รากบุญ ตอนที่ 5
ณุเหงื่อแตกพลั่กและใบหน้าซีดเผือด เพราะไม่คิดว่าเจติยาจะสันนิษฐานราวกับตาเห็นขนาดนี้ วิญญาณโชคมีอาการเบลอๆ วูบวาบเหมือนจำเหตุการณ์อะไรบางอย่างได้จึงจ้องณุเขม็ง
มีดถูกดึงออกมา พร้อมกับร่างของโชคค่อยๆล้มลงไปขาดใจตาย ปรากฏว่าคนที่แทงโชคข้างหลังคือณุนั่นเอง
“โทษทีนะพี่ ผมไม่อยากเป็นลิ่วล้อพี่ไปทั้งชาติ เมื่อมีโอกาสมาแล้วพี่ไม่ยอมคว้า ก็ขอผมละกัน”
ณุมองดูการตายของโชคโดยไม่สะทกสะท้าน โชคนอนตายคาที่ในสภาพตาเบิกโพลง
เจติยาพูดต่อ “นายอาจจะอิจฉาโชคมานานแล้วก็ได้ พอมีเรื่องยาเสพย์ติดเข้ามา ก็เลยถือโอกาสฆ่านายโชคซะ จะได้ขึ้นแทนที่นายโชคแล้วก็จะได้ค้ายาอย่างที่นายต้องการด้วย ฉันพูดถูกมั้ยล่ะ”
ณุโกรธจัด “อีปากเสีย”
ณุคุมสติไม่อยู่จะพุ่งเข้าไปทำร้ายเจติยา เจติยาหลบไปอย่างรวดเร็ว นวัชรีบพุ่งเข้าไปล็อคตัวณุเอาไว้ เจติยามองกลับไปที่ณุแล้วก็ผวาไปเล็กน้อยเมื่อเห็นวิญญาณโชคทำหน้าตาโหดเหี้ยมยืนจ้องมองณุอยู่ด้วยสายตาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ เจติยาตกใจจนหน้าซีดเผือดและสังหรณ์ว่าต้องเกิดเรื่องร้ายขึ้นแน่ๆ
ตำรวจพาณุเข้าไปไว้ในห้องขัง ก่อนจะเดินกลับออกไป
ณุคันที่คอจึงเกาไปพูดไป “จะขังกูได้ซักกี่วัน”
ณุเดินเกาคอ เกาหน้าไปเรื่อย และชักจะคันหนักขึ้นทุกที
ณุบ่นด้วยความหงุดหงิด “โคตรสกปรกเลย เข้ามาไม่ทันไรก็คันไปทั้งตัวแล้ว”
ณุเกาหนักขึ้นเรื่อยๆ จนรู้สึกว่ามือที่เกาสัมผัสกับของเหลวบางอย่างเลยเอามาดู แล้วณุก็ตกใจสุดๆ เมื่อเห็นมือของตนเต็มไปด้วยน้ำเยิ้มๆ เหลืองๆข้นๆ เหมือนน้ำหนองกับเลือด
ณุเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นผีโชคในสภาพช้ำเลือดช้ำหนองกำลังนั่งขี่คอเขาอยู่
ณุตกใจสุดขีด “พี่โชค”
ณุแหกปากร้องลั่นพร้อมกับดีดตัวไปกระแทกผนังด้วยความตกใจ เขาหันมองซ้ายขวารอบตัวก็ไม่มีวิญญาณโชคขี่คออยู่แล้ว ทันใดนั้นณุก็ได้ยินเสียงเหมือนมีดขูดกับซี่ลูกกรงทีละซี่ดังวนใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ณุดีดตัวห่างจากลูกกรงด้วยหน้าตาตื่นกลัว เขากวาดตามองไปรอบๆ พร้อมหายใจถี่กระชั้น
ทันใดนั้นวิญญาณโชคหน้าตาโกรธเกรี้ยวก็เดินถือมีดเล่มเดียวกับที่ณุใช้แทงเขาลากกรีดมาตามกรงห้องขังทีละซี่แล้วมาจ้องมองณุแบบใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ณุกลัวสุดขีดจึงพุ่งตัวไปเขย่าประตูกรงขัง
“ช่วยด้วยๆ เอาฉันออกไปที ช่วยด้วย”
เสียงมีดขูดกรงเหล็กดังเร็วและแรงขึ้นใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
ณุหน้าซีดเพราะกลัวจนตัวสั่น เขาหายใจแทบไม่ทันพร้อมกับเขย่ากรงแรงขึ้น “ช่วยด้วย ช่วยด้วย”
วิญญาณโชคปรากฏตัวขึ้นด้านหลังณุแล้วเงื้อมีดในมือจะแทงด้วยแววตาอำมหิต เจติยาวิ่งเข้ามาประชิดประตูกรงขังด้านนอกแล้วพูด
“หยุดนะนายโชค”
โชคหยุดกึกพร้อมทั้งจ้องเจติยาเขม็ง ณุสติแตกวิ่งหนีไปซุกตัวอยู่อีกมุมห้องพร้อมกับยกมือพนมไหว้ท่วมหัว
โชคตะคอก “ไม่ใช่เรื่องของเธอ หน้าที่ของเธอหมดแล้ว ที่เหลือเป็นความ แค้นของฉันกับไอ้ณุที่ต้องสะสางกัน”
“แล้วทำไมนายไม่คิดบ้างว่าจุดเริ่มต้นที่ทำให้นายถูกหักหลัง ก็มาจากตัวนายเองนั่นแหละ” เจติยาว่า
“จะมาจากฉันได้ยังไง ฉันดูแลมันดีทุกอย่าง แต่มันกลับเนรคุณฉัน” โชคมีสีหน้าอาฆาต “ถ้ามันตายก็สมควรแล้ว”
“นายดูแลลูกน้องนายดีก็จริง แต่เคยคิดบ้างมั้ย ว่าเงินที่นายเอามาเลี้ยงลูกน้อง มันเป็นเงินสกปรก ต้องมีคนเดือดร้อนมากขนาดไหน แล้วก็ไอ้เงินสกปรกพวกนี่แหละ ที่ทำให้นายณุเกิดความโลภ จนทำได้แม้กระทั่งหักหลังนาย”
โชคอึ้งไปเพราะเถียงไม่ออก
“ลองเริ่มติดกระดุมเม็ดแรกผิด ยังไงเสื้อก็เบี้ยว...ถ้านายคิดแต่จะล้างแค้น มันยิ่งเป็นบาปติดตัวนายให้ต้องเจอกับการทรยศหักหลังซ้ำไปซ้ำมาอยู่แบบนี้ล่ะ” เจติยาว่า
โชคยืนนิ่งแล้วคิดตามที่เจติยาพูด ก่อนจะค่อยๆเลือนหายไปพร้อมๆ กับตำรวจที่เดินเข้ามาดู
“มีอะไรรึเปล่าครับ” ตำรวจถาม
เจติยาปั้นยิ้มปกติ “ผู้ต้องหาสงบไปแล้วค่ะ”
ตำรวจพยักหน้ารับทราบแล้วมองไปที่ณุ ณุยังคงยกมือไหว้ เนื้อตัวสั่นด้วยความกลัว เขาซุกตัวก้มหน้างุดกับมุมห้องขังด้วยความหวาดกลัว เจติยาได้แต่มองณุด้วยความเวทนา
ลมพัดแรงขึ้นในห้องนอนเจติยา กล่องรากบุญบนโต๊ะเปล่งแสงขึ้นมา จนเจติยาที่อยู่ในชุดนอนต้องเอามือป้องใบหน้าไว้ ครู่หนึ่ง ทุกอย่างก็สงบลงพร้อมกับมีเหรียญที่สองปรากฏขึ้นบนปากรูปสลักยักษ์บนกล่อง เจติยาเดินไปหยิบเหรียญขึ้นมา ทันใดนั้นโชคก็มายืนอยู่ด้านหลังเจติยา
“ติดมันลงไปสิ อีกเหรียญเดียวเธอก็ขอพรได้อีกหนึ่งข้อแล้ว” โชคบอก
เจติยาหันกลับไปคุยกับโชค “นี่นายยังไม่ไปที่ของนายอีกเหรอ”
“ฉันตั้งใจจะมาขอบคุณเธอก่อนแล้วค่อยไป”
เจติยายิ้มบางๆออกมาอย่างสบายใจ
“ขอบคุณมากที่บอกความจริงให้ฉัน แล้วก็ทุกคนได้รู้”
เจติยายิ้มบางๆ “ไม่เป็นไรหรอก ฉันก็ดีใจที่ได้ช่วยนายให้หมดห่วง” เจติยามองไปที่กล่องรากบุญด้วยสีหน้าชั่งใจ แล้วเจติยาก็ตัดสินใจติดเหรียญที่สองลงบนกล่อง
“คราวนี้เธอตั้งใจจะขออะไรล่ะ” โชคถาม
“ฉันบอกแล้วไง ว่าฉันไม่ขออะไรทั้งนั้น”
โชคมองเจติยานิ่งอยู่ครู่นึง “เธอเป็นคนแปลกมาก ถ้าเป็นคนอื่นคงขอไม่บันยะบันยังไปแล้ว”
“ฉันก็แค่ไม่อยากเป็นทาสของมัน ต้องทำทุกอย่างเพื่อแลกกับพรก็เท่านั้นเอง”
“เธอสงสัยบ้างมั้ย ทำไมฉันถึงมีพลังมากมายทำอะไรได้ตั้งหลายอย่าง”
เจติยานึกทบทวน “ไม่ใช่แค่นายหรอก น้องออยก็เหมือนกัน” เจติยาสงสัย “นายต้องการบอกอะไรฉันเหรอ”
โชคชี้ไปที่กล่องรากบุญ “ฉันมีพลังมหาศาลได้ ก็เพราะกล่องรากบุญ เชื่อฉันเถอะ กล่องใบนี้มันต้องการให้เธอช่วยเหลือวิญญาณ แลกกับพรวิเศษแบบนี้ไปเรื่อยๆ เธออย่าคิดเลิกขอพรจากมันเด็ดขาด เพราะมันจะเป็นอันตรายกับตัวเธอเอง”
“ทำไมล่ะ กล่องมันทำแบบนี้ทำไม”
“กล่องให้ฉันพูดได้แค่นี้แหละ ลาก่อน มันถึงเวลาของฉันแล้ว”
วิญญาณของโชคค่อยๆ เลือนหายไป เจติยามีสีหน้าเคร่งเครียดเพราะไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเป็นแบบนี้ เธอหันกลับไปมองกล่องรากบุญอีกครั้ง ด้วยความติดใจสงสัย
เช้าวันต่อมา ทวีและโอ้เอ้นั่งทานอาหารเช้าง่ายๆ กันอยู่หน้าห้องแต่งศพ เจติยาเดินยิ้มแย้มแจ่มใสเข้ามาหา
“สวัสดีค่ะลุง”
“ทานไรมารึยังพี่” โอ้เอ้ถาม
“เรียบร้อยแล้ว...วันนี้ไม่มีศพเหรอคะลุง”
“มีศพนึง เพิ่งชันสูตรเสร็จ เดี๋ยวคงมาถึง” ทวีบอก
ทันใดนั้นพนักงานก็เข็นศพที่คลุมด้วยผ้าขาวมาถึงพอดี
“โชคดีที่อิ่ม” โอ้เอ้บอก
“เซ็นรับด้วยครับ” พนักงานพูด
ทันใดนั้นเองก็มีลมวูบพัดผ้าขาวคลุมศพให้เปิดออกจนเห็นหน้า เจติยาเห็นว่าศพที่มาส่งเป็น กุลธิดา
เจติยาตกใจจนแทบช็อก “เอียด” เจติยาโผเข้าไปกอดศพ “มันเกิดอะไรขึ้นเอียด” เจติยามีน้ำตาเอ่อท่วมตาขึ้นมา
ทวีและโอ้เอ้งงไปหมดเพราะไม่คิดว่าจะเป็นเพื่อนของเจติยา เจติยากอดศพกุลธิดาร้องไห้ด้วยความเสียใจ ทันใดนั้นมือของกุลธิดาก็ยื่นมาคว้าข้อมือของเจติยาเอาไว้ เจติยาตกใจ ก่อนที่ศพของกุลธิดาจะหันมาพูดกับเธอ
“บอกความจริง”
เจติยามองหน้าเพื่อนแล้วพยักหน้ารับทั้งน้ำตา
เจติยาเดินซึมและน้ำตาคลอมาตามทางเดิน เธอยังช็อกไม่หายที่เพื่อนมาด่วนจากไปแบบนี้ ลาภิณรีบตามหลังเจติยามาด้วยความเป็นห่วงหลังจากรู้เรื่อง
“เดี๋ยวก่อน...” ลาภิณเรียก
เจติยาซับน้ำตาออกก่อนหันไปมองลาภิณ
ลาภิณเป็นห่วง “ฉันรู้เรื่องเพื่อนเธอแล้วนะ เสียใจด้วย”
เจติยาน้ำตาคลอเบ้าขึ้นมาอีก เธอรู้สึกลำคอตีบตันจนพูดอะไรไม่ออก
“วันนี้เธอไม่ต้องทำงานหรอก ฉันอนุญาตให้ลาได้ สบายใจเมื่อไหร่แล้วค่อยมาทำงาน”
เจติยาน้ำตาคลอ “ขอบคุณค่ะ”
ทันใดนั้นเอง นิษฐาก็วิ่งเข้ามาหาเจติยาด้วยน้ำตานองหน้า “เจ”
ทั้งคู่โผเข้าไปกอดกันร้องไห้ด้วยความเสียใจ ลาภิณได้แต่มองทั้งคู่ด้วยสีหน้าเห็นใจ
นิษฐาร้องไห้ “มันเป็นไปได้ยังไงเจ เอียดตายได้ยังไง เป็นเพราะฉันรึเปล่า เพราะฉันบอกเรื่องนั้นกับเอียดใช่มั้ย”
เจติยาน้ำตาซึม “มันไม่เกี่ยวกับแกหรอกฐา” เจติยามีสายตาแข็งกร้าวเพราะเอาจริง “ฉันจะต้องลากตัวคนฆ่าเอียด มารับผิดให้ได้”
เจติยาและนิษฐาสวมกอดกันร้องไห้ต่อ ลาภิณชำเลืองมองสีหน้าแววตาของเจติยาที่แน่วแน่เอาจริงแล้วก็อดรู้สึกเป็นห่วงความปลอดภัยของเธอขึ้นมาไม่ได้
นักข่าวจำนวนมากกำลังรุมสัมภาษณ์พิทยาที่เดินออกมาจากสตูดิโอ โดยมีชัยยุทธผู้จัดการของพิทยาคอยกันให้ พิทยาสวมแว่นดำเพื่ออำพรางสายตา เขาก้มหน้าก้มตาไม่ตอบคำถามนักข่าว
“ผู้หญิงที่ตายเป็นแฟนของพีทรึเปล่าคะ” นักข่าวคนหนึ่งถาม
“มีข่าวว่าก่อนตายทะเลาะกันรุนแรงมากเลยใช่มั้ยครับ เป็นเพราะเรื่องหึงหวงรึเปล่าครับ” นักข่าวอีกคนถาม
“ตำรวจสันนิษฐานว่าฆ่าตัวตาย พีทเห็นว่ายังไงครับ” นักข่าวคนต่อไปถามบ้าง
นักข่าวแต่ละคนระดมถามกันจนฟังแทบไม่รู้เรื่อง
ชัยยุทธพยายามขอร้อง “อย่าเพิ่งถามอะไรตอนนี้เลยนะครับ ตอนนี้พีทยังไม่พร้อมจะตอบอะไรทั้งนั้น” ชัยยุทธยกมือไหว้ “ขอโทษนะครับแล้วจะนัดแถลงข่าวอีกทีนะครับ ขอทางด้วยครับ”
ชัยยุทธพาพิทยาไปขึ้นรถก่อนจะขับออกไป ท่ามกลางการรุมล้อมของนักข่าว
ชัยยุทธกำลังคุยโทรศัพท์มือถือโดยมีพิทยานั่งหน้าเครียดอยู่ใกล้ๆ ในคอนโด
“ใช่ครับ ก่อนตายมีปากเสียงกัน พีทเห็นว่าพูดกันไม่รู้เรื่องแล้วก็เลยเดินหนีเข้าห้อง ไม่คิดเลยจริงๆ ครับว่าน้องเค้าจะคิดสั้นฆ่าตัวตาย”
พิทยาน้ำตาคลอพร้อมกับชำเลืองมองหน้าชัยยุทธ
ชัยยุทธมีสีหน้าเคร่งเครียด เขาฟังอีกฝ่ายก่อนตอบ “ได้ครับ เรายินดีให้ความร่วมมือทุกอย่าง แต่เรื่องข่าวทางผมขอเป็นคนจัดแถลงเองนะครับ” ชัยยุทธฟังอีกฝ่าย “ขอบคุณมากครับ ครับ สวัสดีครับ”
พิทยาเครียดหนัก “ผมจะรอดมั้ยพี่ ผมไม่อยากติดคุกนะครับ พี่ต้องช่วยผมนะ”
ชัยยุทธถอนใจด้วยสีหน้าเครียด “พี่ก็พยายามเต็มที่นะพีท แต่ที่สำคัญก็คือตัวพีทเอง” ชัยยุทธดูนาฬิกาข้อมือ “เดี๋ยวตอนห้าโมง พี่นัดนักข่าวไว้ว่าพีทจะแถลงข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ทั้งหมด พีทก็บอกนักข่าวไป เหมือนที่บอกกับพี่ก็แล้วกัน”
พิทยาพยักหน้ารับ “ครับ”
ชัยยุทธมีสีหน้าเป็นห่วงปนหนักใจ “ไหนลองซ้อมอีกทีซิ”
