เจ้าแม่จำเป็น ตอนที่ 13
ต่อมาไม่นาน ภายในบ้านหลังเล็ก กะละแมนั่งเผชิญหน้ากับโทฟู่ จักกายยืนอยู่หลังโทฟู่ ชิณยืนห่างออกไปเหมือนเป็นผู้สังเกตการณ์ โทฟู่ถามกะละแมท่าทางขึงขังเอาเรื่อง
“มีคนเค้าพยายามจะใส่ร้ายแก เพื่อเบี่ยงเบนประเด็น” จักกายกลอกตา กะละแมลุ้น “ฉันขอถามแกตรงๆ แกไม่ได้เป็นร่างทรงเจ้าแม่มหาลาภไทรทองใช่มั้ย”
กะละแมอึ้งพูดอะไรไม่ออก ชิณมองกะละแม....อยากรู้จะเป็นยังไง
“เงียบทำไม...ตอบมาสิว่าแกไม่ได้หลอกฉัน ไม่ได้หลอกชาวบ้าน แต่แกเป็นร่างทรงจริงๆ คนที่ใส่ร้ายแกจะได้รู้สักที”
จักกายยักไหล่ ไม่กังวล ชิณมองกะละแมเขม็ง กะละแมมองโทฟู่
โทฟู่คาดคั้นต่อ “ตอบมาสิแม ไม่ต้องกลัว พูดความจริงมาเลย คนที่เค้าใส่ร้ายแกจะได้เลิกพูด แกไม่ได้หลอกชาวบ้านจริงๆ ใช่มั้ย ... บอกมาเลย บอกมาว่ามันไม่จริง”
กะละแมโดนกดดันตัดสินใจยอมรับ
“จริง”
โทฟู่อึ้ง
กะละแมซ่อนหน้า ไม่กล้าสู้ตา “ฉันหลอกชาวบ้าน ฉันหลอกแก” อัดอั้นจนร้องไห้ออกมา “ฉัน...ฉันขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจหลอกลวงแก ฉันมีความจำเป็นที่ต้องทำแบบนี้จริงๆ”
“ไอ้แม... แกล้อเล่นใช่มั้ย มีคนบังคับให้แกพูดแบบนี้ใช่มั้ย”
กะละแมส่ายหน้า “ไม่มีใครบังคับฉัน ...ฉันผิดเอง ฉันเลวเอง ฉันขอโทษจริง”
“แกทำแบบนี้ได้ไงวะ แกทำได้ยังไง แก...แก...”
โทฟู่น้ำตาร่วงพูดไม่ออก
“โทฟู่ ฉัน....”
“แกไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น...” โทฟู่กัดฟัน “แกไม่ใช่เพื่อนฉันอีกต่อไป”
แล้วโทฟู่เดินออกไปเลย
จักกายมองกะละแม “เออ...ผมขอโทษ ไม่คิดว่ามันจะรุนแรงแบบนี้”
ชิณเสียงดุ “กลับไปได้แล้ว...ไป”
จักกายจำใจไปทั้งที่แอบรู้สึกผิด กะละแมร้องไห้สะอึกสะอื้น ชิณมองด้วยความสงสาร
ที่บ้านหลังเล็กยามค่ำคืน...กะละแมยืนร้องไห้เสียใจอยู่ ชิณมองด้วยความเห็นใจและเข้าใจ กะละแม..หันมาทางชิณไม่กล้าสู้สายตา..เหมือนเด็กทำผิดแล้วโดนจับได้
“คุณคงรอฟังคำสารภาพของฉันมานานแล้ว....ตอนนี้...คุณก็รู้ความจริงหมดแล้ว จะเอาตำรวจมาจับฉันเลยก็ได้นะ”
ชิณมองกะละแมแล้วก็ตอบด้วยน้ำเสียงอบอุ่น
“ถ้าฉันจะแจ้งตำรวจจับเธอ ฉันคงทำตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้ว”
กะละแมงง..หันมามองชิณเต็มๆ ตา
“เมื่อวาน”
ชิณอธิบาย “เธอลืมโทรศัพท์ไว้ในรถ ฉันเดินเอาโทรศัพท์มาคืน ก็เลยได้ยินที่เธอทะเลาะกับน้าเธอหมดแล้ว ทั้งเรื่องที่เจ้าแม่ไม่มีจริง เรื่องที่เธอโกหก และตอนนี้พวกน้าเธอก็ไม่ได้ไปต่างจังหวัด แต่ไปเปิดสำนักใหม่ที่บ้านไอ้ป๋านุ้ย พ่อไอ้ดวง และจะให้ตุ้งแช่เข้าทรงแทนเธอ”
กะละแมอึ้ง
“คุณรู้ แล้วทำไมคุณไม่ทำอะไรสักอย่าง จับฉันส่งตำรวจ หรือ บอกแม่คุณ ไล่ฉันออกจากบ้าน ทำไมยังให้ฉันอยู่ที่นี่ แล้วยังจะให้งานทำอีก คุณทำแบบนี้ทำไม”
ชิณมองหน้ากะละแม เห็นหน้าใสๆ ตาแบ๊วๆ แล้วก็อึกอักๆ “ก็...ฉันก็..ก็อยากให้โอกาสเธอกลับตัว”
ชิณหาทางออกสวยๆ ได้ ก็เลยรีบอธิบายใหญ่เลย กะละแมฟังอย่างตั้งใจ
“ฉันเห็นว่าเธอต้องการที่จะกลับตัว ฉันก็อยากให้โอกาสเธอ”
กะละแมมองชิณด้วยความไม่เข้าใจ...กึ่งประหลาดใจ
“ทำไม..คุณถึงให้โอกาสฉัน ทั้งที่คุณเกลียดฉันยังกะอะไรดี”
ชิณสวนคำ “ฉันไม่เคยพูดสักคำ...ว่าฉันเกลียดเธอ”
กะละแมชะงักกึก
“ฉันแค่ไม่ชอบที่เธอหลอกชาวบ้าน หลอกแม่ฉัน และหากินกับความเชื่อ ความศรัทธาของคนอื่น” กะละแมจ๋อย รู้สึกผิด “ถ้าเธอคิดจะกลับตัวจริงๆ ตั้งใจทำงาน เลิกหลอกลวงคนอื่น ฉันก็ให้อภัย ให้โอกาสเริ่มต้นใหม่..แต่ถ้าเธอกลับไปทรงเจ้าเข้าผีหลอกลวงชาวบ้านอีกเมื่อไหร่ ฉันจะไม่ให้โอกาสเธออีกเลย”
“คุณไม่ต้องห่วง ฉันไม่กลับไปเข้าทรงอีกแน่ ถ้าวันไหนฉันผิดคำพูด คุณเอาตำรวจมาจับฉันได้เลย”
กะละแมพูดอย่างมั่นใจ ทั้งที่น้ำตานองหน้า ชิณพอใจกับคำยืนยันของกะละแม
ที่สวนสาธารณะยามเย็น พระอาทิตย์ตกดินแล้ว ผู้คนไม่พลุกพล่าน บรรยากาศเหงาๆ เศร้าๆ โทฟู่นั่งอยู่กับจักกายที่ม้านั่งใต้ต้นไม้ใหญ่ โทฟู่น้ำตาไหล แต่ไม่ฟูมฟายอะไร จักกายส่งผ้าเช็ดหน้าให้ โทฟู่รับไปเช็ดแบบมีฟอร์ม
“คุณจะเลิกคบกับกะละแมจริงๆ เหรอ”
“เพื่อนที่หลอกลวงฉันมาเกือบทั้งชีวิตแบบนั้น ฉันคบไม่ได้” โทฟู่กลั้นน้ำตา หันมาถาม “ถามหน่อย..คุณรู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ว่าไอ้แมมันไม่ได้เป็นร่างทรง”
“ครั้งแรกที่ผมเห็น ผมก็รู้แล้ว” จักกายว่า
“แล้วทำไมไม่บอกฉัน”
“ตอนนั้นผมเป็นใคร ผมบอกไปคุณจะเชื่อเหรอ ขนาดวันนี้รู้จักกันมากขึ้น เมื่อกลางวันคุณยังด่าผมกระจายเลย”
โทฟู่สำนึก
“เออ ก็จริง .. เฮ่อ..ใครจะคิด คนใกล้ตัวจะหลอกลวงกันได้ขนาดนี้”
จักกายมองแล้วก็คิด
“ที่ผมตัดสินใจบอกคุณเพราะผมไม่อยากให้คุณไปรู้จากคนอื่น รู้จากเจ้าตัวอาจจะโกรธน้อยกว่า ที่จริงกะละแมเค้าคงอยากจะสารภาพมานานแล้ว แต่ไม่มีโอกาส...คุณน่าจะให้โอกาสเค้าอธิบายอะไร เค้าอาจมีความจำเป็นที่ต้องทำแบบนี้”
“ไม่ว่าจะมีความจำเป็นยังไง ก็ไม่ใช่เหตุผลให้คนทำเลว ไอ้แมมันหลอกฉัน หลอกอาม่า หลอกชาวบ้าน มันทำได้ยังไง ฉันไม่เข้าใจจริงๆ” โทฟู่คิดแล้วก็เซ็ง
“โทฟู่...ผมถามหน่อย.. ที่ผ่านมา ความเป็นเพื่อนระหว่างคุณกับกะละแม มันมากพอที่จะทำให้คุณอภัยให้กะละแมได้หรือเปล่า”
โทฟู่ไม่ตอบ ได้แต่มองตรงไปข้างหน้า...แววตาครุ่นคิด
ที่บ้านนุ้ยเย็นวันนั้น ตุ้งแช่เข้าคอร์สเรียนเข้าทรงขั้นสูงจากโต๊ด และกำลังนั่งสั่นองค์ลง แต่ไม่ค่อยเหมือนโต๊ดมองแล้วก็หงุดหงิดไม่เข้าตาซะเลย
“เฮ้ยไอ้แช่...เวลาสั่นน่ะ หน้าเอ็งต้องไปด้วยสิวะ แบบนี้...เอ็งดู” โต๊ดสั่นให้ดู
ตุ้งแช่โวย “โอ้โห...แบบนี้เมื่อยแย่เลยพ่อ แค่นี้ฉันก็สั่นจนหน้าชาหมดแล้ว”
“เมื่อยก็ทนสิวะ จะได้สมจริง ถ้าเอ็งเมื่อยเอ็งก็ทำเป็นคิด...แบบนี้” โต๊ดทำท่าคิดให้ดู “แล้วก็บ่นๆ อะไรไปก็ได้ มันเป็นเทคนิคชั้นครู เอ็งต้องจำไว้”
ติ่งมองโต๊ดกับตุ้งแช่แล้วก็กลุ้ม เดินเลี่ยงออกไป โต๊ดหันมาเห็นพอดี
“อ้าว...ไอ้ติ่งจะไปไหน ไม่เตรียมของเหรอวะ ดอกไม้ ธูป เทียน ทองน่ะ ไปจัดเข้าชุดกันไว้ไป”
“เอาไว้ก่อนเถอะน้า ฉันยังไม่มีอารมณ์”
ติ่งเดินออกไป โต๊ดมองตาม
“อะไรของมันวะไอ้พวกนี้...เฮ้อ”
“พ่อ...แช่ยังไม่ฝึกตอนนี้ได้มั้ย ยังไม่มีอารมณ์”
“นี่เอ็งไม่ต้องเป็นเหมือนไอ้พวกนั้นเลยนะ...ฝึกไป...เอ๊า สั่นเข้าๆๆ”
ตุ้งแช่จำใจต้องทำ...โต๊ดเหลือบไปมองติ่งที่เดินไปอีกที แล้วก็ถอนหายใจด้วยความกลุ้ม...ทำไมไม่มีใครเข้าใจตูวะ
ติ่งเดินอารมณ์เสียออกมานอกบ้าน
“เฮ้อ...ป่านนี้ไอ้แมจะเป็นยังไงบ้างวะ”
ติ่งกลุ้มใจ...นั่งลงที่เก้าอี้ แล้วก็เหลือบไปเห็นสมุนของนุ้ยประมาณ 4-5 คน ถือกระเป๋าหนังใบใหญ่เดินหายไปทางหลังบ้าน
สมุนคนหนึ่งถือกระเป๋าใบใหญ่สุด และทันใดนั้นฝากระเป๋าก็เกิดหลุดออกมา เงินในกระเป๋าร่วงพรูลงพื้นมากมาย ติ่งเห็นก็ช็อก...อึ้งไป
สมุนรีบเก็บเงิน แล้วมองซ้ายมองขวาอย่างระมัดระวัง ติ่งรีบวิ่งไปหลบหลังต้นไม้ แต่ยังมองอยู่อย่างสนใจ สมุนเก็บของเสร็จแล้ว คนที่เป็นหัวหน้าก็ตบหัวไปทีหนึ่ง
หัวหน้าสมุนด่า “ระวังหน่อยสิวะ”
สมุนพากันเดินไปทางหลังบ้าน
ติ่งมองตามด้วยความสงสัย...เอาไงดีวะ ติ่งคิดๆ แล้วก็ตัดสินใจเดินตามพวกนั้นไปอย่างระแวดระวัง
ต่อมา พวกสมุนเสี่ยนุ้ยเดินมาเป็นพรวน แล้วเข้าไปในห้องขายหวยอย่างระมัดระวัง ติ่งกระดื๊บๆ ออกจากซอกหลืบแล้วมองซ้ายมองขวา เห็นว่าพวกนั้นเข้าไปหมดแล้ว เลยค่อยๆ คลืบคลานเข้าไปอย่างช้าๆ อย่างระวัง
ภายในห้องขายหวย สมุนของนุ้ยเอาเงินมานับแยกและจัดเป็นส่วนเพื่อเตรียมไปจ่ายคนที่ถูกหวย
ส่วนที่หน้าห้อง ติ่งมองซ้ายมองขวาก่อนจะค่อยๆ โผล่หน้าขึ้นมา และแอบดูในรอยโหว่ของผนัง ติ่งมองเข้าไปในห้อง เห็นคอมพิวเตอร์วางเรียงราย และมีสมุนนุ้ยนั่งนับเงินกันเพียบ
ติ่งมองเงินแล้วก็กลืนน้ำลายด้วยความอยากได้...ติ่งขยับเข้าไปดูใกล้เข้าไปอีก แล้วก็พลาดชนของแถวนั้นหล่นเสียงดัง...เพล้ง!
