xs
xsm
sm
md
lg

ตะวันทอแสง ตอนที่ 13

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ตะวันทอแสง ตอนที่ 13
 
รัชนีสะอึกหันมาที่ต้นเสียง เห็นภคพงษ์เดินลงมาในชุดสูทสีขาวอย่างเท่ ดูราวกับเป็นเทพบุตร ปรางทิพย์มองด้วยความปลื้ม

“พี่ภัคเท่มากเลยค่ะ”
ภคพงษ์เบนสายตาจากรัชนีมาที่ปรางทิพย์
“น้องปรางก็สวยมากครับ”
สองคนยิ้มให้กัน ภคพงษ์หันไปยกมือไหว้สุวิทย์และรัชนี
“สวัสดีครับ”
รัชนีรับไหว้ด้วยความอึดอัด ปรางทิพย์แอบมองปฎิกริยาแม่ตลอดเวลา รัชนียิ่งอึดอัดใจ
“ที่ผมให้น้องปรางพาคุณสุวิทย์และคุณรัชนีมาที่ห้องนี้ เพราะวันนี้เป็นวันดี วันที่ผมจะประกาศเรื่องสำคัญระหว่างผมกับปรางทิพย์ให้ทุกคนได้รับรู้ ผมก็เลยอยากแนะนำให้รู้จักกับคุณพ่อของผม พรต เถลิงยศ พ่อที่ผมรักและเทิดทูนที่สุดในชีวิต”
ภคพงษ์ปรายตามาที่รัชนีเหมือนจะประชดอยู่ในที รัชนียืนหน้านิ่ง แต่ใจเต้นโครมคราม
“เรื่องสำคัญระหว่างคุณกับปรางทิพย์คือเรื่องอะไร” สุวิทย์ถาม
“ผมขออนุญาตไปบอกในงานนะครับ รับรองว่า เซอร์ไพรส์แน่”
ภคพงษ์มองหน้ารัชนีอย่างกวนๆ ก่อนจะหันมาทางปรางทิพย์
“งานเลี้ยงพร้อมแล้ว”
ภคพงษ์ตั้งแขนให้ปรางทิพย์คล้อง
“เชิญครับ”
ปรางทิพย์ยิ้มรับและเดินควงภคพงษ์ออกไป สุวิทย์มองตาม แววตาสงสัย รัชนีไม่มองตามแต่ในใจเต้นแรงและร้อนรุ่ม


หน้าเรือนหลังเล็กถูกจัดเป็นงานเลี้ยงขนาดย่อม เรียบ เก๋ ดูดี มีสไตล์ แขกเริ่มทยอยเข้ามาในงาน ส่วนมากเป็นแขกต่างชาติ และลูกค้าที่ซื้อเครื่องเพชรกันเป็นประจำ เผด็จยืนรับรองแขกอยู่ในงาน เปลี่ยนยืนคอยอำนวยความสะดวกอยู่ไม่ห่าง สายใจกับปุยนุ่นคุมอยู่ที่ซุ้มอาหารที่จ้างแคเทอริงมาจัดสไตล์คอกเทล
พิทยาเดินเข้ามากับคัพเค้ก และเดินมาสวัสดีสายใจ
“ป้าสายใจสวัสดีครับ”
สายใจรับไหว้
“สวัสดีค่ะ”
ปุยนุ่นยกมือไหว้ พิทยาและคัพเค้ก ทั้งสองคนรับไหว้ทักทายกันอย่างคุ้นเคย
“เชิญตามสบายนะคะคุณพิทยา จะทาน จะดื่มอะไร เชิญตามสบายเลยนะคะ”
“ขอบคุณครับ”
สายใจมองซ้ายขวา
“แล้วนี่ คุณรสาไม่มาด้วยเหรอคะ”
“พี่รสบอกว่าจะมาเองค่ะ แต่รับรองว่ามาแน่ค่ะ”
“ว่าแต่เจ้าภาพล่ะครับ ยังไม่เห็นเลย”
สายใจมองไปที่สวน เห็นภคพงษ์เดินควงมากับปรางทิพย์ สวยหล่อ ดูสมกันแล้วก็พูดขึ้น
“นั่นไงคะ เดินมาโน่นแล้ว”
ปุยนุ่นเห็นแล้วถึงกับพูดออกมา
“คุณภัคกับคุณปรางทิพย์ ดูๆไปก็สมกันดีนะคะ”
พิทยา คัพเค้ก สายใจ ไม่พูดแต่ในใจก็คิด พลันพิทยาก็มองไปที่หน้างานแล้วก็โพล่งขึ้น
“นั่นไง ยัยรสก็มาพอดี”
ทุกคนหันไป ที่หน้างาน รสาเดินควงเข้ามากับชีวิน สวยหล่อไม่แพ้ภคพงษ์และปรางทิพย์
คัพเค้ก พิทยา สายใจ ปุยนุ่นมองด้วยความชื่นชม คัพเค้กก็พูดขึ้น
“อยู่ด้วยกันมาตั้งนานเพิ่งจะเห็นว่า พี่รสกับพี่วิน ก็สมกันเหมือนกันนะเนี่ย”
ภคพงษ์หันมาเห็นรสาเดินควงมาชีวินพอดิบพอดีก็ชะงักเท้าหยุดเดิน หน้าเปลี่ยนสี ความหึงพุ่งพรวด
รสาเดินควงชีวินเข้ามา พอสายตาปราดไปเห็นภคพงษ์ก็ชะงักนิดๆ ชีวินเห็นรู้ใจทันที ชีวินกระชับแขนรสา
เข้ามา แสดงความเป็นเจ้าของแบบสุดๆ พร้อมกับเชิดหน้าใส่ภคพงษ์ ทำเอาภคพงษ์ถึงกับอึ้ง

บรรยากาศในงานเลี้ยงเริ่มตึงเครียดขึ้นมาทันที

สุวิทย์กำลังคุยกับแขกในงาน พอปรายตามาห็นรัชนียกแก้วพันซ์ผลไม้ดื่มรวดเดียวหมดก็ค่อยๆแยกตัวออกมาหา รัชนีกำลังจะยกดื่มอีก สุวิทย์จับไว้และค่อยๆ ดึงแก้วจากมือรัชนี

รัชนีหันมา
“ผมรู้ว่าคุณเครียด แต่ผมไม่อยากให้คุณโทษตัวเอง”
รัชนีสีหน้าเศร้ามาก เครียด และรู้สึกผิด สุวิทย์พูดต่อ
“ผมเองก็มีส่วนทำให้ลูกเป็นแบบนี้ ถ้าผมเชื่อคุณสักนิด ไม่ให้ท้ายลูกมากเกินไป ลูกคงไม่กล้าตัดสินใจทำอะไรที่เป็นผู้ใหญ่เกินตัว ผมผิดเองที่ไม่เชื่อคุณ ไม่ใช่ความผิดของคุณคนเดียว”
รัชนีมองหน้าสุวิทย์ แววตาที่รู้สึกผิดของสุวิทย์ยิ่งทำให้รัชนีเศร้าใจ
“ไม่หรอกค่ะ คุณไม่ผิด ไม่มีใครผิด นอกจากฉัน ฉันผิดเองที่...”
รัชนีเกือบจะหลุดปากแต่ยั้งไว้ได้ สุวิทย์รอฟัง แต่รัชนีไม่กล้าพูด
“ไม่มีอะไรค่ะ”
รัชนีหลบตา และคว้าแก้วมาจากมือสุวิทย์คืนกลับมา ยกดื่มรวดเดียวหมด สุวิทย์มองรัชนีแล้วก็แอบแปลกใจกับท่าทางที่เหมือนมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่


ชีวินยืนมองแล้วก็ยิ้มๆ ลุ้นๆ กับกล่องแหวนแต่งงาน อยู่หน้าโต๊ะเครื่องดื่ม เสียงพิทยาดังขึ้น
“ไอ้วินทำอะไร”
ชีวินรีบเก็บกล่องแหวน แล้วหันมาทำเฉยๆ
“เปล่าไม่มีอะไร ฉันแค่มาหยิบเครื่องดื่มให้รสเค้าน่ะ นี่ไง”
ชีวินยิ้มกลบเกลื่อนแล้วก็เดินเลี่ยงไป พิทยามองตามด้วยความไม่วางใจ
“มันต้องมีอะไรในใจแน่ๆ”

รสายืนหน้าเบื่อๆ อยู่ที่มุมหนึ่งของงาน คัพเค้กหันมาแซว
“พี่รส ทำหน้าร่าเริงให้สมกับความสวยหน่อยสิ หน้าเบื๊อ..เบื่อแบบนี้ เดี๋ยวเจ้าของงานเสียใจแย่”
พอพูดถึงเจ้าของงาน รสาก็ปรายตาไปมองภคพงษ์ที่ยืนอยู่กับปรางทิพย์อีกมุมหนึ่งพอดี
ภคพงษ์ยืนอยู่กับปรางทิพย์กำลังคุยกับแขกคนอื่นๆ ปรางทิพย์ยิ้มมองและควงแขนภคพงษ์ตลอดเวลาด้วยความปลาบปลื้ม ชื่นชม และรักอย่างเต็มหัวใจ รสาเห็นแล้วก็เศร้า รันทดกับแผนการอันเลือดเย็นของภคพงษ์ รสาเบือนหน้าหนี
ภคพงษ์หันมาทางรสาในจังหวะที่รสาหันหน้าหนีพอดี รสายืนหันข้างให้ เหมือนไม่สนใจ ทันใดนั้นชีวินเดินเข้ามาพร้อมส่งแก้วน้ำและรอยยิ้มหวานเจี๊ยบ รสาหันมารับแก้วน้ำและยิ้มส่งกลับให้หวานพอกัน ทั้งคู่ดูสวีตกันมาก
ภคพงษ์รับไม่ได้หันหน้าหนี แรง“หึง” เข้ามาก่อกวนจิตใจแต่พยายามเก็บไว้
ทั้งภคพงษ์และรสาต่างยืนหันหลังให้กันทั้งที่ในใจยังคิดถึงกันตลอดเวลา


