไปที่ฟลอร์ นพมองธนาเป็นเชิงฟ้อง ธนาไม่พอใจ

ดนตรีเปลี่ยนเป็นจังหวะสโลว์ สรรค์เต้นรำกับมารศรีอย่างเหินห่าง มารศรีแหงนเงยดูสรรค์แล้วบอกว่า
“คุณนี่สูงจัง”
มารศรีเอามือข้างหนึ่งลูบแก้มสรรค์แล้วบอก
“แล้วก็หล่อมากด้วย”
“นี่เธอเมาเหรอ” สรรค์ถาม
“ค่ะ เวลาที่ฉันเมา ฉันเกลียดตัวเองน้อยลง”
“แต่ฉันดูเธอมีความสุขดี”
“สิ่งที่คุณเห็นอาจเป็นแค่ภาพลวงตา”
มารศรีสบตาสรรค์แล้วพลันเบียดตัวชิดเขย่งตัวจูบ ปากสรรค์อึ้งไป
ธนามองเห็นสรรค์กับมารศรีก็ชะงักตกใจ สรรค์ผละตัวเดินออกจากฟลอร์ มารศรีเดินไปอีกทางผ่านสิน สินคว้าแขนไว้
“เธอจะไปไหน”
“ปล่อยฉันพี่สิน”
“เธอเมาแล้วนะ” สินพูดด้วยความห่วงใย
“ช่างฉัน ฉันดูแลตัวเองได้”

มารศรีสะบัดแล้วเดินไป สินมองตามอย่างเจียมใจ
สรรค์เดินมาที่โต๊ะ บุญมาตามมา สาวพาร์ทเนอร์ยืนงงอยู่
“ยังไงวะ” บุญมาถาม
“ฉันจะกลับแล้ว ถ้าแกจะอยู่ก็ตามใจแก” สรรค์บอก
สรรค์ผลุนผลันเดินออกจากภัตตาคารหยาดสวรรค์ไป บุญมาเซ็ง ธนามองเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างสนใจ แววตาแฝงความมุ่งร้าย

มารศรีเดินตามสรรค์ออกมา
“เดี๋ยวก่อนค่ะ คุณ”
มารศรีคว้าแขน สรรค์ชะงัก
“ปล่อย อย่ามาแตะต้องตัวผม”
มารศรีโกรธ
“กลัวจะแปดเปื้อนหรือคะ หรือว่ากลัวจะอดใจไม่ได้”
สรรค์ทำท่าเหมือนอยากจะพูดอะไรแรงๆ แต่แล้วก็ตัดใจ
“ปล่อย”
“ไม่”
สรรค์กระชากแขนอย่างแรง มารศรีเซล้มไป สรรค์เดินออกไปอย่างไม่เหลียวหลัง
มารศรีลุกขึ้น
“หยุดนะ คุณ .. คุณ”
มารศรีจะวิ่งตามแต่ปรากฏว่าข้อเท้าแพลง เลยซวนเซจะล้มลง อ้อมแขนกำยำของชายคนหนึ่งรับตัวไว้ มารศรีเงยหน้าขึ้นมองเห็นชายกลางคนแต่งตัวโก้ ท่าทางมีสง่าราศรี ประคองเธออยู่ คือพระชาญชลาศัยนั่นเอง
“เธอ เป็นอะไรรึเปล่า”
มารศรีนิ่งไม่ตอบ พระชาญชลาศัยมองมารศรีที่อยู่ในอ้อมกอดพลางพูดอ่อนหวาน

“ฉันถามว่าเธอเป็นอะไร เดินไหวไหม”
มารศรีทรงกายลุกขึ้นยืน
“แค่ข้อเท้าแพลงเท่านั้นค่ะ ท่าน...เอ่อ”
“ฉัน พระชาญชลาศัย ส่วนเธอ...”
พระชาญชลาศัยดูเครื่องแต่งกายของมารศรี มารศรีตอบ
“ฉันมารศรีค่ะ ฉันร้องเพลงอยู่ที่นี่”
พระชาญชลาศัยยิ้มแล้วมองมารศรีอย่างติดใจจนออกนอกหน้า มารศรีสะเทิ้น
ทางด้านธนาที่เดินตามออกมาดูเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดและมองอย่างทึ่ง นพหันมามองหน้าธนา
“นั่นพ่อเจ้าสรรค์นี่ ไม่น่าเชื่อ ว่าจะมาเที่ยวแบบนี้ด้วย” นพว่า
“ไม่ใช่แค่มาเที่ยวเท่านั้น ท่าทางพระชาญจะติดใจแม่มารศรีเข้าให้แล้ว” ธนาว่า
ธนายิ้มร้ายมองพระชาญชลาศัยประคองมารศรีเดินกลับเข้าด้านใน

หมายเหตุ - ผู้เรียบเรียง

๑. เพลง “บัวขาว” ประพันธ์คำร้องโดย พระเจ้าวรวงค์เธอ พระองค์เจ้าภานุพันธ์ยุคล ให้ทำนองโดย หม่อมหลวงพวงร้อย อภัยวงศ์ เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องถ่านไฟเก่า สร้างโดยบริษัท "ไทยฟิล์ม" เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๐ ขับร้องโดย แนบ เนตรานนท์ ต่อมาเพลงบัวขาว ได้รับการคัดเลือกจากศูนย์วัฒนธรรมแห่งเอเชียของยูเนสโก ประเทศฟิลิปปินส์ ให้เป็น “เพลงแห่งเอเชีย”

จบตอนที่ ๑

สาวน้อย ตอนที่ ๒
ท้องฟ้ายามราตรีมีพลุพุ่งขึ้นบนแล้วระเบิดกระจายออกเป็นดวงแสงระยิบระยับ แปรเปลี่ยนเป็นสีต่างๆอย่างไม่ขาดสาย เสียงเพลงดังรื่นเริง
“วันที่หนึ่ง เมษายน ตั้งต้นปีใหม่...” (๑)
ที่บ้านเนาวรัตน์ คืนนี้มีงานฉลองหมั้น ตัวตึก ต้นไม้ สวนหย่อม รูปปั้น น้ำพุ ฯลฯ ประดับไฟแพรวพราวเช่นเคย
“...แสงตะวัน พร่างพรายใส สว่างแจ่มจ้า...”
ถนนที่ทอดสู่ตัวบ้านมีรถจอดเป็นแถวยาวเหยียด แสงจากพลุทาบบนตัวตึกและอาณาบริเวณเปลี่ยนสีไปเป็นระยะ

บ้านเนาวรัตน์ วันขึ้นปีใหม่ ๑ เมษายน ๒๔๘๑ (๒)