พิทยาสูดหายใจลึก “ผมจะบอกว่าผมกับเอียดเป็นแฟนกัน วันที่เกิดเรื่อง เอียดเค้าหึงผมมาก เราเลยทะเลาะกันที่ระเบียงทางเดิน ผมโมโหก็เลยเดินหนีเข้าห้องไป ส่วนเอียดอยู่ข้างนอกไม่ได้ตามเข้ามา ผมก็นึกว่างอนกลับบ้านไป เพิ่งมารู้จากข่าวตอนเช้าว่าเอียด...” พิทยาสะกดความรู้สึกไม่อยู่จึงมีน้ำตาคลอเบ้าขึ้นมาอีก “เอียดกระโดดจากระเบียงตกลงไปตาย”
พิทยาก้มหน้างุดแล้วแอบร้องไห้ออกมาเหมือนเสียใจกับการตายของกุลธิดามาก
ชัยยุทธตบบ่าพิทยา “แถลงข่าวให้ได้แบบนี้นะ”
พิทยาปัดมือชัยยุทธออกแล้วผุนผันลุกไปเข้าห้องนอน ชัยยุทธมองตามไปพร้อมถอนใจยาวออกมาอย่างหนักใจ
เจติยา นิษฐา และนวัชกำลังเดินคุยกันอยู่ที่สนามหญ้าหน้าบริษัทนิราลัย
“ฐากับพี่หมวดอุตส่าห์รีบมา ไม่มีอะไรให้ช่วยเลยเหรอ” นิษฐาถาม
“ไม่มีหรอก ทางบ้านเอียดเค้าเลือกแบบห้องสวดศพสไตล์สวนป่า บริษัทจัดแบบนี้บ่อย นี่ก็จะเสร็จแล้วล่ะ” เจติยาถอนใจออกมา
นิษฐายังติดใจสงสัย “ฐาไม่เชื่อหรอกนะ ว่าเอียดจะฆ่าตัวตาย คนอย่างเอียดไม่มีวันฆ่าตัวตายเพราะผู้ชายคนเดียวเด็ดขาด” นิษฐามีสีหน้ามั่นใจ
นวัชหน้าเครียด “แต่จากการชันสูตร ไม่มีร่องรอยการต่อสู้เลยนะ แล้วจุดที่พบศพ ก็ตรงตามที่คุณพีทบอกทุกอย่าง พี่ว่ามันไม่น่าจะเป็นอย่างอื่นไปได้หรอก”
เจติยาหน้าขรึมลง “ผลชันสูตร มันก็ไม่ใช่ความจริงร้อยเปอร์เซ็นต์เสมอไปหรอกค่ะพี่หมวด ถึงยังไง เจก็มั่นใจว่าเอียดถูกฆาตกรรม อยู่แต่ใครจะเป็นคนทำเท่านั้นล่ะ” เจติยามีสีหน้าเจ็บแค้นแทนเพื่อน
นิษฐาเองก็แค้นแทนเพื่อน “จะฝีมือใคร ก็ไอ้ดาราตลบตะแลงนั่นน่ะสิ คอยดูนะ พรุ่งนี้ฉันจะบอกตำรวจให้หมดเลย รวมทั้งเรื่องที่ไอ้พีทมันติดยาด้วย ถึงเอาผิดเรื่องเอียดไม่ได้ ก็ให้อนาคตมันดับวูบไปเลย” นิษฐามีสีหน้าแค้นใจ
“หลักฐานมีแค่คลิปเบลอๆ เนี่ยนะ ไม่พอหรอก” นวัชบอก
นิษฐาแอบค้อนนวัชเล็กน้อย
“แล้วรู้มั้ยว่าพ่อของคุณพีทเป็นใคร มือหนึ่งด้านปราบปรามยาเสพย์ติด แล้วลูกจะมาติดยาซะเองได้ไง ไม่มีใครเชื่อฐาหรอก” นวัชเสริม
เจติยาคอยเก็บข้อมูลทุกอย่างอย่างตั้งใจ
นิษฐาหงุดหงิด “เบรกกันตลอดเลย ไม่ติดว่าเป็นหมวด โดนไปนานแล้ว”
นวัชยิ้ม “โดนอะไรเหรอ”
“ไม่อยากจะพูด แล้วจะหนาวจนขนลุก” นิษฐาค้อนใส่สะบัดหน้าไปอีกทางก่อนจะแอบอมยิ้มขี้เล่นเพราะเขินกับความคิดตัวเอง
“ไปหาอะไรทานกันก่อนดีมั้ย เหลือเวลาอีกตั้งนาน” นวัชชวน
“พี่หมวดกับฐาไปกันเถอะ เจต้องดูความเรียบร้อยก่อน ยังอยู่ในเวลางาน”
“โอเค งั้นเดี๋ยวเจอกัน” นวัชพยักหน้าให้นิษฐาก่อนเดินนำไป
นิษฐาจับมือเจติยา “เดี๋ยวมานะ”
เจติยาพยักหน้ารับ นิษฐาเดินตามนวัชไป เจติยาถอนใจยาวออกมาก่อนจะหันมองไปทางตัวตึกด้วยสีหน้าเครียดๆ
เจติยากำลังเดินไปทางห้องจัดงานสวดศพของบริษัท หน้าประตูห้องเปิดเอาไว้ พนักงานกำลังขนต้นหมากรากไม้เข้าไปในห้องสวดศพเพื่อตกแต่งห้องสวดศพให้ได้บรรยากาศสวนป่า เจติยาเหลือบเห็นผู้ชายคนหนึ่ง สวมแว่นดำ สวมหมวกกำลังแอบยืนมองจากหน้าห้องเข้าไป พนักงานเร่งรีบทำงานจึงไม่มีใครทันสังเกตเห็นชายคนนี้ เจติยาเดินจับตามองชายคนนั้นจนมาถึงหน้าห้อง ชายลึกลับคนนั้นหันมาเจอหน้าเจติยาก็ตกใจเล็กน้อย
“คุณพีท”
พิทยารีบเดินเร็วหนีไปทันที
“เดี๋ยวค่ะ”
เจติยารีบตามไปติดๆ จากเดินพิทยาเปลี่ยนเป็นวิ่งหนี เจติยาวิ่งไล่กวดตามพิทยาไป ทันใดนั้นลาภิณก็เดินตัดออกมาจากมุมตึกจนชนเข้ากับเจติยา ต่างฝ่ายต่างเซถอยออกมา
“ขอโทษครับ อ้าว เธอเองเหรอ” ลาภิณบอก
พิทยาหันมาเหลือบมอง พอเห็นแบบนั้นก็ได้โอกาสรีบวิ่งหนีไปทันที
เจติยาตั้งหลักได้ก็มองหาพิทยาแต่ก็ไม่เห็นแล้วจึงหงุดหงิด “ไม่ระวังเลยคุณ” เจติยารีบวิ่งตามต่อไป
“อ้าว เดี๋ยวสิ” ลาภิณรีบตามไป
เจติยาวิ่งกวดรถพิทยาอย่างเอาเป็นเอาตายมาที่หน้าบริษัท แต่ก็ไม่ทัน เธอจึงได้แต่หงุดหงิดเจ็บใจ เจติยาย่อตัวลงจับเข่าแล้วหอบเหนื่อย ลาภิณวิ่งตามมาหยุดด้านหลัง
“เธอนี่มันบ้าดีเดือดจริงๆ” ลาภิณว่า
เจติยาหันมาหงุดหงิดใส่ “เพราะคุณคนเดียว ไม่งั้นฉันจับตัวนายพีทได้แล้ว”
ลาภิณยิ้มๆ “เธอมีสิทธิ์อะไรไปจับเค้า แค่แฟนตำรวจ”
เจติยาจ้องหน้าอย่างเคืองๆ “ไม่ใช่ซะหน่อย”
ลาภิณยิ้มๆ “งั้นยิ่งแล้วใหญ่”
เจติยาค้อนใส่แล้วจะเดินกลับเข้าไป
“ดูเธอจะมั่นใจซะเหลือเกินนะ ว่าดารานั่นเป็นฆาตกรฆ่าเพื่อนเธอ ไม่คิดว่าเอียดจะอกหักจนฆ่าตัวตายบ้างเหรอ”
เจติยาหันขวับมาด้วยหน้าบึ้งตึง “ถ้าคุณรู้จักเอียดดีพอ คุณจะไม่พูดยังงี้ เอียดทั้งสวย ทั้งรวย ชาติตระกูลก็ดี ผู้ชายที่มาจีบ มีเยอะจนต้องคัดทิ้ง แล้วที่สำคัญ เอียดเป็นคนรักสวยรักงามมาก ถึงจะฆ่าตัวตายจริงๆ ก็ไม่ใช้วิธีที่ทำให้ศพตัวเองเละอย่างงี้หรอก”
ลาภิณคิดตามอยู่ครู่นึง “ก็ไม่แน่ ความเจ้าเสน่ห์ของเพื่อนเธอ อาจจะทำให้เค้ารับไม่ได้ที่ถูกทิ้ง แล้วอารมณ์ตอนนั้น มันอาจจะแค่ชั่ววูบ เค้าก็เลยกระโดดตึกฆ่าตัวตายประชดก็ได้”
“คุณจะพูดยังไงก็เรื่องของคุณ แต่ฉันมั่นใจว่าเอียดถูกฆาตกรรม ไม่ได้ฆ่าตัวตายแน่ๆ” ลาภิณมั่นใจมาก
ลาภิณชักสงสัย “อะไรทำให้เธอมั่นใจขนาดนั้น”
เจติยาโดนซักมากก็ชักรำคาญจึงโพล่งออกมา “ก็เพราะเอียดบอก...” เจติยาฉุกคิดขึ้นเพราะไม่อยากถูกหาว่าบ้า “ช่างเถอะ พูดไปคุณก็ไม่เข้าใจหรอก เอาเป็นว่าฉันเชื่อของฉันอย่างงี้ก็แล้วกัน” เจติยาจะเดินหนีไป
ลาภิณคว้าข้อมือเจติยาเอาไว้ เจติยาหยุดกึกทั้งอึ้งปนนึกไม่ถึง เธอเหล่ตามองมือลาภิณที่จับข้อมือตนอยู่
“ฉันจะไม่ถามหรอกนะว่าเธอปิดบังอะไรฉันอยู่ แต่ถ้าจะมีอะไรให้ฉันช่วย ก็บอกมาละกัน”
เจติยาทำหน้าตาดุ แล้วพูดสีหน้าจริงจัง “ช่วยปล่อยข้อมือฉันก่อนเลย ฉันกลัวจะตกงานอีก”
ลาภิณรีบปล่อยเพราะลืมตัวไป “โทษที”
เจติยากระชากมือกลับแล้วค้อนใส่ก่อนจะเดินกลับไป
เจติยาเดินไปพร้อมบ่นด้วยความเจ็บใจ “ถ้าฉวยโอกาสมาจับมือฉันโดนแน่”
ลาภิณพูดพึมพำ “ถ้าไปจับโดนมือมีหวังเจอตบ” ลาภิณยิ้มๆ
เจติยาหันตาขวางกลับมามองลาภิณอีกที ลาภิณรีบยกมือสองข้างทำท่ายอมแพ้ เจติยาทิ้งค้อนให้อีกก่อนจะเดินกลับไป ลาภิณมองตามขำๆ ด้วยอารมณ์เอ็นดู
เช้าวันใหม่ นิษฐากำลังพลิกดูข่าวจากหนังสือพิมพ์หลายฉบับด้วยความหงุดหงิดอยู่ที่บ้านนวัช โดยมีเจติยากับนวัชนั่งอยู่ใกล้ๆ
นิษฐาหงุดหงิด เธอพับหนังสือพิมพ์แล้วปาลงโต๊ะกลาง “ลงข่าวเหมือนกันทุกฉบับเลย อกหักฆ่าตัวตาย ไม่รู้จริงอย่าเขียนดีกว่า”
เจติยาหยิบหนังสือพิมพ์มาเปิดอ่านข่าวต่อ
“ก็ตำรวจเค้าให้น้ำหนักเรื่องนี้มากที่สุด หนังสือพิมพ์เค้าก็ลงไปตามนั้น จะไปว่าเค้าได้ยังไงล่ะ” นวัชบอก
นิษฐาทิ้งค้อนเพราะไม่พอใจที่โดนนวัชขัดคออีกแล้ว
เจติยาเห็นเนื้อข่าวน่าสนใจจึงอ่านออกเสียงให้ทุกคนฟัง “ทรัพย์สินของผู้ตายมีเพียงแค่สร้อยพระหนึ่งเส้น แหวนหนึ่งวง ส่วนทรัพย์สินอย่างอื่นอยู่ในรถของผู้ตาย” เจติยาฉุกคิด “แล้วสร้อยข้อมือล่ะ สร้อยข้อมือของเอียดหายไปไหน”
นิษฐาฉุกคิดขึ้นจึงรีบหยิบหนังสือพิมพ์อีกฉบับมาอ่าน นวัชมีสีหน้าติดใจสงสัยขึ้นมา
“จริงด้วย ฉบับนี้ก็ไม่มี” นิษฐาบอก
นวัชเอะใจ “สร้อยข้อมืออะไรเหรอ”
“สร้อยข้อมือที่คุณแม่ของเอียดให้ไว้ดูต่างหน้าน่ะค่ะพี่หมวด เอียดรักสร้อยเส้นนี้มาก ปกติจะใส่ติดตัวตลอดเวลา”
“ก่อนตายไม่กี่วัน ฐายังเอาไปซ่อมตะขอให้อยู่เลย ซ่อมเสร็จปุ๊บ รีบมารับคืนทันทีเลย” นิษฐาบอก
“พี่หมวดพอจะเช็คให้ได้มั้ยคะ ว่าข่าวเรื่องทรัพย์สินของเอียดหนังสือพิมพ์ลงถูกต้องรึเปล่า” เจติยาถาม
นวัชพยักหน้ารับ “ได้ ตำรวจเจ้าของคดีเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกับพี่เอง เดี๋ยวพี่เช็คให้”
เจติยาหันไปพูดกับนิษฐา “ฐา แกไปถามคุณพ่อเอียดให้หน่อยนะ ว่าสร้อยเส้นนี้อยู่ที่บ้านรึเปล่า”
นิษฐามีสีหน้าใช้ความคิดเพราะติดใจสงสัย “แต่ถ้ามันไม่อยู่ที่บ้าน แล้วก็ไม่อยู่ที่ตำรวจล่ะ จะว่ายังไง”
เจติยามั่นใจ “เอียดไม่มีทางทำสร้อยเส้นนี้หายหรอก”
นวัชชักสนใจประเด็นนี้ขึ้นมา “บางทีอาจจะตกอยู่ในที่เกิดเหตุก็ได้”
เจติยาฉุกคิดตามที่นวัชออกความเห็น
ปริมยื่นบัตรเชิญให้ลาภิณที่กำลังนั่งทำงานอยู่
ลาภิณยิ้มๆ “ซองผ้าป่าเดี๋ยวนี้สวยดีเนอะ”
ปริมยิ้มขำ “ซองผ้าป่าที่ไหนล่ะคะ บัตรเชิญไปงานเปิดตัวผับใหม่ของ ยัยบิ๋มค่ะ” ปริมออดอ้อน “คุณต้นไปกับปริมนะคะ”
“คืนนี้เลยเหรอ”
ปริมงอน “อย่าบอกว่าคุณต้นไม่ว่างอีกนะคะ” ปริมทำสีหน้าหมั่นไส้ “ทีเมื่อคืนนี้ยังมีเวลาไปงานศพเพื่อนพนักงานได้เลย”
ลาภิณหน้าเจื่อนไปที่โดนปริมเอาเรื่องนี้มาย้อน
ปริมเห็นสีหน้าลาภิณก็ยิ้มเล็กน้อย เพราะเป็นไปตามแผน เธอรีบปั้นหน้าจ๋อยๆ “ปริมไม่ได้จับผิดหรือชวนทะเลาะอะไรหรอกนะคะ แต่เราสองคน ไม่ได้ปาร์ตี้ด้วยกันตั้งนานแล้ว ปริมอยากให้เราสนุกกันเหมือนเดิมบ้าง ปริมรู้ว่าคุณกำลังมุ่งมั่นกับงานเพื่อพิสูจน์ตัวเองอยู่ แต่ก็อย่าให้งานมาแย่งเวลาใช้ชีวิตของเราไปจนหมดสิคะ”
ลาภิณรู้สึกผิดขึ้นมาเหมือนกันจึงปั้นยิ้ม “ก็ได้จ้ะ คืนนี้ผมจะไปกับปริม”
ปริมยิ้มดีใจ “ขอบคุณค่ะคุณต้น” ปริมหอมแก้มลาภิณฟอดใหญ่
ประตูห้องพักห้องหนึ่งถูกเปิดออกช้าๆ เจติยายืนอยู่หน้าห้อง เธอค่อยๆเดินเข้าไปในห้อง พร้อมกับมองสำรวจไปรอบๆ ทันใดนั้น ประตูห้องก็ปิดกระแทกเสียงดังลั่นจนเจติยาสะดุ้งเฮือก เจติยาหันไปมองที่ประตูก่อนจะมองไปรอบๆห้องแล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นกุลธิดาซึ่งสวมชุดเดียวกับตอนที่ตายกำลังยืนมองเธอด้วยใบหน้าขาวซีดอยู่ที่มุมห้อง
เจติยาดีใจมาก จะเข้าไปหา “เอียด”
กุลธิดายกมือห้ามไม่ให้เจติยาเข้ามา แต่ไม่พูดอะไร
เจติยาแปลกใจ “อะไรเหรอเอียด” เจติยาจะก้าวเข้าไปหา
กุลธิดาร้อนรน เธอแสดงภาษากายเพื่อห้ามอย่างเป็นห่วง
“แกเป็นอะไร ทำไมไม่พูดกับฉัน” เจติยาถาม
กุลธิดาน้ำตาคลอก่อนจะร้องไห้ แต่น้ำตาที่ไหลออกมากลับเป็นสายเลือด แล้วเลือดก็ค่อยๆไหลออกมาจากศีรษะ จมูก และหูของกุลธิดา ทำให้กุลธิดามีสภาพคล้ายถูกอัดกระแทกอย่างแรงตอนตาย เจติยาเบือนหน้าหลบไปอีกทาง ทันใดนั้นกุลธิดาก็มายืนประชิดอยู่ข้างๆ เจติยาร้องลั่นพร้อมดีดตัวออกด้วยความตกใจ กุลธิดาอ้าปากกว้างแล้วสร้อยข้อมือเส้นนั้นก็ค่อยๆ ไหลออกมาจากปากเธอแล้วพุ่งเข้าใส่เจติยาทันที