บรรดาสมุนที่นับเงินกันอยู่ในห้อง รีบกระชับปืนที่เอว แล้วกระจายกำลังกันออกมาดู สมุนของนุ้ยเดินออกมาจากในห้อง...ติ่งรีบวิ่งหลบเข้ามุมไปอย่างหวุดหวิด
”เฮ้อ...รอดไป”
ทันใดนั้นเสียงก๋อยก็ดังขึ้น
“ใครว่ารอด”
“หะ!”
ติ่งหันมาตามเสียงเห็นก๋อยยืนอ้วนทำหน้าเหี้ยมอยู่ ติ่งร้อง...จ๊ากกก
ร่างติ่งโดนถีบเข้ามาในห้อง
“มาวันแรกก็ก่อเรื่องเลยนะมึง”
โต๊ดกับตุ้งแช่มองด้วยความตกใจ ร้องลั่น
“เฮ้ย...เกิดอะไรขึ้น”
ก๋อยไม่พูดพล่ามทำเพลงจะกระทืบติ่งซ้ำ โต๊ดรีบเอาตัวมารองแทน...ก๋อยชะงักเท้าค้างกลางอากาศ
“เดี๋ยวจ๊ะเดี๋ยว ใจเย็นๆ เถอะพ่อก๋อย อย่าทำอะไรไอ้ติ่งมันเลย มีอะไรก็ค่อยพูดค่อยจากันก็ได้”
“ไม่พูด! เพราะพูดแล้วไม่ฟัง” ก๋อยทำหน้าเหี้ยม “พูดไม่ฟังใช่มั้ย นี่แน่ะ พูดไม่ฟัง” ก๋อยกระทืบติ่งซ้ำอีกที แล้วก็จับมาดีดติ่งหู
“โอ๊ย”
ตุ้งแช่มองหวาดๆ เอาไงดี
โต๊ดสงสารรีบมากันตัวติ่งออก “พ่อก๋อย...หยุดก่อนเถอะจ๊ะคุยกันก่อน อย่าทำอะไรมันเลยนะจ๊ะ ฉันขอร้อง” โต๊ดลงทุนยกมือไหว้ก๋อย
“พวกมึงจำไว้ กูบอกแล้วว่าอย่าเดินเพ่นพ่าน โดยเฉพาะหลังบ้านป๋า ห้ามไปเด็ดขาด...ถ้าไม่เชื่อ...โดนหนักกว่านี้แน่” ก๋อยง้างตีนจะกระทืบอีก
ติ่งร้องล่วงหน้า “โอ๊ย”
“ยัง! พวกเอ็งจำไว้นะเว้ย บ้านป๋าไม่ใช่ห้างสรรพสินค้า ไม่ต้องนวยนาดออกไปไหน ไม่งั้นตาย!”
ก๋อยเดินจากไป...ติ่งร้องโอดโอย...ตุ้งแช่เข้าไปประคองติ่งให้ลุกขึ้น
โต๊ดมองสภาพติ่งแล้วก็เครียด...ถอนหายใจดังเฮือก
เวลาเดียวกันกะละแมนั่งเศร้าอยู่คนเดียวในบ้าน หยิบโทรศัทพ์มาเปิดดูรูปครอบครัว ในรูปทุกคนยิ้มแย้มมีความสุข ดูเป็นครอบครัวขาดๆ เกินๆ ที่อบอุ่น กะละแมดูรูปแล้วก็รู้สึกเป็นห่วงสามคน รำพึงออกมาเบาๆ
“น้าโต๊ด...พี่ติ่ง...ตุ้งแช่ จะเป็นยังไงบ้างนะ”
กะละแมกดปิดรูป...คิดวางแผนอะไรบางอย่าง...เอ๊ะ หรือว่า?
ชิณเดินออกมาจากในบ้าน ตรงไปที่รถที่จอดอยู่หน้าบ้านแล้วเปิดท้ายรถหาของ แล้วหางตาก็เหลือบไปเห็นกะละแมเดินลับๆ ล่อๆ ไปทางประตูหน้าบ้าน
ชิณมองแปลกใจ “ดึกป่านนี้จะไปไหนของเค้า”
ชิณรู้สึกแปลกใจผสมไม่ไว้ใจกะละแมเล็กๆ รีบเดินตามไปดู เห็นกะละแมขึ้นแท็กซี่ออกไป
ชิณ มองที่ป้ายทะเบียนรถแท็กซี่...แล้วรีบวิ่งกลับมาที่รถตัวเอง
ท้องถนนตอนกลางคืน รถชิณขับตามแท็กซี่คันที่กะละแมนั่งมา กะละแมนั่งเบาะหลัง ชะเง้อๆ แล้วก็ก้มดูกระดาษ แล้วก็บอกทาง
“ซ้ายค่ะ”
แท็กซี่เลี้ยวซ้าย ชิณเลี้ยวตาม
“จะไปไหนของเธอ ดึกๆ ดื่นๆ”
ชิณขับตามไปด้วยความอยากรู้และไม่สบายใจ
แท็กซี่ลัดเลาะเข้ามาตามซอย แล้วก็แล่นเข้ามาจอดห่างจากประตูหน้าบ้านเสี่ยนุ้ยพอสมควร กะละแม
ลงจากรถ...แท็กซี่ขับออกไป กะละแมเดินมาหลบที่หลังต้นไม้ข้างๆ ประตูบ้านนุ้ยอย่างระมัดระวัง แล้วแอบมองส่องเข้าไปในบ้าน
กะละแม เห็นว่ามีนักเลงหน้าโหดๆ เดินไปมาคอยรักษาความปลอดภัยอยู่ในบ้าน กะละแมพยายามมองหาพวกโต๊ด แล้วจู่ๆ ก็มีมือปริศนามาปิดปากหมับ กะละแมตาเหลือกด้วยความตกใจ
“เฮ้ย”
กะละแมโดนมือปริศนาปิดปากอยู่ กะละแมดิ้นๆ พยายามส่งเสียงอู้อี้ฟังไม่รู้เรื่อง
“แกเป็นใคร...ปล่อยฉันนะ...ปล่อย”
กะละแมดิ้นๆ จนหลุดออกมาได้ และเห็นว่าคนที่ปิดปากตัวเองก็คือชิณ
“คุณชิณ”
“เธอมาทำอะไรที่นี่”
กะละแมอึกๆ อักๆ เหมือนเด็กโดนจับได้ “คือ..ฉัน..ฉันจะมาดูว่าพวกน้าโต๊ดมาอยู่บ้านไอ้ป๋านุ้ย ไอ้ดวงแล้วปลอดภัยดีหรือเปล่า”
“แล้วเธอรู้ได้ยังไงว่าที่นี่คือบ้านไอ้ป๋านุ้ย”
“ฉันแอบไปถามชาวบ้านมาแล้ว”
“แล้วมาคนเดียวเนี่ยนะ ไม่กลัวหรือไง”
“มันก็กลัว...แต่ฉันเป็นห่วงพวกน้าโต๊ดมากกว่า”
ชิณส่ายหน้า “ฉันว่าเธอห่วงตัวเองก่อนดีกว่า” แล้วมองเข้าไปในบ้าน เห็นนักเลงยืนคุมอยู่ “นี่มันรังโจรชัดๆ ถ้าไอ้พวกนั้นเห็นเธอเข้า เธอจะลำบาก”
“มาถึงขนาดนี้แล้ว ฉันไม่กลับง่ายๆ หรอก ฉันขอเข้าไปดูพวกน้าโต๊ดก่อน..ดูแวบๆ ก็ยังดี อยากรู้ว่ายังมีชีวิตอยู่กันหรือเปล่า คุณ..กลัวอันตรายก็กลับไปเถอะ ฉันเข้าไปคนเดียวได้”
ชิณหงุดหงิด “เธอนี่ดื้อจริงๆ อยากเข้าไปนักใช่ไหม ได้...งั้นก็เข้าไปด้วยกันเลย”
ชิณคว้ามือกะละแม...จะพาเข้าไปในบ้านนุ้ยด้วยกัน
กะละแมขืนตัวไว้ “เดี๋ยว..แต่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับคุณ คุณจะเข้าไปทำไม ไม่เอา..ฉันไม่ให้คุณเข้าไป”
“ทำไม”
“ก็ฉัน..ไม่อยากให้คุณเป็นอันตราย”
ชิณสวน “ฉันก็ไม่อยากให้เธอเข้าไป ด้วยเหตุผลเดียวกัน”
กะละแมอึ้ง เหวอ มองตาชิณ เห็นถึงความห่วงใย
กะละแมหลบๆ ตาอาการเขินๆ แล้วก็ตอบเฉไฉไป อ้อมๆ แอ้มๆ
“ฉันไม่เข้าไปก็ได้”
ชิณยิ้มนิดๆ สมใจ “ดี...งั้นก็กลับบ้าน ไป”
ชิณจับข้อมือกะละแมหมับ กะละแมชะงักนิดๆ อยู่ๆ ใจก็เต้นแรงวิ้งๆๆๆ แล้วก็ชักมือออก อายๆ
“ฉันเดินเองได้..ไม่ต้องลากหรอกน่า”
กะละแมพูดแล้วก็ก้มหน้าเดินงุดๆ ล่วงหน้าไปด้วยความเขิน...ชิณมองตามแล้วก็ยิ้มนิดๆ เด็กหนอเด็ก แล้วก็ค่อยๆ หันมามองที่หน้าบ้านนุ้ยอีกที
เห็นบรรยากาศชวนสยองมาก
เจ้าแม่จำเป็น ตอนที่ 13 (ต่อ)
เช้าวันต่อมา มีชาวบ้านจากซอยมหาลาภ มายืนคุยกับกะละแมที่หน้าบ้านชิณ ลุงมากส่งเงินให้กะละแม
“เงินนี่ฉันฝากทำบุญกับลูกชายเจ้าแม่ด้วยนะ”
เชอร์รี่มอบเป็นของเล่น “นี่ก็ของเล่น ฉันฝากถวายลูกชายเจ้าแม่ด้วย”
ส้มลิ้มเอาขนมมาให้ “นี่ขนมจ้ะฝากให้ลูกชายเจ้าแม่”
ชาวบ้านที่เหลือต่างส่งของให้กะละแมวุ่นวายไปหมด
กะละแมงง “เดี๋ยวจ๊ะเดี๋ยว นี่มันอะไรกัน...ฉันงงไปหมดแล้ว”
“ก็งวดก่อนที่ลูกชายเจ้าแม่ประทับร่างไอ้แช่นะ พวกฉันก็เอาอายุไอ้แช่มาตีหวยกัน แล้วก็ถูกโป๊ะเชะ สามตัวตรงๆ ถูกกันทั้งซอยเลย”
กะละแมตาค้าง “หะ!! อายุตุ้งแช่”
“ใช่แล้วจ้ะ ตอนนี้พวกฉันก็เลยมีเงินไปต่อทุนกันอีกรอบ เป็นเพราะลูกเจ้าแม่แท้ๆ”
กะละแมอึ้งไปเลย “เอ่อ...แต่ว่า”
