เจ้าแม่จำเป็น ตอนที่ 10
ที่บริเวณบ้านมหาทรัพย์ไพศาล ชิณเห็นคนงานกำลังเตรียมทำลานพิธีสำหรับการทรงเจ้า ชิณจิกตามองอย่างมั่นใจ
“วันนี้พวกนั้นต้องไม่รอดแน่ๆ”
ทรงวุฒิคอยอธิบายแผนจับผิดทุกกระเบียด มีมิ้วกับกิมเอ็งตามประกบ
“ใช่ครับ..ไม่รอดแน่ เพราะผมจัดการติดตั้งกล้องวีดีโอ ตามจุดต่างๆไว้เรียบร้อยแล้วครับ ผมได้นักซ่อนกล้องมืออาชีพ รับรองว่าพวกนั้นไม่รู้ตัวเป็นอันขาด”
ชิณ มิ้ว กิมเอ็งตั้งใจฟังแล้วพยักหน้าตาม ทรงวุฒินำทัวร์บริเวณที่ตั้งกล้อง
“กล้องจุดที่ ๑ จะอยู่ที่ด้านหลังสถานที่เข้าทรงตรงนี้...”
ทรงวุฒิชี้ไปที่ลานไม้ ที่สร้างขึ้นหยาบๆ เพื่อให้เจ้าแม่เตรียมตัว แล้วอธิบายต่อ
“ร่างทรงจะมาเตรียมตัวที่นี่ เราใช้กล้องขนาดเล็กเท่ากับเหรียญบาท..ติดไว้บริเวณนี้ เพื่อเก็บภาพตอนร่างทรงเปลี่ยนเสื้อผ้า”
มิ้ว กิมเอ็ง ชิณ เหล่ๆ ทรงวุฒิ
ทรงวุฒิรู้สึกตัว “ผมหมายถึงตอนเตรียมตัวนะครับ จะได้เห็นว่าพวกนั้นเตี๊ยมอะไรกันบ้าง...แหม อย่าคิดมากสิครับ กล้องตัวที่สองสาม และสี่จะติดไว้ที่กิ่งไม้ตรงนี้” ทรงวุฒิชี้ไปที่ต้นไม้ “ตรงนั้นแล้วก็ตรงโน้น ซึ่งจะเก็บภาพทุกมุมของการเข้าทรง”
ทุกคนมองตามมุมต่างๆ ที่มีกล้องวงจรปิดซ่อนอยู่ เช่น ต้นไม้ ถุงขยะ หลังคา สารพัดที่ ทุกมุมจริงๆ
มิ้ว กิมเอ็ง ชิณ มองตามไปตรงจุดต่างๆ แล้วยิ้มอย่างพอใจ
“กล้องทุกตัวจะส่งสัญญาณภาพไปที่โทรศัพท์มือถือของคุณชิณทันที”
พลางทรงวุฒิโชว์โทรศัพท์มือถือไอโฟนขึ้นมา
ที่โทรศัพท์มือถือเห็นภาพชิณและทรงวุฒิกำลังยืนคุยกันอยู่ ซึ่งเป็นภาพจากมุมที่กล้องติดอยู่
“และภาพทุกอย่างจะถูกบันทึกไว้ เท่านี้ไม่พอนะครับ...ผมยังมีนวัตกรรมใหม่สำหรับการจับผิด” ทรงวุฒิตะโกนเรียก “ขอเชิญ สมศรี สมหมาย และสมชาย”
หญิงหนึ่งชายสองหน้าตาชาวบ้านมาก...เดินเข้ามา ทรงวุฒิก้าวเข้ามาแนะนำ
“นี่คือ สมศรี สมหมาย และสมชาย ทั้งสามคนเป็นหน้าม้าของเราที่จะปลอมตัวเข้าไปปะปนกับชาวบ้านมาดูการเข้าทรง...และทั้งสามคนจะมีกล้องขนาดจิ๋วติดไว้ที่ตัว”
กิมเอ็งมองหาสงสัยจับจิตว่าซ่อนอยู่ตรงไหน
“ซ่อนไว้ที่ไหนเหรอคะ” กิมเอ็งเปิดเสื้อสามสายลับดู
“เป็นความลับครับบอกไม่ได้...และภาพที่ได้จากการเข้าทรงก็จะถูกบันทึกไว้และส่งสัญญาณไปที่โทรศัพท์มือถือของคุณชิณเหมือนกัน...รับรองว่าเราจะได้ภาพทุกความเคลื่อนไหวและทุกมุมตามที่เราต้องการ” ทรงวุฒิหันมาทางสามสายลับ “ไปได้แล้ว”
สมศรี สมหมาย และสมชาย หันไปทางเดียวกัน ตบเท้าและเดินจากไป ชิณพยักหน้าพอใจ
กิมเอ็งทึ่ง “เป็นการเตรียมงานที่ดีมากค่ะ ถ้าเราได้ภาพที่ทำให้เห็นว่าพวกมันตุกติก หรือตุ้มตุ๋นคุณพี่ เราก็จะได้เปิดโปงพวกนั้นให้หมดเปลือกจนหมดหนทางทำมาหากินกันไปเลย”
มิ้วคิดๆ “แต่ถ้าภาพที่เราบันทึกไว้เนี่ย ไม่มีอะไรที่มีพิรุธ ทุกคนมันเนียนมากจนจับโกหกไม่ได้มันก็ไม่มีประโยชน์สิคะ”
เออจริง....ทุกคนเงียบคิด โทรศัพท์ทรงวุฒิดังขึ้น ทรงวุฒิกดรับ
“ฮัลโหล โอเค ได้ๆ โอเคๆ อือ อือ อ้อ อ้อ อ๋อออออออ” ทุกคนหันมามองด้วยความสนใจ มันจะเอออออะไรนักหนา จนทรงวุฒิหันมา “คุณชิณครับ มีคนต้องการพบคุณชิณ ตอนนี้รออยู่ที่หน้าบ้านแล้วครับ”
ชิณสงสัย “ใคร”
มิ้วกับกิมเอ็ง มองชิณสงสัยๆ
เย็นนั้นป้าไฝ ยืนอยู่ที่หน้าบ้าน มิ้ว กิมเอ็ง ชิณ และทรงวุฒิเดินตามออกมา ป้าไฝยกมือไหว้ท่วมหัว
“สวัสดีค่า”
ป้าไฝยิ้มหน้าเงินใส่ชิณทันที
ที่แท้ป้าไฝก็คือคนที่เป็นหน้าม้าให้โต๊ด โดยทำทีเป็นมาให้กะละแมในคราบเจ้าแม่ช่วยรักษาอาการป่วย แต่ตอนหลังทะเลาะกันเรื่องผลประโยชน์ คนนั้น...นั่นเอง
“ฉันชื่อไฝจ้ะ ฉันน่ะรู้จักไอ้พวกนั้นดี ทั้งไอ้โต๊ด ไอ้ติ่ง กะละแม ไอ้ตุ้งแช่ ไอ้พวกเนี้ยมันไว้ใจไม่ได้ทั้งตระกูล” ป้าไฝทำหน้าเศร้า “มันเอาเงินมาล่อให้ฉันทำงานกับพวกมัน แต่ฉันกลับตัวกลับใจแล้วจ้ะ เลยอยากจะทำความดีลบล้างความผิด ฉันจะแฉความจริงทุกอย่าง”
ทุกคนมองหน้ากัน...งงๆ
ชิณมองป้าไฝแล้วก็ยิ้มสะใจ
“วันนี้สนุกแน่ๆ หึๆๆๆ”
ชุดผ้าไหมของฉายตะวันตากอยู่ กะละแมเดินมาเก็บ แล้วก็จับๆ ด้วยความทะนุถนอม ชิณเดินมาแล้วก็อมยิ้ม เหมือนมีลับลมคมใน
“ฉันเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้ว เธอเตรียมตัวซ้อมบทดีหรือยัง” ชิณพูดด้วยรอยยิ้มเยาะ
กะละแมหันมาเจอชิณก็ถอยห่างอย่างระวังตัว
“ฉันไม่เห็นต้องเตรียมตัวอะไรนี่...ฉันเข้าทรงมาไม่รู้ตั้งกี่ครั้งแล้ว”
“เหอะ แต่ครั้งเนี้ย จะเป็นครั้งที่เธอจะลืมไม่ลง” ชิณมั่นใจมาก
กะละแมสงสัย “ทำไม”
“ก็มันจะเป็นครั้งสุดท้ายของเธอไม่ใช่เหรอ” ชิณพูดกำกวมชวนคิด
“ใช่...และมันจะเป็นครั้งสำคัญของคุณด้วย...ถ้าเจ้าแม่ทำให้คุณมีคู่ได้แต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝา ไม่ต้องกินแห้วไปจนแก่ คุณนั่นแหละที่จะต้องจำเจ้าแม่ไปจนตาย”
ชิณเหล่ “เออ...ขอให้เจ้าแม่ทำให้ได้จริงๆเถอะ กลัวแต่ว่าจะเป็นเจ้าแม่กำมะลอ” กะละแมหน้าเสียนิดๆ “เรียบร้อยแล้วก็เชิญ ฉันอยากจะเข้าเฝ้าจะแย่อยู่แล้ว”
ชิณเดินหัวเราะหึๆๆ ออกไป ส่วนกะละแมยืนกลุ้มใจอยู่ ทำเป็นปากแข็ง แต่ลึกๆในใจก็หวั่นกลัว
ประตูรั้วบ้านมหาทรัพย์ไพศาลเปิดเอาไว้เพื่อต้อนรับชาวบ้าน ข้างในบ้านเห็นลานไม้เฉพาะกิจ ชาวบ้านแห่กันมามากมาย นำทีมโดย ป้าส้มลิ้ม ลุงมาก และเชอร์รี่ ชิณเดินออกมาเห็นก็อึ้ง พูดกับทรงวุฒิที่ยืนคุมอยู่
“นี่มันอะไรกัน ทำไมชาวบ้านแห่กันมาแบบนี้”
ทรงวุฒิถาม “จะให้ผมไล่ออกไปมั้ยครับ”
“ไม่เป็นไร” ชิณคิดบางอย่างได้ “แต่คิดๆ ดูอีกที ก็ดีเหมือนกันไหนๆ จะเปิดโปงแล้วก็ให้มันรู้กันไปทั้งซอยเลย”
ชิณยิ้มร้าย พลันสายตาก็หันไปเห็นรถของจักกายขับเข้ามาจอดหน้าบ้าน
รถของจักกายแล่นมาจอดหน้าบ้านมหาทรัพย์ไพศาล โทฟู่กับอาม่าลงมาจากรถ จักกายตามลงมาติดๆ โทฟู่หันมาถามจักกาย
“คุณจะไม่เฝ้าเจ้าแม่ด้วยกันจริงๆ เหรอ”
“นั่นสิ...น่าจะไปเฝ้าด้วยกัน... ไหนๆ ก็มาถึงนี่แล้ว อีกอย่างเดี๋ยวนี้เจ้าแม่ก็ไม่ได้มาประทับบ่อยๆ เหมือนแต่ก่อนแล้วนา”
“เชิญอาม่าตามสบายเลยครับ ผมขอรอแถวๆ นี้ดีกว่า” จักกายยิ้มๆ
อาม่ากับโทฟู่พยักหน้าแล้วเดินเข้าไปที่ลานพิธี
จักกายมองสำรวจไปรอบๆ ลาน พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นชิณมองมาพอดี จักกายยิ้มร้ายแล้วเดินตรงเข้าไปหาชิณ
ชิณและทรงวุฒิยืนอยู่ จักกายเดินเข้ามาทักทายชิณด้วยแววตาที่ไม่เป็นมิตร
“นึกไม่ถึงว่าคนอย่างนายจะเชื่อเรื่องเจ้าแม่ ถึงขนาดยอมเปิดบ้านตัวเองให้เป็นสำนักทรงเฉพาะกิจ”
“ฉันก็นึกไม่ถึงเหมือนกัน ว่าคนอย่างนายจะยอมมาเหยียบบ้านฉัน เพราะยัยร่างทรง เป็นไงล่ะ วันนั้นไปถึงไหนกัน” ชิณถามเหยียดๆ แต่ในใจก็แอบอยากรู้
จักกายหัวเราะหยัน “ถามแบบนี้แสดงว่าอยากรู้ แถมยังไม่ลืมอีกต่างหาก...ทำไม? อิจฉาหรือไง?”
“ใครจะไปอิจฉานาย ฉันก็แค่เป็นห่วง กลัวว่าบริษัทที่พ่อนายสร้างมาจะถูกพวกสิบแปดมงกุฎปอกลอกไปจนหมด”
จักกายแค้นแต่พยายามเก็บอารมณ์ “ไม่ต้องห่วงหรอก บริษัทฉันมั่นคงพอ ขนาดโดนพ่อนายโกงมาแล้ว ก็ยังรอดมาได้...”