รัชนีเดินเซนิดๆ เข้ามาที่กลางงานเพื่อมองหาภคพงษ์ รัชนีเห็นปรางทิพย์เกาะแขนภคพงษ์ไม่ห่างก็ทนไม่ได้ ตัดสินใจเดินพุ่งเข้าไปหา
ภคพงษ์ยืนคุยกับแขกในงานที่เป็นคุณหญิง คุณนายท่าทางภูมิฐาน
“คุณภัคกับหนูปรางเหมาะสมกันมากๆเลยนะคะ ทั้งหล่อทั้งสวย ไม่ทราบว่าเมื่อไหร่จะมีข่าวดีคะเนี่ย”
ภคพงษ์ปรายตามาเห็นว่ารัชนีเดินมาพอดี
“เร็วๆนี้ล่ะครับ ผมตั้งใจไว้ว่าจะแต่งงานกันให้เร็วที่สุด ทันทีที่คุณพ่อคุณแม่น้องปรางอนุญาต ผมพร้อมแต่งทันที”
รัชนีสะอึก หยุดยืนนิ่งและอึ้งไปกับคำพูดของภคพงษ์ ปรางทิพย์ยิ้มรับ ลอย ฝัน เคลิ้ม ไปไกลอย่างน่าสงสาร
ภคพงษ์ยิ้มหวานกับปรางทิพย์ แต่แอบปรายตามายิ้มเยาะรัชนีอย่างตั้งใจ รัชนีรับไม่ได้
คุณนายอีกคนพูดขึ้น
“แล้วคุณพ่อคุณแม่หนูปรางอนุญาตหรือยังจ้ะ ป้าจะได้เตรียมตัดชุด”
ปรางทิพย์พูดยิ้มๆ
“ท่านก็ ไม่ได้ขัดอะไรค่ะ”
รัชนีถึงกับทนไม่ได้หันหลังแล้วเดินกลับไปเลย ไม่รู้จะทำอะไร ยังไง ต่อไปดี ภคพงษ์ยิ้มนิดๆ ด้วยความสะใจ
รสาหันมาเห็นรอยยิ้มร้ายกาจของภคพงษ์ รัชนีที่เดินเซหนีออกไป และปรางทิพย์ที่ยิ้มร่าเริงอย่างไร้เดียงสา ก็เศร้าใจด้วยความไม่เข้าใจ

ภายในงาน ดนตรีบรรเลงเพลงเต้นรำช้าๆในจังหวะสโลว์ มีแขกชาวต่างชาติบางคนออกมาเต้นรำ
-ชีวินกระดกตากีล่าหนึ่งแก้วเพื่อเรียกความกล้า แล้วหันมาทางรสาที่ยืนอยู่กับคัพเค้ก
“รส เต้นรำกับวินนะ”
“ด้วยความยินดีค่ะ”
ชีวินและรสาเดินออกไปเต้นรำในจังหวะสโลว์ คัพเค้กมองตามแล้วก็ยิ้ม พิทยาเดินมาหาพร้อมกับโม้มาตามทาง
“นี่ยัยรส เธอรู้หรือเปล่าว่ามีแต่คนชมฝีมือของเธอกันทั้งงานเลยนะ นี่พี่ได้ลูกค้ามาอีกเพียบเลย อ้าว ยัยรสอยู่ไหนเนี่ย เมื่อกี้ฉันยังเห็นยืนอยู่กับเธอตรงนี้ไม่ใช่เหรอ”
คัพเค้กบอก
“อยู่โน่นแล้วค่ะ นู่น”
พิทยามองไปที่ฟลอร์เต้นรำก็ตกตะลึงตาค้าง
“แม่เจ้า”

ที่กลางฟลอร์ยามนั้น ชีวินเต้นรำกับรสาอย่างหวานหยด

ปรางทิพย์หันมาเห็นรสาก่อนก็พูดขึ้นด้วยความชื่นชม

“พี่รสสวยจังเลยค่ะ เต้นรำกับแฟนด้วย น่ารักจัง”
ภคพงษ์หันขวับไปมองด้วยความไม่พอใจ บนฟลอร์รสาเต้นรำอย่างหวานกับชีวิน สองคนยิ้มให้กันอย่างมีความสุข ภคพงษ์เจ็บจี๊ดขึ้นมาทันที ปรางทิพย์พูดเปรยๆ
“เห็นแล้วอยากเต้นบ้างจัง”
ภคพงษ์ปรายตามองหารัชนี แล้วก็เห็นรัชนียืนแอบมองอยู่ที่มุมหนึ่งของงาน ภคพงษ์ยิ้มร้ายและหันมาขอ
ปรางทิพย์เต้นรำ ภคพงษ์ยื่นมือมา
“เชิญครับ”
ปรางทิพย์ยิ้มรับและวางมือเป็นการตอบรับ ทั้งสองคนเดินไปที่ฟลอร์ และเต้นรำหวานไม่แพ้คู่รสากับ
ชีวิน รสาปรายตามาเมองอย่างเซ็งๆ ปุยนุ่นมองดูอยู่ก็สะกิดสายใจให้ดู
“ป้าๆ”
สายใจยืนอยู่กับเผด็จ ทั้งสองคนหันมามองเห็นรสาเต้นรำกับชีวิน ภคพงษ์เต้นรำกับปรางทิพย์ ชีวินยิ้มหวาน ปรางทิพย์ยิ้มฝัน แต่รสาและภคพงษ์หน้านิ่งๆ ฝืนยิ้มทั้งที่ในใจเก็บความรู้สึกไม่พอใจไว้ทั้งคู่
สายใจไม่รู้จะพูดอะไรได้แต่ถอนใจและพึมพำเบาๆ
“เฮ่อ คุณหนูนะคุณหนู”

ภคพงษ์ปรายตามองรสาแล้วก็พยายามเข้าไปเต้นรำใกล้ๆ เหมือนต้องการจับตามอง หวังจะให้รสารู้สึกได้
ถึงความไม่พอใจ แต่รสาไม่สนใจ
รสาตัดสินใจเลื่อนมือออกจากมือของชีวินและโอบรอบคอก่อนจะซบเบาๆลงที่อก ชีวินตะลึงนิดๆ ภคพงษ์อึ้งกว่า ใจเต้นแรงด้วยความหวง
ปรางทิพย์มองแล้วก็ยิ้มๆ อยากทำบ้าง
ชีวินเลื่อนมือมาโอบเอวรสาไว้ด้วยความรัก ชีวินยิ้มอย่างมีความสุข ภคพงษ์เห็นแล้วอิจฉา แต่พยายามระงับอารมณ์ไว้
ปรางทิพย์คิดแล้วก็ตัดสินใจแบบอายๆ ทำบ้าง ปรางทิพย์เลื่อนมือมาโอบคอภคพงษ์และซบลงที่อกด้วย
ความรัก
รัชนียืนมองดูอยู่ถึงกับอึ้ง
ภคพงษ์เหลือบมาเห็นว่ารัชนีมองอยู่พอดี ก็เลื่อนมือมากอดเอวปรางทิพย์ไว้ ตั้งใจจะแกล้งให้สะใจ ภาพภค
พงษ์เต้นรำกับปรางทิพย์อย่างใกล้ชิด และใบหน้าปรางทิพย์ยิ้มพริ้มมีความสุข ทำให้รัชนีใจเต้นแรง หน้าชา
มือสั่น เหมือนจะเป็นลม
ทันใดนั้นเองรัชนีก็เซวูบทรุดฮวบ รัชนีคว้าผ้าคลุมโต๊ะติดมือมาด้วย หวังจะเป็นหลักยึด แต่ผ้ากลับลื่นออกจากโต๊ะ กวาดของที่วางอยู่บนโต๊ะล้มระเนระนาดส่งเสียงดังสนั่น เพล้ง !
ทุกคนหันไปมองเป็นตาเดียว พร้อมกับเสียงฮือฮา
รัชนีทรุดลงไปอยู่ที่พื้น หน้าซีดเซียว ด้วยความเครียดที่สั่งสมมาตลอด ปรางทิพย์และภคพงษ์หันไปดู
ปรางทิพย์ตกใจรีบวิ่งไปหาทันที
“คุณแม่”
รสาหยุดเต้นรำหันตามเสียง รัชนีทรุดกองที่พื้น ภคพงษ์แววตาร้ายเลือดเย็นที่สุด


รัชนีนอนเอนอยู่ที่โซฟาในห้องรับแขก รัชนีค่อยๆปรือตาลืมขึ้น สายใจดูแลอยู่ข้างๆ
“ฟื้นแล้วเหรอคะคุณผู้หญิง”
รัชนีค่อยๆลุก
“นี่ฉัน เป็นอะไร”
“คุณผู้หญิงหน้ามืด เป็นลม ล้มลงไปน่ะค่ะ ฉันกับเด็กก็เลยพาคุณมาพักที่นี่”
รัชนีนึกได้ก็ถามขึ้น
“ปรางล่ะ ปรางทิพย์อยู่ไหน”
“อยู่ในงานค่ะ”
ภคพงษ์เดินเข้ามาพอดี
“ไม่ต้องห่วงน้องปราง ผมจะดูแลอย่างดี”
ภคพงษ์พูดต่อ
“เสียดายนะครับ ไม่น่ารีบเป็นลมเลย ผมอุตส่าห์จัดละครฉากใหญ่ไว้ให้ดู”
“ละครอะไร คิดจะทำอะไรอีกหะ”
“ผมจะประกาศแต่งงานกับปรางทิพย์ต่อหน้าทุกคน”
รัชนีหน้าเสีย สายใจไม่เห็นด้วย
“เธอจะทำแบบนั้นทำไม ในเมื่อมันเป็นไปไม่ได้ เธอก็รู้ว่าเธอแต่งงานกับปรางทิพย์ไม่ได้ ยัยปรางหลงไปกับสิ่งที่เธอทำมาทั้งหมด ยังไม่พออีกเหรอ เธอจะทำร้ายจิตใจน้..เค้า ไปถึงไหน”
“ถึงที่สุดไง ทำร้ายจิตใจอย่างถึงที่สุด เหมือนกับที่คุณเคยทำกับพ่อ เคยทำกับผม ถ้าคุณยังไม่ยอมเปิดปากบอกความจริง คุณก็เตรียมตัวเจ็บปวดอย่างถึงที่สุดได้เลย”
ภคพงษ์พูดจบก็เดินออกไปเลย รัชนีตะโกนไล่หลัง
“ภคพงษ์ ภคพงษ์หยุดนะ ภคพงษ์ อย่าทำแบบนั้นนะ ภคพงษ์”
ภคพงษ์ไม่หยุด รัชนีจะลุกตามไป แต่เซจะล้มอีกจนสายใจต้องเข้ามาประคอง
“คุณผู้หญิงคะ คุณพักก่อนเถอะค่ะ พูดอะไรไปตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์”
“สายใจ ฉันไม่อยากให้ปรางทิพย์ต้องเสียใจมากไปกว่านี้อีกแล้ว เธอช่วยฉันหยุดภคพงษ์หน่อยนะ ฉันขอร้องล่ะ หยุดเค้าที ฉันไม่อยากให้ปรางทิพย์ต้องเสียใจมากไปกว่านี้อีกแล้ว ฉันสงสารลูก” พูดแล้วรัชนีก็ปล่อยโฮออกมา

