ตะวันทอแสง ตอนที่ 12
ภายในเถลิงยศจิเวลรี ภคพงษ์คุยโทรศัพท์กับปรางทิพย์ด้วยสีหน้าเครียด
“คุณรัชนีบอกให้ปรางเลิกกับพี่”
ปรางทิพย์คุยโทรศัพท์กับเครื่องเก่าๆราคาถูกอยู่ในห้องนอนด้วยความเซ็ง เศร้า และโกรธ
“ค่ะ แล้วคุณแม่ก็สั่งยึดโทรศัพท์ คอมพิวเตอร์ ไม่ให้ปรางติดต่อกับพี่ภัค ไม่ให้ปรางออกไปไหน แล้วยังบอกว่าจะส่งปรางไปฝรั่งเศสอาทิตย์หน้า ปรางจะทนไม่ไหวแล้วนะคะพี่ภัค”
ภคพงษ์หน้าเครียด คิดและแค้น
“ที่ปรางโทร.หาพี่ภัคได้ ก็ต้องยืมโทรศัพท์จากพี่แม่บ้าน ปรางไม่เคยคิดเลยนะคะว่าคุณแม่จะทำแบบนี้ คุณแม่ทำเหมือนปรางไม่ใช่ลูกของเค้าแต่เป็นนักโทษ”
ปรางทิพย์บ่นต่อด้วยความหงุดหงิด
“ถ้าพี่ภัคไม่บอกให้ปรางใจเย็นๆ ทำตัวให้น่ารัก ปรางไม่มีวันยอมโดนขังแน่ๆ”
ภคพงษ์พยายามพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่น
“น้องปรางทำถูกแล้วครับ ทำตัวเป็นเด็กดี ไม่ดื้อ ส่วนเรื่องคุณแม่...พี่ภัคจะคุยกับท่านเอง วันนี้คุณแม่อยู่ที่บ้านหรือเปล่าครับ”
ปรางทิพย์ตอบเซ็งๆ
“ไม่อยู่ค่ะ คุณแม่ออกไปงานเลี้ยงกับคุณพ่อค่ะ”
ภคพงษ์ยิ้มร้าย
“งานเลี้ยงที่ไหนครับ”
สายใจนั่งลงที่ประจำ ด้วยหน้าตาหนักใจและเห็นใจ
“คุณรสามีเรื่องจะคุยกับป้าเหรอคะ”
รสายืนอยู่ตรงหน้า รสาเองก็หนักใจไม่น้อยไปกว่ากัน
“ค่ะ เรื่องสำคัญที่รสเองก็ไม่รู้ว่าจะคุยกับใคร นอกจากป้าใจ”
สายใจมองหน้าแล้วถาม
“เรื่องคุณหนูใช่มั้ยคะ”
รสาพยักหน้า
“คุณเผด็จบอกป้าแล้วค่ะว่าคุณรู้ความจริงหมดแล้ว”
“รสงงมากค่ะ รสไม่เข้าใจเลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น คุณเผด็จบอกให้รสช่วย รสรับปากว่าจะช่วยแต่ รสไม่รู้จะช่วยอะไร ไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไร รสไม่รู้แม้กระทั่งตัวตนที่แท้จริงของผู้ชายอย่างภคพงษ์”
รสาระบายความในใจออกมาอย่างหมดสิ้น
“รสไม่เข้าใจว่าเค้าทำแบบนี้กับแม่ กับน้องสาวตัวเองได้ยังไง เมื่อกี้รสเห็นคุณรัชนียืนร้องไห้อยู่ในบ้าน รสเห็นแล้วก็สงสาร แต่ก็ไม่รู้จะช่วยยังไงจริงๆนะคะ รสคิดไม่ออกว่าอะไรที่ทำให้คนคนหนึ่งทำเรื่องใจร้ายได้ขนาดนี้”
สายใจค่อยๆอธิบาย
“คุณหนูเป็นคนน่าสงสารมากนะคะ ตั้งแต่คุณผู้หญิงทิ้งไป ป้าไม่เคยเห็นคุณหนูมีความสุขเลย ที่คุณหนูทำไปทุกอย่างก็เพื่อต้องการการยอมรับจากคนที่เป็นแม่ แต่คุณผู้หญิงก็ให้ไม่ได้ ทุกวันนี้คุณหนูก็เจ็บไม่น้อยไปกว่าคุณรัชนี และคุณปรางทิพย์เลยนะคะ”
สายใจน้ำตาร่วงด้วยความสงสารภคพงษ์ รสาค่อยๆเบาลง จากโกรธๆกรุ่นๆงุนงง เริ่มคลายลงเล็กน้อย
“แต่เค้าไม่มีสิทธิ์เอาความน่าสงสารของตัวเองไปทำร้ายคนอื่นนะคะ”
“ที่คุณหนูทำ เพราะไม่มีสตินะคะ คุณเผด็จกับป้าก็เลยขอร้องให้คุณรสามาเตือนสติคุณหนูไงคะ”
“แล้วรสจะเตือนเค้ายังไงคะ รสไม่รู้จริงๆ ไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไร”
สายใจมองรสากลับอย่างเมตตา
“ทำตามความรู้สึกของตัวเองสิคะ”
รสาคิดแล้วก็พูดตรงๆ
“นั่นล่ะค่ะคือปัญหา รสไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกยังไงกันแน่”
สายใจจับมือรสา
“คุณรสา ป้าเข้าใจนะคะ คุณหนูอาจจะไม่ใช่คนที่น่ารักในสายตาของคุณ แต่ลองเปิดใจดูสักครั้งถามตัวเองว่ารู้สึกยังไง และแสดงความรู้สึกนั้นออกมา ป้าเชื่อว่าความรู้สึกที่คุณมีต่อคุณหนู จะทำให้คุณหนูตาสว่างค่ะ”
สายใจให้กำลังใจรสา รสาคิดแล้วก็ตอบออกมา
“ค่ะ รสจะลองคิดดูว่าคิดยังไง รู้แล้วจะรีบบอกให้คุณหนูของป้าใจทราบ และหวังว่าเค้าจะตาสว่างอย่างที่ป้าบอกจริงๆนะคะ”
รสารับปากอย่างมั่นเหมาะ สายใจยิ้มอย่างสบายใจ
ที่งานเลี้ยงเล็กๆ รัชนียกเครื่องดื่มดื่มพรวดด้วยความกลุ้ม สุวิทย์ยืนคุยกับเพื่อนนักธุรกิจไม่ห่างออกไปมาก สุวิทย์มองรัชนีด้วยความแปลกใจ ก่อนจะเดินมาหา
“รัช เป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมวันนี้ดื่มหนักจัง”
“รัชกลุ้มใจเรื่องลูกน่ะค่ะ ลูก ใช่ รัชกลุ้มใจเรื่องลูก ไม่คิดเลยว่าลูกจะทำกับเราแบบนี้”
รัชนีนึกถึงภคพงษ์ไม่ใช่ปรางทิพย์
“ผมว่าคุณเมาแล้วล่ะ อยากกลับบ้านก่อนมั้ย”
“ไม่เป็นไรค่ะ รัชอยู่ได้ รัชไม่เมา คุณต้องมีพูดปิดงานไม่ใช่เหรอคะ รัชอยู่ได้ ไม่ต้องห่วง”
รัชนีเดินไปจะหยิบแก้วเครื่องดื่มที่วางอยู่ตรงหน้า แต่เซเพราะความมึน รัชนีเซไปชนกับโต๊ะอาหารดังโครม
“รัช”
รัชนียันตัวไว้ คนในงานหันมามอง
ภคพงษ์เดินเข้ามาในงานพอดี เห็นรัชนีกับสุวิทย์ก็ยิ้มร้ายเดินเข้ามาหา
รัชนียันตัวไว้ สุวิทย์รีบเข้ามาประคอง
“กลับก่อนดีมั้ย ผมว่าคุณคงไม่ไหวแล้ว”
รัชนียันตัวไว้แล้วเซอีก แต่บอก
“ไหวค่ะไหว”
สุวิทย์ส่ายหน้า
“แต่ผมว่าไม่ไหว กลับบ้านดีกว่า ผมให้คนรถขับไปส่งคุณ เดี๋ยวผมกลับแท็กซี่เอง”
ทันใดนั้นเสียงภคพงษ์ก็ดังขึ้น
“ผมขอรับหน้าที่ไปส่งคุณรัชนีเองนะครับ”
รัชนีและสุวิทย์หันไป เห็นภคพงษ์ยืนอยู่ รัชนีชะงักกึกทันที
“อ้าวคุณภัค มาร่วมงานด้วยเหรอครับ บังเอิญจัง”
“ครับ เพิ่งมาถึง พอดีเห็นว่าคุณรัชนีท่าทางไม่ค่อยดีก็เลยเป็นห่วงน่ะครับ ถ้าคุณสุวิทย์วางใจ ผมขออนุญาตพาคุณรัชนีไปส่งที่บ้านนะครับ คุณจะได้อยู่กล่าวปิดงาน”
รัชนีรีบบอก
“ไม่เป็นไร ฉันอยู่ได้”
ภคพงษ์ชะงักเหมือนโดนปฎิเสธ สุวิทย์เห็นสภาพรัชนีแล้วตัดสินใจ
“ผมรบกวนคุณภัคด้วยแล้วกันนะครับ”
“คุณคะ”
สุวิทย์พูดกับรัชนี
“เชื่อผมเถอะ คุณไม่ไหวแล้วจริงๆ”
ภคพงษ์ผายมือ
“เชิญครับ”
รัชนีมองหน้าภคพงษ์แล้วจำใจยอมเดินไปด้วยอาการเมา รัชนีเซ ภคพงษ์ส่งแขนมาให้ รัชนีจำใจ
ต้องจับแขนไว้และเดินไปแบบมึนๆ สุวิทย์มองตามด้วยความเป็นห่วง
ปรางทิพย์เดินไปมาในบ้านด้วยความเบื่อ ดูนาฬิกา 6 โมงเย็นแล้วก็พยายามจะอ่านหนังสือเรียน แต่ก็ไม่มีสมาธิ ปรางทิพย์ปิดหนังสือ แล้วเดินไปนั่งที่ริมหน้าต่าง เหมือนนกน้อยในกรงทอง
รถภคพงษ์แล่นเข้ามาจอด ที่หน้าบ้าน บริเวณริมสวน รัชนีรีบเปิดประตูลงมาด้วยอาการมึนๆ เมาๆ