ชิณจะเถียง แต่จักกายพูดต่อ
“ห่วงตัวเองเหอะ ขอให้เจ้าแม่หาคู่ให้ได้ จะมีทายาทสืบสกุลมารับช่วงบริษัท ไม่อย่างนั้นบริษัทที่อุตส่าห์โกงมามันจะเจ๊งซะเปล่าๆ”
จักกายเดินหัวเราะหึๆๆๆ ออกไป
ชิณจะตอกกลับ ทรงวุฒิจับไว้
“คุณชิณใจเย็นๆ ครับ เดี๋ยวเสียการใหญ่ ปล่อยไปก่อนเถอะครับ นะครับ”
ชิณระงับอารมณ์ไว้ แล้วก็เดินไปด้านหลังลานพิธี
กะละแมนุ่งห่มอยู่ในชุดผ้าไหมขาวบริสุทธิ์ของฉายตะวัน...นั่งอยู่ด้านหลังลานเฉพาะกิจที่จัดทำแบบง่ายๆ เหมือนสำนักทรงตามใต้ต้นไม้ริมทาง กะละแมหันมาโวยโต๊ด
“ฉันบอกแล้วไงว่าอย่าบอกใคร ไหงแห่กันมาเกือบหมดซอย”
โต๊ดสะดุ้ง แก้ตัวไปน้ำขุ่นๆ “ข้าก็ไม่ได้บอกนี่หว่า ชาวบ้านเขาคงจะรู้กันเองมั้ง...แกจะให้ฉันไล่ไปมั้ยเล่า”
“เฮ่อ...ไม่ทันแล้ว ไล่ไปตอนนี้ก็วุ่นวายเปล่าๆ”
กะละแมหันมามองดูชาวบ้านที่รอด้วยความหวังแล้วก็สงสาร แต่พอเหลือบไปด้านหลังเห็นชิณยืนกอดอกอยู่แล้วก็เครียด...เฮ่อ
นุ้ยกับก๋อยปลอมตัวเป็นกะเทย...ควาย แฝงตัวมานั่งปะปนอยู่กับชาวบ้าน นุ้ยอดทึ่งไม่ได้
“ชาวบ้านศรัทธามันมากขนาดนี้เลยเหรอวะ”
“นี่ขนาดย้ายออกไปกันบ้างแล้วนะป๋า ไม่งั้นท่วมท้นกว่านี้อีก” ก๋อยคุยฟุ้ง
นุ้ยมองดูรอบๆ ด้วยความสนใจ
ติ่งมายืนชะเง้อชะแง้มองหามิ้ว
มิ้ว กิมเอ็ง และฉายตะวันเดินออกมาจากในบ้าน ทั้งสามคนงงที่เห็นคนเยอะเต็มหน้าบ้าน
“อุ้ยทำไมคนเยอะแบบนี้คะเนี่ย”
“ป้าว่าก็ดีแล้วล่ะ นานๆ เจ้าแม่จะลงมาสักที ชาวบ้านก็คงจะอยากเฝ้าเจ้าแม่เหมือนกัน”
“ที่จริงแล้วเนี่ย คุณน้องก็ไม่อยากจะบอกเลยค่ะ ว่าที่ร่างทรงกะละแมยอมทรงอีกครั้งเนี่ย เป็นฝีมือของหนูมิ้ว...” กิมเอ็งเอาหน้าสุดๆ
“อ้าวเหรอ...แล้วหนูมิ้วทำยังไงล่ะจ๊ะ”
เสียงติ่งดังขึ้น
“ทางนี้ครับคุณมิ้ว...” ก่อนจะเห็นติ่งรีบวิ่งมา “เนี่ยผมจองที่หน้าสุดไว้ให้เลยนะครับ” ยิ้มพาซื่อ “แล้วคุณมิ้วอย่าลืมข้อตกลงของเรานะครับ ที่บอกว่าถ้าผมทำให้กะละแมทรงอีกครั้งสำเร็จคุณมิ้วจะจำไว้ไม่ลืม”
ฉายตะวันร้อง อ๋อ...ทันที...ยิ้มนิดๆ กิมเอ็งและมิ้วหน้าเจื่อน
“เรารีบเข้าไปกันเถอะค่ะ”
มิ้วรีบดึงฉายตะวันและแม่เดินเข้าไป ติ่งรีบมาตามเคลียร์พื้นที่ให้...มิ้วมองด้วยความรำคาญ
ตุ้งแช่วิ่งเข้ามาที่ลานเตรียมตัวของเจ้าแม่
“พี่แม พ่อบอกว่าพร้อมแล้ว...”
ตุ้งแช่วิ่งออกไป กะละแมหันมานั่งทำสมาธิอีกที แล้วก็ยกมือไหว้
“เจ้าแม่ เทวดา ฟ้าดิน ถ้าได้ยินเสียงนังกะละแม ฉันขอโทษกับทุกอย่างที่ทำลงไป แต่ฉันสัญญาว่าจะโกหกหลอกลวงชาวบ้าน ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย ขอให้ทุกอย่างผ่านพ้นไปได้ด้วยดีด้วยเถิด สาธุ”
กะละแมยกมือท่วมหัว
จักกายแอบมองกะละแมอยู่ที่มุมหนึ่งเห็นแล้วนึกขำๆ ส่ายหน้า ‘จะรอดไหมเนี่ย’
โต๊ดเริ่มพิธี
“พ่อ แม่ พี่ น้อง ตอนนี้ก็ได้ฤกษ์งามยามดี เจ้าแม่จะเสด็จลงมาประทับร่างทรงแล้ว...ขอให้ทุกคนอยู่ในความสงบ”
ชิณพยักหน้าให้ทรงวุฒิเริ่มปฎิบัติการ
ทรงวุฒิพยักหน้าให้พนักงานที่แอบถ่ายวิดีโออยู่ตามมุมต่างๆ จากนั้นทรงวุฒิก็พยักหน้าให้กับพนักงานอีกคนที่แอบอยู่กับป้าไฝที่กำลังทาลิปสติกสีแดงจัดและตบแป้งสุดฤทธิ์ ชิณยิ้มอย่างทระนง มิ้วและกิมเอ็งก็ยิ้มให้กันอยู่ข้างๆ ฉายตะวัน
ติ่งก็ยิ้มด้วย เพราะคิดว่ามิ้วยิ้มให้ตัวเอง...มิ้วยิ้มเจื่อนๆ รีบๆ หันหน้ากลับ
ส่วนโทฟู่ กับอาม่านั่งข้างกัน รอเจ้าแม่อย่างใจจดใจจ่อ
“คนเยอะจริงๆ.. อู้ยย..ขนลุก” อาม่าทำท่าขนลุกด้วยความศรัทธา
กะละแม เดินออกมาอย่างสงบ...รับธูปจากโต๊ด มาไหว้พระที่โต๊ะหมู่บูชา แล้วก้มลงกราบ ชาวบ้านทุกคนกราบตาม เป็นภาพที่ดูแปลกตา และมีพลังประหลาด
ชิณไม่ยอมกราบตาม ฉายตะวันรีบสะกิดให้กราบ ชิณจำต้องกราบตามไปด้วย ขณะเดียวกันก๋อยนั่งข้างนุ้ย นุ้ยก้มกราบแต่แอบเงยหน้ามามองกะละแมด้วยแววตาจับผิด
“มันขาวแบบนี้นี่เอง ไอ้ดวงมันถึงได้หลงนักหนา” นุ้ยมาถล่มครั้งที่แล้วยังไม่เห็น
กะละแมเริ่มต้นการเข้าทรงสัญจรที่ลานหน้าคฤหาสน์บ้านมหาทรัพย์ไพศาล เริ่มจากตัวสั่น แบบเบาบาง จนแรงขึ้นๆ และทันใดนั้นเอง กะละแมก็ล้มตึงลงไป...ชาวบ้านฮือฮา
ชิณมองดูแทบจะระเบิดหัวเราะออกมา ฉายตะวันหันมา ชิณรีบเก็บกิริยา
กะละแม กระเด้งตัวขึ้น ชาวบ้านตกใจ...และเสียงกะละแมก็เปลี่ยนเป็นเสียงคนแก่
“ไอ้โต๊ด...เอาหมากข้ามาสิ”
โต๊ดรีบส่งให้...กะละแมรับมาแล้วก็เคี้ยวหมากตุ้ยๆ...บ้วนหมาก ปิ๊ดๆๆ
ชิณ มองแล้วก็เบะปาก เชอะ! ทำเป็นเล่นละคร มิ้วกับกิมเอ็งทั้งๆ ที่รู้แต่ก็อดดูอย่างสนใจไม่ได้...
นุ้ยก็ดูอย่างตั้งใจ ค่อยๆ ขยับใกล้เข้ามาอีก
กะละแมเอาผ้าเช็ดปากแล้วก็หันมาทำท่าประหลับประเหลือกถามชิณ “นี่เอ็งใช่มั้ยที่ให้นังกะละแมมันเรียกข้ามา...”
ชิณไม่ยอมตอบ...กะละแมในคราบเจ้าแม่เลยต้องเสียงดังขึ้น
“ข้าถามแล้ว ทำไมไม่ตอบหะ ไอ้หน้าหัก”
ชิณสะดุ้ง ฉุนกึก “เธอเรียกใคร ไอ้หน้าหัก”
อาม่า โทฟู่ มองชิณลุ้นๆ ว่าชิณจะทำยังไง
ฉายตะวันปราม “ชิณ...นี่เจ้าแม่นะลูก พูดดีๆ สิลูก”
“อะ...อะไรนะครับ เจ้าแม่...” ชิณกัดฟันสุดฤทธิ์
จักกายขำในท่าทีของชิณ
กะละแมเหล่ตามาพูด พยายามกลั้นยิ้ม “แม่เอ็งเขาก็กลุ้มอกกลุ้มใจเรื่องที่อายุปูนนี้แล้วยังไม่ได้แต่งงานแต่งการกับเขาสักที นี่ข้าถามเอ็งหน่อย ที่ไม่ยอมแต่งงานน่ะ กลัวคนอื่นมาช่วยใช้เงินหรือไงวะ”
“ใครบอก” ชิณเสียงดัง ฉายตะวันเหล่ ชิณรีบพูดดีๆ “เอ่อ...ไม่ใช่ครับเจ้าแม่”
“ไม่ใช่ก็ดีแล้ว ข้าจะบอกวิธีแก้เคล็ดให้”
ชิณหันมาทางทรงวุฒิให้สัญญาณเริ่มแผนสอง ทรงวุฒิส่งสัญญาณให้พนักงานคุมคิวป้าไฝ
พนักงานของชิณหันมาทางป้าไฝที่ยังโบ๊ะแป้งอยู่
“ป้า...ออกไปได้แล้ว”
“จ้ะๆๆๆๆ”
ป้าไฝตกใจ ขยับเสื้อผ้าให้เข้าที่ และเตรียมเล่นละครฉากใหญ่
กะละแม บ้วนน้ำหมาก ปิ๊ด....แล้วหันมาตัวสั่นเป็นเจ้าแม่อย่างต่อเนื่อง
“ไอ้หน้าหักเอ็งตั้งใจฟังให้ดีๆ ข้าจะบอกวิธีแก้เคล็ดเรื่องคู่ของเอ็ง แต่เอ็งต้องปฎิบัติตามอย่างเคร่งครัด...”
