อภินันท์ สิริรัตนจิตต์
มหาวิทยาลัยหาดใหญ่
กระแสฟุตบอลยูโร 2012 ยังแรงทั้งทีมชาติกรีกและฮอลแลนด์ ที่สร้างความประหลาดใจไม่แพ้กัน และกระแสเมืองไทยที่รอชมศึกลูกหนังมหาอำนาจแห่งยุโรปผ่านจอดำและจอสี โดยใช้หนวดกุ้งที่ตกเป็นข่าวดังอยู่ ว่าจะมีการฟ้องร้องหรือคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคหรือไม่อย่างไร ในฐานะเป็นคนคอบอลที่เฝ้าติดตามสถานการณ์ฟุตบอลยูโร 2012 อย่างใกล้ชิด มีความคิดเห็นและความรู้สึกหนึ่งถึงทีมชาติฮอลแลนด์ที่ตกรอบแรก โดยแพ้สามนัดรวด ว่าเป็นเพราะสาเหตุใด และประเด็นนี้เกี่ยวข้องกับละครการเมืองฉันใด
แลมองย้อนศรกลับมาที่บ้านเมืองไทย เกมฟุตบอลการเมืองที่มีตัวละครทั้งผู้จัดการทีม (ผู้อยู่นอกสภา) สตาฟฟ์โคช (ครม.) ผู้เล่น (ส.ส.) และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ยังคงคิดเล่นเกมแบบล่อ “ผลประโยชน์เชิงวัตถุนิยม” เป็นตัวตั้ง โดยให้ความรู้สึกของประชาชน เป็น “ตัวรับกระแส” แห่งการแย่งชิงพื้นที่ทางสังคม เพื่อขยายผลแห่งการแตกสามัคคีมากขึ้น เพราะผลของการใช้ “ภาษาปนอารมณ์” ให้อยู่เหนือ “ภาษาปนเหตุผล” เพื่อให้ประชาชนรู้สึกต้อง “เลือกข้างทางการเมือง” ในยุคที่การเมืองมีบทบาทแทรกแซงเหนือทุกวงการและทุกองค์กร ย่อมส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือ และความเชื่อมั่นต่อภาพลักษณ์ของประเทศ
ทัศนะผู้เขียน มองว่าทางออกสำหรับประเทศขณะนี้...ผู้นำและผู้ตาม รวมทั้งผู้มีส่วนได้ส่วนเสียใน (ภาคประชาชน) ควรเตือนสติกันอย่างมีความรู้สึกตัวว่า โทษของการแตกสามัคคีนั้นเป็นอย่างไร และคงจะต้องกลับไปทบทวนกติกาพื้นฐานอย่างหลักธรรม “อปริหานิยธรรม” ธรรมะอันเป็นสาเหตุแห่งความเจริญฝ่ายเดียวและผู้ปฏิบัติตามจะไม่พบกับเสื่อมเลย ซึ่งชิต บุรทัต กวีนิพนธ์ได้เขียนสอนไว้ในสามัคคีเภทคำฉันท์ ว่าด้วย “โทษแห่งการแตกสามัคคี” สะท้อนให้เห็นถึงการแตกความสามัคคีกันระหว่างเหล่ากษัตริย์ลิจฉวี เป็นสาเหตุนำไปสู่การเสียแคว้นวัชชีแก่พระเจ้าอชาตศัตรูผู้ครองแคว้นมคธ ในหลักการพื้นฐานของสามัคคีธรรม มีข้อตกลง 7 ประการ ประกอบด้วย
1) เมื่อมีภารกิจเกิดขึ้น ประชุมปรึกษากัน 2) ประชุมพร้อมกัน เลิกประชุมพร้อมกัน และพร้อมเพรียงกันกระทำภารกิจที่ควรทำ 3) เคารพและถือธรรมเนียมประเพณีอันดีงามที่มีอยู่ โดยไม่ยกเลิก เพิกถอนหรือดัดแปลงเสียใหม่ 4) มีความเคารพผู้ที่อยู่ในฐานะเป็นผู้ใหญ่ 5) ไม่ประทุษร้ายข่มเหงเด็ก สตรี และผู้ด้อยโอกาสกว่าทุกสถานการณ์ 6) ไม่ลบหลู่ดูหมิ่นต่อสถานที่ควรเคารพและ 7) คุ้มครองป้องกันแก่คนดี ผู้ชี้นำสังคมให้อยู่เป็นสุขและปราศจากภัยอันตราย กล่าวได้ว่าหากมีหลักสามัคคีธรรมในการทำงานร่วมกันฉันท์เชิงธรรมาภิบาลจริง ความปรองดองย่อมปรากฏรูปร่างขึ้น
