เจ้าแม่จำเป็น ตอนที่ 14
ที่บริเวณด้านนอกบ้านมหาทรัพย์ไพศาลเวลานั้น รถจักกายจอดหลบๆ อยู่ริมรั้ว โทฟู่กับจักกายยืนอยู่ข้างๆ รถ
“ขอบคุณมากนะที่ยอมมาช่วยฉันกับไอ้แม”
“ผมจะปล่อยให้ผู้หญิงสองคนไปเสี่ยงอันตรายตามลำพังได้ยังไง”
ระหว่างนั้นกะละแมเดินเข้ามาหาพร้อมกับชิณ
“ป่ะไอ้ฟู่...ฉันพร้อมแล้ว แต่ฉันมีเพื่อนร่วมทีมมาด้วยอีกคนนึงนะ”
โทฟู่จ้องหน้าชิณที่ปลอมตัวเป็นนักร้องเพื่อชีวิตโทรมๆ อย่างไม่แน่ใจ จนโทฟู่ต้องเมคชัวร์ ถามกับกะละแม
“ไอ้แม...นี่คุณชิณใช่มั้ย”
กะละแมพยักหน้ารับ “ใช่”
“นี่คุณชิณจะไปด้วยเหรอคะ” โทฟู่ถามชิณงงๆ
“ใช่...ฉันจะไปช่วยกะละแม”
โทฟู่มองชิณสลับกับกะละแมสายตามีเลศนัยแบบว่า ‘อ๊ะๆ สองคนนี้ยังไงกันเนี่ย’
จักกายมองชิณขำๆ “ลงทุนปลอมตัวขนาดนี้เลยเหรอ”
ชิณเห็นจักกาย ก็งงๆ เช่นกัน “นี่ นายก็ไปด้วยเหรอ” จักกายพยักหน้ารับ ชิณถามต่อ “จะไปทำไม”
“ฉันจะไปช่วยโทฟู่”
ชิณมองโทฟู่กับจักกาย อาการเหมือนที่โทฟู่มองชิณกับกะละแม....‘อ๊ะๆ สองคนนี้ยังไงกันเนี่ย’
โทฟู่เห็นแล้วก็เขินๆ รีบตัดบท
“แม ฉันว่ารีบไปดีกว่า อย่ามัวแต่พูดกันเลย เดี๋ยวไม่ทันกันพอดี”
“โอเค” กะละแมหันมาทางชิณ “ไปคุณ ขึ้นรถ”
จักกายเดินไปนั่งตรงที่นั่งคนขับ โทฟู่นั่งหน้าคู่จักกาย ชิณกับกะละแมนั่งข้างหลัง...แล้วจักกายก็ขับรถออกไป
เวลาเดียวกันโต๊ดเดินถือชุดขาวที่จะให้ตุ้งแช่ใส่เข้ามาในห้องนอน
“แช่...แช่เอ๊ย...ตื่นได้แล้วลูก...แช่...”
ตุ้งแช่นอนตัวสั่นงักๆ คลุมโปงอยู่บนเตียง และครางด้วยความหนาว โต๊ดหันมาด้วยความแปลกใจ
“แช่...” ตุ้งแช่ครางด้วยความหนาว โต๊ดเอามือมาจับดูอาการ “แช่...แช่...” โต๊ดตกใจในความร้อน “เฮ้ย...ทำไมตัวร้อนแบบนี้วะ...แช่...” พลิกตัวมาเห็นตุ้งแช่นอนเหงื่อชุ่ม “แช่เป็นไงบ้างลูก...แช่...”
“หนาว...แช่หนาวจ๊ะพ่อ...แช่หนาว”
โต๊ดเอามือปาดผมและเหงื่อ “ใจเย็นๆลูก...ไข้ขึ้นสูงเลย...แช่อย่าเป็นอะไรนะลูก เดี๋ยวพ่อเช็ดตัวให้...รอเดี๋ยวนะ” โต๊ดตะโกนเรียก “ไอ้ติ่งโว้ย ไอ้ติ่ง..ไอ้ติ่งโว้ย”
ติ่งเดินเข้ามายังหาวๆอยู่
“อะไรน้า...” เห็นตุ้งแช่นอนซมก็แปลกใจ “ไอ้แช่เป็นอะไรวะ ยังไม่ได้เริ่มทรงเลย สั่นแล้วเหรอ”
โต๊ดตบหัวติ่ง “ไอ้แช่ไม่สบาย”
ติ่งร้องอย่างตกใจ “ห๊ะ ไม่สบาย”
ติ่งกะโต๊ด เหวอกันไป
นุ้ยกำลังโกนหนวดอยู่ หันมาด้วยความตกใจ
“หะ...ไอ้เด็กร่างทรงไม่สบาย”
ดวงกับก๋อยทำหน้าที่รายงาน
ดวงละล่ำละลักบอก “จ้ะ...เมื่อกี๊หนูเห็นพ่อมันกับไอ้ติ่งวิ่งขึ้นวิ่งลงเอาน้ำเอาผ้า หนูสงสัยเลยขึ้นไปดู เห็นไอ้เด็กนั่นนอนสั่นงั่กๆๆๆ หน้าเงี๊ยะแดงก่ำเลย น่ากลัวจริงๆ”
“แล้วมันจะทรงไหวเหรอวะ...เดี๋ยวชาวบ้านก็แห่กันมาแล้ว”
“ฉันว่าไม่ไหวแน่ๆ สั่นอย่างกับโดนผีเข้า ป๋าไปดูเองแล้วกัน” ก๋อยบอก
นุ้ยฟังแล้วก็นิ่งคิด
โต๊ดกับติ่งรีบเช็ดตัวลดไข้ให้ตุ้งแช่...ที่ยังนอนสั่นไม่รู้เรื่องอยู่
“น้า...ดูท่ามันจะไม่ไหวนะ พามันไปหาหมอเถอะ” ติ่งบอก
“ข้าก็ว่างั้น.. เอ็งไปเรียกตุ๊กๆ ไป”
ขณะที่ติ่งจะเดินออกไป นุ้ย ดวง และก๋อย ดาหน้ากันเข้ามา ดักติ่งไว้
“เฮ้ย...จะไปไหน” ดวงตะคอกถาม
“ไอ้แช่มันไข้ขึ้น...ฉันจะไปเรียกรถพามันไปหาหมอ” ติ่งว่า
“ไม่ได้เว้ย...ข้าไม่ให้ไป...ชาวบ้านกำลังจะแห่มากันแล้ว...พวกเอ็งไปแล้วใครจะทรงวะ” นุ้ยเสียงแข็ง
“แต่ถึงพวกฉันอยู่ก็ทรงไม่ได้อยู่ดี...ไอ้แช่มันไข้ขึ้นนอนพะงาบๆ ไม่รู้เรื่องอยู่เนี่ย อย่าว่าแต่เข้าทรงเลย แค่ให้มันยืนเฉยๆ มันยังยืนไม่ได้เลย”
“มันทรงไม่ได้ พวกแกก็ทรงแทนสิวะ...ยังไงก็ต้องมีใครสักคนทรงวันนี้ ข้ากระจายข่าวแล้ว ถ้าชาวบ้านแห่มาไม่เจอใคร ข้าเสียชื่อหมด” นุ้ยพูดเสียงวางอำนาจ
ติ่งกับโต๊ดมองหน้ากัน
“แต่ไอ้แช่มันไข้ขึ้นสูงมากนะจ๊ะ...ฉัน...ฉันไม่มีแก่ใจจะทำอะไรหรอก...ลูกฉันทั้งคน...ถ้าเป็นลูกป๋า ป๋าก็คงจะเป็นห่วงเหมือนกัน”
นุ้ยเสียงดัง “ไม่เว้ย! ถ้าเป็นลูกข้า ข้าจะเอาขี้เถ้ายัดปากให้ตายไปเลย”
ดวงสะดุ้งโหยง “ป๋าจะทำหนูจริงเหรอ”
“เออ!...คนจะทำมาหากิน เสือกมาขัดลาภ มันเป็นไข้ก็หายาแก้ไข้ให้มันกิน แล้วหาใครก็ได้มาทรงแทนมัน” นุ้ยพูดพลางหันไปทางติ่ง “เอ็งก็ได้”
ติ่งเหวอ “ห๊ะ...” คิดใจใจซวยกูจนได้ “แต่...แต่ว่าฉันไม่เคยนะจ๊ะ”
“ไม่เคยก็เคยสิวะ! พวกเอ็งฟังไว้นะ ยังไงวันนี้ก็ต้องมีการทรง ใครจะตาย ข้าก็ไม่สน”
นุ้ยสั่งเสร็จก็เดินออกไป ดวงตามไป ก๋อยทำหน้าเหี้ยมแล้วก็เดินตามเจ้านายไปอีกคน
“เอาไงดีล่ะน้า”
“ก็ต้องตามน้ำไปก่อน...เสร็จงานแล้วค่อยว่ากัน”โต๊ดกลุ้มหนัก “เฮ่อ...ไอ้แช่ลูกพ่อทำใจดีๆ ไว้ก่อนนะ”
ตุ้งแช่นอนตัวสั่นงั่กๆๆๆ เป็นเจ้าเข้าอยู่อย่างนั้น
ขณะเดียวกันที่บริเวณหน้าบ้านนุ้ย ชาวบ้านจากซอยมหาลาภ และในละแวกบ้านนุ้ยเดินมากันเป็นแถว ถือดอกไม้ ธูป เทียน ผ้าเจ็ดสีติดมือกันมาเพื่อมาเฝ้าเจ้าแม่
จักกายขับเข้ามาจอดที่ ห่างจากประตูบ้านนุ้ยในระยะที่ปลอดภัย
กะละแมนั่งอยู่เบาะหลังแต่ยื่นหน้ามาตรงกลางระหว่างจักกายกับโทฟู่ที่นั่งคู่กันอยู่ด้านหน้า
“ฉันกับคุณชิณจะปลอมตัวเข้าไปดูการทรงพร้อมกับชาวบ้าน พอการทรงเสร็จจะเป็นช่วงที่ทุกคนวุ่นวายที่สุด ฉันจะฉวยโอกาสนี้แอบเข้าไปหาพวกน้าโต๊ด แกกับคุณกายก็คอยดูต้นทางไว้ทางนี้ ถ้าถึงเวลานัดแล้วฉันยังไม่ออกมา ค่อยใช้แผนสอง”
โทฟู่กังวล “พวกนั้นคุมอยู่เต็มขนาดนี้ จะเข้าไปได้ยังไง”
จักกายบอกกับโทฟู่ “เชื่อใจเพื่อนคุณเถอะ ปลอมตัวเนียนขนาดนี้ พวกนั้นจำไม่ได้หรอก” พลางเหลือบตามองชิณผ่านกระจกมองหลัง แล้วก็ยิ้มขำๆ
ชิณกับกะละแมปลอมตัวเนียนมาก
โทฟู่หันมาบอกกะละแมอย่างเป็นห่วง “ระวังตัวนะไอ้แม”
“อืม...ไว้ใจฉันเถอะ”
โทฟู่กับจักกายหันไปทางด้านหน้ารถ แล้วมองสังเกตุการณ์หน้าบ้านนุ้ย ชิณกำลังจะลงจากรถ...กะละแมเห็นว่าหนวดชิณจะหลุดเลยเรียกไว้
“เดี๋ยวค่ะ”
ชิณหันหน้ามา...กะละแมช่วยติดหนวดให้ สองคนสบตากัน...แล้วก็ยิ้มอายๆ ทั้งคู่ แม้วินาทีสั้นๆ แต่ความรู้สึกดีๆ ก็ก่อตัวได้นิดๆ
จักกายเหล่ชิณกับกะละแมจากกระจก แล้วแกล้งไอกระแอมขัดจังหวะ
“อะแฮ่มๆๆๆ”
สองคนผละออกจากกัน แล้วรีบลงจากรถไปคนละด้านอย่างอายๆ
ชิณกับกะละแมเดินแฝงปนมากับกลุ่มของชาวบ้านจำนวนมากที่กำลังเบียดเสียดกันเข้าประตู
ชิณกระซิบ “คนเยอะเหมือนกันนะเนี่ย”
กะละแมกระซิบตอบ “ไอ้ป๋านุ้ยมันคงทุ่มกระจายข่าวเต็มที่ เราเข้าไปข้างในกันเถอะ”
กะละแมเห็นก๋อยยืนอยู่หน้าประตู
“เอ๊าเร็วๆๆ เร่เข้ามา...เร่เข้ามา ร่างทรงเจ้าเก่าซอยมหาลาภทางนี้ รับรองว่าแม่นเป๊ะเหมือนเดิม” ก๋อยดันรุนหลังลุงแก่ๆ พลางบ่น “เดินเร็วๆ หน่อยลุง ข้างหลังติดกันยาว แล้วเห็นมั้ย”
“จ้ะๆ” ลุงแก่ๆ รีบเดินเข้าไป
ก๋อยดันหลังชาวบ้านคนอื่นๆ ให้เดินเข้าไปเร็วๆ
“ไป...ไป...เข้าไปเร็วๆ ใกล้จะได้เวลาเริ่มพิธีแล้ว”
กะละแมสะกิดชิณให้ระวังตัว กระซิบชิณ “ระวังไอ้คิงคองนั่นให้ดีๆ นะ”
ชิณเหล่มองก๋อย...ก๋อยหันมาพอดี ชิณรีบก้มหน้างุด กะละแมกับชิณเดินก้มหน้ามาถึงตรงหน้าก๋อย...