ความเสียใจ สะเทือนใจมาเป็นริ้วๆ รัชนีร้องไห้ออกมาอย่างหมดฟอร์ม สายใจมองด้วยความสงสารจับใจ
 

ตะวันทอแสง ตอนที่ 13 (ต่อ)

ภคพงษ์เปิดลิ้นชักหยิบกล่องใส่แหวนออกมาหนึ่งกล่อง แล้วเปิดดูและยิ้มร้าย ภคพงษ์ถือกล่องแหวนไว้ในมือ และจะเดินออกไป สายใจเดินเข้ามาเห็นพอดี

“คุณหนูคะ คุณหนูจะทำแบบนี้ทำไมคะ”
ภคพงษ์ไม่ตอบจะเดินต่อไป สายใจพูดต่อ
“ป้าไม่ห้าม แต่ป้าจะขอเตือนคุณหนูเป็นครั้งสุดท้าย”
ภคพงษ์นิ่งฟัง สายใจพูดจากใจเสียงสั่นเครือเล็กน้อย
“ป้ารู้ว่าตอนนี้คุณหนูมองอะไรไม่เห็นหรอกค่ะ เพราะความแค้นมันบังตาไปหมด ความแค้นที่มันควบคุมให้คุณหนูทำทุกอย่างเพื่อให้มันหายแค้น แต่คุณหนูลองคิดดูดีๆนะคะ ว่าทำไปแล้ว ความแค้นที่มันฝังอยู่ในใจ มันหายไปหรือเปล่า”
สายใจร้องไห้ ภคพงษ์จุก..ในใจ สายใจพูดต่อทั้งน้ำตา
“ต่อให้คุณหนูทำในสิ่งที่เลวร้ายที่สุด ทำร้ายจิตใจทุกคนแม้แต่ตัวเอง แต่ความแค้นมันก็ยังคงอยู่ แต่สิ่งที่มันจะหายไปอย่างแน่นอนที่สุดคือความรัก”
ภคพงษ์อึ้ง
“ความรักที่กำลังจะถูกทำลายไปเพราะความแค้น ป้าอยากให้คุณหนูตั้งสติ และไตร่ตรองดูดีๆว่าคุณหนูจะเลือกอะไรระหว่างความแค้นกับความรัก”
สายใจพูดจบก็ค่อยๆหันหลังและเดินจากไป ปล่อยทิ้งให้ภคพงษ์ครุ่นคิดอย่างหนัก บาดแผลในใจโดนสะกิด ความกังวลเรื่องรสาโดนกระตุ้นให้ครุ่นคิด
ตอนรสาตบหน้าและบอกว่าเกลียด ภคพงษ์คิดหนัก ค่อยๆก้มดูกล่องแหวนที่อยู่ในมือ

ชีวินมองกล่องแหวนในมือด้วยความหวัง ตั้งมั่นแล้วก็สูดลมหายใจลึกๆ มองหารสา แต่ไม่เห็น
ชีวินกวาดสายตาไปรอบๆ แล้วก็เห็นรสาแอบนั่งอยู่ใต้ซุ้มดอกไม้มุมหนึ่งของงาน ชีวินยิ้มและเดินไปหา

รสานั่งเซ็งๆ เศร้าๆ เบื่อๆ อยู่ที่มุมสวย ซุ้มดอกไม้ ชีวินเดินมาแล้วก็นั่งข้างๆ
“มานั่งหลบอยู่ตรงนี้ได้ยังไง คนในงานเค้าถามหารสกันใหญ่ มีแต่คนชอบงาน พี่พิทหน้าบานคับงานเลย ได้ลูกค้าอีกเพียบ รสดีใจหรือเปล่า”
รสายิ้มๆบอก
“ก็ดีใจ แต่ความจริงงานนี้วินก็มีส่วนช่วยตั้งเยอะ วินเองก็ต้องดีใจด้วยนะ”
“วินดีใจอยู่แล้ว ถ้าวินทำให้รสมีความสุขได้ ถึงมันจะเป็นความสุขเล็กๆน้อยๆวินก็ดีใจ”
รสามองหน้าชีวินด้วยความซึ้งใจ
“ขอบใจมากนะวิน ขอบใจที่อยู่ข้างๆรสมาตลอด ขอบใจที่คอยเตือนสติ และช่วยเหลือทุกอย่าง ถ้ามีอะไรที่รสจะตอบแทนวินได้ บอกมาได้เลยนะ”
“บอกได้เลยจริงอ่ะ”
“จริงสิ”
ชีวินโพล่งออกไปเลยด้วยความอายและลุ้น
“แต่งงานกับเรานะ”
รสาตาโตแล้วถามย้ำ
“ว่าไงนะ”

รสาอึ้งมองหน้าชีวินที่รอคำตอบอยู่

ภคพงษ์เดินมาทางด้านหลังซุ้มดอกไม้อีกด้านหนึ่ง

ชีวินยิ้มน่ารัก หยิบแหวนออกมาแล้วก็คุกเข่าต่อหน้ารสา
“แต่งงานกับเรานะรส”
ภคพงษ์ถึงกับชะงัก หยุดยืนนิ่ง รสาแปลกใจ
“วินว่าไงนะ”
ชีวินคุกเข่าอยู่ที่เดิม
“วินชวนรสแต่งงาน”
ภคพงษ์ฟังอึ้งอยู่อีกด้าน ชีวินพูดต่อด้วยน้ำเสียงเจียมตัว
“ถ้ารสไม่รังเกียจ.”
“พูดอะไรแบบนั้น รสจะรังเกียจวินได้ยังไง วินคือคนที่อยู่เคียงข้างและจริงใจกับรสมาตลอด รสไม่มีวันจะรังเกียจวินอยู่แล้ว”
“ถ้าไม่รังเกียจ แล้ว เอ่อ”
ชีวินทั้งเขิน ทั้งลุ้นและตื่นเต้นจนประหม่าไปหมด รสามองหน้าชีวินคิด ภคพงษ์ลุ้น ใจเต้นแรงไม่น้อยไปกว่าชีวิน รสาคิด นึกถึงภคพงษ์ตอนเลือดเย็นตอนแกล้งปรางทิพย์และแม่แวบเข้ามาในความคิด และอื่นๆอีกมากมาย
รสาตัดสินใจ
“จ้ะ รสจะแต่งงานกับวิน”
ภคพงษ์ใจหายวาบ แววตาเสียใจ ผิดหวังอย่างรุนแรง ชีวินยิ้มร่าดีใจ
“จริงๆนะ รสจะแต่งงานกับวินจริงๆนะ”
รสายังไม่ทันจะตอบอีกครั้ง เสียงปรางทิพย์ดังมาจากหลังซุ้มดอกไม้
“พี่ภัคคะ”
รสาชะงัก สะดุ้งนิดๆ ตกใจ ภคพงษ์หันมาเห็นปรางทิพย์กำลังเดินมาจึงรีบเดินเลี่ยงหลบไปจากหลังซุ้มดอกไม้เดินไปหาปรางทิพย์ในทันที

รสาลังเลแล้วก็ตัดสินใจลุกเดินไปดูที่หลังซุ้มดอกไม้ที่ว่างเปล่า ไม่มีใคร ชีวินเดินตามมา เห็นแววตาของรสา แล้วก็ก้มมองแหวนอีกที แล้วก็ตัดสินใจพูด
“รส ถ้ารสกำลังสับสน อย่าเพิ่งตัดสินใจเรื่องสำคัญ ตอนที่อยู่ในอารมณ์แบบนี้เลยนะ”
รสาหันมา ไม่เถียงแต่ก็ไม่รับ ด้วยความสับสนในตัวเองอยู่พอประมาณ
“วินรอได้ แหวนวงเนี้ย วินจะเก็บไว้ให้รสในวันที่รสพร้อมที่สุด วินอยากให้รสแน่ใจ และแต่งงานกับวินด้วยความรักไม่ใช่ความสับสน”

ที่มุมหนึ่งของงาน ปรางทิพย์หันมาพูดกับภคพงษ์
“คุณพ่อบอกว่าถ้าคุณแม่อาการดีขึ้นแล้ว จะขอตัวกลับกันเลย”
ภคพงษ์พอได้ยินว่าจะกลับก็รีบเรียกไว้
“เดี๋ยว”
“คะ”
ภคพงษ์ตัดสินใจไม่ถูกว่าจะไปลุยรัชนีต่อ หรือว่าห่วงเรื่องรสา
“คือ พี่”
ภคพงษ์นึกถึงตอนที่พูดว่า “ผมจะประกาศแต่งงานกับปรางทิพย์ต่อหน้าทุกคน” ที่รัชนีถึงกับหน้าเสีย แล้วก็นึกถึงตินที่รสาตอบรับชีวิน “จ้ะ รสจะแต่งงานกับวิน”
ปรางทิพย์มองหน้าภคพงษ์ด้วยความแปลกใจ
“พี่ภัคเป็นอะไรหรือเปล่าคะ ทำไมดูเครียดจัง มีอะไรหรือเปล่าคะ”
ภคพงษ์มองหน้าปรางทิพย์แบบสับสนก่อนตัดสินใจ
“พี่ขอตัวไปดูแลแขกในงานก่อนนะครับ”
ภคพงษ์พูดจบก็รีบพรวดออกไป ปรางทิพย์มองตามด้วยความแปลกใจ
“พี่ภัค เป็นอะไร”

ในงานเลี้ยง วงดนตรีบรรเลงเพลงเศร้า ช้า รสายืนอยู่ด้วยความเซ็งๆ เบื่อๆ มองซ้ายมองขวาเห็นพิทยายืนกินอยู่กับคัพเค้กก็เดินเข้ามาหา
“พี่พิทตี้ รสกลับก่อนนะ”
พิทยากับคัพเค้กหันขวับมา
“อ้าว จะรีบกลับไปไหน พี่ยังไม่กินไม่อิ่มเลย”
“พี่พิทตี้กับคัพเค้กก็อยู่ต่อสิคะ รสกลับก่อน”
รสาเดินไป แต่คัพเค้กรีบคว้ามือไว้
“เดี๋ยว แล้วไม่รอพี่วินก่อนเหรอ”
“นั่นสิ แล้วไอ้วินมันหายไปไหนของมัน”
“ไปห้องน้ำจ้ะ อีกแป๊บนึงก็คงมา”
พิทยาหันมาทางรสา
“งั้นรสก็รอไอ้วินมันก่อนสิ มันจะได้ไปส่งที่บ้าน”
รสาตอบยิ้มๆ
“ไม่เป็นไรค่ะ รสกลับแท็กซี่เองดีกว่า ฝากบอกวินด้วยนะคะ”
รสาพูดจบก็เดินไป พิทยากับคัพเค้กถึงกับเหวอ
“อ้าว ไปแท็กซี่เนี่ยนะ”

