ตะวันทอแสง ตอนที่ 4
ในวันต่อมา ภาพของภคพงษ์และยูโฮะที่โอมแอบถ่ายตอนกินข้าวอยู่ในมือยูโฮะ ยูโฮะยัดรูปใส่ซองแล้วส่งเช็คให้โอม สองคนกำลังนั่งคุยกันอยู่ที่กองถ่ายมิวสิค ในมุมปลอดภัยแห่งหนึ่ง
“นี่เป็นค่าเสียเวลานะคะพี่ ส่วนรูปยูโฮะขอเก็บไว้เอง”
“อ้าว แต่ยูโฮะบอกจะให้พี่เอารูปไปลงหนังสือ บอกอเค้าก็รออยู่นะเนี่ย”
“ให้ลงไม่ได้ค่ะ พี่ภัคเค้าไม่แฮปปี้ แถมยังบอกว่าถ้ารูปชุดนี้หลุดออกไปเลิกคบ”
“เฮ้ย ไฮโซพวกนี้ เค้าก็ขู่ไปงั้น ไม่ทำจริงหรอก”
“พี่ภัคทำจริงแน่ ยูโฮะไม่อยากเสี่ยง เอาเป็นว่ารูปพวกนี้ยูโฮะขอแล้วกัน ส่วนเงินนี้ให้พิเศษถือว่าเป็นค่าเสียเวลา อย่าลืมนะพี่ห้ามให้รูปหลุดออกไปเด็ดขาด แล้วรูปในกล้องพี่ก็ลบด้วยนะอย่าลืมล่ะ”
ยูโฮะพูดจบก็รีบวิ่งไปเข้าฉาก ถ่ายเอ็มวีต่อ โอมคิดแล้วหยิบกล้องมากดดูภาพแล้วก็คิดอย่างเจ้าเล่ห์
ภายในร้านอาหารแห่งหนึ่งในเวลาต่อมา รูปในกล้องอยู่ในมือของพักตร์วิมลที่ยิ้มร้ายอยู่
“ถ้ารูปนี้หลุดออกไป ภัคจะเลิกกับนังเด็กนั่นเหรอ”
โอมตอบอย่างสอพลอ
“เห็นยูโฮะว่ายังงั้นน่ะ แต่พี่เสียดายรูป อุตส่าห์ถ่ายมาได้แล้ว ดันไม่ได้ลง เสียดายจริงๆ ถ้ามีใครเอาไปลงเล่มอื่นก็ยังดี”
พักตร์วิมลรู้ทันแล้วบอก
“ถ้าแพตขอซื้อรูปแล้วเอาไปลงเล่มอื่น พี่จะขายหรือเปล่า”
โอมทำเป็นชะงัก แล้วก็ยิ้ม
“มันก็ขึ้นอยู่กับราคาว่าคุ้มเสี่ยงหรือเปล่า”
พักตร์วิมลหยิบสมุดเช็คมาเขียนแล้วส่งให้ โอมเห็นตัวเลขถึงกับตาวาว รีบถอดเมมโมรี่การ์ดให้ทั้งแผ่น
“พี่ให้หมดเลย แต่แพตอย่าบอกว่าเอามาจากพี่แล้วกัน ถ้ายูโฮะถามพี่ก็จะบอกว่าไม่รู้ ไม่เห็น ไม่รู้ว่ามันหลุดออกไปได้ยังไง”
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงค่ะ แพตไม่ทำให้พี่เดือดร้อนอยู่แล้ว ส่วนนังเด็กนั่นจะเดือดร้อนหรือเปล่า...เดี๋ยวก็รู้”
พักตร์วิมลยิ้มร้ายหวังว่า ทางกำจัดยูโฮะครั้งนี้ ต้องสำเร็จ
ในเวลากลางวัน ภคพงษ์เดินเข้ามาในเรือนหลังเล็ก สำรวจงานที่รสาทำไปแล้วบางส่วน ภคพงษ์เดินมาจนถึงห้องนอนของตัวเองแล้วก็นึกได้ เดินไปที่ตู้แต่ไม่เจอกล่องของที่เคยเก็บไว้ ภคพงษ์คิด
รสากำลังวิ่งออกกำลังกายอยู่ที่ชายหาด โทรศัพท์มือถือดัง รสาหยุดวิ่งแล้วหยิบมือถือออกจากกระเป๋ากางเกง
พอเห็นเชื่อภคพงษ์ก็แปลกใจ
“โทร.มาวันอาทิตย์เนี่ยนะ สวัสดีค่ะ”
ภคพงษ์ทำเสียงเข้ม
“ผมมีเรื่องงานจะถาม”
รสาท้าวเอว หอบนิดๆ
“วันนี้วันอาทิตย์นะคะ รออีกสักวันค่อยถามไม่ได้เหรอคะ”
ภคพงษ์ตอบเสียงขรึม
“ไม่ได้ เพราะเรื่องนี้สำคัญมาก”
รสาถอนใจเบาๆ แล้วก็ตอบกลับไป
“เชิญค่ะ”
ภคพงษ์ยิ้มนิดๆที่เอาชนะได้
“ผมอยากทราบว่า..กล่องใส่ของสีเงินที่อยู่ในตู้ห้องนอนของผม มันหายไปไหน”
รสาอึ้ง ปล่อยมือจากที่ท้าวเอว
“เรื่องแค่นี้เนี่ยนะคะ”
ภคพงษ์ตอบหน้านิ่งๆ แต่แอบกวน
“มันอาจจะเป็นเรื่องเล็ก สำหรับคุณ แต่เป็นเรื่องสำคัญสำหรับผม ถ้าไม่จำเป็นผมคงไม่โทร.มารบกวนในวันหยุด”
รสาส่ายหน้าแล้วก็ตอบ
“ดิฉันนำไปฝากไว้กับป้าใจ เพราะเกรงว่าจะหายระหว่างการเคลื่อนย้ายตู้ ส่วนของตกแต่งบ้านเล็กๆน้อยๆเช่นกรอบรูป ดิฉันนำใส่กล่องและฝากไว้กับป้าใจเช่นกันค่ะ”
รสาร่ายยาว และปิดท้าย
“ไม่ทราบว่ามีคำถามอื่นอีกมั้ยคะ”
ภคพงษ์ตอบเสียงนิ่งๆ พลางเดินไปที่หน้าต่าง ใบหน้าของภคพงษ์ดูผ่อนคลายขึ้น
“มี ตอนนี้คุณกำลังทำอะไรอยู่”
รสาชะงักนิดๆ เดาอารมณ์ไม่ออก แล้วก็ตอบไป
“กำลังวิ่งออกกำลังกายอยู่ค่ะ”
“แล้วจะกลับมากรุงเทพเมื่อไหร่”
“เย็นนี้ค่ะ”
“กลับมายังไง”
รสาชะงักอีกที
“ไม่ทราบว่าเกี่ยวกับเรื่องงานยังไงคะ”
ภคพงษ์ยิ้มอย่างรู้ทันแล้วก็ตอบแอบกวน
“เกี่ยวสิ ผมอยากแน่ใจว่าคุณกลับมาถึงกรุงเทพโดยปลอดภัย ผมจะได้มั่นใจว่าคุณจะมาทำงานให้ผมแต่เช้า”
รสาตอบด้วยความมั่นใจ
“คุณไม่ต้องห่วงค่ะ ดิฉันไปทำงานให้คุณได้ในวันพรุ่งนี้แน่ๆ ตั้งแต่เช้าตามเวลางาน”
ภคพงษ์ตัดบท
“ดี..อย่ามาสายล่ะ คุณมีงานอีกมากที่ต้องทำ ผมหมดคำถามแล้ว เชิญคุณออกกำลังกายต่อได้”
ภคพงษ์วางสายพร้อมรอยยิ้มนิดๆ ในฐานะที่เป็นผู้ควบคุมการสนทนา
รสาวางสายไปแล้วก็ส่ายหัวนิดๆ แอบหงุดหงิดเล็กน้อย
“อะไรของเค้าเนี่ย จอมบงการขนานแท้ เฮ่อ”
รสาเก็บโทรศัพท์ เสียงพิมพรรณเรียกดังขึ้น
“รส รส !”
