ตะวันทอแสง ตอนที่ 6
รสาเดินลงมาจากบ้านพัก พอเดินมาได้สักระยะก็หยุด ครุ่นคิดกับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วก็แปลกใจตัวเอง ทำไมถึงได้ตื่นเต้นแปลกๆ รสาค่อยๆ หันไปมองที่บ้านพักของภคพงษ์ แล้วใจเต้นนิดๆ รสาพยายามหันหน้ากลับ สะบัดความคิดออกจากสมองแล้วเดินไป
ภคพงษ์เดินออกมา หยุดยืนมองรสาผ่านทางหน้าต่างบ้านพักเห็นรสาเดินหันหลังอยู่ ภคพงษ์คิดถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านไป แล้วแอบคิดในใจ “แปลกดีจริง ผู้หญิงคนนี้”
หนึ่งวันเต็มๆที่ได้อยู่ด้วยกัน ทั้งรสาและภคพงษ์ได้พัฒนาความรู้สึกที่มีต่อกันได้อย่างรวดเร็ว ความรู้สึกดีๆที่สวยงามกำลังเบิกบานกลายเป็นความรัก
พิมพรรณยังคาดคั้นห้าว
“พี่ห้าว...ว่าไง ทำไมไม่พูดให้จบ”
ห้าวอึกอัก
“เอ่อ..พี่ว่าให้รสเป็นคนบอกดีกว่า”
ทันใดนั้นเสียงรสาก็เดินเข้ามาพอดี พิมพรรณหันไปเห็นก็รีบเดินมาหา
“รส...มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมพี่ห้าวพูดเหมือนมีลับลมคมใน คนของพิมคนไหนที่ไว้ใจไม่ได้”
รสาชะงัก มองหน้าห้าว ห้าวโบ้ยหน้าบอกให้รสเป็นคนพูด รสาหันมามองหน้าพิมพรรณ แววตาของพิมพ
รรณเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นและอยากรู้ รสาตัดสินใจบอก
“พี่ห้าวเห็นวาริชเดินกับผู้หญิงคนอื่น รสก็ได้ยินเค้าคุยโทรศัพท์กับผู้หญิงคนอื่นเหมือนกัน”
พิมพรรณอึ้ง ใจหายวาบ หน้าชา มือชา ตัวชา ช็อก พูดไม่ออก
ห้าวกับรสาเห็นอาการพิมพรรณแล้วก็เป็นห่วง
“พิม”
พิมพรรณพูดเสียงสั่นๆ
“พี่ห้าวเห็นตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้ว...รสได้ยินตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมไม่รีบบอกพิม”
“พี่เห็นเมื่อกลางวัน”
“รสก็เพิ่งได้ยินเมื่อหัวค่ำนี่เอง”
“พี่อยากจะบอก แต่กลัวพิมไม่เชื่อก็เลยรอให้รสเป็นคนบอก”
พิมพรรณเดินเซนิดๆ ค่อยๆหย่อนตัวนั่งลงที่เก้าอี้ที่อยู่ข้างๆ
“พิมก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกัน ไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ แต่...ถ้าพิมไม่เชื่อ พิมจะกลายเป็นคนที่โง่มาก พี่ห้าว..ผู้หญิงคนนั้นหน้าตาเป็นยังไง สวยหรือเปล่า แล้วตอนที่พี่ห้าวเห็นเค้ากำลังทำอะไรกัน”
ห้าวอึกอักลำบากใจไม่อยากตอบ รสานั่งลงข้างๆ จับมือพิมพรรณ
“รสว่าพิมอย่าพยายามตั้งคำถามเลย ยิ่งเราอยากรู้ เราจะยิ่งเจ็บเปล่าๆ”
“ใช่..รู้เท่าที่เห็น รู้เท่าที่มันเป็นก็พอแล้ว”
พิมพรรณน้ำตาร่วงอย่างไม่รู้ตัว
“แต่ตอนนี้..พิมเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่า สิ่งที่พิมเห็นมันเป็นความจริงหรือเปล่า และความจริงมันคืออะไรกันแน่”
รสามองพิมพรรณด้วยความสงสาร รสาค่อยๆดึงพิมพรรณมากอด พิมพรรณซบไหล่รสาร้องไห้ด้วยความ
เสียใจและสับสน
ท้องทะเลสวยในวันรุ่งขึ้น แสงอาทิตย์ที่ขึ้นจากขอบฟ้า ภคพงษ์เปิดหน้าต่างออกมาด้วยใบหน้าสดใส ผมปล่อยสบายๆ ดูหล่อใสแปลกตา ภคพงษ์มองทะเลที่ทอดตัวอยู่ข้างหน้าด้วยความสบายใจ
ในห้องนอน รสาหลับสนิทมือห้อยลงมาจากเตียง “เจ้าปุย” หมาขนปุยขาวสะอาดวิ่งเข้ามาในห้อง แล้วก็เลียมือแผล่บๆ รสาสะดุ้งตื่น
“อื้อ!”
รสาลืมตางัวเงีย แล้วก็หันไปเห็นเจ้าปุยนั่งอยู่ รสาตกใจอย่างแรง
“เฮ้ย”
รสาลุกพรวดขึ้น เจ้าปุยเห่าทักทาย “โฮ่ง” รสากระพริบตามองด้วยความแปลกใจ
“มายังไงเนี่ย”
วิมลตอบพร้อมรอยยิ้ม
“เพื่อนอาเค้าเอามาฝากไว้จ้ะ พอดีเค้าจะไม่อยู่กันทั้งบ้าน ไปเที่ยวใต้ 2-3 วันถึงจะกลับ ระหว่างที่รสอยู่ช่วยอาดูมันหน่อยได้มั้ย”
รสายืนอุ้มเจ้าปุยไว้ด้วยความคุ้นเคย
“ได้ค่ะ สบายมาก รสชอบอยู่แล้ว ไง..เจ้าปุย อยากจะกินอะไรบอกนะ เดี๋ยวพี่รสจัดให้”
ปุยเห่ารับ “โฮ่ง”
“เห็นแก่กินเหมือนกันนะเรา”
วิมลขำ
“เฮ่อ..หลานฉัน คุยกับหมาก็ได้ด้วย”
รสาหันมายิ้มเขินๆ แล้วก็นึกได้
“เออ..อาวิมล แล้ว..พิมตื่นหรือยังจ้ะ”
“ตื่นแล้ว ตื่นมาตั้งแต่ตีห้า ไม่รู้จะตื่นมาทำอะไร”
“สงสัยจะนอนไม่หลับ” รสาพูดเบาๆ
“มีอะไรเหรอ”
รสาเฉไฉแล้วยิ้มกลบเกลื่อน
“เปล่าจ๊ะ...ฉันก็เดาไปเรื่อย แล้ว ตอนนี้พิมอยู่ไหน”
“เอ...อาก็ไม่รู้เหมือนกัน เห็นเดินไปที่หาดตั้งแต่เช้าแล้ว”
“งั้น..รสไปตามหาพิมก่อนนะจ๊ะ”
รสารีบอุ้มเจ้าปุยแล้วเดินตามหาพิมด้วยความเป็นห่วง วิมลมองตามด้วยความแปลกใจนิดๆ กับอาการรีบร้อนของรสา
รสาเดินอุ้มเจ้าปุยเดินตามหาพิมพรรณที่ริมหาด
“หายไปไหนของเค้า”
ทันใดนั้นโทรศัพท์มือถือรสาก็ดังขึ้น
รสารีบรับนึกว่าเป็นพิมพรรณ แต่พอเห็นชื่อความกระตือรือร้นลดลงเล็กน้อย
ชีวินคุยโทรศัพท์มือถืออยู่ในออฟฟิศ
“รส..วินกำลังจะไปประชุมกับลูกค้าที่เชียงใหม่ รสอยากได้อะไรเปล่า แคบหมู ไส้อั่ว น้ำพริกหนุ่ม เดี๋ยววินซื้อมาฝาก เย็นนี้ลงเครื่องแล้วจะรีบเอาไปให้ที่บ้าน”
รสาเดินไปคุยไป
“ไม่เป็นไรจ๊ะ ตอนนี้รสอยู่ระยอง แต่ถ้าวินอยากซื้อมาฝากป้าภรณ์ก็ได้นะ ลองโทร.ถามป้าก็ได้”
ชีวินตาโตด้วยความสนุก
“รสอยู่ระยองเหรอ แล้วรสไปยังไง กลับยังไง จะให้วินไปรับหรือเปล่า หรือจะให้นั่งรถตู้ไปหา แล้วนั่งรถกลับมาเป็นเพื่อน”
รสาเดินอยู่ริมทะเลคุยโทรศัพท์ไปมองหาพิมพรรณไปด้วย
“ไม่เป็นไรจ้ะ รสขับรถกลับเองแล้วก็มีเพื่อนนั่งกลับไปด้วย”
ชีวินรีบถาม
“ใครเหรอ”
รสาตอบด้วยความอึดอัดนิดๆ
“คุณภคพงษ์”
ชีวินอึ้ง...รสารีบพูดต่อ
“อย่าเพิ่งถามอะไรตอนนี้เอาไว้กลับไปค่อยคุยกัน แค่นี้ก่อนนะวิน รสขอไปดูแลพิมก่อนนะ แล้วเจอกันจ้ะ”
รสาวางสายไป ในใจแอบรู้สึกผิดนิดๆ ที่ต้องรีบวางสายเพื่อเดินตามหาพิมพรรณต่อ ชีวินวางสายด้วยสีหน้าเครียด ชีวินคิดหนัก
รสายังเดินอุ้มหมามองหาพิมพรรณ รสาหยุดยืน แล้วกดโทร.หา
พิมพรรณยืนอยู่ที่มุมสงบริมทะเลมุมหนึ่ง หน้าตาเศร้าหมอง คิดหนัก โทรศัพท์ดังจนพิมพรรณหันมาดูชื่อที่หน้าจอ พอเห็นชื่อ “รส” พิมพรรณก็คิดและกดตัดสายทิ้ง รสาสะดุดด้วยความแปลกใจ
“พิมตัดสายทิ้งทำไม”
รสายิ่งเป็นห่วง
พิมพรรณคิดแล้วก็ตัดสินใจกดโทรศัพท์โทรหาวาริชด้วยความตื่นเต้น
วาริชกำลังนั่งรอ “น้องโบว์” อยู่ในร้านเกมส์ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น วาริชหยิบโทรศัพท์มาดู เห็นหน้าจอขึ้นชื่อ “พิม” วาริชหน้าเสียนิดๆ ก่อนมองซ้าย มองขวาแล้วก็รีบเดินเลี่ยงออกไปนอกร้าน
พิมพรรณรอรับอย่างจดจ้อง พิมพรรณเดินไปเดินมาด้วยความร้อนใจ วาริชเดินออกมาที่หน้าร้านเกมส์ แล้วค่อยกดรับ
“พิม..ผมขอโทษที่รับช้า พอดี..ประชุมกับลูกค้าอยู่น่ะจ้ะ”
พิมพรรณกลืนน้ำลาย พยายามพูดด้วยเสียงปกติ
“ขยันจังเลยนะคะ ประชุมตั้งแต่เช้าเลย”
วาริชทำเป็นหงุดหงิดใส่
“ก็ลูกค้าคนนี้เรื่องมากๆเลย ผมก็ไม่อยากจะมาแต่เช้าหรอก แต่เค้าโทร.จิกน่ะ”
พิมพรรณเชิดหน้าก่อนจะตัดสินใจถาม
“ลูกค้าผู้หญิงหรือผู้ชายคะ”
วาริชรีบไหล
“ผู้ชายสิ ถ้าเป็นผู้หญิงโทร.ตามแต่เช้าแบบนี้ ผมไม่มีทางมาหรอก หรือถ้ามาก็ต้องพาพิมมาด้วย พิมไม่ต้องหึงหรอกนะ ผมไม่ใช่ผู้ชายแบบนั้นสักหน่อย”
วาริชเหลือบไปเห็นว่าโบว์กำลังเดินมาจึงรีบตัดบท
“พิมๆ แค่นี้ก่อนนะ ลูกค้าเรียกอีกแหละ ฮึ่ย น่าเบื่อจริงๆ ไม่รู้จะเรียกอะไรกันนักกันหนา เสร็จงานแล้วผมจะรีบโทร.หานะ”
วาริชวางสายไป โบว์เดินมาถึงพอดี
“คุยกับใครอยู่เหรอคะ ทำไมต้องรีบวางด้วย”
“ลูกค้าน่ะจ้ะ โทร.มาตามแต่เช้า แต่ผมขี้เกียจคุย บอกเค้าว่าแฟนมาแล้วต้องรีบพาไปทานข้าว เรารีบไปกันเถอะนะ ผมหิวแล้ว”
โบว์ยิ้มรับเชื่ออย่างสนิทใจ วาริชยิ้มแสนดีจริงใจ
พิมพรรณวางสายไป ยืนกุมโทรศัพท์แน่น..หน้าเครียด น้ำตาปริ่มจะไหล
รสาอุ้มเจ้าปุยเดินอยู่ที่ริมทะเล เริ่มเป็นห่วงพิมพรรณมากขึ้น รสาเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าบ้านพักของภคพงษ์
ไม่รู้ตัว รสาหันมองไปมาเห็นภคพงษ์เดินลงมาจากบ้านพอดี รสารีบหันหน้าหนี ทำเป็นมองไม่เห็นจะเดินกลับไป แต่เจ้าปุยดันเห่าขึ้นมาซะงั้น “โฮ่ง”
ภคพงษ์หันมาเห็น รีบเรียกขึ้น
“รสา จะรีบไปไหน”
รสาหยุด เอ็ดปุยเบาๆ
“เจ้าปุยนะเจ้าปุย เห่าทำไมไม่รู้”
รสาหันมาหาภคพงษ์ พยายามตอบเสียงปกติ
“ไปตามหาพิมค่ะ”
“นึกว่าจะหนีหน้าผมซะอีก”
“ฉันต้องหนีหน้าคุณทำไม”
“นั่นสิ ทำไมเธอต้องหนีหน้าฉันด้วย” ภคพงษ์ย้อนอย่างยิ้มๆ
รสาชะงัก มองหน้าภคพงษ์แล้วก็ไม่ยอมรับ
“ฉันขอย้ำว่า ฉันไม่ได้หนีหน้าคุณนะคะ”
“ถ้าอย่างนั้น เธอก็ต้องไปเดินเล่นที่ริมทะเลกับฉัน”
“ทำไมฉันต้องไปกับคุณด้วย”
“เพื่อพิสูจน์ว่าเธอไม่ได้หนีหน้าฉัน”
รสาอ้าปากจะแย้งแต่ภคพงษ์ผายมือ
“เชิญครับ คุณรสา”
ภคพงษ์ยิ้มน่ารัก ลมผัดเบาๆ ผมของภคพงษ์ที่ปล่อยสบายๆ พลิ้วไปตามสายลม
รสามองแล้วก็แอบเคลิ้มนิดๆ จนต้องเบนสายตาหนี
รสายอมเดินอยู่กับภคพงษ์ที่ริมทะเล
“ฉันเดินเป็นเพื่อนคุณได้ไม่นานนะคะ ฉันต้องไปตามหาพิม”
ภคพงษ์ตอบอย่างสุภาพ