ภคพงษ์ปิดประตูตามลงมา รัชนีรีบร้อนลงจากรถด้วยความมึนก็เซจะล้มอีก ภคพงษ์รีบเข้าไปประคอง
“ระวัง”
รัชนีจับแขนภคพงษ์ไว้
รัชนีมองหน้าภคพงษ์ที่อยู่ใกล้แค่คืบอย่างอึ้งๆ ใบหน้าของภคพงษ์วัยเด็กแวบเข้ามา รัชนีพยายามจะสะบัดหน้าทิ้งความคิดนั้น และยันตัวลุกขึ้นยืนให้ตรง
“ไม่เป็นไรฉันเดินเองได้”
รัชนีเดินไปได้อีก 2-3 ก้าวก็เซจะล้มลงไปกองอยู่ที่พื้น
“ว้าย”
ภคพงษ์ส่ายหน้าแล้วก็เดินเข้ามาประคองด้วยความเป็นห่วง
“ให้ผมช่วยจะดีกว่า”
รัชนีหันมามองภคพงษ์อีกครั้ง หน้าของภคพงษ์ตอนนี้ดูอ่อนโยนลงกว่าตอนที่ห้ำหั่นกัน รัชนีพาลคิดถึงอดีต
ด้วยความมึนๆกึ่งเมา
“คุณแม่ คุณแม่ คุณแม่”
คำพูดของสายใจแวบเข้ามา
“คุณหนู รักคุณผู้หญิงมากนะคะ ตั้งแต่เล็กจนโต คุณหนูเฝ้ารอวันที่คุณผู้หญิงจะกลับมา คุณหนูอาจจะไม่แสดงออกและดิฉันกับคุณเผด็จรู้ดีว่าคุณหนูไม่เคยลืมคุณเลยนะคะ ตอนเด็กๆทุกวันเกิด คุณหนูจะไม่ยอมเป่าเค้ก และรอ รอให้คุณผู้หญิงมาหาเธอ คุณหนูเล่นเปียโนเพลงที่คุณชอบทุกวัน และก่อนนอนก็จะถามดิฉันทุกคืนว่า เมื่อไหร่คุณผู้หญิงจะกลับมา คุณหนูน่าสงสารมากนะคะ “
รัชนีมองหน้าภคพงษ์ที่อยู่ตรงหน้า แล้วก็โผเข้ากอดด้วยความสงสารที่ซ่อนอยู่ลึกๆภายใน
“ภคพงษ์”
รัชนีกอดภคพงษ์และร้องไห้ออกมาด้วยความมึน...และเมา ผสมกับความรู้สึกผิดที่อัดแน่นมานาน ภคพงษ์อึ้ง นึกไม่ถึงได้แต่ยืนตัวแข็งทื่อ เพราะนี่คืออ้อมกอดแรกของแม่ หลังจากที่เธอทิ้งเค้าไป
ภคพงษ์ทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกยังไง รัชนีกอดภคพงษ์ด้วยความรัก
ที่ด้านหลังห่างออกไป ปรางทิพย์ยืนอึ้ง ช็อกอยู่ แล้วรีบหลบเข้าที่มุมตึกทันที
ปรางทิพย์เดินเข้ามาในบ้านด้วยอาการช็อกกับภาพที่เห็นยังติดตาจนทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ยืนตัวสั่นน้ำตาคลออยู่คนเดียว
รัชนีค่อยๆคลายกอดจากภคพงษ์ที่ยืนตัวแข็งด้วยความงง กับความรู้สึกของตัวเอง
“ฉันขอโทษ ฉันคงจะเมามากไปหน่อย”
รัชนีตั้งสติกลับมาเป็นรัชนีคนเดิม ภคพงษ์ถาม
“คุณ แน่ใจนะครับว่ากอดผมเพราะความเมา ไม่ใช่กอดเพราะความรู้สึกผิด”
รัชนีมองหน้าภคพงษ์แล้วก็ไม่ยอมรับอีกตามเคย
“ฉันไม่ได้ทำอะไรผิด ทำไมต้องรู้สึกผิดด้วย”
ภคพงษ์ชะงัก ความโกรธพุ่งขึ้นมาอีก
“ขอบใจมากที่มาส่ง อ้อ อีกเรื่องที่อยากจะบอก ปล่อยปรางทิพย์ไปซะเถอะ หมดเวลาเล่นเกมกับความรู้สึกแล้ว ยิ่งเล่นต่อไปก็มีแต่คนที่จะต้องเจ็บกับเจ็บ ไม่มีใครมีความสุขแม้แต่คนเดียว”
รัชนีพูดจบก็หันหลังเดินเข้าบ้านไป ภคพงษ์ถามไล่หลัง
“ไม่ว่าผมจะทำยังไง คุณก็จะไม่ยอมรับความจริงใช่มั้ย”
รัชนีชะงัก แล้วก็หยุดเดิน คิดก่อนจะตอบสั้นๆ แต่หนักแน่นว่า “ใช่”
“ผมจะทำให้คุณยอมให้ได้” ภคพงษ์บอกทิ้งท้าย
ปรางทิพย์เดินเข้ามาในห้องนอนด้วยความสับสน ร้อนรนใจ ที่หน้าห้อง รัชนีเดินมึนมาเคาะประตู
“ปราง ปราง แม่เข้าไปนะลูก”
ปรางทิพย์สะดุ้งนิดๆ หันมาที่ประตูที่ถูกเปิดออก รัชนีเดินยิ้มเข้ามา ปรางทิพย์มองด้วยสายตาเป็นศัตรูกับรัชนีอย่างเต็มที่
“เป็นอะไรหรือเปล่าลูก”
“เป็นค่ะ...เป็นมากด้วย” ปรางทิพย์น้ำตาจะไหล
รัชนีรีบเข้ามาหา
“เป็นอะไร”
รัชนียังพูดไม่ทันจบ ปรางทิพย์ถอยหนี
“คุณแม่ดื่มเหล้าด้วยเหรอคะ”
“อ๋อ ก็ นิดหน่อยน่ะจ้ะ ปรางบอกแม่ได้มั้ย ว่าลูกเป็นอะไร”
“ปรางว่าคุณแม่ไปอาบน้ำให้สร่างเมาแล้วเราค่อยมาคุยกันดีกว่าค่ะ ให้ปรางพูดตอนนี้ คุณแม่ก็คงไม่รู้เรื่อง” ปรางทิพย์พูดเสียงแข็งมาก รัชนีคิดตามแล้วก็ยิ้ม
“ก็ได้จ้ะ งั้นรอแม่แป๊บนึงนะ อาบน้ำเสร็จแล้วแม่จะมาคุยด้วย”
รัชนีเดินออกไป ปรางทิพย์มองตามด้วยแววตาเต็มไปด้วยความไม่พอใจ สับสน และไม่เข้าใจ
พอลับหลังรัชนีปรางทิพย์ก็หันไปคว้ากระเป๋าสะพายและรีบเดินออกไปทันที
ตกกลางคืน รสากำลังตรวจงานวอลล์เปเปอร์อยู่ในเรือนสีขาว ตอนนี้ไม่มีคนแล้ว รสาทำงานไปในใจก็คิดไปถึงตอนที่ภคพงษ์บอกให้อยู่รอ
“ผมมีประชุมพอดี ต้องรีบไป เย็นนี้จะรีบกลับมาถ้าคุณยังไม่กลับ ทานข้าวด้วยกันนะ”
“ฉัน”
“ผมมีของบางอย่างจะให้คุณ แล้วเจอกัน”
รสาคิด คำพูดสายใจดังเข้ามา
“คุณรสา ป้าเข้าใจนะคะ คุณหนูอาจจะไม่ใช่คนที่น่ารักในสายตาของคุณ แต่ลองเปิดใจดูสักครั้ง ถามตัวเองว่ารู้สึกยังไง และแสดงความรู้สึกนั้นออกมา ป้าเชื่อว่าความรู้สึกที่คุณมีต่อคุณหนู จะทำให้คุณหนูตาสว่างค่ะ”
รสาคิดถึงหน้าภคพงษ์ตอนน่ารัก และ ตอนร้าย ขึ้นสลับกันไปมาในความคิดของรสา
รสาคิดอย่างหนัก
“ความรู้สึกที่แท้จริงมันคืออะไรนะ”
ภคพงษ์เดินเข้ามาในบ้าน เปลี่ยนเดินตามเข้ามาพร้อมถุงใส่คอมพิวเตอร์โน้ตบุ้ก
“คุณภัคจะให้ผมเอาของไว้ที่ไหนครับ”
“วางไว้ที่นี่”
เปลี่ยนวางไว้ที่โต๊ะ ภคพงษ์หันมาถามต่อ
“รสากลับไปหรือยัง”
“ยังครับ ผมเห็นยังทำงานอยู่ที่เรือนสีขาวอยู่เลยครับ”
ภคพงษ์พยักหน้ารับรู้
“บอกให้ปุยนุ่นจัดโต๊ะอาหารได้เลย เดี๋ยวฉันกับคุณรสาจะมาทาน”
“ครับ”
เปลี่ยนเดินออกไป
ภคพงษ์เดินมาที่ถุงใส่ของหยิบกล่องคอมพิวเตอร์ออกมาแล้วก็ยิ้มๆ คิดถึงรสา แล้วใส่ถุงไว้เหมือนเดิม ภคพงษ์กำลังจะเดินออกไปตามรสา ทันใดนั้นสายใจก็เดินเข้ามาหน้าเจื่อนๆ
“คุณหนูคะมีแขกมาขอพบค่ะ”
ภคพงษ์หยุดมองผ่านไปด้านหลังของสายใจด้วยความแปลกใจ เมื่อเห็นปรางทิพย์เดินเข้ามา
“พี่ภัค”
ปรางทิพย์โผเข้ามากอดภคพงษ์พร้อมกับร้องไห้ ภคพงษ์ตกใจ แปลกใจเป็นอย่างมาก รีบรับกอด และพยักหน้าให้สายใจออกไป สายใจเดินออกไปพร้อมปิดประตู
“น้องปรางใจเย็นๆนะครับ ใจเย็นๆนะ มีอะไรค่อยๆเล่าให้พี่ภัคฟังนะครับ”
ปรางทิพย์ร้องไห้ในอ้อมกอดของ ภคพงษ์ค่อยๆวางถุงของลง พลางคิดคงไม่ได้ไปหารสาในตอนนี้เสียแล้ว
รสายังรออยู่ที่เรือนสีขาวจน เริ่มหงุดหงิด ดูนาฬิกาด้วยความเซ็ง
“นี่เรากำลังทำเรื่องโง่ๆอยู่หรือเปล่า เราให้ความสำคัญกับคนผิดหรือเปล่า รสา เธอรู้ตัวใช่มั้ยว่า กำลังทำอะไรอยู่หรือว่าเธอไม่รู้ตัว”
รสาด่าตัวเอง ด้วยความหงุดหงิด
