รากบุญ ตอนที่ 13
เจติยาหยิบกล่องรากบุญขึ้นมามองอย่างพิจารณา เธอครุ่นคิดถึงปมปัญหาหลายอย่าง ลาภิณเคาะประตูห้องก่อนเปิดเข้ามา
“หมวดโทรมาตาม บอกให้ออกเดินทางได้แล้วนะ”
“ค่ะ” เจติยาถอนใจออกมา “แต่เจว่างานนี้พี่หมวดคงช่วยเราไม่ได้มากหรอกค่ะ” เจติยาเอากล่องรากบุญใส่เป้ที่เตรียมไว้
“ทำไมคิดอย่างงั้นล่ะ”
“เจเชื่อว่าคุณพิสัยต้องเตรียมทางหนีทีไล่ไว้อย่างดีแล้ว แล้วงานนี้นายปราณต้องยื่นมือเข้ามาช่วยแน่นอน” เจติยามีสีหน้าหนักใจ
“นายคนนี้อีกแล้วเหรอ ตกลงเค้าเป็นใครกันแน่เจ”
“เจก็อยากรู้เหมือนกันค่ะ ลุงทวีเหมือนจะรู้ แต่ก็บอกเราไม่ได้ซะแล้ว” เจติยาถอนหายใจออกมา
ลาภิณร้อนใจเพราะกลัวเสียแผน “เรารีบไปกันดีกว่า”
เจติยาพยักหน้ารับแล้วรีบเดินตามลาภิณออกไปจากห้องทันที
มยุรีและนทีถูกมัดปากมัดขาอยู่มุมกระท่อม พิสัยเดินไปเดินมาด้วยความร้อนใจ ส่วนมยุรีก้มหน้านิ่งด้วยความกลัว นทีแอบมองไปที่ปราณด้วยสีหน้าสงสัยว่าเป็นใคร ปราณเบิกตาใส่นทีหน้าตาดุแล้วก็มีแสงสีแดงวาบสว่างขึ้นมาจากดวงตา นทีตกใจรีบก้มหน้าหลบไปด้วยความกลัว
พิสัยร้อนใจ “ทำไมมันยังไม่มาซะทีนะ มันจะมาไม้ไหนกันแน่”
“จะไม้ไหนก็ไม่เห็นต้องกลัวเลย” ปราณยิ้มมั่นใจ “ต่อให้มันขนคนมาช่วยเป็นร้อย ก็จะไม่มีใครเข้ามาถึงที่นี่ได้หรอก ถ้าฉันไม่อนุญาต” ปราณสะแหยะยิ้มร้าย
นทีแอบชำเลืองมองหน้าปราณอีกครั้ง เขารู้สึกได้ถึงพลังอำมหิตของผู้ชายคนนี้
ลาภิณขับรถพาเจติยามาจอดที่ชายสวนตอนหัวค่ำ ทั้งคู่ลงจากรถ โดยที่เจติยาสะพายเป้ใส่กล่องรากบุญลงมาด้วย
“คุณต้นไปหาพี่หมวดตามแผนเถอะค่ะ เดี๋ยวเจเดินเข้าไปคนเดียวได้” เจติยาบอก
“เธอคิดว่าฉันจะยอมปล่อยให้เธอไปคนเดียวเหรอ” ลาภิณจับมือเจติยามากุมเอาไว้แน่น
เจติยาอึ้ง
ลาภิณจูงเจติยาเดินตรงไปยังที่ตั้งของกระท่อม เจติยามีสีหน้าไม่สบายใจเพราะไม่อยากให้ลาภิณต้องมาเสี่ยงไปด้วย
ที่อีกด้านหนึ่งของสวน นวัชและตำรวจจำนวนหนึ่งทยอยลงจากรถก่อนจะเข้ามาฟังแผนจากนวัช
นวัชกางแผนที่วาดมือคร่าวๆให้ดู “เดี๋ยวเราเดินตรงไปทางนี้ จะถึงเป้าหมายก่อน แล้วก็รีบกระจายกำลังล้อมเอาไว้อย่าให้มันรู้ตัว”
กลุ่มตำรวจรับคำ
นวัชหยิบโทรศัพท์มือถือโทรออกหาเจติยา “เจ ถึงไหนแล้ว” นวัชฟังอีกฝ่ายแล้วก็พบว่าสัญญาณหายไป “ฮัลโหลๆ เจ ได้ยินรึเปล่า ฮัลโหล” นวัชดูมือถือ “อ้าว ทำไมไม่มีสัญญาณล่ะ”
ตำรวจนายหนึ่งหยิบมือถือของตัวเองมาดู “ของผมก็ไม่มีเหมือนกันครับหมวด เอ๊ะแปลก ชานเมืองแค่นี้ไม่ได้หลังป่าหลังเขาซะหน่อย”
ทันใดนั้นก็เกิดลมพัดแรงอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยขึ้นมาทันที ลมพัดแรงจนนวัชกับพวกตำรวจมองอะไรไม่เห็น ตำรวจบางคนต้องหมอบลง บางคนต้องไปเกาะต้นไม้ใหญ่เอาไว้
ปราณกำลังสะแหยะยิ้มสะใจ
“ไอ้พวกโง่ มึงไม่รู้หรอกว่ากำลังต่อสู้อยู่กับใคร”
ปราณยืนอยู่หน้ากระท่อม โดยมีพิสัยกำลังก่อกองไฟอยู่ใกล้ๆ
ทันใดนั้นก็มีเสียงเหมือนคนเหยียบเศษใบไม้ดังขึ้น
พิสัยรีบชักปืนออกมาแล้วตะคอก “ใครวะ”
เจติยากับลาภิณเดินออกมาหาปราณ และพิสัย
“อย่ายิงนะ” ลาภิณบอก
พิสัยยิ้มพอใจ “มาพร้อมหน้ากันอย่างงี้ก็ดี จะได้ไม่เสียเวลา” พิสัยจ้องลาภิณด้วยสีหน้าชิงชัง
ลาภิณจ้องหน้าพิสัยตอบ อย่างไม่ลงให้กัน
“แม่กับน้องฉันอยู่ไหน” เจติยาถาม
ทันใดนั้นประตูกระท่อมก็เปิดออกเองโดยอิทธิฤทธิ์ของปราณ ทำให้เจติยาเห็นมยุรีและนทีถูกจับมัดอยู่ในกระท่อม มยุรีและนทีสีหน้าหวาดกลัว
มยุรีเป็นห่วงลูกจึงพูดทั้งที่ถูกมัดปากทำให้ฟังไม่รู้เรื่อง “เจ หนีไปลูก ไม่ต้องห่วงแม่”
เจติยาโมโห “อย่าทำอะไรแม่กับน้องฉันนะ”
พิสัยเล็งปืนขู่แล้วตะคอก “หุบปากไปเลย เอากล่องรากบุญมาให้ฉัน แล้วก็รีบๆสละความเป็นเจ้าของซะ ไม่ยังงั้นแม่กับน้องแกได้ตายกลาย เป็นผีเฝ้าสวนให้ไอ้ต้นแน่”
เจติยาแค้นใจ แต่ก็รีบเปิดเป้แล้วหยิบเอากล่องรากบุญออกมา
พิสัย และปราณมองไปที่กล่องด้วยตาแวววาว
“เดี๋ยวเจ เราจะมั่นใจได้ยังไง ว่าให้กล่องไปแล้ว เราทั้ง 4 คน จะปลอดภัย” ลาภิณท้วง
ปราณขำหยัน “ก็พาตำรวจมาด้วยไม่ใช่เหรอ จะกลัวอะไรอีก”
พิสัยตกใจมาก “นี่แกคิดหักหลังฉันเหรอ”
“ไม่ต้องห่วงพิสัย ตำรวจหน้าโง่พวกนั้นไม่มีทางหาที่นี่เจอหรอก” ปราณบอก
เจติยาและลาภิณสบตากันเล็กน้อยเพราะชักรู้สึกไม่ค่อยดี
ปราณพูดเสียงดุดันพร้อมกับเบิกตาใส่เจติยา “ส่งกล่องมาให้ฉันเดี๋ยวนี้”
เจติยายื่นกล่องออกไป พิสัยสะแหยะยิ้มแล้วจะเข้าไปรับ เจติยาชักกล่องกลับมากอดเอาไว้
เจติยาจ้องปราณ “คุณเป็นใครกันแน่”
พิสัยตวาด “ส่งมันมาเถอะน่ะ”
“ไม่” เจติยาจ้องปราณ “ตอบฉันมาก่อน ไม่งั้นฉันไม่มีทางสละความเป็นเจ้าของกล่องเด็ดขาด...ฉันไม่เข้าใจ กล่องใบนี้มีเจ้าของซ้ำกันสองครั้งไม่ได้ มันเป็นกฎ ทำไมคุณถึงทุ่มเทจะเอามันคืน ทั้งที่ไม่มีทางเป็นเจ้าของมันได้อยู่แล้ว”
ปราณหัวเราะออกมา “ฉันต้องการให้มันเลือกเจ้าของคนใหม่”
“ทำไม”
ปราณพูดด้วยน้ำเสียงโกรธจนแทบจะคำราม “ก็เพราะแกจะทำลายกล่องรากบุญน่ะสิ”
เจติยาตกใจ “คุณรู้ได้ยังไง คุณเป็นใครกันแน่”
“อย่าเสียเวลาไปตอบคำถามไร้สาระของมันเลย” พิสัยบอก
ปราณยกมือห้ามพิสัย แล้วสืบเท้าเข้าหาเจติยา ลาภิณทำหน้าตาขึงขังแล้วเข้ามาขวางทาง ปราณแค่ยกมือขึ้นปัดเบาๆ ลาภิณก็กระเด็นล้มกลิ้งไปกับพื้น
เจติยาตกใจและเป็นห่วง “คุณต้น”
“ในฐานะที่เธอเป็นเจ้าของกล่องรากบุญ” ปราณเอ่ย
เจติยาหันกลับมามองหน้าปราณ
“ฉันจะตอบคำถามเพื่อคลายความสงสัยให้เธอ 3 ข้อ เพื่อแลกกับเจ้าของสิทธิ์ในความปรารถนาและกล่องรากบุญ ตกลงมั้ย”
“ให้สัญญาก่อนว่าจะปล่อยพวกเราไป” เจติยาบอก
“ได้คืบจะเอาศอก” พิสัยว่า
“ฉันบอกแล้วไง ว่าฉันต้องการเจ้าของสิทธิ์ในความปรารถนาและกล่องรากบุญเท่านั้น ชีวิตมนุษย์กระจอกๆ อย่างพวกแกฉันไม่ต้องการ” ปราณพูดด้วยน้ำเสียงออกคำสั่ง “คำถามแรก”
เจติยาจ้องหน้าปราณ “คุณเป็นใครมาจากไหน”
ปราณยิ้มเย็น พร้อมๆ กับชี้ไปที่กล่องรากบุญที่เจติยากอดไว้แน่น เจติยาก้มมองกล่องรากบุญในมือด้วยสีหน้างุนงง
นวัชกับพวกตำรวจเดินหลงทางอยู่ในสวน ทั้งหมดเดินจนเหนื่อยอ่อนแต่ก็ยังหาทางออกไม่ได้
“หมวดครับ เรามาผิดทางรึเปล่าครับ เดินมาตั้งนานแล้วยังไม่เห็นวี่แววกระท่อมเลย”
นวัชเครียด “ไม่ผิดหรอกจ่า ผมเช็คทางกับคุณลาภิณแล้ว จากจุดที่เราจอดรถ ไม่น่าจะเดินถึงสิบนาทีด้วยซ้ำ” นวัชมีสีหน้างงๆ อยู่เหมือนกัน
“แปลกๆ นะครับหมวด เจ้าของสวนก็เพิ่งตาย จะผีบังตารึเปล่าก็ไม่รู้” นายตำรวจคนหนึ่งชักกลัว“ไร้สาระน่า” นวัชหันไปพูดกับตำรวจคนอื่น “มือถือใครใช้ได้แล้วมั่ง”
พวกตำรวจหยิบมือถือตัวเองขึ้นมาดู แต่ก็ไม่มีใครมีสัญญาณสักคน
“ของผมยังไม่มีสัญญาณเลยครับ” ตำรวจคนหนึ่งตอบ
“ของผมก็ไม่มีครับ” ตำรวจอีกคนบอก
นวัชหงุดหงิด “เป็นบ้าอะไรวะเนี่ย” นึกขึ้นได้ หยิบมีดพกเล็กๆ ขึ้นมาทำรอยบากกับต้นไม้เป็นเครื่องหมายกันหลงทาง