“ผมทราบ ผมรั้งตัวคุณไว้ไม่นานหรอก ไม่ต้องห่วง ตอนเด็กๆ ผมเคยคิดอยากจะเลี้ยงหมาสักตัว แต่ก็ต้องเลิกล้มความคิดเพราะชีวิตตอนนั้นอยู่ไม่เป็นที่ ต้องไปๆมาๆระหว่างโรงเรียนประจำ บ้านของฝรั่งที่รับเป็นผู้ปกครองแล้วก็ต้องบินกลับไทย เลยคิดว่าถ้าเลี้ยงแล้วดูแลไม่ได้เต็มที่...อย่าเลี้ยงดีกว่า”
รสาหันมามองหน้าภคพงษ์แอบแปลกใจนิดๆ ที่อยู่ๆภคพงษ์ก็พูดเรื่องส่วนตัวออกมาอย่างอ่อนโยน เปิดเผย ภคพงษ์พูดต่อโดยไม่ทันสังเกตสสายตาของรสาที่มองมา
“ผมเคยอ่านเจอในหนังสือเค้าบอกว่าการมีสัตว์เลี้ยง มันดีมากสำหรับเด็กๆนะ มันทำให้เขารู้จักการดูแล เอาใจใส่คนอื่น รู้จักการอยู่ร่วมกับคนอื่นเป็นบทเรียนทางธรรมชาติวิทยาที่ดีมาก”
ท่าทีการเปิดเผยอย่างเป็นกันเองของภคพงษ์ทำให้รสาทะลายกำแพงเล็กๆของตัวเองออกมา และคุยกับเขา
อย่างออกรสมากขึ้น
“จริงเหรอคะ ฉันมีสัตว์เลี้ยงมาตลอดเลยค่ะ เริ่มตั้งแต่ปลาทองตอนเด็กๆ พอโตขึ้นมาหน่อยก็เป็นนกแก้ว หมาก็เคยเลี้ยงชื่อเจ้าเฉาก๊วย เพิ่งจะเสียไปเมื่อปีที่แล้วเองค่ะ ส่วนนี่ก็เจ้าปุยเพื่อนของอาวิมลมาฝากเลี้ยงไว้ 2-3 วัน เพิ่งเจอกันครั้งแรกก็สนิทกันเลย จริงมั้ย”
“โฮ่ง !”ปุยเห่าตอบ
รสาหัวเราะ ภคพงษ์มองแล้วก็ยิ้ม
“เพราะคุณเรียนรู้การให้มาตั้งแต่เด็ก ทำให้คุณเป็นคนเปิดเผย เข้ากับคนง่าย เมตตา และอ่อนโยนเหมือนทุกวันนี้”
ภคพงษ์มองรสาอย่างจริงใจ แววตาของภคพงษ์ชื่นชมรสาอย่างเห็นได้ชัด ตรงเป๊ะกับสิ่งที่พูด ทำเอารสา
ค่อยๆหุบยิ้ม เก้อเขินไปอย่างเห็นได้ชัด
“กินยาผิดหรือเปล่าคะ หรือว่าเมาทะเลอยู่ๆถึงได้มายอกันเอง”
ภคพงษ์หัวเราะเบาๆบอก
“ผมไม่ได้กินยาผิด แล้วก็ไม่ได้เมาแต่ผมพูดจริงๆ”
ภคพงษ์ย้ำอีกครั้งพร้อมมองหน้ารสาด้วยความจริงใจ รสาถึงกับตะลึงอึ้งทำตัวไม่ถูกไปชั่วขณะ ทันใดนั้น
เสียงห้าวก็ดังขึ้นเหมือนระฆังช่วยชีวิต
“รส”
รสาสะดุ้งนิดๆ เจ้าปุยเห่าขึ้นมาอีกที “โฮ่ง” ห้าวเดินมาหารสาและภคพงษ์ หน้าตาขวางๆ ไม่ค่อยปลื้ม ห้าวแกล้งทำเป็นเดินเข้ามาแทรกระหว่างภคพงษ์และรสา แถมยังเอาตัวดันภคพงษ์ให้ออกห่างจากรสาอีก ภคพงษ์ปรายตามอง...รับรู้ถึงความไม่เป็นมิตร ห้าวพูดกับรสา
“รส พี่เจอพิมแล้วนะ”
“อยู่ไหนจ๊ะ”
รสารีบถามด้วยความกระตือรือร้น
พิมพรรณยืนเครียดอยู่ที่ริมทะเล พิมพรรณมองออกไปเบื้องหน้าเป็นทะเลที่เวิ้งว้าง พิมพรรณเดินออกไป
เหมือนจะมุ่งหน้าลงสู่ทะเล เสียงห้าวและรสาก็ดังขึ้น
“พิม...พิม”
พิมพรรณสะดุ้งนิดๆ แต่ยังไม่ทันจะทำอะไร ห้าวก็วิ่งเข้ามาและรวบตัวพิมพรรณไว้
“พิมอย่า”
พิมพรรณตกใจร้อง
“ว้าย พี่ห้าวทำอะไร”
“ก็พี่กลัวว่าพิมจะฆ่าตัวตาย”
“ฆ่าตัวตายเนี่ยนะ”
รสากึ่งเดินกึ่งวิ่งตามมา ภคพงษ์เดินตามมาชิลๆ และยืนดูอยู่ห่างๆ ไม่ใกล้และไม่ไกลจนน่าเกลียด
“พิมเป็นอะไรหรือเปล่า”
พิมพรรณหันมาบอก
“พิมไม่ได้เป็นอะไร แล้วก็ไม่คิดจะฆ่าตัวตายด้วย มันยังไม่เลวร้ายขนาดนั้นหรอกน่า”
พิมพรรณพยายามทำตัวให้เข้มแข็งและตอบไปเพื่อไม่ให้รสาและห้าวไม่สบายใจ
“ก็ใครจะไปรู้ หาก็ไม่เจอ โทร.มาก็ไม่รับสาย”
“พิมแค่อยากอยู่คนเดียว ทบทวน เผื่อจะเจอว่าเราบกพร่องตรงไหน”
พิมพรรณพูดด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด ห้าวกับรสามองพิมพรรณด้วยความสงสาร ห้าวก็โพล่งขึ้น
“พี่ว่าพิมไม่ต้องคิดหรอก คิดไปก็ไม่ได้คำตอบ เรามาหาอะไรทำสนุกๆ แก้เครียดกันดีกว่า”
“ทำอะไร”
ห้าวยิ้มนิดๆ อย่างมีเลศนัย
รสาพูดด้วยความแปลกใจ
“แข่งวิ่งขี่หลังกันเนี่ยนะ”
รสา พิมพรรณ ห้าว ยืนอยู่ที่ริมหาด ส่วนภคพงษ์ยืนห่างออกไปไม่ไกล
“ใช่ เล่นเหมือนที่เราเคยเล่นตอนเด็กๆไง”
“แต่เราไม่เด็กแล้วนะพี่ห้าว” รสาบอก
“ถึงไม่เด็กแต่เราก็เล่นได้นี่รส” พิมพรรณว่า
“อ้าว นี่พิมก็เป็นไปกับพี่ห้าวด้วยเหรอ”
พิมพรรณพยักหน้า
“อื้อ..ก็มันอาจจะทำให้พิมไม่ฟุ้งซ่านก็ได้”
“เอาน่า..เล่นๆไปเหอะ” ห้าวบอกแล้วหันไปพูดเบาๆกับรสา
“พิมจะได้สนุกไม่คิดมาก”
รสาคิด มองหน้าพิมพรรณแล้วก็ตัดสินใจ
“โอเค...เล่นก็ได้”
“แต่เรามีกันแค่สามคน ถ้าพิมขี่หลังพี่ห้าวแล้วรสจะขี่หลังใคร”
“เออ...จริง”
ว่าแล้วทั้งสามคนก็ค่อยๆหันมาทางภคพงษ์ที่ยืนอยู่ ภคพงษ์รู้สึกตัวแล้วก็มองตอบอย่างงงๆ และ
เข้าใจในทันทีว่า งานนี้คงจะโดนแน่ !
ทั้งสี่คนยืนสลับกันอยู่เป็นวงกลม รสายังอุ้มเจ้าปุยอยู่ มือห้าวและรสายื่นออกมาอยู่กลางวง ทั้งสองคนกำไม้สั้นไม้ยาวไว้คนละสองอัน
“เราจะมาจับไม้สั้นไม้ยาวกันเลือกว่าใครจะได้คู่กับใคร”
ห้าวปรายตามาทางภคพงษ์ แล้วก็พูดขึ้นกวนๆ
“แต่ที่จริงไม่ต้องจับก็ได้นะ ให้รสคู่กับพี่ แล้วพิมคู่กับอีกคนที่เหลือ โอเคตามนี้...ไม่ต้องจับ”
พิมพรรณไม่ยอม
“ไม่ต้องเลยพี่ห้าว จะมาจับคู่กันเองแบบนี้ได้ยังไง จับไม้สั้นไม้ยาวนั่นแหละดีแล้ว..บางทีคุณภัคเค้าอาจจะไม่อยากคู่กับพิมก็ได้”
รสาชะงักนิดๆ ภคพงษ์อมยิ้มนิดๆ ไม่พูด พิมพรรณรวบรัด ดันมือรสาไปทางภคพงษ์
“เริ่มกันเลยดีกว่าค่ะ คุณภัคเลือกก่อนค่ะ”
ภคพงษ์หยิบไม้ที่โผล่ออกมาจากมือรสาเป็นไม้ยาว
“คุณภัคได้ไม้ยาว พี่ห้าวก็ไม้สั้นนะ คราวนี้ก็ตารสกับพิม … พร้อมกันนะรส”
ห้าวยื่นมือออกมา
“จ้ะ”
พิมพรรณกับรสาดึงไม้ที่โผล่ออกมาคนละอัน รสาได้ไม้ยาว พิมพรรณได้ไม้สั้น
พิมพรรณรีบหันมารวบตัวห้าว
“พี่ห้าวคู่กับพิม”
รสาหันมามองหน้าภคพงษ์ ต่างคนต่างเขิน พูดกันไม่ออก ห้าวเห็นแล้วก็ทนไม่ได้ก็โพล่งขึ้นก่อนจะดันตัวพิมพรรณไปทางภคพงษ์
“พี่ว่าไม่ดีหรอก รสมาคู่กับพี่ดีกว่า ดูท่าทางเจ้านายรสคงไม่มีแรงจะให้รสขี่หลังหรอก คู่กับพิมดีกว่า ตัวเล็กๆ น่าจะพอไหว”
ภคพงษ์แอบเคืองนิดๆ พิมพรรณไม่ยอม
“พี่ห้าว อย่ามางอแงสิ มีน้ำใจนักกีฬาหน่อย จับได้คนไหนก็คนนั้นสิ”
“พี่ไม่ได้พาล แต่พี่แค่เห็นใจ ไม่อยากให้ใครบางคนต้องหน้าแตกจากความพ่ายแพ้อันแสนยับเยิน”
ห้าวมองภคพงษ์อย่างดูถูกและกวนประสาท ภคพงษ์ตอบกลับนิ่งๆ
“ไม่เป็นไรครับ..ผมยินดีรับความพ่ายแพ้ที่เกิดจากการเลือกของผมเอง ดีกว่าชนะเพราะเอาเปรียบคู่ต่อสู้ ผมจะไปรอที่จุดสตาร์ต เชิญครับ”
ภคพงษ์ผายมือให้รสาเดินไปอย่างอ่อนโยนน่ารัก รสาเดินนำไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ ห้าวยืนแค้นกัดฟันกรอด
ทั้งหมั่นไส้ ทั้งอิจฉา...มันขาว
รสาวางเจ้าปุยไว้ที่พื้นหาด เจ้าปุยวิ่งลงไปเล่นน้ำอย่างร่าเริง รสาหันไปมองธงที่ปักอยู่ไกลมากข้างหน้า ก่อนจะหันมาทางภคพงษ์
“แน่ใจนะว่า อยากจะเล่นจริงๆ ถ้าคุณฝืนใจ”
ภคพงษ์สวนทันที
“ผมไม่เคยทำในสิ่งที่ฝืนใจตัวเอง ถ้าผมรับปากว่าจะทำ ก็คืออยากทำ เต็มใจทำ และจะทำอย่างดีที่สุด”
ภคพงษ์พูดอย่างจริงจัง เสียงห้าวดังมา
“ขี้โม้”
ภคพงษ์สะดุดนิดๆ นิ่งและหยุดพูด ห้าวเดินมาสมทบ พิมพรรณตามมาติดๆ
“โม้แล้วก็ทำให้ได้อย่างที่พูดก็แล้วกัน”
ภคพงษ์ปรายตามามอง แอบเคือง ห้าวพูดต่อด้วยความกวนแต่เสียงเบาๆ เหมือนจะให้ได้ยินกันสองคน “เตรียมตัวพบกับความพ่ายแพ้ได้เลย”
ห้าวยิ้มเยาะแล้วก็เดินผ่านไปยังตำแหน่งของตัว ภคพงษ์มองตามนิดๆ ห้าวย่อตัวลง พิมพรรณเดินมาขึ้นขี่หลัง ภคพงษ์ยืนอยู่ที่เดิมจนรสาต้องบอก
“คุณภัค...ย่อตัวลงสิคะ ยืนแบบนี้ฉันจะขี่หลังคุณได้ยังไง”
ภคพงษ์หันมาพยักหน้ารับรู้ก่อนจะค่อยๆย่อตัวลง รสามองแผ่นหลังภคพงษ์ที่รออยู่ตรงหน้าด้วยความเก้อเขิน ภคพงษ์หันมาบอก
“ผมพร้อมแล้ว”
“เอ่อ...ค่ะ”
รสาค่อยๆยื่นมือไปจับไหล่ภคพงษ์และค่อยๆโน้มตัวไปข้างหน้า ตัวของรสาค่อยๆแนบลงที่แผ่น
หลังของภคพงษ์ เรียวขาวางขนาบข้างตัว ภคพงษ์จับเรียวขายาวของรสาไว้
รสาสะเทิ้นนิดๆ ก่อนจะค่อยๆดันตัวออกนิดๆ เพราะไม่อยากเอาตัวไปติดกับแผ่นหลังของภคพงษ์มากเกินไปแต่ภคพงษ์หันมาบอก
“เกาะแน่นๆ จะได้วิ่งถนัดๆ”
รสาจำใจต้องเกาะหลังภคพงษ์ให้แน่นๆ ใจเต้นโครมคราม !
วิมลถือกระจาดปลามาตาก แล้วก็เหลือบไปที่ชายหาด ก่อนจะเพ่งด้วยความแปลกใจ
“นั่นใคร .. ทำอะไรกัน”
ห้าวปรายตามองภคพงษ์ด้วยความแค้น ไม่พอใจที่มีรสาขี่หลังอยู่ ห้าวโพล่งออกมา
“ช้าจังเว้ย เร็วๆหน่อย ขี้เกียจรอ จะรีบชนะ”
ภคพงษ์ปรายตาเล็กน้อยก่อนจะตอบ
“พร้อม !”
“พร้อมแล้วก็เริ่มได้” ห้าวสวนทันที
ห้าวพูดจบก็วิ่งไปเลย พิมพรรณตกใจไม่ทันตั้งตัว หน้าหงายเล็กน้อย
“ว้าย พี่ห้าว”
ภคพงษ์มองตามอย่างงงนิดๆ รสารีบเร่ง
“คุณภัครีบวิ่งไปสิคะ”
ภคพงษ์พยักหน้ารับแล้วก็รีบวิ่งไปทันที เสียงรสาเร่ง และเสียงพิมพรรณวี้ดว้ายดังไปทั่วหาด
“คุณภัคสู้ๆ คุณภัคเร็วๆค่ะ แซงไปเลย”
“พี่ห้าว วิ่งดีๆสิ เฮ้ย...พิมจะตกอยู่แล้ว ว้าย”
เสียงเจ้าปุยเห่าดังประกอบกันเข้าไปอีก
วิมลยืนดูอยู่ที่เดิมด้วยความตกใจ
“ตายแล้ว ยัยพิม ยัยรส ห้าวกับคุณภคพงษ์ด้วยเหรอเนี่ย เล่นกันเป็นเด็กๆไปได้”
พร้อมเดินมาสมทบ
“เป็นเด็กๆก็ดีแล้วนี่แม่...พ่อไม่อยากให้ลูกๆโตเลย โตแล้วก็มีแต่ปัญหา โดยเฉพาะปัญหาเรื่องผู้ชาย ปวดหัวที่สุด”
พร้อมบ่นเข้าเรื่องจนได้ วิมลได้แต่ส่ายหน้า...เฮ่อ...