ก๋อยมองหน้ากะละแม ‘คุ้นๆ เหมือนเคยเห็น’ แต่ไม่แน่ใจ ชิณรู้ทันเลยรีบโอบกะละแมแล้วเบี่ยงตัวบังไว้...กะละแมก็เอาหน้าซุกอกชิณหลบก๋อย
ก๋อยมองชิณกับกะละแมเห็นเป็นผู้ชายซุกอกผู้ชายแล้วยี้
“ผู้ชายอะไรวะ กอดกันซะแน่น อี๊...ขนลุกว่ะ” ก๋อยทำท่าแขยง
ชาวบ้านข้างหลังก็เบียดกัน พยายามจะดันกันเข้ามา ชิณเลยพากะละแมไหลตามแรงดันของชาวบ้านเข้าไปข้างใน
ลับตาก๋อย กะละแมรีบดีดตัวออกจากอกชิณท่าทางอายๆ
ชิณพูดแก้เก้อ “ที่ฉันทำแบบนี้ก็เพราะมันจำเป็น ไม่ได้นึกพิศวาสเธอหรอกน่า”
“รู้แล้ว...เรารีบเข้าไปข้างในกันดีกว่า”
ชิณกับกะละแมรีบเดินเข้าไปทางห้องเข้าทรง
เวลาเดียวกันฉายตะวัน มิ้ว กิมเอ็งเดินเข้ามาในชุดชาวบ๊านชาวบ้านจากอีกมุม เพื่อความกลมกลืน
ฉายตะวันหน้าตาฝืนใจสุดๆ ไม่ชินกับเสื้อผ้าแบบชาวบ้านที่ใส่อยู่
“คุณแม่ดูสิคะ พวกเนี้ย เป็นชาวบ้านที่อยู่ในซอยมหาลาภทั้งนั้นเลย มิ้วจำหน้าได้”
กิมเอ็งมองไปที่ชาวบ้าน “จริงด้วย แสดงว่าพวกมันจับกลุ่มเป้าหมายกลุ่มเดิมได้เลยนะคะ” หันมาทางฉายตะวัน “เรารีบเข้าไปข้างในกันเถอะค่ะคุณพี่ เดี๋ยวจะไม่ได้ที่นั่งหน้าๆ”
ฉายตะวันหน้าตาไม่ค่อยสบายใจ...ลึกๆ แล้วไม่อยากทำแบบนี้เท่าไหร่
“เดี๋ยวก่อน...ความจริงเรื่องนายโต๊ดจะทรงหรือไม่ทรงก็ไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน” ฉายตะวันก้มมองชุดตัวเอง “แล้วทำไมฉันต้องมาแต่งตัวแบบนี้ด้วย...ฉันว่าฉันกลับดีกว่า” ทำท่าจะเดินกลับ
มิ้วกับกิมเอ็งรีบห้าม
“ไม่ได้นะคะคุณพี่ ...ถ้าคุณพี่กลับตอนนี้ ก็จะไม่ได้เห็นกับตาว่าพวกมันโกหก เรื่องไปบ้านนอก แล้วแอบมาเปิดสำนักที่นี่”
มิ้วเสริม “ใช่ค่ะ ถ้าคุณป้าเห็นกับตา ก็จะรู้ว่าพวกนี้มันเชื่อไม่ได้ ครั้งหน้าจะได้ระวังตัว ไม่โดนหลอกอีกไงคะ”
“จะดีเหรอ” ฉายตะวันลังเล
“ดีสิคะ มาถึงขนาดนี้แล้ว ลุยต่อเถอะค่ะ เพื่อพิสูจน์ความจริง”
“ใช่ค่ะ”
มิ้วกับกิมเอ็งฉุดฉายตะวันเข้าไปในบ้านนุ้ย ทั้งที่ฉายตะวันไม่ค่อยจะเต็มใจ
โทฟู่นั่งอยู่ในรถ สายตามองไปรอบๆ เพื่อสังเกตการณ์...จักกายนั่งอยู่ข้างๆ ตรงตำแหน่งคนขับ โทฟู่ เห็นฉายตะวันกำลังถูกมิ้วกับกิมเอ็งฉุดเข้าไปในบ้านนุ้ย
โทฟู่ตกใจ “คุณนายฉายตะวันนี่นา”
จักกายเหลียวขวับไปดู ที่ประตูบ้านนุ้ย เห็นแต่ด้านหลังของฉายตะวัน มิ้ว และกิมเอ็ง ในชุดชาวบ้าน ที่กำลังเดินเข้าไปในบ้านนุ้ย ปนอยู่กับกลุ่มชาวบ้านอย่างกลมกลืน
“ไหน? ไม่เห็นมี...มีแต่ชาวบ้าน”
“ก็คุณนายแต่งตัวเหมือนชาวบ้าน เพิ่งจะเดินเข้าไปเมื่อกี้นี้” โทฟู่ยืนยัน
“คุณป้าไม่มีทางแต่งตัวแบบนั้นหรอก...ตาฝาดแล้ว”
โทฟู่ยังคงคาใจ...คิดว่าไม่น่าจำคนผิด
“แล้วเราจะนั่งรออยู่ในรถเฉยๆ อย่างนี้น่ะเหรอ”
โทฟู่พยักหน้า “อือ...ก็ทำตามแผนที่ไอ้แมมันบอกไง คอยดูต้นทาง แล้วถ้าถึงเวลาไอ้แมกับคุณชิณยังไม่ออกมา เราค่อยใช้แผนสอง”
จักกายพยักหน้ารับทราบแล้วซุ่มดูต้นทางต่อไป
ติ่งแต่งตัวเตรียมเข้าทรง...ด้วยสีหน้าไม่ค่อยมั่นใจนัก
“ฉันจะรอดมั้ยน้า”
“ข้าไม่รู้ แต่ถ้าเอ็งไม่ทรง...เราก็ไม่รอดเหมือนกัน เอ็งอย่ากังวลเลย ทำตามที่ข้าบอก...จำได้ใช่มั้ย”
“จำน่ะจำได้ แต่จะให้ทำเนี่ย ไม่แน่ใจว่าจะทำได้หรือเปล่า” ติ่งไม่มั่นใจสุดๆ
ดวง ก๋อยเดินเข้ามา...ดวงพูดเสียงกวนตีนมาก
“พี่ติ่ง พร้อมหรือยัง ชาวบ้านมากันเต็มบ้านแล้ว”
“ไม่พร้อมได้ด้วยเหรอ” ติ่งประชด
ก๋อยเสียงดัง “ไม่ได้! ไม่พร้อมก็ต้องพร้อม”
ติ่งกวนกลับ “แล้วจะถามทำแป๊ะอะไร”
ดวงพูดดีๆ แต่เสียงเย็นเยือก “ป๋าบอกว่าไม่ต้องกังวล ทำใจให้สบาย” แล้วตบหลังติ่งดังป๊าบ...ติ่งโล่งใจนิดๆ แต่ดวงตบท้าย “แต่ถ้าพลาด...มึงตาย”
ดวงตบหนักๆ เข้าที่บ่าของติ่งอีกที จนตัวโยก...แล้วส่งโพยให้
“นี่เป็นเลขที่จะออกวันนี้ หวยจับยี่กี่ 3 งวด จะบอกเลขอะไรก็ได้ แต่อย่าเป็นสามเลขนี้ก็แล้วกัน รีบอ่าน เพราะมันจะทำลายตัวเองในสามวินาที”
ดวงยัดโพยใส่มือติ่งแล้วก็เดินออกไป
ติ่งคลี่ดู...โต๊ดชะโงกหน้ามาดูด้วย
“เช้า 1 กลางวัน 5 เย็น 3”
โต๊ดพูดจบปุ๊บ ก๋อยก็ดึงโพยไปฉีกทิ้งทันที
“ครบสามวินาทีแล้ว อย่าลืมนะเว้ย เลขอะไรก็ได้ แต่ห้ามเป็นสามเลขนี้เด็ดขาด”
แล้วก๋อยก็เดินอ้วนออกไป
ติ่งกับโต๊ดหันมามองหน้ากัน
“นี่เรากำลังรวมหัวกับไอ้พวกนั้นหลอกให้ชาวบ้านหมดตัวนี่น้า ทำแบบนี้มันจะดีเหรอ”
ทั้งติ่งและโต๊ดไม่สบายใจ...โต๊ดไม่รู้จะทำยังไง ได้แต่ถอนหายใจ เฮ้อ...
โต๊ดหันไปมองตุ้งแช่ที่ยังนอนตัวสั่นเพราะพิษไข้ด้วยความเป็นห่วง แต่ก็ยังพาไปหาหมอตอนนี้ไม่ได้
ภายในห้องจัดพิธีทรง บรรดาชาวบ้านนั่งอัดแน่นอยู่ในห้องเข้าทรง มีลุงมาก ป้าส้มลิ้ม เชอร์รี่ เจ้าประจำนั่งเรียงหน้าสลอนอยู่หน้าสุด...ทุกคนรอคอยร่างทรงอย่างใจจดใจจ่อ
กะละแมกับชิณนั่งหลบอยู่มุมหนึ่งริมห้อง...กะละแมสีหน้าไม่ค่อยสบายใจ ชิณมองสังเกตไปรอบๆ ห้อง
ฉายตะวัน มิ้ว กิมเอ็ง นั่งอยู่ห่างออกไปทางด้านหลังชิณกับกะละแม แต่มีชาวบ้านคั่นอยู่เลยมองไม่เห็นกัน
“ไม่เห็นจะมีอะไรเลย ฉันว่าฉันกลับดีกว่า” ฉายตะวันทำท่าจะลุก
มิ้วกับกิมเอ็งรีบจับแขนฉายตะวันไว้คนละข้าง...ฉายตะวันถูกล็อคลุกไปไหนไม่ได้
“รอดูก่อนเถอะค่ะคุณพี่ เดี๋ยวก็จะออกมาแล้ว พอเห็นหน้าจังๆ แล้วคุณน้องจะรีบพากลับเลยค่ะ” หันไปเห็นโต๊ด “อ๊ะ! นั่นไง...มาแล้วค่ะ”
โต๊ดเดินออกมาหน้าแท่นเข้าทรง หน้าตาโต๊ดดูเป็นกังวลและไม่ค่อยกล้าสบตาชาวบ้าน แต่ก็พยายามทำให้เป็นปกติ
โต๊ดกระแอม “อะแฮ่มๆ ...สวัสดีจ้ะ พ่อแม่พี่น้องทุกคน ขอให้ทุกคนอยู่ในความสงบนะ อีกเดี๋ยวร่างทรงก็จะออกมาแล้ว...”