ภคพงษ์ประคองปรางทิพย์นั่งที่โซฟา
“พี่ภัคอย่าโกรธปรางเลยนะคะพี่ปรางหนีออกจากบ้านมาแบบนี้ แต่ปรางทนไม่ได้จริงๆ คุณแม่ คุณแม่ทำกับปรางเกินไป”
“คุณแม่ทำอะไรน้องปรางอีก”
ปรางทิพย์พูดไม่ออก ครั้นมองหน้าภคพงษ์แล้วก็ยิ่งเสียใจ
“ที่จริง พี่ภัคก็น่าจะรู้ดีอยู่แล้วนะคะว่าคุณแม่ทำอะไรไว้”
ภคพงษ์ชะงัก เอ๊ะ หรือว่าปรางทิพย์รู้แล้ว
“พี่อาจจะรู้ แต่พี่ไม่แน่ใจว่า เรื่องที่พี่รู้ กับเรื่องที่ปรางรู้ มันคือเรื่องเดียวกันหรือเปล่า”
ปรางทิพย์หน้าเสีย
“นี่คุณแม่ทำเรื่องเลวร้ายไว้มากมายจนเรานับกันไม่ถูกเลยเหรอคะว่าเป็นเรื่องเดียวกันหรือเปล่า ปรางไม่อยากเชื่อเลย ไม่อยากเชื่อเลยจริงๆ”
“ตกลงเรื่องที่ปรางรู้คือเรื่องอะไรครับ”
ภคพงษ์มองหน้าลุ้นรอคำตอบอยู่
ตะวันทอแสง ตอนที่ 12 (ต่อ)
ปรางทิพย์ก้มหน้าอย่างละอายใจ เอ่ยออกมาไม่เต็มเสียง
“ปราง ปราง ปรางเห็นคุณแม่กอดกับพี่ภัคอยู่ในสวนค่ะ”
ภคพงษ์ชะงัก อ้าว...ไม่ใช่เรื่องนั้น
“ ปรางเห็นว่าคุณแม่เป็นคนโผเข้าไปกอดพี่ภัคก่อน ปรางรู้เลยว่าที่ผ่านมา ทำไมคุณแม่ถึงกีดกันปราง เพราะจริงๆแล้ว..คุณแม่รักพี่ภัค”
ภคพงษ์ผงะนิดๆ แล้วก็ยิ้ม
“น้องปราง คิดมากไปแล้วครับ”
“ถ้าปรางคิดมาก พี่ภัคบอกเหตุผลอื่นที่ทำให้คุณแม่กอดพี่ภัคในที่ลับตาคนมาสิคะ ทำไม ทำไมคุณแม่ต้องกอดพี่ภัคด้วย”
ภคพงษ์อยากจะบอกด้วยความสะใจ แต่ไม่ดีกว่า รออีกนิด แล้วก็เข้าประเด็น
“พี่ว่าเรื่องนี้ น้องปรางถามคุณแม่เองดีกว่านะครับ ถ้าคุณแม่หาน้องปรางไม่เจอพี่คิดว่าอีกไม่นาน ท่านจะต้องตามมาที่นี่แน่ๆ”
ภคพงษ์ยิ้มร้ายอย่างสะใจ
ภายในห้องนอนของปรางทิพย์ รัชนียืนอยู่กลางห้องที่ว่างเปล่า รัชนีหน้าเครียด ตะโกนขึ้น
“ปรางทิพย์อยู่ไหน”
คนใช้ 2-3 คนวิ่งเข้ามาอย่างเร็ว รัชนีหันมาถาม
“ ฉันถามว่าปรางทิพย์หายไปไหน”
“คะ คือ คุณหนูออกไปข้างนอกค่ะ”
“ออกไปข้างนอก ออกไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ออกไปไหน หะ”
รัชนีถามด้วยความโกรธ
ประตูห้องนอนของภคพงษ์ถูกเปิดออก ภคพงษ์เดินนำปรางทิพย์เข้ามา สายใจกำลังจัดที่นอนให้อยู่
“น้องปรางนอนพักที่ห้องนี้นะครับ ห้องนี้เป็นห้องของพี่เอง พักผ่อนได้ตามสบาย”
สายใจลอบมองหน้าภคพงษ์ แววตาถามประมาณว่า แน่ใจเหรอคะ
ภคพงษ์ถามปรางทิพย์
“แน่ใจนะครับว่าจะไม่กลับบ้าน”
“แน่ใจค่ะ ถ้าคุณแม่ไม่สามารถอธิบายเหตุผลให้ปรางฟังได้ ปรางจะไม่กลับไปบ้านนั้นอีกแล้ว ไม่กลับไปอีกแล้ว”
สายใจมองปรางทิพย์ด้วยความสงสาร
“พี่จะให้ป้าสายใจมาอยู่เป็นเพื่อน ปรางต้องการอะไรก็บอกป้า”
“ค่ะ”
ภคพงษ์ลูบศรีษะปรางทิพย์ด้วยความเอ็นดู แต่แววตาแอบเหี้ยมเวลาที่คิดถึงรัชนี
“พักผ่อนให้สบาย อีกไม่นานคุณแม่ก็คงจะมา แล้วเราค่อยเคลียร์”
สายใจมองหน้าภคพงษ์ ใจคอเริ่มไม่ค่อยดีเลย
ภคพงษ์เดินออกมาจากห้องนอน สายใจรีบเดินตามออกมา ปิดประตูและพูดขึ้น
“คุณหนูคะ ป้าว่าพาคุณปรางทิพย์ไปส่งบ้านไม่ดีกว่าเหรอคะ”
“ไม่ ผมอยากเห็นหน้าแม่เค้าตอนที่มาตามตัวลูกสาว แล้วเห็นว่าลูกตัวเองนอนอยู่ในห้องนอนของผม บนเตียงของผม ผมอยากรู้ว่าเค้าจะทำหน้ายังไง”
“คุณหนู”
“ฝากป้าใจดูแลปรางทิพย์ด้วย ผมจะลงไปรอแม่เค้าข้างล่าง”
ภคพงษ์ยิ้มร้ายอย่างสะใจจนลืมรสาไปสนิท
รสานั่งรอจนเซ็ง รสาตัดสินใจลุกขึ้นแล้วก็หยิบกระเป๋า
“ไปบอกป้าใจว่าไม่รอแล้ว”
รสาพูดบ่นแล้วก็เดินออกไป
ในเวลาต่อมา รัชนีเดินฉับๆๆ เข้ามาในบ้านภคพงษ์ด้วยความโมโห เปลี่ยนรีบเดินตามมา
“คุณครับคุณ รอก่อนครับ ผมไปเรียนคุณภคพงษ์ก่อนนะครับ”
“ไม่ ฉันไม่รอ”
ภคพงษ์เดินออกมาต้อนรับ รัชนีหยุดเดินแล้วเผชิญหน้ากับภคพงษ์ เปลี่ยนยืนอยู่อย่างงงๆ
“เปลี่ยน ออกไปได้ ฉันดูแลเอง”
“ครับ”
เปลี่ยนเดินออกไป ประตูยังเปิดอยู่ ภคพงษ์และรัชนีเผชิญหน้ากัน
รสาเดินเข้ามาในบ้านเถลิงยศ แต่ทุกอย่างเงียบกริบ รสามองหาสายใจ ทันใดนั้นเสียงรัชนีก็ดังมา
“ปรางทิพย์อยู่ที่ไหน”
รสาหันไปที่ต้นเสียงทันที
ภคพงษ์ตอบเสียงกวนๆ ตั้งใจจะให้คิดว่าเป็นอย่างอื่น
“อยู่บนห้องนอนผม ตอนนี้คงจะหลับอยู่ เพราะเมื่อครู่เพลียมาก”
รัชนีฉุนขาดทันที
“เธอทำอะไรปรางทิพย์”
“ผมก็ทำในสิ่งที่ผมต้องการ ในเมื่อเราสองคนรักกัน เราก็ต้องทำในสิ่งที่คนรักควรจะทำต่อกัน”
รัชนีตัวชาวาบ ทั้งโกรธทั้งเสียใจ
ที่หน้าห้องรสายืนฟังอยู่ถึงกับยืนตัวแข็งและอึ้งไปเหมือนกัน
รัชนีเสียงสั่นด้วยความโกรธ
“เธอทำแบบนี้ได้ยังไง ทำได้ยังไง หะ”
“ทีคุณยังทำเรื่องที่มันเลวร้ายได้ ทำไมผมจะทำบ้างไม่ได้ และอย่าหวังว่าผมจะรู้สึกผิด เพราะผมไม่ได้ทำอะไรผิดเหมือนกับที่คุณเองก็ไม่เคยรู้สึกผิดเหมือนกัน”
ภคพงษ์ยืนยันเพิ่มความเข้าใจผิดอย่างสะใจ รัชนีโกรธจนตัวสั่น
รสาเซ แทบจะหมดแรง แต่ยังฝืนยืนฟังต่อไปด้วยใจช้ำ ภคพงษ์พูดต่ออย่างสะใจ
“คุณไม่ต้องห่วง ผมจะรับผิดชอบในสิ่งที่ผมทำลงไป ผมยินดีแต่งงานกับปรางทิพย์ตามที่เคยบอกไว้”
“แต่เธอก็รู้ว่า เธอแต่งงานกับปรางทิพย์ไม่ได้”
“ผมไม่แคร์ ปรางทิพย์ไม่แคร์ หรือว่าคุณรัชนีจะแคร์ ถ้าคุณแคร์ และต้องการจะยุติการแต่งงานของเราสองคน คุณก็รู้ดีอยู่แล้วว่าต้องทำยังไง สิ่งที่ผมต้องการมีเพียงอย่างเดียว คือ บอกความจริงกับทุกคน มันก็แค่นั้นเอง”
ภคพงษ์กวนสุดๆ รัชนีโกรธขยตัวสั่น
“เพียงเพราะต้องการแก้แค้น เธอกล้าทำถึงขนาดนี้เลยเหรอ ทำไม ทำไม”
“เพื่อความยุติธรรม ในเมื่อคุณทำให้คนอื่นเสียใจ เจ็บปวดได้ คุณเองก็ควรจะได้รับเช่นกัน นี่แค่เริ่มต้น หลังจากที่ผมกับปรางแต่งงานกัน คุณจะต้องเจ็บปวดกว่านี้อีกร้อยเท่า พันเท่า”
รัชนีตะโกนออกมา
“พอ พอได้แล้ว ฉันขอร้องล่ะ พอได้แล้ว ได้โปรด อย่าทำแบบนี้อีกเลยนะ ปล่อยปรางทิพย์ไปเถอะ เท่านี้มันก็มากเกินไปแล้ว อย่าถึงกับต้องแต่งงานกันเลย ฉันขอร้อง”
รัชนีร้องไห้ ภคพงษ์มองด้วยสายตาเย็นชา