ระหว่างนั้นชิณเดินออกมาจากในบ้าน มองไปเห็นกะละแมยืนคุยกับชาวบ้านมีข้าวของเต็มมือก็แปลกใจ
ชาวบ้านหันมาเห็นชิณก็พากันกลับ
“พวกฉันไม่รบกวนแล้วนะ”
“เอ่อ...จ้ะๆ” กะละแมนึกได้ “เอาของกลับไปด้วยสิจ๊ะ...ลุงมาก ป้ารี่ ป้าลิ้ม...อย่าเพิ่งไป”
ชาวบ้านไม่สน ขึ้นรถสองแถวกลับไป...กะละแมยืนอึ้งอยู่
ชิณเดินมา
“ชาวบ้านที่ซอยมหาลาภ...เขามาหาเธอทำไม แล้วนี่อะไร” มองของในมืองงๆ
กะละแมหันมาหน้าตาเหนื่อยใจสุดๆ
ข้าวของที่กะละแมได้จากชาวบ้านวางอยู่บนโต๊ะ กะละแมนั่งกลุ้มใจ ปรึกษากับชิณ
“ทำไมมันฟลุคแบบนี้ทุกที...ฉันไม่เข้าใจ”
“แล้วชาวบ้านเค้าขอร้องให้เธอไปทรงอีกหรือเปล่า” ชิณระแวง
กะละแมหันมา ตอบอย่างรู้ทัน “ถึงจะขอฉันก็ไม่ทำ ฉันไม่ลืมที่รับปากคุณไว้หรอก คุณไม่ต้องห่วง”
“ไม่ลืมก็ดี”
“คิดแล้วก็เป็นห่วงชาวบ้าน เค้าคิดว่าไอ้แช่มันทรงได้จริงๆ และถ้าน้าโต๊ดเปิดสำนักทรงอีกที ชาวบ้านต้องแห่กันไปแน่ๆ และคราวนี้ฉันก็ไม่แน่ใจว่าชาวบ้านจะรวยหรือว่าจะหมดตัวกันแน่”
กะละแมกังวลมาก ชิณเห็นความเป็นห่วงคนอื่นในตัวกะละแม ชิณก็ยิ่งรู้สึกดีๆ กับกะละแม
นุ้ยตะโกนใส่ โต๊ด ติ่ง ตุ้งแช่ ที่นั่งตัวงออยู่
“ชาวบ้านแม่งถูกหวยกันยกซอยอีกแล้ว คราวนี้แม่งทุ่มกันหมดตัวเลย ไหนพวกมึงบอกว่ามั่วไงวะ ทำไมมันถูกทุกงวดเลยหะ!”
โต๊ดรีบบอก “มันฟลุคมั้งจ๊ะ”
“แต่ชาวบ้านถูกก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ” ติ่งแหลมขึ้น
“ป๋าจะหมดตัวมันดียังไงวะ ไอ้นี่พูดไม่เข้าหูเว้ย” ยกสันมือ
ติ่งหลบวืด “เดี๋ยวสิ...ฟังฉันก่อน ที่ฉันบอกว่าดี เพราะว่างวดที่ผ่านมาไอ้แช่มันเป็นคนให้จ๊ะ”
“ยังอีก ยังจะพูดอีก”
“เฮ้ย...ไอ้ก๋อย มึงเงียบก่อน ไอ้หน้าลิงมันพูดก็น่าคิด ถ้าไอ้เด็กเวรนี่มันให้ถูก แล้วมันจะมาทรงให้เรา ชาวบ้านก็จะได้เชื่อมันไงวะ”
ติ่งแบะปากใส่ก๋อย เชอะ “ใช่...ที่ฉันพูดว่าดี ก็เพราะอย่างนี้แหละ แหม...ป๋านุ้ยเนี่ยฉลาดจริงๆ ไม่เหมือนลูกน้องเลย”
ก๋อยยกสันมือ ติ่งหลบวูบ
”ดี...แบบนี้ น้ำขึ้นต้องรีบตัก เฮ้ยพวกมึง” หันมาทางโต๊ดและตุ้งแช่ สองคนสะดุ้ง “เตรียมตัวให้พร้อมเลย กูจะรีบเปิดสำนักให้เร็วที่สุด”
ดวงเลียบๆ เคียงๆ “ป๋า...แล้วเรื่องน้องกะละแมของหนูล่ะ”
นุ้ยรำคาญ “เออน่า...ป๋าไม่ลืมหรอก...แต่ตอนนี้เอาเรื่องนี้ให้ผ่านไปก่อน นังกะละแมมันไม่ไปไหนหรอกน่า เอ้า...พวกมึงมานั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋ออะไร แยกย้ายกันไปทำงานสิวะ เดี๋ยวชาวบ้านแม่งก็แห่มาเอาเงินค่าหวยกันแล้ว ไปเลยไป”
ทุกคนแยกย้ายกันไป ทิ้งให้ดวงเครียดเซ็งอยู่คนเดียว...รอป๋าไม่ได้แล้ว
มิ้วกับกิมเอ็งกำลังจะกลับบ้าน เห็นชิณเดินกลับมาจากทางบ้านพักกะละแมสีหน้ายิ้มแย้มมีความสุข
มิ้วตาร้อน...รีบพุ่งปรี๊ดเข้าไปหาชิณ ด้วยความไม่พอใจ
“พี่ชิณ..ไปไหนมาคะ อย่าบอกนะว่าไปหานังกะละแม”
ชิณเห็นสองแม่ลูกก็เซ็ง “ใช่”
มิ้วยิ่งของขึ้น
“พี่ชิณรู้ตัวหรือเปล่าว่าตัวเองเปลี่ยนไป คุณป้าบอกว่าพี่ชิณปล่อยให้นังกะละแมมันอยู่ที่นี่ ทั้งที่ญาติๆมันย้ายออกไปหมดแล้ว พี่ชิณทำแบบนี้ได้ยังไงคะ”
ชิณทำหน้าเซ็งมาก
“ขอโทษนะ..ที่นี่บ้านใคร”
“ก็บ้านพี่ชิณสิคะ”
“แล้วเราเป็นใคร เกี่ยวอะไรด้วย” ชิณไม่ไว้หน้า
เออจริงๆ...มิ้วจ๋อย กิมเอ็งเห็นท่าไม่ดี รีบดึงมิ้วมาหลบหลังและยิ้มกว้าง
“แหะๆๆ... น้าต้องขอโทษแทนหนูมิ้วด้วยนะคะ ที่แบบว่า..ใส่อารมณ์มากไปหน่อย” พยายามอธิบาย คือ...น้องมิ้วเค้าสับสนน่ะค่ะ คือ...ก่อนหน้านี้เราคุยกันว่า...กะละแมเป็นมิจฉาชีพ ต้มตุ๋น หลอกลวง ไว้ใจไม่ได้ ต้องรีบกำจัดออกไปโดยเร็ว...เราตกลงจับมือกันขับไล่มัน”
ชิณสะอึกนิดๆ...ก็จริงนะ
กิมเอ็งใส่ต่อ “แต่ตอนนี้ทำไมมันถึงได้กับตาลปัตร กลายเป็นคุณชิณเหมือนจะเข้าข้างมัน...บอกตรงๆ น้ากับน้องมิ้ว...มึนค่ะ”
มิ้วพยักหน้าหงึกหงัก ชิณคิดๆ จะตอบ เอาตัวรอดยังไง
“น้าก็เลยสงสัยว่า ตอนนี้คุณชิณคิดอะไรอยู่ และทำไมคุณชิณถึงได้..เปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม” กิมเอ็งตัดพ้อเล็กๆอยู่ในที
มิ้วสวน ถลาออกมาหน้ากิมเอ็ง “เพราะนังกะละแมใช่มั้ยคะ”
“แหะๆ เยอะไปนีส ขอโทษค่ะ”
กิมเอ็งรีบดึงมิ้วมาหลบหลังเหมือนเดิม
มิ้วยืนหงุดหงิดๆ อยู่หลังกิมเอ็ง กิมเอ็งรอฟังคำตอบ ชิณคิด....แล้วก็ตอบตรงไปตรงมาตามนิสัย
“ใช่....ที่ผมเปลี่ยนไปเพราะกะละแม” สองแม่ลูกตาเบิกโพลง “ผมเข้าใจเค้ามากขึ้น แล้วก็รู้ว่าเค้าเป็นคนยังไงกันแน่ เพราะฉะนั้นตอนนี้ผมไม่ได้มีปัญหากับกะละแม ผมขอยุติความร่วมมือระหว่างเราสามคน นับจากวันนี้เป็นต้นไป”
ชิณประกาศอย่างชัดเจน มิ้วกะกิมเอ็งเหวออย่างแรง ชิณเดินเข้าบ้านไปเลย สองคนมองตามแล้วก็พูดไม่ออก มิ้วหน้าอึ้ง เหวอ
กลับมาถึงบ้านแล้วมิ้วยังคงกรี๊ดอยู่ อย่างต่อเนื่อง กิมเอ็งยกมืออุดหูนั่งอยู่ข้างๆ
กิมเอ็งรีบยกมือห้าม แล้วส่งแก้วน้ำให้ “น้ำอุ่นค่ะลูก”
“ขอบคุณค่ะ” มิ้วรับมา แล้วก็นึกได้ “ว้าย... ไม่ใช่ค่ะคุณแม่ มิ้วไม่ต้องการน้ำตอนนี้” วางแก้วกระแทกลงบนโต๊ะ “มิ้วต้องการรู้ว่าทำไมพี่ชิณถึงได้เปลี่ยนไปเป็นแบบนี้ ทำไม ทำไม ทำไม” มิ้วตะเบ็งเสียงดัง
กิมเอ็งตะโกนกลับ “ไม่รู้เว้ย” ดังกว่าอีกต่างหาก
มิ้วสะดุ้ง เห็นแม่นั่งหน้าเครียด ก็จ๋อยลง สงบลงมานิดหนึ่ง
กิมเอ็งคิดเครียด “แม่ว่า..ครั้งนี้มันต้องมีอะไรแอบแฝงแน่ๆ ไม่งั้นคุณชิณไม่กลับลำแทบจะพลิกคว่ำขนาดนี้ ... ที่สำคัญญาตินังกะละแมมันก็ย้ายออกจากบ้านไปแบบนี้ มันต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่ๆ เราก็ต้องล้วงความจริงออกมาให้ได้ นาทีนี้ต่อให้ต้องง้างปากพวกมัน พวกเราก็ต้องทำค่ะ”
“แล้วจะง้างยังไง ง้าปากใครคะ” มิ้วหวั่นๆ “อย่าบอกนะว่า...”