เจติยายังคงพูดคุยกับปราณด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ไหนคุณบอกว่าคุณไม่ใช่วิญญาณไงล่ะ แล้วคุณจะอยู่กับกล่องรากบุญได้ยังไง” เจติยาถาม
“ฉันไม่ได้บอกว่าฉันอยู่กับกล่อง ฉันถือกำเนิดจากกล่องตะหาก ฉันกับกล่องรากบุญคือส่วนหนึ่งของกันและกัน “ ปราณสะแหยะยิ้ม
“นายเกิดจากกล่องได้ก็ไม่ใช่คนแน่ๆ ผีก็ไม่ใช่ วิญญาณก็ไม่ใช่ เป็นปิศาจรึไง” ลาภิณถาม
ปราณหัวเราะก้องแล้วจ้องหน้าลาภิณ “จะเรียกยังงั้นก็ได้”
พิสัยอึ้งไป เขาเหล่มองปราณแล้วก็ชักกลัว
“เป็นไปไม่ได้ ลุงทวีไม่เคยเล่าให้ฉันฟังเลย ว่ากล่องมีปิศาจอยู่ด้วย” เจติยาค้าน
ปราณขำดูถูก “ทวีก็ไม่ได้รู้เรื่องของฉันนักหรอก”
“แล้วทำไมแกต้องเลือกฉันเป็นเจ้าของกล่องคนต่อไปด้วย” พิสัยระแวง “คิดจะทำอะไรกันแน่”
ปราณตวาด “ถ้าแกอยากสบาย ทำตามที่ฉันสั่งก็พอ” ร่างของปราณเลื่อนไปประชิดพิสัยแล้วบีบคอ ”ไม่ต้องสู่รู้ให้มันมากนัก”
พิสัยมีสีหน้าหวาดกลัว ปราณผลักร่างพิสัยจนกระเด็นล้มไปกับพื้น พิสัยขยับตัวถอยห่างปราณด้วยความกลัว ลาภิณรีบลุกมาจับมือเจติยาเอาไว้ ปราณหันขวับมาถลึงตาเบิกโพลงสีแดงกล่ำใส่ทั้งคู่ทันที
นทีอาศัยจังหวะที่ทุกคนสนใจแต่เรื่องปราณแอบคลายเชือกที่มัดไว้ออกทีละน้อยๆ มยุรีสีหน้ากลัวปนลุ้นในขณะมองไปนอกกระท่อม แล้วเธอก็ค่อยๆ ขยับตัวพยายามจะบังไม่ให้คนเห็นว่านทีกำลังแก้มัดอยู่
เจติยากับลาภิณจับมือกันแน่นเพราะเริ่มกลัวปราณ
เจติยาคิดทบทวนก่อนถามต่อ “คุณบอกว่าคุณเกิดจากกล่องรากบุญ ถ้างั้นบอกได้มั้ย ว่ากล่องทำให้คุณเกิดขึ้นมาได้ยังไง”
“ถือว่าเป็นคำถามที่สอง” ปราณยิ้มพอใจ “กล่องรากบุญมอบทุกความปรารถนาให้กับเจ้าของตามเงื่อนไขของมัน มันจึงเป็นที่รวมกิเลสต่างๆของมนุษย์มานานนับร้อยปีแล้ว”
เจติยาและลาภิณแอบสบตากัน
“ผู้สร้างกล่องใบนี้ต้องการกระตุ้นให้มนุษย์” ปราณทำสีหน้าเหยียดหยาม “ที่มากด้วยกิเลส หันมาสร้างบุญเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตัว”
“เหมือนกับบังคับให้ทำบุญมากกว่า” เจติยาขัด
“เธอจะคิดยังงั้นก็ได้ แต่สิ่งที่ผู้สร้างกล่องต้องการคือผลต่อเนื่องหลังจากถูกบังคับต่างหาก”
“ผลต่อเนื่องยังไง” เจติยาถาม
“ความสุขหลังจากการทำบุญ ถ้าพวกเค้าสัมผัสความสุขนั้น ก็น่าจะทำบุญต่อเนื่องไปด้วยใจสมัคร” ปราณขำเยาะหยัน “แต่มันไม่เคยเป็นอย่างที่ผู้สร้างปรารถนาเลย” ปราณถอนหายใจส่ายหน้าด้วยสีหน้าสมเพช “มนุษย์มันโลภไม่รู้จักพอ สุดท้าย พวกมันก็ขอพรเพื่อสนองตัณหาของตัวเองเท่านั้น”
เจติยาทำมือไขว้กันเป็นสัญญาณขอเวลานอก “ขอถามนอกรอบได้มั้ย”
“เรื่องมากซะจริง ว่ามา”
“แล้วใครเป็นคนสร้างกล่องรากบุญ”
ลาภิณมองไปที่ปราณด้วยสีหน้าอยากรู้เช่นกัน
“ท่านมัจจุราช” ปราณตอบ
ลาภิณและเจติยามีสีหน้าตกใจมากเพราะไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง
ตำรวจแต่ละคนเดินจนหมดแรงต่างคนต่างเข่าอ่อนเพราะเดินเท่าไหร่ก็ไปไม่ถึงกระท่อมที่เป็นเป้าหมายเสียที นวัชใช้ไฟจากมือถือส่องดูรอยมีดที่ต้นไม้ซึ่งตัวเองทำไว้
นวัชเครียดหนักเพราะงงไปหมด “วนกลับมาที่เดิมจริงๆด้วย อะไรของมันวะเนี่ย”
นวัชมองไปรอบๆด้วยความหนักใจเพราะเป็นห่วงลาภิณและเจติยามาก แต่ก็ไม่รู้จะตามไปช่วยอย่างไร
ปราณเหยียดยิ้มด้วยความสมเพช “ท่านไม่อยากเห็นมนุษย์ตกนรกกันมาก จึงสร้างกล่องรากบุญขึ้นมา เพื่อชี้นำให้มนุษย์สร้างบุญกุศลกัน มันเป็นความเมตตาของท่านมัจจุราช แต่มนุษย์ช่างโง่เขลาที่มองไม่เห็นความปรารถนาดีนี้ พากันเดินลงสู่นรกมากขึ้นเรื่อยๆ” ปราณขำอย่างสมน้ำหน้า
ลาภิณเดินเข้ามาหาปราณ “แต่หลายคนก็ทำตามที่กล่องต้องการแล้วนี่”
ปราณยิ้มบางๆ “แต่มันเป็นส่วนน้อยมาก จนทำให้ท่านมัจจุราชผิดหวังเลยละความสนใจไปจากมัน ปล่อยให้มันเปลี่ยนมือไปตามยถากรรม”
“กล่องรากบุญเป็นพลังส่วนหนึ่งของท่านมัจจุราช แล้วคุณล่ะ” เจติยาถาม
“พลังของกล่องรากบุญ อยู่ต่อเนื่องได้ด้วยแรงเสริมจาก กิเลสของมนุษย์ที่มันซึมซับไว้ทุกครั้ง เมื่อมีคำขอจากเจ้าของกล่อง หลายร้อยปีที่ผ่านมาพลังกิเลสรวมตัวกันอยู่ในกล่องใบนี้ ไม่มีรูปร่างแน่นอน และมนุษย์ยากจะสัมผัสมันได้”
ลาภิณอึ้งไปครู่หนึ่งแล้วคิดตาม “นี่นายกำลังจะบอกว่า นายคือกิเลสของมนุษย์ที่มีรูปร่างอย่างงั้นเหรอ”
ปราณยิ้มพอใจ “ใช่ มนุษย์ทุกคนล้วนแล้วแต่มีกิเลสด้วยกันทั้งนั้น เพราะฉะนั้นไม่มีใครเอาชนะฉันได้หรอก” ปราณหันไปพูดกับเจติยา “คำถามสุดท้าย”
เจติยาหน้าเครียดอยู่ครู่นึง ก่อนจะยิ้มออกมาแบบถือไพ่เหนือกว่า “ในเมื่อคุณคือกิเลสของเจ้าของกล่องคนก่อนๆ ถ้างั้นคำถามข้อที่สาม ฉันขอถามคุณว่า... กล่องรากบุญสมควรที่จะมีอยู่ต่อไปรึเปล่า”
ทุกคนพากันอึ้งกับคำถามของเจติยาเพราะไม่มีใครคิดว่าเจติยาจะถามคำถามนี้ออกมา
นทีอาศัยช่วงที่ทุกคนกำลังสนใจปราณสลัดเชือกที่มัดข้อมือจนหลุดออกมาจนได้ นทีและมยุรีสบตากัน นทีคอยจับตาดูสถานการณ์แล้วขยับไปแกะมัดเชือกที่มัดมือมยุรีอย่างระวังที่สุด
ปราณจ้องหน้าเจติยา “ฉันเคยได้ยินมนุษย์ชอบพูดว่าตักบาตรอย่าถามพระ” ปราณยิ้มมุมปาก
“การสร้างบุญกุศลควรเกิดจากหัวใจที่อยากทำ แต่กล่องรากบุญมีเงื่อนไขแลกเปลี่ยนกับการทำบุญ มันเป็นการค้าบุญมากกว่า” เจติยาบอก
“ฉันเห็นด้วยกับเจ ถึงหลายคนจะได้อานิสงส์จากการทำบุญนั้นก็เถอะ แต่มันไม่ใช่เป็นการสร้างบุญอย่างแท้จริง”
พิสัยรำคาญ “จะเสียเวลาฟังพวกมันพล่ามอยู่ทำไม”
ปราณยกมือห้ามไม่ให้พิสัยพูด
“ตอนนี้กล่องรากบุญถูกพลังกิเลสครอบงำจนทำให้จุดประสงค์ดั้งเดิมถูกบิดเบือนไปแล้ว สิ่งที่ควรถูกกำจัดก่อนเป็นอันดับแรกคือพลังกิเลสในกล่อง ซึ่งก็คือตัวนาย” เจติยาว่า
“กำจัดพลังกิเลสงั้นเหรอะ” ปราณหัวเราะหยัน “กล่องรากบุญต้องมีอยู่บนโลกต่อไป เพื่อนำทางมนุษย์ให้ทำบุญมากขึ้น”
เจติยายิ้มสมเพช “นั่นเป็นคำตอบของนายคนเดียว”
“ปราณปรากฏขึ้นบนโลกมนุษย์ได้ ก็เพื่อปกป้องการคงอยู่ของกล่องรากบุญเอาไว้” ปราณบอก
“นายแบกบาปไว้ แล้วละทิ้งเป้าหมายแท้จริงของผู้สร้างกล่องรากบุญต่างหาก”
ปราณจ้องตาเจติยาด้วยสายตาดุดันแล้วพูดเสียงขึงขัง “แกจะขัดขวางเป้าหมายของท่านมัจจุราชด้วยการทำลายกล่อง ฉันมีหน้าที่พิทักษ์กล่องรากบุญ”
“พลังกิเลสอย่างคุณนั่นแหละที่เป็นตัวทำลายกล่อง”
ปราณตวาดสวนทันที “ไม่จริง ตอนนี้เธอถามครบสามข้อแล้ว ถ้าไม่บอกสละกล่องรากบุญเดี๋ยวนี้ ฉันจะฆ่าคนรอบข้างเธอทีละคน เริ่มจากไอ้นี่ก่อนก็แล้วกัน”
ทันใดนั้น ปราณก็ใช้พลังจิตบีบคอลาภิณจนลาภิณหายใจไม่ออก สองเท้าของลาภิณลอยขึ้นมาพ้นพื้น
เจติยาตกใจ ขณะที่พิสัยสะใจมาก
“ลาก่อนไอ้ต้น” พิสัยขำชอบใจ
ลาภิณมีท่าทางกระเสือกกระสนเพราะกำลังขาดอากาศ ทันใดนั้น ก็มีแสงสว่างสีขาววูบขึ้นรอบตัวลาภิณ ก่อนที่ลาภิณจะร่วงลงสู้พื้นพร้อมกับไอโขลก แล้วอำนาจทั้งหมดของปราณสูญสลายไป