เจ้าแม่พูดไม่ทันจบคำ ทันใดนั้นเอง เสียงป้าไฝก็ดังขึ้นกึกก้อง
“อย่าไปเชื่อ ที่ไอ้พวกเนี้ยมันพูด โกหกทั้งเพ”
ทุกคนตกใจ...หันมาทางป้าไฝ
“นี่มันนังไฝที่เคยมาให้เจ้าแม่รักษานี่หว่า” ลุงมากจำได้
โต๊ด ติ่ง และกะละแม อึ้ง....มองหน้ากันเลิ่กลั่กทำไงดี ชิณยิ้ม และแกล้งตะโกนขึ้นเหมือนรู้กัน
“ป้าเป็นใคร อยู่ๆมาพูดแบบนี้ได้ยังไง”
“ฉันเป็นใครน่ะเหรอ...ถามไอ้พวกนี้มันดูสิ มันรู้จักฉันดี...ใช่มั้ยไอ้โต๊ด ไอ้ติ่ง ไอ้แม” ป้าไฝจัดหนัก
อาม่าฉุนกึก “นี่...มาเรียกเจ้าแม่อย่างนั้นได้ยังไง...เดี๋ยวนรกก็กินกบาลหรอก”
ป้าเชอร์รี่ด่า “ใช่ แกเองก็เคยให้เจ้าแม่รักษาจนหายไม่ใช่เหรอ ยังไม่สำนึกบุญคุณเจ้าแม่อีก”
“ฮ่าๆๆๆๆ ไอ้ที่พวกแกเห็นน่ะ มันโกหกทั้งเพ ไอ้พวกเนี้ยมันจ้างฉันมา ฉันไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย” ป้าไฝป่าวประกาศแฉแหลก
โทฟู่กะอาม่ามองหน้ากันงงๆ ฉายตะวันงงจนทนไม่ไหว โพล่งขึ้น
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น ผู้หญิงคนนี้เป็นใครกันแน่”
ชิณยิ้มร้าย
ขณะเดียวกันจักกายยืนอยู่ด้านหลัง พยายามประเมินสถานการณ์ว่าเกิดอะไรขึ้น
เห็นชาวบ้านเริ่มกระสับกระส่าย หะ... ปรึกษากันอื้ออึง ชิณยิ้มสะใจ ได้ที
“นี่ป้าพูดจริงๆ เหรอ...เรื่องคอขาดปาดตายแบบนี้ จะมาล้อเล่นไม่ได้นะ”
“ฉันไม่ได้โกหก ฉันพูดจริง พวกมันน่ะ เป็นพวกต้มตุ๋นหลอกลวง อย่าไปเชื่อมัน”
กิมเอ็งสบโอกาสรีบกระซิบฉายตะวันที่อึ้งอยู่...มิ้วคอยพยักพเยิดอยู่ข้างๆ
“อุ๊ยตายคุณพี่ขา ไม่น่าเชื่อเลยนะคะว่าพวกเนี้ยจะเป็นพวก 18 มงกุฎจริงๆ”
“เห็นไหมคะ มิ้วบอกแล้ว”
ฉายตะวันอึ้ง สับสน มองเหตุการณ์อย่างไม่อยากจะเชื่อ กะละแมยังสั่นอยู่ โต๊ด ติ่งมองหน้ากัน...เอาไงดี? ชิณได้โอกาสลุกขึ้นพูดกับป้าไฝ
“นี่ป้า...ป้าพูดแบบนี้แสดงว่าป้ามั่นใจสิ ไหนบอกชาวบ้านอีกทีสิว่าพวกนี้จริงๆ แล้วเป็นใครกันแน่ ป้ามีอะไรแฉออกมาให้หมด”
ป้าไฝพูดเสียงดัง “ได้...เรื่องแบบนี้ข้าถนัด ไอ้พวกนี้มันเป็นพวกต้มตุ๋น เจ้าแม่น่ะไม่มีจริง มันแกล้งทำเป็นนั่งสั่นๆ ไปอย่างนั้นแหละ เอ้า...ทุกคนฟังให้ดีนะ ไอ้พวกนี้มันเป็น 18 มงกุฎ”
นุ้ยมองดูเหตุการณ์แล้วอมยิ้ม
“เอาล่ะวุ้ย สนุกกันใหญ่แล้วเว้ย”
ก๋อยพยักพเยิดเป็นกะเทยถึกสอพลอ...นุ้ยยิ้มร้ายมองต่อไปเงียบๆ
กะละแมยังอยู่ในสติ...นั่งตัวสั่นไม่แสดงความหวั่นไหว
ชิณยิ้มร้าย...โดนแน่ หัวเราะในลำคอ หึๆๆๆ
ขณะเดียวกัน จักกายมองไปที่กะละแมด้วยสายตาเป็นห่วง พร้อมกับพึมพำเบาๆ
“จะเอาตัวรอดยังไงกะละแม”
จากนั้นจักกายก็มองลุ้นๆ ว่ากะละแมจะแก้ไขสถานการณ์ยังไง
ส่วนชิณนั้นพอได้ทีก็รีบปลุกระดมต่อทันควัน
“เอ้า...พ่อ แม่ พี่ น้อง คราวนี้คงจะรู้กันแล้วนะ ว่าไอ้ที่กราบไหว้บูชากันน่ะมันโกหกทั้งเพ” จ้องหน้ากะละแมที่นั่งสั่นเป็นเจ้าแม่อยู่ “พวกเธอยอมรับมาซะดีๆ โดนจับได้คาหนังคาเขาอย่างนี้ ดิ้นยังไงก็ไม่หลุด”
กะละแมไม่สะทกสะท้านสักนิด ยังคงนั่งตัวสั่น และหันมาบ้วนน้ำหมากปิ๊ดๆ แล้วหัวเราะขึ้น
“ฮ่าๆๆ” พลางบ้วนน้ำหมากอีกปิ๊ด “นังไฝ! ที่เอ็งพูดมามันยังขาดความจริงอีกข้อนึง ทำไมเอ็งไม่บอกทุกคนให้หมด ว่าไอ้หน้าหักนี่มันจ้างเอ็งหมื่นนึง ให้เอ็งมาใส่ร้ายข้า แล้วมันจะให้เอ็งอีกหมื่นนึงหลังเสร็จงาน...ใช่มั้ย”
ป้าไฝ ชิณ ทรงวุฒิ กิมเอ็ง และมิ้ว ร้อง หะ อึ้งกันไปทั้งแถบ มองหน้ากันเลิ่กลั่ก
กิมเอ็งงงหนัก “รู้ได้ยังไง”
ชาวบ้านฮือร้องกันเซ็งแซ่ หันมางงๆ มันยังไงกันแน่
“เอ็งโดนเงินบังตา ยอมแม้กระทั่งเอาเรื่องไม่จริงมาพูด หรือเอ็งจะบอกว่าที่ข้าพูดมันไม่จริง”
ป้าไฝสะดุ้งโหยง พิรุธเต็มๆ
ชิณหันมากระซิบถามป้าไฝ “พวกนั้นรู้ได้ไง
ป้าไฝรีบปฏิเสธเสียงดัง “เปล่านะ ฉันไม่ได้บอก...ฉันไม่ได้บอกใครทั้งนั้น”
กะละแมในคราบเจ้าแม่เสียงดังกว่า “ไม่มีใครบอก ข้ารู้เองเว้ย ข้ารู้หมดล่ะ เอ็งสองคน แล้วยังลูกน้องเอ็ง” ทรงวุฒิหลบวูบเข้าหลังชิณ “นังหนูเสื้อเขียว” มิ้วสะดุ้ง “แม่มันด้วย” กิมเอ็งเอาพัดปิดหน้าแทบไม่ทัน “สุมหัวกัน จ้างนังไฝมาใส่ร้ายข้า ใช่มั้ยนังไฝ”
กะละแมมองหน้าเขม็ง ป้าไฝอึ้งหนัก และเริ่มมองเห็นสายตาอาฆาตมาดร้ายของชาวบ้านที่มองมาที่ตนเป็นตาเดียว ป้าไฝเริ่มผวา อาการกลัวๆ หวาดๆ และรีบก้มลงกราบกะละแม
“ฉะ...ฉัน...ฉันผิดไปแล้วเจ้าแม่ เจ้าแม่อย่าทำอะไรฉันเลยนะ” พูดจบก็หันมาทางชิณ “ฉัน...ฉัน...ขอโทษนะคุณ ฉันไปล่ะ” แล้วก็วิ่งลนลานออกไปเลย
ชิณมองตามป้าไฝงงๆ ชาวบ้านทุกคนมองตาม ร้องไล่หลัง “อ้าวเฮ้ย...มันไปแล้ว”
ป้าไฝวิ่งหน้าตื่นผ่านหน้าจักกายไป
“ร้ายไม่ใช่เล่น”
จักกายมองไปที่กะละแมแล้วอมยิ้มอย่างรู้ทัน
ทางด้านชิณลืมตัวตะโกนไล่หลังป้าไฝ
“อ้าว...ทำแบบนี้ได้ยังไง ป้ารับเงินฉันไปแล้วนะ ทำไมมายอมรับง่ายๆ แบบนี้ล่ะ กลับมาก่อน เฮ้ย”
ชิณลุกพรวดแต่แล้วก็ชะงัก เพราะถูกทรงวุฒิสะกิด จังหวะนั้นชิณหันมาเจอสายตาแสดงความเป็นศัตรูสุดๆ ของชาวบ้าน รวมทั้งสีหน้าไม่พอใจของฉายตะวัน
“เอ่อ...คือ”
ฉายตะวันไม่พอใจอย่างแรง “ชิณจ้างแม่ไฝนั่นมาจริงๆ ใช่มั้ย”
“แม่ฟังผมก่อน คือพวกนี้ป็นพวกต้มตุ๋นจริงๆ นะครับ” ชิณอธิบาย
ลุงมากแหลมขึ้น “ไม่จริง! ถ้าเจ้าแม่ไม่มีอิทธิฤทธิ์จริงๆ เจ้าแม่จะรู้ได้ยังไงว่าคุณจ้างนังไฝมา แล้วยังรู้อีกว่าให้เงินเท่าไหร่”
ชาวบ้านลุกฮือร้อง... “ใช่ๆ” เซ็งแซ่
กิมเอ็งเอาพัดมาพัดให้ฉายตะวัน
“คุณพี่ใจเย็นๆ นะคะ”
ฉายตะวันจิกตาวาววับมองกิมเอ็งด้วยความไม่พอใจ
“อุ้ย!”
กิมเอ็งหดมือกลับ...จ๋อยสนิท
กะละแมพูดด้วยเสียงเจ้าแม่ “เอาล่ะ ไม่ต้องทะเลาะกัน พวกเอ็งทำให้ข้าเสื่อมลงไปทุกที”
ทำหน้าเบื่อมนุษย์สุดๆ “แบบนี้ข้าถึงไม่อยากลงมาโลกมนุษย์ เฮ่อ...ไม่ไหวจะอยู่ ข้าไปล่ะ”
ชาวบ้านโวยวายอื้ออึง ไม่ยอมให้ไป กะละแมไม่สน ตัวสั่นๆ แล้วก็สลบไป
“อ้าว เดี๋ยวสิคะเจ้าแม่ แล้วเรื่องลูกชายดิฉันล่ะคะ จะทำยังไงให้เค้าได้แต่งงานล่ะคะเจ้าแม่” ฉายตะวันร้องลั่น
“โธ่แม่...” ชิณหงุดหงิดแต่ไม่รู้จะทำยังไง
จู่ๆ กะละแมก็เด้งตัวขึ้นมาอีกที...ทุกคนตกใจ
กะละแมพูดด้วยเสียงเจ้าแม่ “เรื่องนั้นเอ็งถามลูกชายข้าเองก็แล้วกัน”
แล้วกะละแมก็ตัวสั่นๆๆๆ แล้วก็ล้มลงไปอีก ติ่งรีบมาลากกะละแมหลบไปหลังเพิง ทุกคนงง
“ลูกชายเจ้าแม่...ใคร”
ฉายตะวันอึ้ง ชิณงงๆ
ทันใดนั้นตุ้งแช่ที่นั่งอยู่หน้าห้องก็ตัวสั่นๆ ชาวบ้านอึ้งไป หันมาทางตุ้งแช่ ชิณมองดูด้วยความสงสัย...กิมเอ็ง มิ้ว และทรงวุฒิก็สงสัย...นุ้ยกับก๋อยยิ่งสงสัย
“อะไรของมันอีกวะ” นุ้ยเผลอพูดเสียงใหญ่
คนข้างๆ หันมามอง นุ้ยต้องรีบทำบีบเสียง สาวแตกแจ๋นขึ้นมาทันที
“อะไรของมันอีกเนี่ย นังก๋อยแกรู้หรือเปล่า”
ก๋อยแจ๋นตาม “ไม่รู้เหมือนกันสิคะ ก๋อยว่ามันคงจะเครียดมั้ยคะ”
นุ้ยหรี่เสียงเบาลง แมนเหมือนเดิม แต่ไม่มีคนได้ยินนอกจากก๋อย
“แต่ข้าว่าไม่ใช่” นุ้ยจิกตาเหมือนว่าจะรู้ทัน
โต๊ดรีบวิ่งมาหาตุ้งแช่ แล้วเล่นละครต่อ
“แช่...แช่ลูกพ่อเป็นอะไร” แล้วตุ้งแช่ก็สลบไป โต๊ดตาโต “หรือว่า...ลูกชาย…เจ้าแม่มาเข้าร่างแช่ลูกพ่อ”
ชาวบ้านอ้าปากค้าง หะ...ทุกคนตกใจ อึ้งกันไปตามๆ กัน
ตุ้งแช่กระเด้งตัวขึ้นมา แล้วก็ส่งเสียงร้องเป็นเด็ก และตีลังกาเป็นลิงเป็นค่าง พร้อมกับทำตัวสั่นงั่กๆ จะน่ากลัวก็น่ากลัว จะน่ากระทืบก็น่ากระทืบ แล้วตุ้งแช่ก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าชิณ
“เอ็งใช่ไหมที่ทำให้แม่ข้าโกรธ จนหนีกลับขึ้นสวรรค์ไปเมื่อกี้”
ชิณอึ้ง...หะ!
นุ้ยตบเข่าดังฉาดใหญ่
“กูว่าแล้ว”
ขณะเดียวกันนั้นกะละแมกับติ่งแอบดูอยู่หลังเพิง
“แผนเอ็งจะสำเร็จมั้ยวะไอ้แม”
“เดี๋ยวก็รู้”
ติ่งกับกะละแมลุ้น... “ลูกชายเจ้าแม่” นาม “ตุ้งแช่” ในการทรงเปิดซิง
ด้านตุ้งแช่ตีลังกามานั่งที่แท่นประทับของเจ้าแม่ที่กะละแมนั่งเมื่อกี้แล้วก็ตัวสั่นๆ
จักกายมองตุ้งแช่แล้วก็ยิ้ม เหมือนกำลังดูโชว์สนุกๆ ก่อนจะมองไปที่โทฟู่กับอาม่าที่กำลังมองตุ้งแช่ด้วยความตื่นเต้น...และเลื่อมใส จักกายเห็นแล้วก็อดกังวลไม่ได้
ชาวบ้านดูตุ้งแช่ตาเป็นมันด้วยความตื่นเต้นปนศรัทธา
โต๊ดยิ้มย่อง “แช่ลูกพ่อ”
ตุ้งแช่แหลมขึ้น “ใครเป็นลูกเอ็งวะไอ้โต๊ด” โต๊ดสะดุ้ง เหล่ๆ เดี๋ยวเถอะมึง “ข้าเป็นลูกเจ้าแม่มหาลาภไทรทอง วันนี้ข้าลงมาเฉพาะกิจ เพราะแม่ข้าไม่อยากสุงสิงกับพวกเอ็งแล้ว ไหน...ใครมีปัญหาอะไรว่ามา”
มิ้วกับกิมเอ็งตาค้างอยู่ งงๆ อะไรของมันวะ มันจริงหรือหลอกกันแน่ ฉายตะวันคลานเข้ามาใกล้ๆ ตุ้งแช่
“ป้าเองที่มีปัญหา เจ้าแม่ให้มาถามกับหนูจ้ะ”
“อ๋อ...เรื่องลูกชายป้าน่ะเหรอ วะ ฮะ ฮะฮ่าๆๆ”
ชิณงงเพราะไม่เป็นไปตามแผน
“นี่มันอะไรกัน จะบ้าไปกันใหญ่แล้ว คุณทรงวุฒิ”
ชิณหันมากลับเห็นทรงวุฒิมุดๆ เข้าไปเฝ้าตุ้งแช่ใกล้ๆ อ้าว...เวร
“แม่ฝากมาบอกให้ลูกชายป้า หัดทำบุญทำทาน หยุดเบียดคนอื่น หยุดทำให้คนอื่นเดือดร้อน เดี๋ยวเนื้อคู่ก็วิ่งเข้าหาเอง”
ชาวบ้านยิ้มแย้ม ตาเป็นประกายปิ๊งๆๆ เลื่อมใสตุ้งแช่สุดๆ
ชิณสุดจะทนโพล่งขึ้นอีก
“นี่ จะมาเจริญรอยตามพี่สาวหรือไง หะ”
ชาวบ้านเหลียวขวับ พรึ่บ! มาทางชิณ
“ไม่เชื่อก็ตามใจ ถ้าอยู่เป็นโสดจนแก่ตาย อย่าโทษเจ้าแม่ก็แล้วกัน” ตุ้งแช่ลูกเจ้าแม่ว่า
ในจังหวะต่อมาตุ้งแช่ก็ตัวสั่นๆ แล้วก็สลบไป
“แช่...แช่ลูกพ่อ!!!”
