เนื่องจากบทในตอนที่ 10 มีการเพิ่มเติม ตัวหนังสือ สีแดง ในตอน 10 หน้า 1 และ หน้า 3 คือส่วนที่เพิ่มเข้ามาใหม่
ตะวันทอแสง ตอนที่ 10
ที่บ้านของภคพงษ์ในยามเช้าวันต่อมา รสาเดินขึ้นเนินทางโค้งตรงมาที่ลานน้ำพุอย่างไม่มีกะจิตกะใจ ในมือถือตัวอย่างวอลเปเปอร์มาด้วย รสาเดินมาเรื่อยๆ จนถึงบริเวณที่ภคพงษ์เคยสั่งให้รสาขึ้นรถกอล์ฟนั่งไปเรือนหลังเล็กด้วยกัน เมื่อตอนที่รสาเข้ามาทำงานใหม่ๆ
รสาหยุดมอง นึกถึงตอนที่ภคพงษ์สั่งให้รสาขึ้นรถกอล์ฟแล้วซิ่งออกไป จนตัวเองหงายเงิบ
รสายิ้มเศร้า ก่อนจะเปลี่ยนใจหันเดินกลับไปนั่งที่ม้านั่ง แต่พลันที่มองตรงบริเวณนั้น ก็หวนนึกถึงตอนที่ภคพงษ์เอามือจับประตูรถรสาพลางว่า “ไปด้วยคนนะ” และเวลาต่อมาที่ภคพงษ์เข้าไปนั่งในรถรสาหน้าตาเฉย
รสาเผลอตัวยิ้มน้อยๆ ออกมา ก่อนจะค่อยๆ หุบยิ้มด้วยสีหน้าเศร้า ถอนใจเฮือก แล้วหยิบตัวอย่างวอลเปเปอร์มาเปิดดูช้าๆ รสาท้องร้อง รู้สึกหิวก็หยิบกระเป๋าสะพายมาคุ้ยๆ หาของกิน
“อ้าว หายไปไหนล่ะ เมื่อวานยังเห็นอยู่เลย ...อยู่นี่เอง”
รสาคุ้ยจนเจอขนมปังก้อนๆในซองพลาสติกที่ดูยับยู่ยี่ น่าเกลียดขึ้นมามอง
“เอาล่ะ กินกันตายไปก่อน”
รสาฉีกซองพลาสติกออก อ้าปากกว้างเตรียมจะกัดเต็มที่ ทันใดนั้นมือของชีวินก็เข้ามากระชากมือรสาออก รสางับอากาศเข้าเต็มๆ
“เฮ่ย ...วิน”
รสาเห็นชีวินยืนอยู่ใกล้ๆ ก็โวยเต็มที่
“อะไรเนี่ย คนกำลังหิว หิวจัดด้วย จัดแบบว่ากินหัววินได้เลยนะตอนเนี้ย”
ชีวินรีบแทรกบอก
“ใจเย็น โห โดนเป็นชุดแต่เช้าเลยเว๊ยเรา”
ชีวินคว้าขนมปังจากมือรสามาดูวันหมดอายุ
“โอย หมดอายุตั้ง 3 วันแล้ว ยังจะกินอีก”
“อย่าแกล้งนะ รสจะรีบกินจะได้รีบทำงานให้เสร็จๆ”
พูดจบก็ตะปบจะคว้าขนมปังในมือชีวิน ชีวินเอี้ยวหลบ
“วิน”
รสาอ้าปากจะด่าต่อ แต่ว่าชีวินยื่นถุงพลาสติกข้างในใส่ข้าวกล่องให้ตรงหน้ารสา รสางงเล็กน้อย
“วินเป็นห่วงรส เมื่อเช้าโทร.ไปหา ป้าอาภรณ์บอกรสออกมาแต่เช้า ข้าวปลาก็ไม่ได้กิน วินเลยซื้อข้าวมาให้”
รสามองอย่างอึ้ง และซึ้งใจ
ชีวินแกะไปพูดไป
“ข้าวผัดกุ้งแช่แข็งนะ เวฟมาเรียบร้อยแล้ว กินได้เลย อ่ะ”
ชีวินยื่นให้ รสาค่อยๆ รับมาอย่างซึ้ง
“ขอบใจนะวิน”
ชีวินพยักหน้าน้อยๆ ยิ้มให้
“ถึงวินจะทำกับข้าวไม่เป็น แต่วินก็มีข้าวกล่องให้รสแก้หิวได้เหมือนกันนะ”
รสาอึ้ง
“ที่สำคัญ วินไม่เคยให้รสต้องหิ้วท้องรอ”
รสายิ่งอึ้งหนัก พลางคิดถึง ตอนที่นั่งรอภคพงษ์มากินแกงมัสมั่น - ป้าอาภรณ์เอาอาหารกล่องที่ภคพงษ์ฝากให้ส่งให้บอกว่าภคพงษ์ฝากให้
รสาหน้าจ๋อย
“และถ้ารสให้โอกาสวิน”
รสามองหน้าชีวินขวับ
“วินสัญญาว่าจะพัฒนาไปอีกขั้น”
รสมองลุ้นว่าชีวินจะพูดอะไร
“วินจะหัดทำกับข้าว ไม่ให้รสต้องกินข้าวผัดแช่แข็งอย่างนี้อีกแล้ว”
รสาค่อยๆ ยิ้มออกมาอย่างซาบซึ้งใจ
“วิน”
รสาโผกอดเพื่อน ชีวินอึ้ง ดีใจ คิดเกินเพื่อน
“ขอบใจมากนะวิน”
ชีวินยิ้มแฉ่ง
“วินเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของรสจริงๆ”
ชีวินหุบยิ้มทันที
เสียงปุยนุ่นดังขึ้น
“คุณรสา”
“อ้อ! คุณชีวินด้วย แหม..วันนี้มาแต่เช้าเลยนะคะ แต่ก็ยังเช้าไม่เท่าคุณภัคของปุยนุ่น”
ทั้ง 2คนอึ้งๆกับคำพูดของปุยนุ่น
“ฮั่นแน่ งง คืองี้ค่ะ ปกติคุณภัคก็จะไม่ค่อยออกจากบ้านแต่เช้าอย่างนี้หรอกนะคะ แต่หมู่นี้ ผิดปกติมากถึงมากที่สุดค่ะ”
รสาเริ่มตัวชา ชีวินมองรสา ปุยนุ่นยังเพลิดเพกับการเล่า
“แต่ถึงยังไง ก็ไม่รอดปุยนุ่นค่ะ ปุยนุ่นจมูกไว เอ๊ย! หูไวค่ะ ปุยนุ่นได้ยินคุณภัคโทร.คุยกับ น้องปราง น้องปราง น่ะค่ะ”
รสาหัวใจวูบตกหลุมอากาศอีก ชีวินหันขวับมองรสาอย่างห่วง
“รส”
รสาลุกขึ้นพรวดบอก
“ งั้นก็ฝากนี่ให้เจ้านายปุยนุ่นด้วย บอกว่าเป็นวอลล์เปเปอร์ที่รสเลือกไว้แล้ว แต่ถ้าไม่ชอบใจก็เชิญเปลี่ยนใหม่ได้ตามแต่ที่เค้าอยากจะได้”
รสาทิ้งตัวอย่างวอลล์เปเปอร์ไว้ในอ้อมแขน ปุยนุ่นเข่าแทบทรุด เพราะหนัก แล้วเดินกลับไปทางเก่า
ชีวินตะโกนจะวิ่งออกตามไป
“รส”
“คุณชีวินคะ ไอ้นี่มันหนักมากเลย คุณรสแบกไหวได้ไงคะเนี่ย”
“หนักกว่านี้ รสเค้าก็ไหว”
ชีวินหมายถึงภคพงษ์ ไม่ได้หมายถึงวอลล์เปเปอร์อย่างที่ปุยนุ่นถาม พอพูดจบ ชีวินก็รีบวิ่งตามรสาออกไป
“บ้า หนักกว่านี้ก็ต้องส่งไปแข่งยกน้ำหนักหญิงแล้วมั้ง...คุณชีวิน”
ปุยนุ่นมองตัวอย่างวอลล์เปเปอร์ในมือว่าหนักโคตร
ในระหว่างหนึ่งสัปดาห์ ภคพงษ์ยังเทียวรับเทียวส่งปรางทิพย์ที่โรงเรียน ขณะที่รสาเร่งงานอย่างหนัก
บริเวณหน้าโรงเรียนสอนภาษา ภคพงษ์นั่งรอ ปรางทิพย์เดินออกมาหาพร้อมรอยยิ้ม ทั้งสองคนเดินไปด้วยกัน
ภคพงษ์ช่วยถือกระเป๋าตามเคย ภคพงษ์ยื่นแขนให้ควง ปรางทิพย์มองหน้า ภคพงษ์พยักหน้าเป็นการย้ำว่าโอเค ปรางทิพย์ยิ้มปลื้มแล้วก็ค่อยๆสอดมือเข้ามาควงแขน ภคพงษ์หันมายิ้ม แววตามองด้วยความเอ็นดู แต่รอยยิ้มแอบซ่อนความสะใจไว้ลึกๆ
รสากำลังเร่งคุมงานปิดไปทีละห้อง เริ่มจากห้องนอนเล็ก ปุยนุ่น และเปลี่ยน คุมคนใช้อีก 2-3 คนช่วยกันทำความสะอาดบ้าน รสาทำงานหน้าเครียด ปุยนุ่นแอบมองแล้วก็เป็นห่วง
ภคพงษ์อยู่กับปรางทิพย์ สองคนนั่งกินข้าวกันที่ร้านหนึ่ง ภคพงษ์ป้อนอาหารให้ปรางทิพย์อย่างมีความสุขมาก
รสาคุมงานซ่อมสีภายนอก ตากแดดร้อนมาก ชีวินเอาร่มมาให้ รสาส่ายหน้าแล้วก็เดินเข้าไปตรวจงานต่อ ชีวินมองด้วยความเป็นห่วง
ภคพงษ์มาส่งปรางทิพย์ที่ห้องเรียน ปรางทิพย์โบกมือลาก่อนเดินเข้ามาในห้อง เพื่อนในห้องทัก
“แฟนน้องปรางหล่อมาก พี่เห็นครั้งแรกนึกว่าดารา แต่จะว่าไปก็หน้าคุ้นๆนะ ต้องเป็นคนดังแน่ๆ ไฮโซอะป่าว”
ปรางทิพย์ได้แต่ยิ้มปลื้ม ไม่ได้ยิ้มอวด แต่ก็ยิ้มรับไม่ปฎิเสธ
รสายืนมองดูงานด้วยความพอใจ บรรดาคนงาน ปุยนุ่น และเปลี่ยน ขนของเข้าไปที่ห้องต่างๆที่ตกแต่งเรียบร้อยพร้อมอยู่
รสายืนมองดูอยู่ที่หน้าบ้านด้วยความพอใจ ชีวินเดินเข้ามาหา ทั้งสองคนยืนคู่กันและยิ้มให้กันอย่างมีความสุข
ห่างออกไป สายใจยืนมองรสาก่อนถอนใจเบาๆ ทั้งเสียดายและหนักใจไม่รู้จะทำยังไงดี
ภายในรีสอร์ตของพร้อม ห้าวกำลังคุยโทรศัพท์ด้วยน้ำเสียงลิงโลด ออกอาการดีใจมาก
“รสจะกลับมาเสาร์อาทิตย์นี้เหรอ”
รสาคุยอยู่มือถืออยู่กับห้าว ที่มุมหนึ่งของสวนสวยอันร่มรื่น หน้าเรือนหลังเล็ก
“จ้ะ...งานเกือบจะเสร็จแล้วก็เลยไปได้…เออ พี่ห้าว พิมเปลี่ยนเบอร์มือถือเหรอ รสโทร.หาหลายวันแล้วไม่ติดเลย นี่พิมกลับมาจากโรงเรียนหรือยัง รสคุยด้วยหน่อยสิ”
ห้าวอึกๆ อักๆ ก่อนตัดสินใจบอกความจริง
“เอ่อ...รส คือ พิมไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว”
รสาหน้าเสียและตกใจ
“ไม่อยู่ หมายความว่ายังไง”
ห้าวพูดด้วยเสียงเศร้า
“พิมย้ายออกไปได้สักพักแล้ว”
รสารีบถาม
“อะไรนะ ตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมพี่ห้าวไม่บอกรสสักคำ”
ห้าวพยายามชี้แจงอย่างใจเย็น
“พี่เห็นรสยุ่งๆ ทั้งเรื่องงาน เรื่องเดินแฟชั่น ก็เลยไม่อยากเอาเรื่องไม่สบายใจไปรบกวน ตั้งใจว่าถ้ารสมีเวลาว่างมา รสก็รู้เอง”
รสาส่ายหน้าไปมาด้วยความรู้สึกไม่ดี
“รสขอโทษจริงๆ ช่วงนี้ยุ่งมาก รสไม่ได้กลับไประยองเลยไม่รู้เรื่อง พี่ห้าว เล่ามาให้หมดเลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น”
รสาตั้งใจฟัง ห้าวลำบากใจเหมือนไม่อยากพูดถึง
เมื่อหลายวันก่อน ภายในรีสอร์ตพร้อม วาริชพูดด้วยน้ำเสียงแสดงอำนาจ
“ผมจะย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่กับภรรยาของผม”
พร้อม วิมล และห้าวต่างตกใจ พิมพรรณยืนหน้าจ๋อยๆ อยู่ข้างๆวาริช ที่พื้นมีกระเป๋าเสื้อผ้าของวาริชวางอยู่ 2-3 ใบใหญ่