ปราณตกใจสุดๆ แล้วหันไปมองเจติยา “เธอทำอะไรของเธอ”
รากบุญ ตอนที่ 13 (ต่อ)
เจติยายิ้มแบบคนถือไพ่เหนือกว่า “ฉันก็สะกดพลังของนายไม่ให้ทำร้ายใครได้อีกน่ะสิ ที่ฉันถามนายสองข้อแรก ก็เพื่อจะยืนยันสิ่งที่ฉันคิด เมื่อฉันแน่ใจแล้วว่านายเป็นส่วนหนึ่งของกล่องรากบุญ ฉันในฐานะของเจ้าของกล่อง ก็ต้องมีอำนาจควบคุมนายได้เหมือนกัน”
ปราณมีสีหน้าโกรธแค้นอย่างที่สุด
ปราณขบกรามแน่นด้วยความเจ็บใจที่เสียท่าให้เจติยา เขาหันไปพูดกับพิสัย “ยิงมันสิ ยืนเฉยอยู่ทำไม ตอนนี้ฉันขยับตัวไม่ได้แล้ว มีแต่แกเท่านั้นที่จะจัดการกับมันได้”
พิสัยเล็งปืนไปที่เจติยา ลาภิณรีบไปขวางหน้าเจติยาทันที ทันใดนั้นนทีที่รอโอกาสอยู่ก็พุ่งเข้ามากระแทกพิสัยจนปืนหลุดกระเด็นไป
นวัชกับตำรวจยังหาทางออกไม่เจอ ทั้งหมดยังคงเดินหลงทางอยู่ แต่เมื่ออำนาจของปราณสูญสิ้น บรรยากาศโดยรอบก็เปลี่ยน
ตำรวจนายหนึ่งเหลือบไปเห็นแสงไฟจากกระท่อม “หมวดครับ กระท่อมอยู่ทางนั้นครับ” นวัชรีบนำพวกตำรวจไปทันที
พิสัยกับนทีชกต่อยกัน แต่พิสัยเป็นมวยกว่าจึงต่อยนทีจนล้มคว่ำแล้วถีบนทีจนกระเด็นไป พิสัยจะเข้าไปซ้ำ แต่ลาภิณเข้ามาเตะพิสัยก่อนแล้วตามเข้าไปชกซ้ำทันที มยุรีรีบวิ่งเข้ามาดูแลนที เจติยามองทั้งคู่สู้กันด้วยความเป็นห่วง พอขยับจะเข้าไปช่วย ปราณก็ขยับตัวตามทันที
เจติยาเหลือบเห็นปราณขยับตัวก็รีบบอก “หยุดนะ”
ปราณหยุดชะงักตามคำพูดของเจติยาแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์ “เธอยังควบคุมฉันได้ไม่สมบูรณ์หรอกเจติยา เพราะเธอมีเวลาอยู่กับกล่องน้อยเกินไป แล้วที่สำคัญ ถึงเธอจะหยุดฉันได้ แต่ก็ทำลายฉันไม่ได้หรอก เพราะเธอยังไม่ได้เหรียญดาวทุกข์ดวงที่สาม”
เจติยาได้แต่รวบรวมสมาธิไม่ให้ปราณเป็นอิสระ โดยไม่สามารถไปช่วยลาภิณได้ ลาภิณเล่นงานพิสัยจนอ่วม พิสัยโดนชกไปหลายหมัดจนเลือดกบปาก ก่อนจะโดนลาภิณเตะจนล้มคว่ำไปกับพื้น พิสัยเหลือบไปเห็นปืนของตัวเองที่ตกอยู่ที่พื้น ลาภิณตกใจจะเข้าไปแย่ง แต่ก็ไม่ทัน พิสัยรีบหยิบปืนขึ้นมา
พิสัยยิ้มเหี้ยม “เสร็จกูล่ะไอ้ต้น”
พิสัยกำลังจะลั่นไก ทันใดนั้นวิญญาณของปริมก็ปรากฏขึ้นขวางหน้าปืนและเผชิญหน้ากับพิสัย ระยะประชิดแบบไม่ให้เขาได้ทันตั้งตัว พิสัยตกใจสุดขีดจนร้องลั่น
ปริมอาฆาตพยาบาทสุดๆ “มึงบีบกู จนกูต้องฆ่าตัวตาย” ปริมตะโกนลั่น “มึงต้องชดใช้ ไอ้ฆาตกร”
พิสัยกลัวสุดขีดจึงกระโดดไปหลบหลังปราณ
ปราณตวาดปริมลั่น “ไสหัวไป ไม่ใช่เรื่องของแก”
ปริมหันมาจ้องหน้าปราณแล้วยิ้มเย้ยหยัน ก่อนหันไปพูดกับเจติยา “เจติยา ฉันขอให้เธอทำลายกล่องรากบุญ...เดี๋ยวนี้”
สิ้นคำขอของปริม ดวงตาของรูปแกะสลักยักษ์บนกล่องก็เปล่งแสงสีแดงฉาน พร้อมกับได้ยินเสียงคำรามกึกก้องก่อนที่บนปากยักษ์จะปรากฏเหรียญดาวทุกข์อันที่สามขึ้นมา
เจติยาดีใจสุดๆ “เหรียญที่สาม” เจติยารีบหยิบเหรียญติดลงบนกล่องทันที
ปราณกลัวสุดขีดจึงร้องสุดเสียง “อย่า”
“กล่องรากบุญ ฉันขอพรให้แกสูญสลายไปเดี๋ยวนี้” เจติยาร้องขอ
สิ้นคำของเจติยาก็เกิดลมพัดแรงกล้า กล่องรากบุญเปล่งแสงสว่างไปทั่วบริเวณ ฝากล่องเปิดออก พร้อมกับแสงสว่างพุ่งวาบขึ้นเหมือนทุกครั้งที่ขอพร แล้วกล่องรากบุญก็ค่อยๆ เสื่อมสลายเป็นผุยผงไปตามคำขอของเจติยาแล้วปลิวไปกับแรงลม
ไฟลุกไหม้ไปทั่วตัวปราณ ปราณร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดจนถึงขีดสุดแล้วปราณก็สลายไปพร้อมๆกับกล่องรากบุญทุกอย่างคืนสู่ความสงบเหมือนเดิม พิสัยตกใจจนตาเหลือก ปริมจ้องพิสัยแล้วหัวเราะสะใจก่อนจะค่อยๆเลือนหายไป
ระหว่างที่เกิดความโกลาหล เสียงปืนก็ดังเปรี้ยงขึ้นมา ทุกคนมองไปตามวิถีการเล็งของปืนของพิสัย เจติยาค่อยๆก้มลงมองที่หน้าอกตัวเอง หน้าอกของเธอแดงฉานไปด้วยเลือดสดๆ จากการถูกยิง เจติยาค่อยๆทรุดลงกับพื้นก่อนจะสิ้นสติไป
มยุรีตกใจสุดขีด “เจ”
นทีร้องเรียกเสียงดัง “พี่เจ”
พิสัยคลั่ง “ตายซะเถอะพวกมึง”
พิสัยยิงใส่ลาภิณ มยุรี และนที ทั้งสามคนรีบหาที่กำบังใกล้ตัว ทันใดนั้น พิสัยก็ถูกยิงเข้าที่หัวไหล่จนทรุดลงและปืนหลุดจากมือ นวัชที่เป็นคนยิงพิสัยรีบนำตำรวจเข้ามาควบคุมสถานการณ์ทันที ตำรวจเข้าจับกุมพิสัยเอาไว้ได้สำเร็จ ลาภิณ มยุรี และนที รีบวิ่งเข้าไปดูอาการเจติยาทันที
ลาภิณเป็นห่วงสุดๆ “เจ ได้ยินฉันรึเปล่า เจ”
เจติยาหน้าซีดเผือดเพราะหมดสติไปแล้ว
เจติยาเดินอยู่คนเดียวท่ามกลางสถานที่เวิ้งว้าง มืดมิด มองอะไรไม่เห็นนอกจากความมืดรอบตัว เจติยามองไปรอบๆแต่ก็ไม่เห็นอะไรเลย ทันใดนั้นเธอก็ได้ยินเสียงผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้น
“ในที่สุด เราก็ได้เจอกันจนได้”
เจติยาตกใจจึงหันมองไปรอบตัว
อึดใจเดียวแสงสีขาวก็สว่างส่องมาที่เจติยา เธอรู้สึกแสบตาทันทีพอหันมองรอบตัวก็พบว่าตัวเองอยู่ในความมืดมิดที่มีแสงสว่างเฉพาะบริเวณตัวเธอ
เจติยางง เธอก้มมองหน้าอกตัวเอง เลือดสีแดงที่เปื้อนเสื้อจากการถูกยิงค่อยๆ ถูกดูดซึมเข้าร่างกายจนหายไปเป็นปกติเหมือนไม่เคยถูกยิงมาก่อน เสียงเดินของใครสักคนก้าวเข้ามาหาเจติยา ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เจติยาหันมองไปรอบตัวด้วยความหวาดกลัว
ทันใดนั้นไฟก็สว่างบริเวณชายร่างสูงในชุดสีดำ ชายชุดดำยืนเผชิญหน้ากับเจติยาพร้อมกับยิ้มขรึม เจติยามีสีหน้างงปนกลัว
ชายคนนั้นคือมัจจุราช มัจจุราชกล่าวน้ำเสียงทุ้มกังวาน ดวงตาของเขามองเจติยาอย่างมีเมตตา “ยินดีต้อนรับ เจติยา”
“คุณเป็นใคร ฉันอยู่ที่ไหน ที่นี่ไม่ใช่โรงพยาบาลแน่ๆ” เจติยามองไปรอบๆ
“นี่เป็นห้องรับแขกของนรก”
เจติยาตกใจมาก “นรก”
พยาบาลเข็นร่างของเจติยาเข้าห้องผ่าตัดด้วยความเร่งรีบ โดยมีลาภิณ มยุรี และนที เดินตามมาด้วยความเป็นห่วง
เจติยากวาดตามองไปรอบๆ ด้วยความกลัวแต่ก็เห็นเพียงความมืดมิด มีแสงสว่างแค่ตัวเธอกับชายชุดดำตรงหน้า
“นรกไม่ใช่แบบนี้”
“นรกควรเป็นอย่างไรล่ะ” มัจจุราชถามกลับ
“มันน่าจะมีคน.....เอ๊ย.....พวกเทพอย่างที่เรียกกันว่ามัจจุราชหรือยมบาลอะไรแบบนี้ ทำไมมีแต่ความมืด” เจติยามองไปที่ชายชุดดำ “แล้วเครื่องแต่งกายของคุณก็ไม่เหมือนที่เคยเห็นในหนัง”
“มันเป็นนรกในความคิดของมนุษย์ต่างหาก ของจริงคือความมืดและความว่างเปล่า เราอยู่นรกมานานแล้ว นี่คือนรกของจริง”
เจติยาอึ้งเล็กน้อยแล้วใช้ความคิด “อยู่มานานแล้ว”
“เจ้าคงอยากรู้ว่าเราเป็นใครใช่ไหม”
“แน่นอนค่ะ”
“เราคือ ผู้สร้างกล่องรากบุญที่เจ้าเพิ่งทำลายมันไป”
เจติยาตกใจมาก “ท่านมัจจุราช”
มัจจุราชพยักหน้ารับ “ใช่ เราคือ มัจจุราช”
“ท่านดูเป็นคนธรรมดาเหมือนพวกเรา”
มัจจุราชยิ้มเยือกเย็น “กายหยาบนี้สร้างขึ้นเพื่อให้การสนทนาของเรายาวนาน เจ้าไม่ต้องตกใจจนเป็นลมไปเสียก่อน เจ้าเป็นแขกคนแรกของเรา”