รสาแอบฟังใจสั่น น้ำตาคลอ ทั้งเสียใจและเกลียดชัง รสาค่อยโผล่หน้าออกมาดูสถานการณ์ด้านใน ให้แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น
รัชนีค่อยๆ คุกเข่าลง น้ำตาไหลพรากต่อหน้าภคพงษ์
“ฉันยอมคุกเข่าขอร้องเธอ ปล่อยปรางทิพย์ไปเถอะ อย่าทำแบบนี้กับเธออีกเลย ฉันขอร้อง”
รสาเห็นภาพรัชนีคุกเข่าต่อหน้าภคพงษ์แล้วอึ้งไป ภาพของแม่ที่คุกเข่าอ้อนวอนต่อหน้าลูก เป็นภาพที่เกิน
จะรับสำหรับเธอ ภคพงษ์มองด้วยแววตาเย็นชา
“20 ปี ก่อน พ่อผมก็เคยคุกเข่าขอร้องคุณ ขอร้องไม่ให้คุณไป แต่คุณก็ยังไป วันนี้คุณมาคุกเข่าขอร้องผม คุณคิดว่าผมจะยอมยกโทษให้คุณอย่างนั้นเหรอ”
แววตาเย็นชาของภคพงษ์ทำให้เธอนึกย้อนกลับไปอดีตทันที
ตอนที่พรตคุกเข่าขอร้องไม่ให้รัชนีไป รัชนีมองพรตด้วยแววตาเย็นชา ไม่ต่างจากภคพงษ์ในตอนนี้ รัชนีอึ้งไปพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ กรรมตามมาทันในชาตินี้แล้ว
รสาทนต่อไปไม่ได้ ตัดสินใจหันหลังเดินออกมา แต่ด้วยความไม่ทันระวัง รสาชนเข้ากับแจกันที่วางอยู่
แจกันตกลงพื้นแตกกระจาย รัชนีและภคพงษ์หันมา เห็นรสายืนอยู่ ภคพงษ์ตกใจ
“รสา”
รสาไม่สนใจ หันหลังรีบเดินหนีไปด้วยจิตใจที่คุกรุ่น และเกลียดชัง ภคพงษ์ยังเรียกไว้
“รสา “
รสาไม่หยุด ภคพงษ์รีบเดินตามไปด้วยความร้อนใจ รัชนีมองตามภคพงษ์ ในใจก็กังวลกับสิ่งที่รสาจะเห็น แต่เป็นห่วงปรางทิพย์มากกว่า รัชนีรีบหันขึ้นไปมองที่ห้องนอนชั้นบน
“ปรางทิพย์”
รสาเดินหน้าตาผิดหวังออกมาจากบ้าน อารมณ์คุกรุ่นไปด้วยความโกรธ เกลียด และผิดหวัง ภคพงษ์เดินตามออกมาแต่ยังมองไม่เห็นว่ารสาอยู่ที่ไหน
“รสา รสา”
ปรางทิพย์นอนอยู่บนเตียง สายใจนอนอยู่ที่พื้น รัชนีเปิดประตูเข้ามา สายใจตกใจ
“คุณผู้หญิง .. เอ่อ คุณรัชนี”
รัชนีรีบพุ่งไปหาปรางทิพย์
“ปราง ปราง”
ปรางทิพย์งัวเงียตื่นขึ้นด้วยความตกใจ
“คุณแม่”
“กลับบ้านเราเถอะนะปราง”
ปรางทิพย์มองด้วยแววตารังเกียจ
“ไม่ค่ะ ปรางไม่กลับ ปรางไม่กลับไปเป็นนักโทษของคุณแม่อีกแล้ว”
“แม่ขอโทษ แม่ขอโทษนะปราง แม่จะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว กลับบ้านเรานะ”
“ปรางไม่เชื่อค่ะ คุณแม่ทำให้ปรางไว้ใจไม่ได้อีกแล้ว ปรางไม่ไว้ใจคุณแม่อีกต่อไป”
รัชนีมองปรางทิพย์ด้วยความเสียใจ
“ปราง”
รัชนีน้ำตาร่วง สายใจสงสาร ทนไม่ได้พูดแทรกขึ้น
“คุณปรางคะ อย่าหาว่าป้าสอดเลยนะคะ วันนี้กลับไปกับคุณแม่ก่อนเถอะค่ะ เชื่อป้าเถอะนะคะ” สายใจพูดด้วยน้ำเสียงอ้อนวอนด้วยความเห็นใจ ปรางทิพย์ใจอ่อนนิดๆ
รัชนีพยักหน้า
“นะลูกนะ กลับบ้านเรานะ”
ปรางทิพย์มองหน้ารัชนีแล้วก็พูด
“ปรางจะกลับก็ได้ค่ะ..แต่คุณแม่จะต้องยกเลิกเรื่องที่จะส่งปรางไปต่างประเทศ และอนุญาตให้ปรางคบกับพี่ภัคเหมือนเดิม”
รัชนีอึ้ง สายใจมองรัชนีสุดจะเห็นใจ ปรางทิพย์แข็งข้อเต็มที่
“ถ้าคุณแม่ไม่ยอม ปรางก็ไม่กลับ” ปรางทิพย์พูดพลางกอดอกรอคำตอบ
รัชนีจำใจรับปาก
“ได้จ้ะ ได้ แม่ยอมแล้ว แม่ยอมทุกอย่าง”
“จริงๆนะคะ”
รัชนีน้ำตาร่วงบอก
“จริงจ๊ะ แม่ยอมแล้ว กลับบ้านเรานะลูกนะ”
ปรางทิพย์พยักหน้าพร้อมรอยยิ้มเหมือนเด็กๆ ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวการแก้แค้นใดๆ รัชนีสุดจะอกตรมขมไหม้
สายใจมองดูรัชนีกับปรางทิพย์แล้วก็สงสาร น้ำตาพาลจะไหลตาม
รสาเดินมาถึงที่รถจอดอยู่ ภคพงษ์รีบวิ่งเข้ามาและจับแขนไว้
“รสา คุยกันก่อน”
รสาสะบัดมือบอก
“ไม่มีอะไรต้องคุยกันอีกแล้ว”
รสามองภคพงษ์ด้วยแววตาผิดหวังและเกลียดชัง ภคพงษ์ทนไม่ได้
“อย่ามองผมด้วยแววตาแบบนี้ คุณไม่รู้ว่าความจริงคืออะไร”
รสาโพล่งออกมา
“ปรางทิพย์เป็นน้องสาวของคุณ คุณรัชนีเป็นแม่แท้ๆของคุณ”
รสาตะโกนใส่หน้าภคพงษ์ด้วยความไม่เข้าใจ และอึดอัดใจจนภคพงษ์อึ้งไป
“คุณรู้”
“ใช่ ฉันรู้ แต่ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมคุณต้องทำแบบนี้ ปรางทิพย์เป็นน้องสาวคุณ คุณทำแบบนั้นกับเธอได้ยังไง”
“ผมไม่ได้ล่วงเกินเธอ ผมแค่พูดเพื่อทำให้ใครบางคนเจ็บปวดเล่นๆ มันก็แค่นั้นเอง”
รสามองหน้าภคพงษ์ที่ยิ้มเยาะอยู่ในทีด้วยความผิดหวัง
“คุณใจร้ายมากที่ทำแบบนี้ แล้วยังยิ้มออกมาได้ หัวใจของคุณทำด้วยอะไร คุณทำได้ยังไง”
ภคพงษ์เห็นรสาอารมณ์ขึ้นก็ตัดพ้อกลับ
“คนที่โตมาอย่างอบอุ่นอย่างคุณ ไม่มีวันเข้าใจ ตอนที่พ่อมีชีวิตอยู่ ผู้หญิงคนนั้นทำร้ายพ่อซ้ำแล้วซ้ำเล่า แม้แต่ตอนที่พ่อตาย เค้าไม่อยู่ร่วมงานศพสักคืน ผมเป็นลูกชายคนเดียว เค้ายังทิ้งผมได้ลงคอ”
“เรื่องทั้งหมดมันเป็นแค่อดีต คุณไม่คิดจะให้อภัยเลยเหรอ”
“คนเห็นแก่ตัวอย่างนั้นไม่สมควรได้รับการให้อภัยจากใครทั้งนั้น ที่เค้าต้องเจ็บปวดอยู่ทุกวันก็เพราะความเห็นแก่ตัวของตัวเอง ถ้าเค้าบอกความจริง ยอมรับว่าตัวเองโกหก ผมก็พร้อมจะหยุดทุกอย่าง แต่เค้าไม่ยอมรับความจริง คนที่คุณสมควรจะด่าตอนนี้คือเค้า ไม่ใช่ผม”
ภคพงษ์ระเบิดอารมณ์กลับใส่รสา รสามองภคพงษ์ด้วยความผิดหวังเป็นอย่างมาก
“ถ้าคุณคิดว่าแม่คุณไม่สมควรจะได้รับการยกโทษจากคุณ...คุณเองก็ไม่สมควรจะได้รับการยกโทษจากใครทั้งนั้น คุณเองก็เห็นแต่ตัว เห็นแก่ความสะใจของตัวเอง ไม่เคยคิดถึงจิตใจของคนอื่น”
ภคพงษ์อึ้งไป ไม่เคยเห็นรสาระเบิดอารมณ์ออกมา รสาพูดต่อ น้ำตาร่วงไม่รู้ตัว
“ฉันเคยสงสัยว่าคุณเป็นคนยังไงกันแน่ แต่วันนี้ฉันรู้แล้ว คุณภคพงษ์ คุณก็เป็นแค่ผู้ชายใจร้าย ใจดำ ร้ายกาจอย่างที่สุด คุณสร้างเรื่องบ้าๆขึ้นมาเพื่อทรมานใจทั้งแม่และน้องของตัวเอง คุณมันไม่ใช่คน”
รสามองหน้าภคพงษ์และเค้นคำนี้ออกมาจากหัวใจ
“ฉันเกลียดคุณ”
ภคพงษ์ถึงจะช็อก แต่ไม่ยอมรับ
“ไม่จริง คุณไม่ได้เกลียดผม”
“ฉันเกลียดคุณ” รสาย้ำ
ภคพงษ์สวนทันที
“คุณรักผม เหมือนกับที่ผมรักคุณ”
ภคพงษ์พูดจบก็คว้าตัวรสาเข้ามาและจูบที่ริมฝีปากในทันที
รสาอึ้งไปเล็กน้อย ภายใต้อ้อมกอดและการประทับรอยจูบของภคพงษ์ แต่เพียงไม่นาน รสาก็มีสติผลักภคพงษ์อย่างสุดแรง และตบหน้าภคพงษ์เสียงดังสนั่น เพี้ยะ !