“ใครเป็นเมียแก” พร้อมถาม
“พิมกับผมจดทะเบียนสมรสกันแล้ว”
ทุกคนผงะ ตกใจยิ่งกว่าเดิม วาริชพูดต่อ
“เราสองคนเป็นสามีภรรยากันอย่างถูกต้องตามกฎหมาย อะไรที่เป็นของพิมก็เหมือนเป็นของผม” วาริชพูดอย่างมั่นใจพลางจับมือพิมพรรณที่ยืนสีหน้าจ๋อยๆอยู่
“พิม บอกพ่อมาสิว่ามันไม่จริง มันไม่จริงใช่มั้ย”
พร้อมพูดพลางเข้ามากระชากแขนพิมพรรณออกจากวาริชอย่างแรง
“บอกมา แกไม่ทำอะไรโง่ๆแบบนั้นใช่มั้ย”
พิมพรรณร้องเพราะความเจ็บที่โดนกระชาก “โอ้ย”
วิมล ห้าวรีบเข้ามาห้าม
“พ่อ / ลุง ลุงใจเย็นๆ”
พิมพรรณร้องไห้บอก
“พ่อ..พิมขอโทษ”
พร้อมถึงกับอึ้ง ทรุด วิมลกับห้าวรีบเข้ามาประคอง
“พ่อ/ลุง”
“นังลูกไม่รักดี ทำไม ทำไมถึงทำแบบนี้ ทำไมไม่เห็นแก่หัวอกพ่อ หัวอกแม่บ้าง ทำแบบนี้ได้ยังไง”
พร้อมพูดน้ำตาคลอ
พิมพรรณร้องไห้น้ำตาไหลพรากจะเข้ามาหา
“พ่อ”
วาริชจับพิมพรรณไว้ ดึงเข้ามาอยู่ข้างตัวเอง
“พิมทำถูกต้องแล้ว ไม่เห็นจะโง่ตรงไหน ฉลาดด้วยซ้ำที่จดทะเบียนสมรสกับผม”
ห้าวสวนทันที
“หุบปากไปเลย คนในครอบครัวเค้ากำลังคุยกัน คนนอกไม่เกี่ยว แค่ทะเบียนสมรสใบเดียว อย่าคิดว่ามันจะทำให้แกเป็นส่วนหนึ่งของบ้านนี้”
วาริชมองหน้าห้าวด้วยความแค้น พิมพรรณร้องไห้ไม่หยุด พร้อมพยายามกัดฟันพูด ไม่ให้อารมณ์ขึ้นจนทำให้ช็อก
“ไอ้ห้าวพูดถูก เอ็งไม่มีวันได้เข้ามาอยู่ที่นี่ ไม่ว่าจะในฐานะอะไรก็ตาม”
วาริชหน้าเสีย พิมพรรณน้ำตาไหลพราก พร้อมหันมาทางลูกสาวถาม
“พิมเลือกมาเลย ระหว่างผัวกับพ่อ จะเลือกใคร ถ้าเลือกพ่อก็ไปหย่าซะ แต่ถ้าเลือกมัน ก็ออกไปอยู่กับมัน ไม่ต้องมาอยู่ที่นี่”
พิมพรรณร้องไห้เลือกไม่ถูก วาริชหน้าเสีย มองพิมพรรณด้วยสายตาออดอ้อน วิมลน้ำตาคลอ เสียงสั่นด้วยความสงสารลูก
“พ่อ ค่อยๆพูดกันดีกว่านะพ่อ”
“ เลือกมา” พร้อมตะคอกเสียงดัง
วิมลสะดุ้งนิดๆ รู้ว่าพร้อมเอาจริงก็จำต้องหยุดพูดเซ้าซี้ ได้แต่หันมามองพิมพรรณด้วยความเห็นใจ
พิมพรรณคิด น้ำตาไหลพราก มองหน้าวาริชที่ออดอ้อนด้วยสายตาสุดๆ พร้อมเบือนหน้าหนีไปทางอื่นอย่างไม่มีเยื่อใย พิมพรรณคิดแล้วก็ตัดสินใจ จับมือวาริชแน่น
“พ่อ พิมขอโทษ”
พร้อมถึงกับน้ำตาร่วง พูดเสียงสั่นแต่เด็ดขาด
“ออกไป ออกไปทั้งสองคน ออกไปให้หมด แล้วอย่ากลับมาให้ข้าเห็นหน้าอีก”
พิมพรรณและวิมลเรียก “พ่อ” ขึ้นพร้อมกัน
“ออกไป” พร้อมตัดบทย้ำอีกรอบ
พร้อมสั่งอย่างเด็ดขาด ทั้งพิมพรรณและวิมลร้องไห้ดังระงม วาริชชักสีหน้าด้วยความไม่พอใจ ห้าวมองหน้าวาริชด้วยสายตาโคตรเกลียด
พิมพรรณเก็บของใส่กระเป๋าทั้งน้ำตา ห้าวช่วยด้วยความสงสาร วาริชยืนกอดอกรออยู่ที่หน้าประตูด้วยความ
หงุดหงิด ห้าวปรายตาไปมองวาริชด้วยความเกลียดชังก่อนจะหันมาพูดกับพิมพรรณ
“พิม คิดดูให้ดีๆ ตัดสินใจผิด ตัดสินใจใหม่ได้นะ”
พิมพรรณยังไม่ได้พูดอะไร วาริชก็หันขวับมา
“อ้าว พูดอย่างนี้หมายความว่ายังไง พิมเลือกผมมันผิดตรงไหน”
ห้าวหันขวับมาประจันหน้า
“แล้วพิมเลือกแกมันถูกยังไง ไอ้คนกะล่อน ปลิ้นปล้อน หลอกลวง เห็นแก่ตัว”
วาริชพุ่งเข้ามา
“มันจะมากไปแล้ว คิดว่าตัวใหญ่แล้วกูจะกลัวหรือไง”
วาริชพุ่งเข้ามาห้าวพร้อมกำหมัด แต่พอมาถึงในระยะประชิดห้าวก็ออกหมัดก่อนอย่างแม่นยำซัดเข้ามาดั้งจมูก
ของวาริชอย่างแรง
“โอ้ย”
วาริชเซล้มลงไปกองที่พื้น พิมพรรณรีบเข้ามาดู
“วาริช วาริชเป็นไงบ้าง”
วาริชตะหวาดเสียงดัง
“ก็เจ็บสิเว้ย ถามได้”
“เฮ้ย มาตะหวาดใส่พิมได้ยังไง พูดให้มันดีๆนะเว้ย มึงอยากจะโดนอีกหรือไง”
ห้าวจะพุ่งเข้ามาหาอีกสักหมัด แต่พิมพรรณห้ามไว้
“พี่ห้าว พอเหอะ นะ นะ ฉันขอร้อง พอเถอะนะ”
ห้าวมองพิมพรรณที่น้ำตาร่วงแล้วก็สงสารสุดๆ
“วันนี้พี่ยอมให้พิม แต่วันหน้าถ้ามันยังทำแบบนี้กับพิม พี่ไม่ยอม”
ห้าวพูดจบก็เดินออกไปเลย ทิ้งให้พิมพรรณนั่งร้องไห้อยู่ข้างๆวาริชที่นั่งหงุดหงิดสุดๆ ห้าวยืนอยู่ที่หน้าห้อง หันกลับมามองพิมพรรณด้วยความเป็นห่วง
พิมพรรณนั่งร้องไห้ด้วยความน่าเศร้า และสับสน
รสายืนด้วยสีหน้ากังวล อยู่ที่บริเวณสวนของเรือนหลังเล็กตอนกลางวัน
“ที่พิมเป็นแบบนี้ มันไม่ใช่ความผิดของรส” เสียงชีวินดังแทรกเข้ามาอย่างเข้าใจ
“ถึงรสอยู่ระยอง รสก็ช่วยอะไรไม่ได้” ชีวินพูดต่อ
รสามีสีหน้าเศร้า รู้สึกผิดอย่างมาก
“ไม่จริง รสอาจจะช่วยเป็นที่ปรึกษา หรือพูดเตือนสติพิมได้บ้าง ถ้ารสอยู่พิมอาจจะไม่เตลิดไปแบบนี้ ไม่อยากจะเชื่อเลย ไอ้วาริชมันทำลายชีวิตพิมได้มากถึงขนาดนี้ ไม่อยากจะเชื่อเลย”
รสาน้ำตาร่วง ชีวินเดินมาจับมือปลอบใจ
“รส บ่ายนี้เดี๋ยววินดูงานแทนให้เอง ถ้ารสอยากกลับระยอง เก็บของแล้วไปเลยก็ได้นะ ไม่ต้องห่วงงานที่นี่”
“ขอบใจมากวิน ขอบใจมาก”
ชีวินเห็นรสาร้องไห้แล้วก็สงสารแล้วค่อยๆดึงรสาเข้ามากอดปลอบใจอย่างเพื่อน ที่ด้านหลังปรางทิพย์เดินเข้ามาเห็นพอดีก็ตกใจ
“อุ๊ย ! ขอโทษค่ะ”
ชีวินกับรสาชะงักนิดๆ แยกออกจากกันและมองไปที่ต้นเสียง เห็นปรางทิพย์ยืนหันหลังทำตัวไม่ถูก
ชีวินหันมาทางรสา
“วินเข้าไปดูงานต่อให้นะ”
รสาพยักหน้าบอก
“ขอบใจจ้ะ”
ชีวินเดินเข้าไปในเรือนหลังเล็ก
ปรางทิพย์ค่อยๆหันมา เมื่อเห็นว่าชีวินไปแล้วก็เลียบๆเคียงๆ พูดขึ้น
“ขอโทษนะคะที่ปรางเดินเข้ามาเมื่อกี้”
ปรางทิพย์พูดขึ้นด้วยความรู้สึกผิดและอ่อนน้อม รสามองแล้วก็ยิ้ม สัมผัสได้ถึงความไม่ตั้งใจและความเป็น
มิตรในน้ำเสียง
“อ๋อ..ไม่เป็นไรคะ”
ปรางทิพย์ยิ้มรับ แล้วก็ชวนคุยด้วยความกระตือรือร้น
“พี่ภัคบอกว่า คุณเป็นมัณฑนากรมาตกแต่งบ้านให้พี่ภัค”
รสาชะงักนิดๆ
“ตอนแรกปรางนึกว่าคุณเป็นนางแบบมืออาชีพซะอีก”
“ที่ไปเดินแบบวันนั้นมันเป็นเหตุการณ์เฉพาะกิจ จริงๆแล้ว...ดิฉันเป็นมัณฑทนากรที่มาตกแต่งบ้านให้คุณภคพงษ์..เท่านั้นล่ะค่ะ” รสาพูดแต่หางเสียงแอบตัดพ้อ
“แต่ถ้าคุณเปลี่ยนใจอยากจะเป็นนางแบบด้วย ปรางว่าคุณเป็นได้สบายเลยนะคะ เพราะวันนั้นคุณสวยมาก ปรางว่า...สวยที่สุดในงานเลยค่ะ”
รสามองปรางทิพย์แล้วก็ยิ้มนิดๆ เอ็นดู
“ขอบคุณค่ะ แต่ในความเป็นจริงดิฉันก็โทรมๆแบบนี้ล่ะค่ะ ยังไม่นึกว่าคุณจะจำได้”
“ทำไมจะจำไม่ได้คะ คุณสะดุดตาออก ปรางยังนึกว่าคุณไม่ใช่คนไทยด้วยซ้ำ หรือไม่ก็เป็นคนไทยที่ไปโตเมืองนอก”
รสาขำๆบอก
“บ้านนอกต่างหากค่ะ ไม่ใช่เมืองนอก”
ปรางทิพย์ขำตามแล้วก็นึกได้
“อ้อ ขอโทษนะคะ คุยกันมาตั้งนานยังไม่รู้จักชื่อคุณเลย”
“ดิฉันชื่อรสาค่ะ คุณปรางทิพย์”
ปรางทิพย์เลิกคิ้ว แปลกใจที่รสารู้จักชื่อ
“ดิฉันเห็นชื่อจากในหนังสือพิมพ์น่ะค่ะ”
ปรางทิพย์พยักหน้า รสารีบตัดบท
“ดิฉันขอตัวไปเก็บของก่อนนะคะ พอดีวันนี้ลางานครึ่งวัน มีธุระต้องกลับต่างจังหวัด”
“เชิญตามสบายค่ะ ปรางว่าจะไปเดินเล่นรอบๆ สวนทางด้านโน้น หวังว่าโอกาสหน้าเราคงจะได้คุยกันอีกนะคะ พี่รสา”
รสาชะงักนิดๆ กับความน่ารักและเป็นธรรมชาติของปรางทิพย์ รสาเห็นรอยยิ้มแล้วก็อดยิ้มตามไม่ได้
“ค่ะ”
รสายิ้มรับแล้วก็หันหลังให้ พอคล้อยหลัง รอยยิ้มค่อยๆหายไป กลายเป็นความเศร้าพลางคิด แบบนี้ล่ะมั้งที่ภคพงษ์ต้องการ
รสาหลบตาต่ำด้วยความเจียมตัว
ชีวินตรวจงานอยู่ในห้องหนึ่ง รสาเดินเข้ามาเตรียมเก็บของ ชีวินรีบเข้ามาถามทันที
“รสเป็นไงบ้าง เด็กคนนั้นทำอะไรรสหรือเปล่า”
รสาวางมือ แล้วก็ตอบ ชีวินนิ่งฟังอย่างตั้งใจ
“ทำ เค้าทำให้รสรู้ว่า ภคพงษ์เลือกคนไม่ผิด”
รสาก้มหน้าเก็บของต่อ ชีวินชะงักนิดๆ สัมผัสได้ถึงความเศร้าในน้ำเสียงและกริยาของรสา ชีวินมอง
ด้วยความสงสาร
ภายในบ้านเถลิงยศ พักตร์วิมลเดินเชิดเข้ามาอย่างถือตัว ปุยนุ่นรีบวิ่งลนลานเข้ามาต้อนรับทันที