เจติยาคิด “ถ้าฉันเจอมัจจุราช ก็หมายความว่า ฉันตายแล้วสิ” เจติยามีสีหน้าตกใจ แล้วก็ร้องไห้โฮออกมา “ฉันตายแล้วเหรอ ฉันยังไม่อยากตาย”
หมอและพยาบาลกำลังช่วยกันผ่าตัดเจติยาเพื่อยื้อชีวิตกลับมาให้ได้ มอนิเตอร์แสดงสัญญาณชีพของเจติยาบ่งบอกอาการที่แย่ลงทุกที เจติยาสลบสไลไม่ได้สติอยู่ในอาการโคม่า
“เจ้ามาที่นี่พร้อมกับกล่องรากบุญของเรา มันเป็นความตั้งใจแต่แรก ที่ยอมเสี่ยงตายเพื่อทำลายมันมิใช่หรือ” มัจจุราชถาม
“ฉันคิดล่วงหน้าแบบนั้นไว้ก็จริง แต่ก็ไม่ได้อยากตายนักหรอกค่ะ” เจติยาเช็ดน้ำตา แล้วสะอื้นเป็นระยะๆ
“แรงปรารถนาของมนุษย์คือรากเหง้าของปราณ เขากำเนิดขึ้นจากกิเลสและถูกมันครอบงำจึงแปรเปลี่ยนไป เจ้าเป็นคนฉลาดมาก” มัจจุราชมองเจติยาด้วยความชื่นชม
“ถ้าท่านไม่ทิ้งกล่องใบนั้นไว้บนโลก ปราณก็ไม่ต้องฆ่าฉันเพื่อปกป้องตัวเอง”
มัจจุราชยิ้ม “เราผิดงั้นสิ”
เจติยาพยักหน้ายืนยัน “แน่นอนค่ะ เงื่อนไขของกล่องใบนั้นคือ กระตุ้นให้เจ้าของกล่อง สร้างบุญตามคำขอจากผู้ที่เดือดร้อนเพื่อสะสมบุญกุศล แต่ฉันไม่ชอบที่มี.......” เจติยาหยุดพูดไปอย่างลังเล
“พูดต่อไปสิ ตอนนี้เจ้าอยู่ในห้องรับแขกของนรกแล้ว เราไม่ทำร้ายแขกของเราหรอก” มัจจุราชยิ้มขรึม
“ปราณบอกว่า ท่านหวังดีจะลดจำนวนคนบาปในนรก จึงใช้กุศโลบายนี้ แต่ในทางตรงข้ามมันเป็นการสร้างนิสัยไม่ดีให้มนุษย์ซะมากกว่า การทำบุญควรทำจากหัวใจ ไม่ใช่ทำเพื่อเอาของแลกเปลี่ยน ที่ท่านทำมันเป็นการค้าบุญตะหาก”
“ค้าบุญงั้นเหรอ”
“ค่ะ เงื่อนไขของกล่องใบนั้นคือ ต้องทำงานตามคำขอ แล้วจะได้สิ่งที่ตนปรารถนา มันไม่ต่างจากการค้าขายเลย ถึงจะมีคนที่สามรับผลพลอยได้ไปก็เถอะ มันผิดหลักความเชื่อของฉัน”
“เจ้าเองก็เคยได้สิ่งที่ปรารถนาจากกล่องรากบุญมิใช่หรือ”
เจติยามีสีหน้าเศร้าๆ ก่อนจะพยักหน้ารับ “ค่ะ ชีวิตของแม่อยู่รอดถึงวันนี้ได้ก็เพราะอำนาจของกล่อง แต่ฉันรู้สึกกดดัน ไม่มีความสุขเลยสักวันเมื่อต้องทำสิ่งที่เรียกว่าสร้างบุญ... ตั้งแต่เด็กฉันได้รับคำสอนว่าการทำบุญจะช่วยให้จิตใจแจ่มใสและมีความสุข แต่ฉันไม่เคยสัมผัสความสุขหลังจากเป็นเจ้าของกล่องรากบุญเลย มันเกิดจากความไม่เต็มใจ ไม่มีจิตสำนึกว่าควรทำบุญ ฉันถูกบังคับให้ทำบุญเพื่อแลกกับชีวิตของแม่”
“เจ้าไม่อยากให้คนอื่นต้องมีทุกข์เช่นเดียวกับเจ้า จึงคิดใช้คำขอครั้งนี้เพื่อทำลายกล่องรากบุญงั้นสิ”
“ค่ะ แล้วฉันก็กลัวกล่องจะต้องตกไปอยู่ในมือคนจิตใจไม่ดีแบบนายพิสัยด้วย”
“เหตุใดจึงเลือกใช้วิธีนี้ล่ะ”
“ไม่มีใครรู้วิธีทำลายมัน แล้วพลังกิเลสก็ดึงดูดใจคนให้ปกป้องมันไว้ ฉันเลยคิดว่าต้องให้มันทำลายตัวมันเองเท่านั้น”
“ช่างคิดดี” มัจจุราชชม
“ท่านไม่โกรธที่ฉันทำลายกล่องของท่านเหรอคะ”
“ทำไมต้องโกรธล่ะ” มัจจุราชหัวเราะในลำคอก่อนจะส่ายหน้า “เราดีใจที่กล่องถูกทำลาย โดยเฉพาะทำโดยเจ้าของกล่อง เพราะมันบอกชัดว่าเจ้าของมีปัญญาอันชาญฉลาดและมีสติ เจ้าเข้าใจและรู้ซึ้งในความปรารถนาของเราอย่างแท้จริง เรารอคอยพบคนแบบนี้มานานหลายร้อยปีแล้ว”
เจติยามีสีหน้างงๆ
“อดีตที่ผ่านมากล่องถูกใช้เพื่อตอบสนองความปรารถนาด้านกิเลสของคนเป็นส่วนใหญ่ เราผิดหวังที่พวกเขาไม่สนใจความสุขที่ได้จากการสร้างบุญกุศลเหล่านั้นเลย แต่สัมผัสเพียงเปลือกนอกของกล่องเท่านั้น เราจึงละทิ้งมันไว้บนโลก และลืมเลือนมันไป จนกระทั่ง” มัจจุราชถอนใจหนัก “พลังกิเลสที่สะสมในกล่องรวมตัวกันสร้างปราณขึ้นมา เราจึงจดจำกล่องใบนั้นได้อีกครั้งว่า เราทิ้งปัญหาไว้ที่โลกมนุษย์”
“ทำไมท่านไม่เอามันกลับมาล่ะคะ”
“เราเป็นคนสร้างเงื่อนไขว่า กล่องต้องมีเจ้าของคนเดียว เราย่อมละเมิดกติกานี้ไม่ได้เช่นกัน”
“ท่านบอกฉันก็ได้นี่นา ฉันอาจจะไม่ต้องตายแบบนี้ก็ได้”
“เราไม่ได้รับสิทธิ์ติดต่อกับมนุษย์คนใด นอกจากคนตาย”
เจติยามีสีหน้าเศร้าสร้อย “นี่ตกลงฉันตายแล้วจริงๆ ใช่มั้ยคะ”
มอนิเตอร์แสดงสัญญาณชีพของเจติยาแสดงสัญญาณว่าชีพจรหยุดเต้นแล้ว ทุกคนในห้องผ่าตัดตกใจมากรีบกู้ชีวิตเจติยากลับคืนมาอย่างโกลาหล เจติยานอนนิ่งไม่ได้สติ ใบหน้าซีดเผือด พร้อมจะจากไปได้ตลอดเวลา
“ความตายคือ ความสงบ ละทิ้งภาระทุกอย่างที่เคยเป็นของเจ้า มันไม่ดีตรงไหน” มัจจุราชถามกลับ
“ฉันเข้าใจหลักธรรมะเรื่องความตาย แต่ทำใจไม่ได้ เมื่อฉันทำความดีด้วยการกำจัดปราณและกล่องรากบุญไม่ให้บิดเบือนความปรารถนาของท่านต่อไป ฉันกลับต้องตาย มันไม่ยุติธรรมเลย”
“ทำไมจึงอยากอยู่บนโลกต่อไปล่ะ บางทีเจ้าอาจมีความสุขอยู่บนสวรรค์ก็ได้”
“ฉันยังมีห่วงกรรมอยู่กับแม่และน้องชาย ฉันไม่อยากทิ้งพวกเค้าเค้าอ่อนแอเกินไป”
มัจจุราชยิ้ม “ที่เจ้ามาอยู่ในห้องรับแขกของนรกได้ ก็เพราะเราต้องการให้รางวัลที่เจ้าช่วยสะสางสิ่งตกค้างแทนเรา”
เจติยาเบ้ปากเล็กน้อย “ฉันตายแล้วจะเอารางวัลไปทำอะไรล่ะคะ”
“เราดึงวิญญาณของเจ้ามาคุยกันเท่านั้น เมื่ออาทิตย์ทอแสงเช้าและเจ้ายังไม่กลับคืนร่าง เจ้าจึงตายอย่างแท้จริง”
เจติยาดีใจมาก “นี่ฉันยังมีโอกาสรอดชีวิตอยู่เหรอคะ”
มัจจุราชยิ้มเย็น “เราไม่เคยบอกว่า เจ้าตาย”
“แต่ท่านบอกว่าติดต่อกับคนตายเท่านั้น ทำไมท่านจึงคุยกับฉันได้”
มัจจุราชสะบัดมือวาดเป็นช่องวงกลม แล้วช่องว่างสีขาวก็ปรากฏขึ้นเป็นภาพหมอกับพยาบาลกำลังช่วยกันยื้อลมหายใจของเจติยาบนเตียงอย่างอลหม่าน เจติยามองดูด้วยสีหน้าตกใจ
“หัวใจของเจ้าหยุดเต้นเป็นระยะๆ พวกเขากำลังช่วยชีวิตของเจ้า ช่วงแห่งความเป็นและความตายจึงเป็นเวลาที่เราจะคุยกันได้ มันไม่ยาวนานนัก”
เจติยาเริ่มมีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง เธอยิ้มกว้าง “ฉันมีชีวิตต่อไปได้ใช่ไหม”
“เราชื่นชมสิ่งที่เจ้าทำอย่างมาก เราต้องการมอบรางวัลที่เจ้าทำลายกล่องรากบุญและเข้าใจความปรารถนาของเราได้อย่างถ่องแท้ที่สุด”
“ฉันขอได้ทุกอย่างเลยเหรอคะ”
“ได้ทุกอย่าง เวลาระหว่างเราใกล้จะหมดแล้วเจ้าจะขออะไรเจติยา”
เจติยาคิดหนัก “ฉันต้องการมีชีวิตอยู่ต่อไป และมีพลังล่วงรู้นาทีสุดท้ายของคนตายที่ต้องการให้ช่วยคลายทุกข์ โดยปราศจากเงื่อนไขของท่านอีก”
“ทำไมจึงขอเช่นนี้ล่ะ ทั้งที่เจ้าเคยบอกว่าพลังการล่วงรู้สร้างทุกข์แก่เจ้าไม่ใช่หรือ”
“ฉันเต็มใจช่วยคนตายที่ต้องการความช่วยเหลือ คนตายเพียงอยากให้บอกความจริงแก่คนอื่นล่วงรู้อย่างถูกต้องเท่านั้น ไม่ใช่ขอให้ฟื้นคืนชีพ ฉันพอมีสติปัญญาที่จะช่วยพวกเขาได้”
“เจ้าจะทำบุญตามแบบฉบับของตัวเอง”
“ค่ะ ฉันมีความสุขหลังจากเปิดโปงเบื้องหลังความตาย และมองเห็นเส้นทางบุญของตัวเองชัดเจน”
มัจจุราชยิ้มชื่นชม “เจ้าจะได้ชีวิตตามเวลาใหม่ซึ่งพรหมลิขิตกำหนดขึ้นจากบาปบุญของเจ้าที่ผ่านมา ส่วนพลังวิเศษที่เจ้าขอ จะเป็นของเจ้าอย่างปราศจากเงื่อนไขและติดตัวของเจ้าไปจนหมดลมหายใจ ไม่มีการสืบทอดเด็ดขาด”
เจติยายิ้มดีใจ “ขอบคุณค่ะ”
“เราเชื่อในปัญญาและความสามารถของเจ้า”
รากบุญ ตอนที่ 13 (ต่อ)