ภคพงษ์หน้าหันเพราะแรงตบ รสาน้ำตาร่วง
“ยิ่งคุณทำแบบนี้ ฉันยิ่งเกลียดคุณ”
ภคพงษ์ค่อยๆหันมามองหน้ารสาที่พูดทั้งน้ำตา
“และฉันก็ไม่เชื่อว่าคนอย่างคุณจะรักใครเป็น”
รสาพูดจบก็ค่อยๆหันหลัง ปาดน้ำตาแล้วก็เดินจากภคพงษ์ไป ภคพงษ์มองตามด้วยความเสียใจ
ภคพงษ์บ่นกับตัวเอง
“ไม่จริง รสาคุณไม่ได้เกลียดผม คุณไม่ได้เกลียดผม”
ภคพงษ์ยืนอยู่คนเดียวอย่างเงียบเหงาพูดเหมือนจะปลอบใจตัวเองเบาๆ เพราะยังเลือกที่จะไม่ยอมรับความจริง และหลอกตัวเองอยู่ต่อไป
ตะวันทอแสง ตอนที่ 12 (ต่อ)
รสา ร้องไห้มาตลอดทางระหว่างขับรถกลับบ้าน รู้สึกผิดหวังเพราะไม่คิดว่าภคพงษ์จะใจร้ายแบบนี้ ทั้งที่ใจในส่วนลึกยังรักภคพงษ์อยู่
ในเวลาต่อมา ภคพงษ์เดินเข้ามาในห้องนอนที่ไม่มีปรางทิพย์อยู่แล้ว สายใจเดินเข้ามาและพูดเสียงนิ่งๆ
“คุณผู้หญิงพาตัวคุณปรางทิพย์กลับไปได้สักครู่ใหญ่ๆแล้วค่ะ”
ภคพงษ์พยักหน้ารับรู้ด้วยแววตาเศร้าๆ สายใจคิดๆ แล้วตัดสินใจพูดขึ้น
“คุณหนูคะ ป้าว่า เรื่องมันจะไปกันใหญ่แล้วนะคะ คุณหนูไม่คิดจะหยุดจริงๆเหรอคะ”
ภคพงษ์สายตาครุ่นคิดแล้วก็เงยหน้าขึ้น แววตาแข็งกร้าวเหมือนเดิม
“ตราบใดที่เค้ายังไม่ยอมรับผมเป็นลูก ผมก็ไม่หยุด ในเมื่อเค้าชอบเล่นละคร ผมจะจัดละครฉากใหญ่ไว้ให้”
“คุณหนูคิดจะทำอะไรอีกคะ”
“เดี๋ยวป้าใจก็รู้เอง”
ภคพงษ์พูดด้วยน้ำเสียงเลือดเย็น สายใจได้แต่ส่ายหน้าและถอนใจ
“ป้ากับคุณเผด็จแก่แล้วนะคะคุณหนู เราสองคนคงอยู่ดูแลคุณหนูอีกได้ไม่นาน ป้าไม่อยากให้คุณหนูมีชีวิตอยู่อย่างไม่เหลือใครนะคะ.”
ภคพงษ์สะอึก สายใจพูดต่อ
“ถ้าคุณหนูไม่หยุดตอนนี้ ระวังว่าวันที่คุณหนูอยากจะหยุด มันจะเป็นวันที่สายเกินไปนะคะ”
ภคพงษ์นิ่งอึ้ง คิด แต่ไม่ยอมรับ สายใจค่อยๆเดินเลี่ยงออกไป
ภายในห้อง ภคพงษ์อยู่คนเดียว คิดและคิด แววตาอ่อนลงแต่ก็ยังไม่ยอมอยู่ดี
ภายในบ้าน ปรางทิพย์นั่งอยู่ในห้องนอน คิดถึงภาพเมื่อคืนที่รัชนีกอดกับภคพงษ์ ปรางทิพย์คิดหนัก คิดด้วยความหวาดหวั่น และหาทางแก้ปัญหา
ภายในบ้าน สุวิทย์ถามด้วยความแปลกใจ
“ปรางพูดอะไรนะลูก”
ปรางทิพย์พูดด้วยเสียงจริงจัง
“คุณแม่อนุญาตให้ปรางกลับไปคบกับพี่ภัค และยกเลิกเรื่องในเรียนต่อต่างประเทศแล้วค่ะ ปรางจะอยู่ประเทศไทย ปรางจะแต่งงานกับพี่ภัคค่ะ”
สุวิทย์อึ้งไปเล็กน้อยแล้วถาม
“มันไม่เร็วไปหน่อยเหรอลูก”
ปรางทิพย์มองหน้าสุวิทย์แล้วบอก
“ยิ่งเร็วยิ่งดีค่ะ ถ้าปล่อยให้นานมากกว่านี้ คุณพ่ออาจจะเดือดร้อนได้”
“ปรางหมายความว่ายังไง พ่อเดือดร้อนอะไร”
“ปรางพูดอะไรมากไม่ได้ ปรางบอกได้แค่ว่า ที่ปรางต้องรีบแต่งงานกับพี่ภัค เพราะปรางรักคุณพ่อ ไม่อยากให้คุณพ่อต้องเสียใจ ปรางรักคุณพ่อนะคะ” ปรางทิพย์น้ำตาซึมพูดพลางเดินเข้ามากอดสุวิทย์
สุวิทย์กอดตอบงงๆ
“พ่อก็รักปรางนะลูก”
สองพ่อลูกกอดกัน ปรางทิพย์เสียใจด้วยความเข้าใจผิดคิดไปเอง สุวิทย์งุนงง และสงสัยในท่าทีกับน้ำคำของลูกสาว
ภายในบ้านเช่า ช่วงเวลากลางวัน วาริชหยิบกระเป๋าเงินของพิมพรรณที่วางอยู่มาเปิดดู และหยิบเงินไป พิมพรรณเดินออกมาจากห้องครัวเห็นเข้าพอดีก็ถาม
“วาริชทำอะไร”
วาริชหันมาหน้าตาเฉย
“ก็เอาเงินไปจ่ายค่าเช่าบ้านสิ ไหนจะค่าน้ำ ค่าไฟอีก อยู่ด้วยกันก็ต้องช่วยกันจ่าย”
“แต่เงินนี่ แม่ให้ไว้สำหรับไปหาหมอนะ พิมเริ่มฝากท้องแล้ว ต้องใช้เงินเยอะ”
“ใช้เยอะ ก็ไปขอพ่อแม่มาเยอะๆ สิ จะได้พอใช้ หรือไม่ก็หาทางกลับเข้าไปอยู่บ้านให้ได้ ฉันจะได้ไม่ต้องมารับภาระอยู่คนเดียว”
วาริชพูดจบก็โยนกระเป๋าที่ไม่มีเงินเหลือลงบนโต๊ะด้วยความไม่สนใจ
“วาริช วาริช แล้วนี่จะไปไหน วันนี้ พิมต้องไปหาหมอนะ”
วาริชไม่สนใจเดินออกไปเลย พิมพรรณตะโกนไล่หลัง
“ไม่คิดจะพาพิมไปเลยหรือไง วาริช วาริช”
พิมพรรณได้แต่มองตามด้วยความเสียใจ พิมพรรณมองดูกระเป๋าเงินที่ถูกโยนทิ้งแล้วก็น้ำตาร่วง..