ห้าวพาพิมพรรณวิ่งนำมาแต่ไม่ห่างมาก ภคพงษ์กับรสาวิ่งตามมาติดๆ ห้าวเหลือบไปมอง เห็นว่า
ภคพงษ์ตามมาติดๆ ก็วิ่งไปปาดหน้าภคพงษ์กะให้เสียหลักล้ม
“ว้าย พี่ห้าว”
ภคพงษ์ชะงักเท้า รสาตกใจ
“คุณภัคระวังค่ะ”
ภคพงษ์หลบทัน แต่ต้องเบรกกะทันหัน รสาตกใจ
“อุ๊ย”
รสากอดภคพงษ์แน่นขึ้นด้วยความตกใจ ภคพงษ์สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นของรสา ภคพงษ์อมยิ้มนิดๆ แล้วก็ฮึดสู้ ภคพงษ์รีบตั้งหลักและเร่งสปีดวิ่งพุ่งไป รสาตกใจยิ่งรั้งกอดภคพงษ์ไว้แน่นยิ่งขึ้น
“ว้าย”
ห้าวที่ยิ้มกริ่มสะใจกำลังวิ่งอยู่อย่างมั่นใจก็ชะงักเพราะอยู่ๆ ภคพงษ์ก็สปีดขึ้นมาแซง
“เฮ้ย”
ห้าวไม่ยอมรีบเร่งอย่างฮึด
“ฉันไม่ยอมหรอกเว้ย”
ห้าวเร่งสปีดขึ้นอย่างเร็ว ภคพงษ์เร่งสปีดวิ่งแข่งกัน เสียงร้องเชียร์ของทั้งสองสาวดังสดใส ห้าวและภคพงษ์วิ่งไปก็เหล่มองกันไป ไม่มีใครยอมใคร ทั้งสองคนวิ่งมาเกือบจะถึงเส้นชัยแล้ว ทันใดนั้นเองเจ้าปุยก็วิ่งพรวดเข้ามาตัดหน้าห้าว ปุยส่งเสียง “โฮ่ง” ห้าวตกใจ
“เฮ้ย”
ห้าวเบรกกะทันหันเสียหลักล้มลง พลั่ก ! พิมพรรณร้องดังลั่น
“ว้าย”
ห้าวและพิมล้มลงไปคลุกอยู่กับหาดทราย
ตะวันทอแสง ตอนที่ 6 (ต่อ)
ภคพงษ์พารสาเข้าเส้นชัยก่อน รสาชิงผ้าที่แขวนอยู่และร้องด้วยความดีใจ
“เย้ ! ชนะแล้ว”
รสากระโดดลงจากหลังภคพงษ์แล้วก็หันมากอดคอภคพงษ์ด้วยความดีใจและลืมตัว
“เยส ! ๆๆ ไม่น่าเชื่อเลย จะชนะจริงๆ เย้ๆๆ”
ภคพงษ์มองแขนรสาที่โอบไหล่ตัวเองอย่างกันเองแล้วอมยิ้ม หันมามองหน้ารสาที่กระโดดไปมาอย่างดีใจ
เหมือนเด็กก็ยิ้มกว้างตามไปด้วย รสาหันมาทางภคพงษ์ด้วยใบหน้าที่เปื้อนยิ้ม
“แจ๋วจริงๆค่ะคุณภัค สุดยอดไปเลย”
รสาเห็นภคพงษ์กำลังมองอยู่ในระยะใกล้ก็ชะงักกึก
“อุ๊ย..ขอโทษค่ะ”
รสารีบเอามือออกจากการโอบไหล่ แล้วดีดตัวออกอย่างเก้อเขิน
ห้าวกับพิมพรรณล้มกลิ้งอยู่ที่พื้น
“โอ้ย..พี่ห้าวนะพี่ห้าว วิ่งยังไงล้มมาได้”
“ก็ไอ้เจ้าปุยน่ะสิมันตัดหน้า...บ้าจริงๆ”
ห้าวร้องออกมาด้วยความเสียดาย
ภคพงษ์เอื้อมมือมาหยิบผ้าจากมือรสาแล้วบอก
“ชัยชนะนี้เป็นของเธอนะรสา”
ภคพงษ์ผูกผ้าที่ข้อมือรสา
ภคพงษ์เงยหน้ามองรสาแล้วบอก
“ถ้าไม่ได้เธอ..ฉันคงไม่ชนะ”
ภคพงษ์ยิ้มอย่างน่ารัก เปิดเผยและเป็นธรรมชาติ รสาตะลึงอึ้งงันไป..รู้สึกตื่นเต้น ใจเต้นโครมคราม
ห้าวมองภาพที่อยู่เบื้องหน้าด้วยความไม่พอใจ แค้น และแอบเป็นห่วงรสาอยู่ลึกๆ
ภคพงษ์มองรสาด้วยแววตาที่อบอุ่น อ่อนโยนและจริงใจ
ภายในบ้านวงศ์เธียรสถิตย์อันสวยงาม แต่แฝงด้วยความเครียดบางอย่างแตกต่างจากความสุขที่ทะเลระยองอย่างสิ้นเชิง รัชนีเดินเข้ามาในชุดสวยสง่ามีสไตล์ มองเห็นปรางทิพย์นั่งอ่านนิตยสารอยู่ที่ห้องรับแขกก็เดินมาหา
พร้อมรอยยิ้ม
“ปราง..ทำอะไรอยู่ลูก”
ปรางทิพย์หันมายิ้มตอบ
“อ่านสัมภาษณ์ชายในฝันของสาวๆค่ะแม่”
รัชนีเลิกคิ้ว
“นี่ลูกแม่โตเป็นสาวจนเริ่มสนใจชายในฝันแล้วเหรอเนี่ย ใครจ๊ะ”
ปรางทิพย์ตอบอย่างร่าเริง
“คุณภคพงษ์ เถลิงยศค่ะ”
รัชนีอึ้งหน้าเปลี่ยนสีไปทันที
“เค้าเป็นคนที่สมบูรณ์แบบมากเลยนะคะแม่ ทั้งครอบครัว ฐานะ การศึกษา รูปร่าง หน้าตา แถมยังนิสัยดีอีกต่างหาก ปรางไม่แปลกใจเลยค่ะที่เค้าได้รับเลือกเป็นหนุ่มฮอตชายในฝันของสาวๆ”
“แต่แม่ว่า...ปรางอย่าไปสนใจเลย”
รัชนีพูดพร้อมกับดึงหนังสือมาจากมือปรางทิพย์ไปทันที ปรางทิพย์มองอย่างงงๆ
“อ้าว...ทำไมคะแม่”
“ก็..ปรางยังเด็ก แม่อยากให้ปรางสนใจเรื่องเรียนมากกว่าเรื่องผู้ชาย”
ปรางทิพย์สะอึก ลุกขึ้น โต้แย้ง
“ปรางแค่อ่านสัมภาษณ์พี่เค้าไม่ได้แปลว่าปรางจะสนใจเค้าในแง่นั้นสักหน่อย ทำไมคะ หรือว่าปรางอ่านบทสัมภาษณ์ของผู้ชายไม่ได้เลย”
“เปล่านะลูก แม่แค่ป็นห่วง”
“คุณแม่ห่วงปรางมากเกินไปค่ะ ปรางโตแล้วนะคะคุณแม่...คุณแม่ไม่ต้องห่วงค่ะ ปรางดูแลตัวเองได้” ปรางทิพย์พูดอย่างแสดงความคิดเห็นไม่ได้แสดงอารมณ์แม้แต่น้อย ปรางทิพย์ยื่นมือไปหยิบหนังสือไปจากมือรัชนี
“ปรางขออนุญาตอ่านต่อนะคะ”
รัชนีไม่อยากให้แต่ปรางทิพย์มองหน้า รัชนีจึงยอมปล่อยให้ทั้งที่ร้อนใจ ปรางทิพย์ยิ้มสดใสแล้วก็เดินออกไปอ่านที่อื่น รัชนีมองตามด้วยความร้อนใจ ความกังวลใจบางอย่างเริ่มก่อตัวเข้ามารบกวนจิตใจ
ปรางทิพย์นั่งลงที่มุมสวยอีกมุมหนึ่งของบ้าน แล้วเปิดหนังสือมาที่หน้าสัมภาษณ์ภคพงษ์ มองดูรูปอันหล่อเหลาของภคพงษ์ด้วยรอยยิ้มนิดๆ อย่างชื่นชม
ธงผ้าที่รสาได้จากการชนะขี่หลัง วางอยู่ที่หน้ากระจก หลังอาบน้ำ รสาเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่เดินออกจากห้องน้ำมาที่หน้ากระจกมัดผมรวบหางม้าน่ารักตามสไตล์ แล้วก็เหลือบไปเห็นผ้าที่วางอยู่ รสายิ้มนิดๆ หยิบมาดู
ภาพตอนวิ่งแข่งกันและภคพงษ์ผูกข้อมือให้แว่บเข้ามา รสายิ้มนิดๆ ทั้งเขิน ทั้งแปลกใจในความน่ารักของภคพงษ์แล้วก็หันไปที่หัวเตียง รสาถือผ้าเดินไปที่หัวเตียงและผูกเป็นโบว์ไว้อย่างน่ารัก รสายิ้มน้อยๆด้วยประกายตาที่เป็นมิตร ความรู้สึกที่มีต่อภคพงษ์ได้เปลี่ยนไปโดยที่เธอไม่รู้ตัว
รสาเดินออกมาจากห้องนอนไปหาพิมพรรณที่ห้องนอน แต่ไม่เห็น รสาเรียก
“พิม...พิม...พิม”
ไม่มีเสียงตอบ รสาคิดอย่างเป็นห่วง...
มุมเงียบมุมหนึ่ง บริเวณนอกบ้าน พิมพรรณเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วนั่งมองโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ตรงหน้า พิมพรรณคิดแล้วก็ตัดสินใจหยิบมากดโทร.ออกหาวาริช พิมพรรณรอสายด้วยความตื่นเต้นเป็นกังวลสายเข้าในจังหวะที่วาริชกำลังลงจากรถพอดี วาริชเห็นเป็นชื่อพิมพรรณก็รีบกดทิ้ง พิมพรรณสะดุ้งนิดๆ หน้าซีด ใจเสียที่โดนตัดสายทิ้ง
วาริชจอดรถอยู่ริมทะเล และรีบเก็บมือถือใส่กระเป๋า วาริชแอบกังวลนิดๆ ... เสียงโบว์ดังขึ้น
“พี่วามีอะไรหรือเปล่าคะ”
วาริชหันไปยิ้มเนียน
“ลูกค้าน่ะ ครูที่โรงเรียนที่พี่ไปรับงานไว้ ชอบโทร.มาถามเรื่องงานไม่รู้เวล่ำเวลา พี่ขี้เกียจรับ พี่ว่า..เรารีบไปหาที่นั่งเล่นกันดีกว่าจ้ะ พี่เตรียมของชอบของน้องโบว์มาทั้งนั้นเลยนะ รับรองจะต้องถูกใจ” วาริชพูดพลางเปิดประตูรถหยิบเสื่อ และกล่องของกินเตรียมไปปิกนิก
โบว์ยิ้มกว้างสดใส
“ขอบคุณค่ะ”
โบว์เดินมาควงวาริชเดินไปที่ริมทะเล วาริชยิ้มระรื่นอย่างมีความสุข
พิมพรรณนั่งหน้าตาทุกข์ระทม แววตาเต็มไปด้วยความกังวล ครุ่นคิด จิตตกและมองโทรศัพท์ด้วยความลังเล พิมพรรณคิด โทร. / ไม่โทร. / โทร. / ไม่โทร.
ทันใดนั้นมือรสาก็ยื่นเข้ามาพร้อมกับหยิบโทรศัพท์ออกไปจากตรงหน้าพิมพรรณ
“ไม่ต้องโทร”
พิมพรรณเงยหน้าขึ้น รสายืนหน้าเข้มอยู่ พร้อมกับพูดอย่างเด็ดเดี่ยว
“โทร.ไปเค้าก็ไม่ยอมรับ ถามยังไงเค้าก็ไม่มีวันบอกความจริง แล้วพิมจะโทร.ไปทำไม”
พิมพรรณก้มหน้าบอก
“พิมก็ไม่รู้เหมือนกัน”
“ไม่รู้ยิ่งไม่ต้องโทร.”
รสาดึงตัวพิมพรรณลุกขึ้นแล้วมองหน้ารสาอย่างงงๆ
“ลุกขึ้น ลุก แล้วก็เลิกคิดวนไปวนมาได้แล้ว คิดมากไปก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น”
“แต่มันก็อดคิดไม่ได้นะรส มันอยากรู้คำตอบ มันอยากจะได้ความกระจ่าง มันอยากแบบ เคลียร์ ๆ แต่พอมันไม่เคลียร์พิมก็เครียด ถ้ารสไม่ให้พิมคิด รสจะให้พิมทำอะไร”
รสาตอบสวนขึ้นมาอย่างหนักแน่น
“กิน”
พิมพรรณตาโตนิดๆถาม
“กินเนี่ยนะ”
รสาพยักหน้ายืนยันเสียงจริงจัง อื้อ !
บนโต๊ะหน้ารีสอร์ตพร้อม มีกล่องอาหาร ขวดน้ำและอุปกรณ์ปิกนิกวางอยู่ รสารีบอธิบายด้วยความกระตือรือร้นพลางจับมือพิมพรรณ
“นี่คืออาหารกลางวันของเราสองคน รสเตรียมไว้แล้ว เราจะไปกินกันที่สะพาน ที่โปรดของพิม ไป...กินแล้วจะได้ไม่ต้องคิดมาก พอกินมากๆๆ จนอ้วน ก็จะได้ไปคิดเรื่องลดความอ้วนแทนเรื่องผู้ชายไง” รสาพูดพลางยิ้มทะเล้น
พิมพรรณถึงกับหัวเราะออกมาอย่างขำกับความคิดของรสา
“ฮ่าๆ คิดได้ไงเนี่ย”
รสายิ้มสดใส สบายใจที่ทำให้พิมพรรณหัวเราะออกมา
“ก็จริงป่ะล่ะ”
“ถ้าต้องกินเยอะขนาดนี้ก็คงจะจริงแล้วล่ะ”
“เอาน่า..นานๆจะได้ไปปิกนิกกันทีก็ต้องเต็มที่กันหน่อย”
พิมพรรณยิ้มรับพยักหน้า อื้อ !
“รสจะเอามอเตอร์ไซด์ไปนะ เดี๋ยวเราก็ขนของพวกนี้ขึ้นรถแล้วรีบไปกันเลย”
“จ้ะ.. งั้นพิมรีบไปเปลี่ยนอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะ เมื่อกี้เล่นวิ่งขี่หลังตัวยังเหนียวๆอยู่เลย อาบเสร็จแล้วจะรีบตามไปจ้ะ”
“จ้ะ”
รสารับคำ พิมพรรณกระฉับกระเฉงขึ้นรีบลุกขึ้นไปอาบน้ำ รสามองตามอมยิ้มนิดๆ โล่งใจหน่อยๆที่
พิมพรรณยอมไปด้วย
ห้าวอยู่ในชุดดำเตรียมไปงานศพ หน้าตาห้าวไม่ค่อยเต็มใจจะไปนัก ผลไม้ต่างๆถูกวางลงที่ท้ายรถจี๊ปคันประจำรีสอร์ต พร้อมพูดสั่งงาน
“ไอ้ห้าว เอาขนุนกับหม้อแกงไก่ขึ้นรถหรือยัง”
“เรียบร้อยแล้วจ้ะ”
“เรียบร้อยแล้วก็ไป คนที่วัดเค้ารอกินอยู่”
“ลุง...ฉันไม่ไปได้เปล่า”
พร้อมชะงักบอก
“ไม่ได้โว้ย เอ็งไม่ไปแล้วใครจะช่วยขับรถให้ข้า”
“ฉันก็ขับนี่แหละ แต่แค่ขับไปส่งแล้วก็ขับกลับมา ลุงจะให้ฉันไปรับเมื่อไหร่ก็บอก ลุงจะได้มีเวลานั่งเม้าท์กับเพื่อนไม่ต้องห่วงว่าฉันจะรอไง”
พร้อมสวนบอก
“ข้าไม่เคยห่วงว่าเอ็งจะรออยู่แล้ว เอ็งมีหน้าที่รอก็รอไป แล้วไอ้ที่ข้าจะไปมันเป็นงานศพนะเว้ย ไม่ใช่งานรื่นเริง จะได้ไปนั่งเม้าท์ นั่งนินทาชาวบ้าน เอ็งไม่ต้องมาโยกโย้ รีบๆไปเลย ที่วัดเค้ารออยู่ ไป”
พร้อมเดินนำขึ้นรถไป ห้าวมองเข้าไปในรีสอร์ตด้วยความเป็นกังวล กลัวว่าภคพงษ์จะมีโอกาสอยู่กับรสาเป็นส่วนตัว
รถมอเตอร์ไซด์สองคันจอดอยู่ที่หน้าบ้านพร้อม รสากำลังจัดของใส่ตะกร้าก่อนวางใส่รถ พิมพรรณเดินมาพอดี รสาหันมาเห็นก็ยิ้มให้แล้วถาม
“พร้อมยังพิม”
พิมพรรณเหลียวซ้ายแลขวาแล้วถาม
“พิมพร้อมแล้ว แต่...”