เจติยาผวาตื่นจากฝันร้ายพร้อมกับเอามือปัดไปมาพร้อมเสียงแหกปากลั่นของโอ้เอ้ เจติยารู้สึกตัวตื่น เธอมองไปตรงหน้าก็เห็นโอ้เอ้ขี่หลังทวีอยู่
ทวีโมโห “ไอ้โอ้เอ้ มึงลงไป หลังกูจะหักอยู่แล้ว”
โอ้เอ้รีบลงมายกมือไหว้ “ขอโทษลุง” โอ้เอ้ต่อว่าทันที “เล่นอะไรพี่เจ ผมเกือบช็อคตาย”
เจติยาหน้าแหย “ไม่ได้เล่น ฉันฝันร้าย” เจติยาลุกมาหาทวี “ลุง...เจฝันเห็นเอียดมันเหมือนจริงมากๆ เลยลุง”
โอ้เอ้ตาเบิกโพลงขึ้นมา
เจติยาเล่าทั้งน้ำตาคลอ “เจเห็นเอียดอยู่ในห้องๆนึง แล้วตัวเอียดก็มีแต่เลือดเต็มไปหมด เอียดไม่ยอมพูด แต่อ้าปากแล้วมี...” เจติยาหยุดเล่าเล็กน้อยโดยยังมีสีหน้าหวาดกลัวไม่หาย
โอ้เอ้กลัวแต่ก็อยากรู้ “มีอะไรพี่เจ”
เจติยาหน้าขรึมลง “สร้อยข้อมือ”
ทวีมีสีหน้าใช้ความคิด “ถ้าหนูไม่ได้เครียดมากจนฝันไปเอง ลุงว่าวิญญาณ เพื่อนหนูเค้าคงพยายามบอกอะไรซักอย่าง”
“บอกอะไรคะลุง”
“เจลองคิดทบทวนฝันดูดีๆ อีกทีแล้วกัน”
เจติยานิ่งคิดถึงความฝันเมื่อครู่ เพราะอยากรู้ว่ากุลธิดาต้องการสื่ออะไรกันแน่
เจติยาสวมชุดดำเพราะเพิ่งกลับมาจากงานสวดศพของกุลธิดา เธอเดินถือถุงใส่ก๋วยจั๊บกลับเข้าบ้านมา ในขณะที่มยุรีกำลังนั่งปะเสื้อให้นทีอยู่
“ทานอะไรมารึยังล่ะเจ” มยุรีถาม
“เรียบร้อยแล้วค่ะ แม่มีอะไรให้เจช่วยมั้ยคะ” เจติยาถามกลับ
“ไม่มีแล้วล่ะ เจไปพักเถอะ”
เจติยาโชว์ถุงให้แม่ดูด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “เจ้าทีล่ะคะ เจซื้อก๋วยจั๊บมาฝาก”
มยุรีชะงักไปเล็กน้อย
เจติยาเดินไปตะโกนเรียกที่บันได
“ที ที พี่ซื้อของโปรดมาฝาก...ที”
มยุรีตัดใจพูด “น้องไม่อยู่หรอกเจ”
เจติยาหน้าบึ้งเพราะไม่พอใจที่น้องชายผิดสัญญา “ไปไหนคะ”
นทีกับกลุ่มเพื่อนเดินเข้ามาในผับ นทีมีท่าทีตื่นกลัวอย่างเห็นได้ชัด
นทีไม่สบายใจ “เฮ้ย ไหนเอ็งบอกว่าจะเลี้ยงวันเกิดอย่างเดียวไงวะ อายุเราไม่ถึงนะโว้ย”
“อย่าปอดแหกนักเลยไอ้ที” เพื่อนคนหนึ่งว่า
“ถ้าอายุถึงใครๆ ก็เข้าได้ ต้องอย่างงี้สิวะ ถึงจะระทึก” เพื่อนอีกคนหันไปยิ้มเยาะใส่นที “หรือว่าเอ็งกลัวพี่จะตีก้นเอา”
“ไอ้น้องแหง่เอ๊ย” เพื่อนนทีล้อ
พวกเพื่อนๆ พากันหัวเราะเยาะก่อนจะพากันไปที่โต๊ะ นทีมองตามด้วยความหงุดหงิดเพราะไม่พอใจที่เพื่อนล้อเรื่องนี้ ลาภิณ ปริม และกลุ่มเพื่อนของปริมกำลังคุยกันอย่างออกรสที่โต๊ะหนึ่งในผับแห่งนั้น ปริมควงแขนลาภิณและคลอเคลียเขาตลอด
เพื่อนปริมกระเซ้า “ไม่ร้อนมั่งรึไงยะ ล็อคคุณต้นไม่ปล่อยเลย”
ปริมออดอ้อนและแนบหน้ากับแขนลาภิณ “ก็เค้าหวงของเค้า”
ลาภิณยิ้มๆ เขาเหลือบเห็นนทีแล้วก็เพ่งมองจนจำได้ว่าคือน้องชายเจติยา
ปริมเห็นลาภิณเพ่งมองหน้านิ่งก็สงสัย “เล็งใครอยู่คะ”
“เปล่า เด็กนั่นน้องชายเจติยา” ลาภิณบอก
ปริมเซ็งจึงดึงมือออก
ลาภิณบ่นด้วยความห่วง “อายุแค่นั้นเข้ามาได้ยังไง”
“ก็ช่างมันสิคะ ปริมไม่เข้าใจ คุณต้นต้องมีหน้าที่ดูแลทุกข์สุขญาติพี่น้องพนักงานตั้งแต่เมื่อไหร่คะ”
ปริมอารมณ์เสีย เธอลุกพรวดแล้วเดินไปเข้าห้องน้ำ
เพื่อนๆ ปริมพากันสบตากันไปมาแล้วก็นั่งเงียบกันไป ลาภิณได้แต่ถอนใจแล้วหยิบแก้วเครื่องดื่มขึ้นมา แต่ก็จับตามองนทีต่อไป ลาภิณเห็นนทีเดินไปทางด้านหลังผับด้วยสีหน้าบึ้งตึง ลาภิณจับตามองตามด้วยความเป็นห่วง
นทีเดินเซ็งๆ มาทางหลังผับเพราะไม่พอใจที่เพื่อนๆล้อว่าเขากลัวพี่สาว ทันใดนั้นนทีก็เหลือบเห็นเด็กสาวคนหนึ่งกำลังถูกชายหนุ่มคนหนึ่งจับแขนจะพาตัวไปให้ได้ โดยมีชายอีก 2 คนคอยยืนล้อมบังไว้
เด็กสาวไม่พอใจ “ฉันไม่ไป รอเพื่อนก่อน”
ชายคนหนึ่งจับข้อมือหญิงสาว “ไปเถอะ ป่านนี้ไม่มาแล้วล่ะ”
หญิงสาวพยายามดึงมือออก “ปล่อยค่ะพี่ หนูไม่ไปค่ะ”
นทีมองตามด้วยสีหน้าใช้ความคิดเพราะจะหาทางช่วย เขากวาดตามองไปรอบๆ
ชายหนุ่มมีสีหน้าขึงขัง “เฮ้ย อย่าเรื่องมากได้มั้ย” ชายหนุ่มจับล็อคตัว
รากบุญ ตอนที่ 5 (ต่อ)
หญิงสาวดิ้นสุดแรง ชายหนุ่มอีกคนจะเข้าไปช่วย นทีตัดสินใจผลักถ้วยแก้วจานชามทั้งถาดที่ตั้งเรียงสูงรอล้างหลายชั้นล้มโครมจนเกิดเสียงดัง ทุกคนตกใจ หญิงสาวกระชากตัวหนีวิ่งมาทางนทีทันที
หญิงสาวจำได้ “นที”
นทีงงๆ เพราะเขาจำไม่ได้
“รู้จักผมด้วยเหรอ”
ชายหนุ่มคนนั้นเดินพุ่งเข้ามาหานที “แส่ไม่เข้าเรื่อง”
นทีเห็นท่าไม่ดีจึงรีบบอก “หนีไปเร็ว”
ชายหนุ่มพุ่งหมัดใส่หน้านที แต่นทีหลบได้หวุดหวิด
ชายหนุ่มอีก 2 คนเข้ามาร่วมรุมสกรัมนทีทันที
หญิงสาวตะโกนลั่น “ช่วยด้วยค่ะ”
ลาภิณเดินตามหานทีออกมาทางหลังร้านพอดีจนมาเห็นนทีกำลังถูกรุมเตะอัดไม่ยั้ง ลาภิณรีบเข้าไปช่วยทันที ลาภิณกระโดดถีบหนุ่มคนหนึ่งกระเด็นล้มลง ก่อนจะเข้าไปช่วยนที
หญิงสาวตะโกนลั่นขอความช่วยเหลือ “ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วย”
ชายหนุ่มเหล่านั้นเห็นท่าไม่ดีจึงพากันวิ่งหนีไป ลาภิณเข้าไปประคองนทีที่เจ็บจุกจนตัวงอจนพูดอะไรไม่ออก
ลาภิณขับรถพานทีมาส่งที่หน้าบ้านเจติยา
นทีไหว้ลาภิณ “ขอบคุณครับพี่”
ลาภิณมองเข้าไปข้างในบ้าน “กลับเอาป่านนี้ ไม่กลัวโดนพี่สาวเล่นงานเอาเหรอ”
นทีเซ็ง “กลับเร็วกลับช้าก็โดนหมดล่ะพี่ ยัยบ้าอำนาจนั่นจ้องเล่นงาน ผมตลอดเวลาอยู่แล้ว”
ลาภิณขำ “ไปว่าพี่เค้า เค้าเป็นห่วงเราจะตายไป”
นทีถอนใจ “เหรอครับ ผมเป็นน้องเค้านะ ไม่ใช่นักโทษ”
ไม่ทันขาดคำ เจติยาที่มีหน้าตาบอกบุญไม่รับก็เปิดประตูรั้วออกมาด้วยหน้าตาโกรธจัด
“ยัยยักษ์ออกมาแล้ว” นทีลงไปจากรถ
“แกไปไหนมา”
ลาภิณรีบเดินตามลงมา
ลาภิณกลัวบานปลาย “ใจเย็นๆ ก่อนเจ เรื่องนทีฉันอธิบายได้นะ”
เจติยาโมโหมาก “คุณจะยุ่งกับชีวิตฉันมากเกินไปแล้วนะ” เจติยาจะดึงตัวนทีเข้าบ้าน “มานี่เลย”
นทีโมโห “โอ๊ย เจ็บนะพี่เจ” นทีสะบัดตัวหลุดออกมา
มยุรีรีบตามออกมาไปขวางหน้านทีเอาไว้
“พอเถอะเจ ดึกดื่นแล้ว อายชาวบ้านเค้าบ้างเถอะ”
เจติยาโมโหมาก “สงบเสงี่ยมอยู่ได้ไม่กี่วันก็ลายออก คราวนี้ไปทำเลวอะไรมาอีกล่ะ”
นทีโมโหมากจึงออกจากจากหลังแม่มาเผชิญหน้ากับเจติยา “ผมแค่ไปงานวันเกิดเพื่อน เลวตรงไหน”
เจติยาโมโห “แค่งานวันเกิดเหรอ ฉันโทรไปเช็คมาแล้ว ว่าเพื่อนแกพาไปเลี้ยงกันในผับ แล้วตัวแกอายุเท่าไหร่ หาเงินได้ซักบาทรึยัง ถึงได้ไปเที่ยวที่แบบนั้น”
นทีหน้าเสียเพราะเถียงไม่ออก
เจติยาจ้องหน้านที “แล้วนี่หน้าไปโดนอะไรมา มีเรื่องชกต่อยมาอีกแล้วใช่มั้ย แกต้องสร้างความเดือดร้อนอีกเท่าไหร่ถึงจะพอใจ”
นทีโมโห “จนกว่าจะตายมั้ง ผมตายเมื่อไหร่ ก็หยุดเองแหละ”
เจติยาฟิวส์ขาดเลยตบหน้านทีเข้าไปเต็มแรง ลาภิณตกใจเพราะนึกไม่ถึงว่าเจติยาจะรุนแรงถึงขั้นตบหน้าน้องชาย
มยุรีรีบเข้ามาขวางด้วยความเป็นห่วงลูกชายสุดๆ “พอได้แล้วนะเจ ทำไมต้องลงไม้ลงมือกับน้องด้วย”
นทีจ้องเจติยาเขม็ง เขาขบกรามแน่นจนขึ้นสัน
“ทำไมทีไม่อธิบายให้พี่เค้าฟัง ว่าเพื่อนลากเราไป” ลาภิณบอก
“ข้อแก้ตัวเดิมๆ ใช้ได้กับคุณลาภิณเท่านั้นล่ะค่ะ” เจติยาสวน
“รู้มั้ยว่าน้องชายคุณทำตัวเป็นพลเมืองดี กล้าหาญน่าชื่นชมขนาดไหน” ลาภิณบอก
นทีรีบห้าม “คุณลาภิณ”
“ฉันไม่เข้าใจ นทีห้ามบอกทุกคนทำไม ทำความดีไม่เห็นน่าอายตรงไหน”
นทีหน้านิ่งขรึม เขาขบฟันแน่น เจติยาและมยุรีมีสีหน้างงๆ ทั้งสองมองไปที่นที
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่คะคุณลาภิณ” มยุรีอยากรู้
ทันใดนั้นเองนิษฐาก็ขับรถปาดเข้ามาจอดข้างๆ ทุกคนด้วยสีหน้าร้อนใจ ทุกคนหันไปมอง นิษฐาและหญิงสาวในผับคนนั้นรีบลงมาจากรถ
“สังหรณ์ใจแล้วเชียวว่าต้องมีเรื่อง ดีนะที่วนรถกลับมา” นิษฐาบอก
“มีอะไรของเธออีกล่ะ” เจติยาถาม
“อย่าโกรธนทีเลยนะเจ วันนี้นทีฮีโร่มากๆ ช่วยแป้นเอาไว้ทันเวลา ไม่งั้นโดนจับไปปู้ยี้ปู้ยำที่ไหนแล้วก็ไม่รู้”
แป้นยกมือไหว้เจติยาด้วยน้ำตาคลอ “อย่าลงโทษอะไรนทีเลยนะคะพี่เจ ถ้านทีไม่ช่วยแป้นเอาไว้ แป้นคงเสียตัวให้พวกมันไปแล้ว” แป้นมีน้ำตาซึมออกมา
“อย่าเสียเวลาพูดเลยครับ ผมมันเลวในสายตาพี่เจ ทำดีแค่ไหน มันก็เลววันยังค่ำอยู่ดี” นทีจ้องหน้าพี่สาวก่อนเดินนำเข้าบ้านไป
มยุรีห่วงลูกชายจึงรีบตามนทีไป “นที รอแม่ก่อน...เจ็บตรงไหนมั่งลูก” มยุรีตามเข้าไปติดๆ
ลาภิณตำหนิเจติยา “เธอน่าจะฟังน้องบ้าง ไม่ใช่เอาแต่อารมณ์ตัวเองเป็นใหญ่”
เจติยาหันมาจ้องหน้าลาภิณ ลาภิณพูดต่อ
“นทีอาจจะผิดที่แอบไปเที่ยวผับ แต่เค้ามีน้ำใจช่วยเหลือคนอื่นขนาดนี้ ผู้ชายอกสามศอกตัวใหญ่ยักษ์บางคน ยังไม่กล้าลุกขึ้นมาปกป้องผู้หญิงที่ตัวเองไม่รู้จักแบบนี้เลย”
นิษฐาและแป้นพยักหน้าเห็นด้วย ทั้งสองรู้สึกชื่นชมจากใจจริง
“น่าจะค่อยๆพูดค่อยๆเตือน ไม่ใช่แรงใส่กันจนเป็นความเคยชินแบบนี้ ระวังเถอะ สะสมมากๆเข้า อีกหน่อยเธอกับน้องจะเข้าหน้ากันไม่ติด คุยกันไม่เข้าใจซักเรื่อง” ลาภิณบอก
เจติยาสวนหน้านิ่ง “คุณคิดว่าตัวเองเป็นใคร พี่ชายคนโตฉันรึไง ทำไมฉันต้องฟังคุณด้วย”
ลาภิณถอนใจเซ็งๆ “โชคดีที่ฉันไม่มีน้องอย่างเธอ” ลาภิณเดินหงุดหงิดไปขึ้นรถ
นิษฐาหน้าเสีย “แกพูดยังงั้นได้ไง ที่คุณลาภิณพูดก็ถูกนะ”
“ถูกแต่ไม่ทั้งหมด...นทีไม่ควรไปเที่ยวสถานที่ที่วัยเค้าไม่สมควร รวมทั้งเธอด้วย” เจติยาจ้องหน้าแป้น
แป้นจ๋อยสนิท
“ถ้าทุกคนเคารพกฎเกณฑ์ ทำทุกอย่างตามความถูกต้อง เหมาะสมวันนี้ก็จะไม่เกิดเรื่องยังงี้ขึ้น จริงมั้ย” เจติยาจ้องหน้าแป้นด้วยตาดุก่อนเดินเข้าบ้านไป
แป้นจ๋อยสนิท
“นี่แหละเพื่อนพี่...ไป เราช่วยนทีได้ดีที่สุดแล้วล่ะ” นิษฐาโอบคอแป้น
แป้นยิ้มแย้มแล้วเดินตาม
“ต่อไปก็สะสางคดีเราต่อ” นิษฐาบอก
แป้นชะงักไม่เดินตาม
“ตามมาเลย” นิษฐาล็อคคอแป้นพาไปขึ้นรถทันที
เจติยากำลังเคาะประตูห้องนอนของนทีอยู่
“นที นอนรึยัง”
ไม่มีเสียงตอบออกมาจากในห้องของนที
เจติยารู้สึกผิด “พี่ดีใจที่แกช่วยแป้นเอาไว้ได้ แต่เราก็ต้องแยกเรื่องนี้เป็น 2 ส่วน ส่วนผิดก็ยังผิด ส่วนที่แกทำดี พี่ก็ชื่นชม”
ยังไม่มีเสียงตอบกลับมาเช่นเดิม
เจติยาเคาะประตู “นที ฟังพี่อยู่รึเปล่า”
เสียงมยุรีดังขึ้นแบบเคืองๆ “จะเรียกน้องมันทำไม”
เจติยาหันมามองมยุรี
มยุรียืนอยู่หน้าห้องนอนของเธอพร้อมกับมองมาทางเจติยาด้วยสีหน้าเคืองๆ “ตบหัวแล้วลูบหลัง ทำดีไม่ได้ดี”
“ยังไงนทีก็มีความผิดอยู่ดี”