“ทำไม ทำไมคนเราถึงได้เปลี่ยนไปได้ถึงเพียงนี้ ทำไม”
พิมพรรณร้องไห้ด้วยความเสียใจ และผิดหวัง ที่ด้านหลังพิมพรรณ เห็นห้าวเดินเข้ามาพอดี
“พิม”
พิมพรรณตกใจรีบเช็ดน้ำตาทันที ห้าวมองพิมพรรณด้วยความสงสารและเจ็บปวดแทน
ห้าวกับพิมพรรรณนั่งคุยกันอยู่ที่หน้าบ้าน ห้าวส่งเงินให้ พิมพรรณรับมาอย่างหน้าเศร้าๆ
“ขอบคุณพี่ห้าวมาก ฝากขอบคุณแม่ด้วย แล้วก็ ขอโทษแม่ด้วย ที่ทำให้แม่ต้องเดือดร้อนแบบนี้” พิมพรรณพูดแล้วน้ำตาร่วงทันที
“ป้าเค้าไม่คิดว่าการให้เงินพิมแค่นี้ ทำให้เค้าเดือดร้อน แต่พิมเองก็อย่าหาเรื่องเดือดร้อนให้ตัวเอง ถ้าไอ้วาริชมันเลวนัก ทำไมพิมไม่เลิกกับมัน”
พิมพรรณเอามือจับท้องลูบไปมาด้วยความอ่อนโยน
“พิมเลิกกับเค้าไม่ได้หรอกพี่ห้าว เค้าเป็นพ่อของลูกพิม พิมไม่อยากให้ลูกเกิดมาไม่มีพ่อ พิมตัดสินใจพลาดไปแล้ว พิมก็ต้องยอมรับสิ่งที่มันตามมา”
“แต่คนเราพลาดแล้วก็แก้ตัวใหม่ได้นะพิม”
“แต่คงไม่ใช่กับพิม พิมไม่รู้จะแก้มันยังไงจริงๆ พิมไม่รู้จริงๆ” พิมพรรณพูดอย่างท้อแท้
ห้าวมองแล้วก็สงสาร
“เฮ่อ แล้วนี่ไอ้วาริชมันยังมีผู้หญิงอื่นอีกหรือเปล่า”
“ไม่มีจ้ะ ถึงแม้วาริชเค้าจะมีปัญหาหลายอย่าง แต่อย่างน้อย เค้าก็ยังให้เกียรติพิม เค้าไม่เคยไปไหนมาไหน หรือไปอยู่กับผู้หญิงอื่นอีกเลยจ้ะ”
“ขอให้มันดีแบบนี้ไปตลอดก็แล้วกัน”
ห้าวพูดดักคอขึ้นมาด้วยความกังวล
ที่หน้าบริษัทลงหลักปักฐาน รสาถอนใจเบาๆ ก่อนพูดต่อ
“เฮ่อ... รสก็ภาวนาขอให้มันดีแบบนี้ไปนานๆเหมือนกัน” รสาคุยโทรศัพท์ด้วยหน้าตาที่ยังอมทุกข์อยู่ของตัวเองอยู่
“แล้วตอนนี้พิมเป็นยังไงบ้าง”
ห้าวยืนคุยอยู่ที่มุมหนึ่งของบ้านพร้อม
“ก็ดูเหนื่อยๆ พี่พยายามจะพูดให้กำลังใจ ให้พิมทิ้งไอ้วาริช แล้วมาขอโทษลุง มาเริ่มต้นชีวิตใหม่ แต่พิมเค้าไม่สู้เลย พี่ไม่เข้าใจจริงๆ รู้ทั้งรู้ว่าอยู่แล้วไม่มีความสุข ทำไมถึงยังจะยอมจมอยู่กับความเจ็บปวด”
รสาฟังแล้วก็สะท้อนใจพลางนึกถึงภคพงษ์และตัวเอง
“การเดินออกมาจากความเจ็บปวดมันไม่ใช่เรื่องง่าย ต่อให้เราฉุดกระชากลากถูยังไงก็ไม่มีประโยชน์ นอกจากคนนั้นๆจะอยากออกมาด้วยตัวเค้าเอง”
ห้าวฟังแล้วก็งงๆ
“รสเป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมวันนี้พูดแปลกๆ”
รสารีบดึงสติกลับมา
“ไม่มีอะไรจ้ะ รสคงเหนื่อยๆ ปลงๆ ปลงกับผู้คน เอาเป็นว่ารสขอโทษที่ไม่มีเวลากลับไปเลย ครั้งที่แล้วบอกว่าจะกลับก็มีงานด่วนมาแทรก แต่ตอนนี้ทำเสร็จแล้ว อีกไม่กี่วันก็โล่งแล้ว รสจะรีบไปดูแลพิมเอง”
ห้าวยิ้มดีใจ
“ขอบใจมากนะรส ถ้าพิมรู้ว่ารสจะมา พิมต้องดีใจแน่ๆ แล้วเจอกันจ้ะ”
“จ้ะ”
รสาวางสายไป หน้าตาครุ่นคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน
“เฮ่อ ทิฐิ มันเป็นสิ่งที่น่ากลัวจริงๆ แม้แต่คนหัวอ่อนอย่างพิมบทจะยึดมั่นถือมั่นก็ยังไม่ฟังใคร เราคงจะเปลี่ยนใจใครไม่ได้จริงๆ”
รสาบ่นแล้วก็หันจะเดินกลับเข้าบริษัท แล้วก็ต้องชะงักที่เห็นเผด็จเดินเข้ามาพอดี
“คุณเผด็จ”
ภายในห้องทำงานของพิทยา บริษัทลงหลักปักฐาน เผด็จ ชีวิน พิทยา รสา นั่งคุยกันอยู่ โดยมีคัพเค้กคอยจดการประชุม
“คุณภัคพอใจกับเรือนสีขาวมากนะครับ ทางเรารับมอบงานเรียบร้อย ไม่มีปัญหา” เผด็จพูดขึ้น
รสาถอนใจเบาๆด้วยความโล่งอกอย่างเห็นได้ชัด ชีวินปรายตามาเห็นพอดี พิทยายิ้มกว้าง
“ทางเราก็ดีใจที่ทุกอย่างผ่านไปได้ไม่มีปัญหา โอกาสหน้าจะได้ร่วมงานกันอีก”
รสาพูดโพล่งขึ้นมาทันที
“ถ้ามีโอกาสหน้า รสเสนอให้ทางคุณเผด็จเลือกมัณฑนากรคนอื่นบ้างนะคะ เพราะบริษัทของพี่พิทมีคนมีฝีมือมากมาย หลายคนก็เก่งกว่ารส สำหรับรสเอง แค่เรือนหลังเล็ก และเรือนสีขาวก็พอแล้วค่ะ”
ชีวินยิ้มพอใจ เผด็จมองหน้ารสา แอบสงสัยนิดๆว่าเกิดอะไรขึ้น พิทยาหน้าเสีย รีบแก้ทันที
“คือ รสพูดถูกครับ ทางเรามีคนเก่งๆเยอะมาก ถ้าคุณเผด็จสนใจพิทจะส่งแฟ้มผลงานของมัณฑนากรแต่ละคนไปให้ดูรับรองว่าเริ่ดทุกคน”
เผด็จยิ้มคลี่คลายสถานการณ์บอก
“ผมเชื่อครับ”
พิทยายิ้มรับ เผด็จพูดต่อ
“อีกหนึ่งเรื่อง ที่ผมจะมาบอกในวันนี้ คุณภัคจะเปิดเรือนหลังเล็กจัดงานเลี้ยงขึ้นบ้านใหม่ในวันอาทิตย์นี้ คุณภัคฝากมาเรียนเชิญทุกคนด้วยนะครับ”
รสาหันหน้าหนีเหมือนจะตอบว่าไม่ไป เผด็จพูดอย่างรู้ทัน
“โดยเฉพาะคุณรสาในฐานะมัณฑนากร ต้องมาให้ได้นะครับ”
รสาอึกอัก พิทยาพยักหน้าให้รับคำ ชีวินมองด้วยความเป็นห่วง เหมือนไม่อยากให้ไป รสาตัดสินใจไม่ถูก
ในเวลาต่อมา เผด็จยืนคุยกับรสาที่มุมหนึ่งหน้าบริษัท
“ผมเข้าใจครับ ถ้าคุณรสาจะไม่อยากมาร่วมงาน แต่ ผมอยากให้มานะครับ งานนี้เป็นความน่าภูมิใจของคุณเอง คุณภัคต้องการจะเปิดตัวบ้าน และเปิดตัวมัฑนากรผู้ควบคุมการตกแต่งด้วย”
รสาคิดด้วยความหนักใจ
“ค่ะ รสจะลองคิดดูนะคะ คุณเผด็จคะ เรื่องที่คุณเผด็จขอให้รสช่วย เรื่องเปลี่ยนใจภคพงษ์ รสคงทำไม่ได้แล้วนะคะ มันเกินความสามารถรสจริงๆค่ะ”
เผด็จก้มหน้ายอมรับ
“ครับ ผมเข้าใจ ถ้าคุณรสาถึงกับออกปากถอนตัวแบบนี้ เราคงทำอะไรไม่ได้นอกจากปล่อยให้มันเป็นไป”
เผด็จออกแนวปลง รสาฟังแล้วก็หนักใจ แต่ช่วยไม่ได้จริงๆ
ไม่นานนัก ที่ด้านในบริษัท ชีวินหันมาถามตรงๆ กับระหว่างที่รสานั่งทำงานอยู่
“รสคุยอะไรกับคุณเผด็จ หน้าเครี้ยด เครียด เรื่องภคพงษ์ใช่มั้ย”
รสาชะงักมือจากงาน ชีวินรู้ทันทีว่าใช่
“มีอะไรอีก เค้าทำอะไรรสอีกบอกวินมาเลยนะ คราวนี้วินไม่ยอมอยู่เฉยๆแน่ งานก็ส่งแล้ว ไม่ได้เป็นลูกค้าบริษัท ไม่ต้องเกรงใจอีกต่อไป บอกมามันทำอะไรรส”
รสาตอบด้วยรอยยิ้มเศร้าๆ
“เค้าไม่ได้ทำอะไร แค่เป็นตัวเองก็ทำให้รสไม่อยากจะเห็นหน้าเค้าอีกต่อไป”
“ขนาดนั้นเลยเหรอ มัน มีอะไรเหรอรส เค้าเป็นยังไง”
“เป็นคนเห็นแก่ตัว ใจดำ อำมหิต จิตใจ หยาบกระด้าง เป็นทุกอย่างที่รสจะไม่มีวันอยู่ใกล้”
ชีวินยิ้มขึ้นมาทันที
“รสคิดแบบนั้นจริงๆ เหรอ”
รสามองหน้าชีวิน ตอบอย่างมั่นใจ
“จริง พอกันทีกับผู้ชายแบบภคพงษ์”
“แล้วงานเลี้ยงวันอาทิตย์นี้ รสจะไปหรือเปล่า”