ห้องอาหารในบ้านเนาวรัตน์หรูหราด้วยโคมระย้า ภาพเขียนมหึมาในกรอบทอง ตู้ถ้วยชามกระเบื้องสูงค่า ฯลฯ โต๊ะอาหารจัดเป็นรูปตัวยูสำหรับแขก ๔๐ คนเป็นงานแกรนด์ดินเนอร์ จัดดอกไม้เลื้อยระย้าไปตลอดโต๊ะ มีป้ายชื่อแขก เมนูอาหาร เชิงเทียน แก้วน้ำล้วนเป็นแก้วเจียระไน ฯลฯ
ที่ฐานตัวยู สรรค์นั่งข้างสุวลีในชุดสีฟ้างามระยิบระยับ ข้างสุวลีคือพระยากีรติกับคุณหญิงบัวผัน ข้างสรรค์คือพระชาญชลาศัยและม.จ.หญิงพิไลเลขาน้องสาวคนเล็กของท่านตาของสรรค์ในวัย ๕๕ ปีที่สาวกว่าวัยและทันสมัย
ตามด้านยาวของโต๊ะทั้งสองข้างมีแขกผู้ใหญ่และกลุ่มเพื่อนของคู่หมั้น แขกผู้ใหญ่ได้แก่ พระยาธรรมนูญภักดีวัย ๖๕ ท่าทางใจดี ยุติธรรม คุณหญิงมะลิวัย ๔๐ ปี สวยแต่ทำตัวสาวเกินวัย พระอักษรและคุณนายทองหยด หลวงไพจิตรและคุณนายพวงร้อย ฯลฯ
แขกรุ่นเล็กได้แก่ เสวก ธนา นพ อนงค์ รตี บุญมา ช่อผกา และที่สนิทรองลงไปอีก 10 คน ทุกคนกำลังดื่มกินพูดคุย พระยากีรติภาคภูมิใจ สรรค์และสุวลีสบตากันอย่างเปี่ยมสุข อนงค์ รตีระริกระรี้กับเสวก บุญมา นพ ช่อผกาทำเสงี่ยมเพราะอยู่ในสายตาพ่อแม่ แต่พระชาญชลาศัยดูมีกังวลบางอย่าง ส่วนธนายิ้มแย้มพูดคุยดื่มอย่างเกินปรกติ
มีเสียงเคาะแก้วกังวานใส พระยากีรติลุกขึ้น ทุกคนมองดูเสียงสรวลเสเงียบลง
“มีคนถามผมว่าทำไมผมถึงได้จัดงานฉลองหมั้นลูกสาวในวันปีใหม่ คำตอบก็คือ เมื่อ หนึ่งเมษายนปีที่แล้ว ผมได้จัดงานเลี้ยงปีใหม่ขึ้น .. เจ้าเสวกลูกชายผม”
เสวกยิ้มร่าชูแก้ว อนงค์หัวเราะกระซิก รตีค้อนคม พระยากีรติพูดต่อ
“ได้แนะนำสรรค์เพื่อนสนิทให้ได้รู้จักกับสุวลีเป็นครั้งแรก”
สรรค์สบตาสุวลีที่ยิ้มนิดๆ แต่หวานปานจะหยด สรรค์จับมือสุวลี
“วันนี้นอกจากเป็นวันหมั้นยังเป็นวันครบรอบหนึ่งปีที่ทั้งคู่ได้รู้จักกันอีกด้วย”
“ท่านเจ้าคุณพูดผิดแล้วล่ะค่ะ” พิไลเลขาตรัส
ท่านหญิงพิไลเลขาขัดยิ้ม พระยากีรติเลิกคิ้วแล้วยิ้ม
“หม่อมผิดอย่างไร ทูลเชิญท่านหญิงกระหม่อม”
ท่านหญิงพิไลเลขาลุกขึ้น แย้มสรวลตรัส
“ความจริงแล้ว เมื่อห้าปีก่อน สรรค์ หลายชายของดิฉัน กับเสวกเรียนอยู่ฟิลิปปินส์ เสวกได้เขียนจดหมายเล่าเรื่องและส่งรูปของสรรค์มาให้หนูสุ”
สุวลีหน้าแดง บรรดาแขกฮือฮา พระยากีรติสบตาบัวผันแล้วหัวเราะคิก
“ส่วนสรรค์เองก็ได้เห็นรูปหนูสุและได้ยินเสวกเล่าเรื่องน้องสาวแสนสวยจนนับครั้งไม่ถ้วน ฉะนั้นทั้งคู่จึงรู้จักกันมานมนานแล้วค่ะ”
พระยากีรติโค้งให้แล้วหัวเราะ
“โอ ท่านหญิงทรงทราบข่าววงในลึกซึ้งกว่ากระหม่อมเสียอีก งั้นผมขอถือโอกาสนี้ เชิญทุกท่านดื่มอวยพรแก่คู่รักทั้งสอง”
พระยากีรติชูแก้วแล้วบอก
“ขอให้คู่รักทั้งสองรักกันตราบฟ้าดินสลาย ไม่มีสิ่งใดมากีดกั้นเป็นอุปสรรค์ความรักนี้ได้”
ธนาชูแก้วขึ้นด้วยดวงตาอันขมขื่น สรรค์สบตาสุวลีที่ยิ้มหวาน

พลุดวงมหึมาระเบิดกระจายเต็มฟ้าและวูบวับดับลง เสียงเปียโนดังมาจากมุมห้อง ซึ่งมีนักดนตรีบรรเลงเพลงอยู่ ห่างออกมามีโซฟาใหญ่ให้บรรดาแขกผู้ใหญ่ เช่น ท่านหญิงพิไลเลขา พระยาธรรมนูญ คุณหญิงมะลิ พระยากีรติ คุณหญิงบัวผัน ทั้งหมดนั่งฟังเพลง ส่วนพระชาญชลาศัยยืนมองสรรค์และสุวลีอย่างภูมิใจ แขกอื่นๆยืนรายรอบมองอยู่อีกมุมหนึ่ง รูปวาดสุวลีฝีมือสรรค์ติดอยู่เป็นจุดเด่น สรรค์กับสุวลียืนอยู่ตรงหน้ารูป บรรดาแขกเด็กๆ ยืนรายล้อมชื่นชม มีเพียงธนาคนเดียวเท่านั้นที่ยืนแยกตัวออกมาเล็กน้อย
บุญมาบอกกับสรรค์
“รูปนี้งามจริงๆ ฉันขอเอาไปลงปกแมกกาซีนได้ไหม”
“แกต้องขอสุวลีต่างหาก”
บุญมาถามสุวลี
“ว่าไงครับ เจ้าหญิง”
“ถ้าลงแล้วเป็นการโฆษณาให้คนวาด สุก็ไม่ขัดข้องค่ะ”
“แล้วก็เป็นการโฆษณาความงามของนางแบบด้วย” บุญมาบอก
บุญมากึ่งชมกึ่งแขวะเล่นๆ สุวลีมองค้อน บุญมาแกล้งพูด
“แต่ผมว่ารูปนี้ยังไม่สมบูรณ์แบบ มันขาดอะไรไปน้อ”
สุวลียิ้ม แต่ตาเข้มขึ้น หางเสียงสะบัดนิดๆ
“ถ้าบรรณาธิการช่างติอย่างนี้ ก็กรุณาอย่าเอาไปเลยค่ะ”
“อ้อ ผมนึกออกแล้ว รูปจะสมบูรณ์กว่านี้ ถ้ามีเจ้าสรรค์อยู่ข้างๆด้วย”

สุวลียิ้มออก สรรค์ภูมิใจ
“แล้วจะยิ่งสมบูรณ์ขึ้นไปอีก ถ้ามีสรรค์หรือสุวลีน้อยๆ อยู่ในภาพด้วย” เสวกบอก
อนงค์ รตีร้องวี้ดว้าย ธนาสีหน้าขมขื่นอย่างเห็นได้ชัด
บุญมาชูแก้วขึ้น
“แด่สรรค์หรือสุวลีน้อยๆ”
สรรค์หัวเราะชนแก้วกับเพื่อนๆ สุวลีหน้าแดงทุบเสวก
“บ้า”
ธนาทนเห็นภาพแห่งความสุขของสรรค์กับสุวลีไม่ไหวจึงค่อยๆเดินแยกออกไป สุวลีมองตามด้วยแววตาสงสาร แต่ก็ภูมิใจในเสน่ห์ของตัวเอง

เวลาผ่านไป แขกกระจายตัวเป็นกลุ่มๆ ที่มุมหนึ่งพระยาธรรมนูญยืนคุยกับพระยากีรติและพระชาญชลาศัย
“ตอนนี้มีแต่ความไม่สงบไปทุกหย่อมหญ้า นี่เยอรมันก็เพิ่งผนวกออสเตรียเข้าไว้ สงครามในยุโรปคงเกิดแน่” ธรรมนูญบอก
“คงมาไม่ถึงเมืองเรากระมังเจ้าคุณ” กีรติบอก
“ว่าไม่ได้ดอกนะ นี่ญี่ปุ่นก็เพิ่งรุกรานจีนผู้คนล้มตาย เขาว่าเป็นเรือนแสนนี่ก็ห่างเมืองเราไม่กี่มากน้อย”
“ว่าแต่เจ้าคุณเถอะครับ กิจการเรือสินค้าของเจ้าคุณต้องระวังให้ดี” พระชาญชลาศัยบอก
“นี่ผมก็หวั่นๆ ใจอยู่เหมือนกัน” กีรติบอก
สรรค์กับสุวลีเดินกรายเข้ามา พระยากีรติเรียก
“อ้าว สรรค์ นี่กราบท่านเจ้าคุณธรรมนูญหรือยัง”
สรรค์ค้อมตัวไหว้อย่างงดงาม
“ญาติกันแท้ๆ ไม่ต้องพิธีรีตรองอะไรมากนักหรอก” ธรรมนูญบอก
“คุณพ่อเล่าเรื่องสมัยท่านเป็นเสนาบดีให้ฟังบ่อยๆ ครับ” สรรค์บอก
พระยาธรรมนูญพูดด้วยน้ำเสียงปลงๆ
“หมดยุคของฉันมาหลายปีแล้ว”
“ท่านเจ้าคุณเป็นเจ้านายเก่าของฉัน แต่ท่านมาแต่งกับแม่มะลิ น้องสาวของคุณหญิง ท่านเจ้าคุณเลยกลายเป็นน้าเขยของสุวลีไป” กีรติบอก
พระยาธรรมนูญพยักเพยิดกับสรรค์แล้วบอก
“แต่ฉันให้สุวลีเรียกฉันว่าลุงนะ กลัวใครมันจะค่อนเอา ไม่เหมือนแม่มะลิเค้า ขานั้นกลัวอะไรไม่เท่ากลัวแก่”