“หัดมองน้องในแง่ดีซะมั่งเถอะ เด็กมันจะได้มีกำลังใจทำความดี นี่อะไรเอาแต่จ้องจับผิด บางทีที่น้องมันเตลิดเปิดเปิง ทำเลวประชดยังงี้ ก็เพราะแกนั่นล่ะที่กดดันน้องมันจนเกินไป”
เจติยาของขึ้น “อ๋อ นี่ตกลงที่ไอ้ทีโดดเรียนเป็นเพราะเจ ติดพนันบอลเพราะเจ แอบเที่ยวกลางคืนเพราะเจ มันเลวเพราะเจ ตัวมันสุดวิเศษไม่ผิดเลยยังงั้นเหรอคะ”
“แม่ขี้เกียจจะพูดกับแกแล้ว”
มยุรีเดินหน้าบึ้งตึงกลับเข้าห้องนอนไป เจติยาถอนใจออกมาแรงๆ
นทีเอาหูแนบประตูฟังอยู่ก็ยิ้มสะใจ
“สมน้ำหน้า”
เสียงทุบโครมดังสนั่นเข้าบ้องหูนทีพอดี
“โอ๊ย...” นทีเอามือปิดหูพร้อมกับเด้งออกจากประตู “พี่ซาดิสต์”
ลาภิณเดินกลับเข้ามาในบ้านแล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นปริมนั่งหน้าหงิกอยู่กับชูจิตที่หน้าบึ้งตึงอยู่ที่โถงรับแขกบ้าน
“ก่อเรื่องไม่ได้หยุดหย่อนเลยนะต้น” ชูจิตว่า
ลาภิณถอนใจออกมา
“คุณต้นทิ้งปริมไปยังงั้นได้ยังไง ปริมอายเพื่อนมากนะคะ มีแต่คนขำปริม แขวะปริมว่าแฟนถูกสาวที่ไหนหิ้วไปแล้วก็ไม่รู้ปริมขำไม่ออกนะคะ ปริมไม่ชอบเป็นตัวตลกของใคร”
ชูจิตช่วยพูด “ต้นมีธุระอะไรเร่งด่วนก็น่าจะบอกปริมเค้าก่อน รีบจริงๆ ก็โทรบอกก็ได้นี่นา”
“ก็ผมเห็นปริมกำลังสนุกกับเพื่อนๆ ก็เลยคิดว่าไม่น่าเป็นไร”
ปริมขำหยัน “นี่เหรอคะข้อแก้ตัว ไม่พูดซะจะดีกว่า” ปริมโมโหมาก “คุณแม่ต้องให้ความเป็นธรรมกับปริมนะคะ คุณต้นไปเที่ยวกับปริม แต่กลับทิ้งปริมไว้ จะทำเหมือนปริมไม่มีความหมายแบบนี้ไม่ได้”
ลาภิณรู้สึกผิด “ผมขอโทษ พอดีมันเกิดเรื่องขึ้นกระทันหัน ผมก็เลยจำเป็น ต้องกลับมาก่อน แต่ผมก็พยายามโทรหาคุณแล้วนะ แต่คุณไม่รับสาย”
ปริมโมโห “เสียงเพลงมันดังซะขนาดนั้น ปริมจะไปได้ยินเสียงโทรศัพท์ได้ยังไงคะ แล้วเรื่องจะโทรไม่โทร มันปลายเหตุค่ะ ประเด็นมันอยู่ที่คุณต้นไม่เห็นความสำคัญของปริม” ปริมมีสีหน้าแววตาท้าทาย “เราเลิกคบกันซักพักดีมั้ยคะ”
ลาภิณตกใจเพราะนึกไม่ถึง
ชูจิตหน้าเสีย “อย่ารุนแรงถึงขั้นนั้นเลยลูก ต้นเค้ารักหนูจะตายไปจะไม่เห็นความสำคัญของหนูได้ยังไงล่ะจ๊ะ” ชูจิตหันไปพูดกับลาภิณ “ต้น ธุระจำเป็นของลูกมันคืออะไรก็บอกหนูปริมเค้าไปสิ น้องเค้าจะได้หายโกรธ อมพะนำอะไรอยู่ได้”
ลาภิณหน้าเสีย “พอดีผมเจอน้องชายของเจติยาเค้าถูกรุมทำร้ายน่ะครับ ผมก็เลยช่วยเค้าแล้วพาไปส่งที่บ้าน”
ปริมได้ยินอย่างนี้ก็ยิ่งปรี๊ดแตก เธอมองลาภิณราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ชูจิตเครียดหนักจนแทบลมจับ เพราะทำยังไงก็ไม่พ้นเรื่องเจติยาซะที
ปริมโกรธจนหน้าแดงและมือไม้สั่น “เมื่อคุณต้นเห็นเรื่องของลูกสาวแม่ค้านั่นสำคัญกว่าปริม เราก็หมดเรื่องต้องพูดกันแล้วล่ะค่ะ”
“หนูปริม”
ปริมลุกขึ้น “หนูกลับก่อนนะคะคุณแม่” ปริมยกมือไหว้ “คงไม่ได้เจอกันอีกนาน บางทีอาจจะตลอดไป” ปริมสะบัดหน้าพรืดเดินออกไปจากบ้าน
ชูจิตตกใจมากรีบลุกตาม “หนูปริม เดี๋ยวสิลูก”
ชูจิตเหลือบตามองลาภิณที่ทิ้งตัวนั่งพิงโซฟาโดยไม่ลุกตามไป
ชูจิตอึ้งปนงง “ต้น ตามไปง้อหนูปริมสิ”
“ผมเหนื่อยครับแม่ ห่างๆกันซักพัก บางทีทุกอย่างอาจจะดีขึ้นก็ได้”
ชูจิตตกใจ รีบพูดเสียงแข็ง “ไม่ได้นะต้น แม่ไม่มีวันยอมให้ต้นตัดสินใจผิดพลาดเพราะความหลงชั่ววูบเด็ดขาด...” ชูจิตรีบเดินตามปริมออกไปหน้าบ้าน “หนูปริมลูก คุยกับแม่ก่อน” ชูจิตมีสีหน้าร้อนใจ
ลาภิณบ่นด้วยความรำคาญ “ยัดเยียดให้ชอบกับเด็กนั่นกันซะจริง เดี๋ยวก็จีบประชดซะเลย” ลาภิณลุกเดินขึ้นบ้านไปอย่างเซ็งๆ
สายวันใหม่ ชูจิตเดินคุยมากับพิสัยตามทางเดินในบริษัทด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
ชูจิตหงุดหงิด “พี่ล่ะเบื่อเรื่องยัยเด็กนี่เต็มทนแล้ว นี่ถ้าหาคนมาทำงานแทนได้ พี่ไม่ปล่อยเอาไว้แน่”
พิสัยยิ้มๆ “ถึงไล่ออกไปก็เท่านั้นล่ะครับ ของอย่างงี้มันตบมือข้างเดียวไม่ดัง ถ้าคุณต้นไม่ยอมเลิกมันก็ไม่มีประโยชน์ เห็นว่ารู้จักบ้านช่อง ไปมาหาสู่กันประจำไม่ใช่เหรอครับ”
ชูจิตหงุดหงิด “ก็นั่นน่ะสิ นังนี่มันจะตามรังควาญครอบครัวเราไปถึงไหน ไม่รู้เคยไปทำกรรมทำเวรอะไรกันเอาไว้” ชูจิตถอนใจ
พิสัยยุส่ง “ขืนเราชะล่าใจ ปล่อยไว้แบบนี้ คุณต้นอาจจะพลาดท่าเสียทีเข้าให้ซักวันนะพี่จิต”
“อย่าพูดให้พี่เครียดไปกว่านี้หน่อยเลยพิสัย พี่กลัวจะเสียคนดีๆอย่างหนูปริมไปจริงๆ นี่หนูปริมโกรธมาก ขอให้ห่างกันซักพักแล้วรู้มั้ย” ชูจิตมีสีหน้าไม่สบายใจ
พิสัยรับฟังอย่างเก็บข้อมูล ก่อนจะยิ้มเจ้าเล่ห์ “ถ้าพี่จิตกลัวจะเสียลูกสะใภ้คนนี้ไปนัก ก็จับแต่งกันซะเลยสิครับ พี่เป็นแม่ ทำไมจะบังคับลูกไม่ได้ แต่งงานกันไปซะ จะได้หมดห่วง ยังไงเด็กนั่นก็เป็นสะใภ้ตีทะเบียนไม่ได้”
“ง่ายอย่างงั้นก็ดีน่ะสิ ตั้งแต่กลับจากเมืองนอก ต้นไม่ใช่เด็กหัวอ่อนเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้วล่ะ” ชูจิตถอนใจแล้วส่ายหน้า
ทันใดนั้นพนักงานหญิงคนหนึ่งก็เดินเข้ามาหาชูจิต
“ท่านคะ ฝ่ายขายมากันพร้อมแล้วค่ะ”
“เอาไว้ค่อยคุยกันแล้วกันนะพิสัย พี่ไปประชุมก่อน”
พิสัยยิ้มรับ “ครับ”
ชูจิตเดินตามพนักงานไป
พิสัยมองตามชูจิตแล้วยิ้มเยาะ “ลูกชายพี่ไม่ได้หัวแข็งขึ้นหรอกครับ แต่มันโง่” พิสัยเหยียดปากดูถูก ก่อนจะส่ายหน้าแล้วเดินไปทางห้องตัวเอง
เจติยา นวัช และนิษฐากำลังนั่งกินก๋วยเตี๋ยวไปคุยกันไปอยู่
“ฐาโทรคุยกับคุณพ่อเอียดแล้ว สร้อยข้อมือเส้นนั้นไม่ได้อยู่ที่บ้านแน่ๆ” นิษฐาบอก
“ไม่ได้อยู่ที่บ้าน แล้วก็ไม่ได้อยู่ที่ศพของเอียด แล้วมันจะอยู่ที่ไหนล่ะ” เจติยามีสีหน้าใช้ความคิดก่อนจะหันไปถามนวัช “พี่หมวดคะ ตำรวจเข้าไปค้นห้องคอนโดของนายพีทรึยังคะ”
“ค้นแล้ว แต่ไม่เจออะไรผิดปกติเลย...ทำไมเหรอ” นวัชถามกลับ
“คือเจฝันว่า...”
นวัชขัด “ฝันอีกแล้วเหรอ”
“ฟังก่อนได้มั้ยคะพี่หมวด”
นวัชจ๋อยเล็กน้อย “โอเคๆ เล่ามา”
เจติยาเล่าด้วยสีหน้าเครียดๆ “เจฝันว่าเอียดอยู่ในห้องๆนึง ตัวเอียดก็มีแต่เลือดเต็มไปหมด แถมในปากยังอมสร้อยข้อมือเส้นนั้นเอาไว้ด้วย เจเลยคิดว่าห้องในฝันของเจ อาจจะเป็นห้องคอนโดของพีทก็ได้ และมันน่าจะเกี่ยวข้องกับการตายของเอียด”
“แต่เราใช้ความฝันเป็นข้ออ้างในการสืบคดีไม่ได้หรอกนะเจ...ถ้าเราอยากจะเข้าไปค้นห้องของพีท เราก็ต้องมีหมาย แล้วคงไม่มีใครเค้าออกหมายให้เพราะความฝันของเจหรอก” นวัชบอก
เจติยามีสีหน้าเครียดเพราะคิดหนักว่าจะเอายังไงดี
เจติยาเดินหน้าเครียดๆกลับเข้ามาในบริษัทสวนกับลาภิณที่เดินออกมาจากข้างใน ทั้งคู่สบตากันเล็กน้อย
เจติยามีสีหน้ารู้สึกผิดที่เมื่อคืนพูดกับลาภิณแรงไปเลยไม่กล้าสู้หน้า เธอหลบตาแล้วจะเดินเลี่ยงไป
ลาภิณชวนคุย “ออกเวรไปแล้วไม่ใช่เหรอ”
เจติยาชะงักไปแต่ยังไม่กล้าสู้หน้า “ค่ะ แต่ฉันยังไม่อยากกลับบ้าน เลยกะว่าจะนั่งอ่านหนังสือเล่นซักพัก “ เจติยาจะเดินไป
“ยังเคลียร์กับน้องไม่ได้ล่ะสิ”
เจติยาถอนใจด้วยความเซ็ง
“เด็กวัยรุ่นก็ยังงี้แหละ ยิ่งมาเจอกับคนตึงอย่างเธอด้วย ยิ่งไปกันใหญ่” ลาภิณบอก
เจติยาทำหน้าบึ้งตึงขึ้นมา “มีอะไรจะสอนอีกมั้ยคะ ไม่มีฉันจะได้ไป” เจติยาค้อนเล็กน้อยแล้วจะเดินไป
ลาภิณพูดขัดขึ้นมาเสียก่อน “เมื่อตอนเที่ยงฉันเจอกับคุณพ่อของเอียด”
เจติยาชะงักไปด้วยความสนใจ
“ดูเหมือนท่านปลัดกระทรวงจะปักใจเชื่อว่าเอียดถูกฆาตกรรมเหมือนกับเธอไม่มีผิด ตอนนี้ก็กำลังจ้างนักสืบตามสืบเรื่องนี้อยู่ เธอคงไม่ต้องกังวลแล้วล่ะ”
“ถึงจะจ้างนักสืบ ก็คงทำอะไรได้ไม่มากไปกว่าฉันเท่าไหร่หรอก ข้อมูลบางอย่าง ฉันรู้มากกว่าด้วยซ้ำ” เจติยามีสีหน้ามั่นใจ
ลาภิณยิ้มขำ “ขนาดนั้นเชียว”
เจติยาค้อนใส่เล็กน้อย “อย่างตอนนี้ ฉันสงสัยว่าหลักฐานการตายของเอียดอยู่ในห้องคอนโดของพีท แต่ฉันเข้าไปค้นไม่ได้ ถามหน่อยเถอะว่านักสืบจะทำได้มั้ย ก็คงมาถึงทางตันเดียวกันนั่นแหละ”
ลาภิณคิดตาม “ก็คงใช่” ลาภิณยิ้มเล็กน้อย “งั้นฉันก็คงสืบได้ดีกว่าทุกคน”
เจติยามองลาภิณอย่างนึกไม่ถึง “คุณหมายความว่า คุณหาทางเข้าคอนโดพีทได้งั้นเหรอ”
ลาภิณยิ้มๆ “พ่อฉันเคยช่วยแก้ปัญหาการเงินให้เจ้าของคอนโดนั่น มีบุญคุณกันมาก่อน”
เจติยาตั้งใจฟังอย่างสนใจ
“ฉันน่าจะพอขอร้องให้หาทางช่วยอะไรได้บ้าง” ลาภิณบอก
เจติยาค่อยยิ้มออกอย่างมีความหวังขึ้นมา
ประตูห้องพักพิทยาถูกเปิดออก ลาภิณและเจติยารีบผลุบเข้ามาในห้อง
เจติยามองไปรอบๆห้องแล้วพูดเบาๆ “เหมือนในฝันเปี๊ยบเลย”
ลาภิณเดินนำสำรวจเข้ามาในห้อง เขาเดินไปดูกรอบรูปที่ตั้งโชว์หลายรูปก่อนจะหยิบกรอบรูปที่มีรูปของพิทยากับกุลธิดาขึ้นมาดู
ลาภิณยิ้มเล็กน้อย “ฉันว่าคราวนี้ลางสังหรณ์เธอน่าจะผิดแล้วล่ะเจ ถ้าพีทเป็นคนฆ่าเพื่อนเธอจริงๆ เค้าคงไม่เก็บรูปไว้แล้วล่ะ” ลาภิณโชว์กรอบรูปให้เจติยาดู
เจติยามองดูรูป “แค่รูปใบเดียว ยังสรุปไม่ได้หรอก เค้าอาจจะเก็บเอาไว้เพื่อเบนความสนใจตำรวจก็ได้ คุณรีบๆ มาช่วยฉันหาสร้อยข้อมือของเอียดดีกว่า”
ลาภิณงง “ฉันต้องช่วยเธอหาด้วยเหรอ แค่ฉันพาเธอเข้ามาที่นี่ได้ก็ดีแค่ไหนแล้ว”
เจติยาตีหน้าตาย “ก็ไหนๆ คุณก็เข้ามาแล้ว จะอยู่เฉยๆ ทำไมล่ะคะ ทำตัวให้เป็นประโยชน์ดีกว่า” เจติยารีบค้นหาต่อไป
ลาภิณยกไหล่ว่าเสียท่าที่โดนเจติยาหลอกใช้อีกแล้ว เขาวางกรอบรูปลงที่เดิมแล้วช่วยเจติยาหาสร้อยอีกคน ระหว่างที่ทั้งสองต่างค้นหาสร้อยตามพื้นห้องและใต้โต๊ะใต้ตู้ทั้งสองก็คุยกันไป
เจติยาเหล่มองลาภิณ “คุณไม่โกรธที่ฉันว่าคุณแรงๆ เมื่อวานเลยเหรอ”
ลาภิณค้นหาไปพร้อมตอบไปด้วย “ผมเห็นด้วยกับคำกล่าวที่ว่า อย่าถือคนบ้า” ลาภิณหันมองเจติยา “อย่าว่า พี่สาวจอมโหด” ลาภิณเดินหาของต่อไปอย่างหน้าตาย
เจติยาเจ็บใจ “อย่าเอามันเลยคำขอโทษน่ะ” เจติยาค้อนให้อีกขวับก่อนจะหาของต่อไป
พิทยาขับรถมาจอดที่ลานจอดรถของคอนโดโดยมีชัยยุทธนั่งมาด้วย
ชัยยุทธไม่สบายใจ “พี่รับงานเค้าไว้แล้วนะพีท พีทจะเบี้ยวได้ยังไง”
พิทยาหงุดหงิด “ผมไม่มีอารมณ์ พี่ไม่เข้าใจรึไง แฟนผมเพิ่งตายนะพี่ พี่ยังจะให้ผมไปทำงานอีกเหรอ”
พิทยาลงจากรถไปด้วยความหัวเสีย ชัยยุทธก้าวลงตาม
“พี่รู้ว่าพีทเครียด แต่มืออาชีพมันต้อง...”
พิทยาตะคอกสวน “ผมบอกว่าไม่ไปก็คือไม่ไป ถ้าพี่ไม่พอใจก็ไปเองละกัน”
“เงินน่ะจะเอามั้ย”
พิทยาระเบิด “ไม่เอาโว้ย...”