รสามองตาม
“พิมมองหาอะไร”
ทันใดนั้นพิมพรรณก็ปรายตาไปเห็นภคพงษ์ พิมพรรณตะโกนเรียกขึ้น
“คุณภัค ทางนี้ค่ะ”
รสาชะงักหันไป
ภคพงษ์ที่เดินอยู่ไม่ไกลหันมาพอดี พิมพรรณโบกมือยิ้มทักทาย
“ทางนี้ค่ะ”
ภคพงษ์ยิ้มรับแล้วเดินมาหา พิมพรรณหันมาบอกรสา
“พิมชวนคุณภัคไปด้วยกันนะ”
รสาตาโตหันขวับมา
“หะ แต่ว่าเราจะไปมอเตอร์ไซด์กันนะพิม”
ภคพงษ์เดินมาได้ยินพอดีบอก
“ผมไปได้”
รสาหันมา ภคพงษ์เดินมาหยุดยืนอยู่ข้างๆ รสาอึกอักนิดๆ เกรงใจความเป็นคุณหนูของภคพงษ์ พิมพรรณถามขึ้น
“คุณภัคขี่มอเตอร์ไซด์เป็นมั้ยคะ”
ภคพงษ์มองรถแล้วก็ทำเป็นคิดๆ รสาเห็นท่าทางของภคพงษ์แล้วก็คิดไปเอง
“ไม่เป็นล่ะสิ”
ภคพงษ์หันมาเห็นหน้ารสาแล้วก็นึกอยากแกล้งเลยไม่ตอบ ปล่อยให้เข้าใจว่าขี่ไม่เป็น
พิมพรรณแทรกเสนอขึ้น
“งั้นคุณภัคไปกับรสนะคะ”
“อ้าว”
“แล้วเจอกันที่สะพานนะรส”
พิมพรรณขึ้นค่อมมอเตอร์ไซด์แล้วขี่ออกไปเลย
รสาได้แต่มองตามอย่างงงๆ
“อ้าว...พิม พิม”
พิมพรรณไม่ฟัง ไม่หยุด ภคพงษ์แอบสะใจแล้วยิ้ม เมื่อรสาหันมา ภคพงษ์ก็หุบยิ้มทำหน้านิ่ง
“ซ้อนมอเตอร์ไซด์เป็นหรือเปล่าคะ”
“ก็ต้องลองดู”
รสากรอกตาแล้วก็บ่นๆ
“เฮ่อ พิมนะพิมหาเรื่องให้แท้ๆ”
รสาบ่นเบาๆ แล้วก็เดินไปค่อมมอเตอร์ไซด์ ก่อนจะหันมาเรียก
“เชิญค่ะ”
ภคพงษ์เดินมาเตรียมขึ้นรถ รสาสำทับอีก
“นั่งนิ่งๆล่ะคุณ”
ภคพงษ์แอบมองด้วยความมันเขี้ยวนิดๆ ที่รสาสั่งโน่นนี่เหมือนเป็นพี่เลี้ยงเด็ก ภคพงษ์ขึ้นค่อมเบาะหลังแล้ว
แกล้งขย่มนิดๆ จนรถเอียง รสาต้องโหนรถไว้ไม่ให้ล้ม
“นี่คุณ..อย่าขยับไปมาสิคะ ฉันบอกให้นั่งนิ่งๆ”
ภคพงษ์อมยิ้มบอก
“ขอโทษ...ไม่ได้ตั้งใจ”
มอเตอร์ไซด์ของรสาแล่นมาบนถนนเส้นสวยงาม รสาขี่อย่างชำนาญทางโดยมีภคพงษ์นั่งซ้อนอยู่ข้างหลัง เส้น
ผมของรสาปลิวละมาด้านหลัง ภคพงษ์แอบมองรสาจากด้านหลังในระยะประชิด ภคพงษ์อมยิ้มนิดๆ สัมผัสได้ถึงความเป็นธรรมชาติ รสาขี่อย่างตั้งใจ ภคพงษ์แอบมองรสาอย่างมีความสุข
มอเตอร์ไซด์ของพิมพรรณมาจอดเทียบที่ปลายสะพาน มอเตอร์ไซด์ของรสาตามมาจอดไม่ห่าง รสาเบรก เอี๊ยด! ภคพงษ์แกล้งทำเป็นเซโถมตัวใส่ รสาร้องขึ้น
“โอ๊ย! ฉันไม่ได้เบรกกะทันหันขนาดนั้นสักหน่อย”
“ขอโทษ..ไม่ได้ตั้งใจ”
รสามองหน้าอย่างรู้ทัน
“ไม่ตั้งใจ แต่ยิ้ม..ใครจะเชื่อ ลงสิคะ...ถึงแล้ว หรือว่าอยากเฝ้ารถ ไม่อยากกินข้าว”
รสาทำกวนใส่ ภคพงษ์ลงจากรถอย่างว่าง่าย พิมพรรณมองรสากับภคพงษ์แล้วก็ส่ายหน้านิดๆ
รสาสะบัดผ้าปูที่พื้น พิมพรรณเตรียมจัดวางของกินบนผ้าที่ปูไว้ ภคพงษ์ยืนอยู่ไม่ห่างออกไป มองวิวรอบๆด้วยความสบายใจ รสามองหาของ พิมพรรณหันมาถาม
“รสหาอะไร”
“แก้ว กับ ช้อน สงสัยจะลืมหยิบมาด้วย รสเก็บไว้ในกล่องบนรถพิมน่ะ”
“งั้นเดี๋ยวพิมไปหยิบให้”
รสาบอก “ไม่เป็นไร” แล้วหันไปทางภคพงษ์
“คุณภัคคะ..รบกวนไปหยิบแก้วกับช้อนที่อยู่ในกล่องใส่ของบนรถพิมพ์มาให้หน่อยได้มั้ยคะ ในฐานะที่ยืนเฉยๆไม่ได้ทำอะไรอยู่คนเดียว”
“รส คุณภัคเค้าเป็นแขกนะ ไปใช้เค้าได้ไง เดี๋ยวพิมไปหยิบเอง”
ภคพงษ์รีบบอก
“ไม่เป็นไรครับ รสาพูดถูก ผมยืนเฉยๆอยู่คนเดียว เดี๋ยวผมไปหยิบให้เองครับ”
รสาพยักหน้าให้พิมพรรณส่งกุญแจรถให้
“ขอบคุณค่ะ”
ภคพงษ์รับกุญแจมาแล้วก็เดินไปอย่างว่าง่าย พิมพรรณมองตามแล้วก็ยิ้มๆ
“คุณภคพงษ์เนี่ย เป็นคนน่ารักมากเลยนะรส ถ้าเค้าจีบรสเมื่อไหร่ รีบรับเป็นแฟนเลยนะ”
รสาสะอึกมองหน้าพิมพรรณ
“พิม .. แดดร้อนไปเปล่า ถึงได้เพ้อกลางวัน”
“พิมพูดจริง ทั้งหล่อ ทั้งรวย ไม่ถือตัว เพอร์เฟคสุดๆ เห็นๆอยู่ พิมไม่ได้เพ้อสักหน่อย”
“อันเนี้ยไม่ได้เพ้อ แต่ที่บอกว่าเค้าจะมาจีบรสน่ะ...เพ้อ”
รสาพูดจบก็ส่ายหน้าไม่อยากจะเก็บมาคิดก้มหน้าก้มตาจัดอาหารออกจากกระเป๋าต่อ
พิมพรรณยักไหล่อ่อนใจนิดๆ ที่เพื่อนรักไม่เชื่อในสายตาของตัวเอง
ภคพงษ์เดินมาถึงที่รถกำลังจะเอากุญแจไขหยิบของ แต่สังเกตเห็นว่า รถจอดตากแดดอยู่ทั้งสองคัน ภคพงษ์มองหาที่ร่มๆ จะเอารถไปแอบ ภคพงษ์มองไปมาเห็นมุมหนึ่งใต้ต้นไม้ค่อนข้างไกลออกไป
ภคพงษ์ตัดสินใจจูงรถไปหลบแดดทีละคันอย่างใส่ใจ
ส่วนรสาชะเง้อมองหาภคพงษ์และเริ่มแปลกใจที่เห็นไปนาน
“ทำไมนานจัง”
“เดี๋ยวพิมไปดูให้เอามั้ย”
“ไม่เป็นไรจ้ะ เดี๋ยวรสไปดูเอง วันนี้เป็นวันของพิมนะ ห้ามพิมทำอะไรทั้งนั้น อยู่นิ่งๆ แล้วก็ทำใจให้สบายนะ” “ขอบใจจ้ะ”
รสาลุกเดินตามภคพงษ์ไป พิมพรรณมองตามนิดๆแล้วก็ถอนใจเบาๆ ถึงจะพยายามสดใส แต่ในใจก็โหวงๆ เศร้าๆ เรื่องวาริชอยู่ดี
ภคพงษ์เลื่อนรถรสามาหลบใต้เงาร่มไม้ คันของพิมพรรณยังจอดอยู่ที่เดิม ภคพงษ์กำลังจะหันหลังไปเลื่อน
รถอีกคัน พลันเหลือบไปเห็นสิ่งผิดปกติบางอย่าง ภคพงษ์ชะงักนิดๆ แล้วเพ่งมองด้วยความแปลกใจที่เห็นวาริชนั่งอยู่กับโบว์ ทั้งสองคนคลอเคลียอิงแอบกันอย่างสนิทสนทอยู่ที่มุมมิดชิดมุมหนึ่งของสวน ภคพงษ์ยืนครุ่นคิดว่าจะทำยังไงต่อไป
รสาเดินมาที่มุมหนึ่งเห็นรถของพิมพรรณจอดอยู่ที่เดิมเพียงคันเดียวก็แปลกใจ รสากวาดสายตาไปจน
เห็นภคพงษ์ยืนอยู่กับรถอีกคันที่อีกมุมหนึ่ง
“อ้าว..ไปอยู่ตรงนั้นได้ไง”
รสาเดินไปหาภคพงษ์แล้วถาม
“คุณภัค มายืนทำอะไรอยู่ตรงนี้คะ”
ภคพงษ์ไม่ตอบแต่พยักหน้าไปทางวาริช รสามองตามแล้วก็อึ้งที่เห็นวาริชคลอเคลียกับหญิงสาว
“ไอ้วาริช”
รสาหันมาทางภคพงษ์กำลังสงสัยว่ารสาจะทำยังไงต่อ แต่ยังไม่ทันที่รสาจะคิดอะไร เสียงพิมพรรณก็ดังขึ้น
“รส ... แม่โทร.มาถามเรื่องอาหารเย็น แม่ถามว่า คุณภัคกับรสอยากทานอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า ตอนนี้แม่อยู่ตลาดจะได้ซื้อมาให้”
พิมพรรณเดินพูดมาด้วยความสดใส มือถือโทรศัพท์อยู่ รสากับภคพงษ์สีหน้าเครียดหันมา
“รส..คุณภัค มีอะไรหรือเปล่า” พิมพรรณถาม
รสาอึกอักพูดไม่ออก
“แล้วนี่ยืนดูอะไรกัน พิมดูด้วยสิ”
รสาพยายามจะห้าม แต่ไม่ทัน พิมพรรณหันไปเห็นวาริชกับโบว์กำลังหวานซึ้ง หยอกล้อ ป้อนขนมให้กันก็ยืนอึ้ง ตัวชาวาบ โทรศัพท์มือถือหล่นจากมือในทันที
“พิม”
ภคพงษ์ก้มเก็บโทรศัพท์ให้
พิมพรรณเสียงสั่นบอก
“รส พิมคงไม่กินแล้ว พิมปวดหัว พิมกลับบ้านก่อนนะ”
พิมพรรณหันมาทางภคพงษ์
“ขอกุญแจรถด้วยนะคะ”
ภคพงษ์ส่งให้ พิมพรรณรับมาแล้วก็เดินตัวชาไปที่รถ รสาเรียกด้วยความเป็นห่วง “พิม”
ภคพงษ์รีบหันมาบอกรสาอย่างอ่อนโยนพร้อมกับส่งโทรศัพท์มือถือพิมพรรณให้รสา
“คุณกลับไปกับพิมเถอะรสา”
“แล้วคุณ”
“ผมจะดูเก็บของให้ แล้วจะขี่คันนี้กลับไปเอง”
“อ้าว...นี่คุณขี่เป็นเหรอ”
ภคพงษ์เฉไฉรีบดันรสาไป
“รีบไปเถอะน่า”
ภคพงษ์เอาตัวรอดไป รสาพะวักพะวงใจก็อยากจะด่าที่หลอก แต่อีกใจก็ห่วงพิมพรรณ เลยจำใจต้องรีบเดิน
ตามพิมพรรณไป
“พิม..รอด้วย”
ภคพงษ์มองตามรสาไปเห็นรสายืนขวางรถพิมพรรณอยู่และไล่ให้พิมพรรณขยับเลื่อนไป รสาขึ้นมาประจำตำแหน่งคนขับ รถค่อยๆออกไป พิมพรรณเกาะเอวรสาแล้วร้องไห้ออกมาอย่างน่าสงสาร
รสาขี่รถไปแต่ก็หันมามองพิมพรรณเป็นระยะด้วยความเป็นห่วง รสาใช้มือข้างที่ไม่ได้จับคันเร่งมา
จับมือพิมพรรณเป็นการปลอบใจ
ภคพงษ์มองตามทั้งสงสาร ทั้งประทับใจในความเอื้ออาทรของรสาและพิมพรรณ
ภคพงษ์ค่อยๆหันมาทางวาริชอีกครั้ง วาริชยังคงหวานชื่นกับหญิงสาวโดยไม่รู้เลยว่า มีใครกำลังเจ็บปวดอยู่
ภายในห้องเวลาต่อมา พิมพรรณร้องไห้อย่างหนักเปิดตู้หยิบชุดที่วาริชซื้อให้ออกมาขยำๆชุด ก่อนจะทิ้งลงในถังขยะ รสายืนมองอยู่ห่างๆ ที่หน้าประตู พิมพรรณทิ้งตัวลงบนเตียงแล้วร้องไห้ รสาเดินเข้ามาหาและจับไหล่เบาๆอย่างปลอบใจ
“พิม”
“รส....พิมขออยู่คนเดียวสักพักนะจ้ะ” พิมพรรณพูดโดยไม่มองหน้า
รสาพยักหน้าอย่างเข้าใจ
“รสอยู่ข้างล่างนะ”
พิมพรรณพยักหน้าช้าๆรับรู้ รสาค่อยๆลุกเดินออกมา ก่อนจะออกจากห้อง รสาหันไปมองอีกครั้งด้วยความเห็นใจ พิมพรรณนอนร้องไห้อยู่บนเตียงอย่างน่าสงสาร
เวลาเย็น พระอาทิตย์กำลังจะตกดิน รถของพร้อมก็แล่นเข้ามาจอดที่หน้ารีสอร์ต
“เฮ่อ..ถึงซักที”
ห้าวจอดรถได้ก็รีบวิ่งลงจากรถทันที พร้อมตกใจนิดๆ
“อ้าวๆๆ ไอ้ห้าวจะรีบไปไหนของเอ็งหะ แล้วของหลังรถยังไม่ได้ยกลงเลย”
“เดี๋ยวฉันมายกให้จ้ะ แป๊บนึง” ห้าวร้องตะโกนกลับมา
ห้าวพูดแล้วก็รีบวิ่งเข้าไปในบ้านทันที พร้อมมองตามแล้วก็ส่ายหน้า
ตะวันทอแสง ตอนที่ 6 (ต่อ)
รสาดูแบบบ้านทางแทบเล็ตและสเก็ตซ์แบบไปพลางๆอยู่ที่ระเบียง ตาก็คอยมองขึ้นไปที่ห้องพิมพรรณที่ชั้นบนด้วยความเป็นห่วง ทันใดนั้นห้าวก็วิ่งเข้ามา
“รส”
รสาหันมา ห้าวรีบมองไปรอบๆ
“รสทำอะไรจ้ะ แล้วอยู่กับใคร”
“รสนั่งทำงานอยู่จ้ะ แล้วก็อยู่คนเดียว พี่ห้าวเห็นรสนั่งอยู่กับใครเหรอ”
“เปล่าจ้ะ ก็เห็นรสนั่งอยู่คนเดียวนี่แหละ อยู่คนเดียวก็ดีแล้ว พี่นึกว่าจะมีคนไม่น่าไว้ใจมาเกาะแกะสร้างความรำคาญให้รส”
“เฮ่อ..ของรสน่ะไม่มีหรอก แต่ของพิมน่ะสิ..เจอจัดหนักเข้าไปเมื่อตอนกลางวัน” รสาถอนใจ
ห้าวขมวดคิ้วถาม
“เกิดอะไรขึ้น”
ภายในห้องอาหาร วิมลโวยไปทำกับข้าวไป
“จะเกิดอะไร ก็เกิดลูกค้าอยากจะกินข้าวพร้อมกันทั้งรีสอร์ตน่ะสิพ่อ ฉันทำจนมือเป็นปลาหมึกอยู่แล้ว ยังทำไม่ทันเลย”
พร้อมยืนอยู่ในครัว ในมือถือหม้อที่เอาไปช่วยงานศพเมื่อกลางวัน
“อ้าวเหรอ..ฉันก็ไม่รู้ว่าแม่ยุ่ง ไม่งั้นจะได้รีบกลับ พอดีที่งานศพแขกก็เย้อะ...เยอะ ต้องช่วยงานเค้าก่อน”
พร้อมพูดจบก็หันไปวางหม้อ
“งั้นเอางี้ เดี๋ยวฉันรีบไปตามไอ้ห้าวให้มาช่วยนะ รอแป๊บนะ”
พร้อมรีบเดินออกไป วิมลรีบตะโกนไล่หลัง
“เร็วๆนะพ่อ ออร์เดอร์มาเพียบเลย เดี๋ยวลูกค้ารอนาน”
พร้อมรีบรับคำพลางวิ่งไปอย่างเร็ว
“ได้ๆ รอแป๊บนะแม่”
พร้อมวิ่งไป ภคพงษ์ที่ยืนอยู่ได้ยินที่สองคนคุยกันก็คิดอะไรอยู่นิดนึงแล้วก็หันมองเข้าไปในครัว
ห้าวถอนใจพร้อมกับพูดด้วยความโล่งใจ
“ดีแล้วที่พิมได้เห็นกับตา เจ็บหน่อยแต่มันก็จริง แล้วพิมเป็นไงบ้าง”
“ยังไม่ออกจากห้องมาเลยจ้ะ”