ทั้งหมดหัวเราะกันอย่างขบขัน

ที่มุมหนึ่งภายในห้องจัดเลี้ยง คุณหญิงมะลิแต่งตัวจัดใส่เสื้อคอคว้านลึกมือกระพือพัด เครื่องเพชรส่องประกายวอบแวบกำลังพูดคุยกับคุณหญิงบัวผัน ทองหยด และพวงร้อย
“วุ๊ย แก่เก่ออะไรกัน แม่มะลิน่ะมีบุญ เห็นกี่ทีกี่ทีก็สาวสวยอยู่อย่างนี้ ไม่เปลี่ยนเลย” บัวผันว่า
คุณหญิงมะลิหัวเราะอย่างมีจริตแล้วบอก
“แหม คุณพี่”
“นี่ไม่บอกไม่รู้เลยนะคะว่ามีลูกโตเป็นสาวแล้ว” ทองหยดว่า
“แล้วนี่หนูช่อผกาไปไหนเสียเล่าคะ” พวงร้อยถาม
คุณหญิงมะลิเหลียวมองหาแล้วชะงัก เมื่อเห็นช่อผกาหัวเราะระริกอยู่ในวงล้อมของชาย ๒ - ๓ คนที่ยื่นแก้วเครื่องดื่มให้รอบตัวอยู่ที่มุมเครื่องดื่ม ช่อผกาจิบเครื่องดื่มในมือแล้วทำตาโตไร้เดียงสาแต่พร้อมหว่านเสน่ห์เต็มที่
“ช่อเบื่อน้ำมะเน็ดนี่จังเลย” ช่อผกาบอก
ชายคนแรกยื่นแก้วในมือส่งให้แล้วบอก
“งั้นดื่มพั้นช์นี่ดีกว่าครับ”
“ไม่ได้หรอกค่ะ ช่อยังเด็กไม่ควรดื่มเหล้า”
ชายคนที่สองส่งให้
“โธ่ เขาผสมเหล้านิดเดียวล่ะครับ”
“ยังไงก็ไม่ได้ค่ะ”
เสียงคุณหญิงมะลิดังขึ้นพร้อมๆกับก้าวเท้าเข้ามาเล่นเอาพวกผู้ชายสะดุ้ง ช่อผกาทำตาแป๋ว
“ลูกสาวดิฉันยังเด็กอยู่นะคะ คุณศักดิ์ชาย คุณประชา” “เอ่อ ผมต้องขอโทษด้วย” ชายคนที่หนึ่งบอก
ทั้งสองทำท่าจะหลีกไป คุณหญิงมะลิกระแอมแล้วยิ้มหวาน
“ไม่เป็นไรมิได้ค่ะ ในเมื่อคุณๆ ทั้งหลายอุตส่าห์มีแก่ใจ”
คุณหญิงมะลิยื่นมือไปรับแก้วมาจิบอย่างมีจริตเย้ายวน หนุ่มๆยิ้มพราย ชอบใจ พากันยื่นแก้วให้ คุณหญิงมะลิหัวเราะเสียงใส ช่อผกาแอบค้อนแม่

สุวลีเดินออกมาที่มุมด้านนอก ธนายืนหลบอยู่ในมุมลับตาคนด้วยท่าทางเศร้าๆแล้วก้าวไปหาสุวลี
“คุณธนา มาหลบอะไรอยู่ตรงนี้คะ” สุวลีบอก
“ข้างในนั้น มีใครต้องการผมหรือครับ”
ธนาพูดเรียบๆ แต่ดวงตาสะเทือนใจ สุวลีใจหาย

“คุณธนาคะ...ที่ผ่านมา สุซาบซึ้งกับทุกอย่างที่คุณทำให้ และสุขอบคุณสำหรับความปรารถนาดี สุขอให้คุณเป็นเพื่อนที่ดีของสุตลอดไปนะคะ”
“ครับ...เพื่อนที่ดี ตลอดไป”

ธนายกมือสุวลีมาแตะริมฝีปากเบาๆอย่างสุภาพ สุวลีชะงักไป แต่ก็ไม่ได้ขัดขืน
ธนาปล่อยมือสุวลีลง แววตาแอบร้าย
“คุณสุครับในฐานะเพื่อนที่ดี ผมคิดว่ามีเรื่องบางเรื่องที่ผมต้องบอกคุณสุ”
“เรื่องอะไรคะ”
ธนาทำท่าลำบากใจ
“มันเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยจะดีนัก .. เกี่ยวกับนายสรรค์”
สุวลีมองธนาด้วยความอยากรู้มาก

บริเวณเทอเรสหน้าบ้านเนาวรัตน์ในเวลาต่อมา สรรค์และสุวลียืนเคียงกันส่งแขกผู้ใหญ่กลับ หลวงไพจิตรกับพวงร้อยและพระอักษรกับทองหยดกลับพร้อมกัน สุวลีแอบมองสรรค์ ด้วยสีหน้าเครียด เหมือนมีความในใจ พระชาญชลาศัยเดินสวนออกมา สุวลีชะงักมองหน้านิ่ง
“อ้าว คุณพ่อจะกลับแล้วเหรอครับ”
“พ่อเหนื่อยๆ อยากกลับไปพักผ่อน”
“ครับ แล้วเจอกันที่บ้าน แต่วันนี้ดึกหน่อยนะครับ”

พระชาญชลาศัยพยักหน้า สุวลียกมือไหว้ลา พระชาญชลาศัยรับไหว้แล้วเดินไป สุวลีหันไปบอกสรรค์
“สรรค์คะมาทางนี้เถอะค่ะ สุอยากคุยกับคุณ”

ตรงบริเวณกลางสวนมีสระน้ำพุขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ซ้อนเป็นชั้นๆ ประดับไฟที่เปลี่ยนสีน้ำพุและอาณาบริ เวณไปตลอดเวลา สุวลีจูงมือสรรค์เดินไปนั่งที่ขอบอ่าง แสงที่แปรเปลี่ยนทำให้สุวลีงดงามแปลกตา สรรค์มองอย่างเพ้อฝัน
“สุดูงามแปลกตาเหลือเกินเมื่ออยู่ในแสงแบบนี้ ผมจะเก็บภาพคุณตอนนี้ไว้ และวาดมันออกมาซักวันหนึ่ง”
สุวลียิ้มเอามือปัดปอยผมที่ปรกหน้าผากอย่างสรรค์แผ่วเบา
“สุก็รักคุณเพราะดวงตาละเมอเพ้อฝันของคุณคู่นี้ คุณคือศิลปินทั้งชีวิตและดวงวิญญาณ .. มะรืนนี้คุณต้องไปเชียงใหม่แล้วใช่ไหมคะ”
“ครับ”
“นานแค่ไหนคะ”
“เดือนนึงครับ คุณพ่อยังบ่นเลยว่านานไปหน่อย”
สุวลีตัดสินใจพูด
“พูดถึงคุณพ่อคุณมีเรื่องๆ นึงที่สุไม่รู้ว่าจะพูดดีหรือเปล่า”
“อีกไม่นานเราก็จะเป็นคนๆ เดียวกันแล้วนะสุ”
“สุบังเอิญได้ยินมาว่า คุณพ่อของคุณกำลังหลงใหลได้ปลื้มกับผู้หญิงกลางคืนที่ภัตตาคารหยาดสวรรค์ถึงขั้นจะเลี้ยงดูกัน”
“เหลวไหล คุณพ่อของผมไม่ใช่คนแบบนั้น” สรรค์ยืนยัน
“ถ้าไม่จริงคนจะเอามาพูดได้ยังไงคะ”
สรรค์โกรธจัด
“พูดกันพล่อยๆ สุบอกมาว่ามันเป็นใคร ผมจะไปลากคอมันมาถามให้รู้เรื่อง”
“ไม่สำคัญหรอกค่ะว่าใครพูด แต่ถ้าเรื่องนี้รู้ไปถึงหูคุณพ่อของสุท่านคงไม่ชอบใจแน่”
สุวลีปรามเรียบๆ ทว่าเสียงเข้มขึ้น สรรค์ยังโกรธคนพูดอยู่
“ผมจะไปคุยกับคุณพ่อ จะไปถามท่านให้รู้เรื่อง”
สรรค์ผลุนผลันไปด้วยอารมณ์แรง สุวลีจับแขนไว้
“สรรค์คะ”
สรรค์ดึงมือสุวลีออก
“ขอโทษทีครับ สุ”
สรรค์เดินออกไปด้วยอารมณ์ สุวลียืนมองตามและมีสีหน้าเป็นกังวล