กิมเอ็งมองไปที่มิ้วแล้วพยักหน้า ‘ถูกต้อง...ไอ้ติ่งนั่นแหละ’
ติ่งรับโทรศัพท์มิ้ว หน้าบานดีใจสุดขีด
“หะ! คุณมิ้วคิดถึงผม! จะชวนผมไปกินข้าว” ติ่งยิ้มกว้าง
เสียงมิ้วดังลอดมาจากโทรศัพท์ “จะไปหรือเปล่าหะ”
“ไปครับๆ” ติ่งปากไว แล้วนึกขึ้นได้ว่าอยู่บ้านนุ้ย “เอ่อ..แต่ยังไงผมขอดูคิวก่อนนะครับ พอดีช่วงนี้ยุ้งยุ่ง ยังไงถ้าว่างผมจะติดต่อไปอีกที” พูดเหมือนเล่นตัว
ทันใดนั้นเอง เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
“ไอ้หน้าลิง”
ติ่งตกใจ “แค่นี้ก่อนนะครับคุณมิ้ว” รีบวางโทรศัพท์ไป
ด้านกิมเอ็งรีบถามลูกสาว “เป็นยังไงบ้างคะคุณลูก”
มิ้วส่ายหน้า “ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ ยังไม่ทันจะสรุป ก็วางไปดื้อๆ”
มิ้วกะกิมเอ็งมองหน้ากัน ทั้งงงและแปลกใจ
ส่วนติ่งเดินมาที่ประตู ก๋อยยังตะโกนเรียกจากหน้าห้อง
“ไอ้หน้าลิง!”
“เฮ้อ...ขัดเวลาความสุขจริงโว้ย” เปิดประตู “เรียกใครไอ้ลิงวะไอ้คิงคอง”
“เรียกมึงนั่นแหละ” ก๋อยพูดแบบไม่เต็มใจ วางอำนาจสุดๆ “พี่ดวงอยากเจอ! เดี๋ยวนี้ และตอนนี้”
ติ่งถูกก๋อยผลักให้เดินไปเร็วๆ เข้าไปในห้องๆ หนึ่ง ติ่งโวยตามประสา
“ก็รีบอยู่...จะผลักไปไหนเล่า...ไม่พอใจมาเดินเองมา”
ดวงนั่งรออยู่ในห้องนั้นแล้ว ตะโกนเสียงดัง
“เฮ้ย...” ติ่งสะดุ้ง “นั่ง!”
ติ่งนั่งลงเผลอปากเรียก “แก...”
“แกไหน นี่พี่ดวง มาเรียกกงเรียกแกได้ไง ไม่สุภาพเดี๋ยวตบ”
ก๋อยเงื้อมือ ติ่งหัวหดแล้วรีบพูด
“คะ...คุณดวง...เรียกผมมามีอะไรครับ”
“ข้าอยากรู้ว่าทำไมน้องกะละแมถึงยังอยู่บ้านนั้นต่อ มันมีอะไรเกี่ยวข้องกับไอ้เจ้าของที่นั่นหรือเปล่า มันกักขังหน่วงเหนี่ยวน้องกะละแมไว้ใช่มั้ย”
ติ่งคิด “หมายถึงคุณชิณเหรอ”
“เออ...ก็ไอ้หน้ายาวนั่นแหละ มันสนใจน้องกะละแมอยู่ใช่มั้ย ฉันเห็นมันชอบมาเกาะแกะวุ่นวายกับน้องกะละแม”
ก๋อยพลอยพยักเป็นลูกคู่ “ใช่ เกาะแกะมากด้วย”
“แล้วเนี่ยก็อยู่บ้านมันอีก จะไปไว้ใจได้ไง ป๋าก็บอกแต่ว่ารอก่อนรอก่อน รอ นานกว่านี้มันแอบแกะกล่องน้องกะละแมจะทำไง” ดวงบ่น
ติ่งเห็นท่าทางของดวงแล้วคิดแผนร้าย “ก็นั่นน่ะสิ๊...คุณชิณน่ะทั้งหล่อทั้งรวย แถมยังโสดอีกต่างหาก แล้วยังชอบมาวุ่นวายกับไอ้แมทุ๊กวัน”
ดวงของขึ้น “นั่นๆ เห็นมั้ย ข้าสังหรณ์ใจไม่ผิด มันต้องเล็งน้องกะละแมแน่ๆ ทำยังไงดีวะ”
“ที่จริงถ้าจะให้ช่วยมันก็พอมีทางอยู่นะ” ติ่งเข้าแผน
“ช่วยได้จริงๆ เหรอ” ดวงดูไม่ค่อยจะไว้ใจเท่าไหร่
“อ้าว อย่าลืมสิว่าฉันเป็นพี่ชายไอ้แม อย่างน้อยฉันก็มีสิทธิ์ที่จะเลือกน้องเขย” ดวงมองติ่งตาวาวเหมือนเห็นพระเจ้า “แต่เรื่องแบบนี้ถ้าจะให้ช่วย มันก็ต้องมีอะไรแลกเปลี่ยนกันหน่อย”
ติ่งยิ้มเจ้าเล่ห์มองดวงแล้วก็เหล่มาทางก๋อยเป็นนัย ก๋อยสะดุ้งนิดๆ อะไรจะมาลงที่ตูวะ?
กิมเอ็งมองร้านอาหารหรูตรงหน้าด้วยแววตาประหลาดใจคิดในใจ…ไอ้ติ่งมันนัดร้านหรูมาก
“ร้านหรูขนาดนี้ ลูกแน่ใจเหรอคะว่าไอ้ติ่งมันนัดลูกมาที่นี่”
“แน่สิคะ ว่าแต่คุณแม่เถอะค่ะ แน่ใจเหรอคะว่านี่อำพรางแล้ว”
ที่แท้มิ้วกับกิมเอ็งคุยโทรศัพท์กันอยู่คนละมุม ทำเหมือนไม่รู้จักกัน กิมเอ็งใส่ชุดหนังสีดำรัดติ้ว ใส่แว่นดำ เหมือน สายลับผสมนางแมวป่า
“นี่อำพรางสุดแล้วนะคะคุณลูก! รับรองว่าไม่มีใครสังเกตเห็นแน่ๆ”
มิ้วหนักใจ ทันใดนั้นเอง รับรถเบนซ์คันใหญ่ขับมาเกยที่ตรงหน้ามิ้วเป๊ะ มิ้วรีบวางโทรศัพท์
ก๋อยในชุดซาฟารีลงจากด้านข้างคนขับ มาเปิดประตูรถด้านหลังให้ติ่ง...มีดวงเป็นคนขับ
ก๋อยกัดฟันพูด “เชิญครับคุณติ่ง”
ติ่งเดินลงจากรถในชุดสูทแบบโคตรเท่ ดูเป็นคุณชายมั่กๆ มิ้วมองอึ้งๆ
ติ่งถอดแว่นตาออกมา แล้วยิ้มหวานแบบที่คิดว่าหล่อแล้วให้มิ้ว มิ้วประหลาดใจ ระคนสงสัย
“คุณติ่ง!” มองไปที่รถด้วยความสงสัย
ขณะที่กิมเอ็งมองอยู่เช่นกัน และตกใจด้วย
ติ่งหันไปสั่งก๋อย “เอารถไปเก็บ แล้วจะไปไหนก็ไป เดี๋ยวโทร.ตาม”
ก๋อยด่าเบาๆ “ได้ทีเอาใหญ่นะมึง”
ติ่งทำดุ “ยังไม่ไปอีก”
ก๋อยกัดฟันพูด “ครับคุณติ่ง” เดินขึ้นรถไป
“คนขับรถผมเองครับ” ก๋อยได้ยินค้อนขวับกัดฟันกรอด “คุณมิ้วคงแปลกใจ ไว้เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟังตอนทานข้าวนะครับ เชิญครับ”
ติ่งผายมือเชิญมิ้วเข้าไปในร้านอาหารไปอย่างเท่ๆ มิ้วเดินไป สงสัยอยู่
ติ่งหันหลังมาที่รถเบนซ์แล้วไล่ให้ไป ก่อนจะเดินเข้าไปในร้านอาหาร โดยมีกิมเอ็งแอบตามเข้าไปอีกต่อ
ด้านก๋อยมองติ่งที่อยู่นอกรถอย่างหมั่นไส้แล้ว ถามดวง
“ทำไมพี่ดวงต้องยอมมันด้วย โอ้ย...เห็นแล้วกวนตุ้มจริงๆ”
“เออน่า...ยอมๆ มันไปก่อน...เพื่อน้องกะละแม”
“แล้วพี่ดวงแน่ใจเหรอว่ามันจะช่วยได้จริงๆ” ก๋อยไม่เชื่อ
ดวงพูดสีหน้าเหี้ยม “ถ้ามันหลอกกู มันจะรู้ว่าตายน่ะเป็นยังไง”
ดวงเอากำปั้นทุบพวงมาลัย แตรดังลั่น แล้วก็สะดุ้งตกใจเอง
ติ่งกับมิ้วนั่งอยู่ที่โต๊ะหนึ่ง ส่วนโต๊ะข้างๆ เป็นกิมเอ็งในชุดอำพรางนั่งอยู่ใกล้ๆ กิมเอ็งค่อยๆ เลื่อนเครื่องอัดเสียงไปที่มุมโต๊ะ เพื่ออัดเสียงติ่งได้ถนัด
ติ่งยืดตัว พยายามโชว์เพชร ทองหยองที่ยืมดวงมาใส่ ทำให้ติ่งมีราศีกว่าปกติ เท่านั้นไม่พอยังมี ไอแพด ไอโฟน ตั้งเสริมบารมีอยู่ข้างๆด้วย จัดเต็มมาก
มิ้วมองติ่ง เริ่มรู้สึกว่าติ่งหน้าตาดีเหมือนกัน
ติ่งควักผ้าเช็ดหน้าออกมา แกล้งทำเป็นมีเงินหล่นออกมาด้วยปึกนึง “อุ้ย...ขอโทษครับ...” มิ้วกับกิมเอ็งตาโต “แหม...ผมนี่ซุ่มซ่ามจริงๆ” รีบเก็บเงิน
“คุณติ่งไปทำอะไรมาคะ ทำไมถึงได้เปลี่ยนไปแบบนี้”
“รวยขึ้นน่ะเหรอครับ” ติ่งทำเป็นหัวเราะน่าหมั่นไส้ “ที่จริงพูดไปก็เหมือนโกหก คุณ มิ้วจำได้มั้ยครับว่าเมื่อครั้งที่แล้วที่มีการทรง แล้วลูกชายเจ้าแม่เสด็จมาประทับร่างตุ้งแช่ ท่านได้ให้เลขเด็ดไว้ นั่นแหละครับ ผมทุ่มสุดตัว และชีวิตผมก็เปลี่ยนไป”
มิ้วทึ่ง “สรุปตุ้งแช่นี่ทรงได้จริงๆหรือคะ ไม่ได้ฟลุคเหรอคะ”
“ก็ต้องได้สิครับ ถ้าไม่ได้แล้วผมจะเปลี่ยนไปขนาดนี้ได้ไง คุณมิ้วก็เห็นๆ อยู่”
ติ่งขยับแขนเสื้อขึ้นเห็นนาฬิกาเรือนทอง แหวนเพชรตรึม มิ้ว ตาโต ยิ้มเล็กๆ ที่มุมปาก ความหล่อของติ่งกระเด็นเข้าตา ปิ๊งปั๊ง กิมเอ็งตาวาวด้วย
มิ้วเข้าเรื่องต่อ “แล้วทำไมเจ้าแม่ถึงไม่เข้าร่างกะละแมแล้วล่ะคะ หรือว่าจริงๆ แล้ว ไม่ได้มีเจ้าแม่อยู่จริงตั้งแต่แรก”
“ทำไมจะไม่มีล่ะครับ มีสิครับ เพียงแต่ตอนนี้เจ้าแม่กำลังยุ่งอยู่บนสวรรค์ เจ้าแม่ก็เลยส่งลูกชายเจ้าแม่มาดูแลชาวบ้านแทน”
“ดูแลชาวบ้าน อย่างนี้ก็แปลว่าพวกคุณติ่งยังเปิดสำนักทรงอยู่”
“ครับ...ตอนนี้พวกผมเปิดสำนักทรงอยู่ที่อื่น”
มิ้วสงสัย “เปิดที่อื่น? แปลว่าแล้วคุณติ่งไม่ได้ย้ายไปอยู่ต่างจังหวัด? อย่างนี้ก็เท่ากับคุณติ่งโกหกคุณป้า!! ทำไมต้องปิดบังด้วยคะ หรือว่ามีเจตนาอะไรแอบแฝง”
มิ้วรัวเป็นชุด เหมือนนักข่าว กิมเอ็งกระแอมเตือน ‘ว่าเยอะไป’
ติ่งเหวอไปนิดๆ “เอ่อ...อย่าเรียกว่าโกหกเลยครับ...แค่ไม่ได้เรียนตามตรง”
“แล้วนี่กะละแมสมรู้ร่วมคิด...รู้เห็นเป็นใจกับเรื่องนี้ด้วยใช่มั้ยคะเนี่ย”
ติ่งจะอ้าปากอธิบาย แต่มิ้วรัวเป็นชุด
“แล้วทำไมกะละแมมันไม่ย้ายไปด้วย หรือว่ามันกะจะจับพี่ชิณ ปอกลอกคุณป้า” มิ้วหลุดปาก “เอ่อ....ขอโทษค่ะ หมายถึงพึ่งพาคุณป้ากับพี่ชิณ”
“เอ่อ... เรื่องนี้คุณมิ้วไปถามมันเองดีกว่า”
กิมเอ็งหลุดปาก “ชัวร์”
ติ่งหันมามอง กิมเอ็งรีบทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ มิ้วช่วยดึงความสนใจติ่งมา
“แล้วเรื่องสำนักทรงใหม่ล่ะคะ เปิดเมื่อไหร่ ที่ไหน ยังไง”
“สำนักทรงใหม่อยู่ไม่ไกลจากที่นี่ครับ จะเริ่มเปิดทรงวันพรุ่งนี้”
กิมเอ็ง มิ้วแอบมองหน้ากันยิ้มๆ ’เสร็จแน่’
เจ้าแม่จำเป็น ตอนที่ 13 (ต่อ)
มิ้วกับกิมเอ็งจัดแจงเปิดเทปที่อัดมาจากติ่งให้ฉายตะวันกับชิณฟัง ส่วนกะละแมนั่งอยู่ใกล้ๆเหมือนเป็นนักโทษ ฉายตะวันฟังแล้วไม่พอใจอย่างแรง ส่วนชิณเฉยๆ เพราะรู้อยู่แล้ว
เสียงติ่งจากเทป “สำนักทรงใหม่อยู่ไม่ไกลจากที่นี่ครับ จะเริ่มเปิดทรงวันพรุ่งนี้”
มิ้วกดปิดเทปที่อัด ส่วนกิมเอ็งทำหน้าที่เหมือนทนายในศาล คอยซักจำเลย
“เป็นไงล่ะ หลักฐานคาหนังคาเขา พูดไม่ออกเลยละสิ” หน้าตากิมเอ็งสะใจมาก
กะละแมหน้าซีดรู้สึกผิด
“แล้วทำไมนายโต๊ดถึงบอกฉันว่าจะไปต่างจังหวัด”
กะละแมนั่งหน้าจ๋อย โดนฉายตะวันซัก มีมิ้วกับกิมเอ็งเป่าหูอยู่ข้างๆ
มิ้วจ้องหน้ากะละแม “คุณป้าถามไม่ได้ยินเหรอ ทำไมน้าเธอกับพี่ชายเธอต้องโกหกคุณป้าด้วยว่าไปต่างจังหวัด แล้วก็แอบไปเปิดสำนักทรงใหม่ แบบนี้ต้องเตรียมการณ์มานานแล้วแน่ๆ”
“คือว่า...”