“คุณพักตร์วิมลมาหาคุณภัคเหรอคะ”
พักตร์วิมลปรายตาบอก
“ใช่สิ ถ้าไม่ได้มาหาภัค แล้วจะให้ฉันมาหาใคร”
“แต่คุณภัคไม่อยู่ค่ะ”
“ฉันจะรอ”
“แต่” ปุยนุ่นทำอึกอัก
“แต่อะไร ทำไมฉันจะรอไม่ได้”
พลันสายตาพักตร์วิมลก็มองเลยจากปุยนุ่นไปสะดุดเข้ากับปรางทิพย์ที่เดินเล่นอยู่ในสวน
“นั่นมัน”
พักตร์วิมลกัดริมฝีปากกรอดๆ ด้วยความริษยา แล้วก็เดินพุ่งออกไปทันที ปุยนุ่นตกใจ
“คุ..คุณพักตร์วิมลจะไปไหนคะ คุ..คุณพักตร์”
ปุยนุ่นหันไปเห็นปรางทิพย์เดินอยู่ก็ใจหายวาบ
“ซะ...ซวยแล้ว”
ขณะที่ปรางทิพย์กำลังเดินชมสวนอย่างสบายใจ ทันใดนั้นเสียงพักตร์วิมลก็ดังขึ้น
“เธอมาทำอะไรที่นี่”
ปรางทิพย์สะดุ้งนิดๆ หันมา พักตร์วิมลเดินหน้าจิกเข้ามาหา กะเหวี่ยงเต็มที่
“เป็นเด็กเป็นเล็กมาอ่อยผู้ชายถึงที่บ้าน พ่อแม่ไม่มีเวลาสั่งสอนหรือไงหะ”
ปรางทิพย์สะอึกแล้วก็ตั้งหลักนิดนึงก่อนจะตอบกลับ
“แล้วต้องอายุเท่าไหร่เหรอคะ ถึงจะมาอ่อยผู้ชายถึงที่บ้านได้แบบคุณ”
พักตร์วิมลโกรธปรี๊ดขึ้นทันที
“ปากดีนักนะ นึกว่าตัวเองเป็นใครห๊า ถึงได้กล้าพูดแบบนี้ ฉันจะบอกให้นะ ภัคเค้าไม่สนใจเด็กอย่างเธอหรอก”
พักตร์วิมลพูดพลางมองมาที่หน้าอกตัวเอง แล้วพูดต่อ
“อะไรๆก็ไม่มี ชิ ยัยอนุบาลหมีน้อย”
ปรางทิพย์นิ่งพยายามระงับอารมณ์ พักตร์วิมลยิ้มเยาะใส่ต่อ
“ภัคเค้าเห็นเธอเป็นแค่ของเล่น เป็นตุ๊กตาหมีน้อยควงขำๆ พอให้แก้เบื่อ อีกไม่นานก็ทิ้ง”
“เหมือนกับที่พี่ภัคทำกับพี่น่ะเหรอคะ”
พักตร์วิมลจี๊ดขึ้นมาในบัดดล
“นังเด็กบ้า”
พักตร์วิมลง้างมือจะตบ ปรางทิพย์หลับตาปี๋ มือหนึ่งพุ่งเข้ามาจับมือพักตร์วิมลไว้ทันที
นางเอกสาวหันขวับมาที่เจ้าของมือ เห็นรสายืนสะพายกระเป๋าเตรียมจะกลับ
“แก...นังกรรมกร”
ปรางทิพย์ลืมตาขึ้นเห็นรสายืนจับมือพักตร์วิมลไว้ รสาดูเท่มากในสายตาปรางทิพย์มาก
สายใจพูดขึ้นด้วยความตกใจ
“แล้วทำไมถึงเพิ่งมาบอกหะ ตอนนี้ทั้งสองคนอยู่ที่ไหน”
ปุยนุ่นละล่ำละลัก
“ยุ..อยู่ในสวนจ้ะ”
สายใจหันมาทางเปลี่ยน
“ไอ้เปลี่ยนรีบไปดูเร็ว แล้วก็กันไว้อย่าให้คุณพักตร์วิมลทำร้ายคุณปรางทิพย์”
“ครับ”
ปุยนุ่นยังยืนหอบอยู่
“นังปุยก็รีบไปด้วย ไปช่วยกัน เร็วๆเข้า”
“จ้ะๆๆ ไปจ้ะ”
ปุยนุ่นรีบวิ่งตามเปลี่ยนไป สายใจร้อนใจ รีบหันไปหยิบโทรศัพท์และโทร.หาภคพงษ์ทันที
ภายในสวน พักตร์วิมลสะบัดมือออกจากมือของรสาอย่างแรง
“แกมายุ่งอะไรด้วยหะ เรื่องของคนระดับเจ้านาย นังพวกใช้แรงงานอย่างแกไม่เกี่ยว”
ปรางทิพย์มองหน้าพักตร์วิมลอย่างไม่พอใจ รสาไม่ถือสาแล้วก็ตอบกลับ
“ไม่ว่าจะเป็นคนระดับไหน ถ้าใช้กำลังกับคนอื่น มันก็ถ่อยเหมือนกันหมด โดยเฉพาะคนแก่รังแกเด็กฉันเห็นแล้วมันทนไม่ได้”
ปรางทิพย์มองหน้ารสาอย่างชื่นชม
“อร้าย นี่แกสองคนรวมหัวกันกลั่นแกล้งฉันใช่มั้ย หรือว่า...แกสองคนกำลังวางแผนจะกำจัดฉันเพื่อจะจับภัค”
“ที่ยืนกันอยู่สามคนนี้ คงมีคุณคนเดียวล่ะค่ะ ที่คิดแต่เรื่องจับผู้ชาย”
รสามองสู่สายตาพักตร์วิมลอย่างไม่ครั่นคร้าม
เนื่องจากบทในตอนที่ 10 มีการเพิ่มเติม ตัวหนังสือ สีแดง ในตอน 10 หน้า 1 และ หน้า 3 คือส่วนที่เพิ่มเข้ามาใหม่
ตะวันทอแสง ตอนที่ 10 (ต่อ)
ปรางทิพย์ยิ้มนิดๆ คำพูดรสาโดนใจอีกแล้ว
“ไม่จริง ถ้าพวกแกไม่คิดแล้วจะเสนอหน้ามาหาภัคถึงที่บ้านทำไม”
“ปรางมาที่นี่ในฐานะแขกของพี่ภัค เพราะพี่ภัคเชิญให้มา ไม่ได้คิดจะมาเพื่อจับใครทั้งนั้น”
“ส่วนฉันก็มาทำงาน ไม่ได้คิดจะมาจับใครเช่นกัน แล้วคุณมาทำอะไรที่นี่ไม่ทราบ”
ปรางทิพย์และรสายืนเชิดอย่างมั่นใจ พักตร์วิมลยิ่งปรี๊ด กรี๊ดออกมาอย่างดัง
“ฉันก็มาเพื่อจะจัดการกับแกสองคนยังไงล่ะ”
พักตร์วิมลสติแตกหันมาคว้ากระเป๋าของรสาปาลงที่พื้น ทั้งคอมพิวเตอร์ แปลนงาน เทปเล็ตกระเด็นเกลื่อน
รสาตกใจ ปรางทิพย์อึ้งด้วย
“เอ้ย” / ว้าย”
พักตร์วิมลยิ้มสะใจตรงเข้ามากระทืบๆๆ เหยียบๆๆๆ งานและเตะคอมพิวเตอร์กระเด็นกระดอนไป รสาพุ่งเข้า
มาแล้วเหวี่ยงตัวพักตร์วิมลออกไป
“หยุดได้แล้วนะ บ้ากันไปใหญ่แล้ว”
พักตร์วิมลโดนเหวี่ยงออกไป พักตร์วิมลตั้งใจเซพุ่งไปชนเข้ากับปรางทิพย์อย่างแรง
“ว้าย”
ปรางทิพย์ล้มกลิ้ง ข้อศอกกระแทกลงพื้น เลือดออกซิบๆ
ปรางทิพย์ยกดูข้อศอกตัวเองร้อง “โอย”
พักตร์วิมลยิ้มสะใจ
รสาจะเข้ามาช่วย
“คุณปรางทิพย์”
พักตร์วิมลรีบคว้าจิกผมรสาไว้
“นังตัวดี”
รสาหน้าหงายเพราะโดนดึงผม “โอ้ย”
พักตร์วิมลดึงผมรสาจนเซไปตามแรงดึง พักตร์วิมลสะบัดเหวี่ยงตัวรสาล้มไปอีกทางหนึ่ง รสาล้มลงศรีษะกระแทกเข้ากับต้นไม้ “โอ้ย”
ปรางทิพย์ตกใจร้อง
“พี่รสา”
รสามึนๆ มีเลือดไหลซิบๆที่หน้าผาก
ปุยนุ่นกับเปลี่ยนวิ่งทะเล่อทะล่าออกจากบ้านมามองซ้ายมองขวา พลันสายตาปุยนุ่นเห็นเป้าหมายก็ตกใจ
“ว้าย นั่นไงอยู่นั่น พี่เปลี่ยนรีบไปเร็ว”
ปุยนุ่นวิ่งนำไป เปลี่ยนรีบวิ่งตามไปอย่างเร็ว
พักตร์วิมลกำลังจะพุ่งเข้ามาซ้ำรสา ปรางทิพย์รีบเข้ามาจับตัวไว้
“อย่าทำอะไรพี่รสานะ”
รสายังสะลึมสะลือเห็นปรางทิพย์เอาตัวเข้าแลกจับตัวพักตร์วิมลไว้
“ปล่อยนะนังเด็กบ้า แกไม่ต้องห่วง ฉันจัดการนังกรรมกรแล้ว แกเป็นรายต่อไป”
พักตร์วิมลหันมาผลักปรางทิพย์จนเซตามแรงผลักไปอย่างแรง
“ว้าย”
ปรางทิพย์เซไป ทันใดนั้นปุยนุ่นก็เข้ามาจับไว้
“คุณปรางทิพย์คะ ระวังค่ะ”
ปรางทิพย์ล้มลงทับปุยนุ่น ดังแอ่ก! ปรางทิพย์ปลอดภัยแต่ปุยนุ่นจุกเล็กน้อย
พักตร์วิมลพุ่งเข้ามาหารสาที่ยังมึนๆอยู่
“แกเสร็จฉันแน่”
พักตร์วิมลง้างมือกำลังจะฟาดลงที่หน้ารสา เปลี่ยนก็พุ่งเข้ามาแล้วกอดจับตัวไว้ได้ทันที
“พอเถอะครับคุณ”
“อร๊าย นี่แกปล่อยฉันนะ ปล่อยฉัน ฉันบอกให้ปล่อย”
เปลี่ยนหันมาทางปุยนุ่นบอก
“ปุยรีบมาช่วยกันหน่อยเร็ว”
ปุยนุ่นรีบลุกขึ้นมา
“จ้ะๆ”
เปลี่ยนกับปุยนุ่นรีบพากันลากตัวพักตร์วิมลที่ร้องโวยวายออกมา
“นี่แกกล้าดียังไงมาจับเนื้อต้องตัวฉัน ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ ฉันบอกให้ปล่อย ปล่อย”
ปรางทิพย์รีบวิ่งเข้ามารสา
“พี่รสาเป็นยังไงบ้างคะ พี่รสาเป็นยังไงบ้าง”
ปรางทิพย์ถามรสาด้วยความเป็นห่วงอย่างจริงใจ รสามึนๆ แต่รับรู้ได้ถึงความจริงใจของผู้ถาม
ปุยนุ่นกับเปลี่ยนลากพักตร์วิมลมาถึงหน้าบ้าน พักตร์วิมลโวยวายพร้อมสะบัดตัวออกมา
“ฉันบอกให้ปล่อย”
สองคนพร้อมใจกันปล่อย พักตร์วิมลถึงกับเซจนเกือบล้มแล้วหันมาด่าอีก
“ว้าย อีบ้า ไอ้บ้า นึกจะปล่อยก็ปล่อย ฉันล้มเสียโฉมไปจะทำยังไง แล้วแกสองคนมาจับตัวฉันทำไมหะ ใครเป็นคนสั่งพวกแกบอกมาเดี๋ยวนี้เลยนะ”
ทันใดนั้นเสียงสายใจก็ดังขึ้น
“ดิฉันเป็นคนสั่งเอง”
พักตร์วิมลหันมาใส่ทันที
“ป้านี่ แก่ไม่อยู่ส่วนแก่ หาเรื่องโดนไล่ออกหรือไงหะ”
ปุยนุ่นกับเปลี่ยนถึงกับมองหน้ากัน
“ถ้าผู้หญิงอย่างคุณทำให้คุณหนูไล่ฉันออกได้ ฉันคงออกไปนานแล้ว เพราะคุณไม่ใช่คนแรกที่พูดประโยคนี้” สายใจตอบเสียงเข้ม
“อร๊าย..นี่แกเอาฉันไปเทียบกับนังผู้หญิงเหรอหะ”
“ก็มันไม่ได้ต่างกัน ทำไมจะเทียบไม่ได้ มาๆแล้วก็ไป ไม่เห็นจะคุณหนูจะเอาจริงสักคน”
พักตร์วิมลกรีดร้องเสียงหลง
“นี่หยุดกรี๊ดได้แล้ว นอกจากจะดูไม่งามแล้ว ยังหนวกหูอีกต่างหาก แล้วรู้หรือเปล่าว่าตรงนี้มีกล้องวงจรปิดติดอยู่”
พักตร์วิมลชะงักกึก...เหลือบซ้ายแลขวาแล้วรีบแอ๊บนางเอกขึ้นมาทีละนิด
“ทุกกริยาที่แสดงออกมาถูกบันทึกไว้หมดแล้ว ถ้าไม่อยากให้ภาพมันหลุดไปถึงนักข่าวก็รีบๆกลับไปซะ”
พักตร์วิมลมองไปเห็นกล้องก่อนรีบสำรวมหันหลังให้กล้อง แล้วก็พูดกับสายใจด้วยน้ำเสียงอย่างจิก