ชาวบ้านฮือฮาอยากเจอร่างทรงเต็มที กิมเอ็งรีบเป่าหูฉายตะวัน
“นั่นนายโต๊ดนี่คะ มันโกหกคุณพี่ว่าไปต่างจังหวัดจริงๆ ด้วย”
มิ้วคอยเป็นลูกคู่ “โกหก หลอกลวง เลวจริงๆ”
ฉายตะวันรู้สึกผิดหวัง ไม่คิดว่าจะถูกโต๊ดหลอกจริงๆ
ส่วนกะละแมมองโต๊ดเห็นท่าทางผิดสังเกตมาก
“วันนี้น้าโต๊ดท่าทางแปลกๆ ปกติเวลาพูดเปิดพิธีจะอารมณ์ดี คึกคัก เพื่อกระตุ้นความสนใจของชาวบ้าน แต่วันนี้ดูหงอยๆ ยังไงก็ไม่รู้”
ชิณแขวะ “เธอนี่เป็นมืออาชีพจริงๆ น้าเธอพูดแค่นิดเดียวก็รู้ถึงความแตกต่าง”
“ฉันอยู่กับน้าโต๊ดมา ทำไมฉันจะไม่รู้ ไม่เชื่อคุณก็ลองดูต่อไปแล้วกัน”
โต๊ดพูดต่อ
“ฉันต้องขอโทษทุกคนด้วยที่ปล่อยให้รอนาน พอดีว่าบนสวรรค์เกิดเหตุขัดข้องเล็กน้อย ก็เลยต้องเลือกร่างทรงใหม่ แล้ววันนี้ลูกชายเจ้าแม่เลือกประทับร่างไอ้ติ่งหลานชายฉัน ไม่ใช่ไอ้ตุ้งแช่เหมือนคราวก่อน” ชิณกับ
กะละแมงงๆ ชาวบ้านฮือฮา ซุบซิบ “แต่ทุกคนไม่ต้องห่วงนะ ไม่ว่าลูกชายเจ้าแม่จะประทับร่างใคร รับรองว่าแม่นเหมือนเดิมแน่นอนจ้ะ”
สักครู่หนึ่งติ่งเดินออกมาหน้าแท่นเข้าทรง พยายามเก๊กสำรวมสุดฤทธิ์ กะละแมกับชิณมองติ่งด้วยความสงสัย
“ทำไมเปลี่ยนตัว”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน” กะละแมคิดเครียด
ฉายตะวัน มิ้ว กิมเอ็ง มองดูด้วยความตกตะลึง
“หะ...นั่น....มัน...นายติ่ง” มิ้วตาโปนเลยทีเดียว
ติ่งพยายามเดินสำรวมไปนั่งที่แท่นเข้าทรง แต่ก็พลาดเตะกระโถนที่วางอยู่กระเด็น....โครม! โต๊ดหันไปยิ้มแหะๆ กับชาวบ้าน แล้วเหล่ติ่ง ‘จะรอดมั้ยวะ’
นุ้ย ดวง และก๋อย เดินเข้ามายืนดูการทรงอยู่ที่มุมหลังห้อง
นุ้ยพูดกับก๋อย “เอาโพยให้มันแล้วใช่มั้ย”
“เรียบร้อยแล้วจ้ะ”
ดวงหวั่นใจ “ป๋าว่าไอ้ติ่งมันจะรอดมั้ย”
นุ้ยหน้าโหด เสียงเหี้ยม “ถ้าไม่รอด...มันตายยกครัวแน่”
นุ้ยมองติ่งแววตาเอาจริง
พิธีเข้าทรงเริ่มแล้ว โต๊ดจุดธูปแล้วส่งให้ติ่งที่นั่งอยู่บนแท่นเข้าทรง ติ่งรับธูปไป พนมมือไหว้แล้วทำปากขมุบขมิบเหมือนสวดมนต์ เสร็จแล้วก็ปักธูปแล้วก้มลงกราบท่าทางสำรวม ชิณ กะละแม ฉายตะวัน มิ้ว กิมเอ็ง และชาวบ้านกราบตามติ่ง นุ้ย ดวง ก๋อย ยืนดูอยู่ด้านหลัง
ติ่งกราบเสร็จเงยหน้าขึ้นมาเห็น นุ้ย ดวง และก๋อย...ที่ยืนหน้าโหดอยู่ ถึงกับกลืนน้ำลายลำบาก แล้วก็เหงื่อแตกพลั่กๆ โต๊ดมองติ่งด้วยความเป็นห่วง...แล้วขยิบตาให้ทำพิธีต่อ
ติ่งหันมาแล้วเริ่มร่ายคาถามั่วๆ ทำไปก็เหงื่อแตกพลั่กด้วยความเครียด...ติ่งสั่นพั่บๆ แล้วก็สลบไป
ชาวบ้านมองติ่งลุ้นว่าลูกชายเจ้าแม่จะเข้าไหม ทันใดนั้น ติ่งก็กระเด้งตัวขึ้นมา แล้วก็ตีลังกา กระโดดโลดเต้น ท่าทางเหมือนเด็กอายุ 10 ขวบ
ติ่งดัดเสียงเป็นเด็ก “หนม หนม...หนมอยู่ไหน หนูจะกินหนม เอาหนมมา”
ชาวบ้านฮือฮา
ฉายตะวัน มิ้ว กิมเอ็ง มิ้วเพ่งมองติ่งและเริ่มสงสัย
“นายติ่งเป็นร่างทรงจริงๆ เหรอเนี่ย...ไม่อยากจะเชื่อ”
ฉายตะวันอึ้ง “นั่นสิ ดูเหมือนมากๆ”
กิมเอ็งไม่เชื่อ “โกหกทั้งเพ! พวกมันเล่นละครหลอกชาวบ้านค่ะ คุณพี่ต้องหนักแน่นนะคะ อย่าไปคล้อยตามมันค่ะ”
ฉายตะวัน กิมเอ็ง และมิ้ว หันไปดูติ่งเข้าทรงต่อ
เจ้าแม่จำเป็น ตอนที่ 14 (ต่อ)
ฟากกะละแมกับชิณมองดูติ่งในอาการอึ้งๆ
“เพื่อเงินทำได้ขนาดนี้เลยเหรอ”
กะละแมเศร้า รู้สึกเหมือนโดนด่าไปด้วย...ชิณรู้สึกตัวรีบหันมาขอโทษ
“ฉันขอโทษที่พูดตรงไปหน่อย”
“ก็ถูกของคุณ ไม่ต้องขอโทษหรอก ฉันเข้าใจ”
กะละแมเข้าใจและไม่คิดมาก...หันไปดูติ่งเข้าทรงต่อด้วยแววตากังวล
โต๊ดส่งขนม ลูกอม ช็อคกาจุ๊บให้ติ่ง...ติ่งคว้าไปกิน มูมมาม เลอะเทอะเหมือนเด็ก
“อร่อยๆๆ ชอบๆๆ” ติ่งกินไปด้วยพูดไปด้วย ขนมเต็มปาก
โต๊ดเอาผ้ากันเปื้อนแบบเด็กมาผูกคอให้ติ่ง แล้วเช็ดปากให้ ติ่งหันไปเล่นของเล่นที่วางอยู่ข้างๆ ด้วยความสนุกสนาน โต๊ดแอบส่ายหน้าในความเยอะของติ่ง
ลุงมาก เชอร์รี่ ป้าส้มลิ้ม จ้องติ่งตาไม่กระพริบ แล้วก็ซุบซิบในความเหมือน
“ท่าทางเหมือนคราวที่ไอ้แช่มันทรงเปี๊ยบเลยว่ะ” ลุงมากมอง
เชอร์รี่ กะป้าส้มลิ้มพยักหน้าพร้อมกัน “อื้อ...เหมือนมาก”
สามแฟนพันธุ์แท้การทรงเจ้า ลุงมาก เชอร์รี่ ป้าส้มลิ้ม มองแบบทึ่งมาก
นุ้ย ดวง และก๋อย เห็นติ่งจัดเต็มก็พอใจ
“หนูว่ามันก็เล่นเนียนเหมือนกันนะป๋า” ดวงบอก
“ไอ้นี่มันไม่ใช่เด็กธรรมดา...แต่เป็นเด็กปัญญาอ่อน” นุ้ยหัวเราะหึๆ
“ฉันว่าเหมือนลิงมากกว่าป๋า”
ก๋อยเบ้ปากใส่ติ่ง อย่างหมั่นไส้ นุ้ยจับตาดูติ่งต่อไป
ติ่งยังคงทำตัวเป็นเด็กอยู่ ดัดเสียงเด็ก
“ใครมีอะไรก็รีบพูดมา หนูอยู่ได้ไม่นาน หนีแม่ลงมา เดี๋ยวแม่ตี” ติ่งบีบตุ๊กตาเป็ด...มีเสียงดังก๊าบๆ ติ่งก็ร้องด้วย “ก๊าบๆ ก๊าบๆ”
โต๊ดชี้ป้าส้มลิ้ม “ป้าน่ะคนแรกเลยมา”
ป้าส้มลิ้มดีใจรีบแทรกตัวมานั่งด้านหน้า
“จะให้หนูช่วยอะไร...บอกมาเล้ยย”
“ฉันอยากได้ลาภจ้ะ”
ติ่งทำเป็นขำ “ลาภๆๆ ลาภไม่มี เอาน้ำตก ซกเล็กแทนได้ป่าว...” แล้วก็ขำ ตบมือใหญ่
โต๊ดรีบแก้ “เด็กน่ะจ้ะ ชอบล้อเล่น...ต้องดุหน่อย” หันมาทำเสียงดุ “นี่...ป้าเค้ามาขอลาภหมายถึงขอเลข...อย่าโยกโย้เดี๋ยวไม่ให้กินขนมนะ” โต๊ดทำท่าจะเอาขนมคืน
ติ่งรีบกอดขนมไว้ “ก็ได้ๆๆ ให้ลาภก็ได้....เอากาดาดมา ปากกาด้วยสิ” โต๊ดรีบ ส่งกระดาษปากกาให้
ติ่งได้กระดาษกับปากกาไปแล้ว ก็นั่งตัวสั่นพั่บๆๆๆ ตาเหลือกตาไปมาแล้วก็เขียนยุกยิกๆ....ชาวบ้านลุ้น
กะละแมมองการให้เลขของติ่งแล้วก็เครียด
“ให้แบบโต้งๆ เลยเหรอเนี่ย”
ป้าส้มลิ้ม ลุงมาก เชอร์รี่ และชาวบ้านชะโงกดูติ่งเขียนกันใหญ่
กิมเอ็งก็ชะโงกดูด้วยความลืมตัว
มิ้วเห็นก็ปราม “คุณแม่คะ”
กิมเอ็งแก้ตัว “แหม...ก็คุณแม่อยากรู้นี่ว่ามันจะแม่นมั้ย เผื่อมันจะฟลุคบอกถูกอีก” พยายามดูสุดฤทธิ์
ติ่งเขียนเสร็จแล้วก็วางกระดาษกับดินสอ
“เสร็จแล้ว หนูต้องไปแล้ว เดี๋ยวแม่ตี ไปล่ะๆๆๆ”
ติ่งพูดจบก็ตัวสั่น แล้วก็สลบไป ลุงมาก ป้าส้มลิ้ม เชอร์รี่และชาวบ้านไม่สนใจติ่ง หันไปรุมดูกระดาษที่ติ่งเขียนตัวเลขไว้ โต๊ดรีบคว้ากระดาษที่ติ่งเขียนมาเก็บไว้ ชาวบ้านประท้วงเสียงขรม
“โหย...น้าโต๊ด พวกฉันยังไม่เห็นเลยว่าเลขอะไร” เชอร์รี่โวย
ชาวบ้านคนอื่นๆ ฮือฮา...ว่ายังไม่เห็นเหมือนกัน
“ถ้าใครอยากจะได้ลาภก็ช่วยกันทำบุญให้ลูกชายเจ้าแม่หน่อยนะ...จะได้ได้ทั้งบุญทั้งลาภ เชิญจ้ะๆ ตู้ทำบุญอยู่ทางด้านโน้น หยอดตู้ก่อนแล้วค่อยมาดู ผลบุญจะได้ทำให้ตาสว่าง มองเห็นกันชัดๆ นะ”
ชาวบ้านพากันเดินไปหยอดเงินใส่ตู้บริจาค โต๊ดรีบมาลากติ่งเข้าไปข้างหลังฉาก
นุ้ยมองอย่างไม่ค่อยไว้ใจ
“มึงสองคนแน่ใจนะว่ามันไม่ได้เขียนเลขที่จะออก”
“แน่ใจจ้ะ”
ดวงกับก๋อยตอบพร้อมกันด้วยความมั่นใจ
กะละแมอาศัยจังหวะที่ชาวบ้านไปมุงดูเลขลุกขึ้นจะไปหาพวกโต๊ด แต่ถูกชิณดึงข้อมือไว้
“จะไปไหน”
“ตอนนี้ชาวบ้านกำลังชุลมุน ฉันจะแอบไปด้านหลัง จะไปถามน้าโต๊ดให้รู้เรื่องว่าเกิดอะไรขึ้นกับตุ้งแช่ ทำไมพี่ติ่งถึงต้องเข้าทรงแทน แล้วจะลองเกลี้ยกล่อมให้เลิกทำแบบนี้ด้วย”
“พวกเค้าจะเชื่อเธอเหรอ”
“ไม่รู้” ชิณอึ้ง...อ้าว “แต่ก็ต้องลอง ดีกว่าปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป”
“งั้นฉันไปด้วย”
กะละแมยิ้มนิดๆ รู้สึกอุ่นใจหน่อยๆ ที่มีชิณคอยช่วย สองคนแอบเดินเลี่ยงออกไปจากห้องเข้าทรง
ชิณกับกะละแมเดินลัดเลาะมาทางหลังบ้านนุ้ย
“เธอรู้เหรอว่าพวกญาติๆ เธออยู่ห้องไหน”
“ไม่รู้หรอก” ชิณ...อ้าว “แต่คงอยู่แถวๆ นี้แหละ เดาเอา”
กะละแม ชิณเดินมาได้หน่อย...ก็ได้ยินเสียงของดวง ก๋อย และนุ้ย
“พวกชาวบ้านนี่โง่จริงๆ ทำไมดูไม่ออกวะ ว่าไอ้พวกนั้นมันเล่นละคร” ดวงว่า
กะละแมกับชิณตกใจ...รีบหลบเข้าไปในซอกแคบๆ ข้างหน้า นุ้ย ดวง และก๋อยเดินเข้ามาใกล้กับซอกที่กะละแมกับชิณแอบอยู่
“ก็ดีแล้วที่พวกมันโง่ ถ้ามันฉลาดกูก็หลอกมันไม่ได้สิวะ” นุ้ยหัวเราะสะใจ
กะละแมกับชิณหลบอยู่ในซอกแคบๆ ในระยะประชิดตัวติดกัน ชิณต้องกอดกะละแมไว้ไม่ให้โผล่ออกจากซอกนั้น สองคนหน้าแทบชนกัน...ทั้งสองสบสายตากัน แล้วก็เกิดความรู้สึกสะเทิ้นเขินอายกันทั้งคู่
กะละแมเบี่ยงหน้าหลบตาชิณ ทำเป็นส่องดูพวกนุ้ย
จังหวะนั้นกะละแม เห็นนุ้ย ดวง และก๋อย เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าซอกหลืบนั้นพอดี๊พอดี ชิณกับกะละแมเลยยิ่งต้องกอดกันให้ตัวลีบเล็กสุดๆ เพื่อไม่ให้พวกนุ้ยเห็น
“เดี๋ยวมึงสองคนตามมาเอาเลขงวดต่อไป ไปให้พวกมันเอาไว้บอกชาวบ้านพรุ่งนี้ด้วย” นุ้ยสั่งการ
ดวงท้วง “พรุ่งนี้จะทรงอีกเหรอป๋า”
“เออสิวะ...น้ำขึ้นต้องรีบตักเว้ย ก่อนที่ชาวบ้านจะรู้ตัว พวกเราต้องรีบโกยให้ได้มากที่สุด”
สามคนเดินออกไป แต่ชิณกับกะละแมยังคงตกอยู่ในภวังค์และมนต์แห่งรักของหัวใจตน
ครู่หนึ่งต่อมากะละแมแกะมือชิณที่กอดอยู่ออก “พวกมันไปแล้ว...ปล่อยฉันได้แล้ว”
ชิณเพิ่งรู้สึกตัว “อ้าวเหรอ” เขินอายไปด้วย “งั้นก็รีบไปกันเถอะ”
ชิณกับกะละแมโผล่หน้าออกมามองซ้ายมองขวา...ทันใดนั้น ก๋อยก็เดินพรวดกลับมาอีก ชิณรีบคว้าเอวกะละแมแล้วดึงกลับเข้าซอกอย่างรวดเร็ว จังหวะนั้นจมูกชิณไปโดนแก้มกะละแมเหมือนหอมแก้มจริงๆ สองคนมองตากันนิ่งนาน...ทำตัวไม่ถูกทั้งคู่
ก๋อยมองไปทางซอกหลืบที่กะละแมหลบอยู่ แต่ก็ไม่เห็นมีใคร
“อะไรแว๊บๆ” ก๋อยส่ายหัวบ่นงึมงำ “สงสัยตาฝาด” แล้วเดินออกไป
ชิณยังกอดเอวกะละแมอยู่ในซอกนั้น จนพอชิณรู้สึกตัวเอามือออก
“สถานการณ์มันพาไปน่ะ” ชิณว่าแล้วรีบปล่อยมือ
กะละแมเขินๆ แล้วก็แก้เก้อด้วยการโผล่หน้าออกไปมองซ้ายมองขวา
“หวังว่าไอ้คิงคองนั่นคงไม่โผล่มาอีกนะ”
“เรารีบตามหาญาติเธอดีกว่า”
ชิณกับกะละแมรีบเดินลัดเลาะไปอย่างระแวดระวัง
คล้อยหลังสองคน...ฉายตะวัน กิมเอ็ง และมิ้ว ก็เดินเข้ามา
ฉายตะวัน มิ้ว กิมเอ็ง เดินเข้ามา มองซ้ายมองขวาด้วยความระแวดระวัง
“นี่เราจะเข้าไปจริงๆ เหรอ” ฉายตะวันลังเล
มิ้วกะกิมเอ็งบอกพร้อมๆ กัน “จริงค่ะ”
มิ้วพูดสำทับ “คุณป้าจะได้ถามพวกนั้นให้รู้เรื่องไปเลยว่าทำไมถึงต้องโกหก แล้วก็ถามด้วยว่าร่างทรงทั้งหลายแหล่ ไม่ว่าจะเป็นไอ้เด็กตุ้งแช่ นายติ่ง และกะละแม เป็นร่างทรงจริงๆ หรือว่าแหกตากันแน่!”