รถสรรค์แล่นเข้าประตูบ้านโพธิธาราในเวลาต่อมา รามซิงค์แขกยามโค้งคำนับ แล้วผลักประตูปิด รถสรรค์แล่นมาจอดยังโรงรถ สมพงษ์วิ่งมารับ สรรค์มีสีหน้าบึ้งตึงลงจากรถแล้วโยนเสื้อนอกให้ สมพงษ์หน้าซีดเซียว สรรค์ยังไม่เอะใจ
สรรค์เดินมายังเทอเรส เห็นแม่ผินเดินงุ่นง่านอยู่ที่ขอบเทอเรส บัวนั่งที่แทบเท้า หน้าตามีแววกังวล
“มีอะไรหรือแม่ผิน” สรรค์ถาม
“คุณหนูเข้าไปดูเองเถอะค่ะ” ผินบอก

สรรค์ก้าวเข้ามาในห้องโถงอย่างสังหรณ์ใจ พระชาญชลาศัยนั่งอยู่ที่โซฟาคนเดียว มีท่าทีกังวลเล็กน้อย สรรค์ก้าวไปหา แม่ผิน บัว สมพงษ์ตามมาออที่ประตู
“สรรค์นั่งซิลูก พ่อมีอะไรจะปรึกษา”
สรรค์นั่งลงแล้วถาม
“คุณพ่อมีอะไรหรือครับ”
“แกคงก็คงเห็นว่าพ่อเองก็อยู่คนเดียวมาหลายปีแล้ว พ่อรู้สึกว้าเหว่แล้วก็เหงา พ่อเองก็ยังไม่แก่เกินไปที่จะมีความรักอีกสักครั้ง พ่อถึงได้ตัดสินใจที่จะรับมารศรีมาเป็นเมีย”
สรรค์ตัวชาหูตาพร่าพราย
“มารศรี”
ที่หลังม่านลูกปัดกั้นส่วนแพนทรี่และเคาน์เตอร์บาร์ มารศรีแหวกม่านลูกปัดเสียงกราวออกมา มารศรีแต่งตัวเรียบร้อยไม่โป๊ แต่รัดรึงเห็นทรวดทรงในมือถือถาดวางแก้วเบียร์ฟองพราย บัวยกมือปิดปาก สมพงษ์กำหมัดลุ้น
มารศรียืดกายขึ้นสบตาสรรค์ สรรค์มองหน้า มารศรีไม่มีแววว่าจำสรรค์ได้ ยิ้มนิดๆ เชิงทักทาย สรรค์หน้าเย็นชา ดวงตาฉายแววรังเกียจ มารศรีเม้มปาก ถอยไปข้างโซฟาที่พระชาญชลาศัยนั่งอยู่
“สรรค์ นี่ไงมามารศรี มารศรี นี่ไงสรรค์ลูกชายฉัน”
“สวัสดีค่ะ”
สรรค์มองอย่างเหยียดหยาม
“ผู้หญิงคนนี้น่ะหรือครับที่จะมาเป็นเมียคุณพ่อ มาเป็นแม่เลี้ยงของผม”
“ใช่”
“คุณพ่อจะมีเมียทั้งทีก็หาคนดีๆ หน่อยไม่ได้หรือครับ”
สรรค์พูดเสียงเย็นชา พระชาญชลาศัยผงะ แต่มารศรีกลับยิ้มนิดๆ อย่างเตรียมใจไว้แล้ว มารศรีถอยไปยืนใต้รูปคุณหญิงวิไลเรขาพอดี
“ผู้หญิงดีๆ ที่เหมาะสมก็มีอยู่ถมเถ แต่คุณพ่อกลับมาเลือกผู้หญิงที่มีความรักและร่างกายเป็นของสาธารณะ”
มารศรีเม้มปากไม่พอใจ ผิน สมพงษ์ บัวสะดุ้งเฮือก พระชาญชลาศัยลุกพรวดขึ้น
“หยุด แกไม่มีสิทธิ์อะไรมาสบประมาทมารศรีอย่างนี้ เขาเป็นแค่นักร้องไม่ใช่...โสเภณี”
“นักร้องในสถานที่แบบนั้นคงไม่บริสุทธิ์เป็นน้ำค้างกลางหาวหรอกครับ”
“มารศรีเคยแต่งงานแล้วก็เลิกร้างกันเขาเล่าให้ฉันฟังหมด”
“แล้วที่ไม่ได้เล่าละครับ ยังมีอีกเท่าไหร่” สรรค์ถาม
มารศรีมีสีหน้าเจ็บปวดกับคำถากถางเปรียบเปรย พระชาญชลาศัยเดินมายืนข้างๆเพื่อปกป้อง
“ฉันเชื่อใจมารศรี อีกอย่างอดีตก็คืออดีต แต่ปัจจุบันก็คือ ฉันจะรับมารศรีมาอยู่กับฉันที่นี่”
สรรค์หัวเราะเยาะ
“ผมคิดว่าผมเมา แต่คุณพ่อน่ะเมาหนักกว่า เมาจนไม่มีสติเหลือแล้ว”
“พอที เลิกด่าฉันซักที ลืมแล้วหรือว่าแกเป็นลูกแล้วฉันเป็นพ่อของแก แกไม่มีสิทธิ์มาพูดจาอย่างนี้”
“ผมมีสิทธิ์เพราะผมเป็นลูกของคุณพ่อมีชื่อเสียงของตระกูลที่ต้องรักษาไว้ เมื่อคุณพ่อทำเรื่องเสื่อมเสียผมก็ต้องรับความอับอายนี้ไว้ด้วย”
“หยุดเดี๋ยวนี้ หยุด” พระชาญชลาศัยเสียงดัง
“คุณพ่อทำให้วันมงคลของผมกลายเป็นวันอัปมงคลอย่างที่สุดเพราะผู้หญิงคนนี้คนเดียว”
สรรค์เดินปึงๆ ขึ้นชั้นบนไป พระชาญชลาศัยถึงกับเซไป มารศรีประคองมานั่งลงแล้วยิ้มขื่นๆ
“ทำไมคุณพระถึงไม่ทำอย่างที่ใครๆ เขาทำกันคะ”
“ทำยังไงหรือ”
“ก็เช่าบ้านเล็กๆ ให้ดิฉันซักหลัง แล้วก็จะแวะมาหาดิฉันบ้าง ถ้าทำแบบนั้น ลูกชายคุณพระคงไม่ปึงปังอาละวาดขนาดนี้”
“เพราะฉันไม่ได้เห็นเธอเป็นนางบำเรอน่ะซี”
มารศรีนิ่งอึ้งแล้วเลื่อนตัวลงไปที่พื้นกราบลงที่ตักของพระชาญชลาศัย
“คุณพระดีกับดิฉันเหลือเกินค่ะ แต่ลูกชายของคุณพระซีคะเธอคงไม่ยอมแน่”
พระชาญชลาศัยถอนหายใจ มารศรีแววตาวาววับอย่างไม่ยอมแพ้

ติดตามอ่านต่อหน้าที่ ๔

 


หมายเหตุ - ผู้เรียบเรียง

๑. เนื้อเพลงที่ร้องว่า “วันที่หนึ่ง เมษายน ตั้งต้นปีใหม่...” นี้ ชื่อเพลง “เถลิงศก” ประพันธ์คำร้องโดย ขุนวิจิตรมาตรา ทำนองโดย พระเจนดุริยางค์ ถือเป็นเพลงปีใหม่เพลงแรกของไทย และใช้ร้องกันมาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๗๗ หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อรัฐบาลจอมพลป. พิบูลสงคราม เปลี่ยนแปลงวันขึ้นปีใหม่เป็นแบบสากล เพลงนี้ก็หมดความสำคัญลง