รสาหันไปตามเสียงเรียกเห็นพิมพรรณยืนโบกมืออยู่พร้อมกับตะโกนมาว่า
“ใกล้เวลานัดแล้วนะ”
“เวลานัด เออใช่”
รถของวาริชแล่นเข้าจอด วาริชลงจากรถด้วยใบหน้าสดใส ยิ้มอย่างสุภาพ พิมพรรณยิ้มต้อนรับยืนอยู่ข้างรสา
“ผมมาเร็วไปหรือเปล่าครับ”
“ไม่หรอกค่ะ รสจ๊ะ..นี่วาริช...วาริชคะ นี่รสค่ะ รสเป็นทั้งเพื่อนสนิท เป็นพี่สาว เป็นน้องสาว เป็นทุกอย่างของพิมเลยค่ะ”
วาริชเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ
“คือ พ่อแม่ของรสกับพ่อแม่พิมเป็นเพื่อนสนิทกัน พอพ่อแม่รสเสียชีวิต อาพร้อมกับอาวิมลก็เลยรับรสมาอุปการะน่ะค่ะ” รสาบอก
“อ๋อ...สวัสดีครับ”
“สวัสดีค่ะ เห็นพิมบอกว่าคุณอยากจะทำรีสอร์ตที่ระยองเหรอคะ”
“ก็มองๆอยู่น่ะครับ ถ้ามีความเป็นไปได้ก็อยากทำ พิมเค้าใจดีก็เลยอนุญาตให้ผมมาดูงานที่นี่”
วาริชมองพิมพรรณแล้วส่งสายตาหวานซึ้ง พิมพรรณยิ้มรับอย่างอายๆ รสามองแล้วก็ต้องขัดขึ้น
“พิมจ้ะ รสว่าพาวาริชไปแนะนำให้รู้จักกับอาพร้อม อาวิมล ก่อนดีมั๊ยจ้ะ สองคนนั้นจะได้ไม่งง”
พิมพรรณหันมาทางวาริชแล้วบอก
“จริงด้วย วาริชคะ เดี๋ยวพิมแนะนำให้รู้จักกับคุณพ่อคุณแม่แล้วก็พี่ชายพิมก่อนนะคะ แล้วเราค่อยเดินดูรอบๆกัน”
รสาเดินนำไป
“เชิญค่ะ”
พิมพรรณกำลังจะเดินตามไป วาริชเรียกไว้
“พิมครับ พ่อแม่พิม ท่าน...ดุหรือเปล่าครับ”
“โอ้ย ไม่เลยค่ะ พ่อแม่พิมใจดีมากๆ”
พิมพรรณตอบด้วยความมั่นใจ
พร้อมนั่งหน้าบึ้ง ข้างๆมีห้าวยืนหน้าขรึม ดูแล้วดุมากๆ วิมลนั่งอยู่ข้างๆ ถัดไปเป็นรสา วาริชกับพิมพรรณนั่งอยู่อีกฝั่ง เผชิญหน้ากันสุดๆ วาริชนั่งตัวลีบ หันมากระซิบกับพิมพรรณที่นั่งอยู่ข้างๆ
“แน่ใจนะครับว่าไม่ดุ”
พิมพรรณยิ้มแห้งๆ พร้อมมองหน้าวาริชแล้วพูด
“ทำรีสอร์ตไม่ใช่จะทำง่ายๆ เพิ่งจะย้ายมาจากจังหวัดอื่น แน่ใจเหรอว่าอยากจะทำจริงๆ”
“หรือว่าหาเรื่องตีสนิทพิม” ห้าวถาม
วาริชสะดุ้ง มองหน้าห้าวด้วยแววตาแอบเคืองๆ พิมพรรณรีบหันมาเอ็ดห้าว
“พี่ห้าว..ทำไมพูดแบบนี้ เสียมารยาท”
ห้าวทำเป็นลอยหน้าไม่สนใจ
“ผมทราบครับว่ามันไม่ง่าย แต่มันเป็นความฝันที่ผมอยากทำให้มันสำเร็จ แต่จะว่าไป..ทำมาหากินสมัยนี้ก็ไม่มีอะไรง่ายทั้งนั้น”
พิมพรรณยิ้มถูกใจในคำพูดก่อนหันมาทางพร้อม
“ที่วาริชมาวันนี้ก็แค่จะมาขอดูสถานที่รอบๆ ส่วนจะทำหรือไม่ทำ ทำได้หรือไม่ได้ ปล่อยให้เค้าคิดเองดีกว่านะคะ” พิมพรรณว่า
“พิมพูดก็ถูกนะพ่อ แค่เค้าขอมาดูที่ ก็ให้เค้าดูไป เราเองก็ไม่มีความลับอะไร นะพ่อ” วิมลว่า
พร้อมยังหน้าบึ้งอยู่ แต่พยักหน้าอนุญาต “อื้อ” วาริชมองวิมลแล้วก็ยิ้มๆ เริ่มจับทางบ้านนี้ถูกว่า ต้องเข้าทางแม่ พร้อมหันมาทางรสา
“รสเดินไปเป็นเพื่อนพิมด้วยแล้วกันนะ”
“จ้ะ”
วาริชสังเกตเห็นความไว้วางใจและความสนิทสนมระหว่างพิมพรรณและรสา เสียงห้าวแทรกเข้ามา
“พี่ไปด้วย”
พิมพรรณรีบห้ามทันที
“ไม่ต้องหรอกจ้ะ พี่ห้าวอยู่ช่วยแม่ทำกับข้าวเหอะ จะเที่ยงแล้ว เดี๋ยวลูกค้าไม่มีข้าวกิน พิมกับรสดูแลวาริชเอง” พิมพรรณว่าพลางหันมาทางรสาและวาริชบอก
“ไปรส ...เชิญค่ะ”
วาริชยิ้มรับอย่างสุภาพ
“ขอตัวนะครับ”
พร้อมนั่งคอแข็งไม่รับรู้ วิมลยิ้มรับนิดๆ ห้าวมองตามด้วยความไม่วางใจ พิมพรรณ รสา ลุกพาวาริชไปชมสถานที่
ภายในบ้าน ห้าววางตะแกรงผักอย่างแรงแล้วพูดขึ้น
“ผมรู้สึกไม่ถูกชะตากับไอ้หมอนี่ยังไงก็ไม่รู้”
พร้อมสนับสนุนทันที
“ข้าเห็นด้วย”
วิมลส่ายหน้าพร้อมกับหยิบตะแกรงผักมาเตรียมทำกับข้าว พร้อมพูดต่อ
“มันดูพูดจาดีปากหวานผิดปกติ แววตามันก็กรุ้มกริ่มยังไงไม่รู้ ดูแล้วขัดตา”
“เห็นเค้าเป็นผู้ชายมาสนิทสนมกับลูกสาวแล้วอคติหรือเปล่าพ่อ” วิมลว่า
พร้อมส่ายหน้าบอกไม่ถูก วิมลหันมาสรุป
“เอาน่า..เค้าอาจจะแค่อยากจะมาดูงานเฉยๆ มันอาจจะไม่มีอะไรก็ได้ คิดมาก”
วิมลสรุปแบบคนมองโลกในแง่ดี
พิมพรรณพาวาริชสำรวจบ้านพักต่างๆในรีสอร์ต มีรสาคอยช่วยอธิบายและให้เดินตามอยู่ไม่ห่าง วาริชมองดูรอบๆ อย่างใช้ความคิดดูจริงจังมากมาย
พิมพรรณอธิบายอย่างอารมณ์ดี ยิ้มแย้มหัวเราะให้กันอย่างสนิทสนม รสามองดูทั้งสองคนแล้วเริ่มรู้สึกถึงความพิเศษบางอย่าง
พิมพรรณเดินๆอยู่เกิดสะดุดเข้ากับขอบประตูจะล้ม รสาพุ่งเข้าไปรับแต่ช้าเกินไป วาริชพุ่งเข้าไปรับก่อน วาริช
ประคองพิมพรรณไว้ พิมพรรณออกอาการเขินอย่างเห็นได้ชัด ค่อยๆดึงตัวออก รสามองอาการของพิมพรรณแล้วค่อยข้างมั่นใจว่าชอบวาริชแน่ๆ
ในเวลาต่อมา พิมพรรณเดินมาส่งวาริชที่หน้ารีสอร์ต
“ผมต้องขอบคุณพิมมากนะครับที่พาชมซะรอบเลย”
“ด้วยความยินดีค่ะ ถ้าวาริชต้องการให้ช่วยอะไรอีกก็บอกได้นะคะ”
“ขอบคุณครับ เอ้อ ผมมีเรื่องสงสัยน่ะครับ”
“เรื่องอะไรคะ”
“เพื่อนพิม...รสน่ะครับ ดูเค้าสนิทสนมกับครอบครัวพิมมากเลยนะครับ”
“แน่นอนค่ะ รสเป็นเหมือนสมาชิกอีกคนของครอบครัวเรา อย่างที่พิมบอกน่ะค่ะ รสเป็นเพื่อน เป็นพี่ เป็นน้อง เป็นทุกอย่างของพิมค่ะ”
วาริชทำเป็นพูดลอยๆ
“ผมอยากเป็นแบบนั้นบ้างจัง .. เป็นทุกอย่างของพิม”
พิมพรรณชะงักแล้วก็อาย หลบตาไม่พูดอะไรต่อ วาริชอมยิ้มนิดๆ ด้วยความพอใจ ก่อนจะหันไปหยิบกล่องของขวัญในรถมาส่งให้พิมพรรณ
“สำหรับพิมครับ”
“เนื่องในโอกาสอะไรคะ”
“ตอบแทนที่มีน้ำใจกับผมมาตลอด ผมเพิ่งย้ายมาจากที่อื่น รู้สึกไม่โดดเดี่ยวก็เพราะรู้จักกับพิม ไหนๆก็มาถึงขนาดนี้แล้ว ผมไม่อยากอ้อมค้อม ผมถามพิมตรงๆเลยแล้วกัน..ถ้าผมขอคบกับพิม พิมจะยอมหรือเปล่า”
พิมพรรณตกใจ
“คบ”
