ตะวันทอแสง ตอนที่ 7
เวลาเช้า ภายในบ้านภคพงษ์ยืนแต่งตัวอยู่หน้ากระจก ถายใต้สีหน้าที่นิ่งขรึมมีแววของความร้อนรนใจซุกซ่อนอยู่ ภคพงษ์พยายามจะผูกเนคไทครั้งแล้วครั้งเล่า ผูกแล้วแก้ แก้แล้วผูกก็ไม่สวยและไม่เป็นที่พอใจ จนสุดท้ายต้องกระชากออกจากคอแล้วตั้งสติใหม่
ระหว่างนั้นสายตาภคพงษ์เหลือบไปมองแฟ้มประวัติของสุวิทย์ที่เปิดค้างที่หน้ารูปรัชนีถ่ายคู่กับสุวิทย์
ความทรงจำเมื่อตอนรัชนีที่ทิ้งภคพงษ์ไปแว่บเข้ามาสั้นๆ ด้วยความสะเทือนใจ ...ภคพงษ์ร้องเรียกว่า...แม่
ภคพงษ์มองแล้วก็เบือนหน้าหนีพร้อมกับเอามือปิดแฟ้มอย่างแรง ก่อนจะตั้งสติอีกทีแล้วหยิบเนคไทมาผูกอีกครั้ง แววตานิ่งขึ้น ภคพงษ์สามารถรวบรวมสติผูกเนคไทได้อย่างสวยงามสำเร็จ !
ภคพงษ์มองตัวเองในกระจกอีกครั้ง วันที่พร้อมจะเผชิญหน้า
ในเวลาเดียวกัน ที่ห้องนอน รัชนีใสเสื้อคลุมยืนอยู่หน้ากระจกก่อนมองตัวเองในกระจกด้วยความลังเล ไม่มั่นใจ สุวิทย์แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยพร้อมเดินทางก้าวมาหาและถามด้วยความแปลกใจ
“อ้าว คุณรัชแต่งตัวยังไม่เสร็จเหรอจะได้เวลาแล้วนะ...ปกติคุณไม่เคยแต่งตัวช้าแบบนี้นะ เป็นอะไรหรือเปล่า “
“รัชปวดหัวนิดหน่อยน่ะค่ะ”
รัชนีคิดแล้วก็ถาม
“คุณคะ ถ้ารัชไม่ไปจะได้มั้ยคะ”
“ถ้าคุณไม่ไปยัยปรางก็เหงาแย่สิ”
“ก็ไม่ต้องให้ลูกไปสิคะ”
“แน่ใจเหรอว่าลูกจะยอม”
รัชนีชะงักนิดๆ
เสียงเคาประตูดังขึ้นพร้อมกับเสียงปรางทิพย์
“คุณแม่คะ คุณแม่ คุณแม่”
รัชนีหันไปที่ประตู
ปรางทิพย์วางชุดเดรสที่ดูดี มีสไตล์ สมวัยและไม่โป๊อยู่บนเตียงรัชนี 3-4 ชุดแล้วหันมาถามรัชนีด้วยความหนักใจ
“ปรางจะใส่ชุดไหนไปดีคุณแม่ วันนี้เป็นครั้งแรกที่ปรางจะช่วยคุณพ่อเจรจาธุรกิจ ปรางอยากจะแต่งตัวให้เหมาะสมกับกาละเทศะน่ะค่ะ คุณแม่ช่วยปรางเลือกชุดหน่อยนะคะ..ปรางทั้งตื่นเต้น ทั้งประหม่า ตัดสินใจไม่ถูกเลยค่ะ คุณแม่ช่วยปรางด้วยนะคะ นะค้า”
ปรางทิพย์มองหน้ารัชนี ออดอ้อนขอความเห็นใจ รัชนีมองหน้าปรางทิพย์อย่างหนักใจ สุวิทย์เดินมาหารัชนีแล้วพูดยิ้มๆ
“ผมว่า ถ้าคุณปวดหัวแค่นิดหน่อย เดี๋ยวผมหายาให้ทาน แต่เรื่องที่ไม่ไปคงไม่ได้แล้วล่ะ”
รัชนีมองหน้าสุวิทย์แล้วคิดหนัก ปรางทิพย์ถามด้วยความแปลกใจ
“คุณแม่จะไม่ไปทานข้าวกับคุณภคพงษ์เหรอคะ”
ภคพงษ์แต่งตัวเรียบร้อยเตรียมจะเดินออกจากห้อง พลันสายตาเหลือบไปเห็นเสื้อผ้าที่ซื้อมาจากชายทะลพับวางไว้อย่างดีบนโต๊ะในห้อง ภาพภคพงษ์หยิบชุดแล้วส่งให้รสาผ่านแวบเข้ามา ภคพงษ์คิดถึงรสา
สายใจถามย้ำอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ
“เย็นนี้คุณหนูจะทำอาหารให้คุณรสาทานเหรอคะ”
ภคพงษ์พยักหน้าแล้วย้ำบอก
“ครับ บอกเค้าด้วยว่าผมจะกลับมาเย็นๆ และจะรีบทำให้เรียบร้อยก่อนเค้าเลิกงาน”
สายใจยิ้มนิดๆก่อนถามขึ้นอีก
“ค่ะ เดี๋ยวป้าบอกให้ ...คุณหนู ไม่เปลี่ยนใจเหรอคะ เอ่อ...เรื่องที่จะไปกินข้าวกับ...”
“ไม่ต้องห่วง ผมจะรีบไป รีบกลับ แค่อยากรู้ว่าเค้าจะทำหน้ายังไงตอนเจอกัน”
ภคพงษ์พูดจบก็เดินออกไปเลย สายใจได้แต่บ่นภาวนาเบาๆ
“ขอให้คุณผู้หญิงอย่ามาเจอกับคุณหนูเลย”
สายใจได้แต่มองตามด้วยความเป็นห่วง
รัชนีเดินลงมาจากบ้านในชุดสวยสง่าสมวัย แม้ใบหน้าจะไม่ค่อยสดใสมีความสุขนัก สุวิทย์หันมามองด้วยความชื่นชม
“สวยมาก นี่ขนาดคุณไม่ค่อยสบายนะ ยังสวยขนาดนี้”
รัชนียิ้มรับนิดๆบอก
“ขอบคุณค่ะ เอ่อ...แล้วปรางหล่ะคะแต่งตัวเสร็จหรือยัง”
ทันใดนั้นเสียงปรางทิพย์ก็ดังขึ้นมาอย่างสดใส
“มาแล้วค่า”
รัชนีและสุวิทย์หันไปตามเสียง ปรางทิพย์เดินมาในชุดเดรสน่ารักสมวัย ดูเก๋ไก๋ มั่นใจ แต่ไม่เกินงาม
สุวิทย์ยิ้มอย่างพอใจ
“น่ารักมากลูก”
“ขอบคุณค่ะคุณพ่อ”
สุวิทย์มองทั้งรัชนีและปรางทิพย์
“ผมเป็นผู้ชายที่โชคดีที่สุดในโลกเลยที่มีภรรยาแสนสวย แล้วก็มีลูกสาวที่น่ารักแบบนี้”
รัชนียิ้มรับนิดๆ ส่วนปรางทิพย์ยิ้มปลื้ม
“ใช่ค่ะ ปรางว่าแม้แต่คุณภคพงษ์ก็ต้องอิจฉาคุณพ่อแน่ๆเลยค่ะ”
รัชนีชะงักรอยยิ้มค่อยๆจางไป สุวิทย์ยิ้มหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
“เดี๋ยวก็รู้ ... ฮึๆๆ พ่อว่าเรารีบไปกันดีกว่าเดี๋ยวรถติด”
“ค่ะ”
ปรางทิพย์ควงสุวิทย์แล้วก็เดินออกไปอย่างมีความสุขทิ้งให้รัชนียืนใจคอไม่ดีอยู่ที่เดิม รัชนีสูดลมหายใจเต็มปอดก่อนรวบรวมกำลังใจเดินตามสุวิทย์และปรางทิพย์ไปอย่างยากลำบากใจ
รสาถามย้ำอีกครั้งกับสายใจด้วยความแปลกใจ
“เย็นนี้คุณภัคจะทำอาหารให้ทานเหรอคะ”
สายใจตอบยิ้มๆ
“ใช่ค่ะ คุณหนูฝากให้ป้าเรียนเชิญคุณรสาค่ะ”
ปุยนุ่นกับเปลี่ยนพูดขึ้นด้วยความแปลกใจพอกัน
“โห...คุณภัคเข้าครัวเนี่ย ไม่ใช่เรื่องธรรมดาเลยนะคะคุณรสา ต้องเป็นวาระพิเศษมากๆ วาระแห่งชาติเลยนะคะเนี่ย” ปุยนุ่นบอก
“ใช่ครับ ตั้งแต่ผมอยู่บ้านนี้มาเกือบ 20 ปี..มีแค่ครั้งเดียวที่มีบุญได้รับประทานอาหารฝีมือคุณภัค ตอนแซยิดคุณเผด็จ ครั้งแรกและครั้งเดียว ยังจำได้เลยว่าอร่อยมาก”
เปลี่ยนกับปุยนุ่นพูดจนรสาตื่นเต้นตามไปด้วย
“แล้ววันนี้คุณภัคบอกหรือเปล่าคะว่าเนื่องในโอกาสสำคัญอะไร”
สายใจคิดแล้วก็พูดด้วยความหนักใจลึกๆที่พูดความจริงออกมาไม่ได้
“ไม่ทราบค่ะ ป้าทราบแค่ว่าวันนี้คุณหนูมีประชุมกับลูกค้าคนสำคัญ อาจจะเครียด เหนื่อย เธอคงจะต้องการให้คุณรสาอยู่ทานอาหารเป็นเพื่อน เป็นกำลังใจให้เธอน่ะค่ะ”
รสาตกใจนิดๆ รีบออกตัว
“โห...หน้าที่ใหญ่ขนาดนั้น รสไม่แน่ใจว่าจะทำได้หรือเปล่านะคะ”
“คุณรสาไม่ต้องทำอะไร แค่อยู่ทานอาหารเป็นเพื่อนคุณหนูก็พอ นะคะ”
สายใจอ้อนวอนด้วยสายตาจนรสาใจอ่อน
“ได้ค่ะ...รสรับเชิญ”
ปุยนุ่นกับเปลี่ยนยิ้มกว้างโล่งอก รสายิ้มรับแล้วเอ่ยปากถามด้วยความอยากรู้
“ว่าแต่ลูกค้าคนสำคัญที่คุณภัคจะไปเจอเค้าน่ากลัวมากเลยเหรอคะ”
สายใจชะงักนิดๆ ไม่รู้ว่าจะตอบยังไง
บริเวณทางเดินหน้าร้านอาหารหรู รัชนีเดินมาอย่างสง่า ข้างๆเป็นสุวิทย์ และปรางทิพย์ รัชนีเดินมาอย่างนิ่งสงบพยายามเก็บซ่อนความร้อนใจไว้ภายใน ทั้งสามคนเดินเข้าร้านอาหารไป ประตูร้านปิดลง
การเผชิญหน้าเริ่มต้นขึ้น
บนโต๊ะอาหารทรงกลมมีเก้าอี้อยู่ 5 ที่ สุวิทย์ รัชนี และปรางทิพย์ยืนอยู่ข้างๆโต๊ะ สุวิทย์เลื่อนเก้าอี้ให้รัชนี
“ขอบคุณค่ะ”
สุวิทย์หันมาทางปรางทิพย์
“ปรางมานั่งฝั่งนี้กับพ่อ คุณภคพงษ์จะได้นั่งข้างๆคุณแม่ แม่จะได้ช่วยพ่อดูว่าเค้าเป็นคนยังไง นั่งใกล้ๆจะได้ดูถนัดๆ”
รัชนีสะอึกค่อยๆหุบยิ้ม ใจเต้นแรงขึ้นเล็กน้อย ปรางทิพย์ยิ้มรับ
“ค่ะ”
สุวิทย์นั่งข้างรัชนี ปรางทิพย์เดินมานั่งประกบอีกข้างของสุวิทย์ เหลือเก้าอี้ว่างอีก 2 ตัวที่ข้างรัชนีและข้างปราง
ทิพย์ รัชนีค่อยๆปรายตามามองเก้าอี้ที่ว่างรอผู้มาเยือนด้วยใจคอไม่ค่อยดี
บริเวณหน้าร้านอาหาร ภคพงษ์เดินมากับเผด็จ ภคพงษ์เดินมานิ่งๆ แต่ในใจร้อนรุ่ม ทั้งสองคนหยุดยืนที่หน้าร้าน เผด็จมองหน้าภคพงษ์และถามอีกครั้ง
“คุณภัค”
“ผมพร้อมแล้ว”
ภคพงษ์เดินนำเข้าไปในร้านอย่างมั่นใจ
ภายในร้านอาหาร จู่ๆรัชนีก็ลุกพรวดขึ้น สุวิทย์หันมามองด้วยความแปลกใจ
“คุณ..เป็นอะไรหรือเปล่า”
รัชนีมองหน้าสุวิทย์และปรางทิพย์แล้วก็ตอบ
“ฉัน...ขอตัวไปห้องน้ำก่อนนะคะ”
รัชนีพูดจบก็หันตัวเบี่ยงจะเดินไป ปรางทิพย์เหลือบไปเห็นภคพงษ์เข้าพอดีก็พูดขึ้น
“คุณพ่อ คุณแม่คะ คุณภคพงษ์มาพอดีเลยค่ะ”
รัชนีชะงักยืนตัวแข็งทื่อค้างอยู่อย่างนั้น
ภคพงษ์เดินเข้ามาในร้าน และคนแรกที่เขาเห็นคือรัชนีที่กำลังยืนอยู่...
ภคพงษ์และรัชนีหันมามองหน้า เผชิญหน้ากัน ความทรงจำของทั้งสองคนแวบผ่านเข้ามา ภคพงษ์เดินมาจนถึงที่โต๊ะอาหาร ทั้งสองคนมองหน้ากัน ต่างคนต่างเก็บอาการไม่แสดงออกจนเห็นว่าผิดสังเกต
เผด็จเดินมาหยุดอยู่ข้างๆภคพงษ์และรีบพูดแทรกแนะนำขึ้น
“คุณภัคครับ นี่คุณสุวิทย์ วงศ์เธียรสถิตย์ครับ”
สุวิทย์ลุกขึ้นยืน ภคพงษ์จำต้องเบี่ยงสายตาจากรัชนีหันมาทางสุวิทย์
“คุณสุวิทย์ครับ นี่คุณ”
เผด็จยังไม่ทันแนะนำ ภคพงษ์ก็ตอบขึ้น
“ภคพงษ์ ... ภคพงษ์ เถลิงยศ”
ภคพงษ์แนะนำตัวพลางปรายตามาทางรัชนีที่ยืนนิ่งเก็บอาการไว้ สุวิทย์ยื่นมือมาแล้วบอก
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
ภคพงษ์ยื่นมือมาจับ รัชนียังยืนเก็บกริยาและอารมณ์ หลังปล่อยมือ สุวิทย์หันมาแนะนำรัชนี
“คุณภคพงษ์ครับ นี่รัชนี ภรรยาผมเองครับ”
สองคนมองหน้ากันอีกครั้ง ภคพงษ์มองหน้ารัชนีอยากรู้ว่าเธอจะเป็นอย่างไร และทันใดนั้นเอง
รัชนีก็ยิ้มออกมาอย่างจริงใจเหมือนไม่เคยรู้จักและไม่เคยมีอดีตอันปวดร้าวต่อกันมาก่อน
“สวัสดีค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”
ภคพงษ์สะอึกกับการแสดงออกอันแนบเนียนของรัชนี ภคพงษ์ยกมือไหว้อย่างนอบน้อม
“สวัสดีครับ ยินดีที่ได้รู้จัก เช่นกัน”
ภคพงษ์กระแทกหางเสียงนิดๆ รัชนียิ้มรับอย่างไม่หวาดหวั่น
สุวิทย์พูดต่อ
“คุณภคพงษ์ครับ มีอีกคนที่ผมอยากจะแนะนำให้รู้จัก นี่ปรางทิพย์ลูกสาวผมเองครับ”
ภคพงษ์หันมา ปรางทิพย์ลุกขึ้นยืนและยกมือไหว้แล้วยิ้ม
“สวัสดีค่ะ...เราเคยเจอกันมาแล้ว จำได้หรือเปล่าคะ”
ปรางทิพย์ยิ้มสดใส ภคพงษ์ขมวดคิ้วคิด ภาพของปรางทิพย์ที่บอกว่าจะซื้อของขวัญไปให้พ่อแวบเข้ามา
ภคพงษ์นึกออก ปรางทิพย์คว้าข้อมือพ่อขึ้นมาแล้วก็ชูกระดุมเพชรที่ซื้อมาให้ดู
“จำได้แล้วนะคะ”
ภคพงษ์ยิ้มรับและพยักหน้าน้อยๆ ภคพงษ์กวาดสายตามองปรางทิพย์ สุวิทย์ และรัชนีที่ยืนเรียงอยู่แล้วก็พูดขึ้น
“บังเอิญจังเลยนะครับ รู้สึกว่าวันนี้จะมีแต่เรื่องบังเอิญ ดีครับ. ผมชอบเรื่องที่คาดไม่ถึง ตื่นเต้นดี”
เผด็จลอบมองภคพงษ์นิดๆ รู้ว่ากำลังว่ากระแทกรัชนีอยู่ รัชนีทำเป็นไม่รับรู้ ไม่รู้สึกแล้วก็ยิ้มรับอย่างเป็นธรรมชาติเหมือนไม่มีอะไรซ่อนเร้นอยู่ในใจ
แต่ในภาวะลึกๆนั้น รัชนีกลับมือสั่นด้วยความตื่นเต้น.ก่อนพยายามควบคุมอาการไม่ให้แสดงออกมาด้วยการเอามือมาไพล่หลังและจับกันไว้ไม่ให้คนอื่นเห็นว่าสั่นอยู่ รัชนีจับมือตัวเองอยู่สักพักก็หยุดสั่น แววตาของรัชนีนิ่งขึ้น...ความหวาดกลัว หวั่นวิตกถูกควบคุมได้แล้วในตอนนี้
ส่วนสายใจใจคอไม่ค่อยดีนั่งอยู่ที่มุมประจำ แกะสลักผลไม้ไปก็ชะเง้อมองไปที่หน้าบ้าน รอภคพงษ์กลับมาด้วยใจจดจ่อ
ภายในร้านอาหาร ปรางทิพย์นั่งอยู่ระหว่างสุวิทย์และเผด็จ ส่วนภคพงษ์นั่งติดกับรัชนี ทุกคนมีอาหารของตัวเองแล้ว จานสุดท้าย...สเต็กเนื้อถูกเสิร์ฟวางลงตรงหน้าภคพงษ์
สุวิทย์พูดขึ้น
“ลูกปรางขออนุญาตเป็นคนสั่งอาหารให้เองเลยนะครับ ก่อนจะมาเค้าไปตามอ่านบทสัมภาษณ์ จนรู้ว่าคุณภคพงษ์ชอบทานอะไรบ้าง หวังว่าข้อมูลที่ได้มาจะถูกต้องนะครับ”
ภคพงษ์มองอาหารตรงหน้าแล้วก็หันไปชมปรางทิพย์อย่างมีมารยาท
“ถูกต้องและถูกใจมากครับ”
ปรางทิพย์ยิ้มเขินน่ารัก
“ขอบคุณค่ะ”
รัชนีเห็นแล้วรู้สึกไม่สบายใจอย่างประหลาดเลยพูดขึ้น
“ปรางเค้าชอบช่วยงานคุณพ่อ โดยเฉพาะงานดูแล ไม่ว่าจะเป็นแขกส่วนตัวหรือมาติดต่อธุรกิจเค้าก็จะให้ความสนใจเป็นพิเศษ...ทุกคนค่ะ”
รัชนีพยายามจะบอกภคพงษ์อย่างสุภาพว่า คุณไม่ได้พิเศษ!