“ฉันไปก็ได้...แต่อย่าคิดนะว่าฉันจะยอมให้เรื่องนี้มันจบลงง่ายๆฉันเป็นนางเอกตอนจบฉันต้องชนะทุกครั้ง”
พักตร์วิมลพูดจบก็สะบัดหน้า เดินฉับๆๆ ออกไป สายใจมองตามแล้วก็ส่ายหน้าด้วยความระอาใจก่อนจะถามเปลี่ยน
“คุณปรางทิพย์เป็นยังไงบ้าง”
สายใจใส่ยาให้ปรางทิพย์ที่ข้อศอก ปรางทิพย์ร้อง “โอย” เบาๆ เหมือนเด็กๆ
“ยาโบราณ แสบหน่อยนะคะ แต่รับรองว่าแผลหายเร็ว ตอนคุณหนูหกล้ม ป้าก็เอายานี่แหละค่ะใส่ให้”
ปรางทิพย์ยกมือไหว้
“ขอบคุณค่ะ เอ่อ ป้าใจคะ ทำแผลให้พี่รสาด้วยสิคะ”
ปรางทิพย์หันมาทางรสาที่กำลังทำแผลให้ตัวเองกับกระจกอันเล็กที่ปุยนุ่นถือไว้ให้ มีเปลี่ยนยืนอยู่ไม่ห่าง
“ไม่เป็นไรค่ะ พี่ทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว”
รสายิ้ม ที่หน้าผากมีพลาสเตอร์ยาติดอยู่
“พี่รสาไปโรงพยาบาลให้คุณหมอสแกนสมองหน่อยมั้ยคะว่ากระทบกระเทือนหรือเปล่า”
“โอ้ย ไม่ต้องหรอกค่ะ พี่หัวแข็ง ไม่เป็นอะไรง่ายๆ”
สายใจมองปรางทิพย์กับรสาคุยกันแล้วก็สะท้อนใจ
“แล้วพวกงานกับคอมพิวเตอร์พี่รสาล่ะค่ะ มันจะเป็นอะไรหรือเปล่า”
“ไม่รู้เหมือนกันค่ะ เดี๋ยวพี่จะลองไปเช็กดู”
ปรางทิพย์หน้าเศร้า
“เป็นเพราะปรางแท้ๆ ทำให้พี่รสาต้องมาเดือดร้อนไปด้วย”
“ไม่หรอกค่ะ พี่เต็มใจเข้าไปช่วยเอง อย่าคิดมากนะคะ”
ปรางทิพย์ยิ้มนิดๆตามรสา สายใจมองรสายิ่งปลื้มหนักเข้าไปอีก
“พี่ต้องไปก่อนนะคะ ป้าใจสวัสดีค่ะ”
“สวัสดีค่ะ” สายใจบอก
รสายิ้มให้ปรางทิพย์ ปุยนุ่น และเปลี่ยนแล้วก็เดินไป ปรางทิพย์มองตามรสาไปด้วยแววตาชื่นชม
“ พี่รสาเป็นคนน่ารักมากเลยนะคะ”
ภคพงษ์อมยิ้มนิดๆเมื่อได้ยินปรางทิพย์เอ่ยชมรสา ทั้งคู่คุยกันอยู่ในบ้านเถลิงยศ ปรางทิพย์พูดต่อ
“พี่เค้าต้องรีบไปต่างจังหวัด แต่ก็ยังเข้ามาช่วยปรางด้วยความจริงใจ ช่วยแล้วก็ไป แบบนี้เรียกว่าสวยทั้งจิตใจสวยทั้งใบหน้า ไม่เหมือนบางคน”
“เรื่องแพต เดี๋ยวพี่จัดการเอง พี่สัญญาว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก เจ็บมั้ย” ภคพงษ์พูดพลางยกแขนปรางทิพย์ขึ้นมาดูแผล
“ก็นิดหน่อยค่ะ แต่คงน้อยกว่าพี่รสา”
ภคพงษ์นิ่งลงนิดๆเมื่อคิดถึงรสาด้วยความเป็นห่วง
“จริงๆแล้วมันอาจจะเป็นความผิดของปรางก็ได้นะคะ ที่แวะมาหาพี่ภัคโดยไม่บอกล่วงหน้า พอดีวันนี้ที่โรงเรียนเค้างดแต่ปรางไม่รู้ก็เลยมาเก้อ คนรถก็กลับไปแล้ว ปรางไม่อยากรอรถเซ็งๆก็เลยตั้งใจว่าจะมานั่งเล่นที่บ้านพี่ภัคก่อนแล้วค่อยกลับบ้าน ไม่คิดว่าจะเจอพี่เค้า”
“นี่กำลังคิดว่า พี่นัดแพตมา แล้วก็เลยเกิดรถไฟชนกันใช่มั้ย”
ปรางทิพย์มองหน้าและถามตรงๆ
“ปรางถามพี่ภัคตรงๆนะคะ พี่ภัคเห็นปรางเป็นของเล่น แค่ขำๆ เบื่อแล้วก็ทิ้งหรือเปล่าคะ”
ภคพงษ์มองหน้าปรางทิพย์ ภาพหน้ารัชนีซ้อนเข้ามา เป็นตอนที่รัชนีตอนทิ้งไปตอนเด็ก รัชนีตอนสีหน้าเย็นชา และเฉยเมยใส่
ภคพงษ์คิดแล้วก็ตอบเสียงจริงจัง
“ไม่ใช่ ความรู้สึกที่พี่มีต่อปรางมันมากกว่านั้น ปรางไม่ใช่ของเล่น แต่ปรางคือตัวจริงของพี่ เป็นผู้หญิงที่พี่รักและคิดจะจริงจังด้วยมากที่สุด” ภคพงษ์พูดพลางลูบผมปรางทิพย์อย่างเอ็นดู
ปรางทิพย์ถึงกับอึ้งก่อนจะยิ้มกว้าง ดีใจตัวลอย เหลิงอยู่บนอากาศ
ภคพงษ์ยิ้มตาม แต่เป็นรอยยิ้มที่แฝงไว้ด้วยความสะใจลึกๆ แววตาร้ายกาจยิ่ง
บริเวณหน้าห้องเรียนในโรงเรียนสอนภาษา รัชนีเดินใส่แว่นดำเข้ามาอย่างเท่ ตั้งใจจะมาหาปรางทิพย์ แต่พอเดินมาถึงที่ก็ต้องชะงัก ห้องเรียนปิดเงียบ รัชนีถอดแว่นและมองซ้ายขวา หาเบอร์ห้อง
“ห้องนี้นี่ ทำไมไม่มีใครมาเรียน”
รัชนีมองไปมาก็สะดุดเข้ากับกระดาษที่เขียนติดไว้ “วันนี้งด”
รัชนีเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ
“งด...แล้วปรางทิพย์หายไปไหน”
รัชนีเริ่มหวั่นใจ
ปรางทิพย์นั่งอยู่ในห้องกินข้าว ภคพงษ์นั่งอยู่ข้างๆ สายใจจัดจานอาหารลงบนโต๊ะ ปุยนุ่นเสิร์ฟข้าว เปลี่ยน
เสิร์ฟน้ำ
“พี่ให้ป้าใจทำอาหารโปรดของน้องปราง ลองทานดูนะ ว่าจะสู้ฝีมือแม่ครัวที่บ้านได้หรือเปล่า”
“ไม่ต้องทานก็รู้ว่าสู้ได้อยู่แล้ว ป้าใจซะอย่าง”
ปรางทิพย์ยิ้มสดใส สายใจยิ้มรับแต่แววตามีความไม่สบายใจเคลือบอยู่ตลอดเวลา
ทันใดนั้นโทรศัพท์มือถือของปรางทิพย์ก็ดังขึ้น หน้าจอขึ้นรูปรัชนี ปรางทิพย์หน้าเสียนิดๆ
“คุณแม่”
ภคพงษ์ชะงักนิดๆ สายใจแอบหันมามองทางภคพงษ์ แล้วก็หันมาทางปุยนุ่นกับเปลี่ยน
“ออกไปกันได้แล้ว ที่เหลือฉันดูแลเอง”
“ครับ/ค่ะ”
ปุยนุ่นกับเปลี่ยนเดินออกไป ปรางทิพย์คิดจะรับไม่รับ เอาไงดี
รัชนียืนรอสายอยู่ที่โรงเรียนด้วยความร้อนใจ ปรางทิพย์ตัดสินใจกดรับ
“คุณแม่สวัสดีค่ะ”
รัชนีรีบถามทันที
“ตอนนี้คุณแม่อยู่ที่หน้าห้องเรียน ปรางอยู่ที่ไหน”
ปรางทิพย์ชะงักกึก มองหน้าภคพงษ์ แล้วก็ตัดสินใจตอบ
“ปรางอยู่บ้านพี่ภัคค่ะ”
รัชนีหน้าซีด ใจสั่นแล้วสั่ง
“กลับบ้านเดี๋ยวนี้”
ปรางทิพย์ไม่ยอม
“แต่ปรางกำลังจะทานข้าวกับพี่ภัคนะคะ ปรางขอทานข้าวก่อนแล้วค่อยกลับได้มั้ยคะ”
ภคพงษ์ทำเป็นไม่ได้สนใจคำสนทนาแต่ตั้งใจฟังทุกคำพูด สายใจยืนอยู่ไม่ห่างฟังด้วยความไม่สบายใจ
รัชนีสวนทันที
“ไม่ได้ รีบออกมาจากบ้านนั้นให้เร็วที่สุด ถ้าปรางไม่ยอมกลับ แม่จะไปรับเอง”
ปรางทิพย์ถามหน้าเสีย
“แล้วคุณแม่จะให้ปรางกลับยังไงคะ”
ภคพงษ์พูดพร้อมกับรัชนี
“พี่ไปส่งเอง / คุณแม่จะให้รถไปรับ”
ปรางทิพย์ชะงัก มองหน้าภคพงษ์แล้วก็คิดตัดสินใจ
“คุณแม่ไม่ต้องส่งรถมานะคะ พี่ภัคจะไปส่งปรางที่บ้าน”
รัชนีชะงักรีบพูดลั่น
“ไม่ได้ อย่า”
ปรางทิพย์สวนไปหารัชนี
“แค่นี้ก่อนนะคะคุณแม่ ปรางจะรีบกลับบ้านเดี๋ยวนี้ตามที่คุณแม่ต้องการ”
ปรางทิพย์พูดด้วยน้ำเสียงประชดนิดๆก่อนวางสายไป รัชนีกัดฟันกรอดก่อนกดวางสายตามไป
“ภคพงษ์ ไม่ยอมจบจริงๆใช่มั้ย”
รัชนีทั้งโกรธ ทั้งหวาดหวั่นในใจ
เนื่องจากบทในตอนที่ 10 มีการเพิ่มเติม ตัวหนังสือ สีแดง ในตอน 10 หน้า 1 และ หน้า 3 คือส่วนที่เพิ่มเข้ามาใหม่
ตะวันทอแสง ตอนที่ 10 (ต่อ)
ปรางทิพย์สีหน้าเศร้าเดินออกมาที่หน้าบ้านกับภคพงษ์ มีสายใจเดินตามมา
“ปรางต้องขอโทษพี่ภัคด้วยนะคะ อดทานข้าวเลย พี่ภัคคงหิวแย่”
“ไม่เป็นไรครับ แค่นี้ พี่ก็อิ่มแล้ว”
สายใจมองหน้าภคพงษ์แล้วเข้าใจในความหมาย ภคพงษ์หันมาทางสายใจบอก
“ป้าใจ เก็บโต๊ะได้เลยนะครับ ผมไม่ทานแล้ว”
“ค่ะ”
ภคพงษ์หันมาทางปรางทิพย์
“เรารีบไปกันเถอะครับ ป่านนี้คุณแม่คงจะเป็นห่วงแย่แล้ว เชิญครับ”
ปรางทิพย์เดินนำไป ภคพงษ์ยิ้มร้ายที่มุมปากนิดๆแล้วก็เดินตามไป สายใจมองตามด้วยความเป็นห่วงอย่างหนัก
“คุณหนูนะคุณหนู รู้ตัวหรือเปล่าว่ากำลังทำอะไรอยู่”
สายใจรำพึงออกมาด้วยความหนักใจ
ภายในบ้านวงศ์เธียรสถิตย์ รัชนีเดินไปมาด้วยความร้อนใจ ปรางทิพย์เดินเข้ามาพร้อมกับภคพงษ์ รัชนีหันขวับมาลากแขนปรางทิพย์ทันที
“ปราง ขึ้นบ้านเดี๋ยวนี้”
รัชนีพลันเหลือบไปเห็นแผลที่ข้อศอกปรางทิพย์ก็ชะงัก
“ไปทำอะไรมา”
“เอ่อ หกล้มค่ะ”
รัชนีมองหน้าถาม
“แน่ใจ”
ภคพงษ์พูดแทรก
“คุณควรจะไว้ใจลูกสาวของคุณนะครับ”
รัชนีหันขวับมา
“ฉันคุยกับลูกสาวฉัน กรุณาอย่ามายุ่ง”
ภคพงษ์ผงะ ชะงัก ปรางทิพย์หน้าเสีย มองภคพงษ์ด้วยความสงสาร
“ขอบคุณมากที่มาส่ง กลับไปได้แล้ว”
ภคพงษ์ใจเต้นระส่ำด้วยความโกรธ ปรางทิพย์หันมาทางรัชนี
“ทำไมคุณแม่ต้องพูดไม่ดีกับพี่ภัคด้วยคะ”
รัชนีสวนทันที
“เรื่องของผู้ใหญ่ เด็กอย่างปรางไม่รู้เรื่องอะไร อย่ายุ่งดีกว่า”
ปรางทิพย์เจ็บเข้าไปถึงในใจ กัดฟันกรอดน้ำตาคลอ ทั้งเสียใจ และน้อยใจที่โดนดุต่อหน้าภคพงษ์
“ถ้าคุณแม่ไม่อยากให้ปรางยุ่งเรื่องของผู้ใหญ่ เรื่องของปราง ผู้ใหญ่อย่างคุณแม่ก็ไม่มีสิทธิ์มายุ่งเหมือนกัน”