๒. วันขึ้นปีใหม่ ๑ เมษายนถูกกำหนดให้เป็นวันขึ้นปีใหม่ มาตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๔๓๒ โดยถือว่าวันที่ ๓๑ มีนาคมเป็นวันสุดท้ายของปีเก่าและวันที่ ๑ เมษายนเป็นวันขึ้นปีใหม่ ซึ่งมีการจัดฉลองต่อเนื่องกันไปจนถึงวันตรุษสงกรานต์ ต่อมาในปี พ.ศ.๒๔๘๔ ได้เปลี่ยนมาเป็นวันที่ ๑ มกราคมของทุกปีเป็นวันขึ้นปีใหม่ตามแบบสากล และถือปฏิบัติสืบต่อมาจนถึงปัจจุบันนี้

สาวน้อย ตอนที่ ๒ (ต่อ)
ภายในห้อง สรรค์นอนเอามือก่ายหน้าผากลืมตาโพลงแล้วผุดลุกขึ้น มองดูรูปครอบครัวที่ไซด์บอร์ดข้างเตียงเป็นรูปพระชาญชลาศัย คุณหญิงวิไลเรขาและสรรค์ สรรค์ขบกรามแน่นคว่ำรูปลง แล้วมองดูรูปสุวลีก่อนจะเอามือกุมหัว

เช้าวันใหม่ที่บ้านโพธิธารา สรรค์แต่งตัวเรียบร้อย แต่หน้าตายังเคร่งเครียดเดินลงบันไดมา แม่ผินอยู่ที่โต๊ะอาหาร บนโต๊ะมีกากาแฟ แต่ยังไม่มีของอื่น แม่ผินหน้าหมองกว่าทุกวัน สมพงษ์กำลังขัดรองเท้าให้สรรค์อยู่ที่ประตู
“คุณหนูตื่นแล้วหรือคะ” ผินถาม
สรรค์นั่งลงหยิบหนังสือพิมพ์มา
“ฉันแทบไม่ได้นอนเลยต่างหาก”
“โธ่เอ๋ย คุณหนูรอประเดี๋ยวนะคะ เจ้าเส็งกำลังเตรียมของเช้าอยู่”
“ฉันไม่มีกระจิตกระใจจะกินอะไรหรอก ขอกาแฟให้ฉันก็พอ”
แม่ผินรินกาแฟให้ สรรค์อ่านหนังสือพิมพ์ครู่หนึ่งแล้ววางลงอย่างขัดใจเพราะอ่านไม่รู้เรื่อง สรรค์ยกกาแฟขึ้นจิบ
“นี่พ่อให้นางคนนั้นอยู่ที่ไหน ห้องคุณหญิงแม่หรือ”
“อุ๊ย เปล่าค่ะ ให้อยู่ที่ห้องพักแขกค่ะ”
“ก็ยังดีที่ยังไม่ข้ามหัวกันมากกว่านี้”

มารศรีสวมชุดนอนมีเสื้อคลุมทับเดินลงบันไดมา สรรค์คอแข็งนั่งเหยียดตรงอย่างไว้ตัว
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ”
สรรค์วางถ้วยกาแฟลงแล้วลุกขึ้นทำราวมารศรีไม่มีตัวตนอยู่ตรงนั้น
“สมพงษ์ รองเท้าได้หรือยัง” สรรค์ถาม
สรรค์เดินออกไป สมพงษ์คว้ารองเท้าวิ่งตามไป มารศรีเดินดูรอบๆ บัวถือถาดอาหารเช้ามาแล้วชะงัก มารศรีนั่งลงแทนที่สรรค์แล้วคว้าถ้วยกาแฟมาดู
“ที่นี่เช้าๆ กินอะไรกัน” มารศรีถาม
“อ๋อ ถ้านายก็กินพวกน้ำชากาแฟแบบฝรั่ง ถ้าไพร่ก็กินข้าวกัน แต่พวกนายไม่ใช่ไพร่ไม่เชิงก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะโปรดอะไร” ผินว่า
“แล้วที่ยกมานั่นมีอะไรบ้างล่ะ”
“อุ๊ย จะดีหรือคะ ผู้หญิงกลางคืนอย่างคุณ คงไม่เคยแหก เอ๊ย ลืมตาตื่นมากินข้าวเช้า ระวังท้องไส้จะย่อยไม่ได้นะคะ”
มารศรียิ้มมอง ผินไม่กลัวแต่ก็เกรงนิดๆ
“ขอบใจนะที่เป็นห่วงฉัน แต่แม่ผินลงไปบอกที่ครัวให้เร่งมือดีกว่า เดี๋ยวคุณพระก็จะลงมาแล้ว” มารศรีบอก

บ้านชูวงศ์ของบุญมาเป็นบ้านครึ่งตึกครึ่งไม้ ขนาดไม่ใหญ่มาก แต่ดูโปร่งโล่งสบาย มีอาณาบริเวณกว้างขวางร่มรื่น มีบึงบัวขนาดใหญ่ออกดอกพราวที่ริมบึงมีศาลาเหลี่ยมเป็นที่ซึ่งบุญมาไว้เขียนหนังสือ
แม่พวงวัย ๕๐ ปี รูปร่างอ้วนกลมใจดี เป็นทั้งแม่นมและแม่บ้านของบุญมากำลังคุม สวย สาวใช้เก็บดอกไม้และคนสวนกวาดใบไม้อยู่

บ้านชูวงศ์ บางกะปิ

เวลาต่อมา สรรค์แล่นรถเข้ามาอย่างรวดเร็วแล้วเบรกเสียงดังสนั่น แม่พวงร้องอุทาน สาวใช้ร้องวี้ดทิ้งขันลงกับพื้นด้วยความตกใจ สรรค์หน้าบึ้งก้าวลงจากรถมา
ห้องโถงในบ้านชูวงศ์ดูโปร่งโล่งตกแต่งอย่างเรียบง่าย มีรูปบรรพบุรุษเป็นขุนนางระดับพระ และรูปพ่อแม่ของบุญมาที่ล่วงลับไปแล้ว ทางด้านหนึ่งเป็นส่วนทำงานซึ่งวางเครื่องพิมพ์ดีดเครื่องใหญ่ มีตู้หนังสือหลายใบ ผนังด้านหนึ่ง มีรูปถ่ายฝีมือบุญมาติดประดับไว้มากมาย
ที่โต๊ะตั้งกาแฟกับอาหารเช้า สรรค์ยืนอารมณ์เสียอยู่ บุญมาล้างหน้าแล้วแต่งตัวลวกๆ ผมเผ้ายังเปียกอยู่ กำลังกินอาหารเช้า มีสาวใช้ยืนรับใช้อยู่
“โธ่เอ๋ย นึกว่าเรื่องโลกแตกอะไร” บุญมาว่า
“นี่แกรู้อยู่แล้วหรือ”
บุญมายักคิ้วแล้วถาม
“มีใครบ้างวะที่ไม่รู้”
“ก็ฉันยังไงเล่า นี่แกไม่คิดจะบอกฉันบ้างหรือ”
“กะอีแค่คุณอาติดนักร้องมันเรื่องใหญ่โตที่ไหนวะ”
“แต่คุณพ่อพาแม่นั่นเข้าบ้านบอกจะให้มาเป็นแม่เลี้ยงฉันล่ะ”
“แกมันตีโพยตีพายเกินไปก็แค่เอาเข้าบ้าน คุณอาคงไม่เอามาจดทะเบียนหรือจัดงานแต่งเอิกเกริกหรอก”
สรรค์ใจเย็นลงนิดหน่อยแล้วเดินมานั่งลงกับบุญมา
“ยังงั้นก็เถอะ แต่แค่นี้ใครรู้เข้าก็นินทาตาย ยิ่งถ้าท่านเจ้าคุณพ่อของสุรู้เข้า เป็นเรื่องแน่”
“ก็จริง ฉันนึกภาพไม่ออกเหมือนกันว่าคุณสุวลีจะทำหน้ายังไง ถ้าได้เจอกับมารศรีในบ้านของแก”