ฉายตะวันอึ้ง...เริ่มหวั่นกับความจริงที่อาจจะได้รู้...มิ้วรีบฉุดฉายตะวันไป กิมเอ็งคุมหลัง ดูว่ามีใครตามมาหรือเปล่า
ขณะเดียวกันโต๊ดกับติ่งกำลังดูตุ้งแช่ในห้องพัก...เห็นตุ้งแช่นอนตัวสั่น เหงื่อแตกพลั่กๆ สลึมสะลือเพราะพิษไข้ก็สงสาร โต๊ดรีบเข้าไปประคองให้ลุกขึ้นพร้อมกับจับตัวแช่ดูอาการ
“แช่...แช่...ลุกไหวไหม พ่อจะพาไปหาหมอ”
ตุ้งแช่ลืมตาขึ้นแทบไม่ขึ้น...โต๊ดประคองให้นั่ง ตุ้งแช่จะล้มลงไปอีกติ่งรีบมาช่วยจับตัวตุ้งแช่ไว้
“เฮ้ยๆๆ” ติ่งมองตุ้งแช่อย่างสงสาร “อาการหนักว่ะ” รีบบอกกับโต๊ด “น้าโต๊ดเรารีบพามันไปโรงพยาบาลเถอะ”
โต๊ดกับติ่งช่วยกันพยุงตุ้งแช่ออกจากห้อง
ด้านกะละแมกับชิณเดินผ่านหน้าห้องพักโต๊ด...พอสองคนเดินผ่านไป ประตูก็เปิดออกมาพอดี ชิณกับกะละแมรีบหลบวูบแอบข้างตู้
ติ่งกับโต๊ด ช่วยกันพยุงตุ้งแช่ที่เป็นไข้หนักออกมาจากห้อง กะละแมรีบออกไปหาโต๊ดทันที...ชิณตามไป
“น้าโต๊ด...พี่ติ่ง”
ติ่ง และโต๊ดที่ประคองตุ้งแช่อยู่หันมาเห็นกะละแมกับชิณก็จำไม่ได้เพราะสองคนปลอมตัวอยู่ ตุ้งแช่ได้ยินเสียงจึงพยายามหรี่ตามองด้วย ‘ใครวะ’
ติ่งตกใจ “เฮ้ย...พวกแกเป็นใคร เข้ามาได้ยังไง”
“ฉันเอง...กะละแม”
กะละแมถอดแว่น ถอดหนวด ถอดวิก ถอดหมวกออก
ติ่งกะโต๊ดร้องพร้อมๆ กัน “ไอ้แม”
“เฮ้ย...ไอ้แมมาได้ยังไง ห๊ะ” ติ่งถาม
“แล้วแกพาใครมาด้วยวะเนี่ย” โต๊ดมองชิณที่ปลอมตัวอยู่ “หน้าตามันไม่ค่อยน่าไว้ใจเลย
ชิณถอดวิกและถอดแว่นออก
“ทีนี้จำได้หรือยัง”
ติ่งกะโต๊ดแหกปากเสียงดังลั่น “คุณชิณ”
สองคนอึ้งไป
มิ้ว กิมเอ็ง และฉายตะวัน ชะงักเพราะเสียงที่ดังออกมา
“เอ๊ะ...เมื่อกี้ฉันได้ยินเหมือนใครเรียกชื่อชิณใช่มั้ย” ฉายตะวันถามสองแม่ลูก
“ใช่ค่ะ คุณน้องก็ได้ยิน ชัดแจ๋วเลยค่ะ”
“เสียงดังมาจากทางโน้นค่ะคุณป้า...เรารีบไปดูดีกว่าค่ะ”
กิมเอ็งกับมิ้วรีบพาฉายตะวันเข้าไปในบ้าน
กะละแมมองตุ้งแช่ที่คอพับคออ่อนให้ติ่งกับโต๊ดหิ้วปีกก็สงสัย
“แช่เป็นอะไรน่ะน้าโต๊ด”
“ไอ้แช่มันเป็นไข้ ข้ากำลังจะพาไปหาหมอ” โต๊ดเป็นห่วงลูกชาย “ว่าแต่เอ็งเถอะ...มาทำไม เดี๋ยวไอ้พวกนั้นมันเห็นเข้าก็เป็นเรื่อง”
“ฉันอยากมาขอร้องน้าอีกครั้ง ว่าให้เลิกหลอกลวงชาวบ้านสักที” กะละแมว่า
ติ่งกับโต๊ด ตกใจ เหล่มาทางชิณ…แล้วก็ขยิบตาไม่ให้กะละแมพูดมาก
ระหว่างนั้นฉายตะวัน มิ้ว และกิมเอ็งเดินมาพอดี แล้วก็ตกใจที่เห็นชิณกับกะละแมอยู่ที่นี่ด้วย
“พี่ชะ...” มิ้วตกใจมาก
กิมเอ็งรีบปิดปากมิ้วแล้วลากมิ้วหลบวูบเข้าไปที่ข้างผนัง แล้วทำจุ๊ปากให้เงียบ
กิมเอ็งเห็นฉายตะวันงงๆ ทำอะไรไม่ถูก ก็ยื่นมือไปดึงแขนฉายตะวันมาหลบด้วยกัน
ชิณบอกกับโต๊ดและติ่งอย่างรู้ทัน
“ฉันรู้ความจริงหมดแล้ว”
โต๊ดรีบปฏิเสธ “คะ...ความจริงอะไรครับ...คุณชิณพูดอะไรผมไม่เข้าใจ ผมว่าเอาไว้คุยกันวันหลังดีกว่า วันนี้ผมต้องรีบพาไอ้แช่ไปหาหมอ”
“ไม่ต้องเฉไฉหรอกน้าโต๊ด คุณชิณเค้ารู้เรื่องหมดแล้วว่าพวกเราไม่ได้เข้าทรงได้จริงๆ พวกเราเป็นสิบแปดมงกุฎ ตุ้มตุ๋น หลอกลวงชาวบ้าน หลอกคุณนายฉายตะวัน”
ฉายตะวันได้ยินกะละแมบอกก็อึ้ง...ผิดหวังอย่างแรง มิ้วกับกิมเอ็งตาโตด้วยความดีใจ ในที่สุดความจริงก็เปิดเผย...แจ๊คพ็อตแตก!
โต๊ด ติ่งอึ้ง
“จะ...จริงเหรอวะไอ้แม”
ชิณแย่งตอบ “จริง...ฉันแอบได้ยินพวกนายทะเลาะกันที่บ้านหลังเล็ก เรื่องที่จะย้ายมาเปิดสำนักที่นี่ และก็รู้ด้วยว่าไอ้ป๋านุ้ยมันให้พวกนายหลอกใบ้หวยมั่วๆ ให้ชาวบ้าน”
ติ่งเหวอรับประทาน เข่าอ่อนแทบจะหมดแรงประคองตุ้งแช่ แต่โต๊ดยังคงไม่ยอมรับ...พยายามหาทางออก พูดกับชิณ
“ผมไม่รู้เรื่อง ผมไม่เข้าใจ” บอกกะละแม “ข้า...ข้า...ข้าพาไอ้แช่ไปหาหมอดีกว่า”
โต๊ดจะประคองตุ้งแช่ให้เดินไป แต่ติ่งที่ประคองตุ้งแช่อยู่อีกข้างกำลังเหวออยู่ไม่ยอมเดินตาม โต๊ดดึงๆ ติ่งก็ไม่ขยับ...โต๊ดเซ็งเลย
กิมเอ็งกับมิ้วจะออกไปแสดงตัว แต่ฉายตะวันยกมือกันไว้ ไม่ให้ออกไป
ฉายตะวันพูดด้วยแววตาผิดหวังอย่างแรง “ฉันจะกลับบ้าน”
พูดจบฉายตะวันเดินกลับไปเลย...มิ้วกับกิมเอ็งงงๆ ทำไงดี
มิ้วพูดเบาๆ “คุณป้าคะ คุณป้า”
กิมเอ็งกระซิบเบาๆ “อ้าวคุณพี่...ไปซะงั้น”
ฉายตะวันไม่ฟัง เดินไปเลย มิ้วกับกิมเอ็งเลยต้องจำใจเดินตาม ทั้งที่ยังเสียดายอยากรู้ต่อ
ส่วนกะละแมยังพยายามเกลี้ยกล่อมโต๊ด
“น้าโต๊ด...ฉันขอร้องล่ะ น้าเลิกเปิดสำนักทรงเถอะนะ น้ากำลังโดนไอ้ป๋านุ้ยมันใช้เป็นเครื่องมือหลอกชาวบ้านอยู่ รู้ตัวหรือเปล่า”
โดนโต๊ดด่า “นังกะละแม เอ็งอย่ามาพูดมาก รีบๆ กลับไปซะ เดี๋ยวพวกไอ้ดวงมันมาเจอเข้า แล้วจับเอ็งไปทำเมีย ข้าช่วยอะไรไม่ได้นะเว้ย”
ชิณกล่อมด้วย “เชื่อที่กะละแมพูดเถอะ เลิกหลอกชาวบ้านได้แล้ว ดูสิ...เพราะคุณทำกับคนอื่นไว้เยอะไง ลูกคุณถึงได้เป็นแบบนี้”
โต๊ดกลัวเหมือนกันแต่ไม่ยอมรับง่ายๆ “ไอ้แช่มันไม่สบาย เป็นไข้ ตัวร้อน ไม่เกี่ยวกับที่ ผมทำสักหน่อย ผมว่าคุณชิณพานังกะละแมกลับไปเถอะ อย่ามาสนใจคนอย่างพวกผมเลย”
กะละแมเซ็ง “ไม่สนได้ไง น้าเป็นน้าฉันนะ”
โต๊ดชะงัก....ซึ้งๆ
“เรามีกันอยู่แค่สี่คน ถึงน้าจะไม่นับฉันเป็นหลาน แต่สำหรับฉัน น้าก็ยังเป็นน้า โต๊ดของฉันอยู่ดี”
ชิณมองกะละแม เห็นความจริงจังและมุ่งมั่นในแววตา
“ฉันไม่อยากให้เราต้องทำผิดไปมากกว่านี้ น้าเชื่อฉันเถอะนะ เราต้องทำมาหากินอย่างอื่น ที่ไม่ต้องหลอกชาวบ้าน น้าให้โอกาสฉันได้พิสูจน์ตัวเองได้ไหม ฉันจะทำให้น้าเห็นว่าฉันสามารถเลี้ยงน้า และทุกคนด้วยอาชีพสุจริตได้ น้าให้โอกาสฉันสักครั้งนะ กลับมาอยู่ด้วยกันเหมือนเดิมนะ...น้าโต๊ด”
กะละแมพูดน้ำตาซึม…ขอความเห็นใจจากน้า โต๊ดกระพริบตาถี่ๆ เพื่อไล่น้ำตา...โต๊ดเริ่มสับสน ติ่งเห็นกะละแมแล้วสะท้อนใจ
ขณะเดียวกันโทฟู่มองออกไปนอกรถ ท่าทางกระวนกระวายเป็นห่วงกะละแมมาก และในที่สุดก็ทนรอไม่ไหว จะเปิดประตูรถออกไป
จักกายรีบถาม “จะไปไหน”
“ฉันจะเข้าไปดูไอ้แม หายเงียบไปตั้งนาน ไม่รู้จะเป็นยังไงบ้าง”
“ไหนเมื่อกี้บอกว่าให้รอเวลา แล้วทำตามแผนไง ทำไมตอนนี้ใจร้อนซะเอง”
“ก็ฉันเป็นห่วงไอ้แมนี่นา” สีหน้าโทฟู่เป็นห่วงสุดๆ
“กะละแมเค้าเอาตัวรอดได้น่า นายชิณก็อยู่ด้วยทั้งคน คุณอย่ากังวลเลย ผมว่ารออีกนิดดีกว่า”
โทฟู่คิดแล้วก็ยอม “ก็ได้” โทฟู่อดทนรอกะละแมด้วยความเป็นห่วงต่อไป
ด้านก๋อยกับดวงเดินมาตามทางเดินที่ตรงไปห้องพักโต๊ด...พอใกล้ถึงห้องโต๊ด ก๋อยก็ตะโกนลั่น
“เอ้า...เลขที่จะออกงวดต่อไป มาแล้วเว้ย”
ดวงตบหัวก๋อย...ป๊าบ “มึงจะตะโกนทำไมหะ”
ก๋อยคลำหัว...เจ็บว่ะ แล้วก็ตอบโง่ๆ
“ก็ตะโกนให้มันรู้ตัวไงพี่ดวง”
ดวงส่ายหน้าเซ็งก๋อย...แล้วทั้งสองคนก็พากันเดินไปทางห้องโต๊ด
กะละแม ชิณ ติ่ง โต๊ด ได้ยินเสียงก๋อยก็ตกใจ
“นังกะละแม...รีบหนีไปเร็ว เดี๋ยวข้ากับไอ้ติ่งจะสกัดพวกมันไว้ให้”
“หนะ...หนี” กะละแมตกใจ
“เออสิวะ...หนี...ไปเร็ว” ติ่งบอก
โต๊ดกับติ่งประคองตุ้งแช่ไปนั่งหลบข้างๆ ผนัง โต๊ดบอกตุ้งแช่
“นั่งตรงนี้ก่อนนะแช่”
ตุ้งแช่พยักหน้ารับแบบไม่ค่อยมีแรง แล้วก็ตัวสั่นๆ เพราะพิษไข้
กะละแมกับชิณรีบวิ่งไปทางซ้ายทางตัน...เฮ้ย !!!