รสานิ่งคิด
ภายในบ้านวงศ์เธียสถิตย์ยามนั้น รัชนีเห็นคนเข็นราวใส่ชุดราตรีหรูประมาณเกือบ 10 ชุดเข้ามาในบ้าน ตามมาด้วยกล่องรองเท้าราคาแพง กระเป๋า พร้อมกับเครื่องประดับ
ปรางทิพย์ยืนมองด้วยความตื่นเต้น มีคนใช้คอยช่วยดูจัดของอยู่ข้างๆ
“วางไว้ตรงนี้เลยค่ะ ชุดราตรีเข็นมาตรงนี้เลยค่ะ”
รัชนีกับสุวิทย์เดินมาดูด้วยด้วยความสงสัย
“อะไรน่ะปราง” รัชนีถาม
พนักงานส่งของเสร็จแล้วก็เดินออกไป ปรางทิพย์หันมาตอบ
“พี่ภัคส่งชุดมาให้เลือกค่ะ”
“ชุดอะไร” ปรางทิพย์ซัก
“ชุดที่จะใส่ไปงานเลี้ยงขึ้นบ้านใหม่วันอาทิตย์นี้ไงคะ พี่ภัคส่งทั้งชุด รองเท้า กระเป๋า แล้วก็เครื่องประดับมาให้เลือก ปรางขอตัวขึ้นไปลองชุดก่อนนะคะ ติ๋ม ขนของพวกนี้ตามฉันขึ้นไปบนห้องด้วย”
“ค่ะ” สาวใช้ ติ๋ม รับคำ
ปรางทิพย์เดินขึ้นบ้านไป ติ๋มรีบขนของตามไป สุวิทย์มองตาม เริ่มมีความกังวลบนสีหน้า
“ผมเริ่มเห็นด้วยกับคุณแล้ว ตั้งแต่คบกับภคพงษ์ ปรางเปลี่ยนไปมากจริงๆ ทั้งเรื่องการพูดจา การวางตัว แล้วยังเรื่องเรียนอีก อยู่ๆมาขอยกเลิกไม่ไปเรียนฝรั่งเศส แล้วยังบอกอีกว่าคุณอนุญาตแล้ว”
รัชนีอึกอักบอก
“เอ่อ คือ ค่ะ ฉันอนุญาตเอง คือ เรื่องมันซับซ้อนนิดหน่อยน่ะค่ะ”
สุวิทย์แปลกใจ
“บอกผมได้หรือเปล่าว่ามันซับซ้อนยังไง มีอะไรที่ผมไม่รู้ และควรจะรู้หรือเปล่า”
รัชนีมองหน้า สุวิทย์พูดต่อ
“วันก่อนลูกบอกผมว่า เค้าอยากจะรีบแต่งงานกับภคพงษ์เพื่อผม เค้าไม่อยากให้ผมเสียใจ เลยต้องรีบแต่ง ผมไม่เข้าใจว่าปรางหมายถึงอะไร”
รัชนีคิดหนัก
“เดี๋ยวฉันจะลองไปถามแกดูค่ะ”
รัชนีอยากรู้ไม่น้อยไปกว่ากัน
ภายในห้องนอน ปรางทิพย์กำลังใส่ลองชุดราตรีอยู่ หลังจากคิดแล้วก็พูดใส่หน้ารัชนีที่ยืนอยู่ไม่ห่างกันนัก
“คุณแม่ไม่ทราบจริงๆเหรอคะว่าปรางหมายถึงอะไร”
“แล้วทำไมแม่ต้องรู้ด้วย”
“ก็คุณแม่เป็นคนทำ คุณแม่ก็ต้องรู้สิคะ”
รัชนีมึนงงหนัก
“ปราง แม่งงไปหมดแล้ว ปรางพูดอะไร แม่ไปทำอะไร”
ปรางทิพย์คิดหนัก ไม่อยากจะพูด แต่แล้วก็ตัดสินใจพูดออกไป
“ปรางเห็นคุณแม่กอดกับพี่ภัคในสวนในวันที่คุณแม่เมา หวังว่าคงจะไม่เมามากจนจำอะไรไม่ได้นะคะ”
รัชนีตกใจ และพยายามจะอธิบาย
“ปราง ปรางกำลังเข้าใจผิดนะลูก มันไม่ได้เป็นอย่างที่ปรางคิด”
“ถ้าไม่ใช่ แล้วมันคืออะไรคะ การที่ผู้หญิงคนหนึ่งโผเข้าไปกอดผู้ชายในที่ลับตาคน มันมีกี่เหตุผล และกอดกันในฐานะอะไร”
รัชนีอึ้งไป ตอบคำถามของปรางทิพย์ไม่ถูก
“คุณแม่ตอบปรางได้มั้ยคะ”
“คือ”
ปรางทิพย์เสียงสั่นด้วยความโกรธ
“ปรางไม่เคยคิดเลยนะคะว่าคุณแม่จะทำแบบนี้ได้ คุณพ่อรักคุณแม่มาก ทำไมคุณแม่ถึงทำแบบนี้ลับหลังท่าน มันทำให้ปรางรู้ว่าที่ผ่านมา คุณแม่กีดกันปรางเพราะอะไร เพราะคุณแม่รักพี่ภัคใช่มั้ยคะ”
“ไม่ใช่นะปราง มันไม่ใช่” รัชนีรีบสวนขึ้นทันที
“แล้วมันคืออะไรคะ”
รัชนีตอบไม่ได้
“คุณแม่ก็ตอบปรางไม่ได้ เพราะสิ่งที่ปรางคิดมันเป็นความจริง มันทำให้ปรางต้องรีบแต่งงานกับพี่ภัคให้เร็วที่สุด คุณแม่จะได้เลิกคิดแบบนั้นกับพี่ภัคสักที”
ปรางทิพย์พูดจบก็หยิบอีกชุดแล้วเดินเข้าห้องน้ำไปทันที ประตูห้องน้ำปิดลง ปัง!
รัชนีทรุดนั่งลงที่เตียง เรื่องลามปามไปใหญ่โตจนเกินกว่าเธอจะควบคุมได้แล้ว
ตะวันทอแสง ตอนที่ 12 (ต่อ)
ภายในบ้านเช่า เวลากลางคืน พิมพรรณหน้าเสีย ตกใจอย่างแรง
“วาริชจะเอาผู้หญิงคนนี้เข้ามาอยู่ในบ้าน”
พิมพรรณยืนอยู่ หน้าซีด ตัวสั่นด้วยความโกรธ ตรงข้ามเป็นวาริชนั่งโอบอยู่กับโบว์ ผู้หญิงคนที่
เธอเห็นที่ริมทะเล วาริชตอบหน้าตาเฉยๆ
“ใช่”
“เข้ามาอยู่ในฐานะอะไร”
วาริชจับมือโบว์แล้วบอกอย่างชัดเจน
“ในฐานะเมียอีกคนของฉันไง”
พิมพรรณช็อกในคำพูดของวาริช โบว์ยิ้มพอใจ
“ไม่นะ พิมไม่ยอม วาริชเคยบอกว่าจะไม่มีใครนอกจากพิม”
“ก็ฉันเพราะเธอไม่สามารถให้ในสิ่งที่ฉันต้องการได้ ฉันก็ต้องไปหาคนอื่นมาทดแทน”
พิมพรรณเข้ามากระชากโบว์ให้ลุกขึ้น
“ไม่นะพิมไม่ยอม ไปเลย ออกไป ออกไปจากบ้านฉันเดี๋ยวนี้ ออกไป”
“วาริชคะ ช่วยด้วย”
วาริชผลักพิมพรรณ
“ปล่อยนะ”
พิมพรรณยื้อยุดไม่ยอม ฟาดมือไม้ไปมาจนโดนหน้าวาริช วาริชโกรธมากตบกลับพิมพรรณอย่างแรงจนเซไปทันที
“โอ้ย”
“อย่าทำแบบนี้อีกนะ ถ้าอยู่กันดีๆไม่ได้ ก็ออกไป ออกไปเลย แต่อย่าคิดว่าฉันจะหย่าให้นะ ไม่มีทาง”
พิมพรรณร้องไห้โฮ ตะโกนด้วยความเสียใจ
“ทำไม ทำไมต้องทำแบบนี้กับพิมด้วย ทำไม พิมไปทำอะไรให้วาริชไม่พอใจ พิมผิดตรงไหน พิมผิดตรงไหน”
วาริชเข้ามาพูดใกล้ๆบอก
“ผิดตรงที่ไม่มีประโยชน์ไ ถ้าเธออยากจะให้ฉันกลับไปดีเหมือนเดิม ก็หาทางทำให้ไอ้แก่พ่อเธอ ยอมรับฉันให้ได้ ถ้าเธอทำได้เมื่อไหร่ วาริชที่แสนดีคนเดิมก็จะกลับมา ฮึๆๆ”
วาริชลุกขึ้นแล้วก็จูงมือโบว์เดินเข้าห้องนอนไป พิมพรรณได้แต่มองตามแล้วร้องไห้อย่างหนัก ด้วยความเสียใจ
วันตามกำหนดของงานเลี้ยง เวลาเย็น รสายังนั่งทำงานอยู่ในห้องนอน เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น รสาหันไปดูเห็นชื่อ “พิทยา” รสาคิด แล้วตัดสินใจไม่รับ สักพักเป็นข้อความขึ้นมาที่ไลน์ “รับโทรศัพท์เดี๋ยวนี้” รสาหันไปดูแล้วก็ไม่สนใจอีก สักพักมีข้อความขึ้นมาที่วอตแอป “ฉันบอกให้รับโทรศัพท์” รสาไม่สนใจอีก มีข้อความขึ้นมาที่เฟซบุ้กอีก “ไม่รับฉันจะไปหาเธอที่บ้าน”
รสากรอกตาด้วยความเซ็ง จำใจต้องโทร.ออกไปหาพิทยาทันที
“พี่พิทตี้ มีอะไรคะ จิกเป็นไก่ไปได้”
พิทยาอยู่ในชุดสูทเตรียมกำลังเตรียมเดินทางออกจากบริษัทฯ เพื่อไปงาน คัพเค้กคอยเปิดประตูให้
“แน่สิยะ เพราะฉันกลัวว่าเธอจะเบี้ยวงานเลี้ยงเปิดบ้านใหม่ของคุณภัคเย็นนี้”
รสาตอบอย่างมั่นใจ
“พี่พิทไม่ต้องห่วง รสไปแน่ค่ะ”
พิทยาหยุดเดินแล้วก็พูดด้วยความแปลกใจ
“จริงนะ นี่ไม่ได้โม้หลอกให้พี่ตายใจแล้วเบี้ยวใช่มั้ย”
รสาตอบอย่างมั่นใจ
“ไม่ค่ะ รสมั่นใจ รสไปแน่ค่ะ รสไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องหนีหน้า เพราะรสไม่ได้คิดอะไรกับเค้า”
พิทยายิ้มอย่างสบายใจ