กิมเอ็งเสริม “อย่าบอกนะว่าเธอไม่รู้ เพราะพี่ชายเธอเป็นคนบอกเองว่าเธอรู้”
ฉายตะวันถาม “จริงมั้ยหนูกะละแม”
กะละแมพยักหน้า
กิมเอ็งใส่ไฟใหญ่ “นั่นเห็นมั้ยคะคุณพี่ ตอแหลเห็นๆ แบบนี้เลี้ยงไม่ได้นะคะ ไล่ออกไปเลยค่ะ”
ชิณทนไม่ไหว “ผมว่ามันแรงไปนะครับ เรื่องแค่นี้ ไม่เห็นต้องไล่กันเลย” มิ้วกับกิมเอ็งหันมามองชิณด้วยท่าทางแปลกใจ “ผมว่าการไม่บอกความจริงกับการโกหกมันต่างกันนะครับ เพราะผมเองก็รู้เรื่องนี้ แต่ไม่ได้บอกแม่”
ฉายตะวันหันมามองชิณอย่างแปลกใจ
“ชิณรู้เรื่องนี้ด้วยเหรอ แล้วทำไมไม่บอกแม่”
“ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ ใครจะไปอยู่ที่ไหนไปทำอะไร ถ้าไม่เกี่ยวกับเรา ก็ไม่น่าจะต้องวิ่งกระพือข่าวให้มันคึกโครม”
โดนเต็มๆ มิ้วกับกิมเอ็งสะดุ้ง
“ชิณกับกะละแมไม่ได้บอกแม่ก็ไม่ผิด” ฉายตะวันพูดแล้วหันมาทางกะละแม “แต่นายโต๊ดกับพี่ชายหนู
โกหกฉัน ฉันไม่พอใจ ฉันเคยบอกแล้วใช่มั้ย ว่าฉันไม่ชอบคนโกหก ฉันเลี้ยงทุกคนด้วยความจริงใจ แต่นายโต๊ดกลับโกหกฉัน ฉันยอมรับไม่ได้”
ฉายตะวันลุกพรวดเดินออกไป..มิ้วกับกิมเอ็งสะใจ...รีบเดินตามไป
“คุณป้าขา...คุณป้า”
“คุณพี่คะ คุณพี่...รอคุณน้องด้วยค่ะ”
มิ้ว กะกิมเอ็ง ตามฉายตะวันเดินออกไปจากห้องมิ้วกับกิมเอ็งเป่าหูฉายตะวันต่อ
“คุณป้าดูสิคะ พี่ชิณน่ะเข้าข้างมันด้วย และยังบอกอีก ว่ารู้เรื่องนี้แต่ไม่บอกคุณป้า ดูสิคะ ...แค่รู้จักกันไม่นาน ก็เริ่มโกหกเหมือนกันแล้ว”
“หนูมิ้วต้องแยกแยะก่อนนะ ป้าไม่พอใจญาติกะละแม ไม่ใช่กะละแม”
“แล้วคุณพี่จะรู้ได้ยังไงละคะว่าหลานไม่เหมือนน้า เรื่องแบบนี้น่ะมันถ่ายทอดกันทางพันธุกรรมนะคะคุณพี่”
“ใช่ค่ะ คุณป้า...คิดดูนะคะ พวกนั้นหลอกคุณป้าได้ ทำไมจะหลอกชาวบ้านไม่ได้ และถ้าพวกนั้นหลอกชาวบ้านได้ ทำไมก่อนหน้านี้กะละแมจะหลอกชาวบ้านบ้างไม่ได้”
ฉายตะวันเริ่มคิด แต่ก็ยังไม่ปักใจเชื่อ
“แต่ฉันว่า...ยังไงๆ หนูกะละแมก็คงไม่เป็นเหมือนพวกนั้นหรอกน่า เขาไม่เคยหลอกฉัน”
กิมเอ็งใส่ต่อ “กะละแมปิดบังคุณพี่เรื่องที่ญาติๆมันโกหก แล้วคุณพี่จะแน่ใจได้ยังไงคะว่า กะละแมไม่เคยปิดบังคุณพี่เรื่องอื่น”
ฉายตะวันเริ่มหวั่นไหวนิดๆ ในจิตใจ
ชิณพูดกับกะละแมที่นั่งหน้าจ๋อยอยู่
“ฉันว่าเธอไม่ต้องคิดมากหรอก คนที่โกหกไม่ใช่เธอ แต่เป็นญาติเธอ”
“ไม่จริงหรอก ฉันโกหกแม่คุณมาตลอด โกหกว่าเป็นร่างทรง โกหกว่าเป็นคนดี ฉันโกหกท่านตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันด้วยซ้ำ ถ้าวันนึง คุณนายรู้ความจริงก็คงจะเกลียดฉันยิ่งกว่าที่เกลียดน้าโต๊ดกับพี่ติ่งแน่ๆ”
ชิณปลอบ “คนเราทำผิดกันได้ สำคัญที่ผิดแล้วรู้จักแก้ไข ทุกคนก็จะให้อภัยเอง”
“แต่บางทีมันก็ผิดจนเกินกว่าจะได้รับการให้อภัย”
ชิณอึ้ง...ขณะที่กะละแมน้ำตาซึม
“ตอนนี้ฉันเสียทั้งเพื่อนที่ฉันรักมากที่สุด เสียทั้งครอบครัว อีกไม่นานฉันก็คงจะเสียผู้มีพระคุณของฉันไปอีกคน...ฉันไม่เหลือใครอีกแล้ว”
“ไม่หรอก เธอยังมี...” ชิณอยากพูดว่า...ฉัน
กะละแมตั้งใจฟัง
ชิณเฉไฉ “...มีโอกาสที่จะขอโทษ...เรื่องเพื่อนเธอ เธอลองพูดกับเค้าด้วยความจริงใจดูสิ บางทีเค้าอาจจะให้อภัยเธอก็ได้”
กะละแมครุ่นคิด
โทรศัพท์มือถือโทฟู่วางอยู่ มีสายเข้าชื่อ “กะละแม” โทฟู่หยิบมาดูแล้วก็คิด...แต่ไม่รับ วางกลับไปที่เดิม กว้างเห็นว่าโทฟู่เก็บของใส่กล่องกระดาษ ทำเป็น ไม่สนใจ เสียงโทรศัพท์เงียบไป สักพักมีข้อความเข้ามา
โทฟู่คิดแล้วก็เอาวะ..อ่านก็ได้ โทฟู่หยิบมาเปิดอ่าน
ที่หน้าจอมีข้อความว่า “ฉันขอโทษนะโทฟู่ .. กะละแม”
โทฟู่มีแววใจอ่อนนิดๆ แล้วก็ “ไม่..ฉันไม่ใจอ่อน” กดลบทิ้งข้อความ แล้วก็ปิดเครื่องไปเลย โทฟู่วางโทรศัพท์ไว้ที่เดิม หันมาเก็บของต่อ โทฟู่ จนถึงสมุดเล่มหนึ่งเป็นสมุดทำมือ วาดรูป แปะโบว์น่ารักๆ ที่กะละแมทำให้โทฟู่วันเกิด ดูไม่สวยนัก แต่เห็นถึงความจริงใจ
โทฟู่เปิดดูทีละหน้า เห็นว่าในสมุดมีรูปโทฟู่กับกะละแม แปะอยู่ทีละหน้า เช่น รูปตอนเด็ก รูปงานวันเกิด รูปวันสงกรานต์ รูปวันตรุษจีน มีลายมือกะละแมเขียนบรรยายข้อความต่างๆไว้แต่ละรูป เช่น ‘เพื่อนกันตลอดไป’ ‘ขอให้ได้ฉลองวันเกิดด้วยกันจนแก่เลยนะ’
ที่หน้าสุดท้าย กะละแมเขียนว่า Happy birthday Tofu มีความสุขมากๆนะ ‘ปล.ขอโทษนะ ที่ไม่ได้ซื้อของขวัญดีๆ แพงๆ ให้แก แต่สมุดเล่มนี้ทำมาจากใจ มีเล่มเดียวในโลก...จาก กะละแม’
โทฟู่ปิดสมุดสายตาเศร้าลง คิดถึงกะละแม แต่ก็ตัดใจแววตาแข็งขึ้น ปิดสมุดแล้วก็โยนทิ้งลงถังขยะที่วางอยู่ข้างๆ ก่อนจะหันมาเก็บของต่อ
จักกายเดินเข้ามาทางด้านหลัง
“จะย้ายกลับไปที่ซอยมหาลาภจริงๆ เหรอ”
“อือ..คุณชิณอนุญาตให้ย้ายกลับไป ฉันกับอาม่าก็เลยว่าจะกลับไปวันพรุ่งนี้” โทฟู่หันมา “ขอบคุณคุณมากนะที่ให้เราสองคนมาพักอยู่ที่นี่”
จักกายยิ้มรับนิดๆ “ผมก็ต้องขอบคุณคุณเหมือนกัน ที่ดูแลตอนผมไม่สบาย”
“นิดหน่อยเอง..ต่อไปก็ดูแลตัวเองดีๆ แล้วกัน หรือถ้าเป็นอะไรด่วนโทร.ถามฉันก็ได้”
จักกายยิ้มรับ “ได้..ผมโทร.แน่ ถึงสบายดีผมก็จะโทร.” โทฟู่ยิ้มเขิน...แปลว่าไร จักกายเขินตาม เลยเฉไฉไปเรื่องอื่น “เอ่อ...ผมช่วยเก็บของนะ”
“อื้อ เอากองนี้ใส่กล่องโน้นนะ” โทฟู่สั่งซะเลย
จักกายพยักหน้ารับ หันไปยกของตามที่บอก แต่พลันสายตาไปสะดุดที่สมุดในถังขยะ จักกายปล่อยมือจากของและหันมาหยิบดู พอเห็นว่าเป็นของขวัญจากกะละแมก็หันมาถาม
“ถึงกับทิ้งเลยเหรอ”
โทฟู่หันมามองแล้วก็ตอบด้วยน้ำเสียงเสียใจเป็นเชิงตัดพ้อ “ไม่รู้จะเก็บไว้ทำไม คนทำทำให้ด้วยความจริงใจหรือเปล่าก็ไม่รู้”
จักกายมองแล้วก็คิด ก่อนพูด “คุณรู้มั้ยว่าทำไมผมถึงบอกความจริงเรื่องกะละแมกับคุณ”
“คุณคงไม่อยากเห็นฉันเป็นอีโง่ โดนเพื่อนหลอก”
“เปล่า..ผมบอกเพราะผมคิดว่าคุณจะมีความเป็นผู้ใหญ่มากพอจะเข้าใจและให้อภัยเพื่อน ... แต่ดูเหมือนผมจะเข้าใจผิด”
โทฟู่หันขวับมา “ถ้าเป็นเรื่องอื่น ฉันพอจะเข้าใจและให้อภัยได้ แต่นี่มันเกินจะรับ คนแบบนี้ฉันจะทนคบต่อไปได้ยังไง อนาคตจะหลอกอะไรฉันอีกก็ไม่รู้”
โทฟู่ลุกพรวดขึ้น โวยวายด้วยความสับสนและเสียใจ
“กะละแมมันหลอกฉัน หลอกอาม่า หลอกชาวบ้านเพื่อ “เงิน” มันไม่ได้เป็นร่างทรงจริงๆ มันทำแบบนี้ได้ยังไง...ฉันไม่เข้าใจ”
ทันใดนั้นเสียงอาม่าก็ดังขึ้น
“กะละแม..ไม่ได้เป็นร่างทรง”
โทฟู่กับจักกายสะดุ้งนิดๆ หันขวับไป เห็นอาม่ายืนอยู่
อาม่าอึ้งๆ อยู่ “กะละแม...ไม่ได้เป็นร่างทรงจริงๆ เหรออาฟู่”
โทฟู่พยักหน้าว่าใช่ อาม่าช็อกไปเลย
สามคนอยู่ที่ริมสระน้ำ โทฟู่กับจักกายยืนหน้าจ๋อยๆ
“ฟู่ก็เพิ่งรู้น่ะอาม่า..มันสารภาพออกมาเอง ม่า..ไม่ต้องห่วงนะ ฟู่ไม่คบกับมันแล้ว ไม่ให้มันมายุ่งกับม่าเด็ดขาด”