“ไม่ใช่ทางโน้น...ทางนี้” ติ่งชี้บอก
กะละแมกับชิณวิ่งมาอีกทาง...แต่ก็ต้องหยุดชะงัก เพราะดวงกับก๋อยโผล่มาพอดี
ดวงเห็นกะละแมก็ชะงักตาค้าง...ไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้เจอกะละแมที่นี่
“หะ....น้องกะละแม” ดวงยิ้มปากบาน “และแล้ว น้องกะละแมก็มาหาพี่ดวงจนได้”
ดวงโผเข้ามาหากะละแมพร้อมจะกางมือจะสวมกอดให้หนำใจ
เจ้าแม่จำเป็น ตอนที่ 14 (ต่อ)
ชิณเหล่แล้วรีบมายืนขวาง ดวงชะงักกึก...เบรคแทบไม่ทัน แหกปากร้องเสียงดัง
“เฮ้ย...ไอ้...ไอ้เจ้าของที่นี่หว่า เข้ามาได้ยังไงวะ”
ชิณเสียงดังกลับ “ก็เดินเข้ามาน่ะสิ...ถามโง่ๆ”
ดวงสะดุ้ง “ทำไมต้องพูดเสียงดังด้วยวะ ไม่รู้หรือไงว่ากูไม่ชอบให้ใครมาเสียงดังใส่” ว่าคนอื่นแต่ตัวเองแหกปากอยู่ “ไอ้ก๋อย...สั่งสอนให้มันรู้สำนึกสิ ว่าทีหลังอย่างมาขึ้นเสียงใส่คนอย่างพี่ดวง”
แต่ก่อนที่ก๋อยจะสาระแนเข้ามา ชิณง้างหมัดแล้วก็ชกเข้าเต็มหน้าดวง
“โอ๊ย” ดวงล้มลงไปกองกับพื้น
“เป็นไง” ชิณเจ็บมือ แต่เก๊กแมนโครตๆ “ถือซะว่าเอาคืนที่พวกแกเคยรุมฉัน”
ก๋อยตะโกนเรียกพวก “เฮ้ย...ไอ้พวกหมาหมู่อยู่ไหน รีบมานี่เร็ว มีคนให้รุม...”
ก๋อยยังพูดไม่ทันจบคำ ก็โดนไม้หน้าสามฟาดที่ท้ายทอยอย่างแรง
ก๋อยตาเหลือก ร่างดำๆ ร่วงลงไปสลบ ล้มทับดวง...ดวงจุกลุกไม่ขึ้น
เป็นจักกายที่ถือไม้หน้าสามอยู่ มีโทฟู่ยืนอยู่ข้างๆ
กะละแม ติ่ง และโต๊ด คาดไม่ถึง “ไอ้ฟู่”
ชิณหันไปมองจักกาย...สองคนสบตากันแบบลูกผู้ชาย
“เข้ามาทำไม...ฉันบอกแล้วไงว่าให้รออยู่ข้างนอก”
“ฉันเห็นแกไม่ออกไปสักที เลยเป็นห่วง”
โทฟู่เห็นตุ้งแช่นั่งสั่นๆ อยู่ที่พื้นห้อง แล้วก็หันไปมองดวงที่ถูกก๋อยล้มทับอยู่ที่พื้นยังลุกไม่ขึ้น แล้วก็ถาม
“แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้น”
“ฉันว่าอย่าเพิ่งถามอะไรกันมากเลย พวกแกรีบพากันหนีออกไปก่อนดีกว่า” ติ่งตัดบท
“อือ...พวกพี่ก็ระวังตัวนะ”
กะละแมรีบลากชิณออกไป โทฟู่กับจักกายวิ่งตามไป
ส่วนดวงยังโดนก๋อยทับอยู่ “เฮ้ย...อย่าหนีนะเว้ย...ใครอยู่ข้างนอกมาช่วยกูหน่อยโว้ย” ดวงร้องลั่น พร้อมกับดันตัวก๋อยออก “ไอ้ก๋อย...ตัวหนักชิปเป๋งเลยมึง”
ดวงรวบรวมพลังทั้งหมดที่มี ผลักก๋อยจนกระเด็นออกไปจนได้ ดวงลุกขึ้นจะวิ่งตามพวกกะละแมไป แต่ถูกโต๊ดเอาตุ๊กตาปูนปั้นที่วางอยู่แถวนั้นมาทุบหัว...ดวงตาเหลือกแล้วสลบไป
โต๊ดมองตามหลังกะละแมด้วยความเป็นห่วง...ครอบครัวเดียวกันยังไงก็ตัดไม่ขาด
ภายในบ้านนุ้ยยามนั้น เห็นลูกน้องนุ้ยวิ่งกันพล่าน
“เฮ้ย...เมื่อกี้ได้ยินเสียงเหมือนพี่ดวงเรียกใช่มั้ย”
“ใช่ ดังมาจากทางโน้น” อีกคนชี้ไปทางห้องโต๊ด
ก๋อยได้สติเดินโงนเงนออกมาจากทางห้องโต๊ด แล้วสั่งลูกน้อง
“พวกมึงรีบตามไปจับไอ้สี่คนนั้นมาให้ได้...มันวิ่งไปทางโน้นแล้ว” ชี้ไปทางหน้าต่าง
ก๋อยเพ่งมองผ่านหน้าต่างเห็น กะละแม ชิณ จักกาย โทฟู่ พากันวิ่งตรงไปทางประตูหน้าบ้าน
“ครับพี่ก๋อย”
พวกลูกน้องพากันวิ่งออกไปตามจับพวกกะละแม ก๋อยจะตะกายตามไป แต่ถูกติ่งเอื้อมมือมาปิดปาก แล้วลากคอกลับเข้าไปข้างในเหมือนเดิม
ชิณ กะละแม โทฟู่ และจักกาย พากันวิ่งออกมาจากบ้านนุ้ย มุ่งหน้าไปที่ประตูหน้าบ้าน ชิณกับกะละแมวิ่งนำหน้าไปได้ระยะหนึ่ง จักกายกับโทฟู่วิ่งตามหลัง ห่างออกไปทางด้านหลังเห็นลูกน้องนุ้ย ๒ คน วิ่งตามมา
“เฮ้ย...หยุดนะเว้ย”
ชิณหันหลังกลับไปมอง แล้วก็หันมาคว้าข้อมือกะละแมแล้วพาวิ่งอย่างเร็ว...ชิณดูแมนสุดๆ
“วิ่งเร็ว...พวกมันจะตามมาทันแล้ว” ชิณบอก
กะละแมมองชิณแล้วก็แอบปลื้ม ในยามอันตรายก็ยังมีมุมเล็กๆ ให้ความรักได้เติบโต
จักกายที่วิ่งมาคู่กับโทฟู่หันไปมองลูกน้องนุ้ยสองคนที่วิ่งตามมา แล้วเหลือบไปเห็นถังขยะใบใหญ่ตั้งอยู่เลยยกถังขยะทุ่มใส่ลูกน้องนุ้ยสองคนนั้น
ลูกน้องนุ้ยสองคนฉีกตัวหลบกันไปคนละทาง แล้วเสียหลักล้มลง
จักกายจับข้อมือโทฟู่วิ่ง “ไปเร็ว”
โทฟู่มองจักกายปลื้มๆ ‘เท่เหมือนกันนะเนี่ย’
ลูกน้องนุ้ยหน้าเหี้ยม เสียงโหดอีกคน วิ่งมาดักหน้า...จักกายกับโทฟู่ชะงักกึก
“หนีไม่พ้นหรอก” มันขู่
จักกายจับมือโทฟู่แน่น พร้อมปกป้องเต็มที่
โทฟู่หวั่นใจ ‘จะรอดไหม ?’
ชิณกับกะละแมหันกลับมาทางจักกายกับโทฟู่เห็นว่าถูกดักอยู่...กะละแมมองซ้ายมองขวาเห็นไม้กวาดวางอยู่ รีบหยิบมาฟาดลูกน้องนุ้ย ชิณเห็นตามไปต่อยซ้ำจนลูกน้องนุ้ยคนนั้นสลบไป
ชิณเห็นลูกน้องนุ้ยสองคนเดินใกล้เข้ามาทางด้านหลังจักกาย
“ระวังข้างหลัง”
จักกายหันไปถีบลูกน้องนุ้ยคนหนึ่งล้มลง แล้วก็ต่อยอีกคนหนึ่งจนเซไป จากนั้นจักกายล้วงกุญแจรถออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วโยนให้ชิณ
“นายพาพวกผู้หญิงไปที่รถก่อน ฉันจะกันพวกมันไว้ให้”
ชิณคิดแล้วพูดอย่างเด็ดเดี่ยว “ฉันทิ้งนายไว้ที่นี่คนเดียวไม่ได้หรอก”
ชิณกับจักกายมองตากันแมนๆ ชิณโยนกุญแจรถให้กะละแม
“เธอไปขับรถมารอหน้าบ้าน”
“ฉันขับรถไม่เป็น” กะละแมโยนกุญแจต่อให้โทฟู่
“ฉันก็ไม่เป็น” โทฟู่บอก
ชิณกับจักกายมองกะละแมกับโทฟู่อย่างเซ็ง...ปั๊ดโธ่เอ๊ย!
“งั้นก็ไปพร้อมกันหมดนี่แหละ”
ชิณพูดจบก็ไปช่วยจักกายจัดการลูกน้องนุ้ยสองคนนั้น พอได้จังหวะชิณกับจักกายก็พากะละแมกับโทฟู่วิ่งออกประตูไป
ลูกน้องนุ้ยสองคนถึงจะเจ็บตัวแต่ก็พยายามวิ่งตามออกไปไม่ลดละ
โทฟู่โยนกุญแจรถคืนให้จักกาย
“กาย...กุญแจรถ”
จักกายรับกุญแจไปเปิดรถ โทฟู่วิ่งไปนั่งหน้าคู่จักกาย ชิณกับกะละแมนั่งข้างหลัง...แล้วจักกายก็ขับรถ
ออกไป เฉียดฉิวกับที่ลูกน้องนุ้ยวิ่งตามออกมาพอดี
พวกลูกน้องนุ้ยมองตามรถจักกายด้วยความเจ็บใจ
รถจักกายแล่นออกไปอย่างรวดเร็ว...ทั้ง 4 คน รอดมาได้อย่างหวุดหวิด
กลับถึงบ้านเย็นวันนั้น ฉายตะวันยืนหน้าเครียดอยู่ในห้องรับแขก นั่งไม่ติด ร้อนใจไปหมด มีมิ้วกับกิมเอ็งคอยใส่ไฟกะละแมอยู่ข้างๆ
“คราวนี้คุณพี่คงจะเชื่อที่คุณน้องพูดแล้วใช่มั้ยคะ ว่าพวกมันเป็นสิบแปดมงกุฎ ต้มตุ๋น หลอกลวง เชื่อไม่ได้!” กิมเอ็งใส่เป็นชุด “ยิ่งนังกะละแมร่างทรงกำมะลอ ยิ่งร้ายใหญ่ หลอกได้แม้กระทั่งผู้มีพระคุณอย่างคุณพี่ แบบนี้เค้าเรียกอกตัญญู กินบนเรือนขี้รดบนหลังคา”
ฉายตะวันอึ้ง...พูดอะไรไม่ออก หน้าตาผิดหวังอย่างรุนแรง
มิ้วเสริม “จริงค่ะคุณป้า แล้วยังจะพี่ชิณอีก ไม่รู้ไปยังไงมายังไงถึงได้ไปเข้าพวกกับสิบแปดมงกุฎพวกนั้นได้”
“จะอะไรซะอีกล่ะคะคุณลูก คุณชิณก็คงจะโดนนังกะละแมมันหลอก เหมือนกับตอนที่ คุณพี่โดนหลอกนั่นแหละ” กิมเอ็งร้องอุ๊ปส์ หลุดปาก
ฉายตะวันสะดุ้งนิดๆ กิมเอ็งรู้ตัว รีบเบรคอารมณ์ลง...
“คุณน้องไม่ได้ตั้งใจว่าคุณพี่นะคะ คุณน้องแค่พูดให้เห็นภาพ” กิมเอ็งยิ้มแหะๆ
มิ้วรีบพูดต่อ “แต่คุณแม่ก็พูดความจริงนะคะ นังกะละแมมันร้อยเล่ห์มารยาขนาดคุณป้ายังหลงจนไม่ฟังใครมาแล้ว ตอนนี้ไม่รู้ว่าพี่ชิณจะเป็นยังไงบ้าง คุณป้าต้องตัดไฟตั้งแต่ต้นลม ก่อนที่อะไรๆ มันจะสายเกินไปนะคะ”
“ใช่ค่ะ คุณพี่ แบบนี้ต้องไล่ออกไปเลยค่ะ ปล่อยให้ลอยหน้าอยู่ต่อไปไม่ได้ !!!” กิมเอ็งได้ทียุสุดฤทธิ์
ฉายตะวันคิด..แล้วก็พูดขึ้นอย่างหนักแน่
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง...ฉันก็ไม่ปล่อยให้คนอันตรายแบบนั้นกลับเข้ามาอยู่ในบ้านอีกแล้ว”
มิ้วกับกิมเอ็งแอบอมยิ้ม สะใจ!
ฉายตะวันเสียงเข้ม “แจ่ม”
แจ่มวิ่งเข้ามา “ขา”
“ไปจัดการเก็บข้าวของของกะละแมมาที่นี่เดี๋ยวนี้ อย่าให้เหลือแม้แต่ชิ้นเดียว”
“เก็บของคุณกะละแม เก็บทำไมคะ” แจ่มงงๆ ฉายตะวันจ้องมาดุๆ “ค่ะๆ ไม่ถามค่ะ ไปเก็บเดี๋ยวนี้เลยค่ะ”
มิ้วกับกิมเอ็งหันมายิ้มให้กัน สีหน้าสะใจโคตรๆ สำเร็จ!