หากจะย้ำถึงประเด็นดูฟุตบอลยูโรก่อน...ย้อนศรดูละครการเมือง ผู้เขียนขอสรุปด้วยคำพูดของ อาร์เยน ร็อบเบน นักเตะทีมชาติฮอลแลนด์ ที่กล่าวว่า “ความไม่ลงรอยกันของทุกฝ่ายในทีมบ้านเกิด เป็นสาเหตุให้ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป “ยูโร 2012” ทัพ “อัศวินสีส้ม” ทำผลงานได้อย่างน่าผิดหวังจนต้องตกรอบแบ่งกลุ่มบี โดยแพ้ 3 นัดรวด แต่เชื่อเถอะว่าเราได้พยายามทำมันทุกอย่างแล้ว ซึ่งมันก็ไม่เวิร์ก ยังมีความกระหายไขว่คว้าหาชัยชนะอยู่ในทีม แต่เราทุกคนก็ล้มเหลวในการทำงานร่วมกัน นั่นหมายถึงทั้งสตาฟฟ์โคชและนักเตะทุกคนในทีม เรื่องนี้เป็นความจริงอันโหดร้ายในโลกกีฬา ดังนั้นทุกคนควรหันหน้ามามองตัวเองในกระจกได้แล้ว”
ด้วยความห่วงใย ตามความรู้สึกของคนไทยที่มองเห็นโทษของการแตกสามัคคีว่าเป็นสิ่งที่เลวร้าย ไม่ต่างจากการทุจริตคอร์รัปชัน หากต่างฝ่ายยังราดสีใส่ไข่กันไปโดยไม่มีทีท่าว่าจะอยู่ร่วมชาติกัน ขอให้ก้มลงดูสักนิดว่า แผ่นดินที่ยืนอยู่สกปรกไปมากน้อยเพียงใดแล้ว
มหาวิทยาลัยหาดใหญ่
กระแสฟุตบอลยูโร 2012 ยังแรงทั้งทีมชาติกรีกและฮอลแลนด์ ที่สร้างความประหลาดใจไม่แพ้กัน และกระแสเมืองไทยที่รอชมศึกลูกหนังมหาอำนาจแห่งยุโรปผ่านจอดำและจอสี โดยใช้หนวดกุ้งที่ตกเป็นข่าวดังอยู่ ว่าจะมีการฟ้องร้องหรือคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคหรือไม่อย่างไร ในฐานะเป็นคนคอบอลที่เฝ้าติดตามสถานการณ์ฟุตบอลยูโร 2012 อย่างใกล้ชิด มีความคิดเห็นและความรู้สึกหนึ่งถึงทีมชาติฮอลแลนด์ที่ตกรอบแรก โดยแพ้สามนัดรวด ว่าเป็นเพราะสาเหตุใด และประเด็นนี้เกี่ยวข้องกับละครการเมืองฉันใด
แลมองย้อนศรกลับมาที่บ้านเมืองไทย เกมฟุตบอลการเมืองที่มีตัวละครทั้งผู้จัดการทีม (ผู้อยู่นอกสภา) สตาฟฟ์โคช (ครม.) ผู้เล่น (ส.ส.) และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ยังคงคิดเล่นเกมแบบล่อ “ผลประโยชน์เชิงวัตถุนิยม” เป็นตัวตั้ง โดยให้ความรู้สึกของประชาชน เป็น “ตัวรับกระแส” แห่งการแย่งชิงพื้นที่ทางสังคม เพื่อขยายผลแห่งการแตกสามัคคีมากขึ้น เพราะผลของการใช้ “ภาษาปนอารมณ์” ให้อยู่เหนือ “ภาษาปนเหตุผล” เพื่อให้ประชาชนรู้สึกต้อง “เลือกข้างทางการเมือง” ในยุคที่การเมืองมีบทบาทแทรกแซงเหนือทุกวงการและทุกองค์กร ย่อมส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือ และความเชื่อมั่นต่อภาพลักษณ์ของประเทศ