ทันใดนั้นแสงไฟสว่างที่สาดส่องมัจจุราชอยู่ก็ดับมืดลง เจติยากวาดตามองไปรอบๆ ด้วยความตกใจ
เสียงมัจจุราชก้องกังวาน “บุญหรือบาปกำหนดด้วยมือของเจ้า จำไว้นะเจติยา”
ลมวูบใหญ่กระแทกเจติยาลอยลิ่วไปด้านหลัง ความมืดเข้าครอบคลุมร่างที่ลอยเคว้งทันที ลำแสงสว่างที่เคยส่องเจติยาดับมืดไป
เจติยานอนแน่นิ่งบนเตียงผ่าตัด มอนิเตอร์สัญญาณชีพจรของเจติยาหยุดนิ่ง พยาบาลสบตากันด้วยท่าทางซึมๆ หมอถอนใจออกมาพร้อมถอดถุงมือทิ้งถังขยะ
ลาภิณ มยุรี และ นที นั่งรอฟังผลที่หน้าห้องผ่าตัด ทุกคนต่างมีสีหน้าเคร่งเครียดเพราะเป็นห่วงเจติยา
“คุณน้าหิวอะไรมั้ยครับ เดี๋ยวผมไปหาซื้อมาให้” ลาภิณถาม
“น้าทานอะไรไม่ลงหรอกค่ะคุณ” มยุรีบอก
“แม่ยังไม่ได้ทานอะไรทั้งวันเลยนะครับ” นทีท้วง
มยุรีน้ำตาคลอมองนที แล้วยกมือขึ้นลูบผมด้วยความรักและเป็นห่วง “เราหิวก็ไปกินก่อนเถอะ”
ลาภิณมองดูสองแม่ลูกแล้วก็อดซึมเพราะคิดถึงแม่ตัวเองขึ้นมาไม่ได้ วิญญาณของชูจิตค่อยๆ ปรากฏขึ้นพร้อมกับเลื่อนมือบางใสของเธอลูบผมลาภิณด้วยความรักและคิดถึงลูกชายแต่ก็กลับมาหาไม่ได้แล้ว
ทันใดนั้นหมอก็เดินออกมาจากห้องผ่าตัดพอดี ทุกคนลุกไปหาหมออย่างรวดเร็ว วิญญาณชูจิตมองตามไปด้วยความเป็นห่วงเจติยาเช่นกัน
“คนไข้มาถึงโรงพยาบาลช้าไป หมอเสียใจด้วยนะครับ” หมอบอก
มยุรีร้องไห้โฮออกมา นทีน้ำตาคลอพร้อมกับจับมือแม่เอาไว้แน่น ลาภิณนิ่งอึ้งเพราะช็อคไปชั่วขณะ วิญญาณชูจิตมีสีหน้าเศร้าเสียใจ
“โธ่ หนูเจ”
เสียงเจติยาดังขึ้นที่ด้านหลังชูจิต “คะคุณท่าน”
ชูจิตตกใจหันมองไปด้านหลัง เห็นวิญญาณเจติยายืนงงๆ อยู่ด้านหลังของเธอ
“หนูเจ หนูตายแล้วจริงๆ เหรอ”
เจติยายังงงๆ “สงสัยเจจะกลับมาช้าเกินไป”
เจติยายังเหวอๆ งงๆ เธอมองเลยไปทางห้องผ่าตัด พยาบาลเข็นเตียงที่มีร่างเจติยานอนหลับตานิ่งบนเตียงออกมา
มยุรีร้องไห้โฮออกมาทันทีที่เห็นหน้าลูกสาว “เจ...” มยุรีเข้าไปกอดศพเจติยาแล้วร้องไห้
นทียกมือขึ้นปาดน้ำตาแล้วเดินไปจับมือเจติยา
นทีต่อว่าทั้งที่ตาแดง “พี่เจใจร้าย ทิ้งกันไปยังงี้ได้ยังไง” นทียกมือขึ้นปาดน้ำตาไม่ให้ไหล
หมอพูดด้วยสีหน้าเสียใจ “หมอขอตัวก่อนนะครับ” หมอเดินเลี่ยงไป
พยาบาลยืนรออยู่ห่างๆ วิญญาณเจติยาค่อยๆ เดินมาดูร่างตัวเองที่ปลายเตียง
ลาภิณพยายามสะกดอารมณ์ก่อนจะบอกมยุรี “บริษัทผมจะดูแลเรื่องจัดงานให้เจทุกอย่างนะครับคุณน้า”
มยุรีหันมองลาภิณน้ำตาคลอแล้วฟูมฟายทั้งน้ำตา “แล้วใครจะแต่งศพให้เจล่ะคะ น้าหวังว่าเจจะเป็นคนแต่งหน้าศพน้าตอนตาย ทำไมเป็นแบบนี้ไปได้ เจเป็นเด็กดี ทำไมไม่มีปาฏิหาริย์อะไรมั่งเลย” มยุรีหน้ามืดจะเป็นลม
นทีตกใจ “แม่” นทีรีบไปประคองมยุรี
“พาแม่ไปนั่งพักก่อนเถอะนที” ลาภิณเสนอ
นทีประคองแม่ไปนั่ง ก่อนจะพัด แล้วเอายาดมให้ดม พยาบาลเข้ามาจะคลุมผ้าปิดหน้าเจติยา วิญญาณเจติยาเดินมาดูร่างตัวเองข้างๆ พยาบาล
ลาภิณห้ามพยาบาลเอาไว้ “เดี๋ยวก่อนครับ”
พยาบาลยิ้มบางๆ ให้ แล้วถอยห่างออกไป วิญญาณเจติยาจับตามองลาภิณตลอดเวลาด้วยน้ำตาคลอขึ้นมา ลาภิณเข้ามามองหน้าเจติยาเพื่อสั่งลาเป็นครั้งสุดท้าย ลาภิณจับมือเจติยาเอาไว้แล้วมองหน้าเจติยานิ่ง
ลาภิณน้ำตารื้นขึ้นมา “ฉันมันไม่เอาไหนเลย ไม่มีปัญญาช่วยอะไรเธอได้ซักอย่าง เธอช่วยชีวิตฉันไว้ไม่รู้กี่ครั้ง แต่ฉันมันไม่ได้เรื่องเลย” ลาภิณลำคอตีบตัน เสียงสั่นเครือ “เธอควรปล่อยให้ฉันตายไปตั้งนานแล้ว ฉันจะได้ไม่ต้องรู้สึกแย่ขนาดนี้” ลาภิณน้ำตาไหลออกมา
วิญญาณเจติยามองหน้าลาภิณแล้วน้ำตาก็ไหลตามออกมาเช่นกัน
“ฉันเสียใจ ให้อภัยฉันด้วยนะเจ” ลาภิณเลื่อนมืออีกข้างแตะแก้มเจติยาแล้วลูบไล้เบาๆ สั่งลาเป็นครั้งสุดท้าย
ศพเจติยาค่อยๆ มีน้ำตาไหลออกมา ลาภิณชะงักไป เขาค่อยๆ เลื่อนมือไปแตะน้ำตาศพ
ลาภิณงงและมีความหวัง เขารีบบอกพยาบาล “ทำไมมีน้ำตาไหลออกมาได้ล่ะครับคุณพยาบาล”
พยาบาลเดินเข้ามาดู ทันใดนั้นวิญญาณของเจติยาก็มีอาการพลิ้วไหว ก่อนจะถูกดูดกลับเข้าร่างตัวเองทันที วิญญาณชูจิตมีสีหน้าตกใจปนประหลาดใจ เจติยาค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาช้าๆ
ลาภิณดีใจมาก “เจ”
นทีและมยุรีตกใจหันไปมอง
เจติยาถามเสียงเพลีย “ฉันอยู่ไหน”
ลาภิณดีใจมาก “เจฟื้นแล้ว”
นทีและมยุรีรีบลุกมาดู
พยาบาลตื่นเต้นรีบบอกเพื่อนพยาบาล “เธอรีบไปตามหมอเร็วเข้าขอโทษนะคะ”
พยาบาลรีบเข็นเจติยากลับเข้าห้องผ่าตัดไป
มยุรีร้องไห้ “เจ..”
เจติยามองตามมาที่ทุกคนก่อนจะยิ้มบางๆ ออกมาอย่างดีใจที่ได้กลับมาเจอทุกคนอีก
นทีดีใจมาก “พี่เจไม่ตายแล้วแม่” นทีร้องไห้โฮออกมาแล้วกอดมยุรีไว้แน่น
มยุรีร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจ ลาภิณสวมกอดสองแม่ลูกไว้อีกชั้น ทุกคนกลั้นน้ำตาแห่งความดีใจไว้ไม่อยู่ วิญญาณชูจิตยิ้มแย้มออกมาอย่างสบายใจเพราะหมดห่วงแล้ว
ณ โรงพยาบาลตอนเช้าวันหนึ่ง ลาภิณกำลังเข็นรถให้เจติยานั่ง เช่นเดียวกับโอ้เอ้ที่เข็นรถให้ทวีนั่งมาตามทางเดินในโรงพยาบาล
ทวียิ้มแย้มอย่างอารมณ์ดี “ลุงก็นึกไม่ถึงเหมือนกันว่าตื่นขึ้นมาจะหายเป็นปกติได้ คิดว่าต้องนอนแห้งตายคาเตียงไปซะแล้ว”
“ปาฏิหาริย์ไงครับลุง” ลาภิณบอก
เจติยาเหลือบตามองลาภิณแล้วยิ้มให้กัน
“ถ้ากล่องรากบุญยังอยู่ ลุงจะไม่สงสัยเลย” ทวีบอก
“กล่องอะไรลุง” โอ้เอ้งง
“ไม่ใช่เรื่องของเอ็งหรอกน่ะ เอ้าๆ เลี้ยวซิ คุณหมอรออยู่” ทวีหันมามองลาภิณและเจติยา “ลุงไปพบหมอก่อนนะ”
โอ้เอ้แกล้งเข็นเร็วแล้วตีโค้ง
ทวีด่าเสียงดัง “ไอ้โอ้เอ้ เดี๋ยวข้าก็หัวทิ่มตายหรอก ไอ้เจ้านี่นี่”
ลาภิณและเจติยาขำๆ พร้อมกับมองตามไป
“เธอว่าทำไมลุงถึงได้หาย” ลาภิณถามขึ้น
“เพราะปราณสลายไปแล้วไงคะ ลุงป่วยเพราะฤทธิ์ของปราณไม่ใช่เพราะสุขภาพไม่ดี”
ลาภิณเข็นเจติยามาถึงสวนหย่อมของโรงพยาบาล ลาภิณเดินมานั่งคุยด้วย
“เธอบอกว่าเธอได้พรจากมัจจุราชให้มองเห็นคนตายได้ใช่มั้ย”
“ค่ะ”
“งั้นตอนนี้เธอเห็นคุณแม่รึเปล่า”
เจติยามองไปที่ด้านหลังลาภิณแล้วยิ้มบางๆ “คุณท่านอยู่กับคุณเสมอค่ะ”
ลาภิณยิ้มดีใจพร้อมกับหันไปมอง แต่มองไม่เห็น
“แม่อยู่ไหน ฉันไม่เห็น”
“ตรงต้นไม้นั่นล่ะค่ะ”
วิญญาณชูจิตปรากฏตัวขึ้นแล้วยิ้มให้เจติยา ลาภิณเดินเข้าไปหาก่อนจะหันไปถามเจติยา
“ต้นนี้รึเปล่า”
“ค่ะ”
ลาภิณพยายามเดาแล้วยิ้มส่งไป “ผมดีใจนะครับที่คุณแม่ยังรักและคอยดูแลผมอยู่ แต่ผมก็ไม่สบายใจที่เป็นต้นเหตุให้คุณแม่เป็นห่วงจนไม่ยอมไปผุดไปเกิดแบบนี้”
ชูจิตซึมไป
“ตอนนี้คนที่คิดร้ายกับผมก็ได้รับกรรมไปหมดแล้ว ส่วนนิราลัยก็กำลังเดินหน้าไปด้วยดี ไม่มีอะไรที่คุณแม่จะต้องห่วงอีกแล้วนะครับ”
ชูจิตมองลาภิณด้วยความรัก “คนเป็นแม่ ยังไงก็อดห่วงลูกไม่ได้หรอกจ้ะ”
“คุณท่านบอกว่าอดห่วงคุณไม่ได้น่ะค่ะ” เจติยาช่วยพูดต่อ
ลาภิณยิ้มแย้มก่อนจะเดินกลับไปจับมือเจติยาแล้วกุมมือเธอเอาไว้ “จะห่วงอะไรอีกครับแม่ ในเมื่อผมมีคนดูแลแทนแล้ว”