ฉายตะวัน ค่อยๆ นั่งลงด้วยความเหนื่อยหน่าย และผิดหวังอย่างรุนแรง....ทำไม...ทำไม...
รถจักกายขับเข้ามาจอดที่หน้าบ้านมหาทรัพย์ไพศาล ชิณกับกะละแมลงจากรถ ยังอยู่ในชุดปลอมตัว แต่เอาวิกเอาหนวดออกหมดแล้ว จักกายกับโทฟู่ลงมาจากรถเพื่อส่งกะละแมกับชิณ
กะละแมบอกจักกาย “ขอบคุณมากนะที่มาส่ง แล้วก็ขอบคุณที่ยอมเสี่ยงอันตรายไปกับฉัน”
”ไม่เป็นไร...นานๆ ได้ทำอะไรแบบนี้ที ก็ตื่นเต้นดี” จักกายยิ้มๆ
“ขอบใจแกด้วยนะไอ้ฟู่”
“ขอบจงขอบใจอะไร...เพื่อนกันไม่ทิ้งกันอยู่แล้ว” โทฟู่ยิ้มกว้าง กะละแมยิ้มตามนิดๆ ซึ้งใจ “ฉันไปนะ” หันมาทางชิณ “ไปก่อนนะคะคุณชิณ สวัสดีค่ะ”
โทฟู่ไหว้ชิน แล้วขึ้นรถไปกับจักกาย และรถขับแล่นออกไป
ประตูบ้านเปิดออก ชิณเดินเข้ามา หันมาไม่เห็นกะละแม ก็มองหา จนเห็นว่ากะละแมยังยืนซึมๆอยู่ที่นอกบ้าน ชิณเดินมาหา
“เป็นอะไร...ทำไมยังไม่เข้าบ้าน...” ชิณรู้ใจ “เป็นห่วงเรื่องญาติเธออยู่เหรอ”
กะละแมพยักหน้า “ป่านนี้คงโดนพวกไอ้ป๋านุ้ยเล่นงานแน่ๆ ไอ้แช่ก็ไม่สบาย... ฉันอยากจะช่วยพวกเค้าแต่ฉันกลับทำอะไรไม่ได้เลย”
ชิณมองกะละแมด้วยความเห็นใจ
“เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนเถอะ ฉันจะหาทางช่วยเธอเอง ตอนนี้เธอควรไปพักผ่อนได้แล้ว เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว”
ชิณพูดด้วยความเป็นห่วง กะละแมสัมผัสได้ถึงความรู้สึกดีๆ ที่ชิณมีให้ กะละแมยิ่งรู้สึกผิด
“คุณชิณ...ฉัน...ขอบคุณคุณมากนะ ที่เข้าใจ และอภัยให้ฉันทุกอย่าง คุณกับคุณแม่ของคุณ ดีกับฉันมากจริงๆ ดีจนบางครั้งฉันละอายใจ” กะละแมน้ำตาซึม
ชิณมองด้วยความเข้าใจและสงสาร
กะละแม ตัดสินใจเด็ดเดี่ยว พูดทั้งที่น้ำตาคลอๆ “ฉันตัดสินใจแล้ว....ฉันจะบอกความจริงกับแม่คุณ เรื่องที่ฉันไม่ได้เป็นร่างทรง และเรื่องที่ฉันโกหกท่านมาตลอด”
ชิณมองหน้า ถามย้ำอีกที หยั่งใจ “แน่ใจนะว่าอยากจะบอกจริงๆ”
“แน่ใจค่ะ ฉันพร้อมแล้ว! ฉันอยากเคลียร์เรื่องราวต่างๆ ให้มันจบสักที ฉันไม่อยากโกหกท่านอีกต่อไป”
ทันใดนั้นเสียงมิ้วก็ดังแทรกขึ้น
“เธอได้เคลียร์แน่ไม่ต้องห่วง”
ชิณกับกะละแมหันไปเห็นมิ้วเดินเข้ามา หน้าตาเชิดดูมาดเหนือกว่ามากๆ
“คุณป้ากำลังรอพี่ชิณอยู่ บอกว่ามีเรื่องสำคัญจะคุยด้วย” ปรายตาไปทางกะละแมแล้วบอกเสียงจิก “รวมทั้งเธอด้วย” มิ้วพูดจบก็เดินสะบัดก้นเข้าบ้านไป
ชิณกับกะละแมมองหน้ากันงงๆ ...มีเรื่องอะไร ?
“คุณแม่จะคุยอะไร”
“ฉันสังหรณ์ใจว่า...คงจะไม่ใช่เรื่องที่ดี”
กะละแมรู้สึกว่าสังหรณ์ใจ หน้าเสีย ใจเสีย
ฉายตะวันนั่งอยู่ที่ห้องรับแขก หน้าตาบึ้งตึง มิ้วกับกิมเอ็งนั่งขนาบคนละข้าง ชิณกับกะละแมเดินเข้ามาเผชิญหน้ากัน บรรยากาศมาคุสุดๆ
“มิ้วบอกว่า คุณแม่มีเรื่องอยากจะคุยกับผม”
ฉายตะวันถามเสียงแข็ง “ชิณไปไหนมา”
ชิณอึกอักซะงั้น “เอ่อ...คือว่า...วันนี้ผม...ผม...ไปทำธุระสำคัญมาครับ”
ฉายตะวันส่ายหน้าผิดหวัง “พอเถอะชิณ แม่ไม่อยากฟังคำโกหกจากชิณ และ” หันหน้ามาทางกะละแม “คำโกหกของใครบางคน..อีกแล้ว”
ฉายตะวันมองหน้ากะละแม ในแววตาไม่มีความเอ็นดูเหมือนก่อน กะละแมสะอึกรู้สึกได้ถึงความไม่เป็นมิตร
“คุณชิณคงจะใกล้ชิดคนบางคนมากเกินไปมั้งคะ” กิมเอ็งปรายตามองกะละแม “เลยติดนิสัยชอบโกหกมาโดยไม่รู้ตัว”
กะละแมสะอึก รู้สึกตัวว่าโดนด่า
“แม่พูดเรื่องอะไรครับ ผมงงไปหมดแล้ว”
กะละแมพูดตรงๆ “คุณนายกิมเอ็งหมายถึงหนูใช่มั้ยคะ”
มิ้วเบ้ปาก “ยังจะมาถาม ไม่รู้ตัวอีกหรือไง ชริ”
กะละแมหน้าเสีย ฉายตะวันเชิดหน้าเหมือนไม่อยากพูด เพราะผิดหวังอย่างแรง กิมเอ็งแทรกขึ้นมาเลย
“จะบอกให้หายโง่ก็ได้ วันนี้พวกเราทุกคนไปที่สำนักทรงของน้าแก! และก็ได้ยินตอนพวกแกทะเลาะกัน ได้ยินทุกอย่าง”
กะละแมตกใจ...หน้าตาเหลอหลา ชิณยังฟังนิ่งๆ แต่ในใจก็ตกใจไม่น้อยไม่กว่ากัน
กิมเอ็งพูดต่อ “และพวกเราก็รู้หมดแล้วว่า เธอไม่ใช่ร่างทรง เธอกับญาติๆ ของเธอหลอกชาวบ้าน หลอกทุกคน แล้วก็หลอกคุณพี่ด้วย”
ชิณกับกะละแมจ๋อย ทำหน้าไม่ถูก...คิดหาทางออกไม่เจอ
กะละแมหน้าเสียหันมาทางฉายตะวัน รู้สึกผิด “คุณนาย”
ฉายตะวันลุกขึ้น พูดสวน “เธอก็รู้ว่าฉันเลี้ยงทุกคนด้วยความจริงใจ ไม่ต้องการสิ่งตอบแทน นอกจากความซื่อสัตย์ แต่สิ่งที่เธอตอบแทนฉันมันคือคำโกหกและการหลอกลวง เท่านั้นยังไม่พอ เธอยังดึงชิณลงไปทำเรื่องเลวร้ายกับเธอด้วย เธอทำกับฉันแบบนี้ เห็นทีเราจะอยู่ด้วยกันไม่ได้”
กิมเอ็งตะโกนอย่างรู้ใจ “แจ่ม เข้ามาได้”
กิมเอ็งเชิดหน้าอย่างสะใจ
ครู่ต่อมาแจ่มถือกระเป๋าและถุงใส่ข้าวของของกะละแมเดินเข้ามาวางข้างๆ โซฟาที่กะละแมนั่ง
ฉายตะวันพูดกับกะละแมเสียงแข็ง “ฉันให้แจ่มเก็บของของเธอมาหมดแล้ว ออกไปจากที่นี่นับตั้งแต่นาทีนี้ และอย่ากลับมาอีก...ฉันไม่อยากเห็นหน้าเธอ”
กิมเอ็งกับมิ้วเหยียดตามอง...สะใจ กะละแมหน้าเสีย...จะร้องไห้ แต่พยายามกลั้นไว้
ชิณช่วยพูด “แม่ครับ...ผมว่าเราค่อยๆ คุยกันก็ได้นะครับ แม่จะไล่กะละแมออกไปแบบนี้ไม่ได้ มันไม่ยุติธรรมกับกะละแมนะครับ”
ฉายตะวันสวนกลับ “แล้วที่เด็กคนนี้หลอกลวงแม่ มันยุติธรรมกับแม่ตรงไหน...ถ้าชิณยังเห็นแม่เป็นแม่ก็ขอให้หยุดพูดเรื่องนี้ซะ”
ชิณเริ่มอารมณ์ขึ้น “ผมจะหยุด ก็ต่อเมื่อคุณแม่ฟังกะละแมอธิบายบ้าง ผมไม่ยอมให้กะละแมออกไปจากที่นี่ โดยไม่ได้ชี้แจง”
“แม่ไม่อยากจะฟังคำอธิบายคำชี้แจงอะไรทั้งนั้น ที่นี่เป็นบ้านแม่ แม่มีสิทธิ์จะให้ใครอยู่ หรือไปก็ได้ เธอ..ออกไปได้แล้ว”
ชิณฮึด “ผมไม่ให้ไป”
ชิณไม่ยอม กะละแมทนไม่ได้ แทรกขึ้นมา
กะละแมดึงแขนชิณให้หยุดพูด “คุณชิณ หยุดเถอะค่ะ ฉันขอร้อง คุณนายทำถูกแล้ว” หันมาทางฉายตะวันน้ำตาซึม “หนูยอมรับผิดทุกอย่าง หนูจะไม่เรียกร้องการให้อภัย”
ฉายตะวันเชิดหน้าใจแข็ง กะละแมพูดต่อ
“แต่หนูอยากบอกคุณนายว่า บุญคุณของคุณนายที่ผ่านมา หนูจะไม่มีวันลืม ถ้ายังไม่หมดลมหายใจ สักวันหนูจะกลับมาทนแทนบุญคุณคุณนาย...หนูลาค่ะ”
กะละแมก้มลงกราบที่เท้าของฉายตะวัน และร้องไห้อย่างไม่อาย ฉายตะวันขยับเท้าชักหนี
กะละแมสะอึก..เศร้าอย่างแรง กะละแมคิดถึงความทรงจำดีๆ ที่มีกับฉายตะวัน
ตอนกะละแมไปขอทุนกับฉายตะวัน ฉายตะวันมองกะละแมอย่างเอ็นดู ตอนกะละแมเลือกเสื้อผ้ากับฉายตะวันที่ร้านแนนซี่ ตอนที่ฉายตะวันกินข้าวกับกะละแมและครอบครัวอย่างไม่ถือตัว และตอนฉายตะวันพากะละแมเข้ามาอยู่ที่บ้านวันแรก
ฉายตะวันสะเทือนใจไม่น้อย พยายามยามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหล และควบคุมจิตใจไม่ให้ใจอ่อน ก่อนจะตัดสินใจเดินออกไป ไม่รับการกราบจากกะละแม
กะละแมอึ้งๆ เสียใจอย่างหนักและค่อยๆ ยันกายลุกขึ้นยืน
ชิณมองกะละแมสงสาร ทำอะไรไม่ถูก ก่อนจะตัดสินใจเดินตามฉายตะวันไป
“แม่ครับ”
มิ้วกับกิมเอ็งยิ้มอย่างผู้มีชัย...และสะใจ!