“ปรางทิพย์ มาขึ้นเสียงกับคุณแม่แบบนี้ได้ยังไง ขอโทษเดี๋ยวนี้”
“คุณแม่ยังตะคอกใส่พี่ภัคได้ ถ้าอยากให้ปรางขอโทษ คุณแม่ก็ต้องขอโทษที่ภัคก่อน”
รัชนีอึ้งไป ปรางทิพย์กับรัชนีมองตากันอย่างไม่มีใครยอมใคร ภคพงษ์ยืนอยู่หลังปรางทิพย์ เผชิญหน้ากับรัชนียิ้มอย่างสะใจที่เห็นแม่ลูกทะเลาะกัน รัชนีหันไปเห็นพอดีก็ใจเต้นโครมคราม พยายามระงับสติอารมณ์ เพราะรู้ว่ากำลังโดนภคพงษ์ปั่นหัว
รัชนีฝืนยิ้มบอก
“โอเค คุณแม่ขอโทษ ขอโทษทั้งสองคน แม่คงจะเป็นห่วงปรางมากเกินไป แม่ขอโทษนะลูก”
ภคพงษ์มองด้วยความขยะแขยงที่รัชนีพยายามจะรักษาภาพความเป็นคนดีไว้อย่างสุดชีวิต
“แม่ว่าปรางไปอาบน้ำ แล้วลงมาทานข้าวดีกว่านะลูก เดี๋ยวคุณพ่อก็จะกลับมาแล้ว เราจะได้ทานข้าวพร้อมกัน”
ปรางทิพย์เสียงอ่อนลง
“ค่ะ ขอบคุณพี่ภัคมากนะคะพี่มาส่ง สวัสดีค่ะ” ปรางทิพย์ยกมือไหว้ภคพงษ์
ภคพงษ์รับไหว้ และยิ้มให้นิดๆ ปรางทิพย์ยิ้มรับหน่อย ๆแล้วจำใจเดินขึ้นห้องไป รัชนีมองเห็นแววตาของปรางทิพย์แล้วใจหายวาบ รู้ทันทีว่าลูกสาวตกหลุมรักภคพงษ์ไปเรียบร้อย ขณะที่รัชนีครุ่นคิดอยู่นั้น เสียงภคพงษ์ก็ดังแทรกความคิดเข้ามา
“รู้ซึ้งแล้วใช่มั้ยว่าการโดนคนที่เรารักเกลียด....มันเป็นยังไง”
รัชนีหันขวับมาทางภคพงษ์ที่ยิ้มร้ายแล้วก็เดินออกจากบ้านไป รัชนียืนตัวแข็งทื่อด้วยความโกรธ ก่อนจะเดินตามภคพงษ์ออกไป
“หยุดก่อน ภคพงษ์ … ภคพงษ์ ฉันบอกให้หยุดคุยกันก่อน”
ภคพงษ์หยุดตามคำสั่ง หันมาทางรัชนีด้วยหน้ากวนสุดๆ
“ผมดีใจมากเลยนะครับ ที่วันนี้ คุณอยากคุยกับผม หลังจากที่ทิ้งผมไปยี่สิบกว่าปี โดยไม่เคยคิดอยากจะคุย”
รัชนีพยายามระงับอารมณ์
“ฉันรู้ว่าเธอเกลียดฉันมาก”
“รู้ก็ดี”
“แต่ฉันขอย้ำว่าปรางทิพย์ไม่เกี่ยว”
“เกี่ยวสิ ทำไมจะไม่เกี่ยว ปรางทิพย์คือคนที่คุณรัก ถ้าผมต้องทำร้ายจิตใจคุณ ผมก็ต้องเริ่มต้นจากการทำร้ายจิตใจคนที่คุณรัก ยิ่งปรางทิพย์เจ็บเท่าไหร่ คุณก็ยิ่งเจ็บมากเท่านั้น และยิ่งคุณเจ็บมากเท่าไหร่ ผมยิ่งมีความสุขมากเท่านั้น”
รัชนีมองภคพงษ์ด้วยความแววตาสั่นระริก ภคพงษ์พูดต่อ
“และอย่าคิดนะว่าการพรากปรางทิพย์ไปจากผมจะทำให้เรื่องจบ. แค่ฝรั่งเศสผมไปหาเมื่อไหร่ก็ได้ คนรักกัน ยิ่งอยู่ไกลกัน ก็ยิ่งคิดถึงกัน ถ้าคุณตาไม่บอด ก็คงจะดูออกว่าปรางทิพย์รักผมมากแค่ไหน”
รัชนีกัดฟันกรอด
“เธอใจร้ายมากที่ทำแบบนี้กับ...น้องสาวของตัวเอง”
“แต่มันยังเทียบไม่ติดกับสิ่งที่คุณทำกับลูกชายของตัวเอง”
รัชนีสะอึก หน้าซีด ภคพงษ์จ้องหน้าเอาจริง
“ถ้าคุณยังไม่ยอมถอดหน้ากากแม่ที่แสนดีอันจอมปลอม คุณก็ไม่มีสิทธิ์มาด่าคนอื่น เพราะคนที่เห็นแก่ตัวที่สุด ก็คือตัวคุณเอง”
คำพูดภคพงษ์เสียดแทงเข้าไปถึงหัวใจ รัชนีถึงกับทรุดแทบจะหมดแรง ภคพงษ์มองด้วยสายตาเย็นชา
รัชนีมองหน้าภคพงษ์แล้วก็อึ้ง แววตานี้คือแววตาที่เธอคุ้นเคย เมื่อครั้งที่รัชนีทิ้งแววตาเย็นชามองพรตและภคพงษ์ แว่บเข้ามาในความคิด รัชนีถึงกับใจหายวาบ
ภคพงษ์ยิ้มร้ายนิดๆที่มุมปากอย่างไม่แยแส แล้วก็หันหลังเดินออกไปอย่างไม่ใยดี
รัชนีทรุดอย่างหมดแรงพลางคิดในใจ... หรือว่ากรรมกำลังจะตามเธอทัน... ไม่จริง เป็นไปไม่ได้
ภายในบ้านเถลิงยศ สายใจนั่งรอภคพงษ์อยู่หน้าบ้านด้วยความร้อนใจ
ภคพงษ์เดินเข้ามาด้วยความสบายใจ สายใจรีบเดินเข้าไปหา
“คุณผู้หญิงเป็นยังไงบ้าง โกรธหรือเปล่าคะ”
“โกรธสิ ไม่ได้โกรธธรรมดา แต่โกรธมาก ถ้าฆ่าผมได้ คงฆ่าไปแล้ว”
ภคพงษ์ยิ้มแล้วเดินมานั่งอย่างสบายใจ สายใจถามต่อ
“แล้วคุณหนูจะทำแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่คะ”
“จนกว่าเค้าจะยอมรับความจริง”
สายใจยังไม่เข้าใจในคำตอบ ขมวดคิ้วรอฟัง ภคพงษ์พูดต่อเหมือนระบายความในใจออกมา
“ที่ผ่านมา เค้าใช้ชีวิตเหมือนนางฟ้า เป็นคนดีที่ทุกคนชื่นชม มีแต่คนรักในภาพจอมปลอมที่เค้าสร้างขึ้นมา”
สายใจฟังแล้วก็สงสารภคพงษ์จับใจ
“เค้าเหยียบพ่อกับผมไว้กับอดีตที่เค้าไม่อยากจดจำ แม่แบบนี้ไม่สมควรจะได้รับความชื่นชมจากใครทั้งนั้น เค้าต้องยอมบอกความจริง ความจริงที่เค้าปกปิดและหลอกลวงทุกคนมาตลอดแม้แต่สามีและลูกสาวของตัวเอง”
สายใจมองหน้าภคพงษ์อย่างเหนื่อยใจแทน ภคพงษ์จิกหางตา พร้อมยิ้มร้ายที่มุมปาก
“หมดเวลาความสุขของเค้าแล้ว”
สายใจค่อยๆแทรกขึ้น
“แล้วเวลาความสุขของคุณหนูของล่ะคะ มันต้องหมดไปด้วยหรือเปล่า ตั้งแต่คุณผู้หญิงกลับมา ป้าไม่เห็นคุณหนูจะมีความสุขเลยนะคะ”
“เวลานี้ ขอแก้แค้นจนสะใจก่อน ส่วนเรื่องความสุข มันยังรอได้”
ภคพงษ์ตอบอย่างมั่นใจ สายใจค่อยๆเลียบๆเคียงๆ เตือนอย่างสติ
“มันก็ไม่แน่นะคะ ความสุขบางอย่างก็อาจจะไม่รอ กว่าคุณหนูจะรู้ตัวมันอาจจะสายเกินไป”
สายใจพูดอ้อมๆ ถึงรสา ภคพงษ์หยุดคิดนิดๆ ในใจก็คิดถึงรสาเช่นกัน แววตาของภคพงษ์อ่อนลง แต่ก็ยังดื้ออยู่ดี
รสายืนอยู่ในห้องพิมพรรณที่โล่งว่าง รสายืนอยู่มองไปรอบๆด้วยความใจหาย ห้าวเดินเข้ามาหา
“มือถือพิมพี่ก็ติดต่อไม่ได้ พี่ว่าถ้ารสอยากคุย คงต้องไปหาที่บ้านไอ้หน้าหนวด”
“ได้ค่ะ พรุ่งนี้ พิมจะไปหาแต่เช้า”
“แต่ก่อนไป รสลองคุยกับลุงแกหน่อยดีมั้ย เผื่อเค้าจะเย็นลง แล้วใจอ่อนลงบ้าง”
รสาคิดแล้วก็เห็นด้วย
เช้าวันต่อมา พร้อมนั่งอยู่ที่ริมทะเล วิมล ห้าว และรสานั่งล้อมอยู่
“ไม่ อาไม่มีวันยอม” พร้อมตอบเสียงเข้ม
“ถ้าอายอม มันก็จะยิ่งได้ใจ นี่ขนาดไม่ยอม มันยังไม่เห็นหัวพ่อ หัวแม่ คิดจะทำอะไรก็ทำ ไม่ปรึกษาสักคำ” พร้อมพูดต่อ
“แต่ที่ลูกไม่ปรึกษาอาจจะเป็นเพราะเราไม่เปิดโอกาสให้ลูกก็ได้นะพี่” วิมลบอก
“ทำไมข้าจะไม่เปิด มันต่างหากที่ปิดตัวเอง แยกตัวเองออกไปจากครอบครัว เพราะเชื่อไอ้ผัวมัน เจอมันหยอดคำหวาน เจอมันเอาใจเข้าหน่อยก็เชื่อมันไปหมด พ่อ แม่ พี่ เพื่อน พูดอะไรก็ไม่ฟัง” พร้อมพูดน้ำตาคลอ
รสามองพร้อมด้วยความเข้าใจแล้วก็ปลอบใจ
“รสจะลองคุยกับพิมดู แล้วถ้าพิมยอมเลิกกับวาริช อาจะยอมให้พิมกลับมาอยู่บ้านหรือเปล่าจ๊ะ”
“ให้มันเลิกให้ได้ซะก่อนเหอะ เรื่องจะกลับมา ประตูที่นี่ เปิดรับมันเสมอ ไม่มีพ่อแม่คนไหนไม่ให้อภัยลูกตัวเอง”
วิมลกับห้าวโล่งอกขึ้นมาหน่อย พร้อมพูดต่อ
“แต่มันต้องใจแข็ง ต้องลุกขึ้นสู้ ไม่ใช่สู้เพื่อคนอื่น แต่สู้เพื่อตัวเอง ถ้ามันไม่ยอมสู้ มันก็ต้องถูกเค้าเอาเปรียบไปตลอดชีวิต”
รสาฟังแล้วก็สะท้อนใจ แต่เห็นด้วยกับพร้อม
พิมพรรณเปิดประตูห้องน้ำเข้ามา ก่อนรีบปิดล็อคเอาหลังพิงประตูเพื่อทำใจซักพัก ค่อยๆ หยิบแผ่นทดสอบการตั้งครรภ์ออกมามอง แล้วฉีกออก มอง อ่านวิธีใช้ด้วยสีหน้าหวั่นๆ
พิมพรรณหยดน้ำปัสสาวะลงบนแผ่นทดสอบ จ้องมองด้วยสีหน้าลุ้นระทึก
ที่แผ่นทดสอบมีขีด 2 ขีด พิมพรรณเห็นแล้วก็แทบช็อก พึมพำบอก
“ไม่ ไม่จริง”
พิมพรรณน้ำตาหยดไหลอาบแก้ม และทรุดลงอย่างอ่อนแรง
รสาเดินท่าทีเหนื่อยแกมเซ็ง มานั่งที่ม้านั่ง คิดถึงคำพูดของพร้อมขึ้นมา
“แต่มันต้องใจแข็ง ต้องลุกขึ้นสู้ ไม่ใช่สู้เพื่อคนอื่น แต่สู้เพื่อตัวเอง ถ้ามันไม่ยอมสู้มันก็ต้องถูกเค้าเอาเปรียบไปตลอดชีวิต”
รสาถอนใจเฮือก พูดกับตัวเอง “สู้กับใครมันก็สู้ได้ แต่สู้กับใจตัวเองนี่...ทำไมมันถึงยากนักนะ”
รสาถอนใจอีกครั้งอย่างเหนื่อยใจ ก่อนจะลุกขึ้นแล้วตกกะใจเมื่อเกือบจะหน้าชนกับห้าวที่ยืนอยู่ตรงนั้น รสาร้องลั่น
“พี่ห้าว! ตกใจหมดเลย! มายืนตั้งแต่เมื่อไหร่? ไม่ให้สุ้มให้เสียง”
“ก็มาตั้งแต่รสนั่งพูดคนเดียวนั่นแหละ”
รสาสะดุ้งคิดในใจ เวรล่ะ! หน้าจ๋อยเสียงอ่อย “จริงหรอ”
ห้าวค่อยๆ ดึงรสานั่งลงคุย “เป็นอะไรหรือเปล่า”
รสาหลบตา “เปล่า...”