โต๊ดรีบลากตุ้งแช่เข้าไปด้านหลัง เพราะเห็นว่าท่าทางจะยุ่ง
ชิณเรียกไว้อย่างฉุนเฉียว “เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งไป ถ้าลูกเจ้าแม่มีจริงก็อย่าหนีสิ”
ฉายตะวันมองชิณด้วยความไม่พอใจ ยื่นคำขาด
“ชิณพอได้แล้ว ถ้าไม่หยุดแม่โกรธจริงๆ ด้วย”
ชิณครวญ “แม่”
ฉายตะวันยังโกรธอยู่ “เข้าบ้าน เรามีเรื่องต้องคุยกัน”
ฉายตะวันเดินนำออกไป กิมเอ็งและมิ้วรีบเดินตาม ชิณจะไม่ยอมไป แต่พอหันมาเห็นแววตาของชาวบ้านที่มองจิกพร้อมกับค่อยๆ ขยับเข้ามาหาชิณ ทรงวุฒิก็รีบมากันชิณออกไป
“ไปเถอะครับคุณชิณ” ทรงวุฒิรีบบอกกับชาวบ้าน “ทุกคนเชิญกลับได้เลยนะครับ เชิญครับ เชิญ”
ทรงวุฒิลากชิณออกไป ชิณยังโวยวายอยู่ด้วยความผิดหวังที่เปิดโปงกะละแมไม่สำเร็จ
“แน่จริงก็ออกมาคุยกันอีกทีสิเจ้าแม่! ออกมาทั้งเจ้าแม่ ทั้งลูกชายเจ้าแม่นั่นแหละ ออกมาสิ! โธ่ไม่แน่จริงนี่หว่า ยัยเจ้าแม่กำมะลอ!”
คำพูดดูแคลนตอนท้ายจี๊ดเลย...ชาวบ้านลุกฮือ จะวิ่งเข้ามาทำร้าย...ชิณกับทรงวุฒิรีบวิ่งหนีแทบไม่ทัน
ภายในบ้าน ฉายตะวัน ชิณ มิ้ว กิมเอ็ง และทรงวุฒิ เดินเข้ามากันเป็นแถว
กิมเอ็งพยายามเอาน้ำเย็นเข้าลูบ “ใจเย็นๆ นะคะคุณพี่ ค่อยพูดค่อยจากันนะคะ”
ฉายตะวันหันมาทางกิมเอ็งกับมิ้ว
“คุณกิมเอ็ง...หนูมิ้ว”
“คะ” กิมเอ็ง กะมิ้วขานพร้อมกัน
“ฉันขอคุยกับชิณเป็นการส่วนตัวนะคะ”
“อ๋อ...ได้เลยค่ะ เชิญคุยเลยค่ะ คุณน้องกับหนูมิ้วจะนั่งเงียบเลยค่ะ”
“ค่ะๆ ไม่พูดค่ะ”
มิ้วกับกิมเอ็งนั่งลงนิ่งๆ ทำท่ารูดซิป...ปิดปากเงียบ
ฉายตะวันพูดต่อ “ถึงไม่พูดก็อยู่ไม่ได้”
สองแม่ลูกเหวอ ร้อง หะ!
“เชิญกลับไปก่อนนะคะ”
กิมเอ็ง มิ้วเลิ่กลั่กแต่ต้องลุกขึ้นด้วยความขัดอารมณ์...มิ้วลุกตาม
“งั้นคุณน้องกลับนะคะ...ลาล่ะค่ะ”
กิมเอ็งกับมิ้วจำใจยกมือไหว้
“สวัสดีค่ะ”
กิมเอ็งกับมิ้วเดินออกไป ฉายตะวันหันขวับมาทางชิณ ทำเอาชิณสะดุ้งนิดๆ
แต่ชิณยังไม่ยอมแพ้พยายามชี้แจง
“ก่อนที่แม่จะต่อว่าอะไรผม ผมมีอะไรจะให้แม่ดู” เรียกทรงวุฒิ “พี่ทรงวุฒิ”
ทรงวุฒิเอาคอมพิวเตอร์แล็บทอปมาวางตรงหน้าฉายตะวัน แล้วคลิกเปิดคลิปวิดีโอ ที่หน้าจอเป็นภาพที่แอบถ่ายการเข้าทรงของกะละแมจากมุมต่างๆ
“นี่คือภาพเหตุการณ์ตอนเข้าทรง ผมแอบอัดวิดีโอไว้”
ฉายตะวันไม่ค่อยพอใจอยู่ “แม่ก็อยู่ในเหตุการณ์ จะให้แม่ดูทำไม”
“แต่แม่ไม่เห็นเบื้องหลังการเข้าทรง ผมแอบติดกล้องไว้ที่ด้านหลัง ตอนที่พวกนั้นเตรียมตัว เราอาจจะได้เห็นอะไรดีๆ ที่คิดไม่ถึงก็ได้” ชิณยิ้มท่าทีมั่นใจมวาก
แต่แล้วชิณกลับเห็นทรงวุฒิเงอะๆ งะๆ งงๆ ก็ออกปากเร่ง
“พี่ทรงวุฒิรีบเปิดคลิปสิ...คลิปด้านหลังที่ติดไว้บนต้นไม้”
“เอ่อ...คือว่า” ทรงวุฒิกระซิบชิณ “คือว่า เกิดความผิดพลาดขึ้นนิดหน่อยครับคุณชิณ”
ชิณงงหันมา “เกิดอะไรขึ้น”
“คือภาพจากกล้องหลังเวทีมัน...มัน...ถ่ายไม่ติดครับ”
ชิณตกใจ ฉายตะวันยิ้มพอใจ
“ทำไมถ่ายไม่ติด”
“ไม่ทราบครับ ภาพจากกล้องนั้นมันกลายเป็นแบบนี้ครับ”
ทรงวุฒิหันหน้าจอให้ชิณดู ที่หน้าจอมืดเหมือนมีใครเอาอะไรมาปิดไว้
“เป็นไปนี้ได้ยังไง ทำไมตอนถ่ายถึงไม่เช็คให้เรียบร้อย” ชิณโมโหมาก
“ช่างเทคนิคบอกว่าตอนเช้ายังดีอยู่ แต่พอเริ่มพิธีมันก็มืดไปเฉยๆ ไม่ทราบสาเหตุครับ ก็เลยต้อง” ทรงวุฒิหน้าเสีย บอกเสียงอ่อย “ปล่อยเลยตามเลย ออกไปซ่อมไม่ได้ครับ”
ฉายตะวันแทรกขึ้น “แม่บอกแล้วไงว่าของแบบนี้ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ บางทีเจ้าแม่อาจจะเป็นคนทำ
ให้ถ่ายไม่ติดก็ได้”
ทรงวุฒิรีบผสมโรง “ช่างเทคนิคก็บอกแบบนั้นเหมือนกันครับ”
ชิณหันมาเอ็ด “คุณทรงวุฒิ!”
ทรงวุฒิสะดุ้ง บรรยากาศมาคุโครตๆ แบบนี้เลยคิดว่าชิ่งดีกว่า “ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอตัวกลับก่อนนะครับ”
ทรงวุฒิเดินออกไปเลย ชิณหันมาทางฉายตะวัน เห็นฉายตะวันจ้องเขม็งด้วยความไม่พอใจ ชิณน้ำท่วมปากพูดไม่ออก
กะละแม ติ่ง โต๊ด ตุ้งแช่ ยืนคุยกันอยู่หลังบ้าน
“สำเร็จไปอย่างสวยงาม” กะละแมยิ้มแย้ม
“ฉลาดเหมือนกันนะนังกะละแม เอาตัวรอดจากการจับผิดของคุณชิณมาได้” โต๊ดยิ้มทึ่งๆ
ติ่งรีบเอาหน้าบ้าง “ชมฉันด้วยสิน้า ฉันเป็นคนเห็นกล้องวงจรปิด แล้วก็เอากระดาษไปปิดไว้ ถ้าฉันไม่เห็นเราอาจจะโดนแฉไปแล้วก็ได้”
โต๊ดชมแบบขอไปที “เออๆ เอ็งก็ฉลาด เก่ง วิเศษสุดๆ พอใจยัง”
ติ่งภูมิใจสุดๆ กะละแมยิ้มภูมิใจ
ตุ้งแช่แหลมขึ้นบ้าง “แล้วแช่ล่ะพ่อ”
ติ่งหันขวับมา “แกไม่ต้องชมหรอกเว้ยไอ้แช่ เลือดพ่อแกมันแรงอยู่แล้ว”
ทันใดนั้นป้าไฝก็ย่องมาข้างหลัง พร้อมกับยิ้มแป้น “แล้วฉันล่ะจ๊ะ”
กะละแม โต๊ด ติ่ง และตุ้งแช่หันมาด้วยความตกใจ
“นี่นังไฝ เอ็งมาทำไมวะ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้าความลับแตกกันพอดี”
“อ้าว ฉันก็ตื่นเต้นเหมือนกันนี่น้าโต๊ด อีกอย่างฉันก็อยากมาดูผลงานตัวเองด้วย และที่สำคัญฉันก็จะมารับ” ป้าไฝทำมือนับเงิน “น่ะนะ”
โต๊ดโบ้ยส่ง “ถ้าจะเอาเงินก็โน่นเลย ไปเอากับนังกะละแม มันเป็นคนวางแผน ไม่ใช่ข้า”
กะละแมเดินมาหยิบเงินส่งเงินให้ป้าไฝ 1 พันบาท “นี่จ้ะค่าเหนื่อย ขอบใจมากที่ให้ความร่วมมือ
กับพวกเราอย่างดี”
ป้าไฝโอดครวญ “พันเดียวเองเหรอ”
“แหมน้า...ได้จากคุณชิณตั้งหมื่นนึงแล้ว นี่ก็คิดว่ากินหนมแล้วกัน น่านะช่วยๆ กัน กินสองต่อแล้วยังจะบ่นอีก”
“ก็ได้ๆ พันนึงก็พันนึง” ป้าไฝรีบเก็บเงินใส่กระเป๋า
“เอ็งรีบๆ ไปเถอะนังไฝ เดี๋ยวคนอื่นมาเห็นพวกข้าจะซวยกันหมด”
“จ้ะๆ จะรีบไปเดี๋ยวนี้แหละ ขอบใจนะจ๊ะ”
ป้าไฝรีบเดินย่องออกไป
ทุกคนไม่รู้ว่านุ้ยกับก๋อยโผล่หน้าออกมาจากที่มุมหนึ่ง สองคนยิ้มร้าย เพราะเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด
กะละแม ติ่ง โต๊ด ตุ้งแช่เดินตรงมาหาอาม่า ที่ยืนอยู่กับโทฟู่และจักกาย
“มาแล้ว เจ้าแม่มาแล้ว!” ยกมือไหว้ “หวัดดีจ้า”
โทฟู่มองกะละแมด้วยสายตาชื่นชม
กะละแมรับไหว้ “อุ้ย...สวัสดีจ้ะอาม่า มาไหว้ฉันทำไม ฉัน...กะละแมไม่ใช่เจ้าแม่”
“จะอาแมหรือเจ้าแม่ก็คนเดียวกันนั่นแหละ ว่าแต่ที่เจ้าแม่บอกว่าเบื่อโลกมนุษย์ เจ้าแม่ไม่ประทับร่างลื้อแล้วจริงเหรออาแม” อาม่าบอก
จักกายมองอาม่าที่เชื่อกะละแมอย่างสนิทใจอยู่เงียบๆ
“จริงจ้ะ เจ้าแม่จะไม่ประทับร่างฉันอีกแล้ว” กะละแมประกาศก้อง “นับแต่นี้ไปฉันกับเจ้าแม่ไม่เกี่ยวข้องกันแล้วจ้ะ”
โต๊ดได้ยินก็ชะงัก...กลัวเสียรายได้
“ตะ...แต่มันก็ไม่แน่หรอกจ้ะ ทุกสิ่งย่อมมีการเปลี่ยนแปลง บางทีเจ้าแม่อาจจะกลับมาประทับร่างเอ็งอีกครั้งก็ได้”
ติ่งแขวะ “ถ้าเจ้าแม่ไม่ลงมา ก็อาจจะส่งลูกชายมาแทนเหมือนวันนี้ก็ได้ ใช่มั้ยไอ้แช่”
“เอ่อ...ใช่จ้ะ...ใช่” ตุ้งแช่รับซะงั้น
กะละแมได้ฟังแล้วก็รู้สึกไม่สบายใจ จักกายมองกะละแมแบบจับสังเกต โต๊ดหวั่นใจนิดๆ คิดด้วยความไม่สบายใจ
ติดตาม "เจ้าแม่จำเป็น" ตอนที่ 10 (ต่อ) เวลา 9.00 น.