ฉายตะวันเดินมาอีกห้องหนึ่ง ชิณเดินตามมา พยายามสงบสติอารมณ์และพูดกับฉายตะวันดีๆ
“แม่ครับ...ความจริงกะละแมหาโอกาสจะสารภาพความจริงกับแม่ เค้ากำลังจะบอกวันนี้ แต่พอดีแม่รู้ความจริงซะก่อน เค้าไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังแม่ตลอดไปนะครับ”
ฉายตะวันหันมา “แล้วชิณล่ะ ชิณเองก็รู้ความจริง แล้วทำไมไม่คิดจะบอกความจริงกับแม่? ชิณคิดยังไง ถึงได้ปิดบังแม่”
“ผมไม่เคยคิดจะปิดบังแม่นะครับ ผมพยายามบอกแม่มาตลอด แต่แม่ก็ไม่เคยเชื่อผมเลย”
ฉายตะวันสะอึกนิดๆ
เหตุการณ์ที่ชิณพยายามบอกฉายตะวันว่ากะละแมเป็นร่างทรงกะมะลอตั้งแต่แรกๆ ผุดขึ้นมาในหัว แต่ฉายตะวันไม่เชื่อ
ฉายตะวันอึ้งไป...แต่ก็ยังดื้อไม่ยอมรับ
“ก็ตอนนั้นแม่ไว้ใจคนมากเกินไป แต่ตอนนี้แม่ก็รู้ความจริงแล้ว และแม่ก็ไล่เค้าออกจากบ้าน แล้วชิณจะโวยวายทำไม ในเมื่อมันก็เป็นสิ่งที่ชิณต้องการและพยายามทำมาตลอด”
คราวนี้ ชิณอึ้งไปนิดๆ ‘เออจริง’ แต่เถียง “มันก็ใช่ .. แต่กะละแมตอนนี้ กับกะละแมตอนนั้น ไม่เหมือนกันนะครับ ตอนนี้เค้ากลับใจแล้ว แม่ให้โอกาสเค้าแก้ตัวสักครั้งได้มั้ยครับ”
“มันสายเกินไปแล้วชิณ ความไว้ใจของแม่มันถูกทำลายไปหมดแล้ว เค้าหาผลประโยชน์จากความไว้ใจของแม่ เมื่อก่อนแม่อาจจะรัก อาจจะเมตตา เอ็นดู แต่ตอนนี้แม่ไม่เหลือความรู้สึกดีๆ แบบนั้นให้เค้าอีกแล้ว”
ฉายตะวันพูดเสียงแข็งแล้วเดินไป ชิณจนปัญญาจะพูดต่อ
กะละแมยังคงยืนอึ้งอยู่ มิ้วกับกิมเอ็งมองซ้ายมองขวาไม่เห็นฉายตะวันกับชิณเลยได้ทีด่าส่งกะละแม
“เป็นไงล่ะ สะใจแล้วสิ ทำให้แม่ลูกเค้าทะเลาะกัน แล้วยังจะหน้าด้านยืนทื่ออยู่อีก”
กะละแมไม่มีอารมณ์จะต่อล้อต่อเถียง
กิมเอ็งบอก “ฉันให้แจ่มไปเรียกแท็กซี่แล้ว รีบไสหัวไปซะ ก่อนที่คุณพี่จะโมโหมากไปกว่านี้”
แจ่มเดินเข้ามา
“แท็กซี่มาแล้วค่ะ” มองกะละแมอย่างสงสาร
กะละแมยืนอึ้งอยู่กับที่
มิ้วขึ้นเสียง “ไม่ได้ยินรึไง แท็กซี่มาแล้ว ออกไปจากบ้านนี้ได้แล้ว” หันไปสั่ง “แจ่ม! ขนของมันไปเลย”
“พี่แจ่มไม่ต้อง ฉันขนไปเอง” กะละแมมองหน้าสองแม่ลูก “พวกคุณไม่ต้องห่วงฉันไปแน่”
“ไม่ใช่ไปแน่ แต่ต้องไปตอนนี้ และเดี๋ยวนี้...ไปสิ”
กิมเอ็งไล่เหมือนหมูเหมือนหมา กะละแมไม่อยากจะถือสา หันมาไหว้แจ่ม
“พี่แจ่มฉันไปก่อนนะ ฉันขอโทษที่เคยโกหกพี่”
“ไม่เป็นไรจ้ะ พี่แจ่มให้อภัย”
กะละแมมองด้วยความซึ้งใจ แล้วก็ก้มลงหยิบของเดินคอตกออกไป แจ่มมองตามกะละแมอย่างสงสาร
กิมเอ็งตะโกนตามหลัง “ไปแล้วก็ไปลับ อย่ากลับมาอีกล่ะ”
แจ่มมองสองแม่ลูกแล้วส่ายหน้าก่อนจะเดินออกไป ‘กูไปทำงานดีกว่า’
มิ้วกิมเอ็งยังคงมองตามหลังกะละแมอย่างสะใจ แล้วหันมาตบมือแท็คทีมกัน สำเร็จ!
“อั๊ยย่ะ”
กะละแมหิ้วกระเป๋าเดินออกมาจากบ้าน...เดินๆ มาก็หยุดเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาเป็นสาย แล้วก็เดินต่อไปจนถึงประตูใหญ่ กะละแมหันกลับมามองบ้านอีกครั้ง
กะละแมตัดใจก่อนจะหันหลังให้ แล้วเปิดประตูเล็กเดินออกไปขึ้นแท็กซี่ที่จอดรออยู่หน้าบ้าน
ส่วนชิณเดินกลับมาที่ห้องรับแขกเห็นมิ้วกับกิมเอ็งยืนสะใจกันอยู่ ชิณมองซ้ายมองขวา ไม่เห็นกะละแมจึงหันไปถามมิ้วกับกิมเอ็ง
“กะละแมหายไปไหน”
“ไสหัวออกไปแล้วค่ะ” กิมเอ็งบอกหน้าระรื่น
ชิณรีบเดินตามออกไปทันที มิ้วรีบเรียก
“พี่ชิณ..พี่ชิณ”
ชิณไม่สนใจรีบตามกะละแมไปทันที ทิ้งให้มิ้วอึ้งปนเหวอ
มิ้วยังงงๆ อยู่ “พี่ชิณตามนังกะละแมไปแล้วค่ะคุณแม่ พี่ชิณคะ..พี่ชิณ”
มิ้วยังพยายามเรียกชิณ แต่ชิณไม่สนใจ กิมเอ็งมองตามชิณไปแววตาครุ่นคิดอย่างหนัก
ชิณวิ่งตามกะละแมออกมาที่หน้าบ้านแต่ไม่ทัน...กะละแมไปแล้ว
“กะละแม...กะละแม”
ชิณยืนหอบ มองถนนที่ว่างเปล่าด้วยความกังวลและเป็นห่วง ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาโทร.หากะละแมอย่างร้อนใจ
กะละแมนั่งอยู่ที่เบาะหลังภายในแท็กซี่ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น กะละแมหยิบขึ้นมามองดู ที่หน้าจอโทรศัพท์เห็นว่าเป็นชิณโทรมา กะละแมมองหน้าจอโทรศัพท์มือถือเศร้าๆ แล้วก็ตัดใจปิดเสียง ไม่รับโทรศัพท์...
ชิณกดโทร.ออกหากะละแมอีกครั้งด้วยความร้อนใจ
“ทำไมไม่รับ” ชิณรอสายโทรศัพท์
ทางด้านกะละแม ยินเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง กะละแมกดปิดเครื่องไปเลย แล้วมองออกไปนอกหน้าต่างรถเศร้าๆ
ชิณชะงักนิดๆ แล้วก็ค่อยกดวางสาย
“เธอจะไปไหนของเธอ กะละแม”
ชิณคิดถึงกะละแมด้วยความเป็นห่วง
กะละแมนั่งอยู่บนรถแทกซี่ด้วยความเศร้า มองไปอย่างไร้จุดหมาย คนขับแทกซี่หันมาถาม
“ตกลงจะไปไหนครับ”
กะละแมค่อยๆ หันมา “ไป...เอ่อ...”
กะละแมน้ำตาจะไหลริน เพราะไม่มีที่ไป แล้วก็ค่อยๆ หันไปทางหน้าต่างอีกที พลันสายตาก็ไปสะดุดเข้ากับร้านขายยา
ภาพตุ้งแช่ไม่สบายผุดขึ้นมา กะละแมคิดออกทันที รีบพูดขึ้น
“จอดตรงนี้หล่ะค่ะ จอดเลยค่ะ จอดๆๆ”
แทกซี่เบรกเอี๊ยด...อยู่ที่หน้าร้านขายยาพอดิบพอดี
เวลาเดียวกัน ติ่ง โต๊ด และตุ้งแช่ที่ไม่สบายอยู่ถูกโยนลงไปที่พื้นอย่างแรง โต๊ดมองตุ้งแช่อย่างเป็นห่วง
“เบาๆ หน่อยสิ ไอ้แช่มันไม่สบายอยู่”
ขณะเดียวกันดวง ก๋อย นุ้ยและบรรดาลูกน้องยืนล้อมติ่งกับโต๊ดไว้
“พวกมึงบังอาจมากที่กล้าอัดลูกกู ไม่รู้ที่ต่ำที่สูง” นุ้ยคำราม
ก๋อยคอยเป็นลูกคู่ “ใช่! ไม่รู้ที่ต่ำที่สูง”
ดวงพูดเสียงบี้เพราะโดนชิณต่อยจมูกจนดั้งหัก “แล้วนี่น้องกะละแมของฉันหนีไปกบดานที่ไหน”
“ไม่รู้จ้ะ มันมายังไงพวกฉันยังไม่รู้เลย แล้วจะไปรู้ได้ยังไงว่ามันไปไหน”
นุ้ยตะคอกเสียงเหี้ยม
“เฮ้ย! ไม่รู้ได้ไงวะ คนทั้งคนนะเว้ย ไม่ใช่เชื้อแบคทีเรียจะได้กระจายอยู่ในอากาศ อีกอย่างมันมากับเจ้าของที่นั่นได้ไง แล้วไอ้เจ้าของที่ มันรู้อะไรเกี่ยวกับพวกเราบ้าง”
“ไม่จ้ะ คุณชิณไม่รู้เรื่องอะไรเลย แล้วทั้งสองคนไปสนิทชิดเชื้อกันได้ยังไงฉันก็ไม่รู้”
ดวงฉุน “อ้าว...ไม่รู้ได้ไงวะ ก็วันนั้นมึงยังบอกว่าไอ้เจ้าของที่มันปิ๊งน้องกะละแม แล้วมึงจะช่วยเชียร์กู แต่วันนี้บอกว่าไม่รู้ อย่าบอกนะว่ามึงหลอกใช้กู”
“ปละ...เปล่าจ้ะ ใครจะกล้าหลอกพี่ดวง” ติ่งปะเหลาะ
“กูไม่เชื่อมึงแล้ว”
“พูดมากประสาทเสีย อัดมันเลยดีกว่าพี่ดวง” ก๋อยจะเดินไปอัด
โต๊ดรีบห้าม “มะ...ไม่ได้นะ อัดไอ้ติ่งไม่ได้ เพราะมันต้องเข้าทรง ถ้ามันเป็นอะไรไป ก็ไม่มีร่างทรง จะซวยกันหมดนะ”
นุ้ยสั่ง “อัดไอ้ติ่งไม่ได้ก็อัดไอ้โต๊ดแทนก็แล้วกัน” ติ่ง อะจ๊าก “โทษฐานที่ทำให้ลูกชายกูเจ็บตัว” สั่งลูกน้อง “เฮ้ย...อัดมัน”
ลูกน้องนุ้ยกำลังจะรุมโต๊ด...ท่ามกลางเสียงร้องขอชีวิตของติ่งและโต๊ด
“อย่าทำน้าโต๊ดเลย น้าแกแก่แล้ว สงสารแกเถอะ” ติ่งขอร้อง
“เดี๋ยวจ้ะเดี๋ยว ใจเย็นๆ อย่าทำฉันเลย” โต๊ดวอน
ก๋อยวางก้ามสั่งลูกน้อง “อย่าไปฟังมัน...จัดการ”
ลูกน้องนุ้ยกำลังจะรุมกระทืบโต๊ด ทันใดนั้นเสียงกะละแมก็ดังขึ้น
“หยุดนะ...อย่าทำอะไรน้าโต๊ด”
ทุกคนตกใจหันไปตามเสียงเห็นกะละแมยืนอยู่
ติ่งกะโต๊ดตกใจ “ไอ้แม”
“น้องกะละแม!” ดวงยิ้มดีใจ
กะละแมพูดอย่างเด็ดเดี่ยว
“เรื่องเมื่อกลางวันไม่เกี่ยวกับน้าโต๊ด พี่ติ่ง ใครมีปัญหาอะไร ฉันเคลียร์เอง”
กะละแมเชิดหน้ามาดองอาจ อย่างไม่เกรงกลัว...หน้าไหน
จากบ่ายคล้อยจวบจนเย็นย่ำ ชิณเดินวนไปวนมาอยู่ในบ้านด้วยความเป็นห่วงกะละแม ในมือชิณยังคงถือโทรศัพท์อยู่ ชิณนึกได้ ตัดสินใจโทรศัพท์หาโทฟู่
จักกายเดินมาส่งโทฟู่ที่ซอยมหาลาภ บรรยากาศรอบๆ ซอยเห็นผู้คนเริ่มย้ายกลับมาอยู่ที่ซอยมหาลาภเหมือนเดิม
“ความจริงคุณส่งฉันที่หน้าปากซอยก็ได้ ไม่เห็นต้องเดินเข้ามาส่งฉันเลย”
“ก็ผมเห็นว่ามันเย็นแล้ว...จะให้คุณเดินกลับบ้านคนเดียวได้ไง”
โทฟู่ยิ้มๆ รู้ทัน “เป็นห่วงอะดิ”
จักกายมองหน้าโทฟู่แล้วพูดซึ้งๆ “ใช่!...ผมเป็นห่วง...” โทฟู่แอบอึ้งเคลิ้มตาม “ผมเป็นห่วงคุณ...กลัวว่าคุณจะไปทำมิดีมิร้ายผู้ชายแถวนี้”
โทฟู่เซ็ง พูดไม่ออกอุตส่าห์เคลิ้ม จักกายหัวเราะ
“คิดว่าผมจะเป็นห่วงคุณจริงๆ เหรอ ฮ่าๆ” โทฟู่อาย จักกายรู้ทัน “อายแบบนี้แสดงว่าคิดจริงด้วย... นี่คิดอะไรกับผมปะเนี่ย”