ภคพงษ์ชะงัก รู้สึกมีความหมายและอารมณ์บางอย่างไม่ชอบมาพากลในคำพูดของรัชนี ภคพงษ์หันมา
ทางรัชนีแล้วแล้วพูดใส่หน้า
“ดีจังเลยนะครับ ที่มีคุณพ่อไว้ให้ช่วยงาน เสียดายที่ผมไม่มีโอกาสทำแบบนี้กับพ่อของตัวเอง”
ภคพงษ์ตั้งใจพูดกระแทก รัชนียังปั้นหน้าปกติทำเป็นไม่เข้าใจ เผด็จลอบมองอย่างเข้าใจ
ปรางทิพย์ถามขึ้นอย่างมีมารยาท
“ทำไมล่ะคะ”
ภคพงษ์หันมาทางปรางทิพย์แล้วบอก
“ท่านเสียตั้งแต่ผมยังเด็กน่ะครับ”
“เสียใจด้วยนะครับ ถ้าคุณพ่อคุณยังมีชีวิตอยู่ ท่านต้องภูมิใจมากๆที่คุณประสบความสำเร็จแบบนี้”
ภคพงษ์ยิ้มรับนิดๆแล้วบอก
“ขอบคุณครับ พ่อผมเสียไปได้ 20 กว่าปีแล้วครับ ตอนนั้นผมแค่ 7 ขวบ แต่แปลกที่ผมจำอะไรหลายอย่างในตอนนั้นได้เป็นอย่างดี”
ไม่จบแค่นั้น ภคพงษ์หันมาทางรัชนี พร้อมกับคำถามช็อกโลก
“ทราบมาว่าคุณรัชนีเป็นคนชอบเครื่องเพชร ไม่ทราบว่าเคยได้ยินชื่อพ่อผมหรือเปล่าครับ”
รัชนีสะอึก
“พ่อผมชื่อ พรต...พรต เถลิงยศ คุ้นหูบ้างหรือเปล่าครับ”
รัชนีมองหน้าภคพงษ์ นิ่งงันไปหนึ่งอึดใจแล้วก็ยิ้มหวาน
“ต้องขอโทษด้วยนะคะ ดิฉันคงจะโลกแคบ...เลยไม่รู้จัก”
ภคพงษ์อึ้ง จุกในใจ
“ไม่ทราบว่าท่านเป็นอะไรถึงได้เสียชีวิตคะ” ปรางทิพย์เอ่ยถามขึ้น
ภคพงษ์ตอบทั้งที่ตามองรัชนี “ตรอมใจ”
รัชนีอึ้ง..แต่ยังปั้นหน้านิ่ง ไม่ “อิน” ด้วย
ภคพงษ์มองหน้ารัชนี
“แม่”
รัชนีสะดุ้งนิดๆ ภคพงษ์พูดต่อพร้อมเบนสายตาไปทางอื่น
“...ทิ้งพ่อ กับ ผมไปตั้งแต่ผมยังเด็กๆ พ่อผมเสียใจมากจนตรอมใจตาย”
ภคพงษ์ปรายตามาทางรัชนีนิดๆ ปรางทิพย์ถามต่ออย่างอย่างซื่อๆ น้ำเสียงสุภาพเกรงใจแต่อยากรู้
“แล้ว..ทำไมคุณแม่ถึงทิ้งไปล่ะคะ”
สุวิทย์หันมาปรามปรางทิพย์
“ปราง”
สุวิทย์ส่ายหน้าเป็นเชิงบอกว่าไม่ให้ถาม ปรางทิพย์หน้าจ๋อยๆ ก้มหน้ารู้สึกผิดนิดๆที่ถามอย่างไม่มีมารยาท
“ผมไม่ทราบว่าทำไมแม่ถึงต้องทิ้งพ่อไป ทุกวันนี้ผมก็ไม่รู้ และผมก็อยากรู้เหมือนกันว่าทำไม”
ภคพงษ์ทิ้งท้ายประโยคพร้อมกับหันมามองหน้ารัชนีเหมือนต้องการคำตอบ รัชนีสะอึกอีกรอบมองหน้าภคพงษ์ เผด็จเริ่มรู้สึกถึงบรรยากาศที่ไม่สู้ดีในอาหารมื้อนี้
ทันใดนั้น รัชนีก็ยิ้มออกมาอย่างสดใสและแสนดีพร้อมกับพูดว่า
“เรารีบทานอาหารกันดีกว่านะคะ เย็นหมดแล้ว เดี๋ยวจะไม่อร่อย”
ภคพงษ์ชะงักในความเนียนของแม่ตัวเอง
สุวิทย์เพิ่งนึกได้
“ผมลืมไปเลย เมื่อครู่เห็นคุณบอกว่าจะไปห้องน้ำ”
รัชนีตอบยิ้มๆ
“ไม่เป็นไรค่ะ อาหารมาแล้ว ถ้าลุกไปตอนนี้จะเสียมารยาท เราทานกันดีกว่านะคะ...คุณภคพงษ์ เชิญค่ะ”
ภคพงษ์มองหน้ารัชนีที่ยิ้มนิดๆอย่างมั่นใจเพราะเธอควบคุมด้านอ่อนแอของตัวเองไว้ได้อย่างสมบูรณ์แบบและแนบเนียนแล้ว
ภายในเรือนหลังเล็ก รสากำลังย้ายรูปพรตที่ติดอยู่รูปเดียวในผนังของเรือนหลังเล็ก รสาส่งรูปให้ช่างที่ยืนอยู่ข้างๆ
“เก็บไว้ในห้องเก็บของดีๆนะคะ วางไว้สูงๆนะคะ อย่าวางไว้ที่พื้น”
“ครับ”
รสาหันมาที่ผนังมองตะปูที่ติดอยู่ รสาหันมาบอกช่างอีกคน
“ก่อนลงสีผนัง ช่วยทำความสะอาดก่อนนะคะ ตะปูพวกนี้เอาออกไปให้หมดเลยนะคะ”
ช่างพยักหน้ารับ
“ครับ”
ช่างเดินออกไปสั่งงานต่อ
รสาหันมามองตะปูที่ติดอยู่ที่ผนัง แล้วก็เหลือบมาเห็นว่า ข้างๆกันมีตะปูติดอยู่อีกอัน รสามองด้วยความแปลก
ใจ ถอยหลังออกมาเป็นว่าที่ผนังมีตะปูติดอยู่คู่กันสองอัน แต่เมื่อกี้มีแค่รูปของพรตรูปเดียว รสามองด้วยความแปลกใจ
“ตกลง เราก็ยังไม่เคยเห็นหน้าคุณแม่คุณภคพงษ์สักที หน้าตาจะเป็นยังไงนะ”
รสานึกด้วยความสงสัยและแอบอยากรู้
ภายในร้านอาหาร รัชนีกำลังทานอาหารอย่างสำรวม นิ่งมีมารยาทอย่างผู้ดี ภคพงษ์รวบช้อน เผด็จหันมามอง
ปรางทิพย์หน้าเสียเงยหน้าถาม
“อิ่มแล้วเหรอคะ อาหารไม่ถูกปากหรือเปล่า”
ภคพงษ์ยิ้มนิดๆบอก
“ไม่ครับ อาหารอร่อยมากแต่ผมทานไม่ค่อยลง”
รัชนีชะงักนิดๆ แล้วก็ตักอาหารทานต่อเหมือนไม่รู้สึกอะไร ภคพงษ์พูดต่อ
“ผมรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้มาพบกันในวันนี้ ถือซะว่าเป็นการเริ่มต้นทำความรู้จัก ครั้งหน้าจะได้คุยเรื่องธุรกิจกันนะครับ”
“ได้ครับ ด้วยความยินดี เราต้องได้เจอกันอีกแน่” สุวิทย์บอก
รัชนีกลืนอาหารลงคออย่างยากลำบาก ภคพงษ์ยิ้มพอใจ
“ดีครับ ผมจะรอวันนั้น”
สุวิทย์ยิ้มรับแล้วก็นึกได้ ปรายตามามองปรางทิพย์แล้วก็พูดขึ้น
“คุณภัคครับ พอดีปรางเค้าไม่ค่อยมีเพื่อนเพราะเค้าอยู่ที่อังกฤษซะส่วนใหญ่ ถ้าผมจะรบกวนให้คุณภัคช่วยเป็นเพื่อน เป็นพี่ เป็นที่ปรึกษาเรื่องเรียนบ้างเป็นครั้งคราวจะได้หรือเปล่าครับ”
รัชนีชะงักถือช้อนค้าง ปรางทิพย์มองหน้าพ่อ ทำตาโต ทั้งตกใจ ทั้งดีใจ ภคพงษ์มองหน้าปรางทิพย์ด้วยความเอ็นดูแล้วก็ตอบรับ
“ได้ครับ”
รัชนีรีบแทรกขึ้นทันที
“อย่ารบกวนคุณภัคเลยค่ะ”
ภคพงษ์ชะงัก รัชนีพยายามพูดต่อด้วยน้ำเสียงปกติ แต่ในใจร้อนรน
“คุณเค้าคงจะงานยุ่ง ฉันดูแลลูกเองดีกว่าค่ะ”
ปรางทิพย์แอบหน้าจ๋อยนิดๆ รัชนียิ้มให้ภคพงษ์
“ขอบคุณมากนะคะ แต่ไม่รบกวนดีกว่า”
ภคพงษ์มองหน้ารัชนีและยิ้มตอบ
“แต่ผมเต็มใจให้รบกวน”
รัชนีหุบยิ้มทันที ภคพงษ์หันมาทางเผด็จ
“เดี๋ยวคุณอาให้นามบัตรผมไว้กับน้องปรางนะครับ มีอะไรให้ผมช่วย..โทร.มาได้ตลอดเวลา”
“ขอบคุณค่ะ” ปรางทิพย์บอก
รัชนีมองปรางทิพย์ด้วยอาการกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เผด็จส่งนามบัตรให้ปรางทิพย์ในขณะที่ภคพงษ์หันมาร่ำลายกมือไหว้สุวิทย์และรัชนี
“ผมต้องขอตัวก่อนนะครับ ...สวัสดีครับ”
“สวัสดีครับ” สุวิทย์รับไหว้
ภคพงษ์หันมาทางรัชนีแล้วยิ้มร้าย
“แล้วพบกันอีกนะครับ”
รัชนียิ้มรับนิดๆ ภคพงษ์ยกมือไหว้ลา รัชนียกมือรับไหว้พยายามจะฝืนยิ้มแต่ในใจวุ่นวาย ภคพงษ์ลุกขึ้นและ
เดินออกจากโต๊ะไป เผด็จลุกตาม ปรางทิพย์มองดูนามบัตรของภคพงษ์แล้วก็อมยิ้มนิดๆ ตามประสาเด็กสาว รัชนีมองด้วยความไม่วางใจ
ภคพงษ์หน้าตานิ่งขรึมเดินออกมายัง บริเวณทางเดินหน้าร้านอาหาร เผด็จเดินตามและรับรู้ว่า ภคพงษ์อารมณ์ไม่สู้ดีนัก
ภายในร้านอาหาร รัชนีคิดแล้วก็ลุกขึ้นบอกสุวิทย์ว่า
“ฉันไปห้องน้ำก่อนนะคะ”
รัชนีพูดจบก็เดินตามภคพงษ์ออกไป
ภคพงษ์เดินมุ่งหน้าออกไปจากอาคารหน้าร้าน เผด็จอ้าปากขึ้นกำลังจะเรียก แต่เสียงรัชนีดังพุ่งมาจากทาง
ด้านหลัง
“เดี๋ยวก่อนค่ะ”
เผด็จชะงัก ภคพงษ์หยุดเดินจำได้ว่าเป็นเสียงรัชนี เผด็จหันมา รัชนีเดินมาแล้วก็พูดกับเผด็จอย่างผู้ดี
“ดิฉันมีเรื่องส่วนตัวจะคุยกับคุณภคพงษ์ ขอคุยกันสองคนนะคะ”
เผด็จมองหน้าภคพงษ์ที่พยักหน้าอนุญาต เผด็จพยักหน้ารับแล้วก็เดินเลี่ยงออกไป
เผด็จเดินหลบมาอีกมุมหนึ่ง แล้วก็หยุด คิดป็นห่วงภคพงษ์
ตะวันทอแสง ตอนที่ 7 (ต่อ)
ภายในเรือนหลังเล็ก รสากำลังย้ายรูปพรตที่ติดอยู่รูปเดียวในผนังของเรือนหลังเล็ก รสาส่งรูปให้ช่างที่ยืนอยู่ข้างๆ
“เก็บไว้ในห้องเก็บของดีๆนะคะ วางไว้สูงๆนะคะ อย่าวางไว้ที่พื้น”
“ครับ”
รสาหันมาที่ผนังมองตะปูที่ติดอยู่ รสาหันมาบอกช่างอีกคน
“ก่อนลงสีผนัง ช่วยทำความสะอาดก่อนนะคะ ตะปูพวกนี้เอาออกไปให้หมดเลยนะคะ”
ช่างพยักหน้ารับ
“ครับ”
ช่างเดินออกไปสั่งงานต่อ
รสาหันมามองตะปูที่ติดอยู่ที่ผนัง แล้วก็เหลือบมาเห็นว่า ข้างๆกันมีตะปูติดอยู่อีกอัน รสามองด้วยความแปลก
ใจ ถอยหลังออกมาเป็นว่าที่ผนังมีตะปูติดอยู่คู่กันสองอัน แต่เมื่อกี้มีแค่รูปของพรตรูปเดียว รสามองด้วยความแปลกใจ
“ตกลง เราก็ยังไม่เคยเห็นหน้าคุณแม่คุณภคพงษ์สักที หน้าตาจะเป็นยังไงนะ”
รสานึกด้วยความสงสัยและแอบอยากรู้
ภายในร้านอาหาร รัชนีกำลังทานอาหารอย่างสำรวม นิ่งมีมารยาทอย่างผู้ดี ภคพงษ์รวบช้อน เผด็จหันมามอง
ปรางทิพย์หน้าเสียเงยหน้าถาม
“อิ่มแล้วเหรอคะ อาหารไม่ถูกปากหรือเปล่า”
ภคพงษ์ยิ้มนิดๆบอก
“ไม่ครับ อาหารอร่อยมากแต่ผมทานไม่ค่อยลง”
รัชนีชะงักนิดๆ แล้วก็ตักอาหารทานต่อเหมือนไม่รู้สึกอะไร ภคพงษ์พูดต่อ
“ผมรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้มาพบกันในวันนี้ ถือซะว่าเป็นการเริ่มต้นทำความรู้จัก ครั้งหน้าจะได้คุยเรื่องธุรกิจกันนะครับ”
“ได้ครับ ด้วยความยินดี เราต้องได้เจอกันอีกแน่” สุวิทย์บอก
รัชนีกลืนอาหารลงคออย่างยากลำบาก ภคพงษ์ยิ้มพอใจ
“ดีครับ ผมจะรอวันนั้น”
สุวิทย์ยิ้มรับแล้วก็นึกได้ ปรายตามามองปรางทิพย์แล้วก็พูดขึ้น
“คุณภัคครับ พอดีปรางเค้าไม่ค่อยมีเพื่อนเพราะเค้าอยู่ที่อังกฤษซะส่วนใหญ่ ถ้าผมจะรบกวนให้คุณภัคช่วยเป็นเพื่อน เป็นพี่ เป็นที่ปรึกษาเรื่องเรียนบ้างเป็นครั้งคราวจะได้หรือเปล่าครับ”
รัชนีชะงักถือช้อนค้าง ปรางทิพย์มองหน้าพ่อ ทำตาโต ทั้งตกใจ ทั้งดีใจ ภคพงษ์มองหน้าปรางทิพย์ด้วยความเอ็นดูแล้วก็ตอบรับ
“ได้ครับ”
รัชนีรีบแทรกขึ้นทันที
“อย่ารบกวนคุณภัคเลยค่ะ”
ภคพงษ์ชะงัก รัชนีพยายามพูดต่อด้วยน้ำเสียงปกติ แต่ในใจร้อนรน
“คุณเค้าคงจะงานยุ่ง ฉันดูแลลูกเองดีกว่าค่ะ”
ปรางทิพย์แอบหน้าจ๋อยนิดๆ รัชนียิ้มให้ภคพงษ์
“ขอบคุณมากนะคะ แต่ไม่รบกวนดีกว่า”
ภคพงษ์มองหน้ารัชนีและยิ้มตอบ
“แต่ผมเต็มใจให้รบกวน”
รัชนีหุบยิ้มทันที ภคพงษ์หันมาทางเผด็จ
“เดี๋ยวคุณอาให้นามบัตรผมไว้กับน้องปรางนะครับ มีอะไรให้ผมช่วย..โทร.มาได้ตลอดเวลา”
“ขอบคุณค่ะ” ปรางทิพย์บอก