“ถึงไอ้ห้าวมันจะเป็นคนบ้านนอก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ารสจะหลอกมันได้นะ”
รสาตกใจ “รส...รส..ไม่ได้หลอกพี่ห้าวนะจ๊ะ”
“หลอกสิ…หลอกเต็มๆ...เราวิ่งเล่นกันมาตั้งแต่เด็กๆ นึกเหรอว่าจะหลอกกันได้! ใคร? ใครทำให้รสไม่สบายใจบอกมา!” ห้าวจ้องอย่างแค้นเคือง “ไอ้หน้าแหย หรือ..ไอ้ไฮโซหน้าขาว”
รสาโดนจี้ใจจี๊ดขึ้นมาแต่ก็ยอมบอก ได้แค่คราง “พี่ห้าว”
ห้าวพูดท่าทีจริงจัง “ในโลกนี้มีผู้หญิง 4 คนที่ไอ้ห้าวรัก หนึ่ง..แม่..ก็ตายไปแล้ว สอง..อาวิมล สาม..พิมพรรณ และ..สี่…” ห้าวหันมามองรสาเป็นเชิงบอก
รสาเข้าใจดี
“พิมก็...แค่นี้พี่ก็ไม่รู้จะยังไงแล้ว แล้วนี่ถ้ารสต้องมาเจ็บปวดเพราะผู้ชายเลวๆ เหมือนอย่างพิมอีกคน พี่คง...”
รสาซึ้งใจ “พี่ห้าว...” พูดปลอบใจ “รสกับพิมไม่เหมือนกันนะจ๊ะ” ทำฟอร์มยิ้ม “พี่ห้าวก็รู้ว่ารสน่ะ เข้มแข็งจะตาย” รสาเบ่งกล้ามโชว์
“หัวใจนะ..ไม่ใช่กล้ามแขน มันจะแข็งซักแค่ไหนเชียว”
รสาอึ้ง
“ถ้าพี่เจ็บแทนรสได้ พี่จะไม่ยุ่งเลย เพราะฉนั้น..พี่ถึงไม่อยากให้ใครมาทำให้รสต้องเจ็บ ไม่อยากทนเห็นรสเจ็บต่อหน้าต่อตาโดยที่พี่เจ็บแทนไม่ได้ มันโคตรทรมาน..เข้าใจมั้ย”
“พี่ห้าว” รสาคราง
“ไม่ว่าจะไอ้ไฮโซหน้าขาว ไอ้หน้าแหย หรือไอ้หน้าไหนก็อย่าไว้ใจ ที่สำคัญ อย่าให้พี่รู้ว่ามันทำให้รสเจ็บ! พี่เอามันตายแน่!”
รสาเบือนหน้าหลบสายตาจริงจังของห้าว ขณะที่ห้าวมองอย่างรู้ทัน ว่ารสาเจ็บอยู่จริงๆ
เช้าวันเดียวกัน ภคพงษ์ยืนอยู่หน้าเรือนหลังเล็ก ตอนนี้ปรับปรุงไปเกือบเสร็จเหลือรายละเอียดนิดหน่อย เรือนหลังเล็กดูสวยงามต่างจากครั้งแรกมากมาย ภคพงษ์เดินเข้าไปตามห้องต่างๆและมองด้วยความพอใจ คำพูดของสายใจดังเข้ามาในความคิด
“เวลานี้ ขอแก้แค้นจนสะใจก่อน ส่วนเรื่องความสุข มันยังรอได้”
“มันก็ไม่แน่นะคะ ความสุขบางอย่างก็อาจจะไม่รอ กว่าคุณหนูจะรู้ตัวมันอาจจะสายเกินไป”
ภคพงษ์คิดถึงรสาแล้วก็หยิบโทรศัพท์...คิด...
รสากำลังจะเดินออกจากบ้าน เตรียมไปหาพิมพรรณ ห้าวเดินมาส่ง
“รสรู้เหรอว่าบ้านไอ้หน้าหนวดมันอยู่ไหน”
“คุ้นๆ เหมือนพิมเคยบอก รสว่าจะไปลองขับวนดู”
“แน่ใจนะว่าไม่ให้พี่ไปด้วย”
“อย่าเลย มีพี่ห้าวอยู่ด้วย รสกับพิมจะคุยกันไม่สะดวก”
ทันใดนั้นโทรศัพท์มือถือดัง รสหยิบมารับ เห็นเบอร์ไม่คุ้นก็กดรับ
รสา ฟังแล้วก็ตาโตตกใจ
“สวัสดีค่ะ...พิม”
พิมพรรณวิ่งตาแดงๆ ออกมาจากบ้านเช่าของวาริช เรียกรสาด้วยความรักและคิดถึง
“รส”
รสาวิ่งเข้ามาในรั้วบ้าน ทั้งสองคนกอดกันด้วยความรักและเป็นห่วง
“พิม รสมาแล้ว รสมาแล้วพิม”
รสาพูดกับพิมพรรณด้วยเสียงสั่นเครือ น้ำตาปริ่มจะไหล ทั้งคู่กอดกันแน่น
ภายในบ้านเช่าค่อนข้างโล่ง แต่ก็ดูสะอาดตา รสามองไปรอบๆ พิมพรรณเดินเอาน้ำมาให้
“รสดื่มน้ำก่อน”
รสารีบเข้ามารับถาดน้ำ
“ขอบใจจ้ะ รสถือเอง”
รสาเดินมาวางถาดน้ำที่โต๊ะ พิมพรรณเดินตามมานั่งข้างๆ รสารินน้ำแล้วหันมาทางพิมพรรณ
“พิม เป็นยังไงบ้าง”
พิมพรรณพยายามจะยิ้ม
“ก็ดีจ้ะ พิมสบายดี”
รสามองหน้าแล้วถาม
“เอาแบบจริงๆ ไม่ต้องมาโกหก”
พิมพรรณมองหน้ารสา..แล้วทันใดนั้นก็ปล่อยโฮ...โผกอดรสา
“รส”
พิมพรรณร้องไห้สะอึกสะอื้นแทนคำตอบถึงชีวิต และความเป็นอยู่ที่ไม่มีความสุข
“พิมอยู่ที่นี่ไม่มีความสุขใช่มั้ย ไม่มีความสุขก็กลับบ้านเรานะพิม รสคุยกับอาพร้อมแล้ว อายกโทษให้พิม ถ้าพิมเลิกกับวาริชเมื่อไหร่ก็กลับบ้านได้”
“พิมกลับไปไม่ได้แล้วรส พิมกลับไปไม่ได้”
รสาค่อยดึงพิมพรรณมามองหน้าแล้วถาม
“ทำไมจะกลับไม่ได้ หรือว่ามันขู่จะทำร้ายพิม พิมถึงไม่กล้าเลิก”
“ไม่ใช่”
“แล้วเป็นเพราะอะไร ทำไมพิมถึงเลิกกับมันไม่ได้”
พิมพรรณอึกอักแล้วก็ตัดสินใจบอกทั้งน้ำตา
“พิมท้อง”
รสาหน้าเสีย ทั้งสงสาร ทั้งโกรธวาริช
“ถ้าพิมเลิกกับวาริชลูกก็จะไม่มีพ่อ ที่สำคัญพ่อคงไม่ยอมให้พิมเก็บลูกไว้ รสก็รู้ว่าพ่อเป็นยังไง พ่อไม่มีวันยอมรับลูกในท้องพิมแน่ๆ ถ้าพิมเลิกกับวาริชแล้วกลับไปบ้าน พิมอาจจะไม่เหลือใครเลย ทั้งสามี ทั้งลูก พิมจะไม่เหลือใครเลยจริงๆ ไม่เหลือใครเลย”
รสาอึ้งไปค่อยๆดึงพิมพรรณเข้ามากอดด้วยความสงสาร รสาน้ำตาร่วงร้องไห้ไปกับเพื่อนรัก
วิมลพูดหน้าเครียดเมื่อรู้ข่าวจากรสา
“พิมพูดถูก ถ้าพ่อรู้ไม่มีทางให้เก็บลูกเอาไว้แน่ๆ โธ่ พิม ทำกรรมอะไรไว้นะลูก อยู่ๆชีวิตมันถึงได้พลิกผันไปแบบนี้ เพราะผู้ชายคนเดียวแท้ๆ เพราะผู้ชายคนเดียว”
วิมลร้องไห้ รสากอดปลอบใจ ห้าวยืนแค้นอยู่ข้างๆ
“ไอ้เลว ฮึ่ย คิดแล้วก็แค้น อยากจะไปกระทืบมันจริงๆ”
“อาวิมลคิดว่า เราควรจะบอกอาพร้อมเรื่องพิมท้องหรือเปล่า” รสาถาม
วิมลส่ายหน้า
“อย่าบอกเลย ตอนนี้อาการก็แย่มากแล้ว ถ้ารู้เรื่องอีกเรื่อง อากลัวว่าจะช็อกอีกรอบ เอาไว้ให้เรื่องมันซาๆอีกสักหน่อย เผื่อให้พิมคลอดลูกให้เรียบร้อย วันนั้นพาหลานมากราบ พ่ออาจจะใจอ่อนลงมาบ้าง”
รสาพยักหน้าเห็นด้วย
“ระหว่างนี้ อาจะแอบไปเยี่ยมพิมบ่อยๆ คนกำลังท้องกำลังไส้ต้องการกำลังใจ ไม่รู้ว่าผัวมันจะดูแลเป็นยังไงบ้าง”
“รสก็จะหาเวลากลับมาบ่อยๆนะจ๊ะ กลับมาให้มากกว่าที่ผ่านมา รสจะพยายามชดเชยให้กับพิมมากที่สุดเท่าที่รสจะทำได้”
รสาพูดด้วยความรู้สึกผิด ห้าวมองหน้ารสา ในแววตาเหมือนมีอะไรบางอย่าง ...
ภายในห้องนอนของรสาที่รีสอร์ตพร้อม
รสาทรุดตัวลงนั่งบนเตียงด้วยความเหนื่อยใจ ประตูห้องเปิดอยู่ ห้าวเดินมาทำเป็นเคาะประตู รสาหันมายิ้มเหนื่อยๆให้
“เป็นไง เหนื่อยมั้ย เจอแต่เรื่องหนักๆ”
“รสน่ะไหว สงสารก็แต่พิม”
“แน่ใจนะ ว่าไหว”
“แน่ใจสิ ทำไมพี่ห้าวถามแปลกๆ”
“ก็เรื่องไอ้ไฮโซหน้าหล่อ ตกลงตอนนี้รสกับมันเป็นอะไร ยังไงกัน”
รสาหลบตาเล็กน้อยแล้วบอก
“เอ่อ ก็อย่างที่บอก เราสองคนก็เป็นคนแค่เจ้านายลูกน้อง รสก็เป็นแค่มัณฑนากรที่เข้าไปตกแต่งบ้านให้เค้า มันก็แค่นั้น”
“ถ้าแค่นั้นก็ดี เวลาที่รสเห็นข่าวนี้จะได้ไม่เสียใจ”
รสาหันมาอย่างงงๆ
“ข่าวอะไร”
ห้าวไม่ตอบ แต่หยิบหนังสือพิมพ์บันเทิงที่เหน็บไว้ที่กระเป๋าหลังมาส่งให้ รสารับมาดูแล้วก็นิ่งอึ้งไป ที่หน้าหนึ่งพาดหัว “นางแบบใหม่ใจถึง ย่องเข้าบ้านไฮโซหน้าหยก” ข้างๆเป็นภาพตอนภคพงษ์ขับรถออกจากบ้าน มีปรางทิพย์นั่งอยู่ข้างๆ
รสาเห็นแล้วก็นิ่งไม่ได้ตกใจเพราะรู้อยู่แล้ว แต่แค่เอือมหนักๆ กับความรู้สึกที่เห็นภาพ เห็นข่าวที่มาตอกย้ำ
ห้าวเห็นรสานิ่งอึ้ง ก็รู้ว่า รู้สึกอะไรบางอย่าง แต่ไม่รู้ว่าคืออะไรเท่านั้นเอง
เนื่องจากบทในตอนที่ 10 มีการเพิ่มเติม ตัวหนังสือ สีแดง ในตอน 10 หน้า 1 และ หน้า 3 คือส่วนที่เพิ่มเข้ามาใหม่
ตะวันทอแสง ตอนที่ 10 (ต่อ)
เช้าวันต่อมา หนังสือพิมพ์พาดหัว “นางแบบใหม่ใจถึง ย่องเข้าบ้านไฮโซหน้าหยก” อยู่ในมือชีวินที่เงยหน้าหันมาถามคัพเค้กที่ยืนอยู่ข้างๆ และพิทยายืนถัดออกไป
“รสเห็นข่าวหรือยัง”
“เห็นแล้วค่ะ คัพเค้กโทร.ถามพี่รสตั้งแต่เมื่อคืน”
ชีวินรีบถามด้วยความอยากรู้
“รสว่าไงบ้าง”
“ก็ไม่ว่าไงนะคะ น้ำเสียงก็นิ่งๆ ชิลๆ ตามสไตล์พี่รส แถมยังบอกว่ารู้แล้ว เพราะอยู่ในเหตุการณ์”
“เหตุการณ์อะไร” พิทยาถามขึ้น
คัพเค้กชี้ไปที่รูปในหน้าหนังสือพิมพ์
“ก็วันเนี้ยะ เป็นวันที่แพต พักตร์วิมล กับน้องปรางทิพย์มีเรื่องกันที่บ้านคุณภคพงษ์ แล้วพี่รสก็เข้าไปช่วยน้องเค้าไว้”
“ถ้าอย่างนั้น คนที่ส่งรูปนี้ไปให้พวกนักข่าวก็น่าจะเป็น...”