อาม่าพยักหน้า..พยักหน้า..เหมือนเห็นด้วยที่โทฟู่พูด แต่แล้วก็พูดออกมา
“น่าสงสารกะละแม”
โทฟู่ไม่ทันฟังดีๆ รีบเออออ “ใช่ ไอ้แมมัน...” แต่ต้องชะงักหันขวับมา “ห๊ะ ม่าว่าไงนะ”
“ม่าบอกว่า..สงสารกะละแม มันคงจะอึดอัด และรู้สึกผิดมากๆ ที่ต้องหลอกคนอื่น หลอกฟู่ หลอกอาม่า ทั้งๆ ที่ตัวเองไม่อยากทำ”
จักกายอมยิ้ม โทฟู่ยังไม่ยอม
“ม่ารู้ได้ยังไงว่ามันไม่อยากทำ มันอาจจะชอบก็ได้ สบายดี มีเงินใช้”
“ฟู่ก็รู้ว่ากะละแมไม่ได้เป็นคนแบบนั้น ม่าว่าอาแมคงหาทางเลิกมานาน ทรงครั้งสุดท้ายก็เลยประกาศว่าเจ้าแม่จะไม่เสด็จลงมาจากสวรรค์แล้ว นี่ก็ได้ยินชาวบ้านบอกว่าอาโต๊ดไปเปิดสำนักใหม่ แต่ไม่มีกะละแม”
โทฟู่ฟังแล้วก็คิดตาม
“ตอนแรกม่าก็สงสัย แต่ตอนนี้เข้าใจแล้ว”
โทฟู่ยังดื้ออยู่ “แต่ฟู่ไม่เข้าใจ”
จักกายพูดขัดขึ้น “ไม่เข้าใจ หรือ “ไม่อยาก” จะเข้าใจกันแน่...อาม่าก็พูดออกจากชัด ขนาดภาษาไทยผมแย่กว่าคุณ ผมยังเข้าใจเลย”
โทฟู่หันมาทำตาเขียวปั๊ด จักกายรูดซิปปากเงียบกริบ
อาม่าพูดขึ้น ด้วยเสียงเมตตา “อาฟู่...” โทฟู่หันมา “ฟู่จำตอนที่อาม่าจับได้ว่าฟู่แอบขโมยเงินอาม่าไปซื้อตุ๊กตาได้หรือเปล่า”
จักกายหันมามองโทฟู่ โทฟู่สะดุ้งตอบอายๆ
“จำได้…” โทฟู่บอกจักกาย “ตอนนั้นฉันสิบขวบเองย่ะ”
จักกายมองโทฟู่ขำๆ โทฟู่ยังทำเก๊ก ทั้งที่จริงๆ อายมาก อาม่าพูดต่อ
“ตอนนั้นฟู่รับปากกับอาม่าว่ายังไง”
“รับปากว่า...จะไม่ขโมยอีก”
“แล้วเคยขโมยอีกหรือเปล่า”
โทฟู่เสียงดังฟังชัด “ไม่เคยจ้ะ ไม่เคยขโมยแม้แต่สลึงเดียว ถ้าฟู่จะหยิบก็จะขอม่าก่อนทุกครั้งจ้ะ”
“แล้วรู้หรือเปล่าว่าทำไมม่าถึงเชื่อ” โทฟู่ส่ายหน้า “เพราะม่ารู้ว่าจริงๆ แล้วฟู่เป็นเด็กดี ไม่ได้มีนิสัยลักเล็กขโมยน้อย แต่ตอนนั้นอาจจะทำเพราะความเป็นเด็ก และรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ถ้าม่าว่ากล่าวตักเตือน และให้ “โอกาส” ฟู่ก็จะไม่ทำอีก...และฟู่ก็ไม่ทำจริงๆ แล้วถ้าตอนนั้นม่าไม่เชื่อ ไม่ให้โอกาส จะรู้สึกยังไง”
โทฟู่สะอึกนิดๆ แล้วก็ตอบเสียงตื้อๆ
“ก็เสียใจ”
“ใช่...และฟู่ก็จะไม่มีโอกาสพิสูจน์ตัวเองว่าจริงๆ แล้ว เราไม่ได้เป็นคนขี้ขโมย” อาม่ามองหน้าโทฟู่ โทฟู่มองตอบเริ่มจะเข้าใจ “เรื่องของกะละแมก็เหมือนกัน”
อาม่าเริ่มเข้าเรื่อง
“ที่ยืนกันอยู่สามคนเนี่ย ฟู่คือคนที่รู้จักกะละแมมากที่สุด...ลองตั้งสติแล้วคิดพิจารณาด้วยเหตุผล ไม่ใช่อารมณ์ คิดดูสิว่า...กะละแมเพื่อนที่เรารู้จักจริงๆ แล้วเค้าเป็นคนยังไง และเค้าควรจะได้โอกาสในการพิสูจน์ตัวเองหรือเปล่า”
โทฟู่นิ่งคิด อาม่าลุกขึ้นและเดินมาจับไหล่โฟทู่ให้แรงใจ
“ลองคิดดูนะ”
อาม่าเดินออกไป จักกายมองโทฟู่แล้วก็เดินตามอาม่าออกไปด้วย ปล่อยให้โทฟู่ได้คิด
โทฟู่นั่งอยู่คนเดียว คิดถึงกะละแมขึ้นมา ตอนกะละแมซื้อน้ำเต้าหู้ ฟู่จะไม่คิดเงิน กะละแมไม่ยอม ตอนถามว่าทำไมให้ม่ามารักษากับเจ้าแม่ และตอนกะละแมเป็นห่วงและบอกเรื่องความรัก และอีกหลายๆ ตอนที่อยู่ด้วยกันแล้วมีความสุข
โทฟู่ครุ่นคิด...แววตาอ่อนลง
เวลาต่อมาขณะที่กะละแมกำลังเตรียมชุดไปทำงานด้วยใบหน้าเศร้าๆ นั้น เสียงโทฟู่ดังขึ้น
“แกทำอะไร”
“เตรียมชุดไปทำงาน” กะละแมบอก แล้วก็ชะงักเพราะจำเสียงได้ หันขวับมา “เอ้ย ! ไอ้ฟู่ กะ..ก...แก แกจริงๆ ด้วย”
“เออ ฉันเอง ทำตกใจไปได้”
“แก..แกมาทำไม” กะละแมงงอยู่
โทฟู่ยื่นสมุดที่กะละแมให้คืน “ฉันเอามาคืน”
กะละแมรับมางงๆ พอเปิดดูก็จำได้..กะละแมเศร้า
“ฟู่..ฉันรู้ว่าตอนนี้แกเกลียดฉันมาก ฉันคงเป็นอีเพื่อนเลวในสายตาแก” กะละแมน้ำตาเริ่มจะไหล “ฉันไม่มีอะไรจะแก้ตัว ฉันยอมรับผิดทุกอย่าง ฉันมันขี้ขลาดเอง ฉันอยากจะบอกแก แต่ก็ไม่กล้าฉัน…ฉันมันไม่ได้เรื่อง”
โทฟู่พูดสวนขึ้น “พอเหอะ หยุดพูดได้แล้ว ฉันไม่อยากฟัง”
กะละแมมองหน้าเพื่อนเสียใจ...น้ำตาร่วง โทฟู่พูดต่อ
“แต่ฉันอยากเห็น…ฉันอยากเห็นว่าแกกลับตัว กลับใจ เริ่มต้นชีวิตใหม่และแก้ไขความผิดพลาดที่ผ่านมา แกหยุดพูด…แล้วทำให้ฉันเห็นได้หรือเปล่า ถ้าแกทำได้จริงๆ ฉันจะมาเอาของขวัญชิ้นนี้คืน”
กะละแมฟังถึงตรงนี้ น้ำตาไหลไม่หยุด ทั้งร้องไห้ ทั้งยิ้มด้วยความตื้นตัน
“ได้! ฉันจะทำให้เห็นเอง”
โทฟู่น้ำตาซึมๆ ตามเพื่อน “อย่าขี้โม้ก็แล้วกัน”
กะละแมยิ้มทั้งน้ำตา “คนอย่างกะละแม แกก็รู้ถ้าฉันตั้งใจจะทำอะไรแล้ว ฉันต้องทำให้สำเร็จ ฉันจะไม่กลับไปผิดซ้ำอีก และฉันต้องทำให้น้าโต๊ดเลิกหลอกชาวบ้านให้ได้ ไม่ว่ามันจะยากลำบากแค่ไหน ฉันก็จะต้องทำให้ได้”
โทฟู่ยิ้มน้ำตาซึมๆ “ดี...ถ้าแกตั้งใจจะทำจริงๆ แกมีโอกาสแล้ว..อาม่าบอกว่าน้าโต๊ดกำลังจะเปิดสำนักใหม่ ชาวบ้านจะไปกันเพียบเลย ถ้าแกคิดจะทำอะไรแกก็บอกแล้วกัน ฉันพร้อมจะช่วย”
กะละแมปาดน้ำตา...แล้วก็มองโทฟู่ด้วยความซาบซึ้งใจ
“ฟู่..ฉันขอบใจแกมากนะ ขอบใจมาก...เพื่อน”
โทฟู่ยิ้มรับ แล้วก็น้ำตาร่วงจนได้ กะละแมโผเข้ากอดโทฟู่ด้วยความรัก ทั้งสองกอดกันร้องไห้ด้วยความเข้าใจและให้อภัยที่แสนงาม
เวลานั้นติ่งควบคุมการจัดห้องทรงอย่างช่ำชอง
“โต๊ะมาทางนี้เลย..เครื่องไหว้ก็วางไว้ทางนี้ ดอกไม้ ธูปเทียนก็จัดไว้ทางนี้”
ดวงกะก๋อยเดินเข้ามาเหล่ๆ มองดูความเรียบร้อย
“เฮ้ย...ไอ้ติ่ง”
ติ่งหันมา “แหม...เรียกว่าที่พี่เขยให้เพราะๆ หน่อยสิ...เรียกพี่ติ่งอะไรอย่างเนี้ย”
ก๋อยฉุน “มันจะมากไปแล้วนะเว้ย พี่ดวงเป็นลูกคนเดียว ไม่เคยมีพี่เว้ย”
ดวงกลับไม่ว่าอะไร “เออน่า...เรื่องแค่นี้เอง ถ้าพี่ติ่งเค้าอยากจะให้ข้าเรียก ข้าก็เรียกได้เว้ย ไม่ถือให้เมื่อย... ว่าไงครับพี่ติ่ง...ไหนพี่รับปากผมว่า ถ้าผมขับรถไปให้ เอาทองหยองให้ใส่โชว์หญิง แล้วพี่จะจัดเรื่องน้องกะละแมให้ไง แล้วทำไมยังไม่เห็นพี่ทำอะไรเลย”
ก๋อยคาดโทษ “อย่ามาคิดหลอกใช้พี่ดวงฟรีๆ นะเว้ย...ถ้าพี่ดวงยอมก็โง่แล้ว”
“แหม....ใจร้อนไปได้ ไม่ลืมหรอกน่า...แต่ตอนนี้ต้องจัดการเรื่องเข้าทรงก่อน ให้มันเสร็จเป็นเรื่องๆ ส่วนนังกะละแมน่ะ มันไม่ไปไหนหรอก หมูในอวย อย่าลืมสิ ฉันเป็นพี่มันน่า”
“กูไม่ลืม แต่กูรีบ! หมดพรรษานี้เมื่อไหร่ ถ้ากูยังไม่ได้แอ้มน้องกะละแมตามที่บอก กูเอาพี่ตายแน่ จำไว้”
แล้วดวงกับก๋อยก็เดินออกไป…ติ่งเริ่มหนักใจ
“นี่กูหาเรื่องหรือเปล่าวะเนี่ย...เฮ้อ”
ที่คอนโด จักกายยืนมองกล่องของที่วางระเกะระกะ บนกล่องหนึ่งที่เปิดอยู่ เห็นกรอบรูปวางอยู่ในกล่องใบหนึ่งเป็นรูปคู่ของกะละแมและโทฟู่ จักกายหยิบมาดูยิ้มๆ โล่งอก อาม่าเดินเข้ามาหาแล้วก็พูดขึ้น