พิทยาเดินหัวเสียนำเข้าไปในคอนโด
ชัยยุทธหน้าเสีย “พี่ขอโทษพีท ใจเย็นๆก่อน”
พิทยาไม่ฟัง เขาเดินหนีไป
ชัยยุทธเดินตามไปหว่านล้อม “พี่เข้าใจ พี่ไม่ได้อยากจะบังคับพีทเลยนะ...พีท” ชัยยุทธเดินตามพิทยาไป
ลาภิณและเจติยายังคงช่วยกันหาสร้อยข้อมือของกุลธิดาตามห้องต่างๆ
ลาภิณพูดไปหาไป “แทบจะพลิกห้องหาอยู่แล้วนะเจ ไม่เห็นจะเจอเลย ตำรวจเค้าก็ค้นมาแล้วรอบนึง ก็ไม่เจอ คงไม่มีหรอกมั้ง”
เจติยาหงุดหงิด “ถ้าคุณไม่อยากช่วยก็นั่งเงียบๆ ไปเลย” เจติยาหาต่อไปอย่างตั้งใจ
ลาภิณขำๆ ก่อนจะพึมพำ “ดุจริง ไรจริง”
เจติยาหาต่อ ทันใดนั้นสายตาของเธอก็เหลือบไปเห็นสร้อยข้อมือของกุลธิดาหล่นอยู่ในซอกตู้แคบๆ
เจติยาดีใจมาก “เจอแล้ว”
ลาภิณรีบเข้ามาดูทันที “ไหน” ลาภิณจะใช้มือเขี่ยสร้อยข้อมือออกมา
เจติยารีบห้าม “อย่าค่ะ เผื่อเราจะพิสูจน์ลายนิ้วมือหาคนผิดได้ ถ้ามีลายนิ้วมือคุณด้วย จะวุ่นวายไปใหญ่”
ลาภิณหยิบปากกาที่เสียบกระเป๋าเสื้อแล้วบรรจงเอาไปเขี่ยสร้อยออกมา
เจติยาเพ่งมองด้วยความดีใจ “สร้อยของเอียดจริงๆด้วย”
“งั้นพิทยาก็โกหก ไหนบอกว่าเอียดไม่ได้เข้ามาในห้องไง”
“แต่เค้าอาจจะอ้างว่าพาเอียดเข้ามาหลายวันก่อนตายแล้วก็ได้” เจติยาบอก
“รอบคอบสมกับเป็นนักศึกษากฎหมายจริงๆ” ลาภิณแขวะ
ทันใดนั้นทั้งสองก็ได้ยินเสียงเปิดประตูห้อง ทั้งคู่มองไปที่ประตูด้วยความตกใจ ประตูกำลังจะเปิดออ
พิทยาเดินหัวเสียนำเข้ามาในห้องโดยมีชัยยุทธรีบเดินตามเข้ามาง้อ
“ถ้าพีทเครียด จะนั่งเล่นพักก่อนก็ได้นะ เรายังพอมีเวลา”
พิทยาตะคอก “เลิกเซ้าซี้ผมซะทีได้มั้ย บอกว่าไม่ไปก็ไม่ไปสิ”
ลาภิณกับเจติยาซ่อนตัวอยู่ในตู้เสื้อผ้าด้วยความรู้สึกลุ้นระทึก ทั้งสองได้ยินเสียงพิทยาและชัยยุทธพูดคุยกันอย่างชัดเจน
เสียงชัยยุทธดังขึ้น “ไม่ใช่พี่พูดไม่รู้เรื่องนะพีท พีทจะเบี้ยวงานไหนก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่งานนี้”
เสียงพิทยาโวยวาย “ผมไม่สนอะไรแล้ว เลิกยุ่งกับผมซะทีเถอะ”
เจติยาเครียดหนักเพราะถ้าพิทยาไม่ยอมไป เธอก็ออกไปไม่ได้ เจติยาหันไปสบตากับลาภิณ ลาภิณพยักหน้าให้กำลังใจก่อนจะแอบมองตามช่องประตูตู้เสื้อผ้าออกไป เจติยาแอบชำเลืองมองลาภิณเล็กน้อยเพราะตอนนี้ตัวทั้งสองเบียดชิดกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ลาภิณขยับหน้ามองไล่ตามช่องระบายอากาศประตูตู้เสื้อผ้าโดยไม่ได้ตั้งใจจะให้หน้าใกล้เจติยา
เจติยาตกใจที่หน้าลาภิณเข้ามาใกล้จึงขยับหน้าห่างออกมาแต่ก็ได้เพียงเล็กน้อย หน้าทั้งสองเกือบจะชนกัน แต่ลาภิณก็หยุดพอดีแล้วเพ่งออกไปข้างนอกอย่างสนใจ เจติยากลั้นหายใจพร้อมกับชำเลืองมองหน้าลาภิณในระยะใกล้ๆ แล้วก็แอบเขินอยู่เหมือนกัน
พิทยาเดินมาทิ้งตัวนั่งที่โซฟารับแขก
ชัยยุทธตามมาอ้อนวอน “พี่ขอร้องล่ะพีท กลั้นใจไปหน่อยเถอะ งานนี้งานเดียวจริงๆ”
พิทยาหงุดหงิด ขณะนั้นเองเขาก็เหลือบไปเห็นกรอบรูปที่ตนถ่ายคู่กับกุลธิดาอันเดียวกับที่ลาภิณ
หยิบขึ้นมาดู
พิทยาตกใจรีบลุกพรวด “มีคนแอบเข้ามาในห้องผม”
ชัยยุทธแปลกใจ “ใครจะแอบเข้ามาได้พีท”
พิทยาเดินตรงไปที่ชั้นวางกรอบรูป “พี่ไม่รู้อะไร เอียดเค้าเป็นคนเชื่อเรื่องโชคลาง กรอบรูปทุกอันต้องหันไปทางทิศตะวันออกเหมือนกันหมด” พิทยาชี้ไปที่กรอบรูป “มันเบี้ยวเห็นมั้ยพี่”
พิทยารีบเดินไปยกเบาะโซฟาเพื่อหยิบปืนที่ซ่อนไว้
“คิดมากน่าพีท อาจจะพี่หรือพีทเดินชนก็ได้” ชัยยุทธบอก
พิทยาค้นเจอปืนจึงหยิบออกมา
“ไม่มีทาง ถ้าชนผมต้องรู้ตัวสิ” พิทยากระชับปืนแล้วเดินหาไปทั่วห้อง
ชัยยุทธถอนใจพร้อมกับส่ายหน้า “พีทเครียดเกินไปแล้วรู้ตัวมั้ย วางปืนลงก่อนพีท” ชัยยุทธเดินตามไป
ลาภิณและเจติยาได้ยินเรื่องทั้งหมดก็หน้าซีดเพราะถ้าพิทยาเจอตัวพวกเขาอาจตายได้ ทันใดนั้นทั้งสองก็ได้ยินเสียงพิทยาเดินเข้ามาในห้องนอน
“ใครซ่อนตัวอยู่ในห้องนอนกู ออกมาซะดีๆ ไม่งั้นกูยิงตายคาที่แน่ๆ”
เจติยามีสีหน้าหวาดกลัว
ทันใดนั้นก็มีเสียงทุบโครมมาที่ประตูตู้เสื้อผ้า เจติยาสะดุ้งเฮือกจะร้องแต่ลาภิณยกมือปิดปากเธอไว้ทัน
“มึงซ่อนอยู่ในตู้เสื้อผ้าใช่มั้ย” เสียงพิทยาดังเข้ามา
เจติยามีสีหน้ากลัวมากจนน้ำตาคลอ
เสียงพิทยาโกรธมาก “ตายซะเถอะมึง”
ลาภิณเบี่ยงตัวบังแล้วกอดเจติยาเอาไว้ เจติยาหลับตาปี๋ด้วยความหวาดกลัวอยู่ในอ้อมกอดของลาภิณ ลาภิณกระชับกอดเจติยาเอาไว้แน่น แล้วหลับตาทำใจคิดในใจว่าตายแน่งานนี้
พิทยากระชับปืนมั่นก่อนจะจับประตูตู้เสื้อผ้าเพื่อจะกระชากเปิดออก ชัยยุทธรีบตามเข้ามาอย่างเร็ว
“ไม่มีใครหรอกพีท วางปืนลงก่อนได้มั้ย มันอันตราย”
พิทยาไม่สนเขาจะเปิดตู้เสื้อผ้าให้ได้ ชัยยุทธรีบเข้ามาล็อคตัวพิทยาแล้วลากออกไปจากห้องนอน
พิทยาหงุดหงิด “ปล่อยผมนะพี่ยุทธ”
ชัยยุทธลากพิทยาออกไปจากห้อง
ลาภิณกับเจติยาโล่งอกที่พิทยาถูกจับตัวออกไปก่อน พอเจติยาได้สติก็ศอกถองใส่ลาภิณอย่างแรง ลาภิณเจ็บจึงยอมปล่อยตัวเจติยาออกจากอ้อมกอด เจติยาค้อนใส่ลาภิณตาเขียว
พิทยาถูกผลักล้มกระแทกไปกับโซฟารับแขก ชัยยุทธแย่งปืนมาได้ก็รีบเหน็บไว้ด้านหลัง
“หลายวันมานี่ พีทหงุดหงิดง่ายมาก อารมณ์ก็รุนแรงด้วย ปกติพีทไม่ใช่คนแบบนี้เลยนะ”
พิทยาตะคอก “ก็แล้วสิ่งที่ผมเจออยู่ตอนนี้ มันปกตินักรึไง”
“พี่เข้าใจ พี่ถึงพยายามช่วยพีทอยู่นี่ไงล่ะ เครียดๆ แบบนี้เดี๋ยวเห็นภาพหลอน ยิงปืนมั่วซั่ว ตำรวจได้แห่มาอีกรอบหรอก”
พิทยาค่อยสงบลง
ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์มือถือของชัยยุทธก็ดังขึ้น
ชัยยุทธดูเบอร์ก็หน้าเสียแต่ก็กดรับ “ครับ คุณโอภาส” ชัยยุทธฟังอีกฝ่ายแล้วก็หน้าเสีย “ครับ...พีทไปแน่นอนครับ”
ขณะที่ชัยยุทธกำลังคุยโทรศัพท์ พิทยายังรู้สึกคาใจจึงเหลือบมองไปยังห้องนอนก่อนจะลุกพรวดเดินกลับไป
ชัยยุทธเหลือบตามองตามพร้อมกับคุยโทรศัพท์ “ได้ครับ...สวัสดีครับ” ชัยยุทธกดวางสายแล้วหันไปพูดกับพิทยา “พีท” ชัยยุทธเดินตามเข้าไปทันที
พิทยากำลังจะเปิดตู้เสื้อผ้าแต่ชัยยุทธพูดขัดขึ้นมาเสียก่อน
“คุณโอภาสเค้าโทรมาคอนเฟิร์มเรื่องงานคืนนี้”
พิทยาชะงักแล้วหันไปมอง
“พี่ขอล่ะนะพีท เรายังต้องพึ่งเค้า”
“เสร็จงานนี้ พี่ต้องสัญญาว่าจะตามใจผมทุกอย่าง” พิทยาพูดเน้นเสียง “อะไรที่ผม อยากได้ก็ต้องได้” พิทยาจ้องหน้าชัยยุทธแบบมีเลศนัย
ชัยยุทธจ้องตาพิทยาแล้วปั้นยิ้ม “แน่นอนน้องรัก”
รากบุญ ตอนที่ 5 (ต่อ)
พิทยาถอนใจจำยอมก่อนจะเดินออกไป ลาภิณและเจติยาโล่งอกหลังจากใจเต้นอยู่นาน พิทยาที่กำลังจะเดินออกไปจากห้องยังค้างคาใจจึงเดินปรี่กลับมากระชากประตูตู้เสื้อผ้าจนเปิดกว้างทั้งสองบาน ลาภิณและเจติยาตกใจแทบช็อคพร้อมกับจ้องหน้าพิทยา
พิทยาหน้าเซ็งแต่ก็เหมือนว่าเขามองไม่เห็นใคร
“เห็นมั้ย มีใครที่ไหนล่ะ ไปเร็ว เดี๋ยวไม่ทัน” ชัยยุทธเร่ง
เจติยาและลาภิณมีสีหน้างงๆ ชัยยุทธเดินตามพิทยาออกไปจากห้องนอน
ลาภิณงง “อะไรกันเนี่ย ไม่เห็นได้ยังไง”
เจติยาเหลือบตามองไปด้านหน้าเห็นกุลธิดายืนหน้านิ่งด้วยร่างโปร่งแสงอยู่กลางห้อง
เจติยาพูดเบาๆ “เอียด”
ลาภิณชะงักไปเล็กน้อย
“แกช่วยฉันไว้ใช่มั้ย” เจติยาถามเบาๆ
กุลธิดามองหน้าเจติยาแต่ไม่ตอบอะไรสักพักก็เลือนหายไป เจติยาแปลกใจ ที่เพื่อนไม่ยอมคุยกับตน
“อย่าบอกนะว่าผีเพื่อนคุณมาช่วยเอาไว้” ลาภิณถาม
เจติยาตัดบท “รีบไปจากที่นี่กันเถอะ”
เจติยารีบเดินย่องไปแอบมองที่หน้าประตูห้องเพื่อให้แน่ใจว่าพิทยาออกไปจากห้องแล้วจริงๆ ลาภิณมองตามเจติยาด้วยสีหน้าติดใจสงสัย
เจติยาส่งซองพลาสติกใส่สร้อยข้อมือของกุลธิดาให้นวัชที่บ้านนวัชตอนหัวค่ำ โดยมีลาภิณยืนอยู่ใกล้ๆ
“ถ้ายังไง ฝากพี่หมวดตรวจลายนิ้วมือแฝงให้ด้วยนะคะ”
“ได้ ผลออกมาแล้วพี่โทรบอก” นวัชเหล่ลาภิณเล็กน้อย “ทีหน้าทีหลัง ถ้าจะทำอะไรเสี่ยงๆ แบบนี้อีกไปกับพี่ดีกว่า อย่าไปรบกวนคุณลาภิณเค้าเลย”
ลาภิณปั้นยิ้ม “ไม่รบกวนหรอกครับ ผมติดหนี้เจเค้าไว้ ถือซะว่าผมทำตอบแทนบุญคุณเจเค้าก็แล้วกัน”
นวัชหน้าบึ้งไม่พอใจแต่ก็พยายามไม่แสดงออกมาก ลาภิณเหล่มองนวัชเพราะเดาออกว่าหึง
“เจกลับก่อนนะคะพี่หมวด พี่หมวดจะได้พักผ่อน” เจติยาลุกยืน
“งั้นพี่เดินไปส่งที่บ้าน “ นวัชบอก
ลาภิณแกล้ง “หมวดพักผ่อนเถอะครับ เดินออกไปพร้อมผมก็ได้” ลาภิณตัดบท “แล้วเจอกันครับ” ลาภิณเดินอมยิ้มนำออกไป
ลาภิณและเจติยาเดินออกจากบ้านนวัชไป นวัชมองตามลาภิณด้วยความหมั่นไส้ปนหึงหวงเพราะ นานวันลาภิณก็ชักใกล้ชิดเจติยามากขึ้นทุกที
เช้าวันใหม่ นิษฐานั่งยิ้มแย้มคุยกับนวัชที่ดูร้อนอกร้อนใจอยู่ที่โซฟารับแขกของล็อบบี้คอนโดของนิษฐา
“พี่หมวดคิดถูกแล้วค่ะที่มาปรึกษาฐา ไม่มีอะไรที่เกี่ยวกับเจแล้วฐาไม่รู้หรอกค่ะ พี่หมวดอยากรู้เรื่องอะไรมั่งล่ะคะ”
นวัชยิ้มดีใจ “ก็เรื่องความชอบทั่วๆไป เช่นชอบกินอะไร ดูหนังแนวไหน เวลาว่างชอบทำอะไร แล้วก็” นวัชทำสีหน้าอยากรู้มากกว่าประเด็นอื่น “มีสเป็คชายในฝันมั้ย”
นิษฐาขำ
“ไม่ขำนะฐา ถ้าพี่ไม่รีบทำคะแนนตอนนี้ มีหวัง แพ้คุณลาภิณแน่ๆ”
นิษฐายิ้ม “ไม่ขำก็ได้ค่ะ พี่หมวดถามถูกคนเป๊ะ” นิษฐาแอบมีสีหน้าเจ้าเล่ห์เล็กน้อย “เจเค้าชอบกินพวกอาหารไดเอ็ทเพราะเป็นคนอ้วนง่าย อ้วนแล้วออกพุงกับแก้ม” นิษฐาทำแก้มกลมป่อง “ไอ้ส่วนที่อยากให้ออก มันไม่ยักออก” นิษฐาขำๆ
นวัชมองนิษฐาหน้านิ่งๆ เพราะไม่ตลกด้วยเนื่องจากเขากำลังตั้งใจเก็บข้อมูล
นิษฐายิ้มเจื่อนลงเล็กน้อยแล้วเข้าเรื่องต่อ “ส่วนหนังก็ต้องเป็นแนวรักโรแมนติกหวานซึ้งจิกหมอน ผีไม่เอา เลือดสาดไม่ชอบ” นิษฐาทำหน้าขนลุกขนพองเล็กน้อย
นวัชมีสีหน้าเก็บข้อมูล
“ส่วนสเป็คชายในฝัน” นิษฐาเหล่นวัชแล้วอมยิ้ม “ก็ต้องดูแมนๆเท่ห์ๆ ยิ่งเป็นหนุ่มในเครื่องแบบ...กรี๊ดๆ”
นวัชคิดตามแล้วก็แปลกใจ “จริงเหรอ ตั้งแต่พี่รู้จักเจมา ไม่เคยเห็นเค้าเป็นคนแบบนั้นเลยนะ”
นิษฐาตีหน้าตาย “นั่นก็แปลว่าพี่หมวดยังรู้จักเพื่อนฐาไม่ดีพอน่ะสิคะ ยัยนั่นฟอร์มจัดจะตายไป” นิษฐาแกล้งถอนใจแล้วส่ายหน้า “ไม่ได้การแล้ว อย่างงี้พี่หมวดไม่มีทางพิชิตใจยัยเจได้แน่ๆ ต้องเรียนรู้นิสัยเจใหม่แล้วล่ะค่ะ”
นวัชชักร้อนใจ “ฐาต้องช่วยพี่แล้วล่ะ”
“ด้วยความเต็มใจค่ะ” นิษฐาแอบยิ้มเจ้าเล่ห์
นิษฐาแกล้งให้คำปรึกษาไปอย่างงั้นเพราะที่พูดมาทั้งหมดคือตัวเธอเองต่างหาก เธอจะได้ฉวยโอกาสอยู่ใกล้นวัชมากขึ้น
ลาภิณในชุดทำงานเดินหงุดหงิดออกมาจากบ้าน ชูจิตรีบเดินตามออกมาติดๆ
ชูจิตไม่พอใจ “ต้น อย่าเดินหนีแม่ยังงี้นะ”
“ผมไม่อยากทะเลาะกับแม่แล้ว” ลาภิณถอนใจแล้วหยุดเดิน “ผมรับไม่ได้”
“รับไม่ได้ยังไง แม่ไม่เข้าใจ หนูปริมก็แฟนเราที่คบกันมาเอง แม่ไม่ได้จับคลุมถุงชนซะหน่อย”
“แต่ผมยังไม่พร้อม”
“ไม่พร้อมเพราะลูกมีคนอื่นมากกว่า แม่ยืนยันคำเดิมนะต้น ถ้าไม่ใช่หนูปริม แม่ไม่ยอมรับใครหน้าไหนเป็นลูกสะใภ้เด็ดขาด”