“คือยังไม่ต้องเป็นแฟน เพราะมันอาจจะเร็วเกินไป แต่ขอพิมให้โอกาสได้ศึกษาดูนิสัยใจคอกันมากกว่าเป็นเพื่อนจะได้หรือเปล่า”
พิมพรรณลังเลไม่แน่ใจเพราะฉุกละหุกคิดไม่ทัน วาริชเหมือนรู้ใจพูดขึ้นเองว่า
“พิมยังไม่ต้องให้คำตอบตอนนี้ก็ได้นะครับ เอาเป็นว่า ถ้าพิมยินดีรับข้อเสนอ ขอให้พิมใช้ของที่ผมให้ในกล่องนี้ แทนคำตอบว่าตกลง”
วาริชยิ้มแสนดี พิมพรรณยิ้มรับอย่างอายๆ ไม่กล้าสบตาแล้วก้มมองกล่องของขวัญที่อยู่ในมือ
ภายในห้องนอนของพิมพรรณเวลากลางวัน กล่องของขวัญที่วางอยู่บนเตียงถูกพิมพรรณเปิดออก ภายในเป็นชุดเดรสสำหรับใส่ทำงานเก๋ๆ น่ารักมาก พิมพรรณหยิบขึ้นมาดูด้วยความชื่นชมพลางสะดุดที่ยี่ห้อ
“สวยจัง..รสนิยมดีใช้ได้นะเนี่ย โห...ของแพงซะด้วย”
พิมพรรณยกชุดขึ้นมาดูด้วยความพอใจแล้วลุกขึ้นยืนเอาชุดมาทาบกับตัว ส่องที่หน้ากระจกพร้อมกับยิ้มไป
มาอย่างอายๆ แต่ก็รู้สึกดีใจ รสาเดินมาเห็นพอดีก็สะดุดหยุดมอง เห็นกล่อง เห็นชุด เห็นพิมพรรณมีความสุข แล้วก็เข้าใจทันที
เย็นวันเดียวกัน ที่มุมหนึ่งของรีสอร์ตพร้อม ห้าวพูดกับรสาด้วยความแปลกใจ
“พิมน่าจะมีใจให้ไอ้หน้าหนวดนั่นจริงๆเหรอ”
“มันเป็นความเห็นจากมุมมองของรสคนเดียว มันอาจจะจริงหรือไม่จริงก็ได้”
ห้าวคิดหนัก
“แต่พี่เชื่อในสายตารส พี่ก็ว่าแล้ว ไอ้เนี่ยดูมันเป็นคนฉลาดพูด ปากหวาน ยัยพิมถึงได้เคลิ้ม”
“รสว่าตอนนี้คงต้องปล่อยไปก่อน ถ้าเราไปวุ่นวายก้าวก่ายมากๆ จะพาลปิดบัง แล้วก็ไม่เล่าให้ฟัง เราต้องไว้ใจพิมนะพี่ห้าว”
“พี่ไว้ใจพิม แต่พี่ไม่ไว้ใจไอ้หน้าหนวดนั่น แต่รสไม่ต้องกังวล กลับไปทำงานเถอะ ที่เหลือทางนี้พี่จะคอยดูเอง ถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากล พี่จะรีบโทร.หา แล้วนี่ รสจะกลับกรุงเทพยังไง ให้พี่ไปส่งหรือเปล่า”
“ไม่เป็นไรจ้ะ เดี๋ยวเพื่อนรสมารับ”
ห้าวชะงัก ถามตรงๆ ด้วยความอยากรู้
“เพื่อน ผู้หญิงหรือผู้ชาย”
รถชีวินแล่นเข้ามาจอด พร้อมเดินลงมาด้วยรอยยิ้มเบิกบานสุดๆ รสายืนรออยู่พร้อมกับสัมภาระมีกระเป๋า และถุงใส่กะปิ ปลาหมึก ห้าวยืนกอดตั้งป้อมไม่พอใจ พร้อม วิมลเดินมาสมทบ พิมพรรณเดินตามลงมาจากบ้าน ชีวินยกมือไหว้พร้อมและวิมลด้วยความสนิทสนม
“อาพร้อม อาวิมล สวัสดีครับ”
“ดีจ้า” พร้อมและวิมลรับไหว้
ชีวินหันมาทางห้าว
“พี่ห้าวสวัสดีครับ”
“กองไว้ตรงนั้น ขี้เกียจรับ ตอนกลับก็เอาคืนไปด้วย”
ห้าวแอบกวน ชีวินสะดุ้งร้อง “อ้าว”
พิมพรรณพูดแทรกขึ้นก่อนเปลี่ยนเรื่อง
“พี่ห้าวเค้าล้อเล่นน่ะ วินเป็นไงบ้าง ไม่ได้เจอกันนานเลย งานยุ่งเหรอ”
“ก็ยุ่งเหมือนกัน แล้วพิมล่ะเป็นไงบ้าง หน้าตาสดใสขึ้นนะ”
พิมพรรณยิ้มแล้วถ่อมตัว
“ไม่หรอก วินคงขับรถมาเหนื่อยๆ เลยตาพร่ามัว”
ห้าวได้ทีสอดขึ้นทันที
“ใช่..แบบนี้อันตรายนะ ให้พี่ขับไปส่งดีกว่า”
“เอ่อ..แต่ผมไม่ได้เหนื่อยนะครับ สายตาก็ปกติ รสไว้ใจได้รับรองว่าปลอดภัยแน่นอน”
“รสไว้ใจวินอยู่แล้ว พี่ห้าวเค้าแค่แซวเล่นน่ะ”
ห้าวอ้าปากจะเถียง พิมดึงแขนไว้ ห้าวเลยจำใจไม่ต่อปากต่อคำ วิมลตัดบท
“อาว่ารีบไปเถอะ มัวแต่ล้อเล่นแซวกันไปมา เดี๋ยวก็มืดพอดี”
“จ้ะ งั้นรสไปก่อนนะคะ สวัสดีค่ะ”
รสายกมือไหว้พร้อมกับวิมลก่อนจะหันมาทางพิมพรรณ แล้วคุยกันสองคน
“พิม...ถ้าต้องการคำปรึกษา รีบโทร.หารสทันทีเลยนะ ห้ามเกรงใจรู้หรือเปล่า”
พิมพรรณยิ้มกว้าง
“รู้จ้ะ เดินทางกลับดีๆหล่ะ...ขับรถดีๆนะจ้ะ”
“ขอบใจจ้ะ” ชีวินบอกแล้วหันมาไหว้พร้อมกับวิมล
“ผมลาล่ะครับ สวัสดีครับ”
พร้อมรับไหว้แล้วบอก
“ดีๆ ขับรถดีๆ”
“บุญรักษาลูก” วิมลบอก
ชีวินหันมาจะหยิบกระเป๋ารสา
“วินช่วย”
ห้าวแทรกมือเข้ามาดึงไปต่อหน้าต่อตา
“ไม่ต้อง”
ห้าวยักคิ้วกวนๆ แล้วก็หันมาทางรสา
“ไปจ้ะ เดี๋ยวพี่ถือกระเป๋าไปให้เอง”
รสายิ้มรับแล้วก็เดินไปที่รถ ชีวินถึงกับยืนงงก่อนหันมายิ้มให้พร้อม วิมลและพิมพรรณ ก่อนจะรีบเดินตามรสาและห้าวไปทันที
รถชีวินแล่นมาบนถนนริมหาด ภายในรถชีวินคิดๆ แล้วก็ตัดสินใจถามรสา
“รส.. ปุยนุ่นบอกว่า เมื่อวานเจ้านายรสเค้าขับรถมาส่งที่ระยองจริงเหรอ”
รสาตอบ “อือ” แบบไม่คิดมาก
“แล้วทำไมเค้าต้องมาส่งด้วย เค้าบอกหรือเปล่า”
“ไม่ได้บอก แต่ถ้าให้เดา คงอยากเอาชนะ แล้วก็แกล้งให้เราอึดอัดเล่น”
“ลงทุนขนาดนั้นเลยเหรอ”
“ก็คนรวย ไม่มีอะไรทำ หาเรื่องแกล้งคนอื่นไปวันๆ”
“แน่ใจนะว่าไม่มีเหตุผลอื่น”
ชีวินพูดจบ รสายังไม่ทันจะได้พูดอะไร โทรศัพท์ก็ดังขึ้น รสาหยิบมาดูที่หน้าจอขึ้นชื่อ ภคพงษ์ รสาบ่นๆ
“อีกแล้วเหรอ..มีปัญหาอะไรอีกนะ”
“ใครเหรอ”
ภคพงษ์ยืนอยู่มุมหนึ่งของบ้าน .. รอสายด้วยความสุขุม
“เมื่อเช้าก็โทร.มาเรื่องงาน นี่ก็โทร.มาอีกแล้ว วันอาทิตย์แท้ๆ”
รสาไม่รับแล้วก็ปล่อยให้เป็นมิสคอลไป
ภคพงษ์ยืนอยู่มุมเดิม..คิด แล้วไม่ยอมแพ้ กดโทร.ออกอีกที..ดูสิจะรับหรือเปล่า ท้าทายกันสุดๆ
โทรศัพท์มือถือรสาดังขึ้นมาอีก รสาหยิบมาดู
“คนเค้าไม่รับยังโทร.มาอีก”
“รสก็ลองรับดูสิ เผื่อว่าเค้าจะโทร.มาเรื่องงานอีกก็ได้ ถ้าไม่รับอีกรอบ เดี๋ยวก็เป็นเรื่องถึงคุณเผด็จ หรือไม่ก็พี่พิตตี้แน่ๆ” ชีวินว่า
รสาคิดๆแล้วก็ยอม
“จริงด้วย”
รสาตัดสินใจกดรับ
“สวัสดีค่ะ”
ภคพงษ์นั่งอยู่ที่มุมหนึ่งของบ้าน คุยโทรศัพท์อย่างอารมณ์ดี
“ผมมีเรื่องสงสัย เกี่ยวกับงานที่คุณทำ”
รสาตอบด้วยน้ำเสียงระวังท่าที
“เชิญถามมาได้เลยค่ะ”
ภคพงษ์ยิ้มๆแล้วบอก
“ผมไม่สะดวกคุยทางโทรศัพท์ ไม่ทราบว่าคุณออกจากระยองมาหรือยัง จะให้เปลี่ยนขับรถไปรับหรือเปล่า”
รสาตอบด้วยความเกรงใจ