ในเวลากลางวัน มารศรีแต่งตัวราวกับจะออกนอกบ้านมานั่งที่เก้าอี้บนเทอเรส พระชาญแต่งตัวตามสบายมายืนแตะไหล่ ห่างออกมาแม่ผินยืนเชิดอยู่ ที่พื้นมีสมพงษ์ บัว ราตรี จงกล ไม้ จีนเส็ง นั่งเรียงรายกันอยู่ ที่พื้นสนามมีรามซิงค์โพกผ้าหัวโตยืนอยู่
“บัวกับสมพงษ์เธอรู้จักแล้ว นี่ราตรีคนซักรีด จงกลดูแลเรื่องความสะอาด นายไม้ขับรถแล้วก็ทำสวน เจ้าเส็งเป็นกุ๊กครัวฝรั่ง ครัวจีน แล้วก็นั่น” พระชาญชลาศัยบอกมารศรี
“รามซิงค์ขอรับคุณนาย เป็นยามขอรับ” รามซิงค์บอก
“มารศรีจะมาช่วยฉันดูแลบ้านนี้” พระชาญชลาศัยบอกทุกคน
ราตรีและจงกลยิ้มระรื่น พนมมือราวฟังเทศน์
“คุณนายมีอะไรขาดเหลือ บอกราตรีได้นะเจ้าคะ”
“อิฉันด้วยเจ้าค่ะ” จงกลบอก
“ขอบใจจ้ะ ไม่ต้องพินอบพิเทาขนาดนั้นก็ได้ เรื่องงานบ้านทุกอย่างเคยทำมายังไงก็ทำอย่างนั้น”
“ก็ดี” ผินโพล่งขึ้น
“ถ้าฉันมีอะไรจะเปลี่ยนแปลง ฉันจะบอกผ่านแม่ผินเอง”
แม่ผินเชิดหน้า มารศรีลุกขึ้น
“เจ้าไม้ คุณนายจะออกไปพาหุรัด แกไปเตรียมรถ” พระชาญชลาศัยสั่ง
พระชาญชลาศัยและมารศรีก้าวลงไป ไม่ทันจะลับตัวดี แม่ผินก็เท้าสะเอว
“ต๊าย นังนกสองหัว ข้าสองเจ้าบ่าวสองนาย ทำประจบประแจงฝากเนื้อฝากตัว อีกหน่อยก็เอามาเทินหัวเลยซียะ”
“โธ่ คุณแม่บ้าน เจ้าว่างาม ฉันก็ว่างามไปตามเจ้าแค่นั้นเอง” ราตรีว่า
“ยิ่งคุณพระหลงหัวปักหัวปำขนาดนี้” จงกลบอก
แม่ผินค้อนขวับ

ชั้นสองของภัตตาคารหยาดสวรรค์ยังไม่เปิดบริการในเวลากลางวัน เวที ฟลอร์เต้นรำ โต๊ะต่างๆ ว่างวาย มีเพียงบ๋อยชาวจีน 2 คนปูโต๊ะอยู่
มารศรีก้าวมามองดูรอบๆ แล้วยิ้มนิดๆ ก่อนจะเดินไปที่เวทีซึ่งมีดอกบัวขาวประดิษฐ์ดอกหนึ่งตกอยู่ มารศรีหยิบมาดู
“นี่เธอมาทำไมที่นี่” สินถาม
มารศรีหันไปเห็นสินอยู่ข้างหลังก็ยิ้ม สินทำหน้าขรึม
“ฉันก็เอาเงินมาใช้หนี้พี่น่ะซี” มารศรีบอก
“เงินขี้ประติ๋วแค่นี้ ไม่เห็นต้องมาใช้กัน” สินว่า
“ไม่เอาหรอกพี่สิน เงินทองของมีค่า ฉันเคยอดเคยลำบากเจียนตายมาแล้ว ฉันรู้ค่า
มันดี”
มารศรียัดเงินใส่มือสินแล้วบอก
“รับไปเถอะพี่ ยังไงตอนนี้พี่ก็ลำบากกว่าฉัน”
สินมองมารศรีอย่างห่วงใยจริงจัง
“ถามจริงๆ เถอะ นี่เธอคิดว่าคุณพระนั่นจะเอาเธอไปเชิดชูจริงหรือ”
“ต่อให้ฉันต้องไปเป็นเมียเก็บก็ยังดีกว่าต้องเปลืองตัวตากหน้าอยู่ที่นี่...พี่สิน ฉันนับถือพี่เหมือนพี่แท้ๆ พี่น่าจะแสดงความยินดีกับฉันมากกว่า”
มารศรีเอาดอกบัวฟาดสินเบาๆ แบบหยอกเย้า สินมีแววบางอย่าง
“ฉันก็แค่เตือน ไม่ว่ายังไงพวกผู้ดีมันก็ไม่เห็นคนอย่างเราๆ เป็นคนเหมือนกัน มันเหยียดหยามดูถูกดูแคลนคนจน คนต่ำกว่า...เหมือนเป็นตัวอะไรซักตัวนึง” สินบอก
“พี่สินไม่ต้องเตือนหรอก ฉันเจอเข้าให้แล้วซาบซึ้งถึงกระดองใจเชียวล่ะ” มารศรีพูดอย่างเจ็บปวด
สินไม่พอใจที่ได้ยิน
“ใคร ใครมันทำอะไรเธอ บอกพี่ .. บอกพี่มาเดี๋ยวนี้”
มารศรียิ้มยักไหล่ สินมองด้วยสายตาคาดคั้น

ในเวลาเย็น สรรค์เดินหน้าเคร่งเข้าประตูห้องโถงบ้านโพธิธารามา สมพงษ์เดินตามมาด้วย
“เดี๋ยวแกจัดกระเป๋าเดินทางให้ฉันที ฉันต้องขึ้นไปเชียงใหม่เดือนนึง เอาเสื้อผ้าไปเยอะหน่อยก็ดี”
สรรค์มองไปที่ผนังก็ชะงัก รูปคุณหญิงวิไลเรขาถูกปลดลงเหลือเพียงผนังที่ว่างเปล่า จงกลกับราตรีกำลังปัดกวาดอยู่แถวนั้น มารศรีนั่งอยู่ที่โซฟา รูปคุณหญิงวางบนโต๊ะตรงหน้า สรรค์ก้าวพรวดไปตาลุกวาว ราตรีกับจงกลหน้าเผือดคุกเข่าลง
“นี่พวกแกทำอะไร” สรรค์ถาม
“คุณนายสั่งให้ปลดลงค่ะ” ราตรีบอก
“นี่เรียกว่าคุณนายเชียวหรือ”
“ก็คุณพระสั่งให้เรียกนี่เจ้าคะ คุณ” จงกลว่า
มารศรีลุกขึ้นเดินกรายมา
“มีปัญหาอะไรหรือคะ”
“เธอกล้าดียังไง นี่รูปคุณหญิงแม่ของฉันเธอไม่มีสิทธิ์มาแตะต้อง” สรรค์บอก
“คุณพระมอบหมายให้ดิฉันดูแลความเรียบร้อย ดิฉันก็แค่ทำตามเท่านั้น”
พระชาญชลาศัยเดินลงมาจากชั้นบน แม่ผินและบัวโผล่เข้ามาพอดี
“อะไรกันอีกเจ้าสรรค์”
“แม่นี่ถือดียังไงมาปลดรูปคุณแม่ลง ต่อไปคงให้ทำลายทุกสิ่งที่เป็นของแม่กระมัง”
“แกนี่มันชักไปกันใหญ่แล้ว ไม่มีใครถือดีอะไรทั้งนั้น มารศรีเขาเห็นว่าตะปูที่แขวนรูปมันไม่แน่น เขาให้ไอ้ไม้มาตอกตะปูใหม่ เอ้า ไม้ ไม้ เข้ามาซิ”
ไม้ถือค้อนเข้ามาทำตาปริบๆ สรรค์นิ่งอั้น มารศรีฉายยิ้มบนใบหน้า ไม้ปีนเก้าอี้ไปตอกตะปู สรรค์เดินผ่านมารศรีแล้วพูดเบาๆ
“นี่เธอวางแผนเอาไว้แล้วใช่ไหม”
“จำไว้นะคะ ใครดีมาดิฉันจะดีตอบ แต่ถ้าร้ายมา...”
มารศรีพูดตอบเบาๆแต่ดวงตาเอาเรื่อง สรรค์สะบัดไป