“ไอ้วาริชนะไอ้วาริช อย่าให้เจอหน้าอีกที....มีต่อย” ห้าวพูดด้วยความแค้น
ทันใดนั้นเสียงพร้อมก็ดังขึ้น
“อะไรๆ เอ็งจะไปต่อยกับใครไอ้ห้าว ไม่ต้องห้าวเลย รีบๆไปช่วยงานในครัวเดี๋ยวนี้เลย ยุ่งจะตายห่.. อยู่แล้ว ยังจะไปมีเรื่องกับคนอื่นเค้าอีก รีบๆมาเลย ให้ไว”
ห้าวหน้าจ๋อยๆรับคำ
“ จ้าๆ ไปแล้ว ๆ รสพี่ไปช่วยงานในครัวก่อนนะ”
รสาลุกขึ้น
“รสไปด้วยจ้ะ”
รสารีบเก็บงานแล้วก็ถือเดินตามห้าวไป
วิมลยกอาหารออกมาเสิร์ฟ
“มาแล้วค่ะ ข้าวผัดทะเล กับ ราดหน้ากุ้งค่ะ”
พร้อม ห้าว และรสาเดินเข้ามาในร้านอาหาร รสาถืองานและแทปเล็ตมาด้วย
“แม่ .. เข้าครัวไป เดี๋ยวปล่อยให้ไอ้ห้าวมันยกเสิร์ฟเอง” พร้อมบอก
“เดี๋ยวรสช่วยด้วยจ้ะ”
วิมลเดินมา
“ไม่เป็นไร ในครัวมีคนทำอยู่แล้ว ฝีมืออย่างนี้เลย”
“หะ มีคนทำแล้ว” ห้าวว่า
“ใครทำ”
รสา ห้าว พร้อม ยืนรอฟังคำตอบด้วยความแปลกใจ
ภายในห้องครัว กระทะไฟลุกท่วมซู่ขึ้นอย่างสวยงาม ภคพงษ์กำลังผัดข้าวผัดด้วยความชำนาญ จังหวะการพลิกตะหลิว และขยับกระทะเรียกได้ว่าขั้นเทพ รสา ห้าว และพร้อมยืนดูอยู่ด้วยความอึ้ง
“คุณภัคทำอาหาร”
“ลีลาไม่ธรรมดาซะด้วย”
ห้าวเบ้ปากพร้อมกับกอดอก
“ท่าดี กินได้หรือเปล่าหรอก”
วิมลเดินแทรกเข้ามาพร้อมกับยกจานเปล่าเข้ามาเก็บ
“กินได้สิ นี่ไง..หมดเรียบ”
ห้าวสะอึกนิดๆ วิมลพูดจบก็เอาจานไปวางในอ่าง
ภคพงษ์เทข้าวผัดจากกระทะลงจานแล้วหันมาบอก
“ข้าวผัดทะเลเรียบร้อยแล้วครับ”
พร้อมสะดุ้งรีบรับคำแล้วหันไปทางห้าว
“จ้ะๆ ไอ้ห้าว ยกไปเสิร์ฟสิเว้ย”
ห้าวอึกอักๆ ทำลีลา
“ไปเร็วๆ”
ห้าวจำใจต้องเดินไปหยิบจานข้าวผัดไปเสิร์ฟ วิมลหันมาทางรสา
“รสเดี๋ยวอาจะทำอีกเตา ให้อาพร้อมเป็นลูกมือ ส่วนรสไปเป็นลูกมือคุณภัคเค้าหน่อยนะ”
“เอ่อ.... ค่ะ”
วิมลหันมาเปิดอีกเตาและวางกระทะเตรียมทำอาหาร พร้อมเข้ามาประจำตำแหน่งข้างเขียง รสาหันไปวางงาน ไว้ที่โต๊ะในครัว แล้วหันมาทางภคพงษ์ที่กำลังดูรายการอาหารจานต่อไป แล้วก็หันมาบอกรสา
“ผมจะทำต้มยำกุ้ง และ ผัดฉ่าทะเล รสา..คุณช่วยเตรียมเครื่องต้มยำให้ผมได้มั้ย”
“ได้ค่ะ ได้”
รสารีบหันมาใส่ชุดทำอาหาร และหยิบของมาคอยช่วยภคพงษ์ด้วยความคล่องแคล่ว แต่แฝงไว้ด้วยความงุนงง
ภคพงษ์ทำอาหารด้วยความชำนาญ มีรสาคอยเป็นลูกมือ รสาแอบมองภคพงษ์ด้วยความทึ่ง ห้าวคอยเสิร์ฟและคอยมองภคพงษ์ด้วยความหมั่นไส้ และมองรสาด้วยความหวง พร้อมกับวิมลทำอยู่อีกเตา แต่ก็แอบมาดูตอนที่ภคพงษ์ทำอาหารด้วยความชื่นชม
บริเวณหน้าร้านลูกค้ากินด้วยความเอร็ดอร่อย
รสาเดินมาช่วยเสิร์ฟบ้าง พอเห็นลูกค้ากินอย่างมีความสุขก็ยิ้มมีความสุข ภคพงษ์ทำอาหารอย่างมีความสุขเช่นกัน
รสาแอบมองภคพงษ์แล้วก็อมยิ้มนิดๆ ห้าวเห็นตอนรสายิ้มพอดีก็ชะงัก
พร้อมถามลูกค้าชายวัย 30 มาดหนุ่มออฟฟิศซ้ำอีกทีด้วยความแปลกใจ
“เพลงแฮปปี้เบิร์ธเดย์”
ลูกค้าชายจุ๊ปากให้พร้อมเบาๆ
“เบาๆครับ คือผมจะเซอร์ไพรส์แฟน วันนี้วันเกิดเค้าก็เลยอยากจะเปิดเพลงแฮปปี้เบิร์ธเดย์ ตอนเอาเค้กไปให้”
“เอ่อ..แต่ลุงไม่แน่ใจว่าจะมีเพลงหรือเปล่า ลุงร้องให้เอามั้ย” พร้อมถามประสาซื่อ
“เอ่อลุงครับ คือผมอยากได้แบบโรแมนติกๆ คือ ว่าพอเป่าเทียนแล้วผมจะขอเค้าแต่งงานด้วยอ่ะครับ”
พร้อมคิดหนัก
“โรแมนติกด้วยเหรอ...เอ...เอางี้ ขอลุงไปถามหลานก่อนนะ”
พร้อมพูดด้วยความหนักใจ
พร้อม วิมล รสา และห้าว ยืนคุยกันอยู่ในครัว ภคพงษ์ยืนอยู่ใกล้ๆโต๊ะที่รสาวางอุปกรณ์ทำงานและแทปเล็ตไว้ รสาพูดด้วยความเสียดาย
“รสไม่มีหรอกจ้ะ เพลงแฮปปี้เบิร์ธเดย์ ... พี่ห้าวมีหรือเปล่า”
ห้าวส่ายหน้า
“ไม่มีเหมือนกัน ยิ่งแบบโรแมนติก ยิ่งไม่มี”
“แล้วเราจะทำยังไงกันดี ลูกค้าอุตส่าห์ซื้อเค้กมาเตรียมเซอร์ไพรส์ซะด้วย แถมยังจะขอแต่งงานอีก”
ภคพงษ์วางมือจากหน้าเตาเดินมาแอบมองลูกค้าชายที่ยืนตื่นเต้นพร้อมกับเค้กอยู่หน้าครัว ภคพงษ์คิด
แล้วก็หันไปทางแทปเล็ตของรสา ภคพงษ์หันมาถามรสา
“ที่นี่มีสัญญาณอินเตอร์เนตหรือเปล่า”
ทุกคนหันมางงๆ รสาตอบอย่างงงๆ
“มีค่ะ”
ภคพงษ์หยิบแทปเล็ตมาแล้วพูดกับรสา
“ผมขอยืมหน่อยนะ”
“เอ่อ..ค่ะ”
ภคพงษ์พูดกับพร้อม
“บอกลูกค้าว่า ผมขอเวลา 2 นาที เตรียมเซอร์ไพรส์ได้เลย”
ภคพงษ์ยิ้มนิดๆ ทุกคนฟังแล้วก็งง...อึ้ง
ภคพงษ์เปิดแทปเลตของรสาและดาวน์โหลดโปรแกรมเปียโนลงในเครื่องอย่างรวดเร็คล่องแคล่ว
และเสียบสายต่อเข้าลำโพงในร้าน
ในร้านอาหาร..ไฟในร้านค่อยๆหรี่ลง คนในร้านมองซ้ายมองขวาด้วยความแปลกใจ
ทันใดนั้นเสียงเปียโนจากแทปแลตก็ดังขึ้นเป็นเพลงแฮปปี้เบิร์ธเดย์...แสนหวาน พลิ้วไหว และไพเราะจับใจ
ภคพงษ์นั่งเท่อยู่ที่มุมหนึ่งของร้าน ก่อนพรมนิ้วลงบนแทปเล็ตอย่างมืออาชีพ
ที่ด้านหลังภคพงษ์เห็นรสาถือเค้กวันเกิดออกมาพร้อมกับเทียนที่สว่างไสว แสงเทียนส่องเข้าใบหน้าของรสา
ทำให้ความสวยคม โดดเด่นเป็นสง่า ภคพงษ์มองรสาแล้วก็ยิ้มนิดๆ
รสาเดินมาถึงโต๊ะลูกค้าแล้วก็วางเค้กไว้หน้าลูกค้าผู้หญิง เจ้าของวันเกิดยิ้มทั้งน้ำตา เสียงเพลงวันเกิดยังดังอย่างโรแมนติก
รสาหันไปมองภคพงษ์ที่เล่นเปียโนอยู่อย่างเท่ พอภคพงษ์เล่นจบเพลง พร้อม ห้าว วิมล รสาก็ตบมือนำ คนในร้านตบมือตาม หญิงสาวเป่าเทียน รสาตบมืออีกรอบ คนในร้านตบมือตาม ลูกค้าชายหยิบแหวนแต่งงานออกมา แล้วก็ลุกขึ้นมาคุกเข่าตรงหน้าหญิงสาว
“แต่งงานกับผมนะ”
ลูกค้าหญิงถึงกับร้องไห้อีกรอบแล้วก็พยักหน้าทั้งน้ำตา ทั้งสองคนกอดกัน คนในร้านตบมือ บางคนถ่ายรูป
ด้วยความประทับใจ
รสายืนอยู่ใกล้ๆ ถึงกับน้ำตาซึม ทันใดนั้นเสียงเปียโนของภคพงษ์ก็ดังขึ้นเป็นเพลงรักแสนโรแมนติก...
หวานสะท้านเข้าไปถึงในหัวใจ รสาถึงกับหันมามองภคพงษ์
ภคพงษ์มองหนุ่มสาวที่มีความสุขอย่างมีความสุข ลูกค้าชายหันมายิ้มกับภคพงษ์ พร้อมกับชูนิ้วให้ด้วยความชื่นชม ภคพงษ์ก้มศรีษะเล็กๆ รับคำชมอย่างถ่อมตัว รสายิ้มตาม พร้อมกับวิมลมองภคพงษ์ด้วยความชื่นชม ห้าวมองรสาและภคพงษ์แล้วก็เครียด
เสียงเปียโนจากร้านอาหารดังคลอเข้ามาที่หน้าต่างห้องนอน พิมพรรณนั่งซึมอยู่บนเตียง ก่อนหันไปมองโทรศัพท์แล้วน้ำตาร่วง พิมพรรณกดส่งข้อความ “พรุ่งนี้จะไปหา เรามีเรื่องสำคัญต้องคุยกัน” ไปหาวาริช เสียงเปียโนของภคพงษ์ยังคลออยู่
เสียงเปียโนยังดังคลออยู่ จนผ่านเวลามาหน้าร้านอาหารไม่มีลูกค้าแล้ว เสียงเพลงค่อยๆเบาลงและหายไป
ภคพงษ์กำลังช่วยรสาเก็บร้าน ลูกค้าชายเดินมาหาภคพงษ์
“คุณครับ”
ภคพงษ์หันมา
“ขอบคุณมากนะครับ เพลงเพราะมาก แฟนผมประทับใจมากๆ นี่ครับ..ผมทิปให้”
ลูกค้าชายควักแบงก์ร้อยออกมายื่นให้ ภคพงษ์ชะงักนิดๆ รสามองแล้วก็อมยิ้ม
ห้าวเดินออกมาจากหลังครัวพอดี ห้าวเห็นรสายิ้มก็ชะงัก หันไปตามสายตารสาที่เห็นว่ามองภคพงษ์อยู่
ห้าวยืนหลบไม่ให้สองคนเห็น ภคพงษ์ยิ้มอย่างสุภาพ
“ไม่เป็นไรครับ..ถือซะว่าเป็นบริการพิเศษจากทางร้านนะครับ”
ลูกค้าชายยัดเงินใส่มือภัคพงษ์
“แต่ว่า...รับไว้เถอะครับ มันอาจจะไม่เยอะ แต่ผมอยากให้ครับ ขอบคุณมากนะครับ ขอบคุณจริงๆ”
ลูกค้าชายยิ้มกว้างพร้อมกับจับมือแน่นเขย่าไปมาด้วยจริงใจ ภคพงษ์ยิ้มรับ ลูกค้าชายยิ้มให้อีกทีแล้วก็หัน
มายิ้มให้รสาที่ยืนอยู่ แล้วก็ก้มๆศรีษะเป็นการลาแล้วก็เดินไป
ภคพงษ์มองดูเงิน 100 บาทในมือแล้วก็อมยิ้มนิดๆ รสายิ้มตาม
ห้าวยืนมองด้วยความเครียด ไม่ยิ้มแม้แต่น้อย วิมลเดินออกมาพอดี
“อ้าวไอ้ห้าวมายืนทำอะไรตรงนี้ ช่วยป้าขนผ้าไปซักหน่อยเร็ว”
วิมลยัดผ้าปูโต๊ะอาหารใส่มือห้าวแล้วก็เดินนำไป
“ห้าว..มาเร็ว รีบซักจะได้รีบไปนอน”
วิมลเร่งแล้วก็เดินไป ห้าวไม่อยากจะทิ้งให้รสาอยู่กับภคพงษ์สองต่อสอง แต่ก็ต้องจำใจไป ภคพงษ์เดินมาหยอดเงินใส่กล่องทิปแล้วก็ยิ้ม รสายังยืนกอดอกมองด้วยความรอยยิ้มทั้งแปลกใจและประหลาดใจ
ภคพงษ์วางจานในอ่างแล้วก็ลงมือล้างจานอย่างคล่องแคล่ว รสาเดินเข้ามาในครัวพร้อมกับจานที่เหลือ รสาเห็นภคพงษ์ล้างจานก็รีบพูดขึ้น
“คุณภัค...ไม่ต้องล้างหรอกค่ะ เดี๋ยวฉันล้างเอง”
“ไม่เป็นไร..ถือซะว่าผมล้างจานแลกค่าที่พักก็แล้วกัน”
รสาวางจานไว้ข้างๆแล้วก็พูดยิ้มๆ
“โห..แค่วันนี้คุณช่วยทำอาหาร ช่วยเล่นดนตรี ก็เกินค่าห้องพักแล้วล่ะค่ะ”
“ไม่เป็นไร ผมอยากทำ”
ภคพงษ์หันมาตอบยิ้มๆ แต่ยืนยันหนักแน่น รสายิ้มรับแล้วก็พยักหน้า
“โอเค้..อยากทำก็ให้ทำค่ะ แต่อย่าไปฟ้องป้าใจกับคุณเผด็จนะคะ ถ้าสองคนนั้นรู้เข้าฉันต้องโดนเอ็ดแน่ๆ”
ภคพงษ์ล้างจานไปคุยไป
“ไม่หรอก สองคนนั้นเค้าชินแล้ว ตอนผมไปเรียนที่อังกฤษ ผมก็ทำงานที่ร้านอาหารหนักกว่านี้ตั้งไม่รู้กี่เท่า”
“ถึงว่าคุณทำเป็นทุกอย่างเลยเพราะอย่างนี้นี่เอง”
ภคพงษ์ยิ้มๆแล้วก็ล้างจานต่อ รสานึกได้
“แต่เรื่องเล่นเปียโน ฉันก็เพิ่งรู้นะคะว่า คุณเล่นเป็นกับเค้าด้วย แสดงว่า..เปียโนในเรือนหลังเล็ก เป็นของคุณใช่มั้ยคะ”
ภคพงษ์พยักหน้าบอก “ใช่”
“เล่นมานานหรือยังคะ”
รสากับภคพงษ์คุยกันอยู่ในครัว แสงไฟสลัวๆดูอบอุ่น รสาคุยไปก็เช็ดจานที่ภคพงษ์ล้างแล้วไปด้วย
ส่วนภคพงษ์ก็พูดไป คิดไป ล้างจานไป เป็นบรรยากาศที่เป็นกันเอง อบอุ่น และน่ารัก
“ผมเล่นมาตั้งแต่เด็ก แล้วก็หยุดไปช่วงที่คุณพ่อเสียไม่ได้เล่นอยู่ 3 ปี อาเผด็จก็ส่งผมไปเรียนอังกฤษตอน 10 ขวบ ครอบครัวที่ผมไปอยู่ด้วย เค้าเห็นว่า เด็กที่เติบโตตามลำพังควรจะมีงานอดิเรกสักอย่าง เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ ผมก็เลยกลับมาเล่นเปียโนอีกครั้ง แล้วก็เล่นมาเรื่อยๆ”
ภคพงษ์เล่าเรื่องของตัวเอง อย่างเป็นธรรมชาติและกันเอง ภคพงษ์เล่าจบก็ล้างจานเสร็จพอดี ภคพงษ์เงย
หน้ายิ้มให้รสาที่อึ้งอยู่..จนภคพงษ์สังเกตเห็น
“รสา...เป็นอะไร”
ภคพงษ์ถามแล้วก็หันไปหยิบผ้ามาเช็ดมือ
“อ๋อ... เอ่อ เปล่าคะ แค่แปลกใจที่อยู่ๆคุณก็เล่าเรื่องส่วนตัวคุณให้ฉันฟัง”
ภคพงษ์หยุดคิด...แล้วก็เห็นด้วย
“จริงสิ ผมไม่เคยเล่าเรื่องส่วนตัวให้ใครฟังมานานแล้ว...คุณคงเป็นคนพิเศษมากๆ ผมถึงเล่าให้คุณฟัง”