เจ้าแม่จำเป็น ตอนที่ 10 (ต่อ)
ไม่นานหลังจากนั้น กะละแมเดินเข้ามาในบ้าน โดยมีโต๊ดตามเข้ามา
“ไอ้แม..ไอ้แม”
กะละแมหันมารอฟัง โต๊ดรีบถาม
“เรื่องที่เอ็งบอกว่าเจ้าแม่จะไม่ลงแล้ว เอ็งพูดแบบนั้นทำไมวะ? ตัดช่องทางทำมาหากินของพวกเราหมดสิ”
“ก็ดีแล้วนี่น้า จะได้ไปทำมาหากินอย่างอื่น”
“เฮ้ยย นี่ข้านึกว่าเอ็งพูดเล่นๆ”
“ไม่เล่น พูดจริงๆ ฉันไม่หลอกชาวบ้านอีกแล้ว ตอนนี้ทุกคนก็รู้แล้วว่าเจ้าแม่ไม่ลงมาแล้ว เพราะฉะนั้น..ฉันก็ไม่จำเป็นต้องทรงอีกต่อไป”
กะละแมพูดจบก็หันหลังเดินไปเลย
โต๊ดเหวอ “อะ...อ้าวเฮ้ย...ไอ้แม...เดี๋ยวก่อนสิวะ เอ็งไม่ทรงแล้วเราจะเอาอะไรกิน ไอ้แม...ไอ้แม”
โต๊ดได้แต่ตะโกนถามไล่หลัง แต่กะละแมไม่สนใจหันมาตอบ โต๊ดได้แต่ยืนเครียด...คิด เอาไงดีวะ?
พอรู้ความลับเจ้าแม่ ดวงถึงกับหน้าตาตื่น
“หะ! น้องกะละแมไม่ได้เป็นร่างทรงจริงๆ เหรอป๋า”
นุ้ยหน้าตาสะอกสะใจ
“ก็เออสิวะ กูเห็นกับตา ไอ้พวกนั้นมันหลอกชาวบ้าน แล้วก็หลอกไอ้เจ้าของที่ด้วย” นุ้ยหัวเราะสะใจ “มันคงจะคิดว่าทุกคนโง่ เชื่อมันหมด โชคดีที่กู...” พูดพลางยืดตัว “ฉลาด”
ดวงยิ้มร่า ทวงสัญญาทันที “ป๋าเก่งสุดยอด หนูดีใจจริงๆ ที่เกิดเป็นลูกป๋า ว่าแต่ป๋าอย่าลืมสัญญานะ ที่จะเอาน้องกะละแมมาเป็นเมียหนูน่ะ”
“เออน่า...กูไม่ลืมหรอก ตอนนี้เรามีความลับของพวกมันอยู่ในมือ จะบีบก็ตาย จะคลายก็มาเป็นเมียมึง และไอ้พวกนั้นต้องมาสิโรราบกับกู” นุ้ยหัวเราะสะใจ
“แต่มันก็แปลกนะป๋า ถ้าพวกนั้นมันแหกตาชาวบ้านเรื่องเข้าทรง แล้วทำไมมันบอกหวยถูกทุกงวด” ก๋อยคาใจ
นุ้ยบอกทันที “ฟลุคไงวะ และกูก็ไม่เชื่อว่าคนเรามันจะฟลุคได้ทุกงวด เสียดายงวดนี้ชาวบ้านซื้อหวยไม่ทัน กว่าจะเลิกทรงก็ซื้อไม่ทัน แต่งวดหน้าลองดูว่าพวกมันจะตีเป็นเลขอะไร นังกะละแมคิดเหรอว่าจะหลอกคนอย่างป๋านุ้ยได้ ไม่มีทางหรอกเว้ย”
นุ้ยหัวเราหึๆๆๆ จิกตาร้ายสุดฤทธิ์
ฉายตะวันเดินวนไปวนมาครุ่นคิดเรื่องที่เจ้าแม่บอกให้ชิณเลิกทำห้างแล้วจะพ้นเคราะห์
“ลูกชายเอ็งกำลังมีเคราะห์...ให้มันระวังตัวไว้ให้มากๆ หน่อย”
เหตุการณ์ตอนที่ชิณโดนซ้อมนอนสลบอยู่ที่โรงพยาบาล ฉายตะวันไปเยี่ยมผุดขึ้นมาอีก
ฉายตะวันดึงตัวเองกลับมา...สีหน้าวิตกกังวลมาก เมื่อนึกถึงอีกประโยคที่กะละแมเตือน
“เอ็งไปถามลูกชายเอ็งก็แล้วกันว่า ตอนนี้มันกำลังทำให้ใครเดือดร้อนอยู่หรือเปล่า แค่มันเลิกรังควานเค้าก็เท่ากับทำบุญแล้ว”
และยิ่งเครียดเมื่อคิดถึงเรื่องคู่ครองที่เจ้าแม่เตือน “ส่วนเรื่องคู่ที่แม่เอ็งห่วงนักห่วงหนา มันมีวิธีแก้เคล็ดง่ายๆ ก็คือ หยุดเบียดเบียนคนอื่น ให้ชาวบ้านอยู่ในซอยมหาลาภเหมือนเดิม ไม่ให้ทุกข์กับคนอื่น...ชีวิตเอ็งก็จะมีความสุข แต่ถ้าให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นก็จะถึงตัว...เข้าใจมั้ย!?”
ฉายตะวันคิดแล้วคิดอีก...แล้วก็ตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง
เย็นนั้นเองชิณตกใจระคนประหลาดใจ
“แม่จะยกที่ดินที่ปราณบุรีให้ผม”
สองแม่ลูกอยู่ในห้องรับแขกที่บ้าน ฉายตะวันบอกชิณด้วยสีหน้าจริงจัง
“ใช่...ยกเลิกการทำห้างที่ซอยมหาลาภ แล้วแม่จะให้ที่ดินผืนใหม่ที่ปราณบุรี ชิณจะทำห้างหรือทำโครงการอะไรก็ได้ ทำตามที่เจ้าแม่บอก ยอมให้ชาวบ้านอยู่ในซอยมาหาลาภต่อ แม่ขออีกคนก็แล้วกัน”
ชิณขัดใจ “โธ่แม่...คำทำนายมั่วๆ เชื่อได้ที่ไหน”
ฉายตะวันดุทันที “ชิณ! แม่ไม่เอาผิดเรื่องที่ชิณหลอกใช้แม่ให้ไปหลอกกะละแมมาเข้าทรง แล้วชิณจะทำเพื่อความสบายใจของแม่แค่นี้ไม่ได้หรือไง”
ชิณคราง “แม่ค้าบ”
“แม่พูดจริงๆ แม่ลูกอยู่คนเดียว ไม่ยอมเอาชีวิตลูกไปเสี่ยงกับเงินที่เราก็มีอยู่ตั้งมากมาย ไม่ได้ทำโครงการนึง เราไม่จนลงหรอกลูก เงินเท่าที่มีก็ใช้ทั้งชาตินี้ไม่หมดแล้ว ถ้าชิณยังยืนยันที่จะทำห้างที่ซอยมหาลาภก็ไม่ต้องมาคุยกับแม่”
ชิณเห็นฉายตะวันเอาจริง ก็เลยยอมเออออไปก่อน
“ก็ได้ครับ เพื่อความสบายใจของแม่ ผมจะลองไปดูที่ที่ปราณบุรีก็ได้”
ฉายตะวันยิ้มพอใจ “ดี...แม่จะหาคนไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้”
ชิณอึ้ง “ดูฮวงจุ้ย! เมื่อไหร่แม่จะเลิกงมงายเรื่องพวกนี้สักที” หน้าอย่างเซ็ง
“งมงายอะไร เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องสากลโลกนะ ตอนนี้บริษัทใหญ่โตเค้าก็ต้องดูฮวงจุ้ย ทำฮวงจุ้ยแก้กันทั้งนั้น แม้แต่สถานที่ราชการ ห้างสรรพสินค้า บ่อนคาสิโนเค้าก็ทำกันทั้งนั้น ถ้าชิณพิสูจน์ได้ว่าเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องโกหกหลอกลวง แม่ก็จะเลิกงมงาย แต่ถ้าชิณยังพิสูจน์ไม่ได้ ก็อย่ามาห้ามไม่ให้แม่เชื่อ”
ฉายตะวันพูดจบก็เดินออกไป ทิ้งให้ชิณนั่งเซ็งอยู่คนเดียว
โต๊ดนั่งคิดเครียด นึกถึงที่กะละแมบอกว่าจะไม่ทรงแล้ว ทันใดนั้นแจ่มวิ่งมาหา
“น้าโต๊ด ๆๆ คุณท่านให้น้าโต๊ดไปหาด่วน”
“มีเรื่องอะไร”
โต๊ดอดหวั่นใจไม่ได้...มีเรื่องอะไร?
ฉายตะวันคุยกับโต๊ดอยู่ที่หน้าบ้านหลังเล็ก มีแจ่มคอยรับใช้อยู่ใกล้ๆ
“เรื่องเมื่อเช้าฉันต้องขอโทษด้วยนะ บอกกะละแมว่าฉันไม่ได้ตั้งใจหลอกมาทรง”
“ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจ ไม่ได้โกรธอะไรสักนิดเลยครับ”
“เนี่ยเจ้าแม่ก็พิโรธ ไม่ยอมลงมาอีกแล้ว”
“มันก็ไม่แน่หรอกครับ ไอ้แมมันอาจจะเปลี่ยนใจ” พูดแล้วรู้ตัว หะ “คือเจ้าแม่น่ะครับ เจ้าแม่อาจจะเปลี่ยนใจก็ได้”
“อ๋อ...ถ้าเป็นแบบนั้นก็ดี เออนี่ นายโต๊ดพอจะรู้จักใครที่ดูฮวงจุ้ยเก่งๆ บ้างไหม ฉันอยากให้ไปดูที่ที่ปราณบุรีให้หน่อย”
โต๊ดคิดนิดหนึ่งแล้วตอบอย่างมั่นใจ “ไอ้แมเลยครับ ไอ้แมมันดูเป็นครับคุณนาย มันศึกษาเรื่องฮวยจุ้ยตั้งแต่เริ่มอ่านหนังสือออก แต่มันไม่ค่อยรับดูให้ใครเท่าไหร่ นอกจากคนสนิทเท่านั้น”
ฉายตะวันคาดไม่ถึง “อ้าวเหรอ...แล้วอย่างนี้ เค้าจะรับดูให้ฉันหรือเปล่า”
โต๊ดรับเฉยเลย “ดูสิครับ ดูแน่นอน คุณท่านมีบุญคุณกับพวกเราขนาดนี้ ถ้ามันไม่ดูก็อกตัญญูเกินไปแล้วครับ”
“เหรอ งั้นก็ดีสิ ถ้าหนูกะละแมดู ฉันจะได้สบายใจ เพราะปกติให้คนอื่นดูให้ทีนึงก็เป็นแสนๆ ดูเป็นจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้”
โต๊ดตาวาว…เป็นแสน “ถ้าเป็นกะละแม ดูเป็นแน่ๆ ครับ ศึกษามาอย่างดี ไม่มีมั่ว” พลางยื่นหน้าเข้ามาถาม “ตกลงคุณนายจะให้มันดูให้หรือเปล่าครับ”
คืนนั้นกะละแมหน้าเหวอพอรู้เรื่องจากโต๊ด
“คุณนายจะให้ฉันไปดูฮวงจุ้ยเนี่ยนะ”
โต๊ดตอบหน้าบาน
“ใช่! คุณนายเพิ่งเรียกข้าไปคุยเมื่อกี้นี้เอง”
เวลาเดียวที่ห้องรับแขกบ้านชิณ
“หะ! ที่แม่หายไปเนี่ย ไปถูกไอ้พวกนั้นหลอกมาอีกแล้วเหรอครับและที่บอกว่าจะไปปราณดูฮวงจุ้ย ก็คือยัยกะละแมกำมะลอเนี่ยนะ”
ฉายตะวันฉุน “พูดให้ดีหน่อยนะชิณ แม่คุยกับนายโต๊ด หนูกะละแมเค้าไม่รู้เรื่อง”
“มันก็พวกเดียวกันนั่นแหละ” ชิณฉุกคิด “แล้วยัยร่างทรงดูฮวงจุ้ยเป็นด้วยเหรอ”
ส่วนที่บ้านหลังเล็ก กะละแมโพล่งออกมา...ตุ้งแช่ ติ่ง โต๊ดนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
“ฉันดูฮวงจุ้ยไม่เป็น!”
“ดูไม่เป็นก็หาหนังสือมาอ่านสิวะ” โต๊ดว่าหน้าตาเฉย
“ดูตามเน็ตก็ได้พี่แม แช่เคยเห็นคลิปดูฮวงจุ้ยในยูทูป เดี๋ยวแช่ช่วย ไปเหอะนะพี่แม แช่อยากไปเที่ยวทะเล” ตุ้งแช่ชูจั๊กกะแร้เชียร์สุดลิ่ม
ติ่งร่วมด้วย “ใช่ๆ รับๆ งานไปเหอะ ฉันก็อยากไปเหมือนกัน หาดทราย...สายลม...สองเรา”
ติ่งฝันหวาน
กะละแมร้องเสียงหลง “เฮ้ย! เดี๋ยว...นี่มันเรื่องใหญ่นะ ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แล้วก็ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ”
“ข้าก็ไม่คิดจะทำเล่นๆ นี่จริงจังนะเว้ย คุณนายเค้าจ่ายทีนึงหลักแสน” โต๊ดบอก
กะละแมคิดก่อนบอก “เอางี้น้าโต๊ด ถ้าฉันยอมไปดูฮวงจุ้ยให้ ได้เงินมาก็เอาไปเช่าบ้าน แล้วเราก็ออกจากที่นี่ทันที!”