ลาภิณเซ็งสุดๆ “ผมก็ไม่ได้มีใครใหม่ทั้งนั้น ก็มีแต่แม่กับปริมนั่นล่ะคอยจับคู่ผมตลอด”
“กินอยู่กับปากอยากอยู่กับท้อง”
ลาภิณถอนใจเซ็งๆ “ถ้าไม่ไว้ใจกันอย่างงี้ เสียเวลาคุยครับ”
ลาภิณเดินหน้าบึ้งไปขึ้นรถ
ชูจิตเดินตามไป “ตกลงเราจะยอมแต่งงานกับหนูปริมมั้ยต้น ผู้ใหญ่จะได้นัดคุยกัน”
ลาภิณไม่ตอบคำ เขาขับรถออกไปทันที ชูจิตได้แต่มองตามด้วยความไม่พอใจที่ลูกไม่เชื่อฟังเธอ
ปริมกำลังโวยวายใส่พิสัยที่ห้องทำงานของพิสัย
ปริมไม่พอใจ “คุณไปแนะนำคุณแม่อย่างงั้นได้ยังไง อย่างงี้ก็เท่ากับยัดเยียดฉันให้คุณต้นน่ะสิ”
พิสัยยักไหล่ไม่แคร์ “ช่วยไม่ได้ ก็พี่จิตเค้ากลัวเสียคุณจะตายไป ผมก็ต้องเล่นไม้นี้แหละ” พิสัยยิ้ม “คุณน่าจะดีใจนะ คนอื่นเค้ามีปัญหาแม่ผัวลูกสะใภ้กันแทบทุกบ้าน แต่ว่าที่แม่สามีคุณ ทูนหัวคุณซะขนาดนี้”
ปริมมองค้อนเพราะไม่พอใจในสิ่งที่พิสัยทำแต่ก็ยอมรับว่าพิสัยพูดถูก
“แต่ปริมเพิ่งขอห่างกับคุณต้นซักพัก จะให้ปริมกลืนน้ำลายตัวเองรึไง” ปริมถาม
“คุณโดนพี่ชูจิตบังคับตะหาก ผมว่าคุณอย่าคิดมากเลยน่า เสียฟอร์มเรื่องความรักมันเรื่องเล็ก บทสรุปคือคุณได้แต่งงานกับคุณต้น มันก็เป็นความหวังสูงสุดของคุณอยู่แล้วนี่”
ปริมค้อนใส่ “แต่มันเหมือนฉันไม่มีศักดิ์ศรี ไปบังคับให้ผู้ชายเค้ามาแต่งงานด้วย”
“คิดว่าตัวเองเป็นนางเอกละครรึไง ยิ่งคุณอยู่ห่างคุณต้นมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเท่ากับเปิดโอกาสให้เด็กนั่นมากเท่านั้น โอกาสมาถึงแล้ว คุณก็รีบๆคว้าไว้เถอะ หรือว่าคุณตัดใจจากคุณต้นได้แล้วจริงๆ”
ปริมจ๋อยไปเพราะชักเห็นด้วยกับที่พิสัยพูด พิสัยเหล่มองปริมพร้อมสะแหยะยิ้มแล้วส่ายหน้าไปด้วยความคิดว่าปริมหัวอ่อนหลอกง่ายจริงๆ
เจติยาที่เพิ่งกลับจากมหาวิทยาลัยเดินกลับเข้าโถงบ้านมา เธอเห็นนทีเพิ่งกลับมาจากโรงเรียนและกำลังคุยกับแม่ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส แต่พอเจติยาเดินเข้ามา ทั้งคู่ก็หน้าบึ้งตึงขึ้นมาทันที
“ทำไมวันนี้กลับบ้านเร็วนักล่ะ” เจติยาถาม
นทีทำหน้าบึ้งตึงแล้วหันไปพูดกับแม่ “เดี๋ยวผมขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะครับแม่ นัดเพื่อนไว้เดี๋ยวเลท”
นทีเดินเลี่ยงขึ้นไปข้างบน
เจติยาห่วงน้อง “แกจะไปไหนนที”
นทีชะงักไปเล็กน้อย
“เลิกจับผิดน้องซะทีเถอะเจ” มยุรีว่า
“เจถามเพราะเจเป็นห่วง”
“ความเป็นห่วงที่มากเกินไปของแก ทำให้น้องไม่มีความสุข บางครั้งเราก็ต้องให้ความไว้ใจน้องมันบ้าง...จะไปไหนก็ไปนที”
นทียิ้มกวนๆ ใส่เจติยาก่อนจะผิวปากเดินขึ้นบ้านไป
เจติยาถอนใจเซ็งๆ “ก็ได้ ต่อไปเจจะไม่ยุ่งกับมันแล้ว จะดีจะเลวก็ช่างหัวมัน”
“ดีแล้วล่ะ ปล่อยวางเรื่องน้องซะมั่งเถอะ แม่หายป่วยแล้ว คืนหน้าที่ของแม่มาได้แล้ว”
เจติยาชะงักไปด้วยความเสียใจลึกๆ “บางครั้งเจก็นึกน้อยใจ อยากจะเป็นลูกชายคนเล็กมั่ง” เจติยาน้ำตาคลอแล้วจะเดินขึ้นบ้าน
มยุรีไม่พอใจจึงเดินตามมา “นี่แกหาว่าแม่ลำเอียง รักลูกไม่เท่ากันเหรอะเจ”
เจติยาไม่หันกลับมาแต่แอบซับน้ำตา
“เพราะแกอิจฉาน้องนี่เอง ถึงได้หาเรื่องทะเลาะกับน้องได้ตลอด” เจติยาน้ำตาคลอแล้วพูดเสียงสั่น “แม่เสียใจมากนะที่แกคิดแบบนี้” มยุรีเดินน้ำตาคลอหนีไปทางครัว
เจติยาหันมองตามมยุรีไปแล้วก็มีน้ำตาซึมออกมา
บ่ายวันต่อมา เจติยาเดินเซ็งๆ คนเดียวอยู่ที่สวนสาธารณะ เธอรู้สึกว่าปัญหาเรื่องน้องเรื่องแม่มีมากเสียจนไม่รู้จะทำยังไงดี ทันใดนั้นเจติยาก็เหลือบไปเห็นกุลธิดานั่งหันหลังให้ตนอยู่ที่ม้านั่งในสวนสาธารณะ
เจติยาดีใจ “เอียด” เจติยารีบเข้าไปหาทันที
กุลธิดาลุกขึ้นยืนโดยไม่ยอมให้เจติยาเห็นหน้า
เจติยาแปลกใจ “แกเป็นอะไรน่ะเอียด ทำไมแกถึงไม่พูดกับฉัน”
กุลธิดายืนนิ่งโดยยังหันหลังให้ไม่ยอมให้เจติยาเห็นหน้า
“แกพูดกับฉันบ้างสิเอียด แกช่วยฉันมาหลายครั้งแล้วนะ แต่ทำไมแกถึงไม่พูดอะไรเลย”
เจติยาเข้าไปจับบ่าเพื่อน กุลธิดาค่อยๆหันหน้ากลับมาทำให้เห็นว่าปากของกุลธิดาถูกด้ายเย็บติดกันสนิทโดยมีเลือดแห้งเกรอะกรังติดที่ด้ายเต็มไปหมด
เจติยาร้องลั่นด้วยความตกใจ
เจติยาสะดุ้งตื่นขึ้นมาจากฝันร้าย ในขณะที่ฟุบหลับอยู่ที่โต๊ะทำงานในห้องนอนของตัวเอง
“เอียด”
เจติยาพยายามตั้งสติ แล้วนึกทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น
เจติยาฉุกคิด “สวนสาธารณะ”
เจติยาฉวยโทรศัพท์มือถือมากดโทรออกแล้วรีบผุนผันออกไปจากห้องนอนทันที
ที่สวนสาธารณะแห่งเดียวกับที่เจติยาฝัน
เจติยามองไปรอบๆ “เหมือนในฝันจริงๆด้วย”
เจติยาเหลือบเห็นพิทยาสวมหมวกและสวมแว่นดำกำลังยืนคอยใครด้วยท่าทีกระวนกระวาย เจติยารีบหาที่แอบสังเกตการณ์ทันที เพียงชั่วอึดใจ ชัยยุทธก็เดินเข้ามาหาพิทยา
ชัยยุทธหน้าเครียด “ใจร้อนจริงๆ เลย”
พิทยาร้อนรนกระวนกระวาย “เอามาเถอะน่ะ”
“ทำไมไม่ไปรอที่คอนโด”
“ผมไม่มั่นใจ ว่าจะปลอดภัย”
ชัยยุทธถอนใจแล้วส่ายหน้า “ใครจะเข้าไปในคอนโดพีทได้ พี่บอกแล้วไงว่าของพวกนี้เล่นมากๆ มันจะหลอน”
“เอามาเร็วๆ เข้าเถอะ”
“อย่าไปเล่นประเจิดประเจ้อให้โดนจับได้ล่ะ”
“รู้แล้วน่า”
ชัยยุทธหันมองซ้ายมองขวาก่อนจะหยิบซองพลาสติกเล็กๆยื่นให้พิทยา เจติยาเพ่งมองอย่างไม่ละสายตา พิทยารับซองเสร็จก็รีบเดินเลี่ยงไปทันที เจติยามีสีหน้าติดใจสงสัยเลยรีบเดินอ้อมเพื่อสะกดรอยตามพิทยาไป ขณะที่เจติยากำลังเดินสะกดรอยตามพิทยา เธอก็กดโทรศัพท์หานวัชและนิษฐาแต่ก็โทรไม่ติดซักคน
เจติยาบ่น “พร้อมใจกันปิดเครื่องทั้งคู่เลย”
เจติยาจับตามองตามพิทยาแล้วเดินอ้อมๆ ตามไป
นิษฐายืนยิ้มกริ่มรอนวัชซื้อตั๋วดูหนังอยู่หน้าโรงหนัง
นวัชเดินกลับมา “แน่ใจเหรอว่าเจจะชอบดูเรื่องนี้”
นิษฐายิ้มแย้ม “กลัวจะไม่ดูรอบเดียวน่ะสิพี่หมวด”
นวัชค่อยยิ้มออก
“หนังซี้งขนาดเนี้ย พี่หมวดต้องซ้อมดูไว้ก่อน เดี๋ยวเผลออินร้องไห้ ขึ้นมา เสียฟอร์มตายเลย” นิษฐาว่า
“พี่ไม่เคยดูหนังแล้วร้องไห้”
“พี่หมวดดูหนังเรื่องสุดท้ายเมื่อไหร่คะ”
นวัชนึก “ก็นานแล้วล่ะ”
“ฐาเดาว่า 5 ปีอัพ เดี๋ยวนี้เค้าทำหนังบีบคั้นอารมณ์เก่งจะตายไป ใส่ซาวนด์งี้โดนใจจี๊ดๆ...พี่หมวดต้องดูก่อน ถึงไม่ร้องไห้ก็ต้องเผื่อหนังไม่หนุก จะได้เปลี่ยนเรื่องอื่น นัดเจเดททั้งที ทุกอย่างต้องสมู๊ท อาหารอร่อย หนังสนุก ของที่ระลึกเก๋ๆ”
นวัชพยักหน้าเห็นด้วย
“อย่างวันนี้อาหารอร่อยเริ่ด” นิษฐาชูถุงในมือ “ของที่ระลึกเก๋กู้ด เหลือหนังนี่ล่ะ เข้าไปดูกันเถอะ...ฐาชอบดูหนังตัวอย่าง”
นวัชพยักหน้ารับก่อนจะเดินนำไป
นิษฐายิ้มๆ แล้วรีบเดินตามประกบ “แล้วตอนเดินเข้าโรง อย่าลืมจูงมือเจด้วยล่ะเดี๋ยวตกบันได”
“จะดีเหรอ”
“แหม...พี่หมวดนี่ เก่งแต่รบกับผู้ร้ายจริงๆเลย เดี๋ยวซ้อมกับฐาก็ได้จะได้รู้จังหวะ เอาแบบเนียนๆ ไม่ให้ดูน่าเกลียดจนไก่ตื่นไงคะ”
“ก็ดีเหมือนกัน พี่กลัวเจจะโกรธ...ขอบใจมากนะฐา”
“ด้วยความเต็มใจค่ะ”
นวัชเดินนำต่อไป นิษฐากระหยิ่มยิ้มย่องด้วยความเจ้าเล่ห์
พิทยาเดินมาที่รถที่จอดอยู่ เขาหยุดล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงแล้วหยิบซองยาเสพติดที่ชัยยุทธให้ออกมาดู เจติยาใช้กล้องจากโทรศัพท์มือถือแอบถ่ายคลิปเก็บเอาไว้ ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์เรียกเข้าของมือถือเจติยาก็ดังขึ้นมาพอดี ทั้งพิทยาและเจติยาต่างตกใจ พิทยาหันไปมอง
พิทยาตกใจสุดๆ เพราะจำเจติยาได้ “เธอทำอะไรน่ะ”
เจติยาดูซองยาในมือ “คุณติดยาจริงๆด้วย”
พิทยารีบซ่อนซองยา
“เหมือนที่ฐาบอกไว้ไม่มีผิด” เจติยามองพิทยาด้วยความโกรธ “พอเอียดรู้ความลับเรื่องนี้เข้า คุณก็เลยฆ่าปิดปากเอียดใช่มั้ย”
พิทยาหน้าเสียเพราะเริ่มกลัว “ไม่ใช่นะ ฉันไม่ได้ฆ่าเอียด”
“โกหก ฉันจะบอกตำรวจ คุณไม่รอดแน่”
เสียงชัยยุทธดังขึ้น “ถ้าเธอบอกตำรวจ เธอจะไม่มีทางได้รู้ตัวฆาตกรตัวจริงแน่”
เจติยาหันไปมองด้านหลังก็เห็นชัยยุทธเดินมาด้วยใบหน้านิ่งๆ
เจติยาหันไปพูดกับชัยยุทธ “คุณไม่ต้องหาทางช่วยดาราของคุณหรอกเค้านั่นล่ะคือฆาตกร”
ชัยยุทธพูดหน้านิ่งและจริงจัง “พีทไม่ได้ฆ่าเอียด แต่เราบอกใครไม่ได้ เพราะคนที่ฆ่าเอียดมีอิทธิพลกับพีทมาก เราต้องช่วยกันปกปิดเอาไว้ แต่ฉันมีหลักฐานสำคัญที่จะยืนยันความบริสุทธิ์ของพีทได้”
เจติยาชักลังเล “หลักฐานอะไร”
“มันอยู่ที่คอนโดพีท ถ้าเธอเห็นแล้วจะเข้าใจเอง”
เจติยามองชัยยุทธด้วยสายตาหวาดระแวง
ชัยยุทธหยิบปืนพกที่เหน็บเอวไว้ออกมาแล้วยื่นให้เจติยา “ถ้าเธอไม่ไว้ใจพวกเรา ก็เอานี่ไป มีปืนอยู่กับมือ จะใช้ยิงเราเมื่อไหร่ก็ได้เลย”
เจติยามองดูปืนในมือชัยยุทธ
“มีลูกปืนแน่นอน” ชัยยุทธบอก
เจติยามีท่าทางสองจิตสองใจ ทันใดนั้นวิญญาณกุลธิดาก็ปรากฏขึ้นที่ด้านหลังชัยยุทธในสภาพสวยงามแต่หน้าซีดขาว กุลธิดาพยักหน้าให้เจติยาเพื่อบอกให้ไปตามที่ชัยยุทธต้องการ
เจติยารวมความกล้า “ตกลง ฉันจะไปกับคุณ” เจติยายื่นมือไปรับปืนมาถือเอาไว้
ชัยยุทธและพิทยาเหลือบตาไปสบตากันนิ่งๆ
ประตูห้องพักของพิทยาถูกเปิดออก พิทยาและชัยยุทธเดินนำเข้าห้องไป โดยมีเจติยาเดินตามหลังเข้ามาที่ห้องรับแขกด้วยความระมัดระวัง เจติยากวาดตามองดูรอบๆ ห้อง ชัยยุทธหันกลับมา เจติยาผวารีบชักปืนออกมาขู่ทันที
“อย่าเข้ามาใกล้ฉันนะ ฉันยิงจริงๆด้วย”
ชัยยุทธยกมือยอมแพ้ “หลักฐานทั้งหมดฉันเก็บไว้ในห้องนอน เธอจะรออยู่ตรงนี้ หรือว่าจะเข้าไปด้วยกัน”
เจติยาคิดอยู่ครู่นึงแล้วก็ไม่ไว้ใจ “ฉันจะรออยู่นี่แหละ คุณเข้าไปเอามาให้ฉันละกัน”
ชัยยุทธเดินเข้าห้องนอนไป พิทยายืนอยู่กับเจติยาสองคน พิทยามีท่าทางเครียดหนัก เขากระสับกระส่ายและไม่กล้าสบตาเจติยา เจติยามีท่าทางระแวดระวัง เธอหาตำแหน่งยืนที่ปลอดภัยกับตัวเองที่สุดจึงถอยไปยืนหลังชนฝาเอาไว้ สักพักชัยยุทธก็ออกมาพร้อมกับกล้องวิดีโอขนาดเล็ก
“ความจริงทั้งหมดบันทึกอยู่ในกล้องหมดแล้ว เปิดดูเอาเองละกัน” ชัยยุทธยื่นกล้องให้เจติยา
เจติยากระชับปืนที่มือข้างหนึ่งก่อนจะรับกล้องวิดีโอมากดเพลย์ดู เธอเห็นภาพในกล้องบันทึกภาพวิวทิวทัศน์ธรรมดา เจติยากดดูภาพอื่นที่บันทึกไว้แต่ก็ไม่เจอข้อมูลฆาตกรรมอะไรเลย
“มีแต่วิวทั้งนั้นเลย”
ยังไม่ทันที่เจติยาจะเหลือบตาขึ้นมาจากจอภาพของกล้องวีดีโอ ชัยยุทธก็ใช้เครื่องช็อตไฟฟ้า ช็อตใส่
เจติยาเข้าเต็มๆ จนเจติยามือไม้อ่อนแล้วทรุดฮวบลงกับพื้น
เจติยานอนนิ่งกระดุกกระดิกตัวไม่ได้จึงได้แต่มองชัยยุทธด้วยสายตาหวาดกลัว พิทยามีสีหน้าหวาดกลัวขึ้นมา เขายกมือขึ้นกุมหัวแล้วทรุดตัวลงนั่งด้วยหน้าตาเครียดเพราะหวาดวิตก
ชัยยุทธนั่งยองๆลงคุยกับเจติยาแล้วยิ้ม “ฉันไม่ได้โกหกเธอนะ พีทไม่ได้เป็นคนฆ่าเพื่อนเธอ แล้วฆาตกรตัวจริงก็มีอิทธิพลต่อพีทมากจริงๆ” ชัยยุทธหยุดมองเจติยาด้วยสายตาเหี้ยมเกรียม “เพราะคนที่ฆ่าเพื่อนเธอก็คือ ฉันเอง” ชัยยุทธขำลงคอเบาๆ