รสาถึงกับสะอึกไปกับคำพูดที่แสนเรียบง่าย แต่จริงใจและมีความหมายยิ่งใหญ่สำหรับเธอ
“ก็...ขอบคุณค่ะที่เล่าให้ฟัง เอ่อ...ฉันเอาจานไปเก็บก่อนนะคะ”
รสาแก้เขินหันไปหยิบตะกร้าจานที่เช็ดแล้วแล้วก็ยกออกไป ภคพงษ์ยืนอยู่ที่เดิม ค่อยๆ วางผ้าเช็ดมือไว้ข้างๆตัวแล้วก็อมยิ้มมีความสุข รสาเดินมาได้สักพัก พอพ้นสายตาภคพงษ์ก็หยุดแล้วก็ยิ้มนิดๆ มีความสุขพอกัน
ทะเลตอนกลางคืนที่แอบเกรี้ยวกราดนิดๆ ภคพงษ์เดินมาอย่างสบายใจ
ทันใดนั้น ห้าวก็โผล่ออกมาอย่างเท่ๆ ภคพงษ์ชะงัก หยุดเดินแล้วมองหน้าห้าว ทั้งสองคนเผชิญหน้ากัน ห้าวถามตรงๆ
“แกคิดยังไงกับรส”
“ผมคิดว่า...ผมไม่จำเป็นต้องบอกคุณ”
“จำเป็นสิ เพราะรสคือคนที่พวกเรารัก แกจะทำร้าย หรือทำให้รสเสียใจไม่ได้ ฉันไม่ยอม”
“ถ้าคุณห่วงเรื่องนั้น ผมบอกได้เลยว่า ผมไม่มีวันจะทำร้ายรสา ไม่ว่าผมจะคิดยังไงกับเธอ ผมจะไม่มีวันทำให้เธอเสียใจ”
ภคพงษ์ตอบอย่างจริงใจ ห้าวมองหน้าอย่างไม่ค่อยอยากเชื่อ
“จำคำพูดของตัวเองไว้ให้ดี ถ้าเมื่อไหร่ที่รสต้องเสียใจเพราะแก ฉันไม่เอาแกไว้แน่”
ห้าวพูดจบตั้งใจชนไหล่ภคพงษ์อย่างท้าทาย แล้วก็เดินจากไป ภคพงษ์ปรายตามองตามนิดๆ แม้จะเคืองอยู่บ้างแต่ก็เข้าใจ
รสาอยู่ในชุดนอน นั่งคุยกับพิมพรรณในห้องนอน
“พิมแน่ใจเหรอว่าจะไปหาไอ้หมอนั่น รสว่า..บอกเลิกทางโทรศัพท์ก็พอ หรือไม่นะ ส่งข้อความไปบอกก็ได้ไม่ต้องไปเจอหรอก”
พิมพรรณหน้าซีดเซียวอมทุกข์ส่ายหน้า
“ไม่ได้..ถ้าพิมทำแบบนั้นก็เท่ากับหนีปัญหา คนยังต้องทำงานด้วยกันจะมองหน้ากันไม่ติด”
รสาคิดแล้วก็พูด
“งั้นรสไปด้วย”
“อย่าเลย..รสจะรีบกลับกรุงเทพแต่เช้าไม่ใช่เหรอ พิมไม่อยากให้รสเสียเวลา”
รสาจับมือพิมพรรณแล้วบอก
“เรื่องของพิมสำคัญเสมอ รสไม่เคยรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องเสียเวลา”
พิมพรรณจับมือรสากลับ
“ขอบใจจ้ะ..แต่พิมอยากจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง รสกลับกรุงเทพไปเถอะนะ ไม่ต้องห่วง”
รสาคิดแล้วก็เสนอ
“งั้นให้พี่ห้าวไปด้วย”
พิมพรรณส่ายหน้ายิ้มๆ
“ยิ่งไม่ได้ใหญ่ พี่ห้าวไปด้วยมีแต่จะยิ่งยุ่ง รส เชื่อใจพิมเถอะนะ พิมจัดการเรื่องนี้ได้”
รสามองหน้าพิมพรรณด้วยความเป็นห่วง
“รสไว้ใจพิม แต่ไม่ไว้ใจไอ้กะล่อนนั่น”
พิมพรรณแววตาเครียดลงเล็กน้อย
“วาริชเค้าคงไม่กล้าทำอะไรหรอก เพราะเค้าเองก็มีคนอื่นอยู่แล้ว พิมไปบอกเลิก เค้าน่าจะดีใจด้วยซ้ำ”
พิมพรรณคิดแล้วก็เศร้า น้ำตาร่วง
รสาโอบพิมพรรณไว้ด้วยความเป็นห่วง พิมพรรณร้องไห้ในอ้อมกอดของรสา รสามองพิมพรรณด้วยความ
สงสารจับใจ
“เข้มแข็งไว้นะพิม ไม่ว่ายังไง พิมยังมีรส ยังมีทุกคนที่นี่อยู่เคียงข้างพิมเสมอนะ”
พิมพรรณถึงกับปล่อยโฮออกมา ทำเอารสาน้ำตาซึมไปด้วย
สองคนกอดกันด้วยความรักและความเอื้ออาทรที่เหนียวแน่นและสวยงาม
ที่บ้านเถลิงยศเช้าวันต่อมา ปุยนุ่นตอบคำถามของพักตร์วิมลอย่างตรงไปตรงมา
“ปุยนุ่นไม่ทราบจริงๆค่ะว่า คุณภัคเธอไปไหน ไม่มีใครติดต่อได้เลยค่ะ”
พักตร์วิมลหันขวับมา หน้าตาโกรธเกรี้ยว
“ติดต่อไม่ได้หรือว่าโกหกฉันกันแน่”
ปุยนุ่นตกใจสะดุ้ง
“ปุย..ปุยไม่ได้โกหกนะคะ แต่ปุยติดต่อคุณภัคไม่ได้จริงๆค่ะ ถ้าไม่เชื่อ คุณพักตร์วิมลลองติดต่อดูเองก็ได้นะคะ”
“ฉันจะติดต่อเค้าได้ยังไง ในเมื่อภัคเค้าไม่ได้เอามือถือไปด้วย นอกจากภัคเค้าจะไปกับคนอื่น ... ไปกับคนอื่น”
วูบนั้นพักตร์วิมลก็คิดถึงรสาขึ้นมาทันที พักตร์วิมลจิกหางตาอย่างมาดร้าย
ที่เรือนหลังเล็ก เปลี่ยนตอบคำถามอย่างซื่อๆ
“คุณรสาไม่อยู่ครับ”
“ไปไหน” พักตร์วิมลตวาดถาม
เปลี่ยนตกใจตอบเสียงสั่นๆ
“ไม่ทราบครับ ก็..วันนี้เป็นวันหยุดเสาร์อาทิตย์ ปกติคุณรสาก็ไม่เข้ามาอยู่แล้ว จะมีก็แต่คนงานมาทำงาน ส่วนผมก็แค่มานั่งเฝ้าตามที่คุณภัคสั่งครับ”
“แล้วรู้หรือเปล่าว่า บ้านนังกรรมกรมันอยู่ไหน”
“ผมไม่ทราบครับ ผมทราบแต่ว่า คุณรสาเป็นคนออกแบบตกแต่งภายใน ไม่ใช่กรรมกร”
“นี่แกกล้ามาย้อนฉันเหรอ”
“ผมไม่ได้ย้อน ผมแค่อธิบายให้กระจ่าง”
“ยังจะย้อนอีก”
เปลี่ยนสะดุ้งรีบปิดปากทันที
“ไม่ได้เรื่อง อย่าให้ฉันตามหาภัคเจอนะ ฉันจะฟ้องให้หมดเลย”
พักตร์วิมลเดินกระฟัดกระเฟียดออกไป เปลี่ยนได้แต่มองตามพร้อมกับส่ายหน้าระอาใจ
สายใจคุยโทรศัพท์อยู่ในมุมประจำของตัวเอง ปุยนุ่นกับเปลี่ยนนั่งสาระแนอยู่ข้างๆ
“คุณรสาไม่ต้องรีบกลับก็ได้นะคะ ชวนคุณหนูอยู่ต่ออีกสักวันสองวันก็ได้ค่ะ”
รสาจัดของขึ้นรถไปคุยโทรศัพท์กับสายใจไป
“อย่านานกว่านี้เลยค่ะป้า แค่นี้รสก็เกรงใจจะแย่ รสจัดของแล้ว กำลังจะออกนะคะ น่าจะถึงบ่ายๆค่ะ”
สายใจยิ้มรับ
“ได้เลยค่ะ บุญรักษานะคะคุณรสา เดินทางกลับอย่างปลอดภัยค่ะ”
สายใจวางสายไป ปุยนุ่นพูดขึ้นด้วยความโล่งอก
“เฮ่อ คุณภัคกลับมาสักที ปุยนุ่นจะได้ไม่ต้องโกหกคุณพักตร์วิมล คนยิ่งโกหกไม่เก่งอยู่ เกือบหลุดตั้งหลายครั้ง”
สายใจหันขวับมาบอก
“นังปุยคราวนี้ห้ามหลุดเด็ดขาดเลยนะ ถ้าคุณพักตร์วิมลรู้ว่า คุณหนูไปต่างจังหวัดกับคุณรสามีหวังคุณรสาอยู่ไม่สุขแน่”
ปุยนุ่นหน้าเสีย
“ทราบแล้วเจ้าค่ะ เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง ปุยนุ่นไม่หลุดแน่”
“เฮ่อ คิดๆแล้วก็ไม่อยากจะเชื่อ นางเอกละครแสนดีในจอ ตัวจริงจะร้ายกาจขนาดนี้ ฉันยังจำหน้าตอนที่คุณเธอตวาดเมื่อกี้ได้อยู่เลย บรื๊อ...ขนลุก”
ปุยนุ่นพยักหน้าเห็นด้วย สายใจก็เลยต้องเบรกสักหน่อย
“ดาราเค้าก็ไม่ได้จะเป็นแบบนี้กันทุกคน แต่อาจจะเป็นคราวเคราะห์ของคุณหนูที่ได้มาเจอกับคนนี้เข้า เฮ่อ..ฉันก็ได้แต่หวังว่าคุณหนูจะแยกแยะได้ว่า แบบไหนที่เป็นทองชุบ แบบไหนที่ทองแท้”
สายใจได้แต่คิดถึงรสาและภคพงษ์ด้วยความเป็นห่วงอย่างจริงใจ
ที่หน้ารีสอร์ตพร้อม รสาถามภัคพงษ์ด้วยความแปลกใจ
“คุณจะเก็บชุดนี้ไว้เหรอคะ”
ภคพงษ์ยืนถือเสื้อผ้าชุดที่ซื้อจากตลาดไว้ในมือ
“ใช่”
รสางยหน้ามองภคพงษ์แล้วถาม
“เก็บไว้ทำไมคะ อย่าบอกนะว่าคุณจะใส่อีก”
“ก็ไม่แน่ หรือถ้าไม่ได้ใส่ผมก็จะเก็บไว้เป็นที่ระลึก ขอบคุณมากนะรสา การมาครั้งนี้ ผมมีความสุขมากจริงๆ” ภคพงษ์พูดพลางมองหน้ารสาที่ยิ้มเขินนิดๆ แต่พยายามไม่แสดงออก
“ก็ดีใจด้วยค่ะ เอ่อ.. ฉันว่าเราไปลาอาพร้อม กับอาวิมลแล้วรีบกลับกันดีกว่าก่อนรถจะติด”
รสาเฉไฉไปเรื่องอื่นแล้วก็เดินนำไป ลับหลังภคพงษ์รสาก็อมยิ้มนิดๆ
ภคพงษ์ยกมือไหว้อย่างสุภาพ
“ผมขอบคุณคุณอาทั้งสองมากนะครับ สำหรับอาหาร ที่พัก และทุกๆอย่าง”
พร้อมกับวิมลรับไหว้อย่างเอ็นดู
“ไม่เป็นไรๆ แค่นิดๆหน่อยๆเอง” พร้อมบอก
“อาต้องขอบใจคุณภคพงษ์ด้วยเหมือนกันที่ช่วยงานที่ร้านอาหารเมื่อคืน” วิมลว่า
“ด้วยความยินดีครับ”
ห้าวยืนกอดอกมองอย่างขัดใจอยู่ไม่ห่าง พิมพรรณยืนอยู่ข้างๆรสา พร้อมพูดกับภคพงษ์ด้วยความยินดี
“ว่างๆก็มาเที่ยวอีกนะ”
ภคพงษ์อ้าปากแต่ยังไม่ทันจะรับคำ ห้าวแทรกขึ้น
“แต่ไม่มาได้ก็ดี”
ภคพงษ์ชะงัก พร้อมกับวิมลหันขวับมาร้องเรียกขึ้นพร้อมกัน
“ไอ้ห้าว”
ห้าวทำยักไหล่ เฉไฉมองทะเลไปเรื่อยเปื่อย
“ห้าวมันล้อเล่นน่ะ ที่นี่ยินดีต้อนรับคุณภคพงษ์เสมอนะคะ” วิมลพูด
ภคพงษ์ยกมือไหว้อีกทีบอก
“ขอบคุณมากครับ”
ภคพงษ์ยิ้มอย่างมีความสุขกับมิตรภาพของวิมลและพร้อม รสาหันมาทางพิมพรรณแล้วพูดเสียงเบา
“พิม...เข้มแข็งไว้นะ”
ภคพงษ์ยืนอยู่ใกล้ๆพอได้ยินก็ค่อยๆหันมา
“มีอะไรรีบโทร.บอกรสเลยนะ รสจะรีบมาหาพิมทันที”
พิมพรรณพยักหน้า กลั้นน้ำตาแล้วก็สวมกอดรสาด้วยความรัก
“ขอบใจมากจ้ะ”
ภคพงษ์มองแล้วรู้สึกประทับใจบอกไม่ถูก หนุ่มรูปงามมองหน้ารสาด้วยแววตาอ่อนโยนและเจือไปด้วยความรู้สึกดีๆ อย่างเต็มเปี่ยม
ตะวันทอแสง ตอนที่ 6 (ต่อ)
บริเวณหน้าร้านเถลิงยศ จิเวลรี ผู้ช่วยยื่นแฟ้มให้เผด็จ
“ทางฝ่ายข้อมูลฝากประวัติของคุณสุวิทย์ วงศ์เธียรสถิตย์ นักธุรกิจที่ขอนัดพบคุณภคพงษ์มาให้ครับ”
เผด็จรับมาแล้วบอก “ขอบใจมาก”
ผู้ช่วยโค้งรับและเดินออกไป
เผด็จเปิดแฟ้มอ่านอย่างไม่คาดหวัง ในแฟ้มเป็นรูปของสุวิทย์ตอนถ่ายให้สัมภาษณ์หนังสือฉบับหนึ่ง ด้านในเป็นภาพสุวิทย์กับธุรกิจต่างๆ เผด็จเปิดดูไปเรื่อยๆ ทันใดนั้นก็ชะงัก แววตาเปลี่ยนเป็นเครียดขึ้ง นั่งหลังตรง มีอาการตื่นเต้นประหลาดใจขึ้นมาในทันที
เผด็จถึงกับอึ้งค่อยๆวางแฟ้มไว้บนโต๊ะ
แฟ้มที่เปิดอยู่ เป็นภาพแอบถ่ายของสุวิทย์ และรัชนีที่กำลังชอปปิ้งอยู่ที่ใดที่หนึ่ง เผด็จนั่งอึ้งมองภาพด้วยความตกใจ
ภาพเหตุการณ์ตอนรัชนีทิ้งภคพงษ์และเผด็จอยู่ด้วย แว่บเข้ามา
สายใจถือแฟ้มมองรูปรัชนีตาค้างด้วยความอึ้ง
“คุณผู้หญิง”
สายใจคุยอยู่กับเผด็จในมุมปลอดภัยของบ้าน สองคนคุยกันอย่างระมัดระวัง
“ตอนฉันเห็น ฉันก็อึ้งแบบนี้”
สายใจค่อยๆวางด้วยความหนักใจ
“และแล้ว....โชคชะตาก็นำพาคุณผู้หญิงกลับมาจนได้”
“แต่กลับมาแบบนี้ ไม่รู้ว่าคุณภัคเธอจะว่ายังไง ฉันก็ยังไม่คิดไม่ออกเหมือนกันว่าจะให้คุณภัคไปหรือไม่ไป ถ้าไป”
สายใจคิดแล้วก็ตอบ
“เรื่องนี้เราคงต้องให้คุณหนูตัดสินใจด้วยตัวเอง”
เผด็จหันมามองสายใจ
“ที่ผ่านมา คุณหนูต้องรับผลจากการกระทำของคนอื่นโดยไม่มีทางเลือกมานานแล้ว ครั้งนี้...คุณหนูจะได้เป็นคนเลือกสักทีว่าอยากจะหนี หรือว่าอยากจะเจอ” สายใจตอบอย่างเด็ดเดี่ยว
เผด็จพยักหน้าอย่างเข้าใจและเห็นด้วย สายใจก้มลงมองที่รูปรัชนีอีกทีด้วยความกังวลลึกๆ
ภายในบ้านวงศ์เธียสถิตย์ รัชนีนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นกำลังจิบชาอย่างมีความสุข
“ปรางอ่านสัมภาษณ์พี่เค้าแล้วแปลกใจมากเลยนะคะคุณพ่อ ปรางกับเค้ามีอะไรที่เหมือนกันเยอะมาก”
รัชนีหันไปตามเสียง เห็นปรางทิพย์กับสุวิทย์เดินคุยกันมาอย่างสนุกสนานก็ถามขึ้น
“ใครเหรอลูก”
ปรางทิพย์หันมายิ้มแล้วก็เดินมานั่งข้างๆรัชนี พร้อมกับพูดต่อด้วยความสดใสร่าเริง