“ดี คิดได้แบบนั้นก็ดี แล้วเจอกันที่งานนะจ้ะ”
พิทยาวางสายไปด้วยความสบายใจ
ทันทีที่รสาวางสายจากพิทยาไป เสียงชีวินก็ดังขึ้น
“วินดีใจที่ได้ยินรสพูดแบบนี้”
รสาตกใจนิดๆ หันไปตามเสียง ชีวินในชุดสูทอย่าเท่ยืนอยู่ที่หน้าประตู รสาถึงกับตาค้าง
“ว้าว วินหล่อจัง”
ชีวินยิ้มเขิน
“อ่ะนะ นิดนึง งานสำคัญต้องเต็มที่หน่อย แล้วรสยังไม่แต่งตัวอีกเหรอ”
“รสแต่งแป๊บเดียวก็เสร็จ”
“รสใส่กางเกงยีนส์ เสื้อเชิ้ตไปไม่ได้นะ วันนี้รสต้องเป็นคู่ควงให้วิน เพราะฉะนั้นต้องสวยที่สุดในงาน”
“เห็นจะยาก รสก็สวยได้เท่าที่เห็นนี่แหละ ชุดสวยๆ หรูๆ ก็ไม่มีกับเค้าหรอก”
ชีวินยิ้มน่ารักบอก
“ก็รู้ว่าไม่มี วินก็เลยซื้อมาให้”
ชีวินหันไปหยิบชุดเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับเดินเข้ามา ชุดราตรีหรูในมือชีวิน ดูสวย สง่า น่าใส่มากๆ
รสาถึงกับตาโต
“ว้าว สวยจังวิน”
“ยิ่งรสใส่ มันจะต้องยิ่งสวยมากขึ้นไปอีก”
ชีวินยิ้มน่ารักให้รสา รสาเงยหน้ามองชีวิน แววตาแห่งความรักและความหวังดีของชีวินแผ่ออกมาจนรสา
น้ำตาเกือบจะไหล รสาพูดออกมาด้วยความตื้นตัน
“ขอบคุณมากนะวิน ขอบคุณจริงๆ”
“อย่ามาทำซึ้งสิ วินยิ่งเป็นผู้ชายอ่อนไหวอยู่”
รสาขำแล้วตบไหล่
“จ้ะ ไม่ซึ้งก็ได้ เฮ้ย ขอบคุณเว้ย”
“เออ แบบนี้ค่อยเป็นรสหน่อย”
สองคนยิ้มให้กัน มิตรภาพ ความรัก อบอวลไปทั้งห้อง ชีวินพูดขึ้น
“วินให้เวลารสแต่งตัว แต่งหน้า เต็มที่ไม่ต้องรีบ ขอแบบสวยที่สุดเลยนะ”
รสายิ้มรับบอก
“จะพยายาม”
“วินรอข้างล่างนะ”
“จ้ะ”
ระหว่างที่ชีวินจะเดินลงไป รสามองชุดอีกครั้งแล้วก็ยิ้มพอใจ ชีวินค่อยๆ โผล่หน้าหันกลับมามอง เห็นรสามองชุดอย่างมีความสุข
ชีวินยิ้มหน้าบานอย่างมีความสุขก่อนหันหลังเดินออกไปด้วยความปลื้มปิติ
ภายในบ้านวงศ์เธียรสถิตย์ รัชนีเดินมากับสุวิทย์ ทั้งสองคนอยู่ในชุดเตรียมไปงาน รัชนีหน้าตาไม่มีความสุข
“คุณคะ เราไม่ไปไม่ได้เหรอคะ แค่งานเลี้ยงเปิดบ้านใหม่ ไม่ใช่งานสำคัญอะไรเลย”
“มันก็ใช่ ถ้าบ้านหลังนี้ไม่ใช่บ้านของภคพงษ์ ถ้าเราไม่ไป คุณคิดว่าลูกจะยอมเหรอ”
เสียงปรางทิพย์ดังเข้ามา
“มาแล้วค่า”
ปรางทิพย์เดินออกมาในชุดราตรี สวย ดูเป็นสาวเปรี้ยวทันสมัยต่างจากปกติ รัชนีกับสุวิทย์มองด้วยความหนักใจ จนปรางทิพย์รู้สึกแปลกใจ
“ปราง ทำอะไรผิดหรือเปล่าคะ”
“คือ ปรางไม่คิดว่าชุดนี้มันดูเอ่อ ดูโตไปหน่อยเหรอลูก”
“ใช่ค่ะ ปรางก็โตแล้วนี่คะ เพื่อนปรางบางคนแต่งตัวแบบนี้ตั้งแต่อายุสิบห้าสิบหกด้วยซ้ำ ปรางคิดว่า..หมดเวลาทำตัวเป็นเด็กๆแล้วค่ะ ที่สำคัญ ปรางรู้ตัวดีว่าปรางไม่ได้ทำอะไร ไม่ถูกไม่ควร เรารีบไปกันเถอะค่ะ พี่ภัครออยู่”
ปรางทิพย์ยิ้มมั่นใจ แล้วก็เดินนำออกไป สุวิทย์มองตามแล้วส่ายหน้าก่อนจะเดินตามลูกสาวไปรัชนียังยืนอึ้งอยู่
“มันเป็นความผิดของฉันเองที่ทำให้ลูกต้องเป็นแบบนี้”
รัชนีพูดระบายออกมาด้วยความรู้สึกผิดอย่างมาก
ชีวินนั่งรอรสาแต่งตัว ที่หน้าโฮมสเตย์ของอาภรณ์ ชีวินค่อยๆหยิบกล่องใส่แหวนออกมาดูแล้วก็อมยิ้มนิดๆ
ย้อนหลังไปเมื่อ 2-3 วันก่อน ชีวินมานั่งคุยกับอาภรณ์
“ป้าภรณ์คิดว่ามันเร็วเกินไปหรือเปล่าครับ ถ้าผมจะขอรสแต่งงาน”
อาภรณ์กำลังปลอกมะม่วงอยู่ ถึงกับชะงัก
“ว่าไงนะ”
“คือผมอยากจะขอรสแต่งงานน่ะครับ”
อาภรณ์รู้สึกหนักใจแต่พูดตรงๆ
“แน่ใจนะ ว่ารสอยากจะแต่งด้วย”
ชีวินยิ้มรับบอก
“ไม่แน่ใจครับ”
“อ้าว”
“แต่อยากลอง ผมคิดว่าจะลองเสี่ยงดูครับ ในฐานะที่ป้าภรณ์เป็นญาติผู้ใหญ่ของรส ผมเรียนให้ทราบไว้ล่วงหน้า แล้วจะรีบรายงานผลนะครับ”
อาภรณ์มองด้วยความเห็นใจ
“ขอให้โชคดีนะวิน”
อาภรณ์จับไหล่ให้กำลังใจ ชีวินยิ้มมีหวัง
“ขอบคุณครับ”
ชีวินนั่งมองแหวนอยู่ที่เดิมแล้วก็ยิ้ม เสียงรสาดังขึ้น
“วิน เรียบร้อยแล้ว”
ชีวินสะดุ้งนิดๆ ก่อนรีบเก็บแหวนใส่กระเป๋าและหันมาตามเสียง รสายืนอยู่ในชุดราตรีสวย สง่า น่ามอง
ชีวินถึงกับอึ้งไป
“รสสวยจัง”
รสายิ้มบอก
“ก็จะได้เหมาะสมกับความหล่อของวินไง”
ชีวินยิ้มรับหน้าบานมาก วินตั้งแขนขึ้น
“เชิญครับ คุณรสา”
รสาทำเป็นถอนสายบัว
“ขอบคุณค่ะคุณชีวิน”
ชีวินตั้งแขนรับ รสาคล้องแขน ต่างคนต่างยิ้มๆขำๆ กับท่าทางไฮโซของตัวเอง แล้วก็เดินออกไป ชีวินหัน
มามองรสาอีกครั้ง พร้อมยิ้มมีหวังกับสิ่งที่เตรียมจะทำในงานเลี้ยง
ภายในบ้านเถลิงยศ ปรางทิพย์เดินเข้ามาในบ้าน สุวิทย์และรัชนีเดินตามเข้ามา
“ภคพงษ์จัดเลี้ยงที่เรือนหลังเล็กทางด้านโน้นไม่ใช่เหรอ เรามาที่เรือนใหญ่นี่ทำไม” รัชนีบอก
สุวิทย์หันมาถามด้วยความสงสัย
“คุณรู้ได้ยังไง หรือว่าเคยมาที่นี่แล้ว”
รัชนีสะอึก
ปรางทิพย์ตอบแทนแบบแอบกระทบ
“ไม่ต้องแปลกใจหรอกค่ะ คุณแม่แอบทำอะไรลับหลังคุณพ่อไว้หลายอย่าง ถ้าจะแอบมาสำรวจที่นี่โดยไม่บอกคุณพ่อบ้างก็คงไม่น่าแปลก”
“ปรางทิพย์”
รัชนีหน้าเสีย สุวิทย์หันขวับมามองหน้ารัชนี ปรางทิพย์ยักไหล่นิดๆ แล้วก็เดินเข้าบ้านไป
“พี่ภัคคะ พี่ภัค ปรางมาแล้วค่ะ”
สุวิทย์ถามรัชนีด้วยความแปลกใจ
“ทำไมหมู่นี้ลูกชอบพูดจาอะไรแปลกๆ ลูกพูดแบบนั้นแปลว่าอะไร”
“เอ่อ ปรางคงจะแกล้งพูดให้รัชหงุดหงิดเล่นน่ะค่ะ อย่าไปสนเลยนะคะ”
รัชนีพูดจบก็รีบเดินตามปรางทิพย์ไป สุวิทย์มองตามทั้งสองคนและเริ่มรู้สึกแปลกๆ
ปรางทิพย์เดินเข้ามาในห้องรับแขกที่มีรูปพรตที่ติดอยู่
“พี่ภัคคะ”
รัชนีเดินตามมา พอเห็นรูปของพรต ก็แอบชะงักนิดๆ สุวิทย์เดินตามเข้ามา
“แน่ใจเหรอว่าภคพงษ์อยู่ที่นี่ ไม่ได้อยู่ที่งานตามที่แม่เค้าบอก”
“พี่ภัคอยู่ที่นี่แหละค่ะ พี่ภัคส่งข้อความมาบอกให้ปรางมารอที่ห้องรับแขกที่มีรูปคุณพ่อที่ภัคติดอยู่ นี่ไงคะ รูปคุณพ่อพี่ภัค”
ปรางทิพย์ชี้ไปที่รูปพรตด้วยความซื่อ โดยไม่รู้ว่าถูกใช้เป็นเครื่องมือ สุวิทย์หันไปดู แต่รัชนีกลับยืนเฉยไม่กล้าหันไป
ทันใดนั้นเสียงภคพงษ์ก็ดังขึ้น
“ทำไมคุณรัชนีไม่กล้าหันมามองดูรูปของคุณพ่อล่ะครับ มีอะไรติดค้างคาใจหรือเปล่า”
โปรดติดตามลุ้นรัก "รสา-ภคพงษ์" ตอนต่อไป