รัชนีมองปรางทิพย์ด้วยอาการกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เผด็จส่งนามบัตรให้ปรางทิพย์ในขณะที่ภคพงษ์หันมาร่ำลายกมือไหว้สุวิทย์และรัชนี
“ผมต้องขอตัวก่อนนะครับ ...สวัสดีครับ”
“สวัสดีครับ” สุวิทย์รับไหว้
ภคพงษ์หันมาทางรัชนีแล้วยิ้มร้าย
“แล้วพบกันอีกนะครับ”
รัชนียิ้มรับนิดๆ ภคพงษ์ยกมือไหว้ลา รัชนียกมือรับไหว้พยายามจะฝืนยิ้มแต่ในใจวุ่นวาย ภคพงษ์ลุกขึ้นและ
เดินออกจากโต๊ะไป เผด็จลุกตาม ปรางทิพย์มองดูนามบัตรของภคพงษ์แล้วก็อมยิ้มนิดๆ ตามประสาเด็กสาว รัชนีมองด้วยความไม่วางใจ
ภคพงษ์หน้าตานิ่งขรึมเดินออกมายัง บริเวณทางเดินหน้าร้านอาหาร เผด็จเดินตามและรับรู้ว่า ภคพงษ์อารมณ์ไม่สู้ดีนัก
ภายในร้านอาหาร รัชนีคิดแล้วก็ลุกขึ้นบอกสุวิทย์ว่า
“ฉันไปห้องน้ำก่อนนะคะ”
รัชนีพูดจบก็เดินตามภคพงษ์ออกไป
ภคพงษ์เดินมุ่งหน้าออกไปจากอาคารหน้าร้าน เผด็จอ้าปากขึ้นกำลังจะเรียก แต่เสียงรัชนีดังพุ่งมาจากทาง
ด้านหลัง
“เดี๋ยวก่อนค่ะ”
เผด็จชะงัก ภคพงษ์หยุดเดินจำได้ว่าเป็นเสียงรัชนี เผด็จหันมา รัชนีเดินมาแล้วก็พูดกับเผด็จอย่างผู้ดี
“ดิฉันมีเรื่องส่วนตัวจะคุยกับคุณภคพงษ์ ขอคุยกันสองคนนะคะ”
เผด็จมองหน้าภคพงษ์ที่พยักหน้าอนุญาต เผด็จพยักหน้ารับแล้วก็เดินเลี่ยงออกไป
เผด็จเดินหลบมาอีกมุมหนึ่ง แล้วก็หยุด คิดป็นห่วงภคพงษ์
ขึ้น 7.2-1
รัชนีเดินเข้ามาหา
“ดีใจที่ได้พบกัน”
ภคพงษ์มองหน้ารัชนี ในใจแอบดีใจคิดว่า แม่คงอยากจะมาคุยด้วยเป็นการส่วนตัว แล้วรัชนีก็พูดขึ้น
“แค่เห็นแวบแรก ฉันก็รู้ว่า คุณเป็นเด็กหนุ่มที่มีอนาคตไกล ขอให้คุณมองไปข้างหน้าและเดินไปข้างหน้า เพื่อสิ่งที่ดีกว่า”
ภคพงษ์เริ่มขมวดคิ้ว รัชนีพูดต่อ
“อย่าให้อดีตมารั้งคุณไว้จนก้าวต่อไปไม่ได้”
ภคพงษ์มองหน้ารัชนี รอฟังต่อ
“ขอให้คุณคิดซะว่า ชีวิตคือวันนี้ และพรุ่งนี้เท่านั้น ยินดีที่ได้พบกัน”
รัชนีพูดจบก็หันหลังจะเดินกลับไป ภคพงษ์คิดแล้วก็ถามขึ้น
“คุณจำอะไรไม่ได้เลยเหรอ”
รัชนีหยุดเท้าแต่ยังยืนหันหลังให้ภคพงษ์แล้วก็พูด ทั้งๆที่หันหลังอยู่ ภคพงษ์รอคำตอบ
“ฉันเลือกที่จะไม่จำมากกว่า”
ภคพงษ์อึ้ง...จุก รัชนีเอียงหน้าปรายตามองมาทางภคพงษ์นิดๆ
“คุณเอง...ก็ควรจะเลือกแบบเดียวกัน”
รัชนีพูดจบก็เดินไป ภคพงษ์ยืนนิ่งกำมือแน่น มองรัชนีที่เดินทิ้งห่างออกไปทุกที แต่ภาพอดีตกลับตีกลับมาหาภัคพงษ์ รัชนีทิ้งไป ภคพงษ์ร้องไห้ เรียกให้รัชนีกลับมา
ภคพงษ์อ้าปากแต่ไม่มีเสียงออกมา ตาแดงก่ำ น้ำตาคลอแต่ไม่ไหล ภคพงษ์มองรัชนีเดินจากไป ความเจ็บกรีดลึกซ้ำย้ำรอยเดิม
แววตาของภคพงษ์ค่อยๆ เปลี่ยนจากเสียใจเป็นแข็งกระด้าง ปิดปากสนิท แววตาแข็งกร้าวประกายความแค้นค่อยๆแทรกเข้ามาแทนที่ความเจ็บปวด
เผด็จยืนรออยู่ด้วยความร้อนใจ ภคพงษ์เดินสีหน้านิ่งเคร่งขรึมเข้ามา เผด็จรีบเดินมาหา
“คุณภัค”
ภคพงษ์หยุดเดินแล้วบอก
“ผมโทร.เรียกให้เปลี่ยนมารับคุณอาแล้ว อีกไม่นานคงมาถึง”
ภคพงษ์พูดจบก็เดินออกไปเลย เผด็จยืนงง
“อ้าว..แล้วคุณภัค”
ภคพงษ์เดินออกไปทันทีโดยไม่ตอบเผด็จที่ได้แต่มองตามด้วยความเป็นห่วง และหันไปมองในร้านอาหารนิดๆ ด้วยความอยากรู้ว่ารัชนีคุยอะไรกับภคพงษ์ ถึงได้กลายเป็นแบบนี้
ภคพงษ์เดินเหมือนหนีอะไรบางอย่างอยู่ในสวนหน้าร้านอาหาร พอพ้นจากสายตาผู้คน ภคพงษ์ก็หยุดเดิน แล้วก็คิด ทั้งสับสน โกรธแค้น เสียใจประดังประเดกันเข้ามา ท่ามกลางสวนสวยงาม แต่ภายในใจของภคพงษ์กำลังร้องไห้เพียงลำพัง …
เวลาเย็น ที่เรือนหลังเล็ก ถุงขนมหลากหลายน่ากินมากมายวางอยู่บนโต๊ะทำงานรสา ชีวินยิ้มแป้นบอก
“ซื้อมาฝาก”
รสายิ้มรับบอก
“ขอบใจมากจ้ะ”
“กินเลยมั๊ย เดี๋ยววินไปชงกาแฟมาให้”
ชีวินพูดจบก็จะเดินไป รสารีบบอก
“ยังดีกว่า นี่ก็จะเย็นแล้ว พอดีรสามีนัดทานข้าวเย็นน่ะจ้ะ”
รสาพูดอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ได้อวดและไม่ได้คิดจะปิดบัง
“กับใคร”
“คุณภคพงษ์น่ะ เค้าฝากป้าใจมาบอก”
ชีวินได้แต่ยืนจุก
“วินพอดี รสมีเรื่องด่วนต้องคุยกับพิม รสขอโทร.หาพิมแป๊บนึงนะ เดี๋ยวมาคุยต่อ”
รสาหยิบโทรศัพท์แล้วก็เดินไป
ชีวินได้แต่มองตามแล้วก็ก้มลงมองถุงขนมตัวเองที่วางอยู่พร้อมกับถอนหายใจเบาๆ ชีวินแอบน้อยใจ เศร้าใจเล็กๆ
ภายในห้องสมุด พิมพรรณนั่งเหม่ออยู่ที่หน้าคอมพิวเตอร์ ไม่มีกะจิตกะใจจะทำงาน ภาพที่นอนกับวาริชแวบเข้ามาสั้นๆ พิมพรรณน้ำตาคลอ...
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น พิมพรรณหันไปมองเห็นชื่อ “รส” ก็รีบปาดน้ำตาพลางจะหยิบโทรศัพท์มากดรับ แต่เสียงวาริชดังขัดจังหวะขึ้นก่อน
“พิม”
พิมพรรณชะงักมือ เงยหน้ามองวาริชที่เดินยิ้มกริ่มเข้ามา พิมพรรณตัดสินใจกดสายทิ้ง ไม่รับและปิดเครื่องทันที แม้จะรู้สึกผิดลึกๆ แต่ก็ยังไม่พร้อมจะรับสายของรสาในตอนนี้
รสาชะงักนิดๆ ก่อนวางสายด้วยความแปลกใจ
“พิมกดสายทิ้งทำไมหรือว่าประชุม”
รสากังวลแต่ยังพยายามมองโลกในแง่ดี
พิมพรรณวางโทรศัพท์ไว้ในกระเป๋าถือ วาริชชะโงกหน้าเข้ามาหอมแก้มพิมพรรณหนึ่งฟอดใหญ่ พิม
พรรณตกใจ รีบผงะถอยตัวหนี และมองซ้ายมองขวา
“อย่าทำแบบนี้อีกนะคะ ถ้าคนอื่นมาเห็นเข้า มันจะดูไม่ดี”
“ก็ช่างคนอื่นเค้าสิ ผมรักพิม ผมก็อยากแสดงออกให้คนอื่นเค้ารู้ ไม่เห็นจะผิดตรงไหน”
“วาริชมาหาพิมมีอะไรคะ”
“ผมมีข่าวดีจะมาบอก”
พิมพรรณมองหน้ารอฟัง
“ผมไปบอกเลิกกับผู้หญิงทุกคนหมดแล้วนะ จากนี้ต่อไป ผมจะมีพิมเพียงคนเดียว”
“พิมขอถามคำนึงนะคะผู้หญิงทุกคนของคุณ..มีทั้งหมดกี่คน”
“เอ่อ...ก็แค่คนสองคนไม่ได้จะเยอะแยะอะไร ที่จริงผมก็ไม่ได้จะสนใจอะไรเค้าหรอก แต่เค้าเป็นลูกค้า มาดีด้วย ถ้าเราทำไม่สนใจจะกระทบถึงเรื่องงาน”
วาริชยิ้มเอาตัวรอดไหลไปเรื่อย พิมพรรณแบ่งรับแบ่งสู้ เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง วาริชเดินมานั่งลงข้างๆ แล้วจับ
มือพิม
“นับจากนี้ไป..ผมจะไม่สนใจพวกนั้นแล้ว ผมจะมีคุณเพียงคนเดียวนะพิม ผมอยากให้คุณรู้ว่าผมจริงจังกับคุณมากๆ เย็นนี้เราไปทานข้าวกัน แล้วคืนนี้ก็...”
พิมพรรณตัดบทบอก
“ไม่ได้ค่ะ เย็นนี้ พิมต้องกลับไปทานข้าวกับที่บ้าน ไม่ได้บอกเค้าไว้ก่อน เอาไว้โอกาสหน้านะคะ พิมขอตัวไปทำงานก่อนนะคะ”
พิมพรรณดึงมือวาริชออกแล้วลุกจากโต๊ะเดินออกไป
วาริชนั่งอยู่ที่เดิมพลางปรายตามามองพิมพรรณด้วยความไม่พอใจ...
“เสียตัวแล้วยังจะเล่นตัวอีก” วาริชบ่นเบาๆและคิดว่าจะเอายังไงต่อไปดี
ที่เรือนหลังเล็ก พิทยาเอื้อมมือมาหยิบถึงขนมของชีวินพร้อมกับพูดขึ้น
“ของใคร กินนะ ขอบคุณ”
พิทยาพูดเองเออเอง แล้วก็หยิบมาแกะกินหน้าตาเฉยๆ ชีวินเดินมาพร้อมกับแก้วกาแฟในมือ
“อ้าวพี่พิทตี้...พี่พิทตี้ ขนมนี่ของรสนะพี่”
“ก็ฉันขอแล้ว ...ขอบใจมาก”
พิทยาพูดทั้งที่ขนมเต็มปาก และเมื่อเห็นแก้วกาแฟในมือชีวินก็ดึงมายกดื่มทันที
“อ้าว”
“เอ้อ..ชงกาแฟใช้ได้นะเราเนี่ย เดี๋ยวฉันจะให้แกสอนนังคัพเค้กชงให้ฉัน”
“อ้าว...แต่กาแฟนี่ก็ของรสนะพี่”
พิทยาไม่สนยกดื่มอีกที
“เหรอ งั้นฉันก็ต้องขอบใจรสสิ”
พิทยาหันไปเห็นรสาเดินเข้ามาพอดี
“รส ขอบใจมากนะ ทั้งขนมทั้งกาแฟ มันเยี่ยมมากจริงๆ”
รสามองแล้วยิ้มอย่างรู้ทันที
“ตามสบายเลยค่ะพี่พิท .. ถ้ายังไม่อิ่มจะกินให้หมดเลยก็ได้ค่ะ”
“อ้าว แต่วินซื้อมาให้รสนะ” ชีวินพูดเสียงเบาๆ
“รสรู้ แล้วก็ซึ้งใจมาก แต่ตอนนี้พี่พิทเค้าดูหิวมากเลยดูสิ กินไม่หยุดเลย น่าสงสารให้พี่เค้ากินเหอะ เอาไว้คราวหน้าถ้าวินซื้อมาฝากอีก รสจะกินให้หมดคนเดียวเลย” รสายิ้มน่ารักพูดพลางจับไหล่จนชีวินโกรธไม่ลง
“อือ...ก็ได้”
รสาพูดจบก็เดินไปทำงานต่อ พิทยาหยิบขนมกินอย่างสบายอารมณ์ ชีวินมองด้วยความเสียใจ เสียดาย พิทยาหันมาทางชีวินถาม
“อร่อยว่ะไอ้วิน ชิมหน่อยป่ะ”
ชีวินส่ายหน้าได้แต่มองขนมที่ค่อยหมดไป ขณะที่รสาก้มหน้าก้มตาทำงานไม่สนใจขนมที่ชีวินซื้อมาให้เลยแม้แต่น้อย
ชีวินผู้น่าสงสารได้แต่น้อยใจอย่างแรง
พิทยาขยำถุงขนมที่กินจนหมดทิ้งลงถังขยะ ชีวินมองตามด้วยแววตาเศร้าสร้อย พิทยากดกาแฟดื่มจนหมดแก้วแล้วก็วางตรงหน้าชีวิน เหมือนจะประชดว่าหมดแล้ว พิทยาจับไหล่ชีวิน
“ขอบใจมาก”
เมื่อพิทยาแกล้งชีวินแล้วแล้วก็หันมาทางรสา
“รสงานเดินหน้าเร็วมาก ภายนอกเรียบร้อยเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์เหลือภายในอีกแค่นิดหน่อย พี่ว่าอีกไม่นานทุกอย่างน่าจะเรียบร้อย”
“ขอบคุณค่ะ”
พิทยาหันมาทางชีวิน
“ส่วนแก ไอ้วิน วันนี้ไม่มีงาน แล้วแกมาทำอะไรที่นี่หะ”
“อ้าว”
“รสเป็นคนชวนวินมาเองค่ะ รสคิดว่าจะเริ่มปรับสวนตั้งแต่อาทิตย์หน้าเป็นต้นไป วันนี้ก็เลยให้วินเค้ามาเคลียร์ต้นไม้เก่ารอบสุดท้ายค่ะ” รสารีบบอก
ชีวินชี้มาที่รสาแล้วบอก
“ตามนี้เลยครับพี่”
“แล้วไป...ฉันนึกว่าแกจะโดดงานมาทำตัวไร้สาระ”
พิทยาประชดชีวินเสร็จแล้วก็หันมาทางรสาอีกรอบ
“รสจ้ะ เย็นนี้รสจะอยู่กินข้าวเย็นกับคุณภัคใช่มั้ย พี่ฝากวางบิลรอบต่อไปด้วยนะจ้ะ”
พิทยาส่งแฟ้มให้ รสารับมา
“ได้ค่ะพี่ เอ๊ะ แล้วพี่พิทตี้ทราบได้ยังไงคะว่ารสมีทานข้าวเย็นกับคุณภัค”
รสาหันมาทางชีวินที่โบกมือ...เปล่านะ... พิทยาเลยตอบขึ้น
“ฉันก็ต้องมีสายข่าวของฉันบ้างสิจ้ะ”
พิทยาพูดด้วยท่าทางมีลับลมคมใน รสากับชีวินมองด้วยความสงสัย ใคร!?