“ไม่ต้องหรอกค่ะ ดิฉันออกมาแล้ว ชีวิน .. เอ่อ เพื่อนดิฉัน สถาปนิกที่ออกแบบสวนให้คุณน่ะค่ะ เค้าขับรถมารับ”
ภคพงษ์ชะงักนิดๆ หน้าขรึมลงเล็กน้อย น้ำเสียงจริงจังขึ้น
“แล้วพรุ่งนี้คุณจะเข้ามาทำงานกี่โมง”
รสายังไม่ทันตอบ ภคพงษ์ก็พูดสวนออกมาทางโทรศัพท์
“ผมขอให้คุณเข้ามาแต่เช้า ผมมีเรื่องงานจะคุยด้วย”
รสาตอบด้วยความอึดอัด) ได้ค่ะ ดิฉันจะไปถึงไม่เกิน 8 โมงเช้า คิดว่าน่าจะเช้าพอนะคะ สวัสดีค่ะ
รสาวางสายไป หงุดหงิดนิดๆ ภคพงษ์วางสายตามด้วยสีหน้าไม่พอใจที่รู้ว่าชีวินไปรับ
รสาส่ายหน้าเก็บโทรศัพท์ด้วยความเซ็งๆแล้วบ่น
“พวกเศรษฐี ชอบเอาแต่ใจ”
ชีวินหันมาถาม
“ดูคุณภคพงษ์เค้าจะสนใจรสมากเป็นพิเศษนะ”
“เพราะรสไม่ยอมเค้ามั้ง ก็เลยอยากจะเอาชนะ ถ้าสั่งเราได้ บังคับเราได้ เค้าคงดีใจ”
ชีวินฟังคิดตาม แต่ไม่เห็นด้วย รสาสรุป
“รสว่าอย่าไปสนใจเค้ามากเลย แค่ทำงานด้วยกัน อีกไม่นานพองานเสร็จก็คงไม่ได้เจอกันแล้ว”
ชีวินนิ่งเงียบ แต่รู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆว่ามันจะไม่จบง่ายๆ
ตะวันทอแสง ตอนที่ 4 (ต่อ)
เวลายามเย็น ภคพงษ์ยืนอยู่มุมหนึ่งของบ้าน ชายหนุ่มหวนคิดถึงคำพูดของรสา
“ไม่ต้องหรอกค่ะ ดิฉันออกมาแล้ว ชีวิน ...เอ่อ เพื่อนดิฉันสถาปนิกที่ออกแบบสวนให้คุณน่ะค่ะ เค้าขับรถมารับ”
ภคพงษ์คิด นึกถึงตอนที่ภคพงษ์เห็นรสาหยอกล้อกับชีวินที่ลานจอดรถและไปกินข้าวด้วยกัน ทั้งคู่ดูสนิทสนมกัน
“แล้วบอกว่าไม่ใช่แฟน”
ภคพงษ์พูดด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจ มีแววดูแคลนรสาในดวงตา...ด้วยความเข้าใจผิด
บริเวณกองถ่ายมิวสิกในตอนเช้า ยูโฮะกำลังแต่งหน้าอยู่ ผมยังใส่โลอยู่ก็อึ้งเมื่อเห็นภาพที่ภคพงษ์นั่งกินข้าวอยู่กับยูโฮะปรากฏบนหน้าหนังสือพิมพ์รายวัน ยูโฮะหน้าเสียลุกพรวดขึ้นมาจนช่างแต่งหน้าตกใจ
“เป็นไปไม่ได้ รูป...รูป หลุดออกไปได้ยังไง พี่ภัค”
ยูโฮะรีบหันไปคว้ากระเป๋าแล้วก็หันมาบอกคนในห้องแต่งตัว
“ยูโฮะมีธุระด่วนต้องไปทำ เดี๋ยวมานะคะ”
พูดจบยูโฮะก็วิ่งพรวดออกไปพร้อมหนังสือพิมพ์ ทีมงานถึงกับอึ้งตกใจ
“อ้าว เฮ้ย”
เสียงโทรศัพท์ที่บ้านเถลิงยศดังขึ้น ปุยนุ่นเดินเข้ามารับด้วยน้ำเสียงดีใจ
“สวัสดีค่ะ คุณยูโฮะ”
ยูโฮะเดินไปยังลานจอดรถ คุยโทรศัพท์ไปพลางแกะโรลบนหัวไปด้วย
“พี่ภัคตื่นหรือยัง”
“ยังค่ะ”
“แล้วมีใครเอาหนังสือพิมพ์อะไรไปให้พี่ภัคดูบ้างหรือเปล่า”
ปุยนุ่นตอบด้วยความสงสัย
“ยังไม่มีนะคะ หนังสือพิมพ์อะไรเหรอคะ”
ยูโฮะเดินมาเกือบจะถึงที่รถ
“ไม่มีอะไร เอาเป็นว่าถ้ามีใครจะเอาหนังสือพิมพ์อะไรมาให้พี่ภัคดู ปุยนุ่นก็ขัดขวางไว้ก่อน ยูโฮะกำลังจะไปหาพี่ภัค ยูโฮะจะไปอธิบายให้พี่ภัคฟังเอง”
ปุยนุ่นรับคำงงๆก่อนวางสาย
“ค่ะๆ สวัสดีค่ะ ...หนังสือพิมพ์อะไร”
ยูโฮะเข้ามาในรถแล้วโยน หนังสือพิมพ์ลงที่เบาะรถข้างเบาะคนขับก่อนคิดด้วยใบหน้าบึ้งตึง
“รูปมันหลุดออกไปได้ยังไง”
ยูโฮะคิดแล้วก็โทร.หาโอม ที่หน้าจอขึ้นชื่อ “โอม นักข่าว” แต่สัญญาณปิดเครื่อง ยูโฮะวางสายด้วยความหงุดหงิด
“ทำไมพี่โอมต้องปิดเครื่องด้วย หรือว่าจะหนี ไอ้นักข่าวนั่นมันต้องเอารูปไปให้หนังสือพิมพ์แน่ๆ หรือไม่ก็ต้องเอาไปให้ใครสักคนที่ไม่หวังดีกับเรา หรือว่า...”
ยูโฮะนึกถึงพักตร์วิมลขึ้นมาทันที
หนังสือวางอยู่ที่เบาะข้างๆ พักตร์วิมลขับรถอยู่ เหลือบตามามองภาพภคพงษ์และยูโฮะด้วยความ
พอใจ
ถุงกะปิและปลาหมึกวางอยู่บนโต๊ะ ตรงบริเวณมุมประจำของสายใจ
“รสซื้อกะปิกับปลาหมึกแห้งมาฝากจากระยองค่ะ”
สายใจยิ้มรับ ปุยนุ่นและเปลี่ยนนั่งอยู่ด้วย
“ขอบใจจ้ะ”
“ดีเลยครับคุณรส เมื่อวานผมเพิ่งเก็บมะม่วงแก้วมาจากในสวน เดี๋ยวผมขอกะปิมาจิ้มมะม่วงหน่อยนะครับ อุ้ย..แค่คิดก็เปรี้ยวปากแล้ว”
“ได้เลยค่ะ เออ.. พี่เปลี่ยนเคยกินกะปิหวานมั้ยคะ”
เปลี่ยนคิดๆแล้วส่ายหน้า ปุยนุ่นตอบแทรกเข้ามา
“เคยค่ะๆ ตอนเด็กๆแม่ทำให้กิน อร่อยมาก จิ้มกับมะม่วงเปรี้ยว ๆ แซบเว่อร์ค่ะ เสียดายไม่ได้ถามแม่ว่า ทำยังไง ตอนนี้แม่ตายแล้ว ไม่ได้กินเลยค่ะ”
“รสทำเป็นค่ะ เดี๋ยวรสทำให้นะคะ”
“ขอบคุณมากค่ะ”
เปลี่ยนกับปุยนุ่น เออเออ กันใหญ่
“ขอบคุณมากค้าบ”
สายใจมองเหล่ปุยนุ่นกับเปลี่ยนแล้วบอก
“นังปุย ไอ้เปลี่ยนน้อยๆหน่อย … คุณรสาอย่าไปสนใจพวกมันเลยค่ะ แค่ซื้อมาฝากก็ดีแล้ว อย่าถึงกับต้องทำให้เลยค่ะ เสียเวลางานคุณรสาเปล่าๆ”
“ไม่เป็นไรค่ะป้า”
รสาพูดไปพับแขนเสื้อไปบอก
“รสนัดคุณภคพงษ์ไว้แปดโมงเช้า ตอนนี้เพิ่งจะเจ็ดโมงครึ่ง ทำแค่กะปิหวานแป๊บเดียวก็เรียบร้อยค่ะ”
ปุยนุ่นกับเปลี่ยนยิ้มแฉ่งด้วยความเปรี้ยวปาก
“เดี๋ยวปุยไปเอาอุปกรณ์กับเครื่องปรุงมาให้นะคะ”
“ผมไปเตรียมปอกมะม่วงให้ครับ”
ปุยนุ่นกับเปลี่ยนรีบกระจายกำลังเตรียมเรื่องกินอย่างกระตือรือร้น
สายใจส่ายหน้าบอก
“ทีเรื่องงานไม่เห็นมันจะเร็วแบบนี้เลย”
รสายิ้มๆ แล้วก็หันมาทางถุงกะปิ..แล้วก็เปิดปากถุงอย่างกว้าง เตรียมตำสุดฤทธิ์
ภคพงษ์เดินลงมาจากห้องพักเรียก
“ปุยนุ่น..เปลี่ยน”
บ้านเงียบกริบ ไม่มีเสียงตอบ ภคพงษ์เดินมาที่ครัว แต่ยังไม่ถึงดีก็ชะงักกึกเพราะกลิ่นที่โชยมาแต่ไกล
“กลิ่นอะไร”
ถุงกะปิเปิดกว้าง รสากำลังทำกะปิหวานอย่างชำนาญ เริ่มจากใส่กะปิกับน้ำตาลปี๊บแล้วยีให้ละลาย
กลายเป็นเนื้อเดียวกัน ใส่หอมแดงซอย กุ้งแห้งตำฟูๆ แล้วโรยด้วยพริกขี้หนู เทใส่ชามขนาดใหญ่ที่มีมะม่วงวาง
อยู่อย่างเยอะ
ปุยนุ่นกับเปลี่ยนถึงกับน้ำลายสอ
“หอมมากเลยค่ะคุณรสา” ปุยนุ่นว่า