“คุณภคพงษ์ เถลิงยศค่ะแม่”
รัชนีหุบยิ้มแทบไม่ทัน แต่ไม่มีใครสังเกต ปรางทิพย์ยังเล่าต่ออย่างมีความสุข และสุวิทย์ก็เดินมานั่งฟังอยู่ฝั่งตรงข้ามด้วยความสนใจ
“พี่เค้าชอบเล่นเปียโน ชอบงานออกแบบเครื่องเพชร ที่ร้านเค้าออกแบบเองตั้งหลายชิ้นนะคะ ปรางเองก็ชอบออกแบบ ถึงจะเป็นออกแบบเสื้อผ้าแต่ก็เป็นงานออกแบบเหมือนกัน ที่แปลกกว่านั้น ปรางกับพี่เค้า เรามีเลือดกรุ๊ปเดียวกันด้วยนะคะ กรุ๊ป A เหมือนคุณแม่เลยค่ะ”
ปรางทิพย์หันมาทางรัชนี รัชนีอึ้งปั้นหน้าไม่ถูก ได้แต่ตอบกลบเกลื่อนเหมือนไม่ตกใจ
“แม่ว่า.. เลือดก็มีอยู่ไม่กี่กรุ๊ปจะเหมือนกันบ้างก็ไม่น่าแปลก”
ปรางทิพย์หน้าจ๋อยลงนิดๆ เหมือนโดนเบรก แต่สุวิทย์กลับสนใจหันมาถาม
“แล้วเลือดกรุ๊ปเอนี่..เป็นคนยังไงล่ะลูก”
ปรางทิพย์ค่อยรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาหน่อย
“ก็..เป็นคนไม่ชอบทะเลาะกับใคร เชื่อมั่นในตัวเอง ไม่ชอบโต้แย้งเพราะ เชื่อว่าความคิดตัวเองถูกอยู่แล้ว เลยไม่จำเป็นต้องขอความคิดของคนอื่น เป็นคนรักสิ่งสวยงาม มีรสนิยมดี”
สุวิทย์ฟังแล้วก็พยักหน้ารับยิ้มๆ อย่างสนใจ
“ถ้าอยากทำธุรกิจกับเค้า คุณพ่ออย่าไปทำให้เค้าโกรธนะคะ คนเลือดกรุ๊ปเอไม่ค่อยโกรธใคร แต่ถ้าโกรธแล้วจะหายยากมากๆ โดยเฉพาะถ้าไปทำให้เค้าเจ็บปวด หรือเสียใจ เค้าจะทำใจไม่ได้เลย จะเฝ้าถามตัวเองว่าทำไม ทำไม หาเหตุผลที่ตัวเองโดนทำร้าย”
รัชนีฟังแล้วก็ตัวชานึกถึงตัวเอง แล้วปรางทิพย์ก็พูดขึ้น
“กับคุณแม่ก็เหมือนกัน”
รัชนีชะงักนิดๆ ดึงสติกลับมาที่วงสนทนา
“เค้าบอกว่า ผู้หญิงเลือดกรุ๊ปเอ .. ถ้ารักแล้วรักมาก แต่ถ้าหมดรักแล้ว เธอก็พร้อมจะสลัดคุณออกจากหัวใจได้อย่างเข้มแข็ง”
รัชนีฟังแล้วแอบสะเทือนถึงอดีต รัชนีนิ่งอึ้ง ปรางทิพย์ยิ้มสดใส พูดต่อโดยไม่รู้สิ่งที่ซ่อนอยู่ในใจผู้เป็นแม่
“เพราะฉะนั้น..คุณพ่อต้องทำให้คุณแม่รักมากๆนะคะ ไม่งั้น..โดนทิ้งไม่รู้ด้วย”
ปรางทิพย์พูดขำๆ ด้วยรอยยิ้มสดใส สุวิทย์ยิ้มรับแล้วก็เล่นมุกด้วย
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง พ่อดูแลแม่เค้าอย่างดีอยู่แล้ว และพ่อก็รักแม่มากที่สุด จะหาคนอื่นรักแม่มากกว่าพ่อไม่ได้อีกแล้ว”
“ฮิ้ว...” ปรางทิพย์ถึงกับส่งเสียงแซว แล้วทั้งสุวิทย์กับปรางทิพย์ก็หันมามองรัชนีด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความรัก
รัชนีจำใจต้องยิ้มรับทั้งที่จริงๆ แล้วอดีตกำลังตามหลอกหลอนจนใจแทบไม่เป็นสุข
รถกระป๋องของรสามาจอดเทียบที่หน้าบ้านเถลิงยศ ภคพงษ์ลงจากรถแล้วพูดขึ้น หลังจากที่รสาลงตามมา
“รสา”
“คะ”
“ขอบคุณมากที่มาส่ง”
“แค่นี้เอง ไม่ต้องขอบคุณก็ได้ค่ะ ระหว่างที่อยู่ระยอง ถ้ามีอะไรขาดตกบกพร่อง หรือทำให้คุณไม่สบายใจ ฉันก็ต้องขอโทษด้วยนะคะ”
ภคพงษ์เดินมาหา
“ไม่มีอะไรที่ทำให้ผมไม่สบายใจแม้แต่นิดเดียว ตรงกันข้ามช่วงเวลาที่ผมอยู่ที่นั่น ผมมีความสุขมาก ผมไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน”
ภคพงษ์มองหน้ารสาแล้วพูดอย่างหนักแน่น
“รสา นับจากนี้ไป ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างที่ผมอยู่กับคุณ มันจะอยู่ในความทรงจำผมตลอดไป”
รสามองหน้าภคพงษ์ใจเต้นแรงรับกับคำพูดแสนดี รสาหลบตานิดๆ แก้เขิน
“ค่ะ งั้นฉันขอตัวกลับก่อนนะคะ สวัสดีค่ะ”
รสายิ้มลา ก่อนจะหันหลังจะขึ้นรถไปด้วยความตื่นเต้น ภคพงษ์เปิดประตูรถให้อย่างสุภาพ รสาถึงกับเขินๆ
“ขอบคุณค่ะ”
รสาขึ้นรถไป ภคพงษ์ปิดรถให้อย่างแผ่วเบาและยืนส่งจนรถรสาลับตาไป
ภคพงษ์ยืนมองอย่างมีความสุข ขณะขับรถ รสาก็มีความสุขพอกัน ทั้งสองคนจากลากันด้วยความรู้สึกดีๆ ดีจนเหมือนฝัน
ภคพงษ์เดินเข้ามาในบ้านด้วยความสบายใจ แต่แล้วบรรยากาศความอึมครึมบางอย่างก็ปรากฏขึ้น เมื่อ
ภคพงษ์เห็นเผด็จนั่งรออยู่ พร้อมกับสายใจที่ยืนรออยู่ ภคพงษ์ชะงักเท้า และสัมผัสได้ถึงความผิดปกติบางอย่างที่รออยู่
“อาเผด็จ ป้าใจ... มีอะไรหรือเปล่า”
เผด็จกับสายใจมองหน้ากัน แล้วเผด็จก็ส่งแฟ้มให้ภคพงษ์
“นี่เป็นแฟ้มประวัติของคุณสุวิทย์ วงศ์เธียรสถิตย์ นักธุรกิจที่ขอพบคุณภัค ในแฟ้มมีทั้งประวัติการทำงาน และครอบครัว อาพูดเท่านี้ ที่เหลือคุณภัคดูเองดีกว่าครับ”
ภคพงษ์รับมาด้วยความแปลกใจ ผด็จกับสายใจแอบมองหน้ากันนิดๆ ก่อนจะหันมามองหน้าภคพงษ์ด้วยความลุ้นระทึก
ภคพงษ์ค่อยๆเปิดแฟ้มออกมาดู ที่แฟ้มเป็นรูปสุวิทย์ ภคพงษ์เปิดดูไปพร้อมกับเดินไปที่โซฟา ระหว่างที่จะหย่อนตัวลงนั่งนั้นเอง...ภคพงษ์ก็เปิดมาเจอรูปของรัชนี ภคพงษ์ถึงกับชะงัก..นิ่งงัน
เผด็จและสายใจมองภคพงษ์แล้วก็ไม่กล้าพูดอะไร ได้แต่มองหน้ากันไปมา ภคพงษ์ค่อยๆเงยหน้าขึ้นแล้วก็ถามเสียงพยายามจะเข้มแข็ง
“มไม่ได้เข้าใจอะไรผิดใช่มั้ย”
“ครับ...ภรรยาของคุณสุวิทย์คือ คุณรัชนี ก่อนหน้านี้ทั้งครอบครัวพักอยู่ที่อังกฤษ แต่ตอนนี้ทุกคนย้ายกลับมาอยู่ประเทศไทยเป็นการถาวร “
ภคพงษ์นิ่งอึ้ง... นึกถึงตอนที่เห็นรัชนีสวนกันตรงบันไดเลื่อนภายในห้าง
“คุณสุวิทย์ต้องการจะพบคุณภัคเพื่อเจรจาธุรกิจส่งออกเครื่องเพชร ทางเค้าต้องการพบคุณภัคโดยเร็วที่สุด แต่อายังไม่ได้ตอบรับกลับไป..อารอให้คุณภัคตัดสินใจ”
ภคพงษ์ปิดแฟ้ม และหย่อนตัวลงนั่งอย่างสุขุม นิ่ง เข้มแข็ง สายใจมองภคพงษ์ด้วยความเป็นห่วง
“ถ้าคุณหนูไม่สบายใจก็ไม่ต้องไปเจอนะคะ”
ภคพงษ์คิดแล้วก็ตอบเหมือนกับพูดกับตัวเอง
“บางครั้งคนเราก็ต้องทำสิ่งที่มันขัดกับความสบายใจของตัวเองเพื่อให้ได้รู้ความจริงบางอย่าง”
ภคพงษ์หันมาทางเผด็จ
“อาเผด็จครับ..นัดคุณสุวิทย์ได้เลย บอกเค้าว่าผมพร้อมเสมอ และอยากเจอโดยเร็วที่สุด”
สายใจมองภคพงษ์ด้วยความเป็นห่วง เผด็จรับคำตามหน้าที่
“ครับ”
เผด็จกับสายใจมองหน้ากันอย่างไม่ค่อยเห็นด้วย แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้
ภคพงษ์สีหน้าเคร่งขรึมนั่งอยู่ที่โซฟา ความสดใสและสบายใจที่เพิ่งสัมผัสมาจากระยองหายไปเป็นปลิดทิ้ง
การตัดสินใจในครั้งนี้จะทำให้เขาเจอกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิต
ภายในบ้านอาภรณ์ รสาเดินมาพร้อมกับกระเป๋าเสื้อผ้า และกระเป๋างาน ชีวินรีบวิ่งออกมารับ
“รส”
รสาหันไปเห็นชีวินวิ่งมาก็ยิ้มรับ
“วินมาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย”
ชีวิน รีบช่วยยกกระเป๋า
“สักพักแล้ว วินช่วย”
รสาส่งให้
“ขอบใจจ้ะ”
ชีวินรับกระเป๋าและเดินเข้าไปในบ้านด้วยกัน
รสานั่งพักเหนื่อย ชีวินยิ้มสดใสและวางแก้วน้ำดื่มไว้บนโต๊ะ
“น้ำจ้ะ”
อาภรณ์นั่งอยู่ตรงเคาน์เตอร์ถึงกับขำ
“ตกลงว่าใครเป็นเจ้าของบ้านกันแน่เนี่ย”
ชีวินหันมาตอบยิ้มๆ
“ก็รสเค้าขับรถมาเหนื่อย ๆ ผมก็ต้องบริการหน่อยน่ะครับ”
รสายิ้มรับแล้วยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม
“ซึ้งอ่ะวิน...ขอบใจจ้ะ”
ชีวินยิ้มกว้างดีใจแล้วก็รีบพูดด้วยความกระตือรือร้น
“นอกจากน้ำแล้วรสอยากได้อย่างอื่นอีกมั้ย นี่ วินซื้อแคบหมู น้ำพริกหนุ่ม น้ำพริกอ่อง หมูยอมาฝากจากเชียงใหม่ด้วยนะ”
“ใช่ซื้อมาเต็มเลย ป้าใส่ตู้เย็นเกือบไม่หมด เย็นนี้ว่าจะแบ่งให้ลูกค้ากินด้วย ไม่งั้นแค่เราสองคนกินทั้งเดือนก็ไม่หมด” อาภรณ์บอก
“ขอบใจนะวิน ไปทำงานแล้วยังจะต้องหอบของฝากมาให้อีก เหนื่อยแย่”
“ทำให้รส ทำแค่ไหนก็ไม่เหนื่อย”
ป้าอาภรณ์ถึงกับอายแทนแล้วก็เฉไฉ
“ป้าว่า..ป้าไป..รดน้ำต้นไม้ดีกว่านะ หนุ่มสาวจะได้คุยกันสะดวกๆ”
ชีวินยิ้มเขินๆ แต่รสากลับเฉยๆ ไม่รู้สึกอะไร ทันทีที่คล้อยหลังอาภรณ์ ชีวินรีบหันมาถามรสา
“รส ตกลงมันยังไงกันแน่ ไอ้-นาย-คุณ ภคพงษ์ตามรสไประยองได้ยังไง แล้วไปนานแค่ไหน แล้วเกิดอะไรขึ้นบ้าง”
“โห..ถามเป็นชุดเลย”
“อืม... รสก็ต้องตอบเป็นชุดด้วยนะ”
รสาแอบถอนใจเบาๆ
รสาตอบไปพลางรื้อสมุดงานออกมาวางบนโต๊ะเตรียมทำงานไปพลาง ชีวินนั่งฟังอย่างตั้งใจ
“ทุกอย่างมันเกิดขึ้นโดยไม่ตั้งใจ ตามที่รสเล่าให้ฟังไปแล้วนั่นแหละ”
ชีวินกอดอก ครุ่นคิด
“คนอย่างภคพงษ์เนี่ยนะ กระโดดขึ้นรถไปโดยไม่มีเงินติดตัวแม้แต่บาทเดียว แล้วยังไปนอนบังกะโลไม่มีแอร์ ซ้อนมอเตอร์ไซด์ ทำอาหาร เสิร์ฟอาหาร แล้วยังจะล้างจานอีก...ถ้าเป็นคนอื่นเล่า วินไม่เชื่อแน่ๆ”
รสาหันมาตอบยิ้มๆ
“ถ้ารสไม่เห็นกับตาตัวเองก็ไม่เชื่อเหมือนกัน คุณภัคเค้าเป็นคนแปลกจริงๆนะ ยิ่งรู้จัก ยิ่งไม่เหมือนกับที่คิด คนเราดูแค่ภายนอกไม่ได้จริงๆ”
ชีวินหันมามองหน้ารสา เห็นรอยยิ้มที่มุมปากของรสาแล้วก็ใจเสีย เอ่ยปากเตือน
“อย่าบอกนะว่ารสหลงเสน่ห์เพลย์บอยเนื้อหอมอย่างภคพงษ์เข้าแล้ว”
รสาชะงักนิดๆ
“ ไม่ต้องห่วงหรอกน่ะ รสไม่ได้หลง แค่เห็นในสิ่งที่คิดว่าไม่น่าจะเห็นแค่นั้นเอง และสิ่งที่เห็น..มันก็คือความจริง”
“แล้วที่เมื่อก่อน รสเห็นว่าเค้าเป็นคนไม่น่าไว้ใจ มันไม่ใช่ความจริงเหรอ”
รสามองหน้าชีวิน ชีวินรอคำตอบ รสาตอบไม่ได้ ชีวินพูดเอง
“ที่วินถามก็แค่เป็นห่วง ไม่อยากให้รสต้องเสียใจเพราะมองคนผิด”
ชีวินได้แต่มองรสาด้วยความเป็นห่วง และเริ่มมองออกว่าความรู้สึกที่รสามีต่อภคพงษ์มันมากกว่าเจ้านาย
และลูกน้อง รสานิ่งคิด ดื้อเงียบแอบเถียงอยู่ในใจ และมั่นใจว่า..เธอมองภคพงษ์ไม่ผิด
พิมพรรณเดินลงมาจากบ้าน หน้าตามุ่งมั่น ห้าวกำลังทำความสะอาดลานบ้านอยู่ พิมพรรณหยิบกุญแจรถที่วางอยู่บนโต๊ะพร้อมกับพูดขึ้น
“พี่ห้าว พิมเอารถออกไปข้างนอกนะ”
ห้าววางมือหันมาถาม
“อ้าว..แล้วพิมจะไปไหน”
พิมพรรณหยุดคิดแล้วตอบ
“ไปทำธุระส่วนตัวจ้ะ”
พิมพรรณตอบแล้วก็เดินไปเลย ห้าวขมวดคิ้ว
“ธุระอะไร ที่ไหนจะให้พี่ไปด้วยหรือเปล่า”
พิมพรรณไม่ตอบ ห้าวได้แต่มองด้วยความสงสัย
“จะรีบไปไหนของเค้า”
ห้าวมองตามด้วยความอยากรู้
ในเวลาเย็นที่บริเวณหน้าบ้านเช่าของวาริช พิมพรรณเดินมาและมองเข้าไปในบ้าน กัดฟัน เชิดหน้า ใจแข็ง
แล้วก็กดออด เสียงออดดัง...