โต๊ดอึกอัก...เอาวะยอมมันไปก่อน “เออๆ ก็ได้ เลิกก็ได้”
กะละแมกัดฟัน “แล้วเค้าจะให้ฉันไปดูเมื่อไหร่?”
ที่ห้องรับแขกตึกใหญ่ ชิณอุทาน
“เสาร์ อาทิตย์นี้”
ที่บ้านหลังเล็กกะละแมนับนิ้ว “อีก 3 วัน” หน้าเหวอ “ใครจะไปอ่านทัน”
“เอ็งหัวดีจะตาย ท่องแป๊บเดียวก็จำได้” โต๊ดทำเป็นยอ
“แต่นี่มันกะทันหันเกินไป”
ทางด้านชิณออกอาการไม่อยากไป “กะทันหันแบบนี้ผมเคลียร์งานไม่ทันหรอกครับแม่”
“ก็รีบๆ ไปเคลียร์ ทำไมจะไม่ทัน แม่อยากให้เราไปด้วยกัน จะได้ดูว่าทำธุรกิจอะไรดี ยิ่งมีหนูกะละแมไปดูฮวงจุ้ยให้ด้วยก็ยิ่งดี มีอะไรจะได้ปรึกษาเค้า”
ชิณชะงักนิ่งคิด “โอเคผมจะรีบเคลียร์งาน ก็ดีเหมือนกัน...ผมก็อยากจะรู้ว่ายัยร่างทรงนั่นจะดูฮวงจุ้ยเป็นจริงหรือเปล่า อย่ามามั่วให้ผมเห็นก็แล้วกัน” ชิณมาดมั่น รำพึงเบาๆ “ครั้งนี้ฉันไม่พลาดแน่”
ส่วนที่บ้านหลังเล็ก กะละแมกุมขมับมั่นใจว่าชิณต้องวางแผนเล่นงานแหงๆ
“งานนี้ซวยแน่ๆ”
กลางดึกคืนนั้น โทรศัพท์มือถือของโทฟู่ที่วางอยู่หัวเตียงดังขึ้น โทฟู่คว้ามาดูเห็นเป็นชื่อจักกาย...นาฬิกาที่หน้าจอบอกเวลาตีสาม...อาม่าที่นอนอยู่เตียงเดียวกับโทฟู่พลิกตัว โทฟู่หันไปมองแล้วรีบกดรับโทรศัพท์ กลัวอาม่าตื่น
โทฟู่เสียงงัวเงีย “คุณมีอะไร...นี่มันตีสามนะ” โทฟู่หาวหวอดๆ
จักกายพูดโทรศัพท์ เสียงคล้ายคนหมดแรง “ช่วยด้วย”
โทฟู่ตกใจ หายง่วงเป็นปลิดทิ้ง “เฮ้ย! คุณเป็นอะไร”
โทฟู่ตกใจตาสว่างทันที
ประตูห้องน้ำปิดสนิท เสียงกดชักโครกดังขึ้น จักกายเดินหน้าซีดตัวงอออกมาจากห้องน้ำ โทฟู่รีบวิ่งไปประคอง แล้วพามานั่งที่โซฟา
“ค่อยๆ เดิน”
จักกายนั่งลง “ขอโทษนะที่ต้องโทรรบกวนคุณกลางดึก ผมพยายามติดต่อคุณศจีแล้ว แต่ติดต่อไม่ได้”
“ดึกขนาดนี้คุณศจีคงหลับแล้วล่ะ” โทฟู่มองหน้าจักกายด้วยความเป็นห่วง “แล้วนี่เป็นไงบ้าง”
“คลื่นไส้ อาเจียน แล้วก็ท้องเสีย เข้าห้องน้ำเป็นสิบๆ รอบ จนจะไม่มีแรงเดินแล้วเนี่ย...โอ๊ย...” จู่ๆ ก็ปวดท้องแต่พออั้นได้
“อาการแบบนี้อาหารเป็นพิษชัวร์ เมื่อกลางวันไปกินอะไรมา ถึงได้ถ่ายท้องหนักขนาดนี้”
“ไม่รู้เหมือนกัน โอ๊ย...มันมาอีกแล้ว...ไปก่อนนะ”
จักกายจับท้องแล้ววิ่งเข้าห้องน้ำไป...โทฟู่ส่ายหน้าแล้วตะโกนตามหลัง
“เฮ่อ...เดี๋ยวฉันไปเอายาฆ่าเชื้อกับน้ำเกลือแร่มาให้นะ”
โทฟู่ถอนหายใจ ส่ายหน้านิดๆ แอบเป็นห่วงจักกาย
ไม่นานนัก โทฟู่เข้ามาในห้องครัว หยิบถาดออกมาวาง จัดยาใส่ถ้วยเล็กๆ จัดน้ำเปล่าหนึ่งแก้ว แล้วก็หันไปชงเกลือกแร่อีกหนึ่งแก้ว โทฟู่จัดทุกอย่างวางในถาดอย่างตั้งใจ แล้วยกถาดออกไป
ส่วนจักกายนอนหมดแรงอยู่บนเตียง โทฟู่เปิดประตูเข้ามาในห้อง ถือถาดยาและเกลือแร่ที่ชงแล้วเข้ามาด้วย โทฟู่เดินมานั่งที่ขอบเตียง
“ฉันชงเกลือแร่มาให้ ดื่มซะจะได้หายเพลีย แล้วก็ยาฆ่าเชื้อ กินทุก 4 ชั่วโมง ฉันตั้งเวลาไว้แล้ว กินตอนนี้ กินอีกทีก็ตอน 7 โมง ฉันจะเอามาให้ ช่วงเช้าฉันดูแลคุณได้ แต่ตอนบ่ายฉันมีเรียน ฉันจะจัดยาไว้ให้ แล้วอาม่าจะคอยดูแลแทน”
โทฟู่พูดไปก็ประคองจักกายลุกขึ้นกินยา แล้วก็ส่งแก้วเกลือแร่ให้ จักกายกินยาแล้วก็รับแก้วเกลือแร่ไปจิบ แล้วก็แอบมองหน้าโทฟู่ ระหว่างนี้โทฟู่ก็พูดไปด้วย
“ถ้าจะให้ดี คุณน่าจะค่อยๆ คิดว่าไปกินอะไรมา ถึงได้ท้องเสีย คราวหน้าจะได้ระวังไม่กินอีก”
“ค้าบ...คุณหมอ” จักกายแซวๆ “เทศน์ซะยาวเลย”
“อย่าเพิ่งเรียกฉันว่าคุณหมอ ฉันยังเรียนไม่จบ แล้วนี่มาแอบด่าหรือเปล่า คนอุตส่าห์หวังดี”
จักกายขำ “เปล่า...ผมไม่ได้ว่า ไม่ได้ด่า ผมแค่แซวเล่น” โทฟู่เหล่ๆ จักกายปรับน้ำเสียงฟังนุ่มนวลขึ้น “ขอบคุณมากนะที่ช่วยดูแลผม”
“ไม่เป็นไร ทีคุณยังดูแลฉันกับอาม่าเลย ให้ฉันได้ตอบแทนคุณบ้าง เล็กน้อยก็ยังดี” โทฟู่ยิ้มละไม
“สิ่งที่คุณทำให้ผม ไม่ใช่แค่เรื่องเล็กน้อย นอกจากพ่อ แม่และคุณศจี ผมยังไม่เคยยอมให้ใครเข้ามาอยู่ใกล้ผมมากขนาดนี้ แสดงว่าผมไว้ใจคนไม่ผิด”
โทฟู่ชักจะเขิน “ไม่เพลียเหรอ ทำไมพูดมากจัง นอนได้แล้ว”
“ค้าบบบ...คุณหมอ อุ๊ปส์! คุณโทฟู่”
โทฟู่แอบมองจักกายที่แกล้งนอนหลับตา โทฟู่ยิ้มนิดๆ แล้วก็ขยับผ้าห่มห่มให้จักกาย ปิดไฟ แล้วก็เดินออกไป
จักกายค่อยๆ ลืมตา ยิ้มนิดๆ อย่างเป็นสุข
กิมเอ็งกับมิ้วแวะมาหาฉายตะวันแต่เช้า และเวลานั้นกิมเอ็งกำลังถามย้ำ
“คุณพี่กับคุณชิณจะไปดูที่ที่ปราณบุรีเหรอคะ”
“ใช่จ้ะ ฉันว่าจะให้หนูกะละแมไปดูฮวงจุ้ยให้ด้วย”
กิมเอ็งกับมิ้วมองหน้ากัน...หมั่นไส้อะไรๆ ก็กะละแม...แล้วกิมเอ็งก็หันมาพูดกับฉายตะวันต่อ
“ว่าแต่คุณพี่จะไปดูฮวงจุ้ยที่นั่นทำไมคะ”
“ตอนแรกฉันว่าจะให้ชิณย้ายไปทำห้างที่นั่น แต่เค้าไม่เอา บอกว่ากลัวไม่มีคนไปเดิน ฉันก็เลยว่าจะให้ทำคอนโดผู้สูงอายุ ขายถูกๆ ให้คนแก่ที่ไม่มีลูกหลานดูแล หรือพวกที่ลูกหลานไม่มีเวลาดูแลไปอยู่”
มิ้วสอพลอแบบไม่คิดทันที “คุณป้าฉล๊าดฉลาดนะคะ ทำให้คนแก่ที่ไม่มีแรงจะเดินไปอยู่ ทีนี้ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีคนไปเดิน เพราะยังไงก็เดินกันไม่ไหวอยู่แล้ว ใช่ไหมคะคุณแม่”
กิมเอ็งมองหน้ามิ้วแล้วยิ้มเจื่อนๆ ให้กับคำพูดที่ไม่ค่อยสร้างสรรค์ของมิ้ว
“เอ่อ...ก็ดีเหมือนกันนะคะคุณพี่ ทำบุญกับคนแก่ได้บุญดีค่ะ บางทีผลบุญครั้งนี้อาจจะทำให้คุณชิณได้เจอเนื้อคู่เร็วๆ จะได้แต่งงานสักที”
“เป็นแบบนั้นก็ดีสิ...เฮ้อ”
ฉายตะวันถอนหายใจ อย่างหนักใจ
ระหว่างนั้นโต๊ดยืนอยู่หน้าห้องรับแขกพอดี...แอบได้ยินว่าฉายตะวันจะทำคอนโดผู้สูงอายุ...โต๊ดฟังแล้วคิด
ตะวันฉายไม่อยู่ มิ้วกับกิมเอ็งนั่งคุยกันที่ห้องรับแขก
“คุณป้าเป็นเอามากนะคะคุณแม่ ถึงกับยอมยกเลิกการสร้างห้าง แผนเมื่อวานก็ไม่สำเร็จ แล้วเราจะทำยังไงต่อไปดีคะ...เราตามคุณป้าไปปราณบุรีดีไหมคะคุณแม่ มิ้วไม่ไว้ใจนังกะละแมเลยค่ะ”
กิมเอ็งคิด
“ใจเย็นๆ ค่ะคุณลูกขา ของแบบนี้ต้องใจเย็นๆ ออกตัวแรงไปจะดูไม่งามค่ะ”
“ด้านได้อายอด...คุณแม่ไม่เคยได้ยินเหรอคะ” มิ้วกระฟัดกระเฟียด อยากไปเต็มกลืน
กิมเอ็งสะดุ้ง “อุ้ย..แรงไปนะคะคุณลูก แม่ว่ายังไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ เพราะคุณชิณคงไม่สนใจมัน ดูท่าทางคุณชิณเกลียดมันยังกะอะไรดี แม่ว่าไม่ต้องห่วงหรอกจ้ะ”
“คุณแม่แน่ใจนะคะ ว่าคุณชิณเกลียดนังกะละแมมันจริงๆ”
กิมเอ็งหน้าเครียดเพราะ...ไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกัน
ที่โต๊ะอาหารเที่ยง จักกายกินข้าวต้มที่อาม่าทำให้จนหมดชาม...อาม่าเห็นแล้วก็ยิ้มปลื้มใจ โทฟู่เดินมา
พูดกับอาม่า
“ฟู่ไปเรียนนะม่า ฝากดูแลกายด้วยนะ ...ม่าเอายาให้เค้ากินให้ตรงเวลานะ ฟู่จดไว้ให้แล้ว่าต้องกินตอนกี่โมง แล้วก็ให้กินเฉพาะอาหารอ่อนรสจืดๆ อย่าลืมชงเกลือแร่ให้จิบเป็นระยะๆ ด้วยนะจ๊ะ”
อาม่าแซว “เอ๊า...แค่ท้องเสียนะ ไม่ได้เป็นอะไรมาก สั่งซะยาวเฟื้อย จะไปเรียนไม่ใช่เหรอ รีบๆ ไปสิ เดี๋ยวก็ไปไม่ทันกันพอดี”
โทฟู่ยิ้มแหยๆ “โธ่...ม่าก็ ไปก็ได้” ไม่วายกำชับ “แต่ม่าอย่าลืมที่บอกนะ” โทฟู่นึกได้ “อ้อ...ส่วนเรื่องชวนกะละแมมากินข้าว เดี๋ยวฟู่โทร.ชวนให้นะ”
อาม่ายิ้มพอใจ “ดีๆ ชวนมาให้ได้นะ ม่าคิดถึง”
“จ้ะ” โทฟู่หันมาทางจักกาย “ไปนะคุณ หายไวๆ ล่ะ”
โทฟู่เดินออกไป จักกายมองตามยิ้มขำๆ
เจ้าแม่จำเป็น ตอนที่ 10 (ต่อ)
เวลาต่อมาจักกกายกับศจีคุยกันอยู่ที่ริมสระว่ายน้ำ สภาพของศจีมีสีหน้าซีดเซียวเหมือนคนเพิ่งฟื้นไข้
“ดิฉันต้องขอโทษด้วยที่เมื่อคืนไม่ได้รับโทรศัพท์ ดิฉันท้องเสียมากนอนให้น้ำเกลืออยู่ที่โรงพยาบาล” ศจีเสียงเบา ไม่ค่อยมีแรง “สงสัยจะเป็นเพราะหอยนางรมที่ไปทานกับคุณกายเมื่อวานนี้แน่ๆ แล้วคุณกายไปหาหมอหรือยังคะ”
“ผมไม่เป็นไรแล้วล่ะ โทฟู่เค้าจัดยาให้ผมกินแล้ว”
“มีนักศึกษาแพทย์อยู่ใกล้ตัวก็ดีอย่างนี้นี่เอง”
จักกายยิ้มนิดๆ แล้วก็ตัดสินใจถามศจี
“คุณศจีมีแฟนมั้ย?”