เจติยาเขินๆ แล้วจะดึงมือออก
ลาภิณจับมือเธอไว้แน่น ไม่ยอมปล่อย “เจเค้ารับปากจะแต่งงานกับผม”
เจติยาหยิกแขนลาภิณเพราะอายมาก “ฉันไปรับปากคุณตอนไหน”
ชูจิตมองแล้วยิ้มเอ็นดู
ลาภิณกระซิบ “ไม่อยากให้แม่ผมหมดห่วงรึไง”
เจติยาทำหน้าดุใส่ “เจ้าเล่ห์นักนะ”
ชูจิตยิ้มเอ็นดูแล้วพูดกับเจติยา “ฉันไม่มีห่วงอะไรแล้วล่ะ ฝากต้นด้วยนะหนูเจ วิญญาณฉันคงเป็นสุขที่สุด ถ้าเธอรับปากฉันว่าจะแต่งงานกับต้น แล้วดูแลต้นแทนฉันไปตลอดชีวิต”
เจติยายิ้มเขิน
ลาภิณอยากรู้ “คุณแม่พูดว่าอะไร”
เจติยาอายที่จะบอก “เปล่า”
“รับปากฉันซิหนูเจ ฉันจะได้ไปซะที” ชูจิตเงยหน้ามองสูง
เจติยายิ้มเขิน “ค่ะ คุณท่าน”
ชูจิตยิ้มดีใจมาก “ขอบใจมากหนูเจ”
ลาภิณทำหน้าดุใส่ “แม่คุยอะไรกับเธอ บอกมาเดี๋ยวนี้เลยนะ”
เจติยาตัดบท “คุณท่านจะไปแล้ว”
ลาภิณปล่อยมือเจติยาแล้วเดินไปมองต้นไม้ที่ชูจิตยืนอยู่ใกล้ๆ แต่ก็มองไม่เห็น
ชูจิตมองลาภิณด้วยน้ำตาคลอ “แม่ต้องไปแล้วต้น แม่รักต้นมากนะลูกชาติหน้า ขอให้เราได้เกิดมาเป็นแม่ลูกกันอีกนะลูก” ชูจิตน้ำตาไหลออกมา
เจติยาน้ำตาคลอตาม “คุณท่านบอกว่ารักคุณมาก ชาติหน้าขอให้เกิดเป็นแม่ลูกกันอีก”
ลาภิณน้ำตารื้น “ครับแม่ ไม่ต้องห่วงอะไรแล้วนะครับ ผมจะทำบุญไปให้แม่ไม่ให้ขาดเลยนะครับ”
ชูจิตยิ้มทั้งน้ำตาก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองมุมสูงแล้วค่อยๆ จางหายไป ลาภิณเห็นเพียงต้นไม้ที่โดนลมปะทะวูบจนใบลู่ขึ้นไป
“แม่ไปแล้วใช่มั้ย” ลาภิณถาม
“ค่ะ”
ลาภิณถอนหายใจออกมาด้วยสีหน้าเศร้าๆ และน้ำตาคลอ เจติยาเดินเข้ามาจับมือลาภิณเอาไว้ก่อนจะบีบเบาๆ ให้กำลังใจ
ลาภิณหันมามองหน้าเจติยา “ตอนนี้ผมเหลือคุณคนเดียวแล้วจริงๆนะเจ” ลาภิณสีหน้าเศร้าๆ
เจติยาเห็นใจเลยขยับตัวเข้าไปสวมกอดลาภิณเอาไว้ ลาภิณสวมกอดเจติยาเอาไว้แน่น
หลายวันผ่านไป เจติยาหยิบใบไม้มาวางบนพื้นดินใต้ต้นไม้ใหญ่ ลาภิณเอาน้ำที่ผ่านการกรวดน้ำมาเทรดไป เจติยาและลาภิณยิ้มสบายใจ
“สบายใจขึ้นมั้ยคะ” เจติยาถาม
ลาภิณยิ้มรับ “ครับ..” ลาภิณถอนใจออกมา “ตอนปริมอยู่ ผมไม่มีโอกาสขอโทษที่เข้าใจเค้าผิดเลย ตอนนี้ผมทำได้แค่ทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้เท่านั้นเอง”
“คุณปริมเธอไม่ได้โกรธคุณหรอกค่ะ ไม่อย่างงั้นก็คงไม่มาช่วยพวกเรา ถ้าตอนนั้นไม่ได้คุณปริม พวกเราคงตายกันไปหมดแล้วล่ะ”
ลาภิณพยักหน้ารับเพราะเห็นด้วย
“กลับกันเถอะค่ะ เดี๋ยวคุณมีประชุมตอนบ่าย”
ลาภิณพยักหน้ารับก่อนจะโอบเอวเจติยาจะพาเดินไป ทันใดนั้นก็มีมือหนึ่งโผล่ขึ้นมาจากดินแล้วจับข้อเท้าเจติยาเอาไว้ เจติยาก้มมองพร้อมกับร้องลั่น เธอดีดตัวหนีไปทางต้นไม้จนชนเข้ากับวิญญาณผู้ชายคนหนึ่ง ที่หน้าตาขาวซีด แต่ใบหน้าครึ่งซีกเกรอะกรังไปด้วยเลือดดูน่าสยดสยอง เจติยากรีดร้องลั่นพร้อมกับถอยหนี ลาภิณตกใจปนงงเพราะไม่เห็นมีอะไร นอกจากเจติยายืนหน้าซีดตกใจเพราะตั้งหลักไม่ทัน
“เธอเห็นวิญญาณใช่มั้ย” ลาภิณถาม
เจติยาพยักหน้ารับ
“ถามเค้าสิ ว่าต้องการอะไร”
เจติยาไม่สบายใจ “คุณต้นรำคาญรึเปล่าคะ”
“รำคาญเรื่องอะไร”
“ก็ชีวิตเจต่อจากนี้ไป ต้องมีวิญญาณมาขอความช่วยเหลืออยู่เรื่อยๆ มันอาจจะทำให้ชีวิตคุณต้องวุ่นวายไปด้วยน่ะสิคะ”
ลาภิณยิ้มแย้ม “เมื่อเธอเลือกที่จะช่วยเหลือวิญญาณพวกนี้ ชีวิตมันก็ต้องไม่ปกติอยู่แล้ว” ลาภิณยักไหล่ “ฉันเตรียมใจไว้แล้วล่ะ ครอบครัวฉันชอบของแปลกอยู่แล้ว ไม่งั้นจะทำงานกับศพได้เหรอ” ลาภิณยิ้ม
เจติยาค้อนใส่ก่อนจะมีสีหน้าเกรงใจ “แต่มันจะต้องเป็นแบบนี้ไปตลอดชีวิตเลยนะคะ”
ลาภิณยักไหล่ “เราก็ต้องหากินกับศพไปตลอดชีวิตเหมือนกันไม่ใช่เหรอ”
เจติยายิ้มรับ “ขอบคุณมากค่ะ”
“ไปคุยกับเค้าเถอะ เค้ารอนานแล้ว เดี๋ยวอารมณ์เสียจะน่ากลัว” ลาภิณทำท่าขนลุก “ฉันไปรอที่รถก่อนดีกว่า” ลาภิณเดินนำไปแล้วหันไปพูดทางต้นไม้พร้อมกับทำยิ้มใจดีสู้เสือ “ตามสบายนะครับ”
“ทำเป็นเก่ง” เจติยายิ้ม ๆ แล้วส่ายหน้า
ลาภิณยักคิ้วกวนๆ ให้เจติยา
เจติยาหน้าตาบึ้งตึงเดินไปพูดกับวิญญาณข้างต้นไม้ด้วยท่าทีต่อว่า
“ต่อไปอย่ามาสภาพแบบนี้อีกนะ” เจติยาพูดบอกลอยๆ “บอกให้รู้กันเอาไว้ทั่วๆ เลยนะ ได้ยินก็บอกต่อกันไปด้วย ถ้าใครอยากให้ฉันช่วย ขอให้มาหล่อๆ สวยๆ ถ้าฉันตกใจ จะไม่ช่วยจริงๆ ด้วย” เจติยาทำหน้างอนๆเหล่าวิญญาณ
ลาภิณหันกลับมามองแฟนสาวที่กำลังต่อว่าผีอยู่อย่างงอนๆ ก็อดขำแล้วส่ายหน้าเอ็นดูไม่ได้
นวัชสวมแจ็คเก็ตทับชุดตำรวจขี่มอเตอร์ไซค์ให้นิษฐาซ้อนไปตามทางที่สวยงามยามเย็น นวัชจอดข้างทางที่มีวิวทิวทัศน์ร่มรื่น เขาเปิดหน้ากากหมวกกันน็อคขึ้นแล้วกวาดตามองวิว
นิษฐาเปิดหน้ากากหมวกกันน็อค “จะพาฐาไปไหนคะพี่หมวด”
นวัชพูด “ที่นี่ยังสวยไม่พอ”
“จะพาฐามาทำอะไรกันแน่เนี่ย”
“พี่แค่มีอะไรจะบอก ต้องหาบรรยากาศดีกว่านี้หน่อย” นวัชอมยิ้มอย่างมีเลศนัย
นิษฐาแอบคิดไปเองแล้วก็อมยิ้มอยู่ในที ก่อนจะพูดเสียงอ่อยปนเขิน “จะบอกอะไรเหรอ”
“เดี๋ยวก็รู้” นวัชปิดหน้ากากหมวกกันน็อคแล้วขี่รถมอเตอร์ไซค์ต่อไป
นิษฐาหงายไปเล็กน้อยก่อนจะรีบปิดหน้ากากหมวกกันน็อคทันที
นวัชขี่มอเตอร์ไซค์ต่อไปจนเห็นศาลาที่พักยื่นไปในบึงน้ำ นวัชพอใจจึงรีบขี่มอเตอร์ไซค์เข้าไป
จอดทันที ทั้งคู่ลงจากมอเตอร์ไซค์ แล้วถอดหมวกกันน็อควางบนรถ นวัชรีบจูงมือนิษฐาพาเดินเข้าไปใน
ศาลากลางบึง
“อะไรของเค้าเนี่ย” นิษฐางง
“ตามมาเถอะน่ะ” นวัชบอก
นวัชจูงมือนิษฐาเดินเข้ามาถึงกลางศาลา
นิษฐาเขิน “มีอะไรจะบอกก็บอกมาซะที ลีลาเยอะแยะ”
นวัชยิ้มๆ แล้วเริ่มถอดเสื้อแจ็คเก็ต
นิษฐาตกใจเล็กน้อย “จะทำอะไรน่ะ”
“มีอะไรจะโชว์ให้ดู”
นิษฐาตกใจปนอายจึงยกมือขึ้นปิดตา “ไม่เอา ไม่ดู”
นวัชถอดเสื้อแจ็ตเก็ตออก “ดูหน่อยน่า”
นิษฐาเขินแต่ก็แอบหวั่นใจ “ทะลึ่ง ฐาจะกลับแล้ว” นิษฐาจะเดินกลับไป
นวัชคว้าแขนแล้วดึงกลับมา “เดี๋ยวสิ ดูก่อน พี่ตั้งใจโชว์ให้ฐาดูเป็นคนแรกเลยนะ”
นิษฐาหลับตาปี๋แล้วทำท่าแหยงๆ นวัชจับนิษฐาให้หันมาเผชิญหน้ากับตน โดยที่นิษฐายังหลับตาปี๋
“ลืมตาสิครับ”
นิษฐาค่อยๆ ลืมตาขึ้นก็เห็นนวัชใส่ชุดเครื่องแบบตำรวจปกติ
“ไม่เห็นจะมีอะไรเลย”
นวัชยิ้มๆ “มองไม่ออกจริงๆเหรอ”
นิษฐาส่ายหน้างงๆ
นวัชแกล้งเอามือไปปัดๆที่ดาวที่ตอนนี้เป็น 3 ดวงหมายถึงได้รับการเลื่อนชั้นเป็นผู้กองแล้ว
“อุ๊ย...ฐาไม่ทันได้มอง ดีใจด้วยค่ะพี่หมวด”
“ผู้กองตะหาก” นวัชบอก
“อุ๊ย ใช่ค่ะ” นิษฐายิ้มปลื้มใจ “ฐาดีใจด้วยจริงๆค่ะ บอกแค่เนี้ย ทำเป็นเรื่องซะใหญ่โต”
“ก็พี่รู้ว่าฐาเป็นคนชอบอะไรโรแมนติค”
นิษฐาขำๆ “พี่คิดว่าที่ทำนี่โรแมนติคแล้วเหรอคะ”
นวัชจ๋อยๆ “พี่ก็คิดได้แค่นี้แหละ” นวัชยิ้มๆ แล้วจับมือนิษฐาเอาไว้ “งานก็ก้าวหน้าขึ้นแล้ว ขาดแต่เจ้าสาวเท่านั้นล่ะ” นวัชอ้อน
รากบุญ ตอนที่ 13 (ต่อ)
นิษฐาแอบดีใจแต่ทำฟอร์ม “โรแมนติคไม่พอ ไม่มีเจ้าสาวให้หรอก” นิษฐาค้อนใส่