ภายในบ้านเถลิงยศก่อนหน้าที่พิทยาจะมาที่เรือนหลังเล็ก ปุยนุ่นเม้าท์อย่างเมามันตามสไตล์
“คุณภัคเชิญคุณรสาทานข้าวเย็นนี้ค่ะ คุณภัคบอกว่าจะลงมือทำอาหารเองด้วยนะคะ แสดงว่าคุณภัคเธอถูกชะตากับคุณรสาสุดๆนะคะเนี่ย”
พิทยายืนฟัง พยักหน้า อืมๆๆ ปุยนุ่นยังพูดไม่หยุด
“อ้อ ยังมีอีกเรื่องที่มหัศจรรย์ที่สุดคือ คุณภัคเธอไปเที่ยวระยองกับคุณรสาสองต่อสอง ไปค้างด้วยกันนะคะ แถมคุณภัคไม่เอากระเป๋าสตางค์ ไม่เอามือถือไปด้วย ไปตัวเปล่า ไปรถคุณรสาอีกต่างหาก โอ้ยเกิดมาปุยยังไม่เคยเห็นคุณภัคทำแบบนี้กับผู้หญิงคนไหนเลยนะคะเนี่ย”
พิทยาฟังแล้วก็พยักหน้า อืม
ที่เรือนหลังเล็ก ชีวินถามขึ้นด้วยความวิตก
“แล้วทำไมนายภคพงษ์ต้องทำแบบนี้กับรสด้วย”
“เอ่อ..รสก็ไม่รู้เหมือนกัน” รสาตอบไม่ได้
พิทยาหันขวับมาทางชีวิน
“เค้าจะทำเพราะอะไร แล้วมันเกี่ยวอะไรกับแก”
“ก็ผม...ผมเป็นห่วงรส”
“รสเค้าโตแล้ว เค้าดูแลตัวเองได้ ตัวแกดูแลตัวเองให้ดีก่อนเหอะ ไป กลับ”
“หะ”
“ไม่ได้ไปหา ให้กลับออฟฟิศ ไป ไม่ไปโดนตัดเงินเดือน”
พิทยาเดินนำไป แต่แล้วก็นึกได้หันมาทางรสา
“ฝากเก็บตังค์ด้วยนะรส”
“ค่ะ”
“รส”ชีวินเรียกแล้วทำตาปรอย
“ไปเถอะน่า รสดูแลตัวเองได้”
“ดูแลตัว แล้วก็อย่าดูแลใจด้วยล่ะ วินเป็นห่วง”
ชีวินพูดซื่อๆตรงๆด้วยความหวังดี รสายิ้มรับด้วยความซึ้งใจ
“ขอบใจมาก”
ชีวินจำใจต้องเดินตามพิทยาไป เหลือรสาอยู่ในเรือนหลังเล็กคนเดียว
รสาเดินเข้ามาในบ้านเถลิงยศพร้อมกับแฟ้มในมือ รสาดูนาฬิกา 6 โมงเย็น รสาเดินเข้าไปในบ้าน
ด้วยความตื่นเต้นเล็กๆ
สายใจคุยโทรศัพท์กับเผด็จด้วยความกังวลใจ
“คุณหนูไม่ได้อยู่กับคุณเผด็จเหรอคะ”
เผด็จคุยโทรศัพท์ด้วยความสงสัย
“ไม่ได้อยู่ ฉันแยกกับคุณภัคที่ร้านอาหารตั้งแต่เมื่อตอนบ่าย นี่คุณภัคยังกลับไม่ถึงบ้านอีกเหรอ”
สายใจกังวลหนักขึ้น
“ยังเลยค่ะ ตั้งแต่ออกไปกับคุณเผด็จก็ยังไม่กลับมาเลย”
เผด็จแปลกใจ
“อ้าว เอ..แล้วคุณภัคหายไปไหน”
สายใจเริ่มวิตก
“นั่นสิคะ...ดิฉันลองโทร.เข้ามือถือก็ไม่เปิด แล้วเย็นนี้นัดกับคุณรสาทานข้าวที่บ้านด้วย ไม่รู้ว่าคุณหนูจะกลับมากี่โมง”
เผด็จคิด
“เดี๋ยวฉันจะช่วยติดต่อให้อีกทาง”
สายใจคิดแล้วก็ถาม
“คุณเผด็จคะ...ที่คุณหนูหายไปจะเกี่ยวกับคุณผู้หญิงหรือเปล่าคะ”
สายใจถามด้วยความไม่สบายใจ เผด็จตอบไม่ถูกได้แต่ถอนหายใจเบาๆ .
รสาเดินเข้ามาในห้องรับประทานอาหาร มองซ้ายมองขวา ไม่เห็นคน ไม่เห็นอาหาร รสาแปลกใจ รสายืนอยู่สักพัก ปุยนุ่นก็เดินเข้ามาพร้อมกับถาดน้ำ รสาหันมาถาม
“คุณภัคอยู่ในครัวหรือเปล่า มีอะไรให้ฉันช่วยมั้ย”
ปุยนุ่นหน้าเสียตอบ
“คือ...คุณภัคยังไม่กลับมาเลยค่ะ”
รสาเลิกคิ้ว
“ยังไม่กลับ”
“ค่ะ ออกไปประชุมกับคุณเผด็จตั้งแต่ตอนกลางวัน ก็ยังไม่กลับมาเลยค่ะ”
รสาแอบเป็นห่วง ปุยนุ่นเทน้ำให้รสา
“คุณรสาดื่มน้ำก่อนนะคะ ถ้าคุณภัคมา ปุยจะรีบมารายงานทันทีเลยค่ะ”
รสายิ้มรับ
“ขอบใจจ้ะ”
ปุยนุ่นรีบเดินออกไป รสาวางแฟ้มไว้บนโต๊ะแล้วก็นั่งลง รสาหันไปดูนาฬิกา 6 โมง 10 นาที
รสานั่งรอด้วยความตื่นเต้นพลางจับผม จับเสื้อผ้าให้เข้าที่ แอบทำสวยโดยไม่รู้ตัว
นาฬิกาบอกเวลา 1 ทุ่ม 10 นาที รสายังนั่งอยู่ที่เดิม เริ่มมีอาการหงุดหงิด มองนาฬิกา แต่ยังแอบมีความหวัง จนนาฬิกา 2 ทุ่มพอดี
รสานั่งหน้าเครียดไม่พอใจ และแอบน้อยใจนิดๆ สายใจเดินเข้ามาด้วยความเป็นห่วง
“คุณรสาหิวหรือยังคะ”
รสาหันมาทางสายใจ
“ก็ตรงๆเลยนะคะ หิวมากเลยค่ะ”
สายใจหน้าเสีย
“งั้น..ป้าทำอะไรให้ทานก่อนดีมั้ยคะ”
“เอ่อ ไม่เป็นไรค่ะ รสว่า รสกลับก่อนดีกว่านะคะ”
“คุณรสาจะกลับเลยเหรอคะ เอ่อ...ให้ป้าโทร.ตามคุณหนูอีกทีนะคะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ป้าบอกรสเองว่าติดต่อเค้าไม่ได้ เพราะปิดเครื่อง รสว่าเค้าคงติดธุระสำคัญ”
รสาลุกขึ้นแล้วบอก
“รสกลับก่อนดีกว่าค่ะ ฝากเอกสารให้คุณภคพงษ์ด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ”
สายใจรับเอกสารมาด้วยความไม่สบายใจ
“คุณรสา”
รสายกมือไหว้
“ขอบคุณมากค่ะ”
รสากำลังจะเดินออกไป สายใจตัดสินใจพูดขึ้น
“คุณรสาอย่าโกรธคุณหนูเลยนะคะ วันนี้คุณหนูต้องเจอเรื่องที่...หนักหนาสาหัสมากๆ ปกติคุณหนูเป็นคนรักษาคำพูดอย่างที่สุด วันนี้คุณหนูคงมีเรื่องรบกวนจิตใจมากจริงๆ ถึงได้เป็นแบบนี้ ป้าต้องขอโทษแทนคุณหนูด้วยนะคะ”
รสานิ่งฟัง คิด แล้วก็หันมาตอบตรงๆ
“รสจะพยายามเข้าใจนะคะ สวัสดีค่ะ “
รสายกมือไหว้อีกครั้งแล้วก็เดินออกไปด้วยความเสียใจ ผิดหวัง และสมน้ำหน้าตัวเองอยู่ลึกๆ
รสาเดินออกมาจากบ้านเถลิงยศแล้วก็หยุดยืนที่หน้าบ้าน..ครุ่นคิด ถึงตอนเช้าที่สายใจบอกเรื่องกินข้าว
“เย็นนี้คุณภัคจะทำอาหารให้ทานเหรอคะ”
“ใช่ค่ะ คุณหนูฝากให้ป้าเรียนเชิญคุณรสาค่ะ” สายใจว่า
“โห...คุณภัคเข้าครัวเนี่ย ไม่ใช่เรื่องธรรมดาเลยนะคะคุณรสา ต้องเป็นวาระพิเศษมากๆ วาระแห่งชาติเลยนะคะเนี่ย” ปุยนุ่นว่า
“ใช่ครับ ตั้งแต่ผมอยู่บ้านนี้มาเกือบ 20 ปี มีแค่ครั้งเดียวที่มีบุญได้รับประทานอาหารฝีมือคุณภัค ตอนแซยิดคุณเผด็จ ครั้งแรกและครั้งเดียว ยังจำได้เลยว่า..อร่อยมาก” เปลี่ยนบอก
รสาส่ายหน้าแล้วก็ด่าตัวเองในใจที่คิดอะไรเข้าข้างตัวเองเกินไปก่อนจะเดินจ๋อยๆ ออกไป
สายใจวางแฟ้มไว้บนโต๊ะข้างโทรศัพท์ แล้วก็กดโทรหาภคพงษ์แต่ไม่ติด สายใจวางแล้วก็ส่ายหน้า
“คุณหนูนะคุณหนู”
ปุยนุ่นยืนอยู่ที่หน้าบ้านตะโกนเข้ามา
“ป้าๆ..คุณภัคกลับมาแล้ว คุณภัคมาแล้วป้า”
สายใจรีบเดินออกไปรับทันที
ภคพงษ์สีหน้าเครียด ขรึมเดินเซนิดๆเข้ามาในบ้านก็ถอดเสื้อสูท ปลดเนคไท สายใจกับปุยนุ่นรีบเดินออกมารับ
“คุณหนู”
สายใจรีบเข้ามาประคองและรับเสื้อสูทมาถือไว้ พอได้กลิ่นเหล้าก็แปลกใจ
“คุณหนู...ดื่มมาด้วยเหรอคะ”
“นิดหน่อย”
สายใจหน้าตาเป็นห่วงมาก เพราะปกติภคพงษ์จะไม่ดื่มเลย สายใจรีบหันมาทางปุยนุ่น
“นังปุยรีบไปตามไอ้เปลี่ยนมาพาคุณหนูไปที่ห้องเร็ว”
“จ้ะ”
“ไม่เป็นไร..ฉันเดินเองได้” ภคพงษ์รีบบอก
ภคพงษ์พยายามเดินไปด้วยตัวเอง
สายใจหันมาส่งเสื้อสูทให้ปุยนุ่น
“เอาไปเก็บที่ห้อง”
ปุยนุ่นรับมาและรีบเดินไป คล้อยหลังปุยนุ่น สายใจตัดสินใจพูดขึ้น
“วันนี้คุณหนูลืมนัดคุณรสาหรือเปล่าคะ”
ภคพงษ์ชะงัก หันมาถามสายใจ
“รสารออยู่นานแค่ไหน”
“ประมาณ 2 ชั่วโมงกว่าค่ะ”
ภคพงษ์คิดแล้วก็หันมาบอกสายใจ
“บอกเปลี่ยนเอารถมารับฉันที่หน้าบ้าน ด่วน !”