ทัศนะผู้เขียน มองว่าทางออกสำหรับประเทศขณะนี้...ผู้นำและผู้ตาม รวมทั้งผู้มีส่วนได้ส่วนเสียใน (ภาคประชาชน) ควรเตือนสติกันอย่างมีความรู้สึกตัวว่า โทษของการแตกสามัคคีนั้นเป็นอย่างไร และคงจะต้องกลับไปทบทวนกติกาพื้นฐานอย่างหลักธรรม “อปริหานิยธรรม” ธรรมะอันเป็นสาเหตุแห่งความเจริญฝ่ายเดียวและผู้ปฏิบัติตามจะไม่พบกับเสื่อมเลย ซึ่งชิต บุรทัต กวีนิพนธ์ได้เขียนสอนไว้ในสามัคคีเภทคำฉันท์ ว่าด้วย “โทษแห่งการแตกสามัคคี” สะท้อนให้เห็นถึงการแตกความสามัคคีกันระหว่างเหล่ากษัตริย์ลิจฉวี เป็นสาเหตุนำไปสู่การเสียแคว้นวัชชีแก่พระเจ้าอชาตศัตรูผู้ครองแคว้นมคธ ในหลักการพื้นฐานของสามัคคีธรรม มีข้อตกลง 7 ประการ ประกอบด้วย
1) เมื่อมีภารกิจเกิดขึ้น ประชุมปรึกษากัน 2) ประชุมพร้อมกัน เลิกประชุมพร้อมกัน และพร้อมเพรียงกันกระทำภารกิจที่ควรทำ 3) เคารพและถือธรรมเนียมประเพณีอันดีงามที่มีอยู่ โดยไม่ยกเลิก เพิกถอนหรือดัดแปลงเสียใหม่ 4) มีความเคารพผู้ที่อยู่ในฐานะเป็นผู้ใหญ่ 5) ไม่ประทุษร้ายข่มเหงเด็ก สตรี และผู้ด้อยโอกาสกว่าทุกสถานการณ์ 6) ไม่ลบหลู่ดูหมิ่นต่อสถานที่ควรเคารพและ 7) คุ้มครองป้องกันแก่คนดี ผู้ชี้นำสังคมให้อยู่เป็นสุขและปราศจากภัยอันตราย กล่าวได้ว่าหากมีหลักสามัคคีธรรมในการทำงานร่วมกันฉันท์เชิงธรรมาภิบาลจริง ความปรองดองย่อมปรากฏรูปร่างขึ้น
หากจะย้ำถึงประเด็นดูฟุตบอลยูโรก่อน...ย้อนศรดูละครการเมือง ผู้เขียนขอสรุปด้วยคำพูดของ อาร์เยน ร็อบเบน นักเตะทีมชาติฮอลแลนด์ ที่กล่าวว่า “ความไม่ลงรอยกันของทุกฝ่ายในทีมบ้านเกิด เป็นสาเหตุให้ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป “ยูโร 2012” ทัพ “อัศวินสีส้ม” ทำผลงานได้อย่างน่าผิดหวังจนต้องตกรอบแบ่งกลุ่มบี โดยแพ้ 3 นัดรวด แต่เชื่อเถอะว่าเราได้พยายามทำมันทุกอย่างแล้ว ซึ่งมันก็ไม่เวิร์ก ยังมีความกระหายไขว่คว้าหาชัยชนะอยู่ในทีม แต่เราทุกคนก็ล้มเหลวในการทำงานร่วมกัน นั่นหมายถึงทั้งสตาฟฟ์โคชและนักเตะทุกคนในทีม เรื่องนี้เป็นความจริงอันโหดร้ายในโลกกีฬา ดังนั้นทุกคนควรหันหน้ามามองตัวเองในกระจกได้แล้ว”
ด้วยความห่วงใย ตามความรู้สึกของคนไทยที่มองเห็นโทษของการแตกสามัคคีว่าเป็นสิ่งที่เลวร้าย ไม่ต่างจากการทุจริตคอร์รัปชัน หากต่างฝ่ายยังราดสีใส่ไข่กันไปโดยไม่มีทีท่าว่าจะอยู่ร่วมชาติกัน ขอให้ก้มลงดูสักนิดว่า แผ่นดินที่ยืนอยู่สกปรกไปมากน้อยเพียงใดแล้ว