“ต้องให้พี่รออีกนานแค่ไหน”
“นานหลายปีเลยล่ะค่ะ เพราะฐาจะเรียนต่อโท” นิษฐาเบ้ปากใส่แล้วจะเดินนำกลับไป
นวัชดึงมือรั้งเอาไว้ “แล้ววันนี้จะไม่ให้รางวัลพี่หน่อยเหรอ อุตส่าห์ได้เป็นผู้กองทั้งที” นวัชชี้นิ้วที่แก้มตัวเอง
นิษฐามองหน้านวัชเขินๆ แต่ก็ยอมหอมแก้มนวัชฟอดใหญ่ก่อนจะวิ่งเขินๆ กลับออกไป นวัชมองตามนิษฐายิ้มๆ ก่อนจะถอนใจออกมา
นทีมาดักรอเจติยาอยู่หน้าปากซอยด้วยสีหน้ากังวลและดูมีพิรุธ เจติยาเดินกลับเข้าซอยมา นทีรีบวิ่งไปกางแขนขวางหน้า
“อะไรของแก ตกใจหมดเลย”
นทีฉีกยิ้ม “ไปกินขนมหวานที่ตลาดกันมั้ย”
“ไม่หิว” เจติยาเบี่ยงตัวจะเดินเข้าซอย
นทีเดินตามไปขวาง “แต่ผมหิว”
“ก็เรื่องของแกสิ” เจติยาว่า
“ไปกินด้วยกันเถอะนะ นะ นะ”
เจติยาจ้องหน้า “อ้อนผิดสังเกต มีอะไรรึเปล่า”
“เปล่า” นทีแก้ตัว “ก็ ไม่มีตังค์อ้ะ”
เจติยาจ้องหน้าจับผิด “แกจะมาถ่วงเวลาฉันใช่มั้ย”
นทีกลอกตาไปมาเล็กน้อย
“ที่บ้านต้องมีอะไรแน่ๆ เลย” เจติยาผลักนทีออกไป แล้วเดินดิ่งเข้าซอยไปทันที
นทีหน้าเสีย “จะโดนคุณต้นยึดค่าจ้างมั้ยเนี่ย”
นทีเกาหัวแล้วรีบเดินตามเจติยาไปพร้อมกับดึงแขนไว้
“รอด้วยดิ”
เจติยาสะบัดแขนนทีออก “ปล่อย...” เจติยาเดินดิ่งเข้าซอยไป
นทีเดินตามไปติดๆ “พี่เจรอด้วย”
ลาภิณนั่งคุยกับมยุรีอย่างสุภาพที่โซฟารับแขกในบ้าน
“คุณพ่อคุณแม่ผมก็เสียหมดแล้ว จะไปเชิญญาติผู้ใหญ่ท่านอื่นก็เกรงใจ ผมก็ไม่ค่อยสนิทด้วย”
“ไม่เป็นไรหรอก น้าก็ไม่ใช่คนเจ้าพิธีรีตรองอะไรนักหนา แค่คุณต้นเห็นหัวคนแก่อย่างน้า มาบอกกล่าว เข้าตามตรอกออกตามประตูแบบนี้ น้าก็ดีใจแล้วล่ะ” มยุรีบอก
ลาภิณยิ้มแย้มดีใจ
“ถ้าคุณต้นชอบเจมันจริงๆ น้าก็ไม่ขัดข้องอะไรหรอก คุณเป็นคนดีมีน้ำใจ ถือว่าเป็นบุญของเจมันมากกว่า”
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับคุณน้า”
“แล้วทำไมไม่รอเจ้าตัวเค้ากลับมาก่อนล่ะ”
“ไม่ได้หรอกครับ” ลาภิณหน้าแหย “กลัวเค้าโกรธ”
มยุรีขำออกมา “ไม่ทันไรกลัวยัยเจซะแล้ว”
“คุณน้าก็รู้ว่าเค้าไม่ชอบให้ใครบังคับ รายนั้นหัวดื้อจะตาย เจเค้าชอบให้ทุกอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่ผมอยากแสดงความบริสุทธิ์ใจให้คุณน้าเห็น”
“น้าเห็นแล้วล่ะ เอาเป็นว่า จะคิดจะทำอะไรก็อยู่ที่เราสองคนตัดสินใจก็แล้วกัน น้าไม่ขัดข้องอะไรหรอก”
ลาภิณยิ้มดีใจ “ขอบคุณมากครับคุณน้า” ลาภิณขยับตัวไปกราบตักมยุรี
มยุรีลูบหัวลาภิณด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเอ็นดูเหมือนลูกชายอีกคน
เจติยาเดินเร็วมาถึงหน้าบ้าน โดยมีนทีวิ่งตามมาติดๆ
“จะรีบไปไหนพี่เจ”
มยุรีเดินออกมาส่งลาภิณที่หน้ารั้วบ้านพอดี
“กลับมาพอดีเลยเจ” มยุรีทัก
นทีที่อยู่ด้านหลังยกมือไหว้ขอโทษลาภิณหน้าแหยๆ
“คุณต้นมาทำอะไรคะ” เจติยาถาม
“มาชวนคุณน้าไปงานฮัลโลวีนที่บริษัท” ลาภิณตอบ
“คุณแม่น่ะเหรอคะจะไป”
“ก็เพราะกลัวไม่ไปน่ะสิครับ ถึงต้องมาเชิญด้วยตัวเอง”
เจติยาจับตามองลาภิณอย่างไม่ไว้ใจ
“แต่ผมไปนะครับ” นทีรีบบอก
เจติยาหันไปดุ “ไม่ได้ถาม”
“ตกลงไปนะครับคุณน้า”
“จ้ะ” มยุรียิ้มแย้ม
เจติยาหันขวับมาจ้องหน้าแม่ มยุรีหลบสายตาเล็กน้อย
“งั้นผมกลับเลยนะครับ” ลาภิณยกมือไหว้มยุรี
มยุรีรับไหว้ “แล้วเจอกันวันงานค่ะ”
ลาภิณยิ้มให้เจติยาก่อนจะเดินไปขึ้นรถ เจติยาจับตามองด้วยสีหน้าระแวงไม่ไว้ใจ นทีรีบเดินมากระซิบข้างหูมยุรี
“ตกลงยกให้เค้ามั้ยแม่ ผมจะได้ยึดห้อง”
เจติยาหันมาจ้องตาขวาง “กระซิบอะไรกัน”
มยุรีและนทีรีบทำท่าปกติ ทั้งสองหันไปยิ้มแย้มบ๊ายบายให้ลาภิณ เจติยาค้อนใส่แม่กับน้อง ก่อนจะหันกลับไปมองทางรถลาภิณ
ทั้งๆ ที่ยืนกันอยู่ 3 คนแม่ลูก แต่เงาสะท้อนในกระจกหน้าต่างรถลาภิณกลับมี 4 คน ผู้หญิงหน้าซีด ผมยาว ใส่ชุดนอนพลิ้วๆ ยืนอยู่ข้างๆ เจติยาอีกคน โดยเธอมีเชือกผูกคอติดคอเอาไว้ด้วย เจติยาหันขวับไปดูข้างๆ ด้วยความตกใจ วิญญาณหญิงสาวพูดกับเธอทันที
“บอกความจริง”
ตำรวจกำลังควบคุมตัวชายหนุ่มที่เป็นฆาตกรฆ่าหญิงสาวคนนั้นออกมาที่หน้าอพาร์ทเมนท์แห่งหนึ่งตอนหัวค่ำ โดยมีชาวบ้านมามุงดูเต็มไปหมด เจติยาและนวัชกำลังมองตามชายหนุ่มฆาตกรไป
“ดีนะที่เจมาบอกก่อน เลยจับตัวคนร้ายได้ ไม่งั้นคงหลงกลคิดว่าเป็นการฆ่าตัวตายไปแล้ว” นวัชบอก
“ก็เพราะพี่หมวดหาหลักฐานได้เร็วด้วยล่ะค่ะ ไม่อย่างงั้นคนร้ายคงหนีไปได้” เจติยานึกได้ “เอ๊ย ไม่ใช่สิ พี่ผู้กองตะหาก” เจติยายิ้มแย้ม “ดีใจด้วยนะคะ”
นวัชยิ้ม “ก็เพราะเจอีกนั่นแหละ ทำให้พี่ได้ความดีความชอบ ขอบคุณมากนะ”
“ด้วยความยินดีค่ะ”
“ตกลงเรียนจบแล้วจะทำงานกับคุณต้นต่อ ไม่มาช่วยงานพี่จริงๆเหรอ”
“เจทำงานอยู่ที่ไหน เจก็ช่วยงานพี่ได้อยู่แล้วล่ะค่ะ”
“อยากทำงานอยู่ใกล้ชิดแฟนว่างั้นเถอะ”
“ไม่ต้องมาแซวกันเลย” เจติยาเขิน
“พี่ดีใจด้วยนะเจ คุณต้นเป็นคนดีมาก เจเจอคนที่เหมาะสมแล้วล่ะ”
“ฐาก็ดีมากเหมือนกันค่ะ เจการันตีได้ เราต่างก็เจอคนที่เหมาะสมด้วยกันทั้งคู่แหละ” เจติยายิ้มให้
นวัชยิ้มรับก่อนจะนึกขึ้นได้อย่างตกใจ “อ้อ เกือบลืมบอกไป”
“มีอะไรเหรอคะ”
นวัชนึกขึ้นได้ก็หน้าเครียด “พี่เพิ่งได้ข่าวมาว่าเมื่อวานนี้นายพิสัยหายตัวไปจากคุก ตอนนี้ยังตามจับตัวไม่ได้เลย”
เจติยามีสีหน้าตกใจเหมือนกัน
“เจกับคุณต้นต้องระมัดระวังตัวให้มากๆเลยนะ ไม่รู้ว่ามันจะย้อนกลับมาล้างแค้นอีกรึเปล่า อย่าประมาทเป็นอันขาด”
เจติยาหน้าเครียดขึ้นมาทันทีเพราะไม่คิดว่าคนที่จบไปแล้วอย่างพิสัยยังจะมาเป็นอันตรายกับตนอีก
ที่งานปาร์ตี้แฟนซีวันฮัลโลวีนที่ห้องจัดงานของบริษัทนิราลัย พนักงานในชุดผีต่างๆ ดื่มคุยเฮฮา ถ่ายรูปกันเป็นที่สนุกสนาน ในงานนี้พนักงานแต่งตัวผีปาร์ตี้กันเผ่นผ่าน นทีแต่งตัวเป็นผีกุมารทองกำลังยกแก้วน้ำส้มกับน้ำแดงเดินมาหาแม่และทวีที่กำลังคุยกันถูกคอ
มยุรีแต่งตัวเป็นผีหญิงไทยโบราณย้อนยุค ส่วนทวีแต่งตัวเป็นท่านเคาท์แดร็กคูล่า
“ลุงต้องน้ำแดง ถึงจะเข้าคอนเส็ปท์” นทีส่งน้ำแดงให้ทวี
นทีแจกน้ำไป นวัชก็จูงมือนิษฐาเดินผ่านทั้งสามคนไป นวัชและนิษฐาแต่งตัวเป็นตุ๊กตาเคนกับบาร์บี้ ที่มีมีดปักอกคนนึง และปักหลังคนนึง
นิษฐามีสีหน้าไม่สบายใจ “นายพิสัยคงไม่กล้ามาที่นี่หรอกค่ะ”
นวัชกวาดตามองไปทั่วๆ “ประมาทไม่ได้หรอก ยิ่งแต่งแฟนซีแบบนี้ยิ่งดูยาก เราสองคนต้องช่วยกันดู”
“พี่ก็อย่าทำหน้าซีเรียสนักสิ คนอื่นรู้ เดี๋ยวจะแตกตื่น หมดสนุกกันพอดี” นิษฐาว่า
โอ้เอ้ในชุดผีกระหังขยับกระด้งทำท่าบินผ่านมา
“ขอทางหน่อยครับ” โอ้เอ้เดินผ่านนวัชและนิษฐาไป
เสียงเจติยาดังขึ้น “ฐา มาถ่ายรูปกัน”
นิษฐามองหาพร้อมกับยิ้ม “เจอยู่นั่นไงคะ”
นวัชมองไปตามที่นิษฐาชี้ก็เห็นเจติยาในชุดผีจีน ทาหน้าขาว วิกผมยาวดำแสกกลางแนบแก้ม
เสื้อผ้าขาวยาวรุ่มร่ามกำลังถ่ายรูปกับผีอื่นๆ ในงานโดยโพสท์ท่ากันอย่างสนุกสนาน