“ค่ะ” สายใจรีบรับคำ
สายใจรีบเดินไปด้วยความกระตือรือร้น ภคพงษ์คิดถึงรสาด้วยแววตารู้สึกผิด
ภายในบ้านวงศ์เธียรสถิตย์ รัชนีใส่ชุดนอนนั่งบนเตียงในห้องนอน ครุ่นคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น สุวิทย์เดินมาหาอย่างอารมณ์ดี
“ผมรู้สึกถูกชะตากับเด็กหนุ่มที่ชื่อภคพงษ์นี่จริงๆ”
รัชนีสะดุ้งนิดๆ เพราะกำลังคิดถึงภคพงษ์อยู่พอดี สุวิทย์พูดต่อ
“ถึงแม้จะดูแปลกๆ เงียบๆ ไปบ้าง แต่ดูเป็นคนลักษณะดี บุคลิกดี ไม่ขี้โม้ ขี้อวด เหมือนเด็กหนุ่มไฟแรงทั่วไป หรือคุณว่าไง”
“ก็..ไม่เลวค่ะ” รัชนีตอบแบบกลางๆ
“ผมกำลังคิดว่าจะให้เค้าเป็นพี่เลี้ยงให้ปรางทิพย์ ถ้าเค้าไม่รังเกียจ”
รัชนีขมวดคิ้ว
“พี่เลี้ยงคืออะไรคะ”
“ถ้าเราทำธุรกิจด้วยกันจริงๆ ผมจะส่งปรางทิพย์ไปประกบ เพื่อเรียนรู้งานจากเค้า ให้เค้าสอนงาน ถ้าธุรกิจที่เราทำมันไปได้ดี ลูกเราจะได้ดูแลต่อไป”
“แต่ลูกเรายังเด็กมากนะคะ”
“เรื่องเด็กผมไม่ห่วง แต่ผมห่วงเสน่ห์ของเค้ามากกว่า”
รัชนีผงะ
“ผมเห็นข่าวเค้าควงผู้หญิงแต่ละคนไม่ซ้ำหน้า ทั้งดาราทั้งนักร้อง ข่าวไม่ดีเกี่ยวกับผู้หญิงเยอะไปหน่อย”
“แล้วคุณจะส่งลูกเราไปทำงานกับเค้าเนี่ยนะคะ”
“ตอนแรกก็ไม่คิด แต่พอเห็นบุคลิกเค้าวันนี้แล้ว ผมคิดว่าเค้าไม่ใช่คนเจ้าชู้แต่อาจจะหล่อเลือกได้ ก็เลยกำลังเลือกอยู่ ส่วนลูกสาวเราก็คงจะเป็นอย่างที่คุณว่า..แกยังเด็ก คงไม่คิดถึงเรื่องนี้ และภคพงษ์เองก็คงไม่คิดเหมือนกัน .. สบายใจได้”
สุวิทย์มองโลกในแง่ดีมากๆ รัชนีกลับเป็นฝ่ายวิตกกังวล อยากจะแย้งแต่ก็ไม่มีเหตุผลเพียงพอ ได้แต่นั่งนิ่งเงียบด้วยความกังวลใจ
ปรางทิพย์เดินออกจากห้องน้ำ เดินมาที่โต๊ะเครื่องแป้ง กำลังหวีผมเตรียมนอน สายตาเหลือบไปเห็นนามบัตรของภคพงษ์
ปรางทิพย์หยิบมาดูแล้วก็ยิ้มนิดๆ ด้วยความชื่นชมอย่างเด็กๆ ปลื้มรุ่นพี่
ตะวันทอแสง ตอนที่ 7 (ต่อ)
ตกกลางคืน ภายในห้องรับแขกโฮมสเตย์ของอาภรณ์ รสาเปลี่ยนใส่ชุดอยู่บ้าน รวบผมขึ้นแล้วหนีบแบบหลวมๆ ทิ้งตัวลงนั่งมองชามบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปตรงหน้าแล้วถอนใจเบาๆ อย่างปลงกับชีวิตก่อนเตรียมลุยบะหมี่อย่างเต็มที่
รสาใช้ตะเกียบคีบเส้นขึ้นมากำลังจะเข้าปากอยู่รอมร่อ แต่มีมือดียื่นมือมาดึงชามออกไป รสาอ้าปากค้าง คีบ
บะหมี่ค้าง ร้องออกมาแบบงงๆ
“เฮ้ย”
รสาเงยหน้าขึ้นแล้วอึ้งที่เห็นภคพงษ์ยืนอยู่
“คุณ”
ภคพงษ์ขยับชามเข้ามารับเส้นพร้อมกับจับมือรสาให้ปล่อยบะหมี่ในมือ
“บะหมี่นี่เดี๋ยวผมกินเอง ของคุณ อยู่นี่”
ภคพงษ์ชูถุงของที่ซื้อมาจากซูเปอร์มาร์เก็ตให้ดู รสามองอย่างงงๆ
“อะไรคะเนี่ย”
“เดี๋ยวก็รู้...ครัวอยู่ที่ไหน”
“เอ่อ...อยู่ทางโน้นค่ะ”
รสาชี้ไป ภคพงษ์หันไปมอง แล้วก็เดินไปเลย รสายังงงๆอยู่
“มายังไงของเค้า”
รสาคิดนิดนึงแล้วก็นึกได้
“เฮ้ย”
รสารีบเดินตามเข้าไปในครัวทันที
ภายในครัว กระทะแบนสำหรับกริลล์ถูกนำมาวางบนเตา ภคพงษ์ล้างผัก หั่นผัก อย่างชำนาญและรวดเร็ว
รสาโผล่เข้ามา
“คุณจะทำอาหารตอนนี้เนี่ยนะ”
“อื้อ ไม่เกิน 10 นาทีคุณได้ทานแน่”
“แต่คุณไม่ต้องทำก็ได้นะคะ ฉันกินบะหมี่ก็ได้”
“ไม่ได้ ผมเป็นคนรักษาคำพูด อาจจะทำให้ช้าไปหน่อยแต่ผมต้องทำ”
ภคพงษ์พูดพลางมองหน้ารสาอย่างจริงจัง รสาเห็นแววตาแล้วก็ยอมแพ้
“โอเค10 นาที ก็ 10 นาที”
ภคพงษ์ยิ้มน่ารักแล้วก็หันไปทำกับข้าวต่อ รสาค่อยๆถอยออกมาแล้วยืนพิงผนัง มองดูภคพงษ์ทำอาหาร
อย่างตั้งใจ รวดเร็ว และชำนาญ รสายิ้มนิดๆ โดยไม่รู้ตัว
จานเสต็กปลาแซลมอนและสลัดถูกวางลงบนโต๊ะ ข้างๆชามบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเดิม รสามองด้วยความตื่นเต้น
“โห...หน้าตาดีมากเลย”
รสาเงยหน้ามองพร้อมรอยยิ้ม ภคพงษ์ยิ้มรับนิดๆ
“ผมเลือกทำอาหารแบบไม่มีแป้ง เพราะเห็นว่าดึกแล้ว คุณคงไม่อยากอ้วน”
รสายิ้มพลางมองที่ชามบะหมี่
“ก็.. ไม่อยากหรอก แต่ถ้าไม่มีทางเลือกกินแป้งบ้างอะไรบ้างก็ไม่เป็นไร”
ภคพงษ์เลื่อนจานสเต็กมาตรงหน้ารสา
“แต่ตอนนี้คุณมีทางเลือก ส่วนอันนี้..ผมจัดการเอง”
ภคพงษ์เลื่อนเก้าอี้ออกมานั่งตรงข้ามรสาและขยับชามบะหมี่มาเตรียมกิน
“เฮ้ย คุณจะกินจริงๆเหรอ มันเย็นแล้วก็อืดหมดแล้วนะ”
“ไม่เป็นไร ถือซะว่าเป็นการลงโทษที่ผมมาช้า”
ภคพงษ์ยิ้มน่ารัก รสาพลอยยิ้มตามไปด้วยแล้วก็แกล้งพูดประชด
“รู้ตัวก็ดี ถ้าทีหลังช้ากว่านี้ แม้แต่บะหมี่ก็จะไม่ได้กิน”
“พูดแบบนี้แสดงว่าอยากให้ผมมาทำอาหารให้อีกใช่หรือเปล่า”
รสาสะอึก ภคพงษ์มัดมือชกทันที
“ผมรับปาก คราวหน้าผมจะไม่มาสาย แต่..คุณต้องเป็นคนทำให้ผมทาน”
“หะ ฉันต้องทำให้คุณเนี่ยนะ”
ภคพงษ์คีบบะหมี่ขึ้นมาแล้วบอก
“บะหมี่ชามนี้ไม่นับ”
ภคพงษ์พูดจบก็กินบะหมี่เย็นๆ อืดๆ อย่างเต็มใจ รสาเห็นแล้วก็ยิ้ม
“เป็นไง”
“ก็เย็นดีแล้วก็นิ่มด้วย ไม่ต้องเคี้ยวเลย”
รสาหัวเราะ ภคพงษ์หัวเราะตามนิดๆ
“ตาฉันล่ะนะ”
รสาตัดแซลมอนกินแล้วก็ทำหน้าปลาบปลื้มชื่นชมมาก
รสาชูนิ้วบอก
“อร่อยมากใช้ได้เลย”
รสาจิ้มเนื้อปลาขึ้นมาจ้องแล้วพูดกับปลาว่า
“ไม่เสียแรงที่วันนี้ต้องรอตั้งหลายชั่วโมง กว่าจะได้กินแก เจ้าปลาแซลมอน”
รสาก้มหน้ากินต่ออย่างเอร็ดอร่อยและหิวอย่างแรง รสากินอย่างเป็นธรรมชาติแบบไม่ต้องแอ๊บสวย ภคพงษ์หลุดขำนิดๆก่อนจะมองรสาแล้วก็ยิ้มพลางคิด...อย่างน้อยในวันแย่ๆ ก็ยังมีผู้หญิงคนนี้ทำให้หัวเราะขึ้นมาได้
ภคพงษ์มองรสาด้วยความรู้สึกดีๆ ที่มากขึ้นทุกวัน
ในมุมน่ารักบริเวณหน้าโฮมสเตย์ของอาภรณ์ รสาเดินมาส่งภคพงษ์ที่หน้าบ้าน สองคนเดินกันมาเงียบๆก่อนพูดขึ้นมาพร้อมกัน
“ขอบคุณมาก”
ทั้งสองคนหยุดพูด มองหน้ากัน แล้วก็หัวเราะ
“ผมให้คุณขอบคุณก่อน”
“ขอบคุณค่ะที่มาทำอาหารให้ฉันวันนี้ อร่อยมาก คราวนี้ก็ตาคุณแล้ว ขอบคุณมาเลยค่ะ ฉันรอฟังอยู่” รสาพูดพลางกอดอกอมยิ้มแอบกวนแบบน่ารัก
“ ขอบคุณที่ทำให้วันนี้ เป็นวันที่ไม่แย่มากเกินไป”
รสาลดมือลงเห็นว่าภคพงษ์หน้าตาขรึมลง
“ฉันก็ไม่รู้ว่าในที่ประชุมมันแย่แค่ไหน แต่ฉันก็เคยเป็นค่ะ เวลาเจอลูกค้าแย่ๆแค่เห็นหน้าก็ไม่ถูกชะตา ไม่อยากทำงานด้วย แต่ในเมื่อเราเลือกลูกค้าไม่ได้ สิ่งที่ทำได้คือทำงานของเราให้ดีที่สุด ให้งานเป็นสิ่งที่พิสูจน์ตัวเรา”
“เหมือนที่คุณทำกับผม”
“ก็..ทำนองนั้น”
“ตอนที่เจอกัน ผมคงดูแย่มากในสายตาคุณ”
รสายิ้มแห้งๆ แทนคำตอบ
“แล้วตอนนี้ ในสายตาคุณ ผมเป็นคนยังไง”
รสาชะงักมองหน้าภคพงษ์ ภคพงษ์มองตอบพร้อมกับรอคำตอบ
รสาอึกอัก “ก็”
ภคพงษ์ยิ้มแลวบอก “ผมรู้แล้ว”
รสาเลิกคิ้วแปลกใจ
“ขอบคุณมากที่มองผมในแง่ดีขึ้น”
รสาทำเป็นพูดลอยๆ
“คิดเข้าข้างตัวเองชัดๆ”
“ขอบคุณมากนะรสา ขอบคุณที่ทำให้ผมมีความสุขในวันนี้”
ภคพงษ์มองหน้ารสาอย่างมีความหมาย รสาต้องเบือนสายตาหลบนิดๆ ไม่กล้าสบตา
“แล้วผมจะรอทานอาหารฝีมือคุณ”
รสาอ้าปากจะแย้ง ภคพงษ์เดินออกไป รสาได้แต่ส่ายหน้ารสาทำเป็นบ่น แต่ก็แอบอมยิ้มมีความสุขจัง
“เนียนตลอด”
บริเวณหน้าโรงเรียนในตอนเช้า นักเรียนทยอยเข้าห้องเรียน พิมพรรณกำลังจะเดินเข้าห้องสมุด วาริชโผล่พรวดออกมาจนพิมพรรณตกใจ
“อุ้ย คุณมาทำอะไรคะ วันนี้ไม่มีงานไม่ใช่เหรอคะ”
วาริชจับมือบอก
“ผมไม่ได้มาเรื่องงาน ผมมาหาคุณ พิม ผมจะต้องทำยังไง คุณถึงจะยกโทษ แล้วไว้ใจผม ผมรักคุณจริงๆนะพิม ผมยินดีจะรับผิดชอบทุกอย่างที่ผมลงไป”
พิมพรรณพยายามเอามือออก มองซ้ายมองขวาด้วยความระมัดระวัง
“ปล่อยนะคะ มีอะไรค่อยไปคุยกันข้างนอก”
“ไม่ ผมต้องการคุยกับคุณให้รู้เรื่องตอนนี้”
วาริชปรายตาไปเห็นเพื่อนร่วมงาน 2-3 คนเดินมาพอดีก็จงใจพูดให้ได้ยิน
“พิม ผมรักคุณนะ ผมรักคุณมากที่สุด ไม่เคยรักใครเท่านี้มาก่อน ถ้าคุณไม่เชื่อ ผมจะยืนสารภาพรักคุณตรงนี้จนกว่าคุณจะยอม”
เพื่อนร่วมงานได้ยินถึงกับเขินแทน มองพิมพรรณอย่างแซวๆ พิมพรรณรีบตัดบททันที
“โอเคๆๆค่ะ ฉันเชื่อก็ได้ คุณกลับไปก่อนนะคะ เอาไว้ตอนเย็นมีอะไรค่อยคุยกัน”
“งั้นเย็นนี้ผมมารับนะ ผมมีเรื่องสำคัญจะไปคุยกับคุณพ่อคุณแม่คุณ”
พิมพรรณขมวดคิ้ว
“คุณจะคุยอะไร”
วาริชยิ้มซื่อๆ แต่แววตาแอบเจ้าเล่ห์ แต่ไม่ตอบ
ภายในบริษัทลงหลักปักฐาน เช้าวันเดียวกัน ชีวินถามย้ำด้วยความไม่เข้าใจ
“เมื่อวานรสรอเก้อ”
คัพเค้ก ชีวิน พิทยาจับกลุ่มเม้าท์กันอยู่
“ใช่ ฉันแอบถามปุยนุ่น เค้าบอกว่ารสรอถึงประมาณ 2 ทุ่มแล้วก็กลับ ส่วนคุณภัคกลับมาตั้งเกือบสามทุ่ม”
“โห..พี่รสก็หิวแย่เลย” คัพเค้กบอก
“เรื่องหิวน่ะเรื่องเล็ก”
“แล้วเรื่องอะไรเรื่องใหญ่คะ เรื่องวางบิลหรือเปล่าคะ”
“ก็ใช่น่ะสิ ไม่รู้ว่าตอนนี้คุณภัคจะได้แฟ้มเรียกเก็บเงินก้อนต่อไปหรือยัง เอ้ย ไม่ใช่ นังคัพเห็นฉันเป็นคนหน้าเงินหรือไง”
คัพเค้กลอยหน้าลอยตาไม่ตอบแต่ไม่ปฎิเสธ ชีวินคิดถึงรสาด้วยความเป็นห่วง
“ฉันเป็นห่วงความรู้สึกยัยรส อุตส่าห์อยู่รอกินข้าว ปกติเคยทำแบบนี้ซะที่ไหน โดยเฉพาะกับคุณภัค ตอนแรกหนียังกะอะไรดี แต่พอจะเปลี่ยนใจก็ดันโดนเบี้ยวซะงั้น”
รสาเดินมาที่โต๊ะทำงานในเรือนหลังเล็กอย่างอารมณ์ดีแล้วก็เห็นแฟ้มเอกสารเรียกเก็บเงินวางอยู่ รสาหยิบมาเปิดดูแล้วก็เห็นเช็คเหน็บอยู่ข้างใน รสายิ้ม
“พี่พิทตี้ต้องดีใจแน่ๆ”
รสายิ้มแล้วก็ปิดแฟ้มลง รสาชะงักนิดๆ เพิ่งเห็นกระดาษโน้ตแปะไว้ที่โต๊ะ รสาหยิบมาอ่าน
“ผมจะรอทานอาหารฝีมือคุณ”
“เอาจริงเหรอเนี่ย”
รสาขำเบาๆ กับตัวเองแอบเผลอมีความสุขโดยไม่รู้ตัว
เผด็จตอบย้ำด้วยความหนักแน่น
“จริงๆ ฉันไม่ได้ยินตอนที่คุณผู้หญิงคุยกับคุณภัค เค้าบอกว่าอยากจะคุยกันสองคน ฉันก็เลยเดินออกมารอข้างนอก”
สายใจถามต่อด้วยความอยากรู้
“พอคุยแล้วคุณหนูเป็นยังไงบ้าง”
“ก็เงียบ..ไม่พูดอะไร แล้วก็แยกตัวไปเลย ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคุณภัคไปไหน”
“คงไปดื่มกว่าจะกลับก็ตั้ง 3 ทุ่ม”
เผด็จขมวดคิ้ว
“แสดงว่าคุณภัคคงจะเครียดมาก ไม่เห็นคุณภัคดื่มมานานมากแล้ว”