จักกายพยายามต้อนโทฟู่ โทฟู่อาย ไปไม่ถูก ทันใดนั้นเอง โทรศัพท์มือถือโทฟู่ก็ดังขึ้นขัดจังหวะช่วยชีวิตโทฟู่ได้ทัน โทฟู่หยิบขึ้นมาดู
ที่หน้าจอโทรศัพท์เห็นว่าเป็นชิณโทรมา
โทฟู่แปลกใจ “คุณชิณโทรมา” จักกายก็แปลกใจด้วย
โทฟู่กดรับโทรศัพท์
“สวัสดีค่ะคุณชิณ” ฟังชิณพูด แล้วมีสีหน้าตกใจ “อะไรนะคะ” ฟังชิณพูดต่อ
สีหน้าโทฟู่ช็อกสุดขีด
กระเป๋าเสื้อผ้าของกะละแมวางอยู่ข้างตัว กะละแม ติ่ง โต๊ด ตุ้งแช่ นั่งอยู่ท่ามกลางวงล้อมของดวง นุ้ย ก๋อย และลูกน้องนุ้ย
นุ้ยถลึงตามองกะละแม “หอบผ้าหอบผ่อนมาทำไมห๊ะ”
“ฉันจะมาอยู่กับน้าโต๊ด”
ดวงตาโตเท่าไข่ห่านด้วยความดีใจ โต๊ดกับติ่งแปลกใจ
นุ้ยขำก๊าก “มาอยู่กับน้ามึงเนี่ยนะ...ลำพังตัวเองมันยังเอาไม่รอดเลย มึงต้องพูดว่าจะมาอยู่กับกูถึงจะถูก”
ติ่งกระซิบเบาๆ “ไอ้แม... คิดดีแล้วเหรอที่จะมาอยู่ที่นี่”
ดวงเสือกได้ยิน “อ้าวๆ ไหงพูดงั้นล่ะ น้องกะละแมบอกว่าอยู่ก็แปลว่าอยู่สิวะ” ดวงบอกกับกะละแม “เอางี้...น้องกะละแมมานอนห้องเดียวกับพี่ดวงแล้วกันนะจ๊ะ ไม่ต้องเกรงใจ” แล้วทำหน้าหื่นรีบดึงกะละแมมา
โต๊ดรีบบอก “ไม่เป็นไรจ้ะ ฉันเกรงใจ” โต๊ดดึงกะละแมกลับมา “ให้นังกะละแมมันอยู่ห้องเดียวกับพวกฉันนี่แหละดีแล้ว” บอกกะละแม “ไปๆ นังกะละแม เอาข้าวของไปเก็บ” จากนั้นจึงหันมาทางนุ้ย “แล้วเดี๋ยวเราค่อยคุยกันใหม่นะป๋านุ้ย”
โต๊ดกับติ่งรีบหิ้วกระเป๋าของกะละแมแล้วตีเนียนออกไป
นุ้ยเรียกไว้ก่อน “เฮ้ย...เดี๋ยว” โต๊ด ติ่ง และกะละแมชะงัก “เรื่องเมื่อกลางวันยังสะสางกันไม่จบเลย”
“ไม่เป็นไรป๋า หนูไม่เอาเรื่องแล้ว แค่น้องกะละแมมาอยู่ที่นี่หนูก็หายเจ็บเป็นปลิดทิ้ง น้องกะละแมไปพักผ่อนก่อนเถอะจ้ะ” ดวงยิ้มหวานให้กะละแม “เรามีเรื่องต้องเคลียร์กันอีกเยอะ”
โต๊ดรีบบอก “ไปๆ นังกะละแม”
โต๊ดดันหลังกะละแมออกไป ติ่งเข้าไปพยุงตุ้งแช่แล้วเดินตามออกไป ไม่มีใครสนใจนุ้ย ดวงยิ้มลามกแล้วตีเนียน เดินตามพวกกะละแมไปด้วย
นุ้ยบ่นตามหลัง “กูอุตส่าห์บิวท์โหดมาตั้งนาน บทจะไปก็ไปกันง่ายๆ งี้เลยเหรอวะ” นุ้ยเซ็ง “กูล่ะเชื่อลูกแกจริงๆ”
นุ้ยส่ายหน้าด้วยความเซ็ง
ค่ำนั้นโทฟู่วิ่งพรวดพราดออกมาที่ริมถนน เตรียมจะโบกรถ จักกายรีบมาจับตัวไว้
“นี่คุณ...จะไปไหนเนี่ย”
โทฟู่หันมาตอบด้วยความร้อนใจ
“ไปตามหาไอ้แม คุณชิณบอกว่าคุณนายฉายตะวันรู้ความจริงแล้วก็ไล่มันออกจากบ้านไปแล้ว ฉันโทร.ไปมันก็ไม่รับ โทร.เข้าเบอร์พี่ติ่งก็ไม่ติด ฉันสังหรณ์ใจว่ามันต้องเกิดเรื่องไม่ดีแน่ๆ” โทฟู่มองหาแท็กซี่ต่อท่าที ร้อนใจ “ทำไมไม่มีแท็กซี่เลยเนี่ย ฮึ่ย”
“แล้วคุณจะไปหากะละแมที่ไหน”
“บ้านป๋านุ้ย!...ไอ้แมต้องกลับไปหาพวกน้าโต๊ดที่บ้านป๋านุ้ยแน่ๆ ฉันมั่นใจ”
“คุณมั่นใจว่าเจอกะละแม แต่ผมไม่มั่นใจว่าถ้าไปแล้วเราจะรอดกลับมาหรือเปล่า...นี่มันก็จะค่ำแล้ว ผมว่ารอพรุ่งนี้เถอะ”
โทฟู่ครุ่นคิด ยังเป็นห่วงกะละแม
“แต่ฉันเป็นห่วงไอ้แมนี่”
“ผมก็เป็นห่วงคุณเหมือนกัน” จักกายยอมรับออกมาจนได้
โทฟู่อึ้งไป
จักกายพูดต่อ “ไม่ใช่แค่ผม ยังอาม่า แม้แต่กะละแม เค้าก็คงไม่อยากให้คุณเป็นอันตรายเหมือนกัน..คุณไปตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ ถ้าเพื่อนคุณอยู่ที่นั่นจริง รับรองไปพรุ่งนี้ยังไงก็ได้เจอแน่ พรุ่งนี้ผมจะไปเป็นเพื่อนคุณเอง”
โทฟู่คิดหนัก...คิด..แล้วก็คิด จักกายอ้อน โทฟู่จำเป็นต้องพยักหน้ายอมรับ ทั้งที่ในใจเป็นห่วง
คืนนั้นโต๊ด กับกะละแม พากันเดินเข้ามาในห้อง ติ่งพยุงตุ้งแช่มานอนลงที่เตียง ดวงเดินตามมาวางท่าเป็นเจ้าของบ้านสุดฤทธิ์
“นี่จ้ะ ห้องน้าโต๊ด แต่ถ้าน้องแมรู้สึกอึดอัดจะเปลี่ยนมานอนห้องเดียวกับพี่ดวงตอนนี้ก็ยังไม่สายนะจ๊ะ” ดวงย้ำอีกรอบ
กะละแมพยายามพูดดี “ไม่เป็นไร ฉันนอนนี่ได้ แต่ตอนนี้พี่ช่วยออกไปก่อนได้ไหมจ๊ะ” เปิดประตูไล่ “เรื่องพี่กับฉันไว้คุยกันวันหลังนะ” ยิ้มหวานไล่อีก
“ถ้าน้องกะละแมว่าอย่างนั้นก็ได้จ๊ะ” ยิ้มหวานกลับแล้วค่อยๆ ถอยหลังออกนอกห้องไปอย่างอาลัยอาวรณ์
พอดวงออกไปพ้นประตู กะละแมก็รีบปิดประตูปัง!
ดวงยืนอยู่หน้าห้อง รู้สึกหน้าชาๆ ที่โดนปิดประตูใส่ แต่แล้วก็ค่อยยิ้มๆออกมา
“แรงๆแบบนี้พี่ดวงชอบ...”
ดวงถูกใจหัวเราะหึๆๆๆ แล้วยิ้มอย่างมีหวัง หน้าตาหื่น ๆ
กะละแมทิ้งตัวนั่งด้วยความเหนื่อยหน่ายใจ
“นังกะละแมเอ็งโผล่มาอีกทำไม เมื่อกลางวันเอ็งก็เห็นไม่ใช่เหรอว่ามันเป็นยังไง กลับมาทำไมวะ”
“เรื่องอื่นเอาไว้คุยกันทีหลัง แต่ตอนนี้ เอายาให้ไอ้แช่กินก่อนเถอะ....” กะละแมหยิบถุงยาออกมาจากกระเป๋าและส่งให้โต๊ด
โต๊ดรับยามา “ถามจริง มีอะไร จู่ๆเอ็งถึงขนข้าวขนของมาที่นี่” โต๊ดจ้องกะละแมรอเอาคำตอบ
กะละแมหน้าเศร้าๆ “คุณนายรู้แล้วว่าฉันไม่ใช่ร่างทรง”
ติ่งกะโต๊ดตกใจ “ห๊ะ? อะไรนะ”
ติ่งถามรัวเป็นชุด “เค้ารู้ได้ยังไง แกทำความแตก หรือว่าคุณชิณบอก แล้วเค้าว่ายังไงบ้าง”
“เมื่อกลางวันคุณนาย คุณกิมเอ็ง คุณมิ้วเค้ามาที่สำนักทรง และแอบได้ยินที่พวกเราคุยกัน พวกเค้ารู้ความจริงทุกอย่างหมดแล้ว”
ติ่งตาเหลือก “อย่างนี้คุณมิ้วก็รู้น่ะสิว่าฉันก็ตอแหลเหมือนกัน”
กะละแมพยักหน้า...ติ่งเศร้า คร่ำครวญน่าถีบ
“แบบนี้คุณมิ้วต้องเกลียดฉันแน่ๆ ทำไมฟ้าถึงกลั่นแกล้งไอ้ติ่งถึงเพียงนี้...ฟ้าไม่ยุติธรรม”
โต๊ดรำคาญติ่ง “โอ๊ย...หยุดพล่ามสักทีเถอะไอ้ติ่ง ข้ากำลังกลุ้มเรื่องคุณนายฉายตะวันอยู่” หันมาทางกะละแม เค้ารู้ความจริงทุกอย่างหมดแล้วแบบนี้ เค้าจะเอาตำรวจมาจับเราหรือเปล่าวะ”
“ไม่หรอกน้า...เค้าก็แค่ไล่ฉันออกจากบ้านเท่านั้นเอง” กะละแมหน้าเศร้าสลด
โต๊ดยิ้มเศร้า “โล่งอก.... เอาวะอย่าคิดมากเลยไอ้แม อย่างน้อยก็ทำให้เราได้กลับมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาอีกครั้ง”
“ที่ฉันมาที่นี่ก็เพราะเรื่องนี้แหละ ฉันจะชวนน้าออกไปจากที่นี่ ฉันจะดูแลน้าและทุกคนเอง น้าอยากได้อะไรฉันจะทำงานหามาให้เอง”
“ฉันเห็นด้วยกะไอ้แม อยู่ที่นี่เราก็ไม่ต่างจากทาส”
โต๊ดคิดถึงเรื่องคลิปที่โดนขู่ไว้ “ไม่ได้..ข้าออกไปจากที่นี่ไม่ได้”
กะละแมสงสัยๆ “ทำไมล่ะน้า? ทำไมเราจะไปจากที่นี่ไม่ได้”
“จะเพราะอะไรก็ช่างเถอะ...เอาเป็นว่าข้าย้ายออกไปไม่ได้ก็แล้วกัน ถ้าเอ็งไม่อยากอยู่ เอ็งก็ออกไปคนเดียว ข้าจะอยู่ที่นี่ จะไม่ไปไหนทั้งนั้น”
โต๊ดสรุปแล้วก็เดินออกไปด้วยความหงุดหงิดใจ
ติ่งกับกะละแมได้แต่มองตามงงๆ และก็หันมามองหน้ากันด้วยความไม่เข้าใจ
โต๊ดเดินออกมาจากกะละแมและติ่ง แล้วก็มาหยุดยืนคิดที่ระเบียง นึกถึงตอนนุ้ยเอาคลิปป้าไฝรับเงินมาขู่ โต๊ดยิ่งเครียด
“ถ้าเราไป มันต้องเอาคลิปไปแฉแน่ๆ โอ้ย คิดแล้วก็กลุ้มเว้ย”
โต๊ดกลุ้มหนัก น้ำตาพาลจะไหลด้วยความเครียด
ตุ้งแช่นอนนิ่ง..กะละแมเช็ดตัวให้อย่างเป็นห่วง ติ่งยืนอยู่ข้างๆ
“ไอ้แม...คุณนายเค้าไล่แกออกมาแบบนี้ คุณชิณเค้ารู้หรือเปล่า”
กะละแมชะงักมือนิดๆ ก่อนตอบ “รู้”
“แล้วเค้าไม่ช่วยอะไรแกเลยเหรอวะ”
กะละแมพยักหน้า “ช่วย แต่ฉันบอกเค้าเอง ว่าไม่ต้องช่วย”
ติ่งงง “อ้าว ทำไมวะ? คุณนายเค้ารักคุณชิณจะตาย ถ้าคุณชิณพูด บางทีคุณนายอาจจะฟังนะเว้ย”
“ฉันไม่อยากทำให้แม่ลูกเค้าต้องทะเลาะกันอีกแล้ว ฉันทำให้ครอบครัวเค้าเดือดร้อนมามากแล้ว..เพื่อความสบายใจของคุณนาย ฉันกับคุณชิณไม่ควรจะเจอกันอีก”
ติ่งมองด้วยความเห็นใจ
กะละแมพูดถึงชิณด้วยความเศร้า สะท้อนใจ และทำใจ
เวลาต่อมากะละแมเดินออกมานั่งเล่นที่ม้านั่งหน้าบ้าน กะละแมนั่งเหม่อคิดถึงชิณ หลายเหตุการณ์ในช่วงเวลาดีๆ ที่ทั้งสองอยู่ด้วยกัน ตอนกะละแมเจอกับชิณครั้งแรก ชิณขับรถชนกะละแม ตอนกะละแมพาชิณไปหาหมอ ตอนกะละแมตกลงจากต้นมะม่วงแล้วทับใส่ชิณ ตอนกะละแมหลบดวงกับก๋อยอยู่ในซอก แล้วหอมแก้มกะละแม
เช่นเดียวกับชิณที่ยืนอยู่หน้าบ้านมองไปที่บ้านหลังเล็กของกะละแมด้วยแววตาเศร้าๆ คิดถึงกะละแมอยู่เหมือนกัน
ชิณและกะละแม ต่างคิดถึงโหยหาอาวรณ์ในกันและกัน
ติดตาม "เจ้าแม่จำเป็น" ตอนที่ 15 เวลา 17.00 น.