นิษฐาลากนวัชไปถ่ายรูป แต่นวัชยังมีสีหน้าห่วงๆ ทำให้ไม่สนุกนักเพราะกลัวพิสัยลอบเข้ามาแก้แค้นในงาน เจติยาและนิษฐาโพสท์ท่าถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนาน นวัชฝืนยิ้มแต่ใช้สายตากวาดดูไปรอบๆ อย่างระแวดระวัง
ทันใดก็มีเสียงเพลงสยองขวัญน่ากลัวดังขึ้นทางเวที จนทุกคนต้องหันไปมอง ลาภิณในชุดสูทดำเท่แต่งหน้าซีดแบบแวมไพร์ถือไมค์ลอยเดินมากลางเวที ท่ามกลางเสียงกรี๊ดของสาวๆ และเสียงปรบมือของทุกคนในงานยาวไม่หยุด
นวัชและนิษฐาสบตากันเล็กน้อยเหมือนมีแผนการ นิษฐาลากเจติยาไปรวมกลุ่มทางมยุรี นที
และทวี
ลาภิณยิ้มแย้ม พูดใส่ไมค์ลอยกลางเวที “ขอบคุณครับ...ที่ผมขึ้นเวทีมาวันนี้ก็เพื่อจะมาขอบคุณพนักงานทุกๆคนของนิราลัยที่ยังยืดหยัดสู้อยู่กับเรา”
เจติยานำปรบมือก่อนทุกคนปรบมือตาม
“บริษัทเราผ่านปัญหาต่างๆ มามากมาย เบาบ้างหนักบ้าง มาตลอดช่วงปีที่ผ่านมา แต่ก็ไม่มีพนักงานคนไหนทิ้งเราไปซักคน มันทำให้ผมมีพลังที่จะสู้งานผลักดันบริษัทเราให้เดินหน้าต่อไป”
พนักงานเป่าปาก ปรบมือ
“ปีนี้คาดว่าผลประกอบการจะสูงสุดกว่าทุกปี แน่นอนครับ ผมจะปรับเงินเดือนขึ้นให้ทุกคน และปลายปีนี้มีโบนัสติดมือขั้นต่ำ 3 เดือน”
พอลาภิณพูดจบ เสียงปรบมือ เป่าปาก และเสียงกรี๊ดกร๊าดก็ดังสนั่นหวั่นไหว
ลาภิณยิ้มแย้ม “พอแล้วครับเดี๋ยวเสียงแหบ...ทราบแล้วว่าถูกใจกันมาก”
ทุกคนขำๆ
ลาภิณมองไปที่เจติยา “สุดท้าย ผมอยากจะขอบคุณพนักงานสาวคนนึง เธอทำงานอยู่ที่ห้องแต่งศพ”
โอ้เอ้ตะโกนดังขึ้นมา “พี่เจของผมเองครับ”
ทุกคนส่งเสียงแซว เจติยาดึงกระด้งมาฟาดใส่หัวโอ้เอ้ แล้วไฟก็สาดไปจับที่เจติยาพอดี เจติยาเขิน รีบสงบท่าที
ลาภิณจับตามองมาที่เจติยา “เธอช่วยชีวิตผมเอาไว้หลายครั้ง แถมยังเป็นกำลังใจสำคัญที่ทำให้ผมเข้มแข็งผ่านเรื่องร้ายๆมาได้”
ทุกคนปรบมือให้เจติยา ๆ ยิ้มเขิน
“ถึงผมจะร้องเพลงไม่ค่อยเก่ง แต่วันนี้ผมมีเพลงนึง อยากจะร้องให้เธอฟัง”
พนักงานสาวๆ กรี๊ดๆ คนอื่นๆ ปรบมือและเป่าปากกัน นิษฐากระเซ้าเพื่อน เจติยาอมยิ้มเขินๆ
ลาภิณรอจังหวะดนตรีขึ้น แล้วเขาก็ร้องเพลง “เพียงชายคนนี้ (ไม่ใช่ผู้วิเศษ)” เริ่มจากเนื้อท่อนแรก
“ฉันไม่ใช่ผู้วิเศษที่จะเสกประสาทงามให้เธอ......”
“ฉันไม่ใช่ผู้วิเศษที่จะเสกประสาทงามให้เธอ....” ลาภิณร้องแล้วเดินลงจากเวทีตรงไปหาเจติยา
ทุกคนแหวกทางให้ลาภิณเดินไปหาเจติยา เจติยายิ้มขวยเขิน
ลาภิณร้องจบท่อนแรกตอนมาหยุดหน้าเจติยาแล้วเขาก็ร้องต่อไปพร้อมจ้องตาเจติยา สื่อความหมาย “ไม่ใช่ผู้วิเศษ เป็นเพียงผู้ชายมีใจมั่นรักเธอ ไม่มีฤทธิ์เดช มีเพียงหัวใจที่ใฝ่เฝ้ารักเธอไม่ใช่ผู้วิเศษ เป็นเพียงผู้ชายมีใจมั่นรักเธอ” ลาภิณหยุดร้อง จ้องตาเจติยาหวานเชื่อม “แต่งงานกับผมนะเจ”
เสียงกรี๊ดสนั่นทั่วห้องจัดงาน เจติยายิ้มขวยเขิน
มยุรีพูดเสียงดังขึ้นมา “แม่อนุญาต”
ทุกคนเฮกันอีก
“คุณแม่อ้ะ..” เจติยาเขินจัด
“ทุกคนรอฟังคำตอบอยู่นะ” ลาภิณบอก
“แวมไฟร์จะแต่งงานกับผีจีนได้ยังไงคะ” เจติยาพูดแก้เก้อ
ลาภิณพูดหน้าตาย “งั้นก็ต้องกัดซอกคอก่อน” ลาภิณจะเข้าไปกัด
เจติยาเขินมากจึงตีลาภิณไปเบาๆ
นทีผีกุมารทองรีบเดินเอากล่องใส่แหวนมาให้ลาภิณ
“ได้แล้วครับพี่เขย” นทีเปิดกล่องให้เห็นแหวนเพชร
เจติยาจ้องนที “ร้ายกาจนักนะเรา”
ลาภิณหยิบแหวนมาแล้วคุกเข่าต่อหน้าเจติยา
“ให้เกียรติแต่งงานกับผมนะครับ”
เจติยาเขินมาก ได้แต่พยักหน้ารับอย่างอายๆ
ทุกคนเฮฮา เป่าปาก ปรบมือเสียงดังสนั่นพร้อมกับดึงประทัดสายรุ้ง ลาภิณยิ้มดีใจ ลุกขึ้นสวมแหวนให้เจติยา แล้วทั้งคู่ก็สวมกอดกันท่ามกลางประทัดสายรุ้ง วิบวับทั่วงานและท่ามกลางเสียงโห่ร้องยินดีของทุกคนที่รักและยินดีกับทั้งคู่
หลายวันผ่านไป ลาภิณกับเจติยาในชุดเจ้าบ่าวเจ้าสาวขับรถเปิดประทุนจอดอยู่บนถนนสวย เจติยาถือช่อดอกไม้เตรียมโยนให้เพื่อนๆ ผู้หญิงที่มาออท้ายรถ
“ใครอยากเป็นเจ้าสาวคนต่อไป เตรียมตัวให้พร้อม” เจติยายิ้มแย้มแจ่มใส
มยุรี นที ทวี โอ้เอ้ นวัช และ นิษฐา อยู่กันพร้อมหน้า
“ไปแย่งกับเค้าสิพี่ฐา” นทีบอก
“ไม่เอา”
“แต่พี่ผู้กองแกอยากแต่งจะแย่แล้ว ไป” นทีจับแขนนิษฐาพาวิ่งไปรับช่อดอกไม้
ทุกคนยิ้มแย้ม
“รอด้วยนที” โอ้เอ้วิ่งตามไป
“ไอ้โอ้เอ้ จะไปแย่งผู้หญิงเค้าทำไม๊” ทวีว่า
มยุรีขำๆ “สนุกของเค้า ช่างเถอะค่ะ”
ทุกคนมองตามยิ้มๆ ลาภิณแกล้งขับรถออกไปช้าๆ
“อยากได้ก็ตามมา” เจติยาบอก
เจติยายิ้มแย้มชอบใจแล้วโยนช่อดอกไม้มา นิษฐารับได้พอดี นทีเฮลั่น ลาภิณและเจติยายิ้มแย้มชอบใจ ทั้งคู่หันมาบ๊ายบาย สาวๆ วิ่งตามไปส่ง บางคนถ่ายรูปด้วย เหลือนิษฐายืนถือช่อดอกไม้เก้อๆ อยู่คนเดียว นวัชยิ้มกริ่มเดินเข้ามาหา
นวัชกระซิบข้างหูนิษฐา “สงสัยจะได้โทต๊องก่อนต่อโทซะแล้ว”
นิษฐาเขินอายหยิกพุงนวัช ก่อนจะโดนนวัชโอบกอดเอาไว้ แล้วทั้งคู่ก็ยิ้มแย้มบ๊ายบายส่งเจ้าบ่าวเจ้าสาว ลาภิณและเจติยายิ้มแย้มในขณะหันกลับมาบ๊าย บายทุกคน
เจ้าบ่าวลาภิณอุ้มเจ้าสาวเจติยาดันประตูห้องนอนเปิดอ้าเข้ามา ห้องนอนถูกจัดไว้เป็นห้องหอ
ตกแต่งอย่างสวยงามสำหรับวันนี้โดยเฉพาะ เจติยาเขินอายมาก ลาภิณอุ้มเจติยาไปนอนลงบนเตียง แล้วลงไปนอนตะแคงข้างๆ
ลาภิณทำสายตากรุ้มกริ่ม “หวังว่าคืนนี้คงไม่มีวิญญาณที่ไหนมาขัดจังหวะเข้าหอ ขอความช่วยเหลือเธออีกนะ”
เจติยายิ้มเขินๆ
“รีบบอกพวกเค้าก่อนว่างดรับแขกคืนนึง”
เจติยาขำๆ “บ้า” เจติยาตีแขนลาภิณด้วยความเขิน
ลาภิณจับตามองเจติยาไม่ละสายตาจนเจติยาเขิน ลาภิณค่อยๆ โน้มหน้าลงจะจุ๊บเจ้าสาว ทันใดนั้นประตูห้องที่เปิดอ้าเอาไว้ก็ค่อยๆ หุบปิดเองช้าๆ
เช้าวันใหม่ หน้าบริษัทนิราลัย ลาภิณ และเจติยา คู่บ่าวสาวข้าวใหม่ปลามันเดินจูงมือคุยกันมาตามทางเดินไปห้องแต่งศพ
“จะมีคู่ไหนเหมือนคู่เราบ้างมั้ยเนี่ย ฮันนีมูนในห้องแต่งศพโรแมนติกแบบวังเวงสุดๆ” ลาภิณแซว
“อย่าบ่นหน่อยเลยน่า งานช่วงนี้มันเยอะ อยากเสียลูกค้ารึไง” เจติยาถามกลับ
“โอเคคร๊าบ กรรมการผู้จัดการใหญ่”
เจติยายิ้มๆ “แน่ใจนะคะ ว่าวันนี้อยากจะเป็นลูกมือช่วยเจจริงๆ”
ลาภิณยิ้มมั่นใจ “แน่นอนครับ”
“หวังว่าคงไม่หน้ามืดเป็นลม เหมือนคราวก่อนอีกนะคะ”
ลาภิณยิ้มๆ “ถ้าจะเป็นลมก็เพราะ” ลาภิณทำหน้าทะเล้น “หมดแรงที่เมื่อคืนได้นอนน้อยมากกว่า”
เจติยาเขินมากจะฟาดลาภิณ ลาภิณขำๆ แล้ววิ่งหนีไป เจติยาวิ่งตามไปฟาด พนักงานเข็นเตียงศพคลุมผ้าผ่านมาพอดี ลาภิณเบรกแทบไม่ทันจนเกือบจะชน เจติยาตามมาติดๆ จึงชนลาภิณซ้ำ ลาภิณต้องจับเตียงเข็นศพเอาไว้โดยกระแทกไปเบาๆ ไม่ล้มคว่ำจนศพตกไปจากเตียง พนักงานก็ตกใจแต่ยึดเตียงเข็นไว้ทัน
ลาภิณหน้าแหยๆ “โทษที”
ทันใดนั้นศพนั้นก็เด้งขึ้นมานั่งทันที เจติยากรีดร้องลั่นด้วยความตกใจ ผ้าคลุมเลื่อนตกลงมาทำให้เห็นว่าเป็นศพของพิสัย
ศพพิสัยหันขวับมาพูดใส่หน้าเจติยา “บอกความจริง!”
แล้วศพพิสัยก็พุ่งใส่เจติยาทันที
จบบริบูรณ์