ศจีชะงักเล็กน้อย ไม่คิดว่าจักกายจะถามเรื่องนี้ แต่ก็ตอบตามตรง
“ไม่มีค่ะ”
จักกายสงสัย “คุณจีก็ไม่ได้ดูแย่อะไร ออกจะดูดีด้วยซ้ำ ทำไมถึงไม่มีแฟน”
ศจีลืมตัวอายม้วน...แล้วก็ทำเข้มเหมือนเดิม “ดิฉันทำงานมากไปมั้งคะ เลยไม่มีเวลาไปเจอใคร”
“แล้วเคยมีแฟนมาก่อนหรือเปล่า”
ศจีลืมตัวเขินนิดๆ “แหม...ของแบบนี้มันก็ต้องมีบ้าง” พอรู้ตัวก็เก๊กขรึมเหมือนเดิม “แต่นานแล้วค่ะ”
“แล้วคุณจีรู้ได้ยังไงว่าคนๆ นั้นคือคนที่ใช่ มีใครบอกหรือเปล่า หรือว่ารู้สึกได้เอง แล้วความรู้สึกนั้นมันเป็นยังไง”
ศจีคิดแล้วก็ยิ้มนิดๆ ก่อนตอบ “เวลาอยู่ใกล้คนที่เรารัก เราจะรู้สึกดี มีความสุข ยิ้มและหัวเราะได้อย่างเป็นธรรมชาติ เป็นตัวของตัวเอง และรู้สึกอบอุ่นใจเวลามีเค้าอยู่ข้างๆ”
ระหว่างที่ศจีพูด จักกายก็คิดถึงตอนอยู่กับโทฟู่ในสถานการณ์ต่างๆ ที่ทำให้รู้สึกอบอุ่นใจ เช่น...
ตอนที่โทฟู่เอายามาให้กิน หรือตอนที่สองคนกินโจ๊กด้วยกันอย่างมีความสุข
จักกาย เผลอยิ้มโดยไม่รู้ตัว...ศจีมองแล้วก็อดสงสัยไม่ได้
“ทำไมจู่ๆ คุณกายถึงได้ถามเรื่องนี้คะ”
“ผมแค่อยากเช็คความรู้สึกของตัวเองว่าใช่หรือไม่ใช่”
ศจีอยากรู้ “แล้วตกลงว่าใช่หรือเปล่าคะ”
จักกายยิ้มๆ ไม่ยอมตอบ
ขณะเดียวกันชิณคุยกับทรงวุฒิอยู่ในห้องทำงานท่าทางเคร่งเครียด
“เรื่องสร้างห้างในซอยมหาลาภเราคงต้องพักไว้ก่อน ยิ่งแผนเมื่อวานล้มเหลว แม่ยิ่งเชื่อกะละแมมากขึ้น แล้วนี่ยังจะให้ผมย้ายไปทำโครงการใหม่ปราณบุรีอีก”
“แล้วคุณชิณจะทำไหมครับ”
“ยังไม่รู้ แต่พรุ่งนี้แม่จะให้กะละแมไปดูฮวงจุ้ยที่ปราณ เรายังมีโอกาสแก้มือ ถ้าครั้งนี้เราพิสูจน์ได้ว่าพวกนั้นเป็น 18 มงกุฎจริง แม่ก็อาจจะยอมเชื่อ แล้วเราจะได้กลับมาทำห้างเหมือนเดิม เราต้องช่วยกันเปิดโปงพวกนั้นให้ได้”
ชิณมุ่งมั่นต้องเปิดโปงกะละแมให้ได้
“ครับคุณชิณ” ทรงวุฒิยิ้ม “ผมก็อยากไปทะเลเหมือนกัน”
ชิณเอ็ด “ไปทำงานนะ ไม่ได้ไปเที่ยว”
ทรงวุฒิสะดุ้ง “ครับ...ไปทำงานครับ” ว่าแล้วก็เข้าเรื่องงาน “แต่ว่า..ถ้ากะละแมดูฮวงจุ้ยเป็นจริงๆ นอกจากเราจะเปิดโปงไม่ได้แล้ว เด็กนั่นยิ่งจะได้หน้ามากขึ้นด้วยนะครับ”
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง เพราะผมฟันธงว่ากะละแมดูฮวงจุ้ยไม่เป็น!”
ชิณมั่นใจมวาก
ตอนกลางวัน วันนั้นกะละแมลากติ่งมาถึงหน้าห้องสมุด ติ่งไม่อยากเข้าไป กะละแมฉุดแขนเข้าไปเลย
-ในห้องสมุด กะละแมเดินเลือกหนังสือตามชั้นต่างๆ หยิบเล่มที่น่าสนใจออกมาได้หลายเล่ม กะละแมหอบหนังสือเต็มมือเดินมาหาติ่งที่ฟุบหน้าหลับอยู่ที่โต๊ะ ตรงหน้าติ่งมีหนังสือฮวงจุ้ยหลายเล่มวางอยู่ กะละแมกระแทกหนังสือในมือลงตรงหน้าติ่ง ติ่งสะดุ้งตื่นแล้วรีบเช็ดน้ำลาย
กะละแมหยิบสมุดกับปากกาออกมาวางแล้วสั่งให้ติ่งจด
“อ่านให้หมดนะ ตรงไหนสำคัญก็จดไว้ให้ฉันด้วย”
“ให้อ่านหมดเนี่ยนะ!?” ติ่งมองหนังสือแล้วจะเป็นลม
“เออ!”
กะละแมนั่งลงแล้วก็อ่านหนังสืออย่างขะมักเขม้น ติ่งมองกะละแมแล้วก็มองหนังสือกที่กองเป็นพะเนินแล้วก็บ่น
“อ่านหมดนี่คงได้เป็นดอกเตอร์ทางฮวงจุ้ยกันพอดี”
เย็นนั้นกะละแม และตุ้งแช่ อยู่ในร้านอินเตอร์เน็ตแห่งหนึ่ง กะละแมกับตุ้งแช่ช่วยกันหาข้อมูลฮวงจุ้ยในอินเทอร์เน็ต กะละแมเปิดเว็บโน้น เว็บนี้ แล้วก็ดูคลิปยูทูป กะละแมเหลือบดูหน้าจอคอมพ์ของตุ้งแช่ เห็นตุ้งแช่แอบเล่นเกมก็ตบหัวตุ้งแช่ดังป๊าบ!!!
“โอ๊ย”
“ห้ามอู้ ตั้งใจทำงาน”
“ไม่อู้แล้วจ้ะ...ไม่อู้แล้ว”
ตุ้งแช่รีบเปิดดูคลิปต่อ แล้วก็จดยิกๆ ด้วยความตั้งใจ
สักครู่หนึ่งโทฟู่เดินเข้ามาในร้าน แล้วตะโกนเรียกกะละแมอยู่หน้าร้าน
“ไอ้แม”
โทฟู่โบกมือให้ กะละแมหันมาโบกมือตอบแล้วเดินออกมาหาเพื่อนเลิฟ
ต่อมาไม่นานกะละแมนั่งคุยกับโทฟู่อยู่ในร้านไอศกรีม
“แกทำอะไรที่ร้านเน็ต”
“เอ่อ...มาหาข้อมูล...ทำ...ทำรายงานน่ะ ว่าแต่แกมาหาฉันมีเรื่องอะไร”
“อาม่าให้ฉันมาชวนแกกับน้าโต๊ด พี่ติ่ง ตุ้งแช่ไปกินข้าวด้วยกัน ตั้งแต่ไปอยู่คอนโดจักกาย อาม่าก็ไม่มีเพื่อน คงจะเหงา เลยอยากเจอพวกแก”
“โธ่เอ๊ย...เรื่องแค่นี้โทรบอกก็ได้ ไม่เห็นต้องมาเองให้เหนื่อยเลย”
โทฟู่ยิ้ม “ก็ฉันคิดถึงแก อยากมาเจอแกด้วย ตกลงไปได้ใช่ไหม...วันเสาร์นี้นะ”
“วันเสาร์...ไปไม่ได้ว่ะ”
“ทำไม”
กะละแมทำหน้าลำบากใจไม่รู้จะบอกยังไงดี
อาม่ากับโทฟู่คุยกันอยู่ในห้องนั่งเล่นที่คอนโด
อาม่าออกอาการตื่นเต้นสุดๆ “อาแมจะไปดูฮวงจุ้ยที่ดินที่ทะเลกับคุณนายฉายตะวัน”
จักกายเดินมาได้ยินก็หยุดฟัง
“ใช่จ้ะม่า ไปกันทั้งบ้านเลย มันคงจะมากินข้าวกับม่าไม่ได้นะ”
“ดูไปทำไม”
“เห็นมันบอกว่าเค้าจะทำธุรกิจใหม่อะไรนี่แหละ”
จักกายฟังอย่างตั้งใจ
อาม่าอยากไปด้วย “อาแมมาไม่ได้ เราก็ไปกับมันด้วยสิ” โทฟู่อึ้ง “ม่าก็อยากไปเที่ยวทะเลเหมือนกันนะ ตั้งแต่สาวจนแก่ป่านนี้ ม่ายังไม่เคยไปทะเลเลย”
“เราจะไปกันได้ยังไงล่ะม่า...” โทฟู่ยังพูดไม่ทันจบ
เสียงจักกายดังเข้ามา “ผมพาไปเองครับ”
จักกายเดินมายิ้มๆ
อาม่าดีใจ “จริงนะ...อย่าหลอกคนแก่นะ”
“จริงครับ ถือเป็นการตอบแทนอาม่าที่ดูแลผมตอนที่ผมป่วย อาม่าเตรียมจัดกระเป๋าได้เลย”
“งั้นม่าไปเตรียมจัดกระเป๋าล่ะนะ” อาม่าเดินลิ่วไปในห้องอย่างร่าเริง
โทฟู่มองจักกายแบบจับผิด
“ใจดีเกินไปหรือเปล่า? คิดอะไรอยู่”
“ก็คิดอยากตอบแทนบุญคุณอาม่ากับคุณไง” โทฟู่ไม่เชื่อ “อย่าซีเรียสน่า ผมแค่เห็นว่าอาม่าอยากไปทะเล ผมว่างก็เลยจะพาไปก็เท่านั้นเองคิดมากไปได้”
จักกายยิ้มชิลล์ๆ แล้วเดินออกไป โทฟู่มองตามไม่วางใจเอาเลย
กลับมาที่บ้านหลังเล็กเย็นนั้น กะละแมเดินมา แล้วก็บ่นไปด้วย
“ท่องตำราฮวงจุ้ยหนักยิ่งกว่าท่องหนังสือสอบอีก...เฮ้อ”
ทันใดนั้นชิณที่ซุ่มอยู่มุมทางเดินก็โผล่พรวดออกมาดักหน้ากะละแม
“บ่นอะไร”
กะละแมตกใจ “เฮ้ย...โผล่มาได้ไง”
“โผล่มาดูหน้าจอมวางแผนไง เธอนี่เก่งนะ หลอกแม่ฉันให้จ้างไปดูฮวงจุ้ยได้คิดจะเป่าหูหลอกเอาอะไรจากแม่ฉันอีก”
“ฉันแค่จะไปดูฮวงจุ้ย ไม่ได้คิดจะไปหลอกคุณนาย”
“ฮวงจุ้ยหรือฮวงเจ๊ง...ดูมั่วล่ะสิ ถ้าเธอไม่อยากถูกแฉกลางอากาศก็ล้มเลิกการดูฮวงจุ้ยซะ ต้องการเท่าไหร่ ฉันยินดีจะจ่าย แล้วก็เลิกยุ่งกับแม่ฉันสักที”
กะละแมได้ยินข้อเสนอก็เจ็บจี๊ด กะละแมพูดตรงๆ จากใจ
“คุณชิณ..ฉันรู้ว่าในสายตาคุณ ฉันเป็นคนที่ไม่น่าไว้วางใจ คิดแต่จะเอาเงินของแม่คุณ คุณไม่ผิดที่จะคิดแบบนั้น” ชิณชะงักนิดๆ กับความจริงจังของกะละแม “แต่คุณไม่ต้องห่วง นับจากนี้ไป เจ้าแม่จะไม่ลงมาประทับร่างฉันอีกแล้ว ... จะไม่มีการเข้าทรงอีกต่อไป และหลังจากที่ฉันดูฮวงจุ้ยครั้งนี้เสร็จ ฉันจะไม่ยุ่งกับคุณนายและคุณ ฉันจะไม่มาให้คุณเห็นหน้าอีกเลยตลอดชีวิต”
พูดจบกะละแมก็สะบัดหน้าเดินเข้าบ้านไปแบบเฮิร์ทๆ
ชิณมองตามกะละแม รู้สึกแปลกๆ ในใจแอบคิด “จะไปจริงเหรอ?”