“อาฟู่โชคดี ที่ไม่ต้องทุกข์ใจ เพราะรู้จักให้อภัยและให้โอกาส ทำให้ตัวเองไม่ต้องแบกความทุกข์ไว้” อาม่าหันมาทางจักกาย “แล้วเราล่ะ...เมื่อไหร่จะหลุดสักที”
จักกายหันมางงๆ “หลุดจากอะไรครับอาม่า”
“หลุดจากอดีตที่ต้องมาคิดแก้แค้นแทนคนที่ตายไปแล้ว”
จักกายชะงักกึก
อาม่าพูดต่อ ท่าทีผ่อนคลาย “ม่าก็ไม่รู้อะไรมาก รู้แค่ว่า...เพราะต้องการแก้แค้น จนต้องมาหลอกอาม่า หลอกอาฟู่ แต่ม่าก็อภัย เราก็เลยยังคบหาสมาคมกันได้” จักกายเริ่มคิดตาม “ตอนม่าบอกให้อาฟู่ให้โอกาสกะละแม คุณก็เห็นด้วย...แล้วก็สนับสนุน”
อาม่าหันมามองจักกาย น้ำเสียงจริงจังขึ้น
“คราวนี้ก็ถึงตาคุณแล้ว....ลองคิดดูด้วยเหตุผล…ว่าคนที่เราโกรธแค้นเค้าอยู่ เค้าเลวร้ายจริงๆหรือเปล่า ถ้ามันไม่ได้เลวร้ายอย่างที่เราคิด...ก็น่าจะให้โอกาสเค้าได้พิสูจน์ตัวเอง...ลองคิดดูนะ”
อาม่าวางมือบนไหล่จักกายเหมือนกับที่ทำกับโทฟู่ แล้วก็ยิ้มๆ ก่อนจะเดินออกไป
จักกายคิดตาม
ติดตาม "เจ้าแม่จำเป็น" ตอนที่ 13 (ต่อ) เวลา 17.00 น.
วันต่อมา จักกายเดินถือดอกไม้มาที่หน้าหลุมศพของเกษมผู้เป็นพ่อ ขณะที่จักกายกำลังจะวางดอกไม้ที่หน้าหลุมศพ แต่กลับเห็นว่ามีดอกไม้ถูกวางไว้อยู่ก่อนแล้ว
จักกายแปลกใจ “ใครเอาดอกไม้มาวาง”
เห็นว่ามีคนงานกำลังกวาดใบไม้อยู่ใกล้ๆ คนงานได้ยินหันมา
“อ๋อ...ผมเองครับ ผมเป็นคนดูแลทำความสะอาดที่นี่ แล้วก็เอาดอกไม้มาเปลี่ยนทุกวัน คุณคงเป็นลูกชายคุณเกษมใช่มั้ยครับ”
“ใช่...แล้วคุณเป็นคนงานที่นี่เหรอ”
“เปล่าครับ คุณฉายตะวันจ้างผมมาดูแลทำความสะอาด แล้วก็เปลี่ยนดอกไม้ให้หลุมศพคุณเกษมน่ะครับ อู้ยย…ทำมาเป็นสิบๆ ปีแล้ว” คนงานบอก
“คุณฉายตะวันจ้างให้ทำ แล้วเค้าบอกมั้ยว่าจ้างคุณทำไมคนงาน ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ คุณคงต้องไปถามคุณฉายตะวันดูเอาเอง งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”
คนงานเดินออกไป ทิ้งให้จักกายแปลกใจ
เย็นนั้นขณะที่จักกายยืนอยู่ที่หน้ารูปพงษ์ กับ เกษม พ่อของตนในห้องรับแขกบ้านมหาทรัพย์ไพศาล ครู่ต่อมาฉายตะวันเดินเข้ามาหา
“วันนี้ไปเยี่ยมหลุมศพพ่อมาเหรอ คนที่ป้าจ้างไว้ เค้าโทร.มาบอก”
จักกายหันมา “ป้าคิดว่า..ทำแบบนี้แล้วมันจะชดใช้ได้งั้นเหรอ”
“ป้าไม่ได้ทำเพื่อจะชดใช้อะไร ป้าทำตามสัญญา...คุณพงษ์” ฉายตะวันมองที่รูปพ่อชิณ “ให้ป้าสัญญาว่าจะนำดอกไม้ไปวางที่หน้าหลุมศพพ่อกายไม่ให้ขาด เพราะเค้ารู้ว่ากายไปเรียนเมืองนอก คงไม่ค่อยได้มีเวลามาเยี่ยม ป้าก็ทำตามที่สัญญาไว้”
จักกายย้อน “แล้วลุงพงษ์จะทำแบบนี้ทำไม ดอกไม้มันไม่ได้ทำให้พ่อฟื้นขึ้นมาสักหน่อย”
ได้ฟังแล้วฉายตะวันถอนใจเบาๆ “แต่การแก้แค้นของกาย…ก็ไม่ได้ทำให้ใครฟื้นขึ้นมาเหมือนกัน ทั้งพ่อกายและสามีป้า... ไม่ว่าสองบริษัทจะแข่งกันแค่ไหน...สุดท้ายทั้งกายและชิณก็ต้องตายอยู่ดี”
จักกายชะงักกึก…เออ ก็จริง
“ถ้าเรามัวแต่หมกมุ่นอยู่กับความแค้นก็จะทำให้เราเครียด พอเราเครียด หน้าเราก็จะแก่เร็ว ป้าไม่ได้ว่ากายหน้าแก่นะ แต่ป้าจะบอกว่า เพราะป้าไม่เครียดไง ป้าถึงได้หน้าเด็กอยู่แบบนี้ นี่ถ้าไปเดินด้วยกันใครๆ ก็ต้องคิดว่าป้าเป็นพี่สาวกายทั้งนั้นแหละ”
จักกายอึ้งในความคิดของฉายตะวัน
“กายเองก็อายุยังน้อย ทำไมไม่สนุกสนานกับชีวิต ชีวิตนี้ยังมีอะไรที่สนุกอีกเยอะ เสียดายเวลาออกนะ”
ฉายตะวันบ่นๆ ไปเรื่อย แต่จักกายกลับสัมผัสได้ถึงความอบอุ่น ความห่วงใย ความจริงใจ จนเผลอเห็นด้วยอย่างไม่รู้ตัว
ทันใดนั้นเสียงชิณก็ดังขึ้น
“แม่คุยกับใครครับ”
ชิณเดินเข้ามาเห็นจักกายก็ชะงักกึก
“มาทำไม จะมาสืบอะไรอีกหะ”
ฉายตะวันหันมาเอ็ด “ชิณ..ใจเย็นๆ สิลูก...มาถึงก็โวยวายเลย”
“ก็จริงนี่แม่..คนไว้ใจไม่ได้ ก็ต้องโวยไว้ก่อน”
จักกายสวนคำ “แต่ครั้งนี้นายไม่ได้โวย...เพราะฉันไม่ได้มาสืบอะไร ฉันแค่มาเยี่ยมเยียนคุณป้า ตามประสาคนรู้จัก แล้วก็ได้แง่คิดดีๆที่น่าสนใจมาก”
เห็นจักกายยิ้ม ชิณมองด้วยความไม่วางใจ จักกายยิ้มสบายๆ แล้วก็พูดชิลล์ๆ
“ฉันคิดว่า..ฉันคงไม่ทำโครงการที่ปราณบุรีแล้ว นายอยากจะทำอะไรก็ทำไปนะ ฉันอยากจะมีเวลาไปสนุกสนานกับชีวิตบ้าง..ไม่อยากหน้าแก่”
จักกายมองหน้าชิณกวนๆ ชิณสะอึก..อะไรของมันวะ
ฉายตะวันยิ้มๆ ขำๆ ชิณยิ่งงง
ครู่ต่อมาจักกายหันมายกมือไหว้ฉายตะวัน “ผมกลับนะครับคุณป้า...ไว้ว่างๆ จะมาเยี่ยมใหม่”
ฉายตะวันรับไหว้ “จ้า”
จักกายเดินออกไป ชิณสุดจะงง...อะไรของมัน พอหันมาทางแม่...ฉายตะวันก็ไม่ตอบได้แต่ยักไหล่ไม่สนใจแล้วก็เดินออกไป
ชิณได้แต่แปลกใจ แล้วก็มองรูปพ่อกับเกษมที่ถ่ายด้วยกัน เป็นภาพแห่งความสุข ชิณคิดแล้วยิ้มนิดๆ ....ก็ดีนะ
ที่หน้าบ้านนุ้ยเช้านี้คึกคักเป็นพิเศษ เห็นโต๊ะหมู่บูชา เครื่องเซ่น ที่นั่งเจ้าแม่จัดเสร็จเรียบร้อย พร้อมทรงเต็มที่
เวลาต่อมานุ้ยยืนปราศรัยเรื่องความเป็นมาของธุรกิจ ขณะที่โต๊ดกับติ่งนั่งตัวลีบอยู่หน้านุ้ย
“นี่คือระบบเครือข่ายหวยใต้ดินที่แผ่กระจายเต็มพื้นที่ทุกตารางเมตร ทั้งในภาคกลาง เหนือ ใต้ ออก ตก” นุ้ยว่าพลางเปิดชาร์ทให้ดูแวบนึงแล้วรีบปิด โต๊ดกับติ่งมองแทบไม่ทัน “และหน้าที่ของพวกแกคือบอกใบ้หวยให้กับชาวบ้านที่มาขอ และอย่าเสือกปากโป้งบอกว่ากูเป็นเจ้ามือหวยล่ะ ไม่งั้นพวกมึงตาย”
โต๊ดกะติ่งสะดุ้ง นึกสยอง
“ไม่ต้องห่วงหรอกจ้ะ...ฉันจะไปบอกเค้าทำไมล่ะ ตัดทางทำมาหากินผมหมด” โต๊ดมีท่าทางกลัวๆ
“ดี...แล้วข้าจะเป็นคนบอกเองว่าให้เลขอะไร...เพราะหวยข้าน่ะมีหลายชนิด ทั้งหวยจับยี่กี 12 ตัว หวยใต้ดิน บนดิน หวยสหกรณ์ หวยออมสิน หวยยูโร หวยพรีเมียลีก หวยมิสไทยแลนด์เวิลด์
โต๊ดงงเพิ่งได้ยิน “หวยมิสไทยแลนด์เวิลด์เป็นยังไงเหรอจ๊ะ”
“ก็แทงว่าเบอร์ไหนจะได้รางวัลไงวะ”
โต๊ดร้องอะเมซิ่งจริงๆ “โอ้โห... ครบวงจรจริงๆ แล้วฉันจะรู้ได้ยังไงล่ะจ๊ะว่างวดไหนจะออกอะไร”
“ข้าจะเป็นคนบอกเอง...ข้าเป็นเจ้ามือหวยก็ต้องรู้สิวะ ว่ามันจะออกอะไร” นุ้ยว่า
“แต่ในข่าวบอกว่าไม่มีล็อคหวยไง แล้วน้ารู้ได้ไงว่ามันจะออกอะไร” ติ่งซัก
โต๊ดรีบเอาเท้าสะกิดติ่ง
“เฮ้ย...ข้าไม่ได้ไปล็อคหวยรัฐบาลเว้ย ข้าล็อคหวยจับยี่กี หวยรัฐบาลน่ะมันออกแค่เดือนละสองครั้ง จับยี่กีน่ะออกทุกวัน วันละสามครั้งหลังอาหาร เช้า กลางวัน เย็น...เข้าใจยังไอ้โง่” นุ้ยมองซ้ายมองขวา หาตุ้งแช่ “ว่าแต่...ไอ้เด็กลูกเจ้าแม่มันอยู่ไหนวะ”
“ไอ้แช่น่ะเหรอ เมือคืนมันฝึกหนักน่ะจ๊ะ ตอนนี้ยังไม่ตื่นเลย”
นุ้ยไม่ค่อยไว้ใจ “อย่าให้พลาดก็แล้วกัน...เพราะข้าให้สมุนไปประโคมข่าวทั่วทุกมุมเมือง เดี๋ยวไอ้ชาวบ้านหน้าโง่ก็คงจะแห่กันมา วันนี้ข้าจะทำให้พวกมันถูกหวยแดก กันให้ถ้วนหน้า ข้าจะเลวให้ถึงที่สุด ใครหน้าไหนก็มาขัดข้าไม่ได้!”