พิทยากับคัพเค้กมองตามรสาไปด้วยความงง

หน้าบ้านเถลิงยศ บริเวณลานจอดรถห่างจากบริเวณจัดงานพอสมควร เป็นมุมเงียบ ไม่มีมีคน รสาเดินมาด้วยสีหน้าเบื่อๆ เหนื่อยๆ ทันใดนั้นเสียงภคพงษ์ก็ดังขึ้น

“จะไปไหน”
รสาสะดุ้งนิดๆ หันมาเห็นภคพงษ์ยืนอยู่ ในใจลึกๆแอบตื่นเต้นตามประสาคนมีใจให้กัน แต่ความขุ่นมัวของ
อารมณ์ทำให้ปั้นหน้านิ่ง และตอบเสียงเย็นชา
“กลับบ้านค่ะ”
ภคพงษ์เดินมาหาแล้วถาม
“กลับยังไง”
“แท็กซี่ค่ะ”
ภคพงษ์ตอบสวนแบบไม่ต้องคิด
“เดี๋ยวผมไปส่ง”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันกลับเองได้”
ภคพงษ์หันมาเสียงดุ
“ผมจะไปส่ง เรามีเรื่องต้องคุยกัน”
“ฉันไม่อยากคุย”
“ถ้าคุณไม่ยอมให้ผมไปส่ง พรุ่งนี้ผมจะจ้างคุณพิทยามาสร้างบ้านให้ผมอีกสักหลัง จ่ายไม่อั้น และคุณจะต้องเป็นออกแบบทั้งหมด”
รสาชะงักหันขวับมา ภคพงษ์พูดกวน
“จะทนอยู่บนรถกับผมไม่ถึงชั่วโมง หรือจะทนทำงานให้ผมอย่างน้อยหนึ่งปี เลือกเอา”
รสามองหน้าด้วยความอึ้ง ทึ่งในความเอาแต่ใจแล้วก็ตอบเสียงแข็ง
“ถ้าฉันเลือกได้ ฉันเลือกอยู่กับคุให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”
ภคพงษ์มองหน้ารสา ต่างคนต่างไม่ยอมด้วยแววตาเชือดเฉือน ภคพงษ์พูดออกมาพร้อมกับเปิดประตูรถ
“ขึ้นรถ”
รสาสะบัดหน้าใส่แล้วก็จำใจขึ้นรถไปด้วยความขัดใจ ภคพงษ์ปิดประตูเปรี้ยง อารมณ์กำลังกรุ่นได้ที่

ชีวินเดินออกมาจากห้องน้ำก็มองซ้ายมองขวาหารสา คัพเค้กกับพิทยายังกินอยู่
ชีวินเดินมาถามคัพเค้กแล้วถาม
“รสล่ะ”
คัพเค้กกินไปพูดไป
“พี่รสกลับไปแล้วค่ะ”
“หะ กลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ กลับยังไง”
“สักสิบนาทีแล้ว เห็นบอกว่าจะไปแท็กซี่ค่ะ คัพเค้กกับพี่พิทตี้บอกให้รอพี่วินก็ไม่ยอมรอ”
“ฉันว่ายัยรสมันคงจะเบื่อสุดๆ สุดจะเบื่อ หน้าเงี้ยะ เบื๊อเบื่อ มันก็เลยไม่รอแก รีบเผ่นกลับไปเลย”
“เฮ่อ รสนี่ใจร้อนจริงๆ นี่ก็ดึกแล้ว...อันตรายจริง ๆ”
ชีวินตัดสินใจกดโทร.หารสาทันที

ภายในรถภคพงษ์ บรรยากาศชวนอึดอัด มือถือดังขึ้น รสาหยิบมาดู หน้าจอเห็นเป็นหน้าชีวิน ภคพงษ์เหลือบมาเห็นพอดี รสากำลังจะกดรับ ภคพงษ์แย่งจากมือมาทันที รสาตกใจร้อง “อุ๊ย”
ภคพงษ์กดปิดเครื่องแล้วก็โยนไปเบาะหลังเลย ตุ๊บ ! รสามองตาม สีหน้าเหวอ
“เฮ้ย”

ชีวินสะดุ้งนิดๆ ด้วยความแปลกใจ หันหน้าจอมาดู
“เอ้ย อะไรวะ”
ชีวินกดโทร.อีก คราวนี้ปิดเครื่อง ชีวินเป็นห่วงอย่างแรง
“ปิดเครื่อง”
ชีวินคิดอย่างเครียดแล้วพึมพำ
“แย่แล้ว”
ชีวินจคอเริ่มไม่ดี และเริ่มเอะใจ มองกราดสายตาไปรอบๆงาน แล้วก็ไม่เห็นภคพงษ์ ชีวินหันมาถามคัพเค้ก
“คัพเค้กเห็นภคพงษ์หรือเปล่า”
“เอ ไม่เห็นค่ะ เออนั่นสิ เจ้าภาพหายไปไหนนะ”

คัพเค้กคิดด้วยความสงสัย ชีวินคิดตามด้วยความไม่สบายใจ มีลางสังหรณ์แปลกๆ ที่ไม่ค่อยดีนัก

ตะวันทอแสง ตอนที่ 13 (ต่อ)

รถภคพงษ์แล่นอยู่บนถนนด้วยความเร็ว ภคพงษ์หันมาถามรสาด้วยอารมณ์เคืองๆ

“รู้ตัวหรือเปล่าว่ากำลังทำอะไรอยู่”
“คุณนั่นแหละรู้ตัวหรือเปล่าว่ากำลังทำอะไรอยู่”
“ผมรู้ตัวตลอดเวลา แต่คุณนั่นแหละที่ไม่รู้ตัว และกำลังหลอกตัวเอง”
“หลอกเรื่องอะไร”
“หลอกตัวเองว่าคุณเกลียดผม จนต้องไปแต่งงานกับคนที่คุณไม่ได้รัก”
รสาผงะแล้วก็เชิดหน้าไม่ยอมรับ
“ฉันไม่ได้หลอกตัวเอง มันเป็นความจริง ฉันรักชีวิน ฉันเกลียดคุณ”
“ไม่จริง คุณรักผม” ภคพงษ์สวนขึ้นทันที
รสายังไม่ยอมรับความจริง
“ฉันไม่ได้รักคุณ ฉันไม่เคยรักคุณแม้แต่นิดเดียว ไม่เคย”
ภคพงษ์ของขึ้นทันที อารมณ์พาลสุดขีดแล้วตะคอก
“ไม่รัก นี่คุณก็ไม่รักผมอีกคนแล้วใช่มั้ย”
รสาใส่อารมณ์ตะคอกกลับ
“ใช่ ฉันไม่รักคุณ คนใจร้ายใจดำอย่างคุณมันไม่มีใครรักหรอก ไม่มีใครรักซักคน”
ภคพงษ์โมโหสุดขีด
“ดี”
ภคพงษ์หักพวงมาลัยรถเลี้ยวกลับ เอี๊ยด! ทันที รสาตกใจ
“คุณทำอะไร”
ภคพงษ์ไม่ตอบ แต่ซิ่งรถอย่างแรง รสามองทางบนท้องถนนแล้วก็ถามด้วยความตกใจ
“บ้านป้าฉันไม่ได้ไปทางนี้ คุณจะไปไหน”
ภคพงษ์ไม่ตอบ รสาได้แต่มองรอบๆด้วยความหวาดหวั่น

ณ บ้านพักตากอากาศแห่งหนึ่ง รถภคพงษ์แล่นเข้ามาจอดอย่างเร็วก่อนลงจากรถด้วยความโกรธ แล้วเดินมาเปิดประตูฝั่งคนนั่ง
“ลงมา”
รสาไม่ยอมลงจากรถ
“ฉันไม่ลง ฉันจะกลับบ้าน พาฉันกลับบ้านเดี๋ยวนี้”
“เธอไม่มีสิทธิ์มาสั่งฉัน”
“คุณก็ไม่มีสิทธิ์มาสั่งฉันเหมือนกัน คุณคิดว่าทำแบบนี้แล้วฉันจะรักคุณลงหรือไง”
รสาไม่ยอม ยิ่งท้าทายและจุดอารมณ์ให้ภคพงษ์ขึ้นมาทันที ภคพงษ์พุ่งเข้ามาอุ้มรสาลงจากรถ
“นี่คุณจะทำอะไร”
“ทำให้คุณรู้ใจตัวเองว่าคุณรักผม”
รสานิ่งอึ้งหนึ่งอึดใจ ภคพงษ์อุ้มรสาเข้าบ้านไปเลย
“นี่คุณปล่อยฉันนะ ฉันบอกให้ปล่อย คุณภคพงษ์ปล่อยฉันนะ”

ภคพงษ์เหวี่ยงรสาโครมลงบนเตียง รสาลุกจะหนี แต่ภคพงษ์คร่อมตัวดักไว้
“คุณบ้าไปแล้วนะคุณภคพงษ์ คุณเห็นฉันเป็นอะไร ฉันไม่ใช่สิ่งของที่คุณคิดจะทำอะไรก็ได้ ฉันเป็นคน ฉันมีความรู้สึก คุณไม่มีสิทธิ์มาทำบ้าๆกับฉันแบบนี้”
“มีสิ สิทธิ์ของคนที่รักกันไงล่ะ”
รสาพูดใส่หน้า
“ฉันไม่ได้รักคุณ”
“ เธอรักฉัน”
“ฉันเกลียดคุณ”
“เธอรักฉัน” ภคพงษ์เสียงตะคอกกลับ
รสาเสียงดังสวนกลับอย่างไม่ยอม
“ฉันเกลียดคุณ”
ภคพงษ์คว้ารสามาจูบทันที รสาช็อก รีบดันตัวออกและตบหน้าภคพงษ์อย่างแรง
“ฉันเกลียดคุณ คุณภคพงษ์ ได้ยินมั้ยว่าฉันเกลี...”
รสายังพูดไม่จบ ภคพงษ์ดึงตัวรสามาจูบอีกครั้ง ครั้งนี้เป็นจูบที่เนิ่นนาน แม้รสาจะพยายามดันตัวออกห่าง แต่ภคพงษ์ยังคงประทับจูบที่ริมฝีปากของรสาพร้อมกับดันตัวรสาลงบนเตียง