สายใจพยักหน้าเห็นด้วย
“ดีนะที่เมื่อคืนคุณหนูแวะไปหาคุณรสา กลับมาเลยอารมณ์ดีขึ้นมาหน่อย”
เผด็จหันมาทางสายใจด้วยความแปลกใจ
“ในสถานการณ์แบบนี้คุณรสาทำให้คุณภัคอารมณ์ดีขึ้นได้ด้วยเหรอ”
สายใจยิ้มนิดๆ
“ไม่น่าเชื่อใช่มั้ยคะ ถ้าไม่เห็นกับตาก็ไม่อยากเชื่อเหมือนกัน ถ้าการไปเจอคุณผู้หญิงทำให้คุณหนูย่ำแย่แบบเมื่อวาน”
สายใจเล่าพลางนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“ตอนนี้คนที่พอจะช่วยให้คุณหนูดีขึ้นได้คงจะมีแต่คุณรสาคนเดียวเท่านั้น”
สายใจคิดถึงรสาด้วยความอุ่นใจ เผด็จพยักหน้ารับทราบ และเห็นด้วย
รสากำลังเช็กแบบและตรวจความเรียบร้อยของการก่อสร้างอย่างละเอียด พักตร์วิมลเดินหน้าเหวี่ยงสุดๆเข้ามาแล้วถาม
“เสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมา ภัคอยู่กับเธอหรือเปล่า”
รสาชะงักนิดๆ ค่อยๆหันมาเห็นพักตร์วิมลยืนพร้อมจะหาเรื่อง
“ดิฉันคิดว่า คุณไปถามคุณภคพงษ์เองดีกว่านะคะ”
รสาจะหันไปทำงานต่อ พักตร์วิมลเดินมาคว้าไหล่ให้หันกลับมา รสาหันมาตามแรงกระชาก
“ตอบแบบนี้ แปลว่าไปใช่มั้ย”
“ก็แล้วแต่คุณจะคิด ฉันขอตัวไปทำงานก่อนนะคะ”
รสาจะหันหลังไปทำงานต่อ แต่พักตร์วิมลจิกตาไม่ยอม
เสียงพักตร์วิมลดังลอดออกมา
“ฉันไม่ให้ไป”
ชีวินกำลังจะเดินเข้ามาที่เรือนหลังเล็กก็ชะงักเท้าแล้วรีบวิ่งเข้าไปในเรือนหลังเล็กทันที
พักตร์วิมลผลักไหล่ให้รสาหันมาแรงกว่าเดิม รสาเซไปติดผนัง
“โอ้ย”
“บอกมานะ เธอไปไหนกับภัค แล้วไปทำอะไรกันมาบ้าง ถ้าเธอไม่บอกอย่าหวังเลยว่าได้ทำงานที่นี่ต่อ”
พักตร์วิมลพุ่งเข้ามาหารสา
“บอกมาสิ”
ทันใดนั้นชีวินก็แทรกเข้ามา
“หยุดได้แล้ว คุณกำลังเข้าใจผิด”
พักตร์วิมลผงะออกมามองชีวินด้วยความไม่พอใจ
“แกเป็นใคร แล้วรู้ได้ยังไงว่าฉันเข้าใจผิด”
ชีวินมองหน้ารสาแล้วก็ตัดสินใจพูดขึ้น
“ผมเป็นแฟนรส”
รสาหันขวับมามองหน้าชีวิน
ชีวินยืดอกรับแบบแมนๆ
“เราคบกันมาตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย เพราะฉะนั้นเรื่องที่คุณเข้าใจว่ารสจะไปไหนมาไหนกับคุณภัค มันไม่เป็นความจริง”
รสามองหน้าชีวินด้วยความแปลกใจ ชีวินไม่กล้าสบตารสาที่ฝืนโกหกไป
“เป็นแฟนกันก็ไม่ได้แปลว่าจะนอกใจกันไม่ได้”
“รสไม่ใช่คนแบบนั้น. เรารักกันมากและไม่มีทางที่รสจะไปมีคนอื่น คุณสบายใจได้”
พักตร์วิมลถอยห่างออกมามองหน้าชีวิน ที่ยังยืนยันด้วยแววตาอย่างหนักแน่น รสาได้แต่มองไปทางอื่น
พักตร์วิมลยอมถอย
“ฉันจะเชื่อก็ได้แต่ฉันไม่เชื่อทั้งหมด ถ้าฉันรู้ว่าแฟนแกมายุ่งกับภัคเมื่อไหร่ ฉันไม่ปล่อยไว้แน่ ไหนๆก็บอกว่า รักกันมากล่ามโซ่กันไว้ให้ดีๆก็แล้วกัน”
พักตร์วิมลพูดกระแทกแล้วก็เดินเชิดออกไป ชีวินได้แต่ถอนใจแล้วก็หันมาทางรสาที่กอดอกมองหน้าชีวิน ถามด้วยสายตาทำนองว่าทำไปได้ ชีวินชะงักนิดๆแล้วก็ยิ้มแห้งๆ
รสานั่งลงที่เก้าอี้ทำงาน ชีวินตามมาชี้แจง
“วินขอโทษนะรสที่ต้องโกหกไปแบบนั้น วินทำไปเพราะอยากจะช่วย”
“ขอบใจจ้ะ รสเข้าใจ พูดไปแบบนั้นก็ดีเค้าจะได้เลิกมายุ่งวุ่นวายสักที”
ชีวินยิ้มออก โล่งอกแล้วก็นึกได้ ลากเก้าอี้มานั่งตรงข้ามแล้วก็ถามขึ้น
“รส วินได้ข่าวว่าเมื่อวานภคพงษ์เค้าไม่ได้มาตามนัดเหรอ”
รสาเงยหน้าบอก
“ข่าวเร็วจริงๆ ปุยนุ่นบอกพี่พิทตี้อีกล่ะสิ”
ชีวินยิ้มอย่างยอมรับ
“แล้วมันจริงหรือเปล่า”
“อือ..รออยู่ตั้ง 2 ชั่วโมง ทั้งเซ็ง ทั้งหิว รอจนขี้เกียจรอก็เลยกลับ” พูดแล้วรสาก็ก้มหน้าทำงานต่อ
ชีวินแอบอมยิ้มนิดๆ ที่รสาพูดถึงภคพงษ์ไม่ค่อยดี แต่อดไม่ได้ที่จะถามต่อ
“แล้ว รสไม่เสียใจเหรอ”
รสาหยุดมือ คิด แล้วก็เงยหน้าตอบ
“ไม่หรอก เพราะเค้าตามไปทำกับข้าวให้กินที่บ้านป้าน่ะ”
ชีวินอึ้งอย่างแรง
“ฝีมือดี สมคำร่ำลือจริงๆ ดีนะที่เสต็กปลากับสลัดเลยไม่อ้วนมาก ถ้าทำอร่อยแล้วยังเป็นของอ้วนๆ อีก รสต้องแย่แน่”
รสาพูดถึงภัคพงษ์อย่างอารมณ์ดี ชีวินได้แต่ฟังแล้วก็จ๋อยไป รสานึกได้
“อ้อ..เกือบลืม เดี๋ยวตอนบ่ายวินเข้าออฟฟิศใช่มั้ย รสฝากแฟ้มนี่ให้พี่พิทตี้ด้วยจ้ะ คุณภัคจ่ายเงินงวดต่อไปมาแล้ว เช็คอยู่ในนี้นะ”
รสาส่งแฟ้มให้ ชีวินรับมาแล้วก็ต้องขมวดคิ้วเพราะก้มลงไปเห็นโน้ตของภคพงษ์แปะอยู่ที่หน้าแฟ้ม ชีวินอ่าน
“ผมจะรอทานอาหารฝีมือคุณ”
รสาเงยหน้าแล้วก็รีบดึงออกมา
“ลืมเอาออก ขอโทษจ้ะ”
ชีวินถามเสียงเศร้า
“ภคพงษ์ใช่มั้ย”
“อื้อ”
รสาตอบอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ได้อวด ไม่ได้เขินอาย ยอมรับอย่างเป็นปกติ แล้วก็เปิดสมุดส่วนตัวเอากระดาษโน้ตของภคพงษ์มาแปะไว้ แล้วก็ปิดไว้อย่างดี ก่อนจะก้มหน้าทำงานต่อ
ชีวินได้แต่มองรสาแล้วหน้าสลดไป
ภายในบ้านวงศ์เธียรสถิตย์ สุวิทย์กับปรางทิพย์นั่งคุยกันอยู่ในห้องรับแขก ปรางทิพย์ถามขึ้นด้วยความตื่นเต้นดีใจ
“มีหนังสือติดต่อให้ปรางไปถ่ายแบบเหรอคะ”
“ใช่ลูก พอดี มีคนเห็นปรางที่งานเลี้ยงบริษัทเพื่อนพ่อเมื่อคืนก่อน เค้าก็แอบถ่ายรูปไว้ แล้วก็เอาไปอวดให้บอกอดู เค้าก็เลยสืบประวัติกันใหญ่ พอรู้ว่าเป็นลูกพ่อก็เลยติดต่อมาที่บริษัท”
ปรางทิพย์ยิ้มแล้วก็ถาม
“แล้วคุณพ่อตอบเค้าไปว่ายังไงคะ”
“ก็ต้องแล้วแต่ปรางสิว่าอยากจะถ่ายหรือเปล่า”
ปรางทิพย์คิดแล้วบอก
“ก็ถ้าเป็นแมกกาซีนที่ดีและเสื้อผ้าไม่โป๊ก็น่าสนใจนะคะ เพราะตอนนี้ปรางก็ไม่มีอะไรทำ เบื่อจะแย่ แล้วคุณพ่อจำได้หรือเปล่าคะว่านิตยสารชื่ออะไร”
สุวิทย์คิดแล้วก็เหลือบไปเห็นหนังสือที่ลงสัมภาษณ์ภคพงษ์วางอยู่บนโต๊ะข้างๆ สุวิทย์ก็พูดขึ้น
“ชื่อนี้แหละลูก New G นี่แหละ พ่อจำได้แล้ว”
ปรางทิพย์หยิบมาดูแล้วก็พูดขึ้น
“งั้นก็แสดงว่าคุณภคพงษ์ต้องรู้จักทีมงาน เพราะเค้าเพิ่งให้สัมภาษณ์ไปเองค่ะ”
ปรางทิพย์กรีดหาคอลัมน์ที่ภคพงษ์ให้สัมภาษณ์แล้วก็เปิดให้สุวิทย์ดู
“นี่ไงคะ”
ปรางทิพย์เปิดหน้าที่มีรูปภคพงษ์อย่างหล่อเหลาให้สัมภาษณ์
ภายในร้านเถลิงยศ จิวเวอรี ภคพงษ์กำลังเดินสำรวจความเรียบร้อย เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น
-ภคพงษ์หยิบมาดูแล้วก็คิด ก่อนจะกดรับ
“สวัสดีครับ”
ปรางทิพย์คุยโทรศัพท์ด้วยความเกรงใจ ปนตื่นเต้น
“คุณภคพงษ์นะคะ นี่ปรางเองค่ะ ปรางทิพย์ที่เราเพิ่งเจอกันเมื่อวานน่ะค่ะ”
ภคพงษ์คิดแล้วก็ยิ้มออกมานิดๆ เป็นรอยยิ้มของพี่ชายที่เอ็นดูน้อง
“สวัสดีครับ”
ปรางทิพย์คุยโทรศัพท์อยู่ที่มุมหนึ่งของบ้าน ค่อนข้างเงียบ และเป็นส่วนตัว
“เอ่อ...คุณภคพงษ์ยุ่งอยู่หรือเปล่าคะ”
-ภคพงษ์เดินไปคุยไป
“ไม่ยุ่งครับ คุยได้ แต่ต้องเรียกผมว่า “พี่ภัค” นะ ไม่ให้เรียกว่าคุณภคพงษ์”
ภคพงษ์คุยกับปรางทิพย์ด้วยความเอ็นดู ลึกๆแล้วดีใจที่มีน้องสาว
ปรางทิพย์ยิ้มกว้างด้วยความดีใจ
“ได้ค่ะ...พี่ภัค”
รัชนีเดินมาได้ยินพอดี...รัชนีชะงักกึก ! รัชนีหน้าเสีย ใจหายวาบในทันที
ภคพงษ์ยิ้มนิดๆ แล้วถามต่ออย่างเอ็นดู
“วันนี้ปรางโทร.หาพี่มีอะไรหรือเปล่าครับ”
ทันใดนั้นก็มีเสียงปรางทิพย์ดังเข้ามาอย่างตกใจ
“คุณแม่ !”
สีหน้าของภคพงษ์ชะงักไปและก็ตามมาด้วยเสียงกดวางโทรศัพท์ ภคพงษ์ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม...
ปรางทิพย์คว้าโทรศัพท์มาจากมือรัชนีด้วยความไม่เข้าใจ
“คุณแม่ทำแบบนี้ทำไมคะ” ปรางทิพย์ถามโดยไม่ได้ใส่อารมณ์
รัชนีพยายามระงับความวิตกและอธิบายอย่างใจเย็น
“ปรางโทร.หาเค้าทำไมจ๊ะ”
ปรางทิพย์ขมวดคิ้ว
“เค้า คุณแม่รู้ได้ยังไงคะว่าปรางคุยกับใคร คุณแม่แอบฟังปรางเหรอคะ”
“แม่ไม่ได้แอบฟัง แม่เดินมาบังเอิญได้ยินพอดี ปรางยังไม่ตอบแม่เลยว่าโทร.หาภคพงษ์ทำไม”
ทันใดนั้นเสียงสุวิทย์ดังแทรกเข้ามา
“ผมเป็นคนให้โทร.เอง”
รัชนีชะงัก ปรางทิพย์พูดด้วยความน้อยใจ
“คุณแม่ก็ถามคุณพ่อเองละกันนะคะ”
ปรางทิพย์พูดจบก็หันหลังเดินออกไปด้วยความน้อยใจ เสียใจ สุวิทย์มองหน้ารัชนีตำหนินิดๆ รัชนียืนนิ่งอยู่ที่เดิมพยายามทำหน้าให้เป็นปกติ ทั้งที่ในใจวุ่นวายไปมา
ภคพงษ์นั่งอยู่ที่ห้องทำงาน กำมือแน่น..เหตุการณ์เมื่อครู่ยังรบกวนจิตใจ เสียงปรางทิพย์และเสียงกดโทรศัพท์ดังก้องในความคิด ภคพงษ์กัดกรามแน่น นี่มันเกิดอะไรขึ้น
ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น ภคพงษ์หันไปดู หน้าจอขึ้นชื่อ...ปรางทิพย์ ภคพงษ์กดรับ น้ำเสียงและแววตาเปลี่ยนจากเอ็นดูเป็นแค้นเล็กๆ
“สวัสดีครับ”
ปรางทิพย์พูดโทรศัพท์ด้วยความรู้สึกผิดและเกรงใจ
“ปรางต้องขอโทษด้วยนะคะ ที่เมื่อกี้วางสายไปกะทันหัน”
ภคพงษ์ถามตรงๆ
“มีปัญหาอะไรหรือเปล่า”
ปรางทิพย์อึกอักตอบไม่ถูก ภคพงษ์พูดอย่างรู้ใจ
“ถ้าไม่อยากตอบก็ไม่เป็นไรนะครับ”
ปรางทิพย์ยิ้มโล่งอกบอก
“ขอบคุณค่ะ”
“แล้วที่โทร.มาหาพี่มีอะไรหรือเปล่า”
ปรางทิพย์คิดแล้วก็ตอบ
“ปรางมีเรื่องจะขอความช่วยเหลือน่ะค่ะ คือว่ามีนิตยสารติดต่อมาให้ปรางไปถ่ายแบบ พอดีเป็นนิตยสารเล่มเดียวกับที่พี่ภัคเคยให้สัมภาษณ์ ปรางเลยอยากจะขอให้พี่ภัคช่วยไปเป็นเพื่อน ไม่ทราบว่าพี่ภัคสะดวกหรือเปล่าคะ”
ภคพงษ์ฟัง คิดแล้วก็ตัดสินใจ แต่ยังไม่ตอบ ส่วนปรางทิพย์ลุ้นรอคำตอบอยู่
ตะวันทอแสง ตอนที่ 7 (ต่อ)
ภายในบ้านวงศ์เธียรสถิตย์ รัชนีเสนอตัวด้วยหน้าตาจริงจัง
“ให้รัชไปเป็นเพื่อนลูกก็ได้ ทำไมต้องให้โทร.ไปชวน...คนอื่น”
สุวิทย์อธิบายอย่างใจเย็น และมีเหตุผล
“คุณไปไม่ได้ เพราะพรุ่งนี้คุณต้องไปงานเลี้ยงกับผม”
“งานเลี้ยงกับลูก รัชเลือกลูกนะคะ”
“แต่งานเลี้ยงพรุ่งนี้สำคัญมากๆ เป็นงานเลี้ยงของภริยาท่านทูต และคุณเองก็กำลังทำงานการกุศลกับท่านอยู่ไม่ใช่เหรอ ถ้าคุณไม่ไปจะให้ผมตอบท่านว่ายังไง”
รัชนีชะงัก เห็นจริงด้วย
สุวิทย์เกลี้ยกล่อมอีก
“อย่าคิดมากเลยน่า ถ้าคุณไม่เชื่อใจภคพงษ์ คุณก็ต้องเชื่อใจผม เพราะอะไรก็ไม่รู้นะ แต่ผมมั่นใจว่าผู้ชายคนนี้จะไม่ทำร้ายลูกสาวเราแน่นอน”
สุวิทย์เชื่อมั่นกับการมองคนของตัวเอง รัชนีน้ำท่วมปากพูดอะไรไม่ออก
ภคพงษ์ตัดสินใจบอกปรางทิพย์