วาริชโผล่หน้าออกมายิ้มแย้มแจ่มใสเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“พิม !! ทำไมมาช้าจังเลย ผมคิดถึ๊ง..คิดถึง”
-ภาพตอนวาริชคลอเคลียสาวแว่บเข้ามา พิมพรรณมองหน้าวาริชด้วยความรังเกียจ วาริชถามด้วยความแปลกใจ
“พิม...เป็นอะไรหรือเปล่า”
“เป็น”
วาริชใจเสีย แต่แล้วด้วยความกะล่อนก็ทำเป็นขำกลบเกลื่อน
“หิวล่ะสิ...”
พิมพรรณมองหน้า วาริชพูดต่อ
“ดีเลย ผมทำกับข้าวไว้ให้พิมเต็มเลยนะ กินได้เต็มที่ ไปเข้าไปข้างในดีกว่า ยืนข้างนอกนานๆเดี๋ยวผิวเสีย”
วาริชพูดประจบประแจงเอาใจพร้อมกับประคองพิมพรรณเข้าบ้านไปอย่างแสนดี
บนโต๊ะวางกับข้าวอยู่ 4-5 อย่าง วาริชทำไว้อย่างดี เพื่อเอาใจโดยเฉพาะ พิมพรรณยืนมองอาหารแล้วก็แค้นใจ พูดประชด
“ทำอาหารไว้ซะเยอะ จะกินกันกี่คน”
วาริชยืนอยู่ข้างๆ หันมาถามอย่างงงๆ
“กี่คน ก็เราสองคนไงจ้ะ”
พิมพรรณหน้าเครียดถาม
“แน่ใจนะว่าแค่สองคนไม่มีคนอื่น”
วาริชเริ่มสะดุดนิดๆ มองหน้าพิมพรรณที่บ่งบอกว่าเสียใจ
“พิม พูดแบบนี้หมายความว่ายังไง”
พิมพรรณมองหน้าวาริชแล้วตัดสินใจพูดออกมา
“พิมรู้ความจริงหมดแล้ว”
“ความจริงอะไร”
“พิมเห็นคุณกับผู้หญิงคนอื่น เมื่อวานนี้ตอนกลางวันที่สะพาน คงไม่ต้องให้บอกว่า ผู้หญิงหน้าตาเป็นยังไง แต่งตัวยังไงและคุณสองคนทำอะไรกันบ้าง” พิมพรรณพูดเสียงสั่น
“พิม...พิมใจเย็นๆก่อนนะ พิมฟังผมก่อน”
“พิมไม่ฟัง คุณนั่นแหละที่ต้องฟังพิม เราเลิกกันเถอะ”
“พิม !”
พิมพรรณพยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหล หันหน้าหนีและจะเดินออกไป วาริชไม่ยอมโผเข้ากอด
“พิม ผมไม่ยอมเลิกนะ ผมไม่ยอมเลิกกับคุณนะพิม”
“คุณจะรั้งพิมไว้ทำไมคะ ในเมื่อคุณเองก็มีคนอื่น คุณควรจะซื่อสัตย์กับเค้า เราควรจะเลิกกัน”
“ไม่...ผมไม่ยอม ผมไม่เลิกกับพิม พิมฟังผมนะ ผู้หญิงคนอื่นสำหรับเค้าไม่สำคัญแม้แต่นิดเดียว คุณคือคนที่สำคัญที่สุด ผมยอมเลิกกับทุกคนเพื่อคุณ”
พิมพรรณสะบัดตัวเองออกมาแล้วก็ยืนยัน
“ไม่ค่ะ พิมจะไม่ขอให้คุณทำแบบนั้นและคุณก็ไม่จำเป็นต้องทำ ไม่ว่ายังไงพิมก็ต้องเลิกกับคุณค่ะ เราเลิกกันเถอะค่ะ”
พิมพรรณย้ำอีกครั้งพร้อมกับหันหลังจะเดินออกไป วาริชเห็นท่าไม่ดีเลยรีบเปลี่ยนมุกใหม่
“โอเคๆ เลิกก็เลิก ถ้าคุณต้องการแบบนั้น ผมเลิกก็ได้ แต่...ก่อนจะเลิกกัน ผมขออะไรสักอย่าง...ช่วยทานข้าวกับผมเป็นครั้งสุดท้าย”
วาริชทำหน้าเศร้า พิมพรรณชะงักด้วยความใจอ่อน
“ผมทำอาหารเพื่อคุณ มันอาจจะเป็นมื้อสุดท้ายที่เราจะได้กินด้วยกัน..คุณจะให้เกียรติทานกับผมหรือเปล่า....ได้หรือเปล่าพิม”
วาริชออดอ้อนด้วยน้ำเสียงและสายตาอย่างเต็มที่
ภายในบ้าน วาริชง้างกำปั้นจะชกเข้าที่กำแพง แล้วก็ชะงักไว้เพราะกลัวเสียงดังก่อนเปลี่ยนมาเป็นชกลมแทน ด้วยความแค้น
“เห็นได้ไงวะ ฮึ่ย บ้าจริงๆ มีทั้งรีสอร์ต มีทั้งที่ริมทะเล ใครจะไปยอมเลิก”
วาริชคิดๆแล้วก็หยิบห่อยานอนหลับออกมา วาริชมองซ้ายมองขวาเห็นว่า ปลอดภัยก็หันไปหยิบแก้วน้ำมารินน้ำและใส่ยานอนหลับลงไปในแก้วน้ำ
รอยยิ้มร้ายฉาบบนสีหน้า
พิมพรรณยกแก้วน้ำขึ้นดื่มรวดเดียวหมดในเวลาต่อมา วาริชรีบถาม
“เอาน้ำอีกมั้ยจ้ะ”
พิมพรรณรีบยกมือ
“ไม่แล้ว...ขอบใจมาก”
พิมพรรณรวบช้อน วาริชมองแล้วถามต่อ
“อิ่มแล้วเหรอ”
พิมพรรณไม่ตอบแต่มองหน้าวาริช
“พิมทานข้าวตามที่คุณต้องการแล้ว..พิมกลับล่ะ”
พิมพรรณตั้งท่าจะลุกขึ้น วาริชพูดขึ้น
“พิมแน่ใจเหรอว่าจะไม่ให้โอกาสผมอีกสักครั้ง”
พิมพรรณหันมายืนยัน
“คุณไม่ต้องเสียใจหรอกค่ะ มีผู้หญิงคนอื่นพร้อมจะให้โอกาสคุณอีกมาก..แต่ไม่ใช่พิม”
พิมพรรณพูดจบก็ลุกขึ้น พอลุกปุ๊บก็เซมึนปั๊บ
“โอ้ย”
วาริชได้ทีรีบเข้ามาประคอง
“พิม..เป็นอะไรหรือเปล่า”
“ปวดหัวค่ะ มึน”
“เดี๋ยวผมพาคุณไปพักก่อนนะพิม”
“ไม่เป็นไรค่ะ พิมจะกลับ...บ้าน”
พิมพรรณพูดแค่นั้นก็ร่วงอยู่ในอ้อมกอดของวาริช
“พิม พิม พิม”
พิมพรรณไม่รู้ตัวแล้ว วาริชเขย่าตัวพิมพรรณเพื่อให้แน่ใจว่าสลบไปจริงๆ
“พิม พิม”
พิมพรรณนิ่งสนิท วาริชยิ้มร้ายแล้วก็อุ้มพิมพรรณเดินเข้าไปในห้องนอนทันที
ภายในบ้านอาภรณ์ตอนกลางคืน รสาอยู่ในชุดเตรียมเข้านอนแต่คุยโทรศัพท์ด้วยความไม่สบายใจ
“พี่ห้าว..พิมยังไม่กลับมาอีกเหรอ”
ห้าวเริ่มเป็นห่วง
“ยังเลยเนี่ย โทร.ไปก็ปิดเครื่อง พี่ว่าจะเอามอเตอร์ไซด์ออกไปตามแล้ว รสรู้หรือเปล่าว่าพิมไปไหน”
รสาตอบด้วยความหนักใจ
“ไปหาไอ้วาริช”
ห้าวตกใจ
“หะ แล้วทำไมพิมไปหามันคนเดียว ไม่บอกพี่สักคำ พี่จะได้ไปด้วย”
รสาเหนื่อยใจ
“รสก็บอกพิมแล้ว แต่พิมยืนยันว่าจะไปคนเดียว”
ห้าวสีหน้าเครียด
“ตายๆๆ ฮึ่ย เอาไงดี พี่ว่าสถานการณ์ไม่ค่อยน่าไว้ใจ เดี๋ยวพี่จะออกไปตามพิมเอง ถ้ารสติดต่อพิมได้รีบโทร.บอกพี่เลยนะ”
รสารีบรับคำ
“จ้ะๆ”
รสารีบวางสายไปแล้วก็กดโทร.หาพิมพรรณ เสียงจากโทรศัพท์ไม่มีสัญญาณตอบรับ รสากดวางสายไปแล้วก็เครียด
“พิม อย่าเป็นอะไรไปนะ”
รสาเป็นห่วงพิมพรรณจับใจ
โทรศัพท์มือถือของพิมพรรณปิดสนิทถูกวางไว้ข้างๆกระเป๋า พิมพรรณนอนร้องไห้อยู่บนเตียง ข้างๆ
เป็นวาริชที่ทำเป็นเพ้อ
“พิม พิม”
วาริชพลิกมากอดพิมพรรณไว้ พิมพรรณปรายตามามองแล้วก็สะบัดตัวออก ก่อนลุกขึ้นพร้อมกับดึงผ้าห่มมาปิดตัวก่อนจะเดินไปหยิบเสื้อผ้ามาใส่ วาริชหลิ่วตามองแล้วก็คิด ก่อนจะตีบทอ้อนต่อและรีบลุกจากเตียงเดินตามพิมพรรณไป
พิมพรรณแต่งตัวเสร็จเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยสีหน้าเศร้า วาริชรีบเข้ามากอดอ้อน
“พิม ผมขอโทษนะครับ”
พิมพรรณบิดตัวจะให้หลุดจากอ้อมกอด แต่ยิ่งดิ้นเหมือนยิ่งโดนกอดแน่นขึ้น
“ปล่อยนะคะ”
“ผมไม่ปล่อย ผมจะกอดจนกว่าคุณจะยกโทษให้”
“คุณทำแบบนี้ แล้วคิดว่าพิมจะยกโทษให้อีกเหรอ”
“ผมทำไปเพราะความรักนะพิม ผมรักคุณ รักมากมากที่สุด รักจนยอมทำทุกอย่างได้เพื่อไม่ให้เลิกกับคุณ”
พิมพรรณพยายามจะใจแข็ง
“ผมเองก็ไม่รู้ตัวว่า รักคุณมากแค่ไหน จนคุณขอเลิก ผมถึงได้รู้ว่าผมอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีคุณ”
วาริชบิดตัวพิมพรรณมาเผชิญหน้าแล้วก็ออดอ้อน
“พิม ผู้หญิงคนอื่นเป็นแค่ของเล่นของผม คุณเท่านั้นคือตัวจริง ผมยอมเลิกกับทุกคนเพื่อคุณ”
วาริชพูดอย่างหนักแน่น พิมพรรณมองหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“วันนี้คุณอาจจะไม่เชื่อผม แต่ผมจะพิสูจน์ให้คุณเห็น นับจากนี้ไป ผมจะมีคุณคนเดียว คนเดียวจริงๆ”
วาริชทำเป็นพูดเสียงแข็งยืนยัน จนพิมพรรณแอบใจอ่อนมองหน้าวาริชแล้วก็พยักหน้านิดๆ เหมือนเสียไม่ได้
วาริชยิ้มแฉ่งแล้วก็ดึงพิมพรรณมากอด
“ผมรักคุณนะพิม”
พิมพรรณฟังแล้วก็น้ำตาซึมๆ ทั้งเสียใจ ตกใจ และสิ้นหวัง หวั่นไหว สับสนปนเปกันมั่วไปหมด ในขณะที่พิม
พรรณสับสนอยู่ในอ้อมกอดของวาริช วาริชแอบยิ้มร้าย
ห้าวขี่มอเตอร์ไซด์กลับเข้ามาด้วยอาการหงุดหงิดแล้วก็บ่นๆ
“พิมหายไปไหนของเค้านะ วนหาทั้งตลาดก็ไม่เจอ บ้านไอ้หน้าหนวดอยู่ไหนก็ไม่รู้”
ทันใดนั้นพิมพรรณก็ขับรถเข้ามา ห้าวหันไปมองด้วยความตื่นเต้นดีใจ
“พิม พิม”
ห้าวรีบวิ่งเข้าไปหา พิมพรรณพยายามทำตัวให้เป็นปกติ จอดรถ และลงรถมาไม่ให้มีพิรุธ
“พิมไปไหนมา แล้ว...พิมสบายดีหรือเปล่า พี่กับรสเป็นห่วงมากนะ”
“พิม..สบายดีจ้ะ พอดีรถเสียนิดหน่อยก็เลยกลับมาช้า พิมไปอาบน้ำนอนก่อนนะ พรุ่งนี้มีประชุมแต่เช้า”
พิมพรรณพูดเหมือนปกติแล้วก็เดินชิ่งไปเลย ปล่อยให้ห้าวยืนงงอยู่คนเดียว
“อ้าว เอ้ย ไม่มีอะไรจริงๆเหรอวะ”
ห้าวคิดด้วยความไม่วางใจ
พิมพรรณเดินเข้ามาในห้องได้ก็โถมตัวลงบนเตียงแล้วก็เอามือปิดปากร้องไห้อย่างหนักเพื่อไม่ให้คนอื่นได้ยินเสียง พิมพรรณร้องไห้ด้วยความเสียใจ สับสน และผิดหวัง ไม่รู้ว่าอนาคตข้างหน้าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร
รสาคุยโทรศัพท์กับห้าวอยู่ที่เดิม
“รสก็ว่ามันแปลกๆ แต่ในเมื่อพิมเค้าบอกว่าไม่มีอะไร เราก็ต้องเชื่อเค้า เอาไว้ ถ้ามันมีอะไรจริงๆ รสเชื่อว่าพิมจะบอกรสเอง”
ห้าวคุยโทรศัพท์อยู่ที่หน้าบ้าน
“ได้ พี่เชื่อ แล้วรสเองก็เหมือนกันนะ”
รสาชะงักฟังด้วยความแปลกใจ ห้าวพูดต่อ
“ถ้ามีอะไรที่อยากจะเล่าให้พี่ฟัง พี่ก็พร้อมจะฟังเสมอ”
รสายิ้มรับ
“ขอบคุณมากจ้ะ แต่ตอนนี้..รสก็ยังไม่มีอะไรจะเล่าเหมือนกัน เอาไว้...ถ้ามีเมื่อไหร่ รสจะเล่าให้ฟังนะจ้ะ”
ห้าวยิ้มรับนิดๆ
“จ้ะ เอ่อ แล้วก็อย่าทำงานหนักมากนะ รักษาสุขภาพด้วย”
ห้าวพูดจบก็วางสายไป พร้อมกับถอนหายใจเบาๆ เหนื่อยๆ หนักๆ และหน่วงๆ
“เฮ่อ”
รสาวางสายไปแล้วก็คิดเรื่องพิมพรรณด้วยความเป็นห่วงพลางบ่นเบาๆกับตัวเอง
“ มันจะต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่ๆ”
โปรดติดตาม...ลุ้นรัก "รสา-ภคพงษ์" ตอนต่อไป เวลา 9.30 น.