ที่ภัตตาคารหยาดสวรรค์ในเวลากลางคืน บนเวทีนักร้องสาวกำลังร้องเพลงสนุกๆ อยู่ แขกตามโต๊ะมีไม่มากนัก ในฟลอร์มีคนลงไปเต้นรำอยู่ ๒ - ๓ คู่ ที่โต๊ะหนึ่งธนาดื่มอยู่กับนพ มีพาร์ตเนอร์คลอเคลียนพอยู่ ๒ คน อีกโต๊ะหนึ่ง บุญมานั่งอยู่กับสรรค์ สรรค์ดื่มเหล้าเหมือนดื่มน้ำ
“ทำไมต้องมานัดฉันในที่เลวๆ แบบนี้ด้วย” สรรค์สีหน้าบึ้งถาม
“อ้าว...จะมาสืบเรื่องแม่เลี้ยงแก ถ้าไม่มาที่นี่แล้วจะให้ไปที่ไหน อีกอย่างที่เลวๆ แบบนี้แหละที่มันเห็นธาตุแท้ของคนได้มากกว่างานหรูหราของสุวลีด้วยซ้ำ”
สรรค์ไม่ได้ฟังประโยคท้ายๆ เพราะใจหมกมุ่นอยู่แค่เรื่องสุวลี
“พูดถึงสุวลี ฉันกลุ้มใจเหลือเกิน ฉันจะบอกสุวลียังไงเรื่องแม่มารศรีนั่น”
“เท่าที่ฉันถามพวกบ๋อย พวกนักดนตรีดู เขาว่าถึงแม่มารศรีแกจะเฟลิร์ตก็จริง แต่ก็ไม่เคยเห็นไปกับเจ้าสัวหรือนายห้างที่ไหน”
“แกเชื่อด้วยเหรอวะ เฮอะ”
สรรค์กรอกเหล้าลงคออีก เมื่อเงยหน้าขึ้นเห็นนพยืนอยู่ตรงหน้า
“เจอกันอีกแล้ว โลกกลมเหลือเกิน” นพว่า
สรรค์เมานิดๆ แล้วบอก
“ขอโทษทีครับ ตอนนี้ ผมไม่อารมณ์จะคุยกับใคร”

นพไม่พอใจ ธนาเห็นท่าผิดสังเกตจึงก้าวเข้ามาดู
“ทำไม พวกผู้ดีเก่าทนคุยกับพวกเราไม่ได้หรือไง”
“อ้าว เว้ย เฮ้ย ไปกันใหญ่แล้ว” บุญมาว่า
“นพกลับไปโต๊ะเถอะ ขอโทษด้วยคุณสรรค์ คุณบุญมา” ธนาบอก
ธนารั้งนพกลับไป แต่นพหันกลับมา
“มารศรีเป็นยังไงบ้างล่ะ เห็นว่าพ่อคุณพาเข้าบ้านไปแล้วนี่ แล้วคุณต้องเรียกมารศรีว่า คุณแม่หรือเปล่า”
สรรค์ตาวาวลุกพรวดด้วยความโกรธ บุญมาตกใจ
“หุบปากเดี๋ยวนี้นะ” สรรค์บอก
“ไม่เอาน่า นพ” ธนาบอกแล้วหันมาพูดเยาะๆ กับสรรค์
“ขอโทษแทนเพื่อนผมด้วยมันคงจะเสียใจเพราะอกหัก”
นพจงใจกวน
“ความจริงพระชาญไม่น่าจะใจแคบน่าจะปล่อยมารศรีไว้เป็นของสาธารณะ ให้พวกเราเชยชมได้ทั่วๆ ก่อน”
สรรค์หมดความอดทนต่อยโครมเข้าเต็มหน้าจนนพล้มคว่ำไป ก่อนจะตะกายลุกขึ้นโผนเข้าใส่สรรค์เพื่อแลกหมัดกันสองสามตุ้บ ธนาเข้าแยก สรรค์ยั้งไม่อยู่ต่อยเข้าปากครึ่งจมูกครึ่ง ธนาเลือดไหลปรี่ บุญมาล็อกตัวสรรค์ไว้
“เฮ้ย สรรค์ พอได้แล้ว”
สินกับพวกเข้ามาห้าม
“หยุดนะทุกคน ไม่งั้นผมจะแจ้งตำรวจ”
พวกในร้านก้าวออกมาคุมเชิง ธนาดึงนพขึ้น บุญมาปล่อยสรรค์
“ผมขอโทษแทนเพื่อนด้วย ไปเว้ย สรรค์” บุญมาบอก
บุญมาดึงสรรค์ออกไป ธนาเช็ดเลือดด้วยใบหน้าสงบ แต่ดวงตานิ่งเย็น สินถาม
“มีเรื่องอะไรกันครับ”
“พูดผิดหูกันนิดหน่อย ไม่มีอะไร” ธนาบอก
“แต่ผมได้ยินแว่วๆ คุณพูดถึงมารศรี มันเรื่องอะไรกัน มารศรีมาเกี่ยวกับผู้ชายคน
นั้น”สินถาม
ธนากับสินมองหน้ากันไปมา ธนายิ้มส่งแววตาเจ้าเล่ห์

ในเวลากลางคืน รามซิงค์เปิดประตูบ้านโพธิธาราแล้วยืนเก้กังอยู่ รถสรรค์พุ่งพรวดเข้ามา รามซิงค์ร้องเสียงหลงกระโจนหลบไปกลิ้งกับพื้น รถสรรค์พุ่งมาจอดใกล้เทอเรส สรรค์ลงมาจากรถด้วยอาการเมามาย

สรรค์เหนี่ยวราวบันไดก้าวขึ้นมายังโถงกลางด้วยอาการเมาทาย ไฟโคมสว่างสลัว มารศรีในชุดนอนบางก้าวมา สรรค์ชะงัก
“นี่คุณเมามากนะ...นี่เด็กสมพงษ์ไปไหน”
“ไม่ใช่กงการอะไรของเธอ”
มารศรีก้าวมาใกล้สรรค์
“ทำไมคุณถึงต้องจงเกลียดจงชังฉันขนาดนี้”
“นี่เธอจำไม่ได้จริงๆหรือ คืนนึงเธอคงผ่านผู้ชายเป็นสิบๆ ซินะ ปีนึงคงจะหลายหมื่น เธอถึงจำหน้าฉันไม่ได้”
มารศรีตกใจผงะไปนิดหนึ่ง
“นี่คุณเคยเจอฉันมาก่อนหรือ” มารศรีถาม
“ใช่ เจอกันไม่ถึงนาที เธอก็จูบฉันต่อหน้าคนเป็นร้อย ฉันถึงได้ขยะแขยงที่ผู้หญิงหน้าด้านอย่างเธอจะมาเป็นแม่เลี้ยงฉัน”
มารศรีเข้าใจก้าวมาจนชิดแล้วยิ้มยั่ว แหงนเงยมองสรรค์
“คุณเกลียดฉันเพราะฉันเคยจูบคุณงั้นหรือ”
“ถอยไป”
มารศรีก้าวมาจนชิด ปากแทบจรดกับปากสรรค์
“จูบแบบนี้หรือ”
“อย่ามาถูกตัวฉัน”
สรรค์สะบัดเต็มแรง มารศรีหมุนคว้างล้มลงไป สรรค์ตกใจเล็กน้อย แต่มารศรีตาวาวลุกขึ้นช้าๆ
“ฉันเคยบอกคุณแล้วว่าถ้าคุณร้ายกับฉัน”
“แล้วเธอจะทำไม”
มารศรียิ้มแล้วกรีดร้อง พลางฉีกเสื้อตัวเองควากจนเห็นทรวงอวบ สรรค์ยืนอึ้ง
พระชาญก้าวมาจากห้อง แม่ผิน สมพงษ์ บัววิ่งมาพอดี มารศรีร้องไห้เข้ากอดพระชาญชลาศัย
“มารศรีนี่เกิดอะไรขึ้น”
“คุณพระขา ช่วยด้วย”
“สรรค์ แกทำอะไร”
สรรค์ยิ้มเยาะ
“คุณพ่อคงไม่คิดว่าผมจะปลุกปล้ำเมียสุดที่รักของคุณพ่อหรอกนะ เพราะแค่มอง ผมยังไม่อยากมองด้วยซ้ำ”
มารศรีร้องไห้ พระชาญชลาศัยโกรธสรรค์
“แค่นี้ เธอจะร้องไห้หาอะไร”
สรรค์หันไปพูดกับกับพระชาญชลาศัย
“เมื่อครึ่งปีที่แล้วเธอเคยจูบผมมาแล้วด้วยซ้ำ ผมถึงได้ไม่อยากให้คุณพ่อมาจูบซ้ำรอยที่ผมเคยจูบ”
มารศรีตกใจ พระชาญชลาศัยผวา มองสรรค์กับมารศรีสลับกัน แม่ผินตบอกผาง สมพงษ์กับบัวอ้าปากค้าง
“วุ้ย บัดสีบัดเถลิง” ผินบอก
“คุณนายคนใหม่ของบ้านโพธิธาราจูบทั้งพ่อทั้งลูก อีกหน่อยคงเผื่อแผ่ไปถึงไอ้ไม้ เจ้าเส็ง เจ้ารามซิงค์ หรือสมพงษ์ด้วยกระมัง”
สมพงษ์สะดุ้งเฮือก พระชาญชลาศัยก้าวมาตบหน้าสรรค์อย่างเต็มแรง สรรค์ถึงกับเซไป
“แกมันเมาอย่างบัดซบ ไป ไปให้พ้นหน้าฉัน หายเมาแล้วค่อยมาพูดจากัน”
“ผมไม่คุยกับคุณพ่อ เว้นแต่คุณพ่อจะเฉดหัวผู้หญิงสาธารณะคนนี้ออกจากบ้าน”
“ไอ้สรรค์! แกบังอาจ...”
“ผมไม่สามารถอยู่ร่วมชายคากับคนประเภทนี้ได้ เมื่อคุณพ่อสมัครใจที่จะเลี้ยงงูพิษไว้ ผมก็ต้องไป จำเอาไว้! ถ้าแม่นี่ยังอยู่ในบ้านผมจะไม่เหยียบเข้ามาอีกเป็นอันขาด”
มารศรีบีบแขนพระชาญชลาศัยที่นิ่งอั้น สรรค์มองแล้วยิ้มขื่นๆ เดินโครมๆ ลงบันไดไป