“แค่ได้กลิ่น น้ำลายก็สอแล้วครับ ผมขออนุญาตเปิดก่อนเลยแล้วกันนะครับ” เปลี่ยนบอก
เปลี่ยนหันไปคว้ามะม่วงเตรียมจ้วง ปุยน่นไม่ยอมรีบหยิบมาด้วย
“ปุยด้วยค่ะ”
ปุยนุ่นกับเปลี่ยนจ้วงกะปิหวานมา กำลังจะส่งเข้าปาก ทันใดนั้นเสียงภคพงษ์ก็ดังขึ้น
“ทำอะไรกัน”
ทั้งคู่ชะงักกึก มะม่วงจ่ออยู่ที่ปาก ภคพงษ์เดินเข้ามา มองไปรอบๆแล้วทำหน้าแปลกใจ
“แล้วนี่กลิ่นอะไร”
ปุยนุ่นกับเปลี่ยนตกใจ รีบวางมะม่วงไว้ในจานเหมือนเดิม สองคนยืนตัวลีบ รสาตอบแทน
“กลิ่นกะปิหวานค่ะ”
ภคพงษ์ขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ สายใจรีบอธิบาย
“คุณรสาซื้อกะปิมาฝากจากระยองน่ะค่ะ”
ภคพงษ์หันมามองรสาที่ทำหน้านิ่งๆ
“เจ้าเปลี่ยนกับปุยนุ่นอยากจะกินกะปิหวาน คุณรสาก็เลยทำให้”
ภคพงษ์มองปุยนุ่นกับเปลี่ยน สองคนรีบก้มหน้าด้วยกลัวความผิด รสาเห็นแล้วก็รีบพูดขึ้น
“คือดิฉันเห็นว่ายังไม่ถึงเวลาเริ่มงานน่ะค่ะ”
“ผมทราบ .. เรานัดกันแปดโมงเช้า ผมไม่ลืม”
รสาชะงัก เซ็งๆกับน้ำเสียงขรึมนิ่งและถือตัวของภคพงษ์
ที่หน้าบ้านเถลิงยศ รถแล่นเข้ามาจอด เอี๊ยด ! พักตร์วิมลก้าวลงมาจากรถพร้อมกับหนังสือพิมพ์ในมือ เดินดิ่งตรงเข้าไปในบ้าน
ทันใดนั้นรถของยูโฮะแล่นปาดเข้ามาจอด เอี๊ยด ! พักตร์วิมลชะงัก หยุดเดิน ยูโฮะรีบลงจากรถพรวดพราดลงมา
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ”
ยูโฮะเหลือบไปเห็นหนังสือพิมพ์ในมือพักตร์วิมลเข้าพอดี
“แกจะเอามาให้พี่ภัคดูใช่มั้ย”
พักตร์วิมลหน้าเชิดๆ หยิ่งๆ ตามสไตล์นางเอก
“ภัคควรจะได้ดูไม่ใช่เหรอ ฉันบังเอิญเห็นก็เลยอยากเอามาให้ดู”
“ไม่จริง แกตั้งใจ เพราะแกก็เป็นคนเอารูปพวกนี้ไปให้หนังสือพิมพ์”
“ฉันจะทำแบบนั้นทำไม”
“เพราะแกรู้ว่า ถ้ารูปพวกนี้หลุดออกไป พี่ภัคจะเลิกคบกับฉัน”
พักตร์วิมลทำเป็นลอยหน้าลอยตาเหมือนเพิ่งรู้
“อ๋อ จริงเหรอ นี่ฉันเพิ่งรู้นะเนี่ย งั้นฉันรีบเอาไปให้ภัคดูดีกว่า..หลบไป”
พักตร์วิมลผลักยูโฮะให้หลบไปอย่างแรง ยูโฮะกระเด็นออกไปตามแรงผลัก
“โอ้ย”
ยูโฮะล้มเซก้นจ้ำเป้าลงไปนั่งกับพื้น พักตร์วิมลได้โอกาสรีบเดินจ้ำเข้าไปในบ้านทันที ยูโฮะตะโกนไล่หลัง
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ นังป้าโบท๊อกซ์”
ยูโฮะรีบยันตัวลุกขึ้นแล้วรีบเดินตามไป
ชามกะปิหวานถูกปุยนุ่นยกขึ้นบอก
“ปุยนุ่นว่า กลิ่นมันอาจจะแรงไป เดี๋ยวปุยยกไปกินที่นอกบ้านข้างๆสวนๆดีกว่านะคะ”
เปลี่ยนรีบยกถาดมะม่วง
“ผมเอามะม่วงไปด้วยนะครับ”
ปุยนุ่นคว้าถุงปลาหมึก
“ปุยเอาปลาหมึกไปเก็บให้นะคะ”
เปลี่ยนคว้าถุงกะปิแล้วหันมาถามรสา
“ผมขออันนี้ไปกินด้วยนะครับ”
“ได้ค่ะ ถ้าชามนี้ไม่พอ พักกลางวัน รสทำเพิ่มให้ก็ได้นะคะ”
ภคพงษ์มองรสาที่พูดคุยกับเปลี่ยนและปุยนุ่นอย่างเป็นกันเอง
“ขอบคุณมากครับ/ ค่ะ” ปุยนุ่นกับเปลี่ยนรับขึ้นพร้อมกัน
“รีบๆไปกันได้แล้ว แล้วก็อย่ากินให้มันนานนักหล่ะ รีบๆกิน แล้วก็รีบๆเข้ามาทำงานกันต่อ” สายใจบอก
ปุยนุ่นกับเปลี่ยนรับขึ้นพร้อมกัน “จ้ะ”
ปุยนุ่นและเปลี่ยน เดินก้มๆผ่านภคพงษ์ไปอย่างเกรงๆ
รสาหันไปหยิบเป้ประจำตัวแล้วบอก
“ดิฉันขอตัวไปทำงานต่อนะคะ”
“เดี๋ยวก่อน”
รสาหยุด ภคพงษ์เดินมาหา
“ที่คุณบอกว่าต้องซื้อของมาฝากป้า .. สรุปว่า “ป้า” ที่คุณหมายถึง..คือ “ป้าสายใจ” งั้นเหรอ”
รสาสะอึกตอบไม่ถูก สายใจมองรสาด้วยความแปลกใจ ภคพงษ์รอคำตอบ
พักตร์วิมลเดินเข้ามาในบ้านแล้วก็เรียกขึ้น
“ภัคคะ...ภัค..คุณอยู่ไหนคะ ภัค”
ยูโฮะเดินพรวดพราดเข้ามา
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ”
พักตร์วิมลหันมาเห็นยูโฮะแล้วก็รีบเดินหนี
“ภัคคะ...ภัค”
ยูโฮะรีบเดินตาม
“นังป้าโรคจิต นังป้าจิตแตก หยุดนะ”
พักตร์วิมลไม่หยุด ยูโฮะรีบวิ่งมาตามด้วยความแค้น
ทางด้านห้องครัว รสายังอึกอักๆ ตอบไม่เต็มปาก
“ดิฉันก็ซื้อมาฝากคุณป้าอาภรณ์ ป้าแท้ๆของดิฉัน แล้วก็ซื้อเผื่อให้ป้าสายใจ ด้วย ถึงจะไม่ใช่ป้าแท้ๆ แต่ดิฉันก็ซาบซึ้งในน้ำใจที่ทำอาหารให้ดิฉันทานบ่อยๆ ดิฉันไม่เห็นว่ามันจะเป็นเรื่องแปลก”
ภคพงษ์หลิ่วตา รู้ว่ารสาโกหกก่อนพูดเบาๆ แต่รู้ทัน
“ลื่นไปเรื่อย..กะล่อนไม่ใช่เล่น”
รสาหันขวับมามองภคพงษ์ด้วยสายตาดุ แต่ก็เถียงไม่ออก สายใจมองทั้งคู่ด้วยความแปลกใจและไม่เข้าใจ
บริเวณทางเดินหน้าครัว ปุยนุ่นถือถือกะปิหวานชามใหญ่กับหิ้วถุงปลาหมึกเดินมากับเปลี่ยน ที่ถือถุงกะปิหนึ่งถุงใหญ่ และมะม่วงหนึ่งถาด
“วันนี้คุณภัคอารมณ์ดีนะเนี่ย ไม่เอ็ดสักคำ ไม่งั้นถ้ากลิ่นแบบนี้ โดนดุไปนานแล้ว”
“นั่นสิ ปุยนะ ใจหายวาบ”
พักตร์วิมลกับยูโฮะเดินพรวดพราดเข้าในบ้านอย่างไม่มีมารยาท
“ป้านี่ แก่แล้วยังจะเดินเร็วอีก เฮ้ย...หยุดนะ” ยูโฮะเดินจ้ำตามพักตร์วิมลจนเหนื่อย
“ฉันไม่หยุดจนกว่าจะได้เจอภัค...ถ้าฉันเจอภัคเมื่อไหร่ แก...จบแน่”
พักตร์วิมลพูดจบปุ๊บก็เลี้ยวที่มุมตึกพอดี และเป็นจังหวะที่เปลี่ยนและปุยนุ่นเดินออกมาพอดี...พักตร์วิมลกับปุยนุ่นชนกันเข้าอย่างจัง โครม !
กะปิหวานในมือปุยนุ่นกระฉอกราดลงไปที่ตัวและชุดสุดสวยของพักตร์วิมลแบบเต็มๆ พลั่ก ! บางส่วนกระเด็นกระจัดกระจายเข้าที่ใบหน้าส่งกลิ่นเหม็นคลุ้ง ถุงปลาหมึกหล่นพื้น ร่วงกระจัดกระจาย พักตร์วิมลถึงกับส่งเสียงกรีดดังลั่น
“อ๊าย...อะไรเนี่ย ว้าย...กะปิ”
ปุยนุ่นตกใจหน้าซีด เปลี่ยนก็ตกใจแต่ยืนอึ้ง ยูโฮะชะงักเท้าหยุดทัน ไม่โดน แล้วก็ส่งเสียงหัวเราะเยาะเย้ยออกมาอย่างสะใจ
“อี๊ย...เหม็นกะปิ แหวะ !”