เจติยาจ้องชัยยุทธด้วยความหวาดกลัวอย่างที่สุด
คืนวันที่เกิดเหตุ พิทยาถูกเหวี่ยงล้มลงบนโซฟาในห้องพักโดยที่พิทยาหัวเราะร่วนเพราะเมายา กุลธิดาเหวี่ยงพิทยาด้วยความโมโห ชัยยุทธแอบซุ่มมองอยู่จากห้องนอนด้วยสีหน้าแววตาดุดัน
กุลธิดาโมโหมาก “เอียดผิดหวังที่สุด พี่มีพร้อมทุกอย่าง ต้องไปพึ่งยานรกพวกนี้ทำไม”
พิทยาเอาแต่หัวเราะร่วน
กุลธิดาร้องไห้เสียใจ “เอียดจะไม่ทนมีแฟนเป็นคนติดยาแน่ๆเราเลิกกันเถอะ”
กุลธิดาจะเดินหนี แต่พิทยาดึงชายเสื้อของกุลธิดาไว้
“เดี๋ยวสิเอียด เอียดจะไปไหน” พิทยากอดและซุกไซ้กุลธิดา “พี่รักเอียดนะ อย่าทิ้งพี่ไปเลยนะ”
กุลธิดายังรักจึงใจอ่อน เธอเอามือเช็ดน้ำตา “งั้นพี่พีทเลิกยาเพื่อเอียดได้มั้ยล่ะ ถ้าพี่เลิกยาได้ เอียดก็จะไม่ไป”
พิทยายังเมายา “เลิกทำไม ยามันทำให้พี่มีความสุขนะเอียด พี่รู้สึกดีมากเลย เอียดลองมั้ยล่ะ เราจะได้มีความสุขด้วยกัน”
กุลธิดาโมโหมากจึงผลักพิทยาออกไปด้วยความรังเกียจ “งั้นพี่พีทก็สนุกไปคนเดียวเถอะ เอียดไม่เอาด้วยหรอก เอียดจะไปบอกนักข่าวให้หมดเลย ว่าพี่ทำอะไรลงไป ดูซิ ว่าไอ้ยานรกพวกนี้มันจะช่วยอะไรพี่ได้”
กุลธิดาดึงมือพิทยาออก ทันใดนั้นเอง ชัยยุทธก็คว้าข้อมือของกุลธิดาข้างที่ใส่สร้อยข้อมือเอาไว้
ชัยยุทธมีหน้าตาถมึงทึง “เธอไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น แล้วก็ห้ามเอาเรื่องนี้ไปบอกใครด้วย ฉันไม่ยอมให้ใครมาทำลายอนาคตของพีทเด็ดขาด”
กุลธิดาโมโหมาก “ติดยาขนาดนี้ ยังมีอนาคตเหลืออีกเหรอะ คุณเองก็เหมือนกัน เป็นผู้จัดการประสาอะไร แทนที่จะห้ามพี่พีท กลับเข้าข้างกันซะงั้น”
ชัยยุทธยิ้มเจ้าเล่ห์ “จะห้ามทำไม เธอรู้มั้ย ว่าฉันอาศัยความเป็นดาราดังของพีท ปล่อยของได้เท่าไหร่แล้ว”
กุลธิดาตกใจเพราะนึกไม่ถึง “แกเป็นคนทำให้พี่พีทเป็นแบบนี้” กุลธิดาพยายามดึงมือออก “ปล่อยฉันนะ”
ทั้งคู่ยื้อยุดฉุดกระชากกันจนสร้อยข้อมือของกุลธิดาถูกกระชากขาด กุลธิดาทุบตีชัยยุทธ ชัยยุทธก็พยายามจับมือกุลธิดาไว้ การยื้อยุดของทั้งคู่ทำให้เท้าของกุลธิดาเตะสร้อยกระเด็นไปที่ซอกตู้โดยที่ไม่มีใครเห็น กุลธิดาสู้ไม่ถอยจนชัยยุทธชักไม่ไหวจึงล้วงเครื่องช็อตไฟฟ้าจากในกระเป๋ากางเกงออกมาช็อตใส่กุลธิดาทันที กุลธิดาโดนช็อตจนทรุดฮวบลงกับพื้นและขยับตัวไม่ได้
“ฤทธิ์มากนักนะมึง” ชัยยุทธล้วงถุงมือจากกระเป๋ากางเกงมาใส่อย่างรีบร้อนเพื่อจะลากตัวกุลธิดาออกไป
พิทยารีบเข้าไปขวางทั้งที่ยังเซๆ เพราะทรงตัวไม่อยู่ “พี่จะทำอะไรเอียด”
“พีทไม่ต้องยุ่ง พี่กำลังหาทางปกป้องชื่อเสียงของพีท”
“ปล่อยเอียดเดี๋ยวนี้นะ”
ชัยยุทธผลักพิทยาจนล้มไปกับเก้าอี้โซฟา “ถอยไป กูไม่อยากติดคุกอีก”
ชัยยุทธลากกุลธิดาออกไปจากห้อง พิทยารีบเปิดเก้าอี้โซฟาแล้วหยิบปืนที่ซ่อนไว้ออกมา ชัยยุทธเหลือบเห็นจึงเข้าไปบิดมือพิทยาแล้วแย่งปืนมา
ชัยยุทธจ่อปืนขู่พิทยา “อย่าบังคับพี่นะพีท พี่ทำทุกอย่างไปก็เพื่ออนาคตในวงการของพีท ถ้าพีทยังขวางพี่อีก จะหาว่าพี่ใจร้ายไม่ได้นะ”
พิทยาเจอปืนจ่อต่อหน้าก็กลัวจนตัวสั่นเลยไม่กล้าเข้าไปช่วยอีก ชัยยุทธเหน็บปืนหลังเอวแล้วรีบลากกุลธิดาออกไปจากห้อง กุลธิดาไม่มีแรงและขยับตัวไม่ได้เลยได้แต่มองพิทยาที่กลัวตัวสั่นอยู่โดยที่ช่วยอะไรตนไม่ได้ กุลธิดาน้ำตาไหลอาบแก้มเพราะทั้งหวาดกลัวทั้งเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตนและพิทยา
ชัยยุทธเล่าทุกอย่างให้เจติยาที่โดนช็อตจนขยับไม่ได้ฟัง โดยมีพิทยานั่งเครียดอยู่ใกล้ๆ
ชัยยุทธยิ้มเยาะ “จากนั้น ฉันก็โยนเพื่อนแกลงไปจากระเบียง แล้วก็บอกว่ามันฆ่าตัวตาย หลักฐานอะไรก็ไม่มี” ชัยยุทธตะคอกใส่หน้าเจติยา “ถ้าไม่ใช่เพราะแกสอดรู้สอดเห็น เรื่องมันก็จบไปแล้ว สาระแนนัก ทั้งแกทั้งเพื่อนแก เตรียมตัวไปอยู่ด้วยกันเถอะ”
ชัยยุทธเดินไปหยิบปืนของตนที่ให้เจติยาขึ้นมาแล้วเหน็บไว้ที่เอว
พิทยาเครียด “นี่พี่ยังจะฆ่าคนอีกเหรอ”
“พี่บอกแล้วไงพีท ว่าพี่ทำทุกอย่างเพื่อพีท ขืนปล่อยนังนี่ไป มีหวังเราทั้งคู่ได้ติดคุกตลอดชีวิตแน่”
พิทยาระเบิดอารมณ์ออกมา “ติดก็ติดสิ ดีกว่าตกนรกทั้งเป็นอยู่อย่างงี้ ปล่อยเพื่อนเอียดไปซะเถอะ ผมไม่ยอมให้พี่ทำร้ายใครอีกแล้ว”
“แกนี่มันติดตะคอกตวาดฉันจนเคยตัวแล้วนะ นึกว่าฉันกลัวแกนักรึไง แกยังมีประโยชน์กับฉันอยู่ ฉันถึงได้ยอมๆ แกไป ไอ้ไก่อ่อนเอ๊ย”
พิทยาโกรธจัดจึงพุ่งเข้าชกหน้าชัยยุทธทันที แต่ชัยยุทธเป็นมวยกว่าจึงหลบหมัดพิทยาได้แล้วก็ต่อยท้องสวนจนพิทยาตัวงอก่อนจะเตะซ้ำจนพิทยาร่วงลงไปกับพื้น ชัยยุทธยิ้มเยาะก่อนจะลากตัวเจติยาออกจากห้องไป พิทยาจุกอยู่กับพื้นแต่ก็มองตามไป เขาพยายามพยุงตัวเพื่อจะตามไปช่วยเจติยาแต่ก็ยังจุกจนลุกไม่ขึ้น
ชัยยุทธลากเจติยามาที่ระเบียงหน้าห้องพัก
ชัยยุทธยิ้มเหี้ยม “ตรงนี้แหละที่ฉันโยนเพื่อนแกลงไป รู้มั้ย ว่าทำไมฉันถึงให้ไอ้พีทมาเช่าที่นี่อยู่ ทั้งที่ค่าเช่าก็แพงแสนแพง เพราะฉันสืบมาหมดแล้ว ว่าคอนโดนี้ เจ้าของส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติซื้อทิ้งเอาไว้ แล้วก็ไม่ค่อยได้อยู่เมืองไทย แกดูสิ เงียบจะตายไป เวลาฉันจัดปาร์ตี้ยาจะได้ไม่ต้องกลัวใครรู้เห็นไง” ชัยยุทธมองเจติยาด้วยสายตาเหี้ยมเกรียม “รวมถึงเวลาที่ต้องกำจัดพวกสู่รู้ด้วย”
เจติยามองชัยยุทธด้วยสายตาหวาดกลัวสุดๆ ชัยยุทธหิ้วปีกเจติยาที่หมดเรี่ยวแรงขึ้นมาเพื่อจะโยนลงไปจากระเบียง
เจติยารวบรวมแรงเฮือกสุดท้ายร้องออกมา “ช่วยด้วย”
ชัยยุทธพยายามจะโยนเจติยาลงจากระเบียง แต่เจติยาใช้มือจับราวระเบียงไว้ไม่ให้หล่นลงไป ทั้งคู่ยื้อกันอยู่ซักพักแต่เจติยายังไม่มีแรง ชัยยุทธกำลังจะเหวี่ยงลงไปได้แต่พิทยาเข้ามากระชากชัยยุทธออกมาเสียก่อน เจติยาหมดแรงคาอยู่ที่ระเบียง
ชัยยุทธโมโห “เป็นบ้าไปแล้วเหรอพีท ไปช่วยมันทำไม ถ้ามันรอดไปได้ เราจะซวยกันหมด”
พิทยารู้สึกผิดจนทนไม่ไหว “ผมไม่สนแล้ว อะไรจะเกิดก็ปล่อยให้มันเกิดไปเถอะ ผมเคยขี้ขลาดจนปล่อยให้เอียดต้องตายไปคนนึงแล้ว คราวนี้ผมจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นอีก”
ชัยยุทธโมโหมากจึงเข้าไปกระชากคอเสื้อพิทยา “เดี๋ยวนี้แกกล้าหือกับฉันแล้วใช่มั้ย” ชัยยุทธผลักพิทยาไปกระแทกกำแพง
หัวพิทยากระแทกผนังจนแตก พิทยาทรุดลงด้วยความเจ็บ เขานั่งก้มหน้ากุมหัว ชัยยุทธชักปืนที่เหน็บไว้ที่เอวออกมากะยิงทิ้งเสียทั้งคู่ ชัยยุทธเดินเข้าไปกระชากผมพิทยาด้วยสีหน้าเจ็บใจ ทันใดนั้นคนที่หงายขึ้นมา ไม่ใช่พิทยาแต่กลายเป็นผีกุลธิดาที่กำลังเบิกตาโพลงจ้องหน้าชัยยุทธอยู่
ชัยยุทธตกใจสุดขีด เขาผงะถอยไปชนกับขอบระเบียง กุลธิดากระโจนเข้าใส่อย่างเร็วด้วยสีหน้าเคียดแค้น พอถึงตัวชัยยุทธกุลธิดาก็หายวับไป ชัยยุทธตกใจกลัวจนเสียหลักผลัดตกจากระเบียง ร่างละลิ่วลงสู่พื้นเบื้องล่างตายคาที่ด้วยสภาพที่ไม่ต่างจากกุลธิดาเลย
พิทยาโผตามไปดูที่ระเบียง “พี่ยุทธ” พิทยามีสีหน้าช็อคเพราะตกใจสุดขีด
เจติยารวมแรงหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาแอบกดโทรออกทันที
เวลาผ่านไป นิษฐานั่งคุยอยู่กับเจติยาที่โถงโรงพัก โดยที่เจติยากำลังต่อว่านิษฐาเสียยกใหญ่
“ฉันพยายามโทรหาเธอตลอด ปิดเครื่องทำไมไม่ทราบ”
นิษฐายิ้มแหยๆ เล็กน้อย “แบตหมด”
“พี่หมวดก็อีกคน จำเพาะเจาะจงต้องมาแบตหมดพร้อมกันซะด้วย” เจติยามีสีหน้าหงุดหงิดไม่หาย “เพื่อนเกือบตายแล้วเห็นมั้ย”
“โถๆ อย่างอนไปเลยน่า ตอนนี้เธอก็ปลอดภัยแล้วนี่”
เจติยาค้อนใส่ “แล้วเธอมากับพี่หมวดได้ไง”
“เจอกันที่หน้างานพอดีเธอโทรเข้ามา” นิษฐารีบตัดบท “พี่หมวดออกมาแล้ว”
นวัชเดินเข้ามาหาทั้งคู่แล้วนั่งคุยด้วย นิษฐาแอบเป่าปากโล่งอกเพราะกลัวโกหกไม่เนียนอยู่เหมือนกัน
“สอบปากคำพีทเสร็จรึยังคะ” เจติยาถาม
“ใกล้เสร็จแล้วล่ะ” นวัชตอบ
“ยอมรับสารภาพเรื่องติดยามั้ยคะ”
นวัชพยักหน้ารับ “ยอมรับ แต่ที่น่าตกใจ ก็คือประวัติของผู้จัดการเค้ามากกว่า ไอ้หมอนี่สมัยวัยรุ่นเคยถูกจับคดียาเสพย์ติดมาก่อน แล้วคนที่จับ ก็คือพ่อของพีท”
เจติยาฉุกคิดขึ้น “อย่าบอกนะคะว่าเรื่องทั้งหมดเป็นแผนของชัยยุทธ ที่หลอกล่อให้พีทติดยาเพื่อแก้แค้นที่ตัวเองถูกพ่อพีทจับ”
นวัชพยักหน้ารับ “พี่คิดว่าอย่างนั้นนะ พีทเป็นคนอ่อนแออยู่แล้ว พอพ่อเสียก็เลยเคว้ง ถูกชักจูงได้ง่าย ช่วงนั้นแหละที่ชัยยุทธเข้ามา นอกจากจะแก้แค้นแล้วเค้าก็ยังอาศัยความดังของพีทเป็นช่องทางขายยา”
“พอเอียดพยายามจะให้พีทเลิกเสพย์ยาเค้าถึงได้โกรธมากจนต้องฆ่าเอียด” เจติยาสรุปต่อ
นิษฐามีสีหน้าเจ็บใจ “ถ้าฐาเปิดเผยเรื่องนี้เร็วกว่านี้อีกหน่อย เอียดก็คงไม่ต้องตาย”
“อย่าโทษตัวเองเลยฐา ไม่มีใครคาดคิดว่าเรื่องจะรุนแรงถึงขั้นนี้หรอก”
“ถ้ามองในแง่ดี อย่างน้อยเอียดเค้าก็ไม่ได้ถูกคนที่เค้ารักทรยศนะ” นวัชบอก
เจติยาคิดตาม แล้วก็พยักหน้ารับช้าๆ ทันใดนั้นตำรวจก็คุมตัวพิทยาออกมา
เจติยาเดินเข้าไปหาพิทยา “ขอบคุณมากนะคะ ที่ช่วยฉันไว้”
“ผมทำเพื่อเอียด ผมไม่อยากให้วิญญาณเอียดต้องผิดหวังกับผมมากไปกว่านี้” พิทยามีสีหน้าเศร้าๆ เพราะรู้สึกผิด
พิทยาเดินเลี่ยงไป เจติยามองตามก็เห็นวิญญาณของกุลธิดายืนมองพิทยาอยู่ด้วยรอยยิ้มบางๆ แล้วกุลธิดาก็หันมามองทางเจติยา เจติยายิ้มบางๆ ให้เพื่อนเพราะดีใจที่สามารถช่วยเหลือเพื่อนพิสูจน์ความจริงได้ กุลธิดายิ้มบางๆ ตอบ
นิษฐาเดินตามเจติยามาแล้วมองเพื่อนอย่างงงๆ “เธอยิ้มให้ใครเหรอ”
วิญญาณกุลธิดาน้ำตาคลอก่อนจะมาปรากฏตัวอยู่ข้างๆ นิษฐา กุลธิดาใช้มือโปร่งแสงของเธอจับกุมมือนิษฐาเอาไว้ นิษฐาหนาววูบจนขนลุก
“ฉันคิดถึงเธอสองคนมากนะ ขอให้เราสามคนได้เกิดเป็นเพื่อนกันทุกชาติไป” กุลธิดาพูด
เจติยาน้ำตาท่วมตา
นิษฐาน้ำตาคลอขึ้นมาเพราะสัมผัสความรู้สึกบางอย่างได้ “เอียดมาใช่มั้ย”
เจติยาพยักหน้ารับด้วยน้ำตาคลอ นิษฐาร้องไห้โฮแล้วเข้าไปสวมกอดเจติยาเอาไว้แน่น
รากบุญ ตอนที่ 5 (ต่อ)
ชูจิตและปริมแต่งชุดสวยหรูกลับมาที่บริษัทเพราะเพิ่งไปออกงานสังคมคู่กันมา ทั้งสองเดินจูงมือคุยกันมาตามทางเดินของบริษัทนิราลัย จนมาหยุดที่หน้าห้องทำงานลาภิณ
ชูจิตพูดเอาใจเต็มที่ “ขอบใจมากที่หนูปริมยอมมาด้วยกัน”
ปริมยังวางฟอร์ม “ปริมยอมมาเพราะแม่ ไม่ใช่เพราะอยากคืนดีกับคุณต้นหรอกนะคะ”
“แม่เข้าใจทุกอย่างจ้ะ คนรักกันก็ต้องน้อยใจกันมากเป็นธรรมดา” ชูจิตจับมือปริมไว้ “แม่ถึงต้องช่วยทำหน้าที่เป็นกาวใจ คอยประสานให้ไงจ๊ะ ถ้าต้องเลิกรากันไปจริงๆเพราะความทิฐิ หนูปริมจะไม่เสียดายเหรอจ๊ะ”
ปริมหน้านิ่งไม่ตอบอะไร
ชูจิตยิ้มแย้ม “แม่จะพูดให้หนูเอง หนูปริมก็เออออห่อหมกตามแม่ไปก็แล้วกัน”
“ก็สุดแล้วแต่คุณแม่เถอะค่ะ”
“ต้องยังงี้สิจ๊ะ น่ารักที่สุดเลยหนูปริมของแม่”
ปริมปั้นยิ้มบางๆ