สรรค์เดินออกไปสตาร์ทรถ สมพงษ์หิ้วกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ บัวถือกระเป๋าเดินทางใบย่อม ผินถือกระเป๋าเอกสารลงจากเทอเรส สมพงษ์และบัวเอากระเป๋าใส่เบาะหลัง ผินส่งกระเป๋าเอกสารให้ สรรค์รับไป ผินเกาะหน้าต่างรถน้ำตาหยด บัวกับสมพงษ์ก็ยืนตาแดงๆ อยู่
“โธ่ คุณหนูขา คุณหนูจะไปอยู่ที่ไหนคะ” ผินถาม
“พรุ่งนี้ฉันก็ขึ้นไปเชียงใหม่แล้วกลับมาค่อยคิดอ่านกันใหม่” สรรค์บอก
“แล้วคืนนี้ละคะคุณจะไปอยู่ที่ไหน”
“ฉันจะไปค้างบ้านเจ้าบุญมาที่บางกะปิ ฉันไปล่ะ”
“รักษาเนื้อรักษาตัวด้วยนะคะ”
“แม่ผินก็เหมือนกัน บัว สมพงษ์ ฉันไปล่ะ”
บัวกับสมพงษ์ยกมือไหว้ สรรค์พยักหน้าแล้วเคลื่อนรถออกไป ผินค้อนเข้าไปในบ้าน
“คนกาลกิณีเข้าที่ไหนที่นั่นบ้านแตกสาแหรกขาดหมด”

รถสรรค์แล่นออกจากหน้าบ้าน ที่มุมมืดใต้ต้นไม้ใหญ่ รถคันหนึ่งจอดอยู่เหมือนซุ่มรอ แล้วเปิดไฟหน้าสว่างจ้าขึ้นแล้วแล่นตามไป
บนท้องถนนรถสรรค์แล่นไปตามถนนผ่านพระที่นั่งอนันตสมาคม รถอีกคันแล่นตาม ภายในรถ สรรค์ขับไปอย่างเหม่อลอยไม่ได้สังเกตว่ามีรถตามหลังอยู่
รถสรรค์แล่นผ่านสวนลุมพินี รถอีกคันแล่นตาม สรรค์เริ่มมึนและง่วงนอน รถข้างหลังยังตามมา
รถของสรรค์แล่นสู่ถนนเปลี่ยว สองข้างทางเป็นต้นไม้และป่าหญ้าสูงท่วมหัว สรรค์ขับรถช้าลง มีอาการง่วงงุนต้องพยายามปลุกตัวเอง รถที่แล่นตามมาแล่นมาจ่อท้ายแล้วแซงไป สรรค์ไม่สนใจ เห็นรถคันนั้นเบรกจอดลงข้างหน้า
รถคันนั้นจอดลงขวางถนน ตำรวจลงจากรถมาโบกมือกลางถนน สรรค์ชะลอรถจอด ตำรวจก้าวเข้ามาหาสรรค์ นายสิบตำรวจเอกคนนั้นคือสิน !!
“มีอะไรหรือครับคุณตำรวจ”
“ขอตรวจใบขับขี่หน่อยคุณ”
สรรค์ค้นใบขับขี่ส่งให้ สินเอาไฟฉายส่องดูแล้วส่องหน้าสรรค์ สรรค์เบือนหน้า
“นี่คุณเมามากนี่ไหนลงมาจากรถก่อนซิ”
สรรค์อารมณ์เสียก้าวลงมาจากรถ ไม่ได้สังเกตว่ามีชายอีกคนในชุดกางเกงขาสั้น เสื้อสีกากีก้าวมาข้างหลัง
“ทำไม มีปัญหาอะไรหรือครับ”
สินมองหน้าสรรค์แล้วพยักหน้า ชายข้างหลังเงื้อไม้ขึ้นตวัดฟาดลงที่ท้ายทอยสรรค์อย่างแรง สรรค์ล้มฟาดลงกองพื้น
“เอาไงต่อพี่สิน” คงถาม
สินและคงหิ้วหัวท้ายสรรค์มาโยนลงกองหญ้ารกข้างทาง คงลงค้นกระเป๋าสตางค์ ปลดนาฬิกา สร้อยพระ แหวนหันไปถาม
“ไหนตอนแรกว่าจะตามดูมันเฉยๆ ไงล่ะพี่สิน”
คงถามแต่สินไม่ตอบ
“มันเป็นใครหรือพี่” คงถามอีก
“ก็แค่ลูกผู้ดีนิสัยเสียคนนึง”
สินยืนอยู่ข้างรถทั้งสองคันแล้วตะโกนไปในพงรกถาม
“ไอ้คง มึงมัวทำอะไรอยู่วะ”
คงก้าวออกมาอยู่ในสูทเสื้อเชิ้ต กางเกงของสรรค์ คงยักคิ้ว สินมองอย่างทุเรศสายตา
“ฉันแต่งอย่างนี้เหมือนพวกผู้ดีบ้างไหม พี่สิน” คงถาม
“ยังไงก็เหมือนไอ้โจรห้าร้อยอยู่ดี ไป เอ็งขับคันโน้นตามข้ามา”
ที่พงหญ้าสรรค์เหลือเพียงกางเกงในขาสั้นกับเสื้อกล้าม นอนตะแคงเลือดไหลรินจากศีรษะ

สาวน้อยผมยาวผวาลุกขึ้นจากที่นอน กุมอกราวตื่นจากฝันร้าย แล้วเปิดมุ้งลุกขึ้นเดินออกไปในความมืด
นอกชานอยู่ในความมืด สาวน้อยก้าวออกมายืนมองไปไกล ลมยามดึกพัดมาจนผมยาวนั้นปลิวไสว มีลำแสงประหลาดส่องวูบมาแล้วดับ แล้วสว่างใหม่ทาบลงบนร่างของเธอ สาวน้อยแหงนมองฟ้า ท่ามกลางแสงจันทร์รุบหรู่ เมฆขาวมหึมาเคลื่อนไปในฟ้ายามราตรี

ร่างเล็กยืนอยู่ท่ามกลางสายลม เบื้องหน้าเมฆเคลื่อนมา แปรเปลี่ยนพยับโพยมราวทูตแห่งโชคชะตาที่พัดพามนุษย์เบื้องล่างให้ล่องลอยไปในกระแสแห่งชะตากรรม

จบตอนที่ ๒

ติดตามอ่านสาวน้อยตอนต่อไป พรุ่งนี้ 
กำลังโหลดความคิดเห็น