พักตร์วิมลหันมามองยูโฮะด้วยความแค้น
รสา ภคพงษ์ สายใจ หันไปตามเสียงกรี๊ดกร๊าดที่ดัง โวยวายมาจากในบ้าน สายใจลุกขึ้นบอก
“เสียงใครเอะอะอยู่ข้างใน ป้าขอตัวไปดูให้นะคะ”
รสาทำเนียนรีบพูดขึ้น
“รสไปด้วยค่ะ เผื่อจะมีอะไรช่วยได้”
“ค่ะ”
สายใจรีบเดินไปด้วยความร้อนใจ แต่รสาเดินไปด้วยความโล่งใจที่ไม่ต้องอยู่ตอบคำถาม ภคพงษ์มองตาม แล้วส่ายหน้านิดๆ อย่างรู้ทัน
พักตร์วิมลปาหนังสือพิมพ์ลงที่พื้นด้วยความลืมตัวและหันไปกระชากชามกะปิหวานมาจากมือปุยนุ่น แล้วหันมาทางยูโฮะถาม
“หัวเราะอะไร..อยากโดนมั่งใช่มั้ย นังเด็กบ้า”
พักตร์วิมลพูดจบก็สาดกะปิหวานที่เหลือเข้าที่ตัวยูโฮะเต็มๆ แผละ ! ยูโฮะหุบหัวเราะแทบไม่ทัน กลิ่นกะปิคลุ้งไปทั้งตัว ยูโฮะร้องออกมาด้วยความรังเกียจ
“อี๊ย !!! เหม็นอ่ะ”
พักตร์วิมลทำเสียงประชดล้อเลียน
“เหม็นกะปิอ่ะ แหวะ “
พักตร์วิมลเบ้หน้าอย่างสะใจ
“สมน้ำหน้า ของเหม็นๆ มันก็เหมาะกับเด็กไม่รู้จักกาละเทศะอย่างหล่อน”
ยูโฮะกัดฟันกรอดหันไปคว้าปลาหมึกที่หล่นอยู่ที่พื้นขึ้นมาแล้วก็ประชดกลับ
“ถ้าอย่างนั้น ปลาหมึกแห้งก็คงจะเหมาะกับป้าหนังเหี่ยว ตากแดดรอผู้ชายมาเกือบชีวิตก็ยังหาไม่ได้อย่างป้า !” พูดจบยูโฮะก็ปาปลาหมึกใส่พักตร์วิมล
พักตร์วิมลหลบไม่ทัน ร้องกรี๊ดกร๊าด
“อี๊ย์ นังเด็กบ้า นี่แกจะไม่หยุดใช่มั้ย”
พักตร์วิมลหันมาทางเปลี่ยนที่ยืนเอ๋ออยู่ แล้วก็หยิบมะม่วงปาใส่ยูโฮะ
“นี่แน่ะๆ นังเด็กบ้า ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง”
พักตร์วิมลกับยูโฮะเปิดศึกปามะม่วง ปลาหมึก ใส่กันเป็นระวิง เปลี่ยนกับปุยนุ่นพยายามจะห้าม
“คุณยูโฮะ คุณแพตคะ ใจเย็นๆค่ะ เลอะเทอะหมดแล้วค่ะ”
“คุณครับ..พอเถอะครับ”
“แกไม่มีสิทธิ์มาสั่งฉัน นั่นถุงอะไร” พักตร์วิมลถาม
“กะปิครับ”
“เอามานี่เลย”
พักตร์วิมลคว้าถุงกะปิมาด้วยหน้าตาสะใจ
ปุยนุ่นมาจับแขนยูโฮะบอก
“คุณยูโฮะพอเถอะค่ะ”
ยูโฮะสะบัด แล้วผลักปุยนุ่นถลาไป
“ปล่อยนะ ไม่ใช่เรื่องของแก อีอ้วน”
ปุยนุ่นเซมาหาสายใจและรสาที่กำลังเดินมาพอดี รสารีบเข้ามาคว้าแขนไว้ไม่ให้ล้มได้พอดี
“ปุยนุ่น ระวัง”
“ตายๆๆ เลอะเทอะกันใหญ่แล้ว” สายใจว่า
พักตร์วิมลถือถุงกะปิ แล้วก็ปาใส่ยูโฮะ ปาไปก็ขยะแขยงไป ยูโฮะหลบได้บ้าง ไม่ได้บ้าง แล้วก็เก็บกะปิที่ตกอยู่ที่พื้นมาปาพักตร์วิมลต่อ เปลี่ยนยืนเก้ๆ กังๆ อยู่
“พอเถอะครับคุณ”
ทันใดนั้น กะปิก็ปาพลาดมาเข้าปาก เปลี่ยนรับไว้พอดี รสามองดูสภาพด้วยความตกใจ งุนงง และอึ้งกับการกระทำของสองสาว
“ทำไงดีคะคุณรสา”
รสาตัดสินใจ เสนอตัว
“รสจัดการเองค่ะ”
รสากำลังจะก้าวไป แต่ภคพงษ์จับไหล่ไว้
“ไม่ต้อง”
รสาชะงัก ภคพงษ์หน้านิ่งๆ ดุโคตรๆ พูดขึ้น
“หยุดทั้งสองคน ! ถ้ายังไม่หยุด ก็เชิญออกจากบ้านนี้ไปได้แล้ว”
ทั้งยูโฮะและพักตร์วิมลต่างหยุดนิ่ง หันมาทางภคพงษ์ และจะวิ่งเข้ามาหา
“ภัคคะ" / "พี่ภัค”
ภคพงษ์ผงะด้วยสายตาอันรังเกียจ เพราะกลิ่นที่แสนเหม็น ทั้งสองคนรู้ตัวถึงกับชะงักเท้า แล้วก็ค่อยๆก้มดม
ตัวเอง แทบจะอาเจียนทั้งคู่ สายใจส่ายหน้าอย่างระอาใจ รสามองแล้วก็อึ้งๆ งงๆ พลันสายตาเหลือบไปเห็นหนังสือพิมพ์ที่พักตร์วิมลปาทิ้งไว้ที่พื้น ภคพงษ์เห็นสายตาของรสามองอะไรบางอย่างก็มองตามแล้วก็ชะงัก
ยูโฮะหน้าเสียทันที
“พี่ภัคคะ คือ...”
ภคพงษ์ก้มลงหยิบหนังสือพิมพ์มาดูด้วยแววตานิ่งขรึม ยากแก่การคาดเดาอารมณ์
ในเวลาต่อมา หนังสือพิมพ์หน้าหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะ ภคพงษ์ยืนหน้าขรึมๆ ยูโฮะเปลี่ยนเสื้อผ้า หลังจากอาบน้ำล้างตัวมาเรียบร้อย ยูโฮะถือถ้าเช็ดหน้าไฮโซเข้ามาด้วย ยูโฮะรีบเดินเข้ามาทั้งที่ผมยังไม่แห้งดี เดินไป เช็ดผมไป
“พี่ภัคคะ ยูโฮะอธิบายได้นะคะ”
“ไม่มีอะไรต้องอธิบาย ทุกอย่างมันชัดเจนแล้ว”
“แต่.. ยูโฮะไม่ได้เป็นคนเอารูปไปให้หนังสือพิมพ์นะคะ ยูโฮะโดนแกล้ง”
“ผมเสียใจด้วยที่มีคนกลั่นแกล้งคุณ แต่มันคนละเรื่องกับที่เราตกลงกันไว้”
ยูโฮะหน้าเสีย
“พี่ภัค จะเลิกกับยูโฮะจริงๆเหรอคะ”
“ใช้คำว่าเลิกคงจะไม่เหมาะสม เพราะเรายังไม่ได้เป็นแฟนกัน เอาเป็นว่า..ผมขอยุติความเป็นเพื่อนไว้แค่นี้ เราคงไม่มีอะไรต้องติดต่อกันอีก”
ยูโฮะอึ้ง หน้าเหวอที่โดนบอกลาอย่างเลือดเย็น
“พี่ภัค เราจะแยกกันแบบง่ายๆแบบนี้เลยเหรอคะ”
“มันก็ไม่มีอะไรยากนี่ครับ”
ภคพงษ์พูดนิ่งอย่างสุภาพ แต่โหด ลึกๆ
“ก็ได้ ไปก็ได้ ทุกวันนี้ที่อยู่ด้วยก็ไม่มีความสุขเหมือนอยู่กับหุ่นขี้ผึ้ง ไม่มีหัวใจ” ยูโฮะพูดด้วยความแค้น
ภคพงษ์นิ่งฟังคำด่าอย่างใจเย็น ไม่แสดงอารมณ์หรือความไม่พอใจใดๆออกมา ยูโฮะระเบิดอารมณ์ต่อ
“ผู้ชายอย่างพี่ภัค รักใครไม่เป็น ผู้หญิงที่เข้ามาหาพี่ ก็มีแต่คนไม่จริงใจ เค้ามาก็เพราะเงินพี่ทั้งนั้น ถ้าไม่รวย ไม่มีใครทนหรอกจะบอกให้”
ยูโฮะเชิดหน้าขึ้นแล้วบอก
“ชีวิตนี้ .. ถ้าพี่ไม่โดนปลอกลอกจนหมดตัว ก็ต้องอยู่คนเดียวไปจนตาย”
คำพูดของยูโฮะกรีดลึกลงไปในปมด้อย ภคพงษ์ยืนนิ่งไม่ตอบโต้แม้แต่น้อย เมื่อเห็นภคพงษ์ยืนนิ่ง ยูโฮะยิ่งแค้น
“บ้าที่สุด ด่าไปก็เหมือนด่าก้อนหิน ไม่มีความรู้สึก”
ยูโฮะเดินกระแทกส้นออกไป
คำพูดของยูโฮะมันบาดลึกลงไปในหัวใจ แววตาภคพงษ์เศร้าลง..ค่อยๆหย่อนตัวลงนั่งกลางห้องที่ว่างเปล่า และเงียบเหงา ผู้ชายที่ดูเป็นคนโหดเหี้ยมในสายตาของยูโฮะ แท้จริงแล้วกลับกลายเป็นผู้ชายที่น่าสงสารและไม่มีใครเข้าใจแม้แต่คนเดียว
พักตร์วิมลซึ่งเปลี่ยนชุดแล้วยืนกอดอกรออยู่ที่หน้าตึกอย่างใจเย็น ยูโฮะเดินกระฟัดกระเฟียดออกมา และเดินผ่านพักตร์วิมลไปอย่างไม่ใส่ใจ พักตร์วิมลพูดไล่หลัง
“เสียใจด้วยนะ ที่โดนภัคตัดความสัมพันธ์แบบไม่มีเยื่อใย”
ยูโฮะชะงักแล้วหันมา
“ฉันต่างหากที่ต้องแสดงความเสียใจกับหล่อน ตอนนี้ฉันหลุดออกมาจากการรอคอยที่สิ้นหวังแล้ว เหลือแต่หล่อนที่ยังมีความหวังลมๆแล้งๆไปวันๆ”
รสาเดินสะพายกระเป๋ามาเตรียมจะไปทำงานที่เรือนหลังเล็ก ครั้นรสาได้ยินเสียงยูโฮะก็หยุด แล้วก็หลบๆ ไม่
อยากขัดจังหวะ พักตร์วิมลเบ้หน้าใส่แล้วว่า
“เชอะ..แพ้แล้วไม่ยอมรับความจริง”
“ป้านั่นแหละ ไม่ยอมรับความจริง...ความจริงก็คือ ผู้ชายอย่างภคพงษ์ เถลิงยศ ไม่เคยคิดจะรักใคร และไม่คิดจะจริงจังกับใคร”
รสาสะอึก..ฟังแล้วก็ยิ่งตอกย้ำให้ไม่ชอบภคพงษ์ พักตร์วิมลเชิดหน้าขึ้นอย่างไม่สนใจ ยูโฮะพูดต่อ
“ผู้หญิงก็เป็นเหมือนนาฬิกา เสื้อผ้า แว่นตา ที่เค้าเลือกมาใส่ในแต่ละวัน ถ้าเบื่อก็วางทิ้ง อยากใส่เมื่อไหร่ ก็หยิบมาใส่ ฉันจะไม่ยอมเป็นสิ่งของของเค้าอีกแล้ว เชิญป้าอยู่กับความฝันไปคนเดียวเถอะ ฉัน..ลาก่อน”
ยูโฮะเดินกระฟัดกระเฟียดออกไป พักตร์วิมลเบ้หน้าอย่างไม่แคร์
“นังเด็กบ้า...ขี้แพ้ชวนตี”
ที่ด้านหลังของพักตร์วิมล รสายืนหลบ ครุ่นคิด และเห็นด้วยกับยูโฮะ รสาบอกกับตัวเองให้ยิ่งต้องระวังตัว
รสาค่อยๆหันไปมองเข้าไปในบ้านอันใหญ่โตของภคพงษ์ด้วยอคติที่เพิ่มมากขึ้น
รสาเดินเข้ามาในเรือนหลังเล็ก วางกระเป๋าลงบนโต๊ะทำงานกลางห้อง แล้วก็คิดถึงคำพูดของยูโฮะ