เช้าวันต่อมา ชีวินพยายามโทรศัพท์หารสาด้วยความเป็นห่วง แต่ไม่ติด
“ทำไมรสไม่รับสาย เมื่อคืนก็ไม่ได้กลับบ้าน รสอยู่ที่ไหนนะ”
ชีวินสังหรณ์ใจไม่ดี

เช่นเดียวกับปรางทิพย์ที่ติดต่อภคพงษ์ไม่ได้
“พี่ภัคทำอะไรอยู่นะ ติดต่อไม่ได้ตั้งแต่เมื่อคืน”
ปรางทิพย์กดโทร.อีกทีด้วยความร้อนใจ ที่ด้านหลังปรางทิพย์ รัชนียืนครุ่นคิดอยู่ถึงตอนที่ ภัคพงษ์บอกว่าจะขอแต่งงาน และภาพตอนเต้นรำด้วยกันอย่างมีความสุข
รัชนีคิดเครียด และตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง
สุวิทย์ถามย้ำอีกครั้งด้วยความไม่แน่ใจ
“คุณจะพาลูกไปอังกฤษ”
รัชนีตอบอย่างมั่นใจ
“ใช่ค่ะ ฉันตัดสินใจแล้ว ถ้าปล่อยไว้แบบนี้ ทุกอย่างจะต้องแย่ลงมากกว่านี้แน่ๆ”
“แล้วลูกจะยอมไปเหรอ”
“ปรางทิพย์ไม่จำเป็นต้องยอม แต่เค้าจะต้องไป ไม่ว่ายังไง รัชก็ต้องพาลูกไปจากที่นี่ให้ได้ ก่อนที่ภคพงษ์จะทำลายชีวิตปรางทิพย์มากไปกว่านี้”
สุวิทย์ถอนใจแล้วบอก
“ เฮ่อ ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าหนุ่มสาวสมัยนี้เค้าคิดอะไรกัน เอาเป็นว่า ผมยกหน้าที่ให้คุณดูแลก็แล้วกัน คุณรู้จักลูกดีที่สุด ผมเชื่อใจคุณ”
สุวิทย์ทิ้งท้ายด้วยความไว้วางใจ และหนักแน่น รัชนีแอบวูบกับคำว่าเชื่อใจคุณนิดนึงก่อนจะปรับสีหน้า
“ค่ะ ขอบคุณมากที่เชื่อใจฉันตลอดมา”
สุวิทย์ยิ้มๆ รัชนีปรับแววตามุ่งมั่นจะพาปรางทิพย์ออกจากชีวิตภคพงษ์ให้ได้

ภายในห้องนอนในบ้านพักตากอากาศ รสานอนร้องไห้อยู่บนเตียง ภคพงษ์หันมากอดรสาไว้ด้วยความรักก่อนชะโงกขึ้นมาดูหน้า
“รสา”
ภคพงษ์เห็นน้ำตารสาก็รู้สึกผิด
“รสา ผม”
“เป็นอะไรคะ รู้สึกผิดหรอคะ คนอย่างคุณรู้สึกผิดเป็นด้วยหรอ”
“รสา”
“คนอย่างคุณคิดว่าตัวเองคิดถูกทำถูกมาตลอด ในหัวใจคุณมันมีแต่ความคิดแค้นอาฆาต คุณมันใจร้ายใจดำ ชีวิตคุณถึงมืดมนไม่มีวันได้พบแสงสว่างซักที”
ภคพงษ์อึ้ง มองหน้ารสา
“มีสิ ชีวิตผมกำลังจะพบแสงสว่าง รสา คุณคือแสงสว่างในชีวิตผม”
รสาสะบัดตัวทันที
“ไม่”
ภคพงษ์คว้าและรวบตัวรสาไว้
“เป็นแสงสว่างให้ผม ได้มั้ยรสา”
รสาเริ่มสะอื้น ความน้อยใจเสียใจพร่างพรู
“คุณทำอย่างนี้กับฉันมากี่ครั้งกี่หนแล้ว ทำดีต่อฉัน อ่อนหวานต่อฉัน แต่อีกวันก็จับฉันโยนออกไป ไม่สนไม่แคร์ รู้มั้ยฉันงง ฉันเจ็บ ฉันไม่รู้ ไม่รู้จริงๆว่ามันคืออะไรกันแน่”

รสาปล่อยโฮออกมา

ภคพงษ์มองจ้องหน้ารสาแล้วบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“ความรักไงรสา ผมรักคุณ”
รสามองอย่างไม่เข้าใจ
“เชื่อผมว่าผมรักคุณ เพราะตอนแรกผมเองก็ไม่รู้...ไม่รู้จริงๆ ว่าทำไมผมต้อง นึกถึง คิดถึง เป็นห่วง และหึงเวลาคุณอยู่กับผู้ชายอื่น แม้แต่เวลาที่ผมอยู่กับผู้หญิงอื่น ผมก็ยังคิดถึงคุณตลอดเวลา”
รสาเบือนหน้าหนี ภคพงษ์จับหน้ารสาหันมา
“รสา ผมรักคุณ คุณพูดถูก ชีวิตผมมันมืดมน มืดมนมาตลอด คุณคงไม่รู้หรอกว่าคนที่ต้องจมอยู่กับชีวิตที่มืดมนมันทุกข์แค่ไหน ผมเองก็อยากมีความสุขเหมือนกับคนอื่นๆ ขอได้มั้ยรสา..เป็นแสงสว่างให้ผม รักผมคนเดียว”
รสาจ้องหน้าภคพงษ์อยู่ครู่นึงก็เห็นแววตาจริงจังของภคพงษ์ จึงตัดสินใจพูดขึ้น
“แล้วถ้าฉันจะขอคุณบ้าง”
ภคพงษ์ตอบทันที
“ได้สิ คุณต้องการอะไร ผมยินดีทำให้คุณทุกอย่าง”
“คุณไม่ต้องทำทุกอย่าง ฉันขอให้คุณทำแค่อย่างเดียว ขอแค่คุณรับปากฉันว่า สิ่งที่คุณทำกับฉันเมื่อคืนนี้มันจะเป็นการกระทำที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตของคุณแล้ว นับจากนี้ไปคุณจะไม่ทำเรื่องร้ายๆ เพื่อทำให้คนอื่นต้องเสียใจอีก โดยเฉพาะแม่และน้องสาวของคุณ”
ภคพงษ์อึ้ง รสาพูดต่อ
“ขอให้ฉันเป็นคนสุดท้ายที่ต้องเจ็บปวดเสียใจจากการกระทำของคุณ ฉันขอแค่นี้ ให้ฉันได้มั้ย”
รสาพูดด้วยแววตาที่เข้มแข็ง แต่น้ำตาไหลอาบแก้ม
“สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้เป็นสิ่งเลวร้ายที่สุดในชีวิตคุณจริงๆเหรอรสา”
รสาไม่ตอบ
“คุณเจ็บปวด เสียใจมากจริงๆเหรอ”
“ให้ฉันได้มั้ยที่ฉันขอ”
ภคพงษ์เปลี่ยนแววตาน้อยใจเป็นฮึดสู้ จับมือรสาที่กำอยู่ขึ้นมาจูบเบาๆ
“ได้ ผมจะทำเพื่อคุณ ผมจะยอมหยุด ทุกอย่างเพื่อคุณ”
ภคพงษ์จูบที่มือของรสาอีกครั้งอย่างแผ่วเบาด้วยความรัก รสามองภคพงษ์ด้วยแววตาที่อ่อนลงและคิดว่าเขาคงจะทำจริงๆ

ที่หน้าบ้านวาริช เสื้อผ้า สิ่งของของพิมพรรณถูกโยนทิ้งออกมานอกบ้าน
“ออกไปเลย ออกไปไหนก็ไป”
พิมพรรณวิ่งตามออกมาเก็บเสื้อผ้าและร้องไห้ด้วยความตกใจ เสียใจ
“ทำไม ทำไมต้องไล่กันแบบนี้ด้วย พิมทำผิดอะไร”
วาริชเดินออกมาพูดด้วยความเย็นชา
“ก็ผิดทุกอย่าง ตั้งแต่ทำให้พ่อเธอยอมรับฉันไม่ได้ ขนาดฉันพยายามจะกดดันทำให้เธอหาทางพาฉันเข้าไปอยู่ในบ้านเธอให้ได้ แต่เธอก็ทำไม่สำเร็จ อยู่กันไปก็ไร้ประโยชน์”
“แล้ววาริชจะให้พิมไปอยู่ไหน”
วาริชยื่นหน้ามาใกล้พิมพรรณ
“ก็กลับไปหาพ่อแม่เธอไง ไปอ้อนวอนขอให้เค้ายอมรับฉันให้ได้ แล้วเราก็จะได้กลับมาอยู่ด้วยกัน”
โบว์แต่งตัวสวยเดินออกมาจากบ้านพูดด้วยความหงุดหงิด
“พี่วาจะไปหรือยัง ฉันอยากดูหนังแล้วนะ”
“ไปจ้ะ นี่อย่าลืมที่ฉันบอก ทำยังไงก็ได้ให้พ่อเธอยอมรับฉันให้ได้”
“เดี๋ยว ถ้าฉันทำแบบนั้นได้จริงๆ คุณจะทำยังไงกับผู้หญิงคนนี้”
วาริชยิ้มร้ายบอก
“จะทำยังไงเหรอ ก็ไม่ทำยังไง ก็อยู่กันไปแบบสามคนนี่แหละ น้องโบว์เค้ารับได้ เธอก็ต้องรับได้เหมือนกัน”
“ไม่ พิมรับไม่ได้ อยู่กันแบบสามคนผัวเมียแบบนี้ไม่ได้ ยังไงพิมก็ไม่ยอม ถ้าคุณจะเลือกมันก็ไปหย่ากับพิม”
พิมพรรณกัดฟันตัดขาดกับวาริชเป็นครั้งแรก
“ฝันไปเถอะ กว่าฉันจะหลอกให้เธอมาจดทะเบียนได้ก็แทบแย่ อยู่ๆจะให้หย่ากันไปง่ายๆได้ยังไง ถ้าอยากให้ฉันเลิกก็ต้องแบ่งสมบัติของเธอมาให้ฉัน ถ้าฉันได้จนพอใจแล้วฉันก็จะปล่อยเธอไปเอง”
พิมพรรณร้องไห้น้ำตาไหลพราก
“รีบไปจัดการเรื่องพ่อเธอให้เรียบร้อย ถ้าทำไม่สำเร็จอย่ากลับมาให้ฉันเห็นหน้า”
วาริชยิ้มร้ายแล้วก็หันมากอดโบว์
“เราไปดูหนังกันเถอะจ้ะ”
“ค่ะ”
วาริชเดินกอดโบว์เดินออกไป พิมพรรณร้องไห้อยู่ท่ามกลางของใช้ที่ถูกโยนออกมาอย่างเกลื่อนกลาด