“ได้ครับ ไม่มีปัญหา พี่ไปเป็นเพื่อนน้องปรางเอง”
ปรางทิพย์ยิ้มสดใส
“ขอบคุณพี่ภัคมากเลยค่ะ”
ภคพงษ์ยิ้มนิดๆ ในรอยยิ้มมีความเจ้าเล่ห์เล็กๆซุกซ่อนอยู่
“พี่ฝากน้องปรางบอก คุณแม่ด้วยนะครับ ว่าไม่ต้องเป็นห่วง พี่จะดูแลน้องปรางอย่างดีเหมือนกับน้องปรางเป็นน้องสาวแท้ๆ”
ภคพงษ์ยิ้มร้ายที่มุมปากอย่างสะใจ ปรางทิพย์ยิ้มสดใส ไม่รู้เรื่อง
“ได้เลยค่ะ ปรางค์จะพูดตามนี้ทุกคำ คุณแม่จะได้สบายใจ”
ภคพงค์ยิ้มร้าย
เมื่อปรางทิพย์บอกทุกคำพูดแก่สุวิทย์ รัชนีนั่งหน้านิ่งฟังอยู่ก็กำมือด้วยใจที่ไม่ได้เป็นสุข และไม่ได้สบายใจอย่างที่ปรางทิพย์คิดแม้แต่น้อย สองพ่อลูกไม่ได้สังเกตแม้แต่น้อย สุวิทย์กลับพูดด้วยความสบายใจ
“คุณภัคพูดอย่างนั้นเหรอลูก”
ปรางทิพย์ยิ้มสดใส
“ใช่ค่ะคุณพ่อ พี่ภัคยังบอกให้ปรางเรียกเค้าว่าพี่ แล้วเค้าก็เรียกปรางว่าน้องทุกคำเลยนะคะ”
ปรางทิพย์หันมาทางรัชนีแล้วบอก
“คุณแม่..อย่าคิดมากเลยนะคะ”
รัชนีมองหน้าปรางทิพย์ สุวิทย์พูดย้ำอย่างมั่นใจ
“ใช่...ผมบอกคุณแล้วว่า เด็กคนนี้ไว้ใจได้ สบายใจขึ้นหรือยัง”
รัชนีมองหน้าปรางทิพย์และสุวิทย์ที่รอคำตอบอยู่ แล้วก็ฝืนยิ้มออกมาอย่างจำใจ
“ปรางก็ต้องเป็นน้องที่ดีของพี่เค้านะลูก รู้หรือเปล่า” สุวิทย์บอก
คำพูดสุวิทย์จี้ใจดำของรัชนีอย่างแรง
“ค่ะคุณพ่อ”
สุวิทย์กับปรางทิพย์ยิ้มแย้มอย่างสบายใจ มีเพียงรัชนีที่นั่งหน้าขรึม ในใจว้าวุ่น ในสมองวุ่นวายด้วยความ
กังวลเต็มไปหมด
เสียงเปียโนเพลงเร็ว รัว เร้าอารมณ์ดังอยู่ในเรือนหลังเล็กในเวลากลางคืน ภคพงษ์เล่นด้วยคล่องแคล่วและเต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ที่คุกรุ่น ระหว่างที่พรมนิ้วลงบนเปียโน ความคิดก็วิ่งไปอย่างพลุ่งพล่าน
ภคพงษ์นึกถึงตอนที่รัชนีพูดใส่หน้าที่ร้านอาหาร
“พ่อผมชื่อ พรต... พรตเถลิงยศ คุ้นหูบ้างหรือเปล่าครับ”
“ต้องขอโทษด้วยนะคะ ดิฉันคงจะโลกแคบเลยไม่รู้จัก”
“คุณจำอะไรไม่ได้เลยเหรอ”
“ฉันเลือกที่จะไม่จำมากกว่า”
“คุณเอง ก็ควรจะเลือกแบบเดียวกัน”
ภคพงษ์เล่นเปียโนด้วยความเศร้า และแค้นใจ
ที่ร้านอาหาร รัชนีปฎิเสธ และพยายามกันภคพงษ์ออกจากปรางทิพย์
“คุณภัคครับ พอดีปรางเค้าไม่ค่อยมีเพื่อน เพราะเค้าอยู่ที่อังกฤษซะส่วนใหญ่ ถ้าผมจะรบกวนให้คุณภัคช่วยเป็นเพื่อน เป็นพี่ เป็นที่ปรึกษาเรื่องเรียนบ้างเป็นครั้งคราวจะได้หรือเปล่าครับ” สุวิทย์ถาม
“ได้ครับ”
“อย่ารบกวนคุณภัคเลยค่ะ”
“คุณเค้าคงจะงานยุ่ง ฉันดูแลลูกเองดีกว่าค่ะ ขอบคุณมากนะคะ แต่ไม่รบกวนดีกว่า”
และขณะที่โทรศัพท์คุยกับปรางทิพย์และโดนตัดสายทิ้ง
ภคพงษ์กระแทกเปียโนลงไปพร้อมกับเสียงตัดสายความทรงจำทิ้ง แววตาของภคพงษ์ค่อยๆเปลี่ยนจากอ่อนแอเป็นแข็งกร้าว ด้านมืดของภคพงษ์ถูกปลุกเร้าขึ้นมาทีละนิด
ความคิดจะกวนประสาทและแก้แค้นรัชนีเริ่มต้นเพาะเมล็ดพันธุ์ลงไปในอารมณ์ที่ขุ่นมัวโดยที่ภคพงษ์ไม่รู้ตัว
ในเวลาเช้า พิมพรรณมีสีหน้าตกใจเป็นอย่างมาก
“แต่งงานเหรอคะ”
วาริชยิ้มกว้าง ในมือถือช่อดอกไม้อยู่
“ใช่ ผม ขอรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้นทุกอย่าง ผมอยากพิสูจน์ให้พิมรู้ว่า ผมจริงใจ แต่งงานกันนะพิม”
วาริชคุกเข่ายื่นดอกไม้ต่อหน้าพิมพรรณ ทำราวกับตัวเองเป็นพระเอกละคร พิมพรรณยังอึ้งๆอยู่
“แน่ใจเหรอคะ ว่าอยากจะแต่งงานกับพิมจริงๆ”
“แน่ใจที่สุด ผมจริงใจกับคุณ ผมรักคุณและผมก็อยากจะแต่งงานกับคุณจริงๆนะพิม”
วาริชส่งสายตาหวานซึ้ง พิมพรรณถึงกับน้ำตาซึมพูดไม่ออก
“พิม พิม”
“ถ้าพิมยังไม่มั่นใจ ผมจะไปขอกับพ่อแม่คุณ แล้วก็พาคุณไปหาพ่อแม่ผม ทำทุกอย่างให้ถูกต้องตามประเพณี ทุกคนจะได้รู้ว่าคุณคือคนที่ผมรัก คนเดียวเท่านั้น ไว้ใจผมนะพิม” วาริชพูดพลางยัดดอกไม้ใส่มือพิมพรรณ
พิมพรรณน้ำตาซึมแล้วก็พยักหน้ายิ้มออกมาในที่สุด
“ ค่ะ”
วาริชยิ้มกว้างก่อนลุกขึ้นกอดพิมพรรณ ดูเหมือนจะเป็นฉากขอแต่งงานที่สวยงามราวเทพนิยาย พิมพรรณยิ้มมีอย่างความสุขโดยไม่รู้เลยว่า มันเป็นความสุขจอมปลอม วาริชยิ้มอย่างพอใจ
ในเวลาต่อมา พิมพรรณกำลังจะกดโทร.ออกเพื่อแจ้งข่าวรสา วาริชหันไปเห็นพอดี
“พิม..โทร.หาใครจ๊ะ”
“โทร.บอกข่าวดีกับรสน่ะค่ะ … พอดีว่ารสเค้าโทร.หาหลายครั้งแล้ว แต่ก่อนหน้านี้พิมจิตใจไม่ค่อยดี ก็เลยไม่ได้รับ เพราะไม่รู้จะเล่าให้รสฟังยังไง แต่ตอนนี้สถานการณ์คลี่คลายแล้ว พิมก็เลยจะโทร.ไปบอกรสเค้าหน่อยน่ะค่ะ”
วาริชหยิบโทรศัพท์ออกจากมือพิมพรรณทันที พิมพรรณเงยหน้ามองอย่างงงๆ
“ไม่ให้โทร”
“ทำไมคะ”
วาริชยิ้มหยอดหวานเต็มที่
“ก็นับจากนี้ต่อไป ผมจะเป็นทุกอย่างของพิมแทนรสเอง เป็นทั้งพี่ เป็นทั้งเพื่อน แล้วก็เป็นสามีด้วยไงจ๊ะ”
พิมพรรณยิ้มตามอย่างเคลิบเคลิ้มไปกับคารม และภาพฝันที่วาริชสร้างขึ้น
ภายในเรือนหลังเล็ก รสาคุยโทรศัพท์กับห้าวด้วยความกังวลใจ
“พิมเป็นอะไไม่รู้พี่ห้าว รสโทรไปก็ไม่รับ แล้วก็ไม่โทร.กลับด้วย”
ห้าวคุยโทรศัพท์อยู่ที่เคาน์เตอร์ มีลูกค้าสาวๆนั่งอยู่ 2-3 คน
“พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน ตั้งแต่วันนั้นพิมก็เงียบๆ ไม่พูดไม่จา ถามอะไรก็ไม่ตอบ แล้วจู่ๆ วันนี้ก็โทร.มาบอกอาพร้อมกับอาวิมลว่าเย็นนี้มีเรื่องสำคัญมากจะคุยด้วย”
รสาขมวดคิ้ว
“เรื่องสำคัญมาก”
ห้าวพยักหน้ารับ
“ใช่ รสรู้เหรือเปล่าว่าเรื่องอะไร ปกติถ้ามีเรื่องสำคัญพิมจะต้องบอกรสเป็นคนแรกนี่”
รสาหน้าเศร้า
“แต่ตอนนี้คงจะไม่ปกติแล้วมั้งคะ พิมไม่เห็นบอกอะไรรสเลย”
เสียงชีวินดังเข้ามา
“วินเข้าใจความรู้สึกรสนะ”
ชีวินกับรสาเดินอยู่ในสวนบริเวณหน้าเรือนหลังเล็ก ทั้งสองคนกำลังช่วยกันยกย้ายต้นไม้ที่น้ำหนักเบาๆ ผ่านมายังซุ้มต้นไม้ที่มีใบไม้ร่วงอยู่ตลอดเวลา
“เข้าใจยังไง” รสาถาม
“ก็เข้าใจความรู้สึกของคนที่เคยเป็นคนสำคัญ แล้ววันหนึ่งก็เหมือนไม่มีค่าอีกต่อไป”
ชีวินแอบตัดพ้อ รสาหยุดเดินแล้วหันมาถามอย่างรู้ใจ
“น้อยใจอะไรหรือเปล่า”
“แล้วรสน้อยใจหรือเปล่าล่ะ ที่พิมเค้าทำแบบนี้” ชีวินถามตรงๆ
รสานิ่งคิดแล้วก็เข้าใจความรู้สึกของชีวิน
“รสขอโทษนะที่ทำให้วินรู้สึกแบบนั้น แต่มันไม่เหมือนกันนะ”
“ไม่เหมือนยังไง”
“ไม่เหมือนที่พิมจะบอกรสทุกเรื่อง แต่รสไม่ได้บอกวินทุกเรื่องสักหน่อย”
ชีวินหันมาทำหน้าเหวอ
“อ้าว...จริงอ่ะ ไหนบอกมาสิว่าเรื่องอะไรที่ไม่เคยบอกวิน บอกมาเดี๋ยวนี้เลย”
“อย่ามาเนียนเลย ก็เรื่องที่ไม่บอก ก็คือไม่บอกไง แล้วยังจะให้บอกได้ไง อย่ามามั่ว”
ชีวินขำตามรสาที่รู้ทัน
“รู้ทันอีก กะเนียนสักหน่อย ไม่บอกจริงอ่ะ”
รสาส่ายหน้าแล้วก็ขำ
“ฮึ อยากรู้อ่ะดิ ฮ่าๆๆ”
เสียงรสาหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
ภคพงษ์เดินมาได้ยินเสียงหัวเราะของรสาก็เพ่งมองเห็นรสาอยู่กับชีวิน อารมณ์แอบหึงนิดๆเกิดขึ้นในใจก่อน เดินไปหา
จังหวะนั้น ใบไม้ร่วงปลิวมาตกลงที่ผมของรสา ชีวินเหลือบไปเห็นก็ยิ้มก่อนจะพูดขึ้น
“รสอยู่เฉยๆนะ”
ชีวินกำลังจะเอื้อมมือมาหยิบใบไม้ออกให้ เสียงภคพงษ์ก็ดังขึ้น
“รสา”
รสาสะบัดหน้าหันไปตามเสียงเรียก ใบไม้ที่เกาะอยู่ที่ผมร่วงหล่นลงพื้น ชีวินมองตามด้วยแววตาเสียดาย ภคพงษ์อมยิ้มนิดๆด้วยความพอใจ
รสาหันมาเห็นภคพงษ์ก็ยิ้มแย้มทักทาย
“สวัสดีค่ะ เมื่อวานฉันได้เอกสารคืนแล้วนะคะ พี่พิทตี้ฝากขอบคุณมาด้วยค่ะ”
“มันเป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้ว ถ้าถึงกำหนดต้องจ่ายอีกงวดเมื่อไหร่ก็แจ้งมาได้ทันที”
“ค่ะ”
ชีวินเห็นอาการดีใจของรสา และอาการแสนดีของภคพงษ์แล้วก็เบือนหน้าหนี
ภคพงษ์เหลือบๆไปทางชีวินแล้วก็แสดงความเป็นเจ้าของเล็กๆ ข่ม ขู่ต่อสู้อย่างแนบเนียน
“วันนี้ผมจะมาทวงสัญญา”
รสาเลิกคิ้วถาม
“สัญญาอะไร”
“สัญญาอาหารเย็น”
“อ๋อ ได้ค่ะ ถ้าคุณไม่กลัวที่จะกินอาหารฝีมือฉันก็เชิญค่ะ”
“เย็นนี้นะ”
ชีวินปรายตามองภคพงษ์ด้วยความหมั่นไส้
“นัดคนอื่นไว้ อย่ามาสายก็แล้วกัน”
ภคพงษ์ชะงักกึก มองเหล่ๆ มาทางชีวินที่ทำลอยหน้าลอยตาเหมือนพูดขึ้นมาลอยๆ รสาต้องทำเป็นกลบเกลื่อน
“แหะๆได้ค่ะ แล้วเย็นนี้เจอกันค่ะ วิน ไปจัดสวนต่อ”
รสาก็ลากแขนชีวินไป ภคพงษ์แอบมองรสาจับมือชีวินแล้วก็จี๊ดนิดๆ ภคพงษ์อยากจะอ้าปากแย้ง แต่มีเสียงโทรเข้ามาก่อน ภคพงษ์หยิบมาดู หน้าจอขึ้นชื่อ “น้องปราง” ภคพงษ์ก็ตัดสินใจกดรับ
“สวัสดีครับ”
รสายังลากแขนชีวินไปอยู่แต่เดินทิ้งห่างภคพงษ์ออกไป ปรางทิพย์กำลังแต่งตัวอยู่ในห้องนอน
“ปรางโทร.มาเตือนพี่ภัคว่าวันนี้เรามีนัดกันน่ะค่ะ”
ภคพงษ์คุยโทรศัพท์ ด้วยรอยยิ้มนิดๆ
“พี่ไม่ลืมครับ”
ภคพงษ์ยิ้มนิดๆ แล้วก็เดินคุยโทรศัพท์ไปอีกทาง
รสาลากชีวินมาอีกมุมแล้วก็เริ่มทำงาน แต่ชีวินหันมาเห็นตอนภคพงษ์คุยโทรศัพท์พร้อมรอยยิ้มพอดี..
“แล้วนี่แต่งตัวพร้อมหรือยัง” ภคพงษ์ถาม
ชีวินขมวดคิ้วนิดๆ ด้วยสัญชาติญาณรู้สึกถึงความไม่ธรรมดาของคนที่อยู่ปลายสาย
รัชนีอยู่ในชุดสวยหรูแต่ใบหน้ากลับยุ่งเหยิง
“รัชไม่ไปไม่ได้เหรอคะ”
สุวิทย์หันมาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังก่อนเข้าไปจับมือรัชนีมากุมไว้
“ไม่ได้นะ ก็เราคุยกันแล้วไงรัช ไม่ต้องกังวลหรอกน่า”
รัชนีพยายามไม่คิดมาก สุวิทย์มองไปเห็นว่าปรางทิพย์เดินมาพอดี
“นั่นไง...มาแหละ”
รัชนีหันไปตามสายตาสุวิทย์ ปรางทิพย์เดินมาในชุดสวย รัชนีมองด้วยแววตาไม่วางใจ
“ทำไมต้องแต่งหน้าด้วยล่ะลูก”
“ก็เห็นพี่ที่แมกกาซีนเค้าบอกว่า ตอนลองชุด จะขอถ่ายรูปให้ได้สไตลิสดูด้วยน่ะค่ะ ปรางก็เลยแต่งหน้าเผื่อไว้ต้องถ่ายรูป”
“แล้วทำไมใส่กระโปรงตัวนี้ มันสั้นเกินไปนะลูก”
ปรางทิพย์ก้มมองกระโปรงแล้วเริ่มไม่มั่นใจ
“แต่ปรางค์ก็ใส่แบบนี้ประจำนะคะ”
“ก็นั่นแหละ แต่แม่ว่ามันสั้นจนเกินสวยนะลูก แล้วเสื้อก็คอลึกเกินไปหน่อยนะ”
ปรางทิพย์เริ่มจะหน้าเสียที่โดนรัชนีติติงไปหมด จนสุวิทย์ต้องเข้ามาแทรก
“คุณรัช เรารีบไปงานกันเถอะ ไป เดี๋ยวสาย”
“แต่...”