“ความจริงก็คือ ผู้ชายอย่างภคพงษ์ เถลิงยศ ไม่เคยคิดจะรักใคร และไม่คิดจะจริงจังกับใคร ผู้หญิงก็เป็นเหมือนนาฬิกา เสื้อผ้า แว่นตา ที่เค้าเลือกมาใส่ในแต่ละวัน ถ้าเบื่อก็วางทิ้ง อยากใส่เมื่อไหร่ ก็หยิบมาใส่”
รสาส่ายหน้าด้วยความเอือมระอาใจ
เวลาเช้า ภายในโรงเรียน นักเรียนทะยอยเดินเข้าห้องเรียน พิมพรรณเดินเข้ามาในห้องสมุดด้วยชุดสวยที่วาริชซื้อให้ เพื่อนเห็นก็หันมาทัก
“พิมวันนี้แต่งตัวสวยจัง”
พิมพรรณยิ้มรับอายๆบอก
“ขอบใจจ้ะ”
พิมพรรณเดินเข้ามาที่ห้องทำงานด้วยความภูมิใจ
วาริชสะพายกระเป๋าอุปกรณ์ติดตั้งคอมพ์เดินเข้ามาในห้องสมุดมองหาพิมพรรณ แล้วยิ้มพอใจที่เห็นพิมพรรณใส่ชุดที่ตัวเองซื้อให้
ภายในห้องสมุด พิมพรรณกำลังจัดหนังสือทำรายการใหม่ วาริชเดินเข้ามาหยุดยืนข้างหน้าแล้วก็พูดขึ้น
“พิมใส่ชุดที่ผมให้...ผมถือว่าเป็นคำตอบนะ”
พิมพรรณสะดุ้งตกใจ เงยหน้ามองวาริชที่ยืนยิ้มอบอุ่นน่ารักอยู่ตรงหน้า พิมพรรณยิ้มอายๆ ไม่กล้าตอบ
“ผมดีใจที่พิมไว้ใจผม”
“แต่พิมก็ยังไม่อยากให้เรารีบร้อนนะคะ .. .ก็ให้มันค่อยๆเป็น ค่อยๆไป ค่อยๆศึกษากันไปอย่างที่วาริชบอกเมื่อวานนี้น่ะค่ะ”
วาริชยิ้มรับบอก
“ได้ครับ..ผมไม่ใจร้อนอยู่แล้ว แค่พิมให้โอกาสแค่นี้ผมก็ดีใจมากๆแล้ว งั้น..ผมขอทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มที่นะครับ เริ่มจากเย็นนี้ ผมขอไปส่งพิมที่บ้านนะครับ”
“ก็ได้ค่ะ”
“ก่อนจะกลับบ้านขออนุญาตพาไปทานข้าวด้วยได้มั้ยครับ”
วาริชเริ่มได้คืบจะเอาศอก พิมพรรณยิ้มอายๆด้วยความอ่อนต่อโลก
“ก็ได้ค่ะ แต่ไม่นานนะคะ พิมไม่อยากกลับบ้านดึก”
“ได้ครับ ผมรู้ว่าที่บ้านพิมเข้มงวดและพิมก็ไม่เคยออกนอกลู่นอกทาง ผมไม่ทำให้พิมต้องเสียแน่ๆครับ”
“ขอบคุณนะคะที่เข้าใจ พิมขอตัวไปทำงานก่อนนะคะ วาริชจะใช้คอมพ์ก็เชิญตามสบายเลยนะคะ”
“ครับ”
พิมพรรณยกกองหนังสือไปทำทะเบียนต่อด้วยรู้สึหัวใจพองโต ตื่นเต้น
วาริชมองตามยิ้มด้วยความพอใจ เป็นรอยยิ้มที่ยากจะหยั่งรู้ถึงความนึกคิดข้างใน
ตะวันทอแสง ตอนที่ 4 (ต่อ)
บริเวณเรือนหลังเล็ก ช่างยังทำงานกันอย่างต่อเนื่อง มีรถส่งของจอดอยู่ มีกล่องกระเบื้องวางอยู่บนรถ รสาตรวจดูแบบกระเบื้องที่มาส่งอย่างละเอียด
“ทุกอย่างถูกต้องตามรายการที่สั่งนะคะ ยกลงไปไว้ที่ระเบียงได้เลยค่ะ”
คนงานรับมาและทยอยยกของลง สายใจเดินมากับปุยนุ่นที่ถือถาดใส่ขวดแก้ว ในขวดมีน้ำอัญชันบรรจุอยู่สีสวยงาม
“คุณรสาคะ” ปุยนุ่นเรียกขึ้น
ปุยนุ่นรินน้ำอัญชัญใส่แก้วแล้ววางบนโต๊ะทำงานของรสา ขณะที่สายใจกำลังคุยกับรสา
“วันนี้อากาศร้อนๆ ป้าก็เลยเก็บดอกอัญชันหลังบ้านมาต้มกับใบเตยให้คุณภัค แล้วก็แบ่งมาให้คุณรสาด้วยค่ะ”
“ขอบคุณป้าใจมากค่ะ” รสาพูดพลางยกมือไหว้
ปุยนุ่นส่งแก้วให้
“นี่ค่ะคุณรสา หวาน หอม ชื่นใจสุดๆเลยค่ะ”
“ขอบใจจ้ะ”
รสายิ้มและรับแก้วมาดื่ม สายใจมองรสาแล้วก็พูดขึ้น
“เรื่องวุ่นวายเมื่อเช้า มันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนนะคะ ป้าไม่อยากให้คุณรสาเข้าใจผิด”
“เข้าใจผิดอะไรเหรอคะ”
“ก็เข้าใจผิดคิดว่ามีผู้หญิงมาตบตีแย่งคุณหนูแบบนี้เป็นประจำ เหตุการณ์แบบเมื่อเช้า ป้าก็เพิ่งเคยเห็นกับตาวันนี้เอง”
“ใช่ค่ะ ปกติคุณภัควางตัวกับผู้หญิงทุกคนดีมากนะคะ ให้เกียรติทุกคน และทุกคนก็ให้เกียรติคุณภัคไม่มีใครกล้ามาราวีแบบนี้เลยนะคะ แต่กับคุณยูโฮะกับคุณแพตเนี่ยแรงจริงๆค่ะ” ปุยนุ่นว่า
“ป้าไม่อยากให้คุณรสารู้สึกไม่ดีกับคุณหนู เพราะเรื่องเมื่อเช้าน่ะค่ะ”
“ป้าใจไม่ต้องห่วงนะคะ รสไม่เอาเรื่องงานมาปนกับเรื่องส่วนตัว เรื่องที่เกิดขึ้นจะไม่ส่งผลไม่ดีกับงานที่รสรับผิดชอบอยู่แน่นอนค่ะ”
สายใจยิ้มรับด้วยความสบายใจ ปุยนุ่นก็ยิ้มไปด้วย รสายิ้มรับนิดๆลึกๆก็แอบลำบากใจอยู่
ทันใดนั้นเสียงเปลี่ยนก็ดังขึ้น
“คุณรสาครับ”
รสาหันไปเห็นเปลี่ยนวิ่งกระหืดกระหอบมา
“คุณภัคให้มาเชิญไปที่เรือนใหญ่ บอกว่ามีเรื่องงานจะปรึกษาครับ”
รสาชะงักนิดๆ
ภคพงษ์วางหนังสือพิมพ์ลงบนโต๊ะ แล้วก็พูดเสียงขรึมกับรสา
“เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเช้า”
รสาพูดแทรกขึ้นอย่างมีมารยาท
“จะไม่มีผลต่อการทำงานของดิฉันแน่นอนค่ะ”
ภคพงษ์ชะงักนิดๆ มองหน้ารสาที่นิ่งเรียบเฉย เหมือนไม่ยินดียินร้ายและไม่ได้สนใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น ภคพงษ์เชิดหน้านิดๆบอก “ดี”
รสาชะงักนิดๆ เห็นน้ำเสียงและท่าทางที่ถือตัวก็แอบหงุดหงิดนิดๆ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องอย่างสุภาพ
“เปลี่ยนบอกว่าคุณมีเรื่องงานจะปรึกษา”
ภคพงษ์เอามือเลื่อนหนังสือพิมพ์บันเทิงหลบไป และเลื่อนแฟ้มงานมาเปิดดู
“อาเผด็จบอกว่าคุณต้องการนำเฟอร์นิเจอร์เก่าในเรือนหลังเล็กบางชิ้นมาซ่อมแซมและนำกลับมาใช้ใหม่” ภคพงษ์พูดพลางเปิดแฟ้มดูรูปเฟอร์นิเจอร์เก่าที่รสาส่งรายงานมา
“ใช่ค่ะ เป็นเฟอร์นิเจอร์เก่าหายาก บางชิ้นหาไม่ได้แล้ว ดิฉันเสียดายก็เลยจะขอนำไปซ่อมและมาวางรวมกับเฟอร์นิเจอร์ที่ซื้อใหม่ค่ะ”
ภคพงษ์พยักหน้ารับฟังและเงยหน้ามาออกคำสั่งอย่างสุภาพ
“เดี๋ยวคุณไปเตรียมของให้พร้อมแล้วออกไปกับผม”
รสาเลิกคิ้วถาม
“ไปไหนคะ”
“ไปร้านเฟอร์นิเจอร์”
“ร้านเฟอร์นิเจอร์อีกแล้วเหรอคะ ดิฉันไม่มีเวลาไปดูโอ่งกับคุณแล้วนะคะ”
รสาดักคอด้วยความไม่พอใจนิดๆ ภคพงษ์ปรายตามาพูดเสียงนิ่งๆ
“เมื่อเช้าผมให้ทางร้านมาขนเฟอร์นิเจอร์ที่คุณต้องการซ่อมแซมไปหมดแล้ว เจ้าของร้านเป็นเพื่อนของอาเผด็จ ผมจะพาคุณไปคุยกับเค้าเพื่อบอกว่าต้องการจะซ่อมแซมอะไรบ้าง .. ไม่ได้จะพาไปดูโอ่ง”
“แล้วไป” รสาพูดเบาๆด้วยความโล่งอก แล้วพูดต่อ
“ที่จริง คุณให้เบอร์ติดต่อมา แล้วดิฉันไปเองก็ได้นะคะ”
“ผมให้เวลาไปเตรียมของ 15 นาทีผมจะรออยู่ที่หน้าตึกใหญ่ กรุณาอย่าช้า ผมไม่ชอบรอ”
รสาอ้าปากจะแย้ง ภคพงษ์ไม่สนใจหันหลังเดินออกไปเลย รสาได้แต่มองตามอึ้งๆแล้วส่ายหน้า
“อ้าว สั่งแล้วก็ไป ขัดใจก็ไม่ได้ เฮ่อ เป็นลูกจ้างต้องอดทน ท่องไว้รส เป็นลูกจ้างต้องอดทน”
รสาปลอบใจตัวเองแล้วก็ทำตามคำสั่งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ในเวลาต่อมา ภคพงษ์เดินนำรสาเข้ามาในโรงงานซ่อมแซมเฟอร์นิเจอร์ รสาเดินตามมาพร้อมกับกระเป๋าและแฟ้มงานเตรียมพร้อมคุยงาน
“เตรียม” เจ้าของร้านวัย 50 เดินมาต้อนรับ ภคพงษ์ยกมือไหว้
“อาเตรียมสวัสดีครับ”
เตรียมรับไหว้
“สวัสดีครับคุณภคพงษ์”
ภคพงษ์หันมาแนะนำรสา
“นี่คุณรสา มัณฑนากรที่ผมเล่าให้ฟังครับ”
รสาชะงักนิดๆ กับคำแนะนำของภคพงษ์
“รสานี่อาเตรียม เจ้าของร้านนี้”
รสายังคาใจแต่พยายามไม่สนใจ หันมายกมือไหว้เตรียม
“สวัสดีค่ะ”
“ยังเด็กอยู่เลยเหมือนกับที่คุณภัคบอกเป๊ะ”
รสาชะงักเป็นรอบสอง ลอบมองภคพงษ์ที่ยิ้มคุยกับเตรียมซึ่งทำทีไม่สนใจสายตาและปฎิกริยาของรสา
“อาว่าเราเข้าไปคุยกันข้างในดีกว่าครับ”
“ครับ”
เตรียมเดินนำไป ภคพงษ์จะเดินตาม รสาทักขึ้น
“คุณภัคคะ”
ภคพงษ์หันมา
“คุณเล่าอะไรเกี่ยวกับดิฉันให้คุณเตรียมฟัง”
ภคพงษ์ยิ้มแต่ไม่ตอบแล้วเดินไป รสายืนเอ๋ออยู่ที่เดิม...อ้าว...