พิมพรรณยังร้องไห้สะอึกสะอื้นยืนอยู่ในบ้าน พิมพรรณคิดและตัดสินใจหยิบโทรศัพท์มาโทร.หาพร้อม
เสียงโทรศัพท์รอสายดังขึ้นอย่างมีหวัง

โทรศัพท์ที่บ้านพร้อมดังขึ้น ห้าวกำลังต้อนรับลูกค้าอยู่ ห้าวบอกกับลูกค้า
“รอสักครู่นะครับ เดี๋ยวผมพาไปที่ห้อง”
ห้าวจะเดินมารับโทรศัพท์ แต่พร้อมเดินมารับตัดหน้า
“เดี๋ยวข้ารับเอง เอ็งพาลูกค้าไปที่ห้องพักเถอะ”
“จ้ะ”
ห้าวพาลูกค้าเดินไป พร้อมหันมารับสาย
“สวัสดีครับ บ้านพร้อมครับ”
เสียงพิมพรรณร้องไห้ผ่านมาทางโทรศัพท์
“พ่อ”
พร้อมชะงัก แววตาแข็งกระด้างขึ้น ปากหนักขึ้นมาทันที
“พิมเองนะจ้ะ พ่อ”
พร้อมเงียบ...ไม่พูด
“พ่อ”
เสียงพิมพรรณร้องไห้หนักกว่าเดิม
“พ่อจ๋า พิมขอโทษ พิมผิดไปแล้ว”
พร้อมปากสั่น ใจสั่น
“พิม”
พร้อมกัดฟันวางสายไปทันที พิมพรรณยังพูดค้างอยู่
“ขอกลับบ้านได้...”
พิมพรรณยังพูดไม่ทันจบ เสียงวางสาย ตื้ดๆก็ดังขึ้น
พิมพรรณชะงัก ตัวชาแล้วก็ปล่อยโฮออกมา
“พ่อ...โฮ...พ่อ...”
พร้อมยืนค้างอยู่ด้วยความคิดที่สับสน วิมลเดินมาถาม
“พ่อ ใครโทร.มา”
“ไม่รู้ เค้าบอกว่าโทร.ผิด”

พร้อมพูดจบแล้วก็เดินออกไปเลย วิมลมองโทรศัพท์ด้วยความแปลกใจ สังหรณ์ใจนิดๆ

พิมพรรณทรุดตัวนั่งร้องไห้ทั้งเสียใจและผิดหวังอย่างรุนแรง พิมพรรณพยายามกดโทร.หารสา สัญญาณบอกว่าติดต่อไม่ได้ พิมพรรณร้องไห้จนปัญญา

คำพูดของวาริชและการกระทำอันเลวร้ายต่างๆ พุ่งเข้ามาในความคิด

“ไปจ้ะ นี่อย่าลืมที่ฉันบอก ทำยังไงก็ได้ให้พ่อเธอยอมรับฉันให้ได้”
“เดี๋ยว ถ้าฉันทำแบบนั้นได้จริงๆ วาริชจะทำยังไงกับผู้หญิงคนนี้”
“จะทำยังไงเหรอ ก็ไม่ทำยังไง ก็อยู่กันไปแบบสามคนนี่แหละ น้องโบว์เค้ารับได้ เธอก็ต้องรับได้เหมือนกัน”
“ไม่ พิมรับไม่ได้ อยู่กันแบบสามคนผัวเมียแบบนี้ไม่ได้ ยังไงพิมก็ไม่ยอม ถ้าวาริชจะเลือกมันก็ไปหย่ากับพิม”
“ฝันไปเถอะ กว่าฉันจะหลอกให้เธอมาจดทะเบียนได้ก็แทบแย่ อยู่ๆจะให้หย่ากันไปง่ายๆได้ยังไง ถ้าอยากให้ฉันเลิกก็ต้องแบ่งสมบัติของเธอมาให้ฉัน ถ้าฉันได้จนพอใจแล้วฉันก็จะปล่อยเธอไปเอง”
“รีบไปจัดการเรื่องพ่อเธอให้เรียบร้อย ถ้าทำไม่สำเร็จอย่ากลับมาให้ฉันเห็นหน้า”
พิมพรรณร้องไห้ นึกถึงตอนที่พ่อปฎิเสธ และไม่ยอมรับ จนมาถึงวางสายไม่ยอมคุยด้วย
พิมพรรณร้องไห้เหมือนคนไม่มีทางออก “กลับก็ไม่ได้ ไปก็ไม่ถึง” พิมพรรณลูบท้องเบาๆ
“แม่ไม่รู้จะไปทางไหนแล้วลูกจ๋า แม่จนปัญญา หมดหนทางจริงๆ ไม่มีใครรักแม่อีกแล้ว ไม่มีแล้ว ไม่มีแล้วจริงๆ ถ้าแม่ตายไปสักคน คงไม่มีใครเสียใจ”
พิมพรรณจิตตกถึงขีดสุด ความรู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่าเข้าจู่โจมเข้ามาจนเกินจะต้านทาน
วูบนั้นเอง พิมพรรณหันไปที่ตู้ยา แล้วก็กวาดขวดยาทุกอย่างที่มีแล้วก็เทออกมาวางรวมกันตรงหน้า น้ำตา
ไหลพราก พิมพรรณกัดฟันมองแก้วน้ำที่วางอยู่ พิมพรรณหันไปคว้ายาทั้งหมดแล้วตบน้ำจากแก้วตามทันที

ที่หน้าโฮมสเตย์ของอาภรณ์ รสาเดินจ้ำอ้าวนำหน้า ภคพงษ์วิ่งตามมาคว้ามือไป รวบรสามากอดไว้
“เดี๋ยวสิ รสา จะรีบไปไหน”
“ปล่อยค่ะ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า”
“เห็นสิดี ให้เห็นกันเยอะๆเลย เค้าจะได้รู้ว่า”
“คุณภคพงษ์ เรายังไม่ได้เป็นอะไรกันนะคะ”
ภคพงษ์ส่ายหน้ายิ้มๆบอก
“ไม่เอาน่า รสา”
“การผูกมัดทางแค่ร่างกาย มันไม่ได้แปลว่าคุณจะได้ใจคนๆนั้นไปด้วยนะคะ”
ภคพงษ์อึ้ง
“รสา”
รสาจ้องหน้าแล้วย้ำสัญญา
“อย่าลืมทำตามสัญญาที่คุณให้ไว้กับฉัน”
ภคพงษ์ตอบเสียงจริงจัง
“ผมไม่มีทางลืม ผมจะจบ จะยุติทุกสิ่งทุกอย่างตามที่คุณต้องการ”
“ไม่ใช่ตามที่ฉันต้องการ แต่ตามที่คุณสมควรจะต้องทำต่างหาก”
“ได้ เพื่อพิสูจน์ว่าผมจริงใจกับคุณมากแค่ไหน คุณจะได้ภูมิใจว่าเลือกคนไม่ผิด”
รสาแว๊ดขึ้นทันที
“ใครเลือกใคร แล้วทำไมฉันต้องเลือก”
“คุณ-เลือก-ผม แล้วที่คุณต้องเลือกผมก็เพราะคุณ-รัก-ผม เคลียร์มั้ย”
รสาจ้องหน้า พูดจริงจัง
“ไม่ว่าจะเลือก หรือจะรักใครก็ตาม ตราบใดที่คำพูดยังไม่ได้ออกจากปากฉัน ก็แสดงว่ามันยังไม่ใช่”
ภคพงษ์อึ้ง เมื่อเจอสายตาและคำพูดจริงจังของรสาก็อึ้ง ที่อมยิ้มอยู่หายไปทันที รสาเดินจากไป
ภคพงษ์มองตามและพึมพำเหมือนย้ำกับตัวเอง
“ตกลง รสา ผมจะยอมทำทุกอย่างเพื่อให้คุณเลือกและรักผมด้วยความเต็มใจ ผมอยากให้คุณมาเป็นแสงสว่างในชีวิตผม รสา”
ภคพงษ์สายตาแน่วแน่จะทำตามสัญญา

รสาเดินเข้ามาในบ้าน อาภรณ์นั่งทำบัญชีอยู่ เงยหน้าขึ้นมาเห็นก็รีบพูดขึ้น
“รส รส เมื่อคืนไปไหนมา ป้าโทร.หาทั้งคืนก็ไม่ติด”
รสาหันมาตอบเก้อๆเลี่ยงตัดปัญหา
“เอ่อ คือ รสไปกับเพื่อนน่ะค่ะ รสขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะคะ”
“จ้ะๆ”
รสาเดินไป อาภรณ์นึกได้ตะโกนไล่หลัง
“อ้อ โทร.หาวินด้วยนะรส วินเค้าเป็นห่วงเรามาก โทร.มาย้ำป้าทั้งวันว่า ถ้าเจอรสให้รีบโทร.หาด้วย อย่าลืมล่ะ”
“จ้ะ”
รสาก้มหน้า รู้สึกผิดนิดๆ แล้วเดินเลี่ยงรีบเข้าห้องไป

ภายในห้องนอน โทรศัพท์มือถือของรสาเสียบสายชาร์จไฟไว้ รสาเปลี่ยนชุดแล้วเดินมาเปิดเครื่อง มีข้อความส่งเข้ามาบอกว่า มีสายไม่ได้รับ 30 กว่าสาย
“ไม่ได้รับสามสิบเก้าสาย โธ่ วิน”
รสาคิดถึงชีวินแล้วยิ่งรู้สึกผิด
รสากดไล่ดูชื่อคนที่โทร.เข้ามาแล้วก็สะดุดที่ชื่อของพิมพรรณอยู่ด้วย
“พิม โทร.มา”
รสารีบกดโทร.กลับทันที แต่สัญญาณปิดเครื่อง รสาพยายามโทร.กลับอีก 2-3 ครั้ง แต่ติดต่อไม่ได้ รสาคิดแล้วก็กดโทร.หาห้าวทันที