สุวิทย์จับมือรัชนีแล้วบอก
“ไปเถอะ รถมารอแล้ว”
สุวิทย์ดึงตัวรัชนีไป ปรางทิพย์รีบยกมือไหว้
“สวัสดีค่ะ”
รัชนียังไม่วายหันมาสั่ง
“ปรางต้องโทร.หาแม่ แล้วบอกด้วยว่าทำอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่บ้าง”
“ค่า”
“อย่าลืมนะลูก”
สุวิทย์ลากรัชนีไป ปรางทิพย์ส่ายหน้านิดๆ กับความเป็นห่วงของแม่
ภายในบ้านวงศ์เธียรสถิตย์ ภคพงษ์ยืนอยู่ในห้องรับแขก ปรางทิพย์ยืนต้อนรับอยู่ คนรับใช้นำน้ำมาเสิร์ฟ
ภคพงษ์ถามปรางทิพย์ด้วยความอยากรู้
“ดูท่าทางคุณแม่จะไม่ค่อยไว้ใจพี่ คุณแม่คงจะยังไม่ชินกับการที่ปรางมีเพื่อนคนไทยมั้งคะ”
“แล้วอยู่ที่อังกฤษมีเพื่อนหรือเปล่า”
“มีค่ะ ทั้งผู้ชายทั้งผู้หญิง เวลาไปเที่ยวด้วยกัน คุณแม่ก็ไม่เคยห่วงอย่างนี้เลย”
ภคพงษ์แอบอมยิ้มนิดๆ ด้วยความสะใจ
“พี่คงจะเป็นเพื่อนพิเศษ คุณแม่เลยเป็นห่วงมากกว่าปกติ”
“คงอย่างนั้นมั้งคะ แต่ปรางต้องขอบคุณพี่ภัคมากเลยนะคะที่สละเวลาพาปรางไปลองชุดวันนี้”
“ถือซะว่า เป็นการทำความรู้จักกันไว้ เผื่อวันหน้าพี่กับคุณพ่อน้องปรางต้องทำธุรกิจด้วยกัน”
“คุณพ่อก็พูดแบบนี้แหละค่ะ ปรางขอตัวไปหยิบกระเป๋าที่ห้องแป๊บนึงนะคะ”
ภคพงษ์ยิ้มรับ ปรางทิพย์รีบเดินขึ้นห้องไปด้วยความร่าเริง ภคพงษ์อยู่คนเดียวในห้องรับแขกและเริ่มมองไปรอบๆ อย่างสำรวจ แล้วก็มาสะดุดหยุดที่รูปถ่ายที่วางเรียงไว้ที่ตู้โชว์ ภคพงษ์เดินเข้าไปดูอย่างสนใจเหมือนโดนสะกด
รูปถ่ายของรัชนีและปรางทิพย์ไล่มาตั้งแต่เกิด วางเรียงไว้อย่างสวยงาม มีรูปรัชนีอุ้มปรางทิพย์อย่างมีความสุข / รูปรัชนีมองปรางทิพย์ด้วยความรัก / รัชนีนั่งฟังปรางทิพย์เล่นเปียโน
ดูแล้ว...ภคพงษ์ก็เจ็บจี๊ด เศร้ามาก เมื่อนึกเปรียบเทียบกับภาพที่เขาเล่นเปียโนตอนเด็ก ที่มีเพียงสายใจยืนฟังไม่รู้เรื่องอยู่ข้างๆ
ภาพที่ไล่เรียงต่อไป เป็นปรางทิพย์ใส่ชุดจบการศึกษาตอนเด็กๆ รัชนี และสุวิทย์ถ่ายรูปคู่ด้วยเป็นครอบครัวสุขสันต์ ภคพงษ์ยิ่งเจ็บหนัก
ตามปิดท้ายด้วยภาพเค้กวันเกิดของปรางทิพย์และปาร์ตี้เล็กๆ สนุกสนานอบอุ่น ทว่าในยามนั้น … ภคพงษ์กลับต้องนั่งกินข้าวอยู่คนเดียวอย่างเหงาๆในบ้าน
ภคพงษ์กัดฟันกรอดด้วยความเสียใจ น้อยใจ และแค้นใจ
เสียงปรางทิพย์ดังขึ้นมาพอดี
“พร้อมแล้วค่ะ”
ภคพงษ์สะดุ้งนิดๆ แววตาค่อยเปลี่ยนจากด้านมืดมาเป็นปกติ ภคพงษ์หันมาหาปรางทิพย์แล้วก็ยิ้มเหมือนพี่ชายใจดี...
“งั้นเราไปกันเลยนะ”
“ค่ะ” ปรางทิพย์ยิ้มรับแล้วเดินนำไป
ภคพงษ์ปรายตามามองรูปรัชนีอีกหนึ่งแว่บด้วยสายตาแค้นเอาเรื่อง ก่อนจะเดินตามปรางทิพย์ออกไป
รูปรอยยิ้มในรูปของรัชนีที่เปี่ยมสุขนั้น … บัดนี้ ถึงเวลาที่ความทุกข์กำลังจะเข้ามาเยือนแทนที่แล้ว
บริเวณหน้าบ้านพักท่านทูต รัชนีหน้าตาเคร่งเครียด ครุ่นคิด เป็นกังวลกำลังเดินมากับสุวิทย์ ภายในบ้านมีงานเลี้ยงคอกเทลตอนกลางวันเล็กๆ ภายในงานมีแขกคนไทยและฝรั่ง 2-3 คนที่ยืนคุยกันอยู่ในบริเวณนั้น
รัชนีหันมาบอกสุวิทย์
“รัชขอตัวแป๊บนึงนะคะ คุณเข้างานไปก่อนเลยก็ได้ค่ะ”
“ได้ยังไงล่ะ ถ้าผมเดินเข้าไปในงานคนเดียว คนเค้าก็ต้องถามถึงคุณกันทั้งงาน”
“แต่รัชเป็นห่วงปรางน่ะค่ะ อยากจะโทร.ถามสักหน่อย”
“เอาไว้ก่อนน่า เข้างานทักทายเป็นพิธีแล้วค่อยออกมาโทร.ก็ได้ ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงหรอก เชื่อผมนะ”
สุวิทย์พูดยิ้มๆให้ความมั่นใจแล้วจูงมือรัชนีเดินเข้าไปในงาน รัชนีสีหน้าไม่สู้ดีนัก
ภายในคอมมูนิตี้มอลล์ ภคพงษ์เดินมากับปรางทิพย์ มีคนมองความหล่อของภคพงษ์ ปรางทิพย์เห็นเข้าก็อมยิ้มนิดๆ ปลื้มที่ตัวเองได้เดินกับภคพงษ์ ปรางทิพย์มองซ้ายมองแล้วก็ชี้ไปที่ร้านเสื้อ
“ร้านนั้นค่ะ นั่นไงคะ สงสัยทีมงานจะมารอแล้วค่ะ”
ภคพงษ์ยิ้มรับและเดินตามปรางทิพย์ไป
ภายในร้านเสื้อ ทีมงาน 2- 3 คนยืนรออยู่ภายในร้าน ซึ่งประกอบด้วยช่างภาพ สไตลิสต์ และผู้ประสานงานที่หันไปเห็นปรางทิพย์เป็นคนแรก
“มาแล้วๆ น้องปรางทิพย์มาแล้ว”
ทุกคนหันมองไปที่หน้าร้าน เห็นภคพงษ์เดินมากับปรางทิพย์ที่ดูเหมาะสมกันมาก
“นี่มันคุณภคพงษ์นี่ ผมเพิ่งถ่ายสัมภาษณ์เค้าไปเล่มที่แล้วเอง” ช่างภาพพูดขึ้น
“เอ๊ะ..แล้วทำไมถึงมาด้วยกัน” สไตลิสต์สงสัย
สามคนขมวดคิ้ว ต่างคนต่างอยากรู้อยากเห็น
ภคพงษ์ตอบอย่างเป็นธรรมชาติ
“น้องปรางเป็นลูกสาวของคนรู้จักน่ะครับ คุณพ่อน้องปรางเห็นว่า ผมเคยให้สัมภาษณ์กับทางหนังสือ ก็เลยขอให้มาเป็นเพื่อน”
ทีมงานพยักหน้ารับรู้ ปรางทิพย์ยกมือไหว้ทีมงานอย่างนอบน้อมไม่ถือตัว
“สวัสดีค่ะ คือ ปรางก็ไม่เคยถ่ายแบบหรือทำอะไรแบบนี้มาก่อนเลย พี่ๆจะให้ปรางทำอะไรก็บอกได้เลยนะคะ เต็มที่ค่ะ” ปรางทิพย์พูดเสียงความสดใส
ทีมงานถึงกับยิ้มตามด้วยความชอบใจ ภคพงษ์หันมามองปรางทิพย์นิดๆรู้สึกได้ว่า เด็กคนนี้ใช้ได้
“งั้นเราเริ่มจากลองชุดกันเลยแล้วกันนะคะ พี่แมนเลือกไว้ให้แล้ว ไปค่ะ”
สไตลิสต์เดินนำไป ทีมงานเดินตาม ปรางทิพย์หันมาทางภคพงษ์แล้วก้มหน้านิดๆ เหมือนขอตัว ภคพงษ์พยักหน้ารับทราบ
ภคพงษ์มองซ้ายมองขวาแล้วก็เดินไปนั่งรอที่โซฟาที่อยู่ไม่ไกล
อีกมุมหนึ่งของห้างสรรพสินค้า ซึ่งเป็นร้านอาหารที่กำลังตกแต่งใหม่ ทั้งสองคนเดินมาหยุดที่หน้าร้าน
“ขอบใจนะรส อุตส่าห์มาไซต์งานเป็นเพื่อน”
รสามองเข้าไปด้านใน
“ร้านเกือบเสร็จแล้วนี่ วินจะอยู่ดูงานที่นี่ต่อเลยใช่มั้ย รสจะได้แยกไปซื้อของที่ซูเปอร์ฯ ซื้อเสร็จแล้วจะต้องรีบกลับไปทำงานต่อ”
ชีวินรีบเสนอตัว
“งั้นวินไปด้วย ว่าจะซื้อของเข้าบ้านอยู่พอดี”
รสายิ้มรับ ทั้งสองคนเดินไปซูเปอร์ฯ ที่ห่างออกไปทางด้านหลัง
ภายในร้านเสื้อ ปรางทิพย์ยืนอยู่ในชุดเดรสสั้นน่ารัก และเซ็กซี่ ปรางทิพย์มีท่าทางไม่ค่อยมั่นใจนัก แต่ทีมงานปลื้มมาก
“เริ่ดมาก แจ่มที่สุดในสามโลก น้องปรางใส่ชุดนี้แล้วขึ้นจริงๆ ขาสวยมาก” สไตลิสต์ว่า
“มัน..สั้นไปมั้ยคะ”
“โนว...ไม่เลย พอถ่ายออกมาแล้วมันเป๊ะมาก ไม่เชื่อถามคุณภัคพงษ์ได้”
สไตลิสต์จูงมือปรางทิพย์เข้ามาหาภคพงษ์
“คุณภคพงษ์คะ น้องไม่มั่นคิดว่าสั้นไป คุณภคพงษ์คิดว่ายังไงคะ”
ภคพงษ์มองชุดแล้วก็มองหน้าปรางทิพย์ที่มีสีหน้าไม่สู้ดีนัก
“ชุดสวยมากนะครับ แต่ผมกลัวว่าตอนถ่ายจริงๆ อาจจะไม่ได้รูปที่สวยที่สุด เพราะน้องจะมัวแต่กังวล”
ปรางทิพย์พยักหน้าประมาณว่า “ใช่เลย นี่แหละตอบได้ตรงใจมาก”
สไตลิสต์เริ่มคิดด้วยความเสียดาย
“ผมเห็นว่าคอลเลกชันนี้มีแบบคล้ายๆกัน แต่เป็นกางเกงขาสั้น ให้น้องลองชุดนั้นดีมั้ยครับ เผื่อว่าจะมั่นใจมากขึ้น”
สไตลิสต์ตอบรับก่อนหันไปหาผู้ช่วย
“ได้ค่ะๆ กู๊ดไอเดีย... เขียวหวานไปช่วยกันหามาให้น้องลอง แล้วถ่ายส่งให้บอกอดูด่วนเลย”
“ค่ะๆ”
ทั้งสไตลิสต์และเขียวหวานรีบไปหาชุด
ปรางทิพย์รีบหันมาขอบคุณภคพงษ์
“ขอบคุณพี่ภัคมากเลยนะคะ ถ้าปรางมาคนเดียว ต้องไม่รู้ว่าจะแก้ปัญหายังไงแน่เลยค่ะ แล้วถ้าใส่ชุดนี้ถ่ายแบบ มีหวังคุณแม่ต้องดุแน่ๆ”
ทันใดนั้นโทรศัพท์มือถือปรางทิพย์ก็ดังขึ้น ปรางทิพย์หยิบมาดูพลางชูหน้าจอให้ดูรูปรัชนีที่ขึ้นชื่อว่า “คุณแม่”
“พูดถึงก็โทร.มาพอดีเลย”
ภคพงษ์สะท้านใจนิดๆ ในชีวิตไม่เคยมีโอกาสจะใช้คำนี้กับผู้หญิงคนนี้ ปรางทิพย์กดรับ
“คุณแม่ ปรางอยู่ที่ร้านแล้วค่า”
ภคพงษ์นั่งนิ่งแต่หูฟังตลอดเวลา
รัชนีเดินมาคุยในมุมสงบของบ้านท่านทูต เสียงรัชนีรีบถามด้วยความกังวล
“ปรางมาถึงนานหรือยัง แล้วตอนนี้ทำอะไรอยู่ มีทีมงานมากี่คน”
รัชนีถามเป็นชุดด้วยความเป็นห่วง ปรางทิพย์พยายามตอบให้ครบ ภคพงษ์นั่งนิ่งแอบฟังอยู่ข้างๆ
“มาถึงไม่นานค่ะ ตอนนี้กำลังลองชุดอยู่ มีพี่ทีมงานมาทั้งหมด 3 คนค่ะ”
รัชนีถามคำถามที่คาใจแต่พยายามทำเสียงให้ปกติ
“แล้วภคพงษ์อยู่แถวนั้นหรือเปล่า”
ปรางทิพย์ตอบด้วยความซื่อ
“อยู่ค่ะ พี่ภัคนั่งอยู่ข้างๆปรางนี่แหละค่ะ”
ภคพงษ์รู้ในทันทีว่า รัชนีจะต้องถามอะไรสักอย่างถึงตัวเองด้วยความหวาดระแวง ภคพงษ์ปรายตาไปเห็นว่า
ทีมงานหยิบชุดกำลังเดินมา ในแว่บนั้น...ด้านมืดของภคพงษ์ก็สั่งให้เขาลุกขึ้นและเดินไปหาปรางทิพย์แล้วตั้งใจพูดให้รัชนีได้ยินผ่านทางโทรศัพท์
“น้องปรางคะ...พี่เค้าเอาชุดมาให้ลองแล้วค่ะ”
ภคพงษ์น้ำเสียงหวาน สุภาพและแสนดี รัชนีชะงักกึก หน้าเครียดขึ้นมาทันที เพราะฟังจากน้ำเสียงแล้วดูสนิทสนมจนเกินไป ปรางทิพย์หันมาตอบรับภคพงษ์เสียงสดใส
“ได้ค่ะ คุณแม่แค่นี้ก่อนนะคะ ปรางต้องไปลองชุดต่อแล้วค่ะ”
รัชนีไม่อยากจะวาง
“เดี๋ยวสิปราง..ปรางเดี๋ยวก่อนลูก”
ปรางทิพย์วางสายไปแล้ว รัชนีจำต้องวางสายใจตาม ในใจร้อนรุ่มอยากรู้ว่า ภคพงษ์จะมาไม้ไหนนะ
รสาหยิบผักสำหรับทำอาหารในซูเปอร์มาร์เก็ต ชีวินเข็นรถตาม มองแล้วก็ถาม
“ถ้าวินอยากให้รสทำอาหารให้กินบ้าง รสจะทำหรือเปล่า”
รสาซื้อของไป ตอบไป
“สบายมาก ว่างเมื่อไหร่มาได้เลย”
“ทำให้อร่อยกว่าที่ทำให้ภคพงษ์กินได้หรือเปล่า”
รสาหันมายิ้มแล้วตอบ
“รสอาจจะทำไม่อร่อยทั้งสองครั้งเลยก็ได้นะ”
รสาตอบขำๆ แล้วก็เดินซื้อของต่อ ชีวินเข็นรถตาม เข็นไปก็ถามไป
“ถ้าวันนี้เค้ามาสายอีก หรือลืมแล้วไม่มาไปเลย รสจะทำยังไง”
“ไม่รู้สิ เอาไว้ถ้ามันเกิดขึ้นจริงก็คงจะรู้เองว่ารู้สึกยังไง แต่ตอนนี้ยังคิดไม่ออก”
รสายิ้มสบายๆ ชีวินไม่รู้จะพูดอะไรต่อ แต่รู้สึกเป็นห่วงรสาลึกๆ ในใจ
โปรดติดตาม...ลุ้นรัก "รสา-ภคพงษ์" ตอนต่อไป