พิทยานึกถึงพักตร์วิมลขึ้นมาทันที
เช้าวันเดียวกัน พักตร์วิมลยืนถือหนังสือพิมพ์อยู่ที่หน้าบ้านเถลิงยศยิ้มด้วยความพอใจ พลางนึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้น หลังจากที่พักตร์วิมลออกจากบ้านของภคพงษ์ไปแล้วก็ยืนแอบซุ่มอยู่ที่หน้าบ้าน จนภคพงษ์ขับรถออกจากบ้านเพื่อไปส่งปรางทิพย์ พักตร์วิมลรีบถ่ายรูปรัเก็บไว้จนรถภัคพงษ์แล่นออกไป พักตร์วิมลยิ้มร้ายดูรูปในโทรศัพท์อย่างเจ้าเล่ห์
พักตร์วิมลมองดูรูปในหน้าหนังสือพิมพ์ที่เกิดจากการถ่ายของตัวเองด้วยแววตาสาแก่ใจ
“ถ้าภัคเห็นข่าวนี้ แกจะต้องโดนเขี่ยทิ้งเหมือนนังยูโฮะ”
พักตร์วิมลขำเบาๆ ด้วยความสะใจ แล้วก็เงยหน้ามองเข้าไปในบ้านเถลิงยศ
ภายในบ้าน ภคพงษ์ตอบเสียงนิ่งๆ เหมือนจะดี
“ขอบคุณมากที่เป็นห่วงชื่อเสียงของผม”
พักตร์วิมลตีหน้าเป็นคนดีแสนห่วงใยสุดฤทธิ์
“แพตเป็นห่วงภัคเสมอนะคะ แพตรู้ว่าภัคอยู่ในจุดที่ใครๆก็อยากเข้ามาหาผลประโยชน์ เด็กเนี่ยคงจะใช้มุกเดียวกับยัยเด็กยูโฮะที่จ้างนักข่าวมาแอบถ่ายรูปแล้วก็ส่งข่าวเพื่อจะทำให้ทุกคนเข้าใจผิด คิดว่าภัคคบกับเค้าอยู่”
ภคพงษ์ปล่อยให้พักตร์วิมลพูดให้จบ แล้วก็หันมาตอบอย่างสุภาพ
“ผมว่าคนที่เข้าใจผิด คือคุณมากกว่า
พักตร์วิมลชะงักนิดๆ ภคพงษ์พูดต่อ
“คุณเข้าใจผิด คิดว่าผมโง่ แล้วจะเชื่อทุกอย่างที่คุณพูด”
พักตร์วิมลจะอ้าปากแย้ง ภคพงษ์พูดต่อ
“ผมรู้ว่าคุณเป็นคนถ่ายรูปพวกนี้”
พักตร์วิมลรีบโพล่งออกมา
“ไม่จริงนะคะ”
“ผมมีกล้องวงจรปิดติดอยู่ที่ประตูหน้าบ้าน อยากจะดูหรือเปล่า”
พักตร์วิมลอึ้งไป ภคพงษ์พูดต่อ
“แล้วก็ยังมีภาพที่คุณอาละวาดกับป้าใจ ผมเห็นภาพทั้งหมดแล้วชัดมากเลย ถ้านักข่าวได้ภาพพวกนี้ไปคงไม่ดีกับชื่อเสียงของคุณแน่”
พักตร์วิมลขมวดคิ้วถาม
“ภัค พูดแบบนี้หมายความว่ายังไง”
“ผมคิดว่า เราสองคนอย่าเจอกันอีกเลย”
“ภัค นี่ภัคจะเลิกกับแพตเหรอคะ”
“ที่ผ่านมาผมให้เกียรติคุณตลอด เพราะคิดว่าเราคงจะเป็นเพื่อนกันได้ แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่า ผมคิดผิด เพื่อความสบายใจของทั้งสองฝ่าย อย่ามาที่นี่อีก”
ภคพงษ์ตอบนิ่งๆ แต่น้ำเสียงเข้ม พักตร์วิมลกัดฟันกรอด ตัวสั่นด้วยความโกรธ
“ได้ แพตก็ไม่อยากจะมานักหรอก ผู้ชายใจร้ายอย่างคุณ ถ้าไม่มีเงินก็ไม่มีผู้หญิงคนไหนอยากจะได้ จำไว้เลยนะ สิ่งที่คุณทำกับผู้หญิงทุกคนที่อยู่ในชีวิตคุณ มันจะทำให้คุณไม่มีวันได้เจอความรักที่แท้จริง”
ภคพงษ์ยืนนิ่ง แต่ลึกๆ แล้ว สะเทือนใจไม่ใช่น้อย พักตร์วิมลพูดต่อ
“บนโลกนี้ยังผู้ชายรวยๆ ให้แพตเลือกอีกมากมาย แต่ในชีวิตคุณ ไม่มีวันจะได้เจอกับผู้หญิงดีๆ ถึงมีเข้ามาเค้าก็จะต้องทนกับความใจร้ายเย็นชาของคุณไม่ได้ “
พักตร์วิมลยื่นหน้าเข้ามาเหมือนจะสาปแช่งด้วยความแค้น
“ภัคจะต้องตายอย่างโดดเดี่ยว ไม่มีคนที่รักอยู่ข้างๆแม้แต่คนเดียว ไม่เชื่อก็คอยดู”
พักตร์วิมลพูดทิ้งท้ายไว้อย่างโกรธแค้น แล้วก็ปาหนังสือพิมพ์ทิ้งลงพื้นอย่างเกรี้ยวกราด ก่อนสะบัดหน้าใส่ เดินออกไปอย่างไม่มีวันหวนกลับมา
ภคพงษ์ยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิมเหมือนจะเย็นชากับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ลึกๆ ในใจ แอบคิดไม่ได้ว่าสิ่งที่พักตร์วิมลพูดมันคือความจริง
หนังสือพิมพ์ที่พักตร์วิมลปาทิ้งบนพื้นนั้น เห็นรูปของปรางทิพย์กับภคพงษ์ที่หน้าหนึ่งปรากฏอยู่อย่างชัดเจน
ในเวลาเดียวกัน ที่บ้านวงศ์เธียรสถิตย์ ภายในห้องทำงานของสุวิทย์ หนังสือพิมพ์อยู่บนโต๊ะทำงาน รัชนียืนอยู่ฝั่งตรงข้ามพูดด้วยน้ำเสียงขุ่นมัว
“คุณต้องหยุดเรื่องนี้นะคะ”
สุวิทย์มองที่ภาพข่าวแล้วหยิบมาอ่าน
“รัชบอกคุณแล้วว่าภคพงษ์จะทำให้ลูกเราเดือดร้อน และมันก็เป็นจริงๆ”
“ปรางไปบ้านคุณภัคตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วไปได้ยังไง”
“ไปตั้งแต่เมื่อไหร่รัชไม่ทราบ แต่ไปมาหลายครั้ง และก็แอบไปโดยที่ไม่บอกใคร” น้ำเสียงรัชนีแสดงความไม่พอใจ และน้อยใจอยู่ในที
สุวิทย์ขมวดคิ้วถาม
“แต่ลูกเราไม่เคยทำอะไรลับหลังโดยไม่บอก”
“ตอนนี้ปรางเปลี่ยนไปเยอะมาก รัชไม่แน่ใจว่าภคพงษ์ทำอะไร พูดอะไรกับลูกเราบ้าง ปรางถึงได้เปลี่ยนไปมากขนาดนี้ รัชถึงอยากรีบส่งลูกไปเมืองนอก อยู่ให้ห่างๆกันไว้ดีที่สุด”
สุวิทย์คิดตาม รัชนีพูดต่อ
“ยิ่งข่าวออกมาแบบนี้รัชยิ่งไม่สบายใจ ไม่อยากให้ลูกเราตกเป็นขี้ปากชาวบ้าน”
“ผมจะคุยกับคุณภัคเอง. ผมอยากรู้เหมือนกันว่าทำไมเค้าถึงทำแบบนี้ เผื่อเค้าจะมีเหตุผลที่ผมไม่รู้”
รัชนีหน้าเสีย แววตาหวาดหวั่น รัชนีโพล่งเสียงดัง
“อย่านะคะ”
สุวิทย์สะดุ้ง มองรัชนีอย่างงงๆ รัชนีรู้สึกตัวและพยายามทำเนียนต่อ
“เอ่อ อย่าเลยค่ะ ช่วงนี้คุณงานยุ่ง ปล่อยให้รัชจัดการเองดีกว่า รัชจะคุยกับภคพงษ์เอง”
ทันใดนั้นเสียงปรางทิพย์ก็ดังขึ้น
“เราคุยพร้อมกันทั้ง 4 คนดีกว่าค่ะ”
รัชนี และสุวิทย์หันมาทางต้นเสียง เห็นปรางทิพย์ยืนอยู่ที่หน้าประตู
ปรางทิพย์พูดต่อ
“ทั้งคุณพ่อ คุณแม่ ปราง แล้วก็พี่ภัค ตอนนี้พี่ภัครออยู่ที่ห้องรับแขกแล้วค่ะ”
รัชนีชะงัก ใจเต้นผิดจังหวะขึ้นมาทันที อะไรจะเกิดขึ้นอีก
ภายในห้องรับแขก ภคพงษ์ยกมือไหว้สุวิทย์อย่างสุภาพ ต่างจากที่รัชนีพยายามจะให้ข้อมูล
“ผมต้องขอโทษสำหรับข่าวที่ออกมา มันเป็นความผิดของผมเอง”
สุวิทย์ รัชนีนั่งอยู่ฝั่งเดียวกัน ภคพงษ์นั่งตรงข้าม ปรางทิพย์นั่งอยู่ตรงกลาง
“รู้ก็ดีแล้ว” รัชนีบอก
ภคพงษ์ชะงัก อารมณ์เริ่มขึ้นมานิดๆ รัชนีพูดต่อ
“แล้วก็รีบอธิบายให้สังคมเข้าใจด้วยว่าความจริงมันคืออะไร”
ภคพงษ์มองหน้ารัชนี พูดแบบมีนัยยะ
“คุณรัชนีอยากให้ผมบอกความจริงกับสังคมจริงๆเหรอครับ”
รัชนีสะอึกขนลุกซู่มองหน้าภคพงษ์ รู้กันว่า “ความจริง” ในที่นี้หมายถึงอะไร ภคพงษ์มองตาไม่
กระพริบ จนรัชนีต้องหลบตา พูดไม่ออก ปรางทิพย์เห็นเข้าพอดีก็มองด้วยความสงสัย แต่ไม่พูดอะไร
ภคพงษ์เล่นเกมต่อ
“ก็ได้ครับ ถ้าคุณรัชนีต้องการ แต่ก่อนจะบอกสังคม ผมขอบอกคุณสุวิทย์กับน้องปรางก่อนแล้วกันนะครับ ว่าความจริงมันคืออะไร”
รัชนีหน้าซีด แววตาเต็มไปด้วยความกังวลหันขวับมามองหน้าภคพงษ์อีกครั้ง รัชนีเรียกขึ้นอย่างลืมตัว
“ภคพงษ์”
รัชนีโพล่งออกมา ภคพงษ์หยุดพูดแล้วก็ยิ้มสะใจ รัชนีรู้สึกตัวก่อนพยายามดึงสติกลับมาแล้วระงับอารมณ์ให้เย็นลงสุวิทย์เริ่มสงสัยหันมาทางรัชนี
“คุณ นี่ตกลงว่าคุยเรื่องอะไรกัน”
“นั่นสิคะ ปรางเริ่มจะงงแล้วนะคะเนี่ย พี่ภัคกับคุณแม่พูดเหมือนมีอะไรที่รู้กันอยู่แค่สองคน”
“สรุปความจริงที่พูดถึง มันคืออะไร” สุวิทย์ถาม
รัชนีอึ้ง พูดไม่ออก หน้าซีด ใจเต้นโครมคราม สุวิทย์และปรางทิพย์มองหน้ารอคำตอบ ภคพงษ์พูดแทรกขึ้น “ความจริงที่ผมอยากจะบอก ก็คือ...”