ในเวลาเย็น ห้าวคุยโทรศัพท์อยู่มุมหนึ่งของบ้าน
“ได้ๆ เดี๋ยวพี่ไปถามพิมให้ว่ามีธุระอะไรหรือเปล่า ถ้าเจอพิมแล้วจะรีบโทร.หารสนะ”
รสาพูดด้วยความเป็นห่วง
“จ้ะ ปกติพิมไม่ได้โทร.มาหาตั้งนานแล้ว แต่วันนี้โทร.มา ต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่ๆ รสเป็นห่วงพิมมากเลย พี่ห้าวรีบส่งข่าวหน่อยนะ แล้วคุยกันจ้ะ”
รสาวางสายไปด้วยความร้อนใจ

บริเวณหน้าบ้านเช่าวาริช ห้าวเดินเข้ามา เห็นของที่โดนโยนกองออกมาเกลื่อนระเกะระกะ ก็เริ่มแปลกใจและเริ่มรู้สึกไม่ค่อยดี
“พิม”
ไม่มีเสียงตอบรับออกมา ห้าวรีบเดินเข้าไปในบ้านด้วยความร้อนใจทันที
“พิม พิมอยู่หรือเปล่า”
ห้าวเดินพรวดเข้ามาในบ้านเช่า แล้วก็ต้องช็อกกับภาพตรงหน้า
“พิม”
พิมพรรณนอนตาเบิกโพลง มียาวางตกเกลื่อนอยู่รอบๆตัว ห้าวรีบเข้ามากอด และเขย่าตัว
“พิม พิม ตอบพี่สิพิม”
พิมพรรณไม่รู้สึกตัว หน้าซีด ตัวเย็นเฉียบ
“พิมอย่าเพิ่งเป็นอะไรนะ พี่จะพาไปโรงพยาบาล อย่าเป็นอะไรนะพิม”
ห้าวกำลังจะอุ้มพิมพรรณ ทันใดนั้นวาริชก็เดินกอดโบว์เข้ามา
“เฮ้ย อะไรกัน นี่เธอยังไม่ออกไปจากบ้านฉันอีกเหรอ”
ห้าวหันไปตามเสียง วาริชเดินเข้ามา สองคนมองหน้ากัน วาริชมองสภาพรอบๆและเห็นพิมพรรณนอนหมดสติมียาตกเกลื่อนก็ช็อกเล็กๆ
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น”
“เพราะแก ทำให้พิมต้องเป็นแบบนี้ เพราะแกคนเดียว”
วาริชเห็นพิมพรรณนอนตาเบิกโพลง หมดสติอยู่ในอ้อมกอดของห้าวก็กลัว ตกใจ ลนลาน
“มะ...ไม่รู้เรื่องนะ ฉันไม่รู้เรื่อง”
“ยาเต็มเลย หรือว่า เมียพี่กินยาฆ่าตัวตาย” โบว์บอก
“ไม่จริง ฉันไม่รู้เรื่อง ฉันไม่รู้เรื่อง”
วาริชพูดจบแล้วก็รีบวิ่งออกจากบ้านไปเลย
“พี่วา รอฉันด้วย”

โบว์วิ่งตามวาริชไปอย่างเร็วรี่  ห้าวมองตามด้วยความแค้น น้ำตาซึม ทั้งโกรธ ทั้งเสียใจ ก่อนอุ้มพิมพรรณออกไป

ตะวันทอแสง ตอนที่ 13 (ต่อ)

ห้าวยืนคุยกับตำรวจที่บริเวณหน้าบ้านเช่า มีรถปอเต็กตึ้งจอดอยู่ วิมลกับพร้อมหน้าตาตื่นตระหนกวิ่งพรวดพราดเข้ามา

“ห้าว ห้าว พิมเป็นยังไงบ้าง”
ห้าวยืนนิ่งไม่กล้าพูด น้ำตาไหลออกมาแทนคำตอบ วิมลหน้าเสีย ใจเสียในทันที
“ห้าวบอกมาสิว่าพิมเป็นยังไงบ้าง”
พร้อมทนไม่ไหว ถามเสียงเครียด
“ไอ้ห้าว เอ็งบอกมาเดี๋ยวนี้นะ บอกมาสิเว้ย บอกข้ามาว่าพิมเป็นอะไร พิมเป็นอะไรบอกมา”
“พิมตายแล้”
ห้าวร้องไห้อย่างสุดจะกลั้น เห็นเจ้าหน้าที่ยกศพพิมพรรณออกมา
วิมลกับพร้อมแทบไม่เชื่อสายตาที่เห็นเจ้าหน้าที่แบกศพลูกสาวออกมา
“มะไม่จริง ไม่จริง ไม่จริง พิมลูกแม่ พิม พิม”
พร้อมอึ้งพูดไม่ออก ได้แต่เซจนจะล้ม ห้าวต้องรีบเข้าไปประคอง
“ลุง”
พร้อมคิดถึงตอนที่วางสายโทรศัพท์พิมพรรณที่โทร.มาก่อนเกิดเหตุ รู้สึกผิดอย่างแรง
“พิมตายแล้ว พิมตายแล้ว”
พร้อมร้องไห้น้ำตาไหลพราก


รสาได้ข่าวก็ช็อกไม่ต่างกัน
“เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ มันเกิดอะไรขึ้น มันเกิดขึ้นได้ยังไง”
รสาร้องไห้ ทั้งเสียใจ ทั้งช็อคอย่างที่สุด ห้าวยืนอยู่หน้าบ้าน ที่ด้านหลังวิมลและพร้อมนั่งร้องไห้อยู่ ศพพิมพรรณยังนอนอยู่มีผ้าขาวปิดหน้า
“รสทำใจดีๆไว้ ไว้เจอกันแล้วค่อยคุย เดี๋ยวพี่ขอจัดการเรื่องพิมก่อนนะ”
รสาร้องไห้ไม่หยุด
“รสจะรีบไปเดี๋ยวนี้ รสจะรีบไปเดี๋ยวนี้”
รสาวางสายแล้วก็ร้องไห้ด้วยความงุนงง
ชีวินเดินเข้ามา
“รส”
“วิน”
ชีวินถามด้วยความแปลกใจ รสาน้ำตาไหลพราก
“รสเป็นอะไร”
“พิม พิม พิมเสียแล้ว”
รสาร้องไห้อย่างหนัก ชีวินเข้ามากอดด้วยความเป็นห่วงและมองรสาด้วยความสงสาร

เรื่องค้างคาใจจากเมื่อคืน ถูกปล่อยข้ามไปในทันที

ที่ศาลาสวดพระอภิธรรมภายในวัดคืนนั้น เต็มไปด้วยความโศกเศร้า หน้าโลงศพเป็นรูปพิมพรรณ วิมลและพร้อมนั่งร้องไห้จนแทบจะไม่มีสติ ห้าวนั่งซึมอยู่ข้างๆ

“เป็นเพราะพ่อเอง พ่อผิดเอง พ่อผิดเอง พิมยกโทษให้พ่อด้วย”
วิมลกอดพร้อม
“พ่อ อย่าพูดแบบนั้น อย่าพูดแบบนั้นสิพ่อ”
รสาวิ่งเข้ามา ชีวินเดินตามมาไม่ห่าง อาภรณ์เดินตามมาอีกคน รสามองรูปพิมพรรณแล้วก็ช็อก
“พิม รสมาแล้ว”
รสาน้ำตาไหลพราก วิมลหันมาทางรสา
“รส”
รสาเดินเข้ามาและกอดวิมลร้องไห้
“รสขอโทษ รสขอโทษนะจ้ะ รสผิดเอง มันเป็นความผิดของรสเอง รสขอโทษ”
วิมลกอดรสา
“ไม่ใช่หรอกลูก ไม่ใช่ความผิดของรส”
“ใช่ รสไม่ผิด ลุงก็ไม่ผิด ถ้าจะมีใครสักคนที่ผิด มีคนเดียวเท่านั้น”
ห้าวกัดฟันกรอดนึกถึงวาริช

เช้าวันต่อมา ที่บ้านเช่าวาริชปิดเงียบ บริเวณหน้าบ้านมีรถกะบะเก่าๆเข้ามาจอดอยู่ วาริชนั่งอยู่ข้างคนขับ หันมาสั่งคนขับก่อนจะลงจากรถ
“รออยู่ตรงนี้ เดี๋ยวฉันรีบไปขนของออกมา แกก็ทยอยเอาขึ้นรถ ให้เร็วด้วยนะ ฉันรีบไป”
คนขับรถรีบพยักหน้ารับ แล้วก็ลงจากรถไปเตรียมขนของ
วาริชรีบลงจากรถ มองซ้ายมองขวาด้วยท่าทางตื่นตระหนก จนแน่ใจว่า ไม่มีใครก็รีบเดินเข้าไปในบ้านอย่างเร็ว
ทันใดนั้นวาริชก็ได้ยินเสียงผู้หญิงผู้ชายดังมาจากในบ้าน
“เร็วๆหน่อยสิ ถ้ามันกลับมาเห็น เราก็ซวยกันพอดี รีบเอาของไปขึ้นรถเร็ว” เสียงผู้หญิงบอก
วาริชชะงัก
“โบว์”
วาริชรีบวิ่งเข้าไปในบ้านทันที แต่ก็ต้องชะงัก เมื่อโบว์กำลังหิ้วกระเป๋าและมีผู้ชายยืนอยู่ข้างๆ ด้วยท่าทางเหี้ยมๆ ชายคนนั้นกำลังอุ้มโทรทัศน์จอแบนอย่างดีอยู่ในมือ
“นี่มันอะไรกันโบว์ ไอ้นี่มันเป็นใคร”
“ไอ้นี่คือ พี่ตั้ม ผัวโบว์เอง”
“หะ ผัว แล้วพี่”
“พี่ก็เป็น เป็นอะไรก็ได้ ที่ฉันมีไว้ไถเงิน แต่ดูจากสภาพตอนนี้เมียพี่ไม่อยู่ให้พี่ไถแล้ว ทั้งรีสอร์ต ที่ดินริมทะเลที่โม้เอาไว้ว่าจะได้ ก็คงไม่ได้ ฉันก็เลยไม่อยากเสียเวลาอยู่กับพี่อีกต่อไป ตัวใครตัวมัน”
โบว์พูดแล้วก็เดินเชิดออกไป ผัวโบว์ก็เดินตามไปด้วย
“อีตัวแสบ แกจะไปก็ไปแต่ตัวสิเว้ย โทรทัศน์ ของในกระเป๋าเอาไว้นี่ มันเป็นของของฉันแกจะเอาไปไม่ได้”
วาริชฉุดกระชากลากถูของมาจากมือโบว์ที่ร้องวี้ดว้ายไม่ยอม สองคนยื้อกันไปมา ทันใดนั้นก็มีเสียง
ดังซวบ ! วาริชตาเหลือก ค่อยๆหันหลังมาเห็นผัวโบว์ยืนอยู่ข้างๆ ในมือถือปลายมีด ใบมีดปักอยู่ที่หลัง
วาริชจนมิด
“แก”
วาริชพูดได้แค่นั้นก็ทรุดลงไปนอนกองที่พื้น เลือดไหลออกมาเป็นทาง
“รีบไปเร็ว” ผัวโบว์บอก
สองคนรีบยกของกันออกไปอย่างไม่สะทกสะท้าน วาริชนอนตาเบิกโพลงสิ้นลมหายใจอยู่ที่พื้น เป็นที่ที่ไม่ห่างไปจากตำแหน่งการตายของพิมพรรณ
บ้านทั้งบ้านเงียบกริบ วังเวง และเศร้าสร้อย