คืนนั้นกะละแมนั่งอ่านหนังสือฮวงจุ้ยอย่างตั้งใจ เห็นข้อความในหนังสือ กะละแมพูดตามหนังสือ
“การปรับสภาพของ "ฮวงจุ้ย" ให้ดีนั้น จะต้องสอดคล้องกันและกัน ดังคำที่ว่า…หยิน หยาง ต้องสมดุลย์กัน จึงจะก่อเกิดทุกสรรพสิ่ง"
กะละแมวางหนังสือแล้วหยิบพัดแบบพับมาคลี่ออก แล้วจดโน้ตลงไปบนพัด เสร็จแล้วก็ท่องต่อ
“สิ่งที่สำคัญเป็นอันดับหนึ่งในการปรับฮวงจุ้ยก็คือการปรับดวงชะตา เพราะก่อนที่จะแก้ไข "ฮวงจุ้ย" นั้น จะต้องวิเคราะห์ดวงชะตาผู้อยู่อาศัยให้ถูกต้องเสียก่อน”
กะละแมวางหนังสือแล้วจดข้อความลงบนพัด เสร็จแล้วก็อ่านต่ออย่างตั้งใจ
เวลาผ่านไปจนดึกดื่น บางจังหวะกะละแมก็เผลอสัปหงก แล้วก็สะดุ้งตื่น ตบหน้าตัวเองให้ตื่นๆๆ จากนั้นก็ลุกขึ้นเดินวนไปวนมาในห้องท่องหนังสือต่อ
เช้าวันใหม่ กะละแมอยู่ในห้องนอน แต่งตัวเตรียมพร้อมออกเดินทาง มีเป้วางอยู่บนเตียง กะละแมคลี่พัดออกมา...ฟึ่บ! เห็นที่พัดมีลายมือกะละแมจดตำราฮวงจุ้ยไว้มากมาย
กะละแมมองพัดด้วยความมั่นใจแล้วก็เสียบพัดไว้ที่ช่องเล็กๆ ด้านข้างเป้
ขณะเดียวกันศจีขนกระเป๋าของจักกาย อาม่า โทฟู่ไปใส่ท้ายรถของจักกายที่จอดอยู่หน้าคอนโด เสร็จแล้วก็หันมาบอกอาม่าที่ยืนอยู่ข้างรถ
“อาม่าขึ้นรถเลยค่ะ” ศจีเปิดประตูรถให้
ศจีปิดประตูรถให้อาม่าแล้วก็เข้าไปนั่งประจำที่คนขับ
จักกายเดินออกมาจากคอนโดจะขึ้นรถ แต่เห็นโทฟู่ยืนอยู่ข้างรถแล้วมองแบบจับผิด
“เอ๊า...มองอะไร! ทำไมไม่ขึ้นรถ”
“คุณคิดจะตามไปจีบไอ้แมถึงปราณบุรีเลยเหรอ”
“ผมเลยจุดนั้นมาแล้ว...ต่อไปนี้ผมไม่ต้องตามจีบเพื่อนคุณแล้ว”
โทฟู่ใจแป้วนึกว่าสองคนตกลงปลงใจกันไปแล้ว “หมายความว่าไง”
“หมายความว่าผมเลิกชอบกะละแมแล้ว” จักกายบอก
โทฟู่อึ้ง...หะ!
“เลิกชอบกันง่ายๆ แบบนี้เนี่ยนะ”
“ผมมาคิดดูแล้ว ความจริงผมอาจจะไม่ได้ชอบกะละแมตั้งแต่แรกก็ได้ มันอาจจะเหมือนที่คุณเคยบอกว่าผมแค่เห็นเพื่อนคุณแปลก และอยากเอาชนะเท่านั้น ผมอาจจะไม่ได้รู้สึกกับกะละแมเหมือนที่ไอ้ชิณรู้สึก”
โทฟู่งง “ห๊ะ! หมายความว่ายังไง? คุณชิณรู้สึกยังไงกับไอ้แม”
“ผมคิดว่า.....ไอ้ชิณชอบกะละแม”
สุ้มเสียงจักกายดูมั่นใจมาก โทฟู่เหวอไป
“คุณชิณเนี่ยนะชอบไอ้แม”
จักกายยิ้มมั่นใจว่าดูไม่ผิด
“เลิกตื่นเต้น แล้วก็ขึ้นรถได้แล้ว อาม่ารออยู่”
จักกายเดินขึ้นรถไปชิลล์ๆ ไม่ตื่นเต้นอะไรเลย ทิ้งให้โทฟู่เหวออยู่คนเดียว
“คุณชิณเนี่ยนะ ชอบไอ้แม”
โทฟู่ช็อก! ไม่อยากเชื่อ
เช้าวันนี้ชิณยืนมองรถตู้ ซึ่งเป็นรถตู้เล็ก นั่งได้ประมาณ 7-8 คน จู่ๆ ชิณส่ายหน้าโพล่งขึ้นมา
“เป็นไปไม่ได้”
กะละแม โต๊ด ติ่ง ตุ้งแช่หอบของพะรุงพะรัง และแจ่มกำลังขนกระเป๋าของฉายตะวันกับชิณใส่ท้ายรถ
ทรงวุฒิงง “อะไรเป็นไปไม่ได้ครับคุณชิณ”
“ก็ดูรถกับคนสิ จะอัดเข้าไปได้ยังไง...เป็นไปไม่ได้”
ทรงวุฒิรีบหันมาสนับสนุนชิณทันที
“รถนั่งได้ 8 คน เราก็มีกัน 8 คนพอดี นั่งพอนะครับ” ทรงวุฒิพาซื่อ
“ทั้งคนทั้งของ อัดเข้าไปหมดนั่นคงขาดอากาศหายใจกันพอดี”
ทรงวุฒิคิดๆ “ก็จริงนะครับ งั้น..เอางี้ครับ...” แล้วหันมาที่ติ่งกะตุ้งแช่ “เธอสองคนไม่ต้องไปก็แล้วกัน”
ติ่งกับตุ้งแช่เหวอเลย...ไรวะ เฮ้ย!
ฉายตะวันเอ่ยขึ้น “ไม่ได้ สงสารติ่งกับตุ้งแช่ อุตส่าห์จัดกระเป๋ามาแล้ว”
ชิณโพล่งขึ้น “ถ้างั้นผมขับรถตามไปเองครับ แล้วให้กะละแมไปกับผม”
ทุกคนหันขวับมามองชิณ กะละแมหน้าเหวอ
“ทำไมต้องเป็นฉันด้วย”
ฉายตะวันงง “นั่นสิ ทำไมต้องเป็นหนูกะละแม”
“ผมจะปรึกษาเค้าเรื่องดูฮวงจุ้ยแล้วก็เรื่องธุรกิจ” พอพูดจบก็ดึงกระเป๋ากะละแม “เธอไปกับฉัน”
ชิณลากกะละแมไป...กะละแมตามไปแบบไม่เต็มใจ
กะละแมบ่นเบาๆ “ซวยล่ะ ลางไม่ดีตั้งแต่เริ่มต้นแล้วสิ”
ฉายตะวันมองตามชิณกับกะละแม แล้วก็พูดตามหลัง
“ชิณ...ดูแลหนูกะละแมดีๆนะ อย่าไปหาเรื่องเค้าล่ะ” ก่อนจะหันมาบอกกับทุกคนที่เหลือ “ไปๆ ขึ้นรถ”
ฉายตะวัน ติ่ง โต๊ด และตุ้งแช่ ขึ้นรถตู้ ทรงวุฒิปิดประตูให้แล้ววิ่งไปประจำที่คนขับ แจ่มนั่งหน้าคู่ทรงวุฒิ
รถตู้ขับออกมาที่หน้าบ้านมหาทรัพย์ไพศาล ตามมาด้วยรถของชิณ
เป็นเวลาเดียวกับที่รถตู้ของจักกายขับออกมาจากคอนโดเช่นกัน
ภายในรถ โทฟู่คันปากเรื่องกะละแมกับชิณมาก หันมาเห็นจักกายแกล้งนอนหลับ ยิ่งทำให้อึดอัดเล่น
โทฟู่รำพึงเบาๆ “ไอ้แมกับคุณชิณเนี่ยนะ”
รถตู้ซึ่งทรงวุฒิเป็นคนขับแล่นไปบนถนนสายใต้ มุ่งหน้าสู่ปราณบุรี ตามด้วยรถของชิณ และรถของจักกายที่มุ่งไปปราณบุรีเหมือนกัน
ชิณกำลังขับรถมาเรื่อยๆ ตามทาง ภายในรถกะละแมนั่งปิดปากเงียบมาตลอดทาง
“เป็นอะไร นั่งเงียบผิดปกติ”
“ไม่อยากพูด”
“กลัวหรือไง” ชิณเหน็บ
“ไม่ได้กลัว แต่ขี้เกียจขยับปาก”
“พูดกับฉันไม่ได้เงินล่ะสิ นี่ถามจริงเหอะ จบงานนี้จะไปจากแม่ฉันจริงเหรอ”
“จริง”
“กะจะฟันสักกี่ล้านล่ะ” สุ้มเสียงของชิณถากถางสุดฤทธิ์
“ฉันไม่เคยเรียกร้องเงินของแม่คุณ ท่านให้ด้วยความเมตตา เท่าไหร่ก็เท่านั้น 5 บาทฉันก็ไป”
“5 บาทก็ยังแพงไปด้วยซ้ำ นี่... เธอดูฮวงจุ้ยเป็นจริงเหรอ” ชิณดูแคลน
กะละแมเก๊กมั่นใจสุดๆ “เป็นไม่เป็น คอยดูเอาเองก็แล้วกัน”
ทันในนั้นยางรถก็แตกเสียงดัง...ปัง! แล้วรถก็เสียหลักส่ายฉวัดเฉวียนไปมา ชิณพยายามบังคับรถเข้าข้างทางอย่างยากลำบาก
ชิณตกใจ “เฮ้ย”
กะละแมเองก็ตกใจด้วย “เฮ้ย”
ในที่สุดชิณก็หักรถเข้าจอดข้างทางได้สำเร็จ...เป็นทางโล่งๆ ไม่มีต้นไม้สักต้น แดดเที่ยงวันร้อนระอุ
ชิณรีบลงจากรถไปดูยางรถ กะละแมตามไปติดๆ ชิณเห็นยางรถแตก...ยางแบนแต๊ดแต๋ก็หงุดหงิด
“ยางแตก...ทำไมซวยแบบนี้เนี่ย!”
“ยางแตกก็เปลี่ยนยางสิ ไม่เห็นต้องโวยวายเลย”
“แล้วใครจะเปลี่ยน ฉันรู้จักช่างแถวนี้ซะที่ไหน ทรงวุฒิก็ไม่อยู่”
ชิณมองล้อรถข้างที่ยางแตกอารมณ์เสีย
รถตู้ของฉายตะวันและคณะแล่นเข้ามาจอดที่หน้าบ้านพัก ทรงวุฒิลงจากรถด้านคนขับแล้ววิ่งมาเปิดประตูรถให้ ฉายตะวันก้าวลงจากรถ ตามด้วย ติ่ง โต๊ด และตุ้งแช่
ตุ้งแช่มองทะเลแล้วตะโกนอย่างดีใจสุดขีด “เย้ๆ มาถึงทะเลแล้ว วู๊ๆๆ ทะเลๆๆ” หันมาชวนติ่ง “ป่ะพี่ติ่ง ไปเล่นน้ำกัน”
“ไปเว้ย ฉันอยากจะลงไปแหวกว่ายในทะเลจะแย่แล้ว” สองคนวิ่งไป “วู้ๆๆๆ ทะเลจ๋า ติ่งมาแล้ว”
ติ่งกับตุ้งแช่วิ่งไปที่ชายหาด โดยไม่สนใจจะขนกระเป๋าตัวเองเข้าบ้าน โต๊ดมองติ่งกับตุ้งแช่แล้วก็ก้มหน้าอาย
โต๊ดบ่นกับตัวเองเบาๆ “ไม่เก็บอาการกันเล้ยยย...ขายขี้หน้าจริงๆ ไอ้พวกนี้”
ฉายตะวันมองไป เห็นติ่งกับตุ้งแช่วิ่งลงทะเลกันอย่างสนุกสนาน พูดด้วยความเอ็นดู
“สนุกกันใหญ่...เราก็ปล่อยให้เค้าเล่นไป...พวกเราก็เข้าบ้านกันเถอะ”
ฉายตะวันเดินเข้าบ้าน...แจ่มเดินตามถือกระเป๋าของฉายตะวันกับของตัวเองเต็มสองมือ ทรงวุฒิถือกระเป๋าเต็มสองมือเดินตามฉายตะวันกับแจ่มเข้าบ้านไป
โต๊ดหอบกระเป๋าของตัวเองและของติ่งกับตุ้งแช่พะรุงพะรัง แล้วเดินเข้าไปในบ้าน พอโต๊ดเดินเข้าบ้านแล้ว โทรศัพท์มือถือของทรงวุฒิที่หล่นอยู่บนเบาะในรถตรงที่นั่งคนขับก็ดังขึ้น
สายเรียกเข้าเป็นชื่อ...ชิณ
ติดตาม "เจ้าแม่จำเป็น" ตอนที่ 11 เวลา 17.00 น.