นุ้ยหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง โต๊ดเริ่มเครียดหนัก…เฮ่อ...กูตัดสินใจถูกจริงๆเหรอวะเนี่ย...
ภายหลังจากชิณยอมยืดเวลาให้ชาวบ้านอยู่ในซอยต่อได้ หลายคนที่ย้ายไปอาศัยที่อื่น เริ่มทยอยย้ายกลับมา เช่นเดียวกับเช้าวันนี้ จักกายยืนคุยกับโทฟู่อยู่ที่หน้าร้านน้ำเต้าหู้ในซอยมหาลาภ
ห่างไปหน่อยเห็นศจีกำลังขนข้าวของของโทฟู่กับอาม่าเข้าบ้าน โดยมีอาม่าเป็นคนคอยชี้บอกว่าอะไรวางตรงไหน
“ขอบคุณมากนะที่ให้ไปอยู่ด้วยตั้งนาน แล้วยังให้คุณศจีมาช่วยขนของอีก”
“เล็กน้อยน่ะ...ผมเองก็ต้องขอบคุณคุณเหมือนกัน คุณกับอาม่าทำให้ผมเข้าใจอะไรขึ้นเยอะเลย”
โทฟู่ยิ้มที่เห็นจักกายเข้าใจ
“เออนี่...ถ้าคุณโดนไล่ที่อีกก็ไปอยู่กับผมนะ .. แต่” จักกายทำหน้าตากรุ้มกริ่มเล็กน้อยขณะพูดประโยคต่อมา “...ถึงไม่โดนไล่จะไปอยู่ด้วยก็ได้นะ”
“บ้าเหรอ! ฉันจะไปได้ไง คิดอะไรอยู่ป่ะเนี่ย”
จักกายยิ้มๆ เจ้าเล่ห์ “เปล๊า ไม่ได้คิด ที่ชวนไป ก็ให้ไปเยี่ยมในฐานะเพื่อนไง เหมือนที่คุณไปเยี่ยมกะละแมไรเงี้ย”
“แล้วไป”
โทฟู่หันไปขนของต่อ จักกายเห็น
“นี่คุณ นอกจากเรื่องขนของแล้ว คุณมีอะไรให้ผมช่วยอีกหรือเปล่า”
โทฟู่ชะงักคิด...แล้วก็ตัดสินใจหันมาถาม
“ถ้ามีคุณจะช่วยฉันจริงๆ เหรอ”
“จริงสิ.. ผมยินดีช่วยคุณทุกอย่าง แล้วคุณมีอะไรให้ผมช่วยหรือเปล่า”
โทฟู่คิดแล้วก็ตอบ “มี”
โทฟู่ตอบอย่างมุ่งมั่น จักกายรอฟังคำตอบว่าจะให้ช่วยอะไร
ขณะเดียวกันที่บ้านหลังเล็ก กะละแมอยู่ในห้องนอนกำลังปลอมตัวเป็นผู้ชาย เขียนคิ้วดำๆ หนาๆ แบบผู้ชาย ติดหนวด รวบผมขึ้น ใส่หมวก ใส่แว่นตากรอบโตดูเนิร์ดๆ
กะละแมส่องกระจกตรวจดูว่าแต่งตัวเป็นผู้ชายได้เนียนดีแล้วก็เดินออกจากห้องไปด้วยความมั่นใจ
กะละแมเดินออกจากห้อง แล้วก็ชะงักกึก เพราะเห็นชิณยืนอยู่ในบ้านก็ตกใจ
“คุณเข้ามาได้ยังไง”
“ก็ฉันยืนเรียกเธออยู่ตั้งนาน ไม่เห็นมีใครตอบฉัน ฉันก็เลยเดินเข้ามาดู แล้วนี่เกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงแต่งตัวแบบนี้”
“ฉันจะไปทำธุระ” กะละแมตอบเลี่ยงๆ ไป
“ธุระอะไรของเธอ ทำไมต้องปลอมตัว”
“เอ่อ...” กะละแมอึกอัก ไม่อยากโกหก
กะละแมไม่ตอบจะออกไปเลย
ชิณรู้ทัน “เธอจะไปสำนักทรงของน้าเธอใช่มั้ย”
กะละแมชะงักและไม่แก้ตัว ชิณเลยรู้ว่าใช่
“เธอจะบ้าเหรอ ที่นั่นมันเป็นบ้านไอ้เจ้ามือหวย เธอก็รู้ว่ามันอันตราย”
“ถึงอันตรายฉันก็จะไป ฉันไม่อยากให้ชาวบ้านโดนพวกนั้นหลอก และฉันก็ไม่อยากให้น้าโต๊ดกับพี่ติ่งต้องทำผิดอีก แถมยังดึงไอ้แช่มาร่วมด้วย เด็กมันยังมีอนาคต ฉันไม่อยากให้มันโตขึ้นมาเป็นคนหลอกลวงเหมือนฉัน”
“เธอไปแล้วจะช่วยอะไรได้ ตอนนี้เธอไม่ได้เป็นเจ้าแม่แล้ว ไม่มีใครเชื่อเธอหรอก”
“แต่ก็ดีกว่าที่ฉันจะอยู่เฉยๆ และให้ทุกอย่างมันแย่ลง ขอบคุณมากที่เป็นห่วงฉัน แต่ฉันต้องไป”
กะละแมเดินไป ชิณคิดและตัดสินใจพูดขึ้น
“เดี๋ยว...ฉันไปด้วย!”
กะละแมหันมาท่าทางตกใจ...ไม่อยากเชื่อหูตัวเอง กะละแมมองชิณแล้วก็ตัดสินใจพูด
“คุณจะไปทำไม”
“ก็...ไปช่วยเธอไง”
“แต่มันอันตราย”
ชิณกลอกตาไปมา “ฉันรู้ และฉันก็เป็นคนบอกเธอเอง”
“แต่...” กะละแมพูดยังไม่จบ
ชิณพูดขัดขึ้น “ไม่ต้องพูดมาก รีบๆ ไปได้แล้ว เดี๋ยวก็ไม่ทันญาติเธอทรงกันพอดี” ชิณเดินหน้าดึงตัวกะละแมไปเลย
กะละแมขืนตัวรั้งไว้ “เดี๋ยวก่อน...คุณไปแบบนี้ไม่ได้”
ชิณหันมางงๆ “ไปแบบนี้ไม่ได้ แล้วจะให้ไปแบบไหน”
ชิณมองกะละแมงงๆ
ครู่ต่อมา กะละแมจับชิณปลอมตัวเป็นนักร้องเพื่อชีวิต ใส่วิกผมยาว มีผ้าโพกหัว ติดหนวดเครารุงรัง เสร็จแล้วกะละแมก็ยื่นกระจกให้ชิณส่องดูตัวเอง
“เสร็จแล้ว”
ชิณรับกระจกไปส่องดูตัวเองก็อึ้ง แทบจำตัวเองไม่ได้...หมดกันความหล่อ !!!
ชิณก้มมองสภาพเสื้อผ้าที่ใส่อยู่ “เธอไปเอาเสื้อผ้ากับวิกผมพวกนี้มาจากไหน”
“ฉันก็เตรียมๆ ไว้ เผื่อต้องใช้ แล้วก็ได้ใช้จริงๆ” กะละแมมองชิณยิ้มๆ “เห็นมั้ยว่าการรู้จักฉัน ก็มีข้อดีนะ ทำให้คุณได้ปลอมตัวเป็นอะไรตั้งหลายอย่าง”
“ใช่สิ...จะมีนักธุรกิจที่ไหนต้องมาทำอะไรแปลกๆ แบบนี้บ้าง มีแต่พวก...” ชิณพูดไปแล้วก็รู้สึกตัวชะงักกึก
“พวกชอบหลอกลวงชาวบ้านอย่างฉันใช่มั้ย ที่ทำอะไรแบบนี้”
กะละแมจ๋อยๆ ซึมๆ ชิณเห็นแล้วก็สงสาร รีบปลอบใจด้วยน้ำเสียงฟังดูอบอุ่น
“ถึงมันจะจริง แต่มันก็เป็นอดีต มันผ่านมาแล้ว เมื่อก่อนเป็นยังไงก็ช่าง แต่ตอนนี้และต่อไป เธอจะไม่กลับไปทำแบบนี้อีกแล้ว...เท่านี้ก็พอ”
กะละแมเห็นแววตาอบอุ่นของชิณ จึงยิ้มออกมาอย่างสดใส ทั้งสองคนยิ้มให้กันด้วยความเข้าใจ ความอบอุ่นอาทรแผ่ซ่านในใจกันและกันอย่างประหลาด
ติดตาม "เจ้าแม่จำเป็น" ตอนที่ 14 เวลา 09.00 น.