บริเวณเมรุเผาศพ รสายืนร้องไห้ประคองวิมล ในขณะที่ห้าวยืนอยู่ข้างๆพร้อม ชีวินและอาภรณ์ยืนอยู่ไม่ห่าง คน ภายในงานมีคนมาไม่มากนัก บรรยากาศเต็มไปด้วยความเศร้า
รูปพิมพรรณวางอยู่หน้าเมรุ วิมลมองด้วยความเศร้าแล้วก็ทรุดจะเป็นลม รสารีบประคองไว้
“อาวิมล”
อาภรณ์รีบเข้ามาช่วย
“รสพาวิมลมานั่งนี่มา”
รสาประคองวิมลมานั่งที่เก้าอี้ และหยิบพัดในกระเป๋าถือออกมาพัดให้ด้วยความเป็นห่วง
ควันจากเมรุลองคว้าง
กระเป๋าถือของรสาที่วางอยู่ โทรศัพท์มือถือที่อยู่ในกระเป๋า แสงสว่างวาบมีสายโทร.เข้าแต่รสาปิดเสียงไว้ ที่หน้าจอขึ้นชื่อ “ภคพงษ์”

ภคพงษ์ยืนอยู่ในบ้าน ถือโทรศัพท์รอสายสักพัก แต่ไม่มีคนรับ ภคพงษ์วางสายไป แล้วก็คิดถึงตอนที่รสายื่นคำขาด
“ฉันขอให้คุณทำแค่อย่างเดียว ขอแค่คุณรับปากฉันว่า สิ่งที่คุณทำกับฉันเมื่อคืนนี้มันจะเป็นการกระทำที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตของคุณแล้ว นับจากนี้ไปคุณจะไม่ทำเรื่องร้ายๆ เพื่อทำให้คนอื่นต้องเสียใจอีก โดยเฉพาะ..แม่และน้องสาวของคุณ”
“ผมจะทำเพื่อคุณ ผมจะยอมหยุด ทุกอย่างเพื่อคุณ”

แววตาภคพงษ์มุ่งมั่น และตัดสินใจที่จะไปเพื่อยุติทุกอย่างตามที่รสาขอ ภคพงษ์เดินออกจากบ้านไปอย่างมีจุดมุ่งหมาย

ขณะเดียวกัน ภายในบ้านวงศ์เธียรสถิตย์ ปรางทิพย์ยืนกรานเสียงแข็ง

“ปรางไม่ไป ปรางไม่ไปไหนทั้งนั้น คุณแม่จะมาบังคับปรางไม่ได้”
รัชนีและปรางทิพย์คุยกันอยู่ในห้องรับแขก คนใช้ยกกระเป๋าเดินทางขึ้นรถ
“ทำไมจะไม่ได้ ในเมื่อ แม่เป็นแม่”
ภคพงษ์เข้ามา มอง 2 แม่ลูกอย่างงงๆ แต่ทั้งคู่ยังไม่เห็นภคพงษ์
“ปรางจะอยู่ที่นี่ต่อไปอีกไม่ได้นะลูก”
ภคพงษ์ชะงัก อารมณ์คนดีหายวับกลับกลายเป็นโมโหที่จะโดนทิ้ง
รัชนีลากคว้าข้อมือปรางทิพย์
“ ปรางต้องไปนะลูก เพื่อตัวปรางเอง ไป”
ทันใดนั้นเสียงภคพงษ์ก็ดังขึ้น
“เพื่อใครกันแน่”
รัชนีชะงักหันขวับมา เห็นภคพงษ์ยืนอยู่
“ภคพงษ์”
“พี่ภัค”
ปรางทิพย์จะวิ่งไปหาภคพงษ์ รัชนีกระชากแขนไว้
“ไปไม่ได้นะปราง”
ปรางทิพย์เซล้มลงที่พื้น “โอ้ย”
ภคพงษ์มองดูปรางทิพย์ที่ล้มลงด้วยความสงสาร
“น้องปราง”
รัชนีเอาตัวมาขวางไว้
“อย่าเข้ามานะ”
ภคพงษ์ชะงัก มองหน้ารัชนี แววตารัชนีมองภคพงษ์ด้วยความรังเกียจและโกรธแค้นอย่างเห็นได้ชัด
“เธอทำให้เราสองคนแม่ลูกแตกแยกกันมากพอแล้ว หยุดซักที หยุดและออกไปจากชีวิตเราสองคนได้แล้ว”
ภคพงษ์จุกรู้สึกเหมือนโดนไล่อย่างไม่ไยดี ปรางทิพย์ลุกขึ้น
“คุณแม่ ทำไมคุณแม่พูดแบบนี้ ปรางไม่เคยรังเกียจที่พี่ภัคเข้ามาในชีวิตปรางแม้แต่นิดเดียว”
ภคพงษ์สวนทันที
“ปรางไม่รังเกียจ แต่คุณแม่ของปรางเค้ารังเกียจ เค้ารังเกียจพี่ รังเกียจมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว”
ภคพงษ์มองรัชนีด้วยความแค้นและเศร้าลึกๆในใจ รัชนีไม่กล้าสู้หน้าหันไปทางอื่น ปรางทิพย์มองด้วยความงง
“พี่ภัคพูดแบบนี้หมายความว่ายังไงคะ พูดยังกับพี่ภัคกับคุณแม่รู้จักกันมานานแล้ว”
รัชนีสวนทันที
“ไม่มีอะไร ไม่มีอะไรทั้งนั้น หยุดพูดเถอะ ที่ผ่านมามันคงจะสะใจเธอมากพอแล้ว ฉันไม่ยอมปล่อยให้ปรางทิพย์อยู่เป็นเหยื่อให้เธอทำร้ายมากไปกว่านี้ ไปได้แล้วลูก”
ภคพงษ์สะดุดกึกถาม
“นี่พวกคุณจะไปไหน”
รัชนีไม่ตอบ แต่ปรางทิพย์ตอบเอง
“คุณแม่บังคับให้ปรางไปอังกฤษ แล้วบอกว่าจะไม่กลับมาประเทศไทยอีก แต่ปรางไม่อยากไป”
“ปรางต้องไป เธอมีชีวิตของเธอ ฉันมีชีวิตของฉัน หวังว่าเราคงไม่ต้องเจอกันอีก”
รัชนีลากปรางทิพย์ออกจากบ้าน
ภคพงษ์รู้สึกเจ็บปวดแล้วถามขึ้น
“ คุณจะหนีผมไปอีกแล้วใช่มั้ย”
รัชนีหันขวับมามองภคพงษ์ที่กำลังยืนมองตาเศร้า
“พี่ภัคช่วยปรางด้วย พี่ภัค”
ภคพงษ์นึกถึงตอนรัชนีเดินออกจากบ้าน ทิ้งภคพงษ์ไปในวัยเด็กซ้อนเข้ามา
“แม่..คุณแม่อย่าไปนะครับ คุณแม่ คุณแม่”
รัชนีอึ้งๆ ภคพงษ์ในปัจจุบัน น้ำตาปริ่มๆ จะไหล รู้สึกเหมือนโดนแม่ทิ้งเป็นครั้งที่สอง
“คุณจะทิ้งผมไปอีกแล้ว”
รัชนีอยู่ไม่ได้แล้ว ตัดสินใจกระชากปรางทิพย์ที่งงๆกับคำพูดภคพงษ์ไปทันที และในวูบนั้นเองแวว
ตาของภคพงษ์ก็แข็งกร้าวขึ้น ไม่ยอม ภคพงษ์หันขวับไปที่หน้าบ้าน ตามรัชนีและปรางทิพย์ไป

คนรถมะงุมมะงาหราอยู่ที่รถ สตาร์ทรถแล้วก็เงอะงะ ไม่เห็นมีใครเดินออกมาสักที ทันใดนั้นรัชนีก็ลากปรางทิพย์ออกมา
“ปรางไม่ไป ปรางไม่ยอมไป คุณแม่ปล่อยปรางนะคะ ปรางบอกให้ปล่อย เมื่อกี้พี่ภัคพูดอะไรคะ คุณแม่เคยทิ้งพี่ภัคตอนไหน คุณแม่เคยรู้จักกับพี่ภัคเมื่อไหร่ คุณแม่ปิดบังอะไรปรางกับคุณพ่อ”
ปรางทิพย์ยังเข้าใจว่า ความสัมพันธ์ของรัชนีกับภคพงษ์เป็นเรื่องชู้สาว รัชนีพูดไม่ออกบอกไม่ถูก ชะเง้อกลัวภคพงษ์ตามมา จึงรีบผลักปรางทิพย์ขึ้นรถ
“ขึ้นรถ”
รัชนีรีบวิ่งหัวซุกหัวซุนขึ้นนั่งที่คนขับ สตาร์ทรถพุ่งออกไปเลย คนรถได้แต่ยืนเกาหัวแกรกๆ
“อ้าว ไงวะเนี่ย”
ภคพงษ์วิ่งพรวดตามออกมา แต่ไม่ทันแล้ว รถรัชนีแล่นออกต่อหน้าต่อตา ปรางทิพย์หันมาเห็นและมองภคพงษ์ทั้งน้ำตา
“พี่ภัค”
รัชนีไม่แม้แต่จะปรายตามามอง ภคพงษ์แค้นใจถึงขีดสุด
“ผมจะไม่ยอมให้คุณทิ้งผมไปอีกเป็นครั้งที่ 2 คุณรัชนี”
ภคพงษ์พูดด้วยความแค้นแล้วเดินมาที่รถอย่างเร็ว ก่อนจะสตาร์ทและขับตามไปอย่างบ้าคลั่ง

ด้วยความโกรธ แค้น และเสียใจ ที่ถั่งโถมในใจ ทำให้ภคพงษ์ลืมคำสัญญาที่ให้ไว้กับรสาจนหมดสิ้น

โปรดติดตาม "ตะวันทอแสง" ตอนที่ 14
กำลังโหลดความคิดเห็น