สุวิทย์และปรางทิพย์หันไปทางภคพงษ์ รัชนีเบือนหน้าไปทางอื่น น้ำตาแทบไหล ใจสั่นโครมคราม ในใจคิดว่าภคพงษ์ต้องแฉแน่ๆ แล้วภคพงษ์ก็พูดต่อ
“ผมขอคบกับน้องปรางอย่างจริงจังครับ”
รัชนีหันขวับมาทางภคพงษ์อย่างช็อกหนักไม่แพ้กัน สีหน้าแปลกใจสุดๆ ภคพงษ์ยิ้มนิดๆ ที่มุมปาก ปรางทิพย์ยิ้มกว้างด้วยความตื่นเต้นดีใจ สุวิทย์มีแววตาสบายใจขึ้น แต่ไม่ถึงกับยิ้มแย้มดีใจ ภคพงษ์พูดต่อ
“ผมมาวันนี้เพื่อขออนุญาตอย่างเป็นทางการ ผมชอบปรางทิพย์ และคิดจะคบอย่างจริงจัง”
ปรางทิพย์ยิ้มลอยดีใจสุดๆ รัชนีหน้าซีดหนัก จุก พูดไม่ออก
“เพื่อเป็นการพิสูจน์ตัวเอง ผมจะไม่มีคนอื่น จะคบกับน้องปรางคนเดียวเท่านั้น”
ปรางทิพย์กับภคพงษ์มองตากันหวานซึ้ง รัชนีหน้าซีดเผือด พูดไม่ออก ยิ่งเห็นแววตาของปรางทิพย์
มีความสุข รัชนียิ่งปวดใจ สุวิทย์เห็นสถานการณ์แล้วก็พูดขึ้นอย่างสุขุม
“ขอบใจมากที่คุณพูดตรงๆ แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ผมคงจะให้คำตอบตอนนี้ไม่ได้ ขอเวลาให้เราสามคนได้คุยกันเป็นการส่วนตัวก่อนหวังว่าคุณภัคคงเข้าใจ”
ภคพงษ์หันมาทางสุวิทย์บอก
“ผมเข้าใจครับ แค่คุณสุวิทย์อนุญาตให้ผมได้บอกความจริง แค่นี้ผมก็ดีใจแล้ว ผมขอตัวกลับก่อนนะครับ สวัสดีครับ”
ภคพงษ์ยกมือไหว้ สุวิทย์รับไหว้ รัชนีรับไหว้แบบเสียไม่ได้ ภคพงษ์หันมามองปรางทิพย์อีกครั้ง ทั้งสองคนยิ้มให้กัน
“ขอบคุณมากนะคะพี่ภัค”
ภคพงษ์ยิ้มรับและเดินออกไป ปรางทิพย์มองตามด้วยความแววตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข รัชนี นิ่ง อึ้ง มองหน้าปรางทิพย์แล้วเจ็บปวดใจเหลือเกิน
ภคพงษ์เดินออกมาจากห้องรับแขกแล้วตวัดสายตากลับไปมองด้านหลังแล้วก็ยิ้มร้ายอย่างสะใจ ก่อนจะเดิน
ออกไป
ภายในบ้าน รัชนีสีหน้าเครียด ขรึม มึน เจ็บปวด สุวิทย์ที่นั่งอยู่ข้างๆ แววตาคลายความกังวลลง ส่วนปรางทิพย์ยิ้มอย่างมีความสุข ก่อนจะหันมาถามด้วยความไม่แน่ใจ
“คุณพ่อ คุณแม่คะ พี่ภัคมาขออนุญาตแบบนี้ คุณพ่อคุณแม่จะอนุญาตหรือเปล่าคะ”
“พ่อไม่มีปัญหา แล้วคุณล่ะว่ายังไง”
ปรางทิพย์ลุ้น รัชนีพยายามหาทางออกสุดท้าย
“ปรางทิพย์ยังเด็ก”
ปรางทิพย์รีบแย้ง
“คุณแม่คะ ปราง 19 แล้วนะคะบรรลุนิติภาวะแล้ว เพื่อนปรางคนอื่นๆ เค้าก็มีแฟนกันหมดแล้ว ปรางไม่ใช่เด็กๆแล้วนะคะ”
รัชนีแทบจะกรี๊ด
“ยัยปราง”
สุวิทย์แทรกขึ้นมาพลางจับมือรัชนี
“คุณ ที่ผ่านเราเลี้ยงลูกแบบให้อิสระกับเค้า เลี้ยงให้เค้าเป็นผู้ใหญ่และยืนอยู่ได้ด้วยตัวเอง ผมคิดว่า ถ้าวันนี้เราจะจำกัดอิสรภาพของเค้า เพราะเราคิดว่าเค้ายังเด็ก ลูกคงจะสับสนแย่นะ”
“จริงด้วยค่ะ เมื่อก่อนคุณแม่จะให้ปรางคิด และตัดสินใจด้วยตัวเองในทุกๆเรื่อง แต่ทำไมเรื่องของพี่ภัค คุณแม่ไม่เคยถามปรางสักนิดว่าปรางคิดยังไง”
ปรางทิพย์มองหน้ารัชนีเหมือนจะอ้อนวอน รัชนีมองด้วยความอึดอัด อยากจะบอกแต่ก็บอกไม่ได้ สุวิทย์สรุป
“เอาล่ะ พ่อว่าภคพงษ์มีความจริงใจและจริงจังที่มาพูดกับพ่อและแม่ในวันนี้ เอาเป็นว่า พ่ออนุญาตให้คบกันได้”
รัชนีหน้าเสียทันที ปรางทิพย์ยิ้มกว้าง
“คุณคะ แต่ว่า”
“แต่ว่าอะไร”
รัชนีพูดได้เพียง “แต่ แต่” ไม่สามารถคิดหาเหตุผลมาหักล้างได้ สุวิทย์รีบพูดต่อให้สบายใจกันทุกฝ่าย
“แต่ต้องอยู่ในสายตาของแม่เค้า และห้ามปรางทำอะไรลับหลัง หรือไม่บอกคุณแม่อีก รู้หรือเปล่า”
“ทราบค่ะ งั้น ปรางรีบโทร.บอกพี่ภัคนะคะ”
สุวิทย์พยักหน้า ปรางทิพย์รีบลุกขึ้นไปไปโทร.หาภคพงษ์ทันที รัชนีนั่งอยู่ที่เดิม กำมือแน่น ทำอะไรไม่ถูก อึดอัดจนร่างกายแทบแตกเป็นเสี่ยงๆ ด้วยความโกรธและกลัว แต่ไม่สามารถทำอะไรได้
ภายในเรือนหลังเล็ก รสามองข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์อย่างเจ็บแปล๊บก่อนจะส่งคืนชีวินที่ยืนอยู่ตรงหน้า
“ก็บอกแล้วไงว่าเรื่องของเค้าสองคนไม่เกี่ยวกับรส”
“อย่าเสียใจเลยนะรส”
“เสียใจ ที่วินมายืนถามรสอยู่แบบนี้มันเสียเวลางานรู้หรือเปล่า”
“อ้าว วินผิดอีก”
รสาวางหนังสือพิมพ์ไว้บนโต๊ะมุมที่จัดไว้สำหรับทำงาน
“ก็จริงนี่ วินก็รู้ว่ารสเร่งจะปิดงานเร็วๆ ยังจะมาชวนคุยเรื่องไร้สาระ รสไปดูเก็บงานก่อนนะ วันนี้ช่างจะส่งมอบงานระบบทั้งหมด วินเองก็รีบไปทำงานได้แล้ว สวนด้านหน้าเสร็จเรียบร้อยหรือยัง รสจะปิดงานนี้ให้ได้ภายในอาทิตย์นี้นะ อย่าลืม”
รสาพูดจบก็เดินออกไปเลย ไม่สนใจข่าวที่วางอยู่สักนิด ชีวินมองตาม
“ไม่สนใจ ไร้สาระ เฮ่อ จะฟอร์มไปถึงไหน”
ชีวินมองรสาแล้วก็มองรูปภคพงษ์กับปรางทิพย์ที่วางอยู่ตรงหน้า
ในเวลาต่อมา ภคพงษ์เดินเข้ามาในงานอีเว้นท์ ช่างภาพ นักข่าวหันมาถ่ายรูปกันจ้าละหวั่น ข้างๆ ภคพงษ์เห็นปรางทิพย์อยู่ในชุดหรู เดินมาด้วยความประหม่า แสงแฟลชวูบวาบเข้าหน้า ปรางทิพย์และภคพงษ์ยืนอยู่ท่ามกลางสื่อมากมาย
ภาพไปปรากฏลงในหนังสือไฮโซแทบทุกฉบับในวันต่อมา
รสาทำงานกลางแดดร้อนจัด เร่งตรวจรับงานทีละส่วน ปาดเหงื่อ เหงาเศร้า ทรุดตัวลงนั่งหงอยๆ ชีวินเดินเอา
น้ำมาให้ รสารับมาดื่มแล้วก็ยิ้มขอบใจ ชีวินควักพัดออกมาแล้วก็พัดให้เอาใจ รสายิ้มแย้มรับ พร้อมกับชี้ๆให้มาพัดที่หน้า ที่หัว ที่หู แกล้งกันไปมาดูน่ารัก และมีความสุข รสารู้สึกเหมือนมีคนแอบมอง พอหันไปเห็นภคพงษ์
ยืนดูอยู่ รสาค้อนให้แล้วก็หันกลับมายิ้มกับชีวิน ประชดกันสุดๆ ภคพงษ์กัดกรามกรอดด้วยความหึง
รัชนีเห็นภาพข่าวปรางทิพย์ออกงานกับภคพงษ์แล้วก็เครียด ครั้นหันไปเห็นปรางทิพย์เดินลงบันไดมาในชุดราตรีเตรียมออกงานอีก ภคพงษ์เดินเข้ามารับไปต่อหน้าต่อตา รัชนีมองตาม เครียด
ปรางทิพย์ออกงานกับภคพงษ์ 4-5 งานติดๆกัน รัชนีดูภาพข่าวที่ออกมาด้วยความไม่สบายใจ
รสาทำงานตั้งแต่เช้าจนค่ำ ทำงานต่อในห้องนอน ทำงานจนถึงเช้า ไม่ได้หลับไม่ได้นอน รสากับชีวินช่วยกันจัดสวน และดูแลกันอย่างดีระหว่างทำงาน ภคพงษ์แอบดูอยู่ใกล้ๆ แววตาไม่พอใจ ปรางทิพย์เดินมาทางด้านหลัง ภคพงษ์จำต้องถอนสายตาจากรสาและเดินไปกับปรางทิพย์ ในจังหวะนั้นรสาหันมาเห็นสองคนเดินไปด้วยกัน ดูหล่อ สวย สมกัน รสาหันกลับมา...เจ็บปวด นึกถึงความหวานในอดีตของตัวเองกับภคพงษ์ ก็ได้แต่เสียใจและตัดใจ
ยามเช้าที่โฮมสเตย์ของอาภรณ์ รสายังนอนฟุบอยู่ที่โต๊ะทำงานสะดุ้งตื่นเพราะเสียงนาฬิกาปลุก รสางัวเงียๆ ปิดนาฬิกาแล้วก็ลุกพรวดขึ้น ทันใดนั้นก็เซเหมือนหน้ามืด
“เอ้ย”
รสารีบยันโต๊ะ ตั้งหลักก่อนสูดลมหายใจลึกๆ ค่อยๆนั่งลงอีกที รสาหน้าซีดด้วยความอ่อนเพลีย แล้วค่อยๆฝืนยันตัวลุกขึ้นยืน
“อีกแค่วันเดียวรสา อีกแค่วันเดียว”
รสากัดฟันหยิบผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำไปอย่างอ่อนเพลีย
ในเวลาเดียวกัน ภาพข่าวยังวางอยู่ในหนังสือวางอยู่บนโต๊ะทำงานของรสา ภคพงษ์หยิบมาดูด้วยความรู้สึกไม่สบายใจ เพราะรู้ว่า รสาคงจะเห็นภาพข่าวเหล่านี้ ภคพงษ์มองไปรอบๆบ้าน ตอนนี้เสร็จสมบูรณ์แล้ว ภคพงษ์มองหารสา แล้วก็หยุดสายตาที่หน้าเรือนหลังเล็ก เห็นรสาคุยกับหัวหน้าคนงานอยู่
“งานเรียบร้อยดีนะคะ รสนัดส่งงานลูกค้าวันพรุ่งนี้ ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดก็น่าจะปิดงานได้”
“ครับ”
หัวหน้าคนงานรับคำแล้วก็เดินไป รสาหันมามองซุ้มต้นไม้ที่ถูกจัดไว้อย่างสวยงามด้วยความพอใจ มองไปมอง
มาสายตาก็สะดุดเข้ากับภคพงษ์ที่กำลังเดินมา รสารีบหุบยิ้มหันหน้าหนี และเดินไปอีกทาง ภคพงษ์รู้ทันเดินมาดัก
ไว้ รสาหันหน้าหนีเดินเลี่ยงไปอีกทาง ภคพงษ์ก็มาดักไว้อีก รสาหันไปอีกทาง ภคพงษ์คว้าแขนไว้
“ปล่อยค่ะ ฉันจะรีบไปทำงาน”
“จะรีบไปทำงาน หรือว่าอยากหลบหน้าผมกันแน่”
“ก็แล้วแต่คุณจะคิด ปล่อยค่ะ วันนี้ฉันต้องปิดงานทุกอย่างเพื่อส่งมอบให้คุณ ฉันไม่มีเวลามาต่อปากต่อคำ” รสาพูดพลางสะบัดแขนและหันจะเดินไป ภคพงษ์เข้ามายืนขวางอีก
“พรุ่งนี้จะส่งงาน แต่ดูเหมือนคุณไม่ใส่ใจเจ้าของบ้านสักเท่าไหร่”
รสามองหน้า พูดเสียงแข็ง ตาแข็ง
“มีอะไรเพิ่มเติมนอกเหนือจากแบบที่เคยตกลงกันไว้ ก็สั่งมาเลยสิคะ ถ้าไม่เป็นการยุ่งยากจนเกินไป ทางเรายินดีจัดการให้”
ภคพงษ์เสียงอ่อน
“เลิกพูดแบบนี้กับผมสักทีเถอะรสา แล้วก็เลิกทำเป็นใกล้ชิดสนิทสนมกับผู้ชายคนนั้นสักที”
รสาหน้าแดงด้วยความโกรธพูดเสียงเข้ม
“คุณมีสิทธิ์สั่งฉันเรื่องงาน แต่คุณไม่มีสิทธิ์มาสั่งเรื่องส่วนตัวของฉัน”
ภคพงษ์ชะงัก รสามองตาอย่างไม่เกรงกลัว
“ฉันรู้จักกับเค้ามาเป็นสิบปี ก่อนที่ฉันจะรู้ว่ามีคุณอยู่ในโลกนี้ด้วยซ้ำ คุณมีสิทธิ์อะไรมาห้ามฉัน”
ภคพงษ์อึ้ง พูดไม่ออก ใจหายวาบกับแววตาและน้ำเสียงที่ห่างเหินและเย็นชาของรสา
“ขอโทษนะคะ ฉันต้องรีบไปทำงาน”
รสาเดินผ่านภคพงษ์ไปอย่างไม่สนใจใยดี ภคพงษ์มองตามด้วยความเสียใจ อยากจะอธิบายแต่คิดว่าคงไม่เข้าใจ
“รสา ฉัน...”
ภคพงษ์ยอมพักเรื่องรสาไว้ และหันหลังเดินจากมาด้วยความหนักใจอยู่ลึกๆ
โปรดติดตามลุ้นรัก "รสา-ภคพงษ์" ตอนที่ 11