“ต้นเค้ากำลังไฟแรง บ้างาน ไม่ได้ไปกับสาวที่ไหนหรอก เห็นมั้ยป่านนี้ยังไม่กลับบ้านกลับช่องเลย” ชูจิตหันไปจัดแต่งผมให้ปริม “หนูปริมปั้นยิ้มสวยๆไว้อย่างเดียวพอ ที่เหลือแม่จัดการเอง”
ชูจิตหันไปเคาะประตูห้องทำงานของลาภิณ ปริมยังคงปั้นปึงเพราะโกรธไม่หายแต่ก็เกรงใจชูจิต
ชูจิตเคาะประตูห้อง “ต้น แม่เองจ้ะ แม่เข้าไปนะ”
ชูจิตหันมาพยักหน้าให้ปริมก่อนจะเปิดประตูห้องทำงานลาภิณแล้วเดินนำเข้าไป พอเข้าไปกลับพบว่าลาภิณไม่อยู่ในห้องทำงาน
“อ้าว...กลับไปแล้วเหรอะ” ชูจิตเดินไปสำรวจโต๊ะทำงานก็เห็นกุญแจรถ “กุญแจรถยังอยู่นี่นา เจ้าตัวไปไหนซะล่ะ”
ปริมฉุกคิดแล้วก็เริ่มหึงหวง “สงสัยจะลงไปหาแม่นั่นที่ห้องแต่งศพมั้งคะ” ปริมเหยียดปากหมั่นไส้พร้อมกอดอกทำท่างอน
“ไม่หรอกจ้ะหนูปริม ต้นเคยไปเหยียบห้องนั้นซะที่ไหน”
“เคยค่ะ คุณแม่จำไม่ได้เอง” ปริมค้อนประหลับประเหลือก
ชูจิตปั้นยิ้ม “เอางี้ก็แล้วกัน เพื่อความสบายใจ เราลงไปดูให้เห็นกับตาด้วยกันเลย”
ปริมแหยงๆ “ไม่ดีกว่าค่ะ ห้องนั้นไม่น่าเข้าไปหรอกค่ะ”
“แต่หนูปริมต้องไป จะปล่อยให้ค้างคาใจอยู่แบบนี้ไม่ได้หรอกนะจ๊ะ” ชูจิตฉวยมือปริม “ไปด้วยกันจ้ะ”
ชูจิตจูงมือปริมออกไปจากห้องทำงานเพื่อไปห้องแต่งศพทันที
เจติยาเดินเปิดประตูกลับเข้ามาในห้องแต่งศพแล้วก็ตกใจสุดตัวเมื่อเห็นลาภิณกำลังนั่งอ่านสมุดโน้ตที่เธอเขียนเทคนิคการแต่งศพจากทวีอยู่ในห้อง
“อุ๊ย...เข้ามาทำอะไรคะเนี่ย”
“ผมมารอพบลุงทวี” ลาภิณวางสมุดลง “นี่สมุดโน้ตของเธอเหรอ”
“ค่ะ ขอคืนได้มั้ย”
“เอาไปสิ”
เจติยารีบเดินมาเก็บสมุดไปใส่เป้
“ฉันรีบกลับมาเอานี่แหละ ตำราหากิน หายไปล่ะยุ่งเลย” เจติยาบอก
ลาภิณยิ้มๆ “จดละเอียดดีนี่”
“ฉันก็จดตามที่ลุงแกสอนไว้ทุกอย่าง เพราะบางเคสไม่ได้เจอบ่อยๆก็ต้องเปิดตำราทบทวนก่อนลงมือ”
“ดูเธอสนุกกับงานดีนะ”
“แน่นอน ถ้าเราไม่มีความสุขกับงานก็ทำมันออกมาไม่ดีหรอก นี่คุณยังไม่กลับบ้านอีกเหรอ”
ลาภิณยักไหล่ “เบื่อๆเซ็งๆ ขี้เกียจกลับ”
“งั้นฉันกลับก่อนนะ”
ลาภิณพยักหน้ารับด้วยท่าทางซึมๆเซ็งๆ เจติยาจะเดินออกไปแต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้เลยหันมอง ทันใดนั้นประตูห้องก็เปิดออก ชูจิตและปริมเข้ามาในห้องแต่งศพ ลาภิณและเจติยาตกใจมาก
ลาภิณตกใจปนประหลาดใจ “คุณแม่”
ปริมเจ็บช้ำจนโกรธ “คงไม่ต้องฟังคำอธิบายอะไรอีกแล้วนะคะคุณแม่”
เจติยารู้ได้ทันทีว่างานเข้าเธอแน่ๆ
ชูจิตมีสีหน้าไม่พอใจ “ลูกลงมาทำอะไรที่นี่”
“ผมมารอพบลุงทวี” ลาภิณบอก
ปริมใช้หางตามองเจติยาอย่างแดกดัน “ลุงทวีเปลี่ยนไปเยอะนะคะ”
“คุณลาภิณมารอพบลุงทวีจริงๆค่ะ ฉันเพิ่งกลับเข้ามาเอาของแล้วกำลังจะกลับไป”
ชูจิตจ้องหน้าเจติยา “จะให้ฉันเชื่อมั้ย”
“ก็ต้องเชื่อสิครับ เพราะมันคือความจริง”
“ออกรับแทนกันซะเหลือเกินนะ แม่อยากจะรู้นัก ไอ้ห้องแต่งศพนี่มันมีดีอะไรนักหนา ทั้งพ่อทั้งลูก ว่างเป็นไม่ได้ต้องมาขลุกอยู่แต่ในนี้” ชูจิตจ้องหน้าเจติยาด้วยสีหน้าแววตาเกลียดชัง “ขอฉันค้นดูหน่อยสิ มันมีห้องลับซ่อนไว้ลักลอบทำไม่ดีไม่ชอบรึเปล่า” ชูจิตหันไปมองหา
เจติยาชักเหลืออด “ใครที่คิดทำเรื่องอย่างนั้นในห้องนี้ได้ก็เข้าข่ายจิตๆ แล้วล่ะค่ะ”
ชูจิตหันขวับมาจ้องหน้าเจติยาด้วยสายตาโกรธจัด “พวกจนตรอกมันทำได้ทุกอย่าง ทุกที่นั่นล่ะ”ชูจิตทำสีหน้าดูถูก
เจติยากวนประสาทคืนเพราะเหลืออด “ขอบคุณนะคะที่แนะนำ ปกติคิดว่าห้องทำงานคุณลาภิณตื่นเต้นที่สุดแล้ว”
ลาภิณตกใจที่เจติยากล้าประชดกลับแบบนี้ ขณะที่ปริมก็โกรธเพราะหึงสุดๆ
ชูจิตโกรธกว่าใคร “หน้าด้าน” ชูจิตตวัดมือตบหน้าเจติยาฉาดใหญ่
ลาภิณตกใจมาก “คุณแม่ครับ”
เจติยาจ้องหน้าชูจิตคืนอย่างไม่กลัว
“เห็นมั้ยคะคุณแม่ มันยอมสารภาพแล้ว ปริมไม่ได้คิดมากไปเอง มันทำงานบังหน้า จริงๆ เอาตัวเข้าแลก จ้องจะจับคุณต้นเหมือนที่เคยทำกับคุณพ่อ” ปริมว่า
เจติยาหันขวับไปจ้องหน้าปริมแล้วจะสวน
ลาภิณปราดเข้าไปขวางด้วยความเป็นห่วง “เธอกลับไปก่อนเถอะ”
ปริมมองลาภิณแล้วก็ยิ่งเจ็บแปลบที่เห็นแววตาห่วงใยของเขาที่มีต่อเจติยา
“ถ้าหาคนช่วยงานได้ ฉันไม่ง้อแกหรอก อย่ายะโสให้มันมากนัก” ชูจิตว่า
เจติยาผลักลาภิณให้พ้นทางแล้วสะบัดหน้าพรืดเดินออกไปจากห้องทันที ปริมมองตามเจติยาไปสีหน้าเกลียดชัง
“ถ้าต้นไม่ยอมแต่งงานกับหนูปริม ต้นก็ไม่ต้องมาคุยกับแม่...ไปหนูปริม” ชูจิตเดินเข้าไปจูงมือปริมพาออกไปจากห้องทันที
ปริมค้อนใส่ลาภิณก่อนเดินตามชูจิตออกไป ลาภิณได้แต่ถอนใจยาวออกมาด้วยสีหน้าไม่สบายใจเพราะเป็นห่วงความรู้สึกของเจติยามากกว่าใคร
เจติยาเดินสะพายเป้หน้าหงิกกลับมาตามซอย แต่เธอก็ต้องชะงักเมื่อเห็นรถลาภิณจอดดักอยู่ข้างทาง
ก่อนถึงบ้าน เจติยาถอนใจด้วยความเซ็งออกมา ลาภิณมองผ่านกระจกส่องหลังเห็นเจติยาเดินมาเขาก็รีบลงมาจากรถแล้วฝืนยิ้มให้
“มีธุระอะไรกับฉันอีก จะให้แฟนคุณตามมาตบหน้าฉันอีกข้างรึไง” เจติยาว่า
“ผมขอโทษแทนคุณแม่ด้วยนะ”
เจติยาจ้องหน้า “รู้มั้ยถ้าฉันไม่เห็นกับคุณสารัช ฉันไปแจ้งความแม่คุณข้อหาทำร้ายร่างกายไปแล้ว”
ลาภิณจ๋อยๆ “ขอบคุณที่ไม่ทำ”
“ก็ไม่แน่ อาจจะเปลี่ยนใจ บ้านพี่หมวดอยู่นี่เอง” เจติยาเดินหนี
ลาภิณเดินตาม “ฉันรู้ว่าเธอไม่ใจร้ายขนาดนั้นหรอก ไม่งั้นคงทำไปแล้วล่ะ”
เจติยาเดินหนีไป ลาภิณเดินอ้อมไปขวางหน้าเจติยาไว้
“หวังว่าพรุ่งนี้ เธอคงไม่ไปขอเลิกทำงานกับลุงทวีนะ” ลาภิณพูดดัก
“ถ้าเหตุการณ์แย่ๆ แบบนี้ เกิดกับฉันครั้งแรก ก็คงทำยังงั้น” เจติยาจ้องหน้าลาภิณด้วยสีหน้ากวนๆ “แต่พอเจอบ่อยๆเข้า มันยิ่งทำให้ฉันอยากอยู่ต่อ รอรับเงินปันผล ยั่วประสาทคนไปเรื่อยๆ” เจติยาทำสีหน้าเย้ยๆ ก่อนจะเดินกระแทกไหล่ลาภิณแล้วเดินกลับบ้านไป
ลาภิณหันมองตามไปพร้อมกับยิ้มและถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเพราะกลัวเสียพนักงานเก่งๆไป
ในจอโทรทัศน์ พิทยาแถลงข่าวเสร็จและกำลังตอบข้อซักถามของนักข่าวอยู่
“แล้วงานในวงการบันเทิงของคุณพีทล่ะครับ” นักข่าวคนหนึ่งถาม
“ผมคงต้องยุติทุกอย่างล่ะครับ เพราะผมทำผิดจริง ไม่รู้จะแก้ตัวยังไง” พิทยาบอก
“แล้วพีทแพลนไว้รึเปล่าคะ ว่าต่อไปจะทำอะไร”
“ตอนนี้ก็ต้องเข้ารับการบำบัดรักษาตัวเองให้หายก่อน แล้วค่อยบวชให้ผู้ตาย หลังจากนั้นค่อยว่ากันอีกที”
เจติยายืนดูข่าวนี้อยู่ที่หน้าบันไดในขณะที่เธอกำลังจะก้าวขึ้นบ้าน ส่วนนทีและมยุรีกำลังนั่งดูข่าวนี้อยู่ก่อนแล้ว
นทียิ้มเยาะ “ทำผิดแล้วก็บวชล้างภาพ สูตรสำเร็จดาราไทย”
เจติยาไม่พอใจ “เค้าสำนึกผิดแล้วตะหาก ไม่อย่างงั้นเค้าคงไม่ช่วยฉันไว้หรอก”
นทีและมยุรีหันมองไปทางเจติยา
เจติยาไม่พอใจ “แล้วแกก็ไม่มีสิทธิไปวิพากษ์วิจารณ์เค้าด้วย เพราะตัวแกเองก็ไม่ได้ดีไปกว่าเค้านักหรอก”
นทีก็ไม่พอใจ “แม่ดูนะ ใครเริ่มก่อน ผมอยู่ของผมดีๆ พี่เจก็มาแขวะผม น่าเบื่อ ไปหาเพื่อนดีกว่า”
พูดจบนทีก็เดินออกไปจากบ้าน
มยุรีหงุดหงิด “ทำไมเราทำเป็นเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ มั่งไม่ได้นะเจ น้องมันก็พูดเล่นคะนองปากไปเรื่อย หาเรื่องน้องอยู่ได้”
“เจไม่ได้หาเรื่องนะคะแม่ เจสอนน้อง เพราะเจไม่อยากเห็นนทีเที่ยวพูดซ้ำเติมคนอื่นเพราะความมันปาก ใครจะรู้ ซักวันนทีอาจจะโดนแบบพีทก็ได้”
มยุรีไม่พอใจ “เอ๊ะ เรานี่ยังไงกันนะ จะให้น้องมันเลวให้ได้รึไง”
เจติยาถอนใจเซ็งๆ แล้วก็เดินกลับขึ้นห้องนอนไป มยุรีได้แต่ถอนใจแล้วส่ายหน้าไปมา
เจติยาเปิดประตูเข้าห้องนอนด้วยความเซ็ง พอเจติยาเดินเข้ามาก็เห็นกล่องรากบุญบนโต๊ะกำลังเรืองแสง เธอเลยเดินเข้าไปดูก็เห็นเหรียญทั้งสามติดอยู่บนกล่องเรียบร้อยเพื่อรอให้เจติยามาขอพร ทันใดนั้น เจติยาก็ได้ยินเสียงกุลธิดาดังขึ้นที่ด้านหลัง
“ขอพรสิเจ”
เจติยาหันกลับไปมองก็เห็นวิญญาณของกุลธิดากำลังยืนคุยกับเธออยู่
“ฉันขอพรให้แกฟื้นคืนชีพได้รึเปล่าล่ะ ถ้าได้ ฉันจะขอ” เจติยาถาม
กุลธิดายิ้มบางๆ “ถึงกล่องรากบุญจะมีอำนาจบันดาลได้ทุกอย่าง แต่มันก็ไม่สามารถฝืนกฎของธรรมชาติได้หรอก”
เจติยามองกุลธิดาด้วยสีหน้าแปลกใจ “ทำไมแกพูดกับฉันได้แล้วล่ะ ถ้าแกยอมพูดกับฉันอย่างงี้แต่แรก ฉันก็ไม่ต้องเสียเวลาสืบให้ยุ่งยาก จนเกือบตกตึกตายแล้วเห็นมั้ย”
กุลธิดาหน้าขรึมลง “ที่ฉันพูดกับแกไม่ได้ ก็เพราะกล่องรากบุญนั่นแหละ”
เจติยาตกใจปนประหลาดใจเล็กน้อย เธอหันกลับไปมองกล่องรากบุญ
“ความจริง กล่องไม่ต้องการให้ฉันช่วยแกเลยด้วยซ้ำ แต่ฉันห่วงแกและแกก็ยังไม่ถึงที่ตายด้วย ฉันก็เลยยังพอจะช่วยแกได้บ้าง”
เจติยาแปลกใจ “ถ้ามันอยากทำร้ายฉัน ก็ทำเลยสิ ไม่เห็นต้องยุ่งยากยังงี้เลย”
“เพราะมันทำไม่ได้น่ะสิ กล่องรากบุญไม่สามารถทำร้ายเจ้าของกล่องได้ แต่กล่องก็ไม่พอใจที่แกไม่ยอมขอพรอีก มันถึงได้ขัดขวางไม่ให้แกทำตามคำขอได้ภายใน 1 เดือน มันจะได้เอาวิญญาณแกไป”
เจติยาพยักหน้ารับช้าๆ ก่อนจะเดินไปหยุดที่หน้ากล่องรากบุญ แล้วจ้องกล่องด้วยสีหน้าอยากเอาชนะ “ยิ่งรู้อย่างงี้ ฉันยิ่งไม่มีทางขอพรใหญ่เลย”
กุลธิดามองหน้าเจติยาด้วยความเป็นห่วง
เจติยามองกล่องด้วยสีหน้าใช้ความคิด “กล่องใบนี้มันอันตรายเกินไปแล้วล่ะ ไม่ขอมันก็บังคับกลั่นแกล้ง ถ้าขอก็ต้องขอไปเรื่อยๆ ไม่มีทางหยุด เหมือนเป็นทาสมันไม่มีผิด”
กุลธิดาปรากฏตัวข้างๆ เจติยา
“แกต้องระวังตัวให้มากๆ นะเจ” กุลธิดาเตือน
เจติยาหันไปมองกลุธิดา
“เพราะฉันคงอยู่ช่วยแกไม่ได้อีกแล้ว” กุลธิดามีสีหน้าเศร้า
เจติยาหน้าเศร้าเพราะคิดถึงเพื่อน “นี่เราจะไม่ได้เจอกันอีกแล้วเหรอเอียด”
“ถ้าในชาตินี้ก็คงใช่ แต่ตราบใดที่แกยังไม่ลืมฉัน ฉันก็ยังอยู่กับแกเสมอ”
เจติยาน้ำตาคลอขึ้นมา
“ฉันจะไม่พูดคำว่าลาก่อนหรอกนะเจ” กุลธิดาบอก
เจติยายิ้มบางๆ “ฉันก็เหมือนกัน ฉันแกกับฐา เราสามคนจะเป็นเพื่อนรักกัน ตลอดทุกชาติไป”
ทั้งคู่ต่างยิ้มให้กันก่อนที่กุลธิดาจะค่อยๆ เลือนหายไปพร้อมรอยยิ้ม เจติยาได้แต่กอดตัวเองเอาไว้พร้อมกับร้องไห้ออกมาตามลำพัง ภาพสลักยักษ์บนกล่องเปล่งแสงสีแดงจากดวงตาดูน่าสะพรึงกลัวเพื่อแสดงความไม่พอใจที่เจติยาไม่ยอมขอพรใดๆเลย
สายวันใหม่ ลาภิณในชุดอยู่กับบ้านกำลังคุยกับชูจิตด้วยสีหน้าเคร่งเครียดโดยมีพิสัยนั่งอยู่ใกล้ๆ
ลาภิณเครียดหนัก “ผมยอมคุณแม่ได้ทุกเรื่อง แต่ถ้าจะให้ผมแต่งงานตอนนี้ ยังไงผมก็ไม่ยอมเด็ดขาด”
ชูจิตโมโห “ต้นดึงดันอยู่แบบนี้ แม่ก็ยิ่งมั่นใจ ว่าต้นหลงยัยเด็กนั่นจริงๆ”
“หนูปริมก็แฟนคุณต้นแท้ๆ รักกันมาตั้งนาน ช้าเร็วก็ต้องแต่งงานกันอยู่ดี คุณต้นจะขัดขืนไปเพื่ออะไรครับ แบบนี้ใครๆก็ต้องคิดว่าคุณต้นมีคนอื่นกันทั้งนั้นล่ะ” พิสัยเสริม
ลาภิณเซ็งสุดๆ “ผมบอกไม่รู้กี่ครั้งแล้ว ว่าผมกับเจไม่ได้คิดอะไรกันเราบริสุทธิ์ใจจริงๆ” ลาภิณถอนหายใจแรง “ผมจะเริ่มคิดก็เพราะทุกคนยุนี่แหละ”
ชูจิตโกรธมากจึงพูดเสียงดัง “นี่ต้นจะทำประชดแม่เหรอ”