รสาได้แต่ถอนใจ ได้แต่เก็บความขุ่นข้องใจไว้และเดินตามไป
ภาพเฟอร์นิเจอร์แต่ละชิ้นที่รสาเตรียมไว้ถูกวางไว้บนโต๊ะ ข้างๆ มีตัวอย่างผ้า และวัสดุหลากชนิดวางอยู่ รสากับเตรียมคุยงานกันอย่างถูกคอ ภคพงษ์นั่งมองอยู่ไม่ห่างพลางจิบกาแฟและมองรสาอย่างเฝ้าสังเกต
“เฟอร์นิเจอร์ทั้งหมดมี 8 ชิ้นนะคะ รสมีภาพในสภาพสมบูรณ์มาให้ดูเป็นตัวอย่าง”
ภาพเฟอร์นิเจอร์เก่าของที่มีอยู่ และมีภาพของจริงในสภาพสมบูรณ์แปะไว้อยู่ข้างๆ เห็นว่าทำการบ้านมาอย่างดี เตรียมมองพร้อมกับพยักหน้ารับฟัง รสาพูดต่อ
“สำหรับเฟอร์นิเจอร์บางชิ้นที่เป็นเฟอร์นิเจอร์นำเข้าแล้วต้องบุผ้าใหม่ รสขอใช้ผ้าไทยที่มีลายและสีใกล้เคียงกัน ไม่ต้องสั่งผ้ามาจากนอกนะคะ รสเช็กแล้วมันแพงเกินไป ใช้ผ้าไทยดีกว่า คุณภาพไม่ได้ต่างกัน แต่ถูกกว่ากันเยอะมาก”
ภคพงษ์ฟังแล้วก็อมยิ้มนิดๆ
“รสหาแหล่งผลิตผ้า ลายที่ต้องการไว้แล้วนะคะ รายละเอียดตามนี้เลยค่ะ”
รสาส่งเอกสารให้ดู เตรียมรับมาอ่านพร้อมกับพยักหน้ารับด้วยความพอใจ
“คุณรสาทำการบ้านมาดีมาก แบบนี้ผมทำงานสบายเลย”
เตรียมยิ้มอย่างพอใจ รสายิ้มรับอย่างถ่อมตัว เตรียมเช็กดูรายละเอียดพร้อมรูปอื่นๆ รสานั่งมองแล้วก็รู้สึกว่าโดนจ้องมองอยู่ พอหันมาก็เห็นภคพงษ์นั่งมองมาอย่างตั้งใจ แววตานิ่ง ตีความไม่ออกว่าพอใจหรือจับผิด
รสาชะงักนิดๆ รู้สึกอึดอัด แล้วค่อยๆหันมาและทำเนียนเป็นขยับเก้าอี้ ภคพงษ์นั่งมองด้วยความแปลกใจ
รสาขยับปรับท่านั่งหันหลังให้ภคพงษ์ รสาสบายใจขึ้นอย่างแรงที่ไม่ต้องเห็นหน้าเจ้านาย ภคพงษ์เห็นรสาหันหลังให้ก็อมยิ้มนิดๆ พลางคิด “ร้ายนะเนี่ย”
โทรศัพท์มือถือรสาดังขึ้น รสาหยิบมาดูแล้วหันมาพูดกับเตรียม
“พอดีที่บริษัทโทร.มา ขอตัวสักครู่นะคะ”
“เชิญตามสบายเลยครับ”
รสาเดินเลี่ยงออกไปก่อนแอบปรายตามาทางภคพงษ์ที่ทำเป็นมองไปทางอื่นอย่างไม่สนใจ รสารีบชิ่ง
ออกไปทันที คล้อยหลังรสา ภคพงษ์ค่อยๆหันไปมองแอบอย่างอยากรู้ว่าใครโทร.มา
รสากดรับโทรศัพท์
“คัพเค้กว่าไง”
คัพเค้กนั่งอยู่ในออฟฟิศ ข้างหน้ามีแฟ้มประวัติที่รสาให้หาเพิ่มเติม
“คัพเค้กเตรียมข้อมูลของแม่คุณภคพงษ์ที่พี่รสต้องการเพิ่มเติมมาแล้วนะคะ”
ชีวินกำลังทำงานอยู่ถึงกับหูผึ่ง รีบเลื่อนเก้าอี้มาอยู่ข้างคัพเค้กทันที คัพเค้กปรายตามอง
รสาพยักหน้ารับรู้
“ขอบใจจ้ะ”
“เย็นนี้พี่รสจะแวะเข้ามาออฟฟิศหรือเปล่าคะ หรือจะให้คัพเค้กส่งเมลไปให้”
“ไม่ต้องเจ๊ เย็นนี้รสเข้าออฟฟิศ เดี๋ยวเราเจอกัน ขอบใจมากนะ”
คัพเค้กยิ้มรับ
“บายค่า”
คัพเค้กวางสายไปด้วยความภาคภูมิใจ เมื่อหันมาก็สะดุ้งโหยงเพราะชีวินนั่งอยู่ในระยะประชิด
“รสให้สืบประวัติแม่ภคพงษ์ทำไม”
ชีวินถามด้วยความอยากรู้มั่กๆ
เตรียมเดินมาคุยกับภคพงษ์
“คุณรสาทำงานเรียบร้อยมากครับ เตรียมรายละเอียดไว้พร้อม แถมยังช่วยประหยัดงบให้คุณภัคได้เยอะเลยนะครับเนี่ย”
ภคพงษ์ยิ้มรับนิดๆ รสาเดินมาพอดี เตรียมพูดต่อโดยไม่รู้ว่ารสาเดินมาแล้ว
“เด็กคนนี้ฝีมือดีสมกับที่คุณภัคชมไว้จริงๆ”
รสาชะงักได้ยินพอดี รสาแปลกใจอย่างแรงกับสิ่งที่ได้ยิน ภคพงษ์หันมาเห็นรสาเดินมาพอดี
รสามองหน้าภคพงษ์แปลกใจมาก ภคพงษ์มองหน้ารสาตอบเห็นความแปลกใจที่แสดงออกมาอย่างชัดเจน เตรียมหันมาเห็นรสาเดินมาก็ยิ้ม
“อ้าวคุณรสามาพอดี ผมดูรายละเอียดแล้ว ทุกอย่างครบถ้วนดีมากเลย ผมจะรีบดำเนินการตามแบบ สามอาทิตย์น่าจะเรียบร้อย”
“ขอบคุณค่ะ”
“ ถ้าเรียบร้อยแล้ว ผมขอตัวกลับก่อนนะครับ สวัสดีครับ”
เตรียมยกมือรับไหว้ภคพงษ์ รสาหันมายกมือไหว้เตรียม
“สวัสดีค่ะ”
รสารีบหันมาเก็บของและเดินตามภคพงษ์ออกไป
ภคพงษ์หยุดหลังเดินออกมาจากร้านเฟอร์นิเจอร์ได้สักพัก รสาชะงักเท้าหยุดไว้เกือบไม่ทัน รสาผงะถอยออกครึ่งก้าวตามสัญชาตญาณระวังตัว ภคพงษ์หันมามองอย่างรู้ทัน
“รู้ว่าผมชมคุณกับคนอื่น ทำไมต้องทำหน้าประหลาดใจมากขนาดนั้น”
“คิดไม่ถึงมั้งคะ ก็เลยรู้สึกแปลกใจ”
“แปลกใจแล้วอย่าลืมดีใจด้วย เพราะผมไม่ชมใครง่ายๆ”
ภคพงษ์พูดตรงๆ ยิ้มอย่างจริงใจ รสาปั้นหน้าไม่ถูกไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกอย่างไร ภคพงษ์เห็นรสายิ่งอึ้งก็ยิ่งยิ้มพอใจแล้วก็หันหลังเดินไปที่รถ รสายังงงๆอยู่
“เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย อารมณ์ไหนกันแน่”
รสามองตามภคพงษ์ด้วยความไม่เข้าใจ กึ่งสับสน
เวลาเย็น ห้าวใส่เสื้อกล้าม โชว์กล้ามล่ำ กำลังยกกระถางต้นไม้จัดสวนอย่างขยันขันแข็ง ลูกค้าที่มาพักบาง
คนนอนเล่น นั่งเล่นอยู่ริมหาดทราย เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ห้าวหยิบมาดู แล้วก็กดรับ
“พิม ... พี่เพิ่งจัดสวนเสร็จ กำลังจะออกไปรับแล้ว รอแป๊บนึงนะ”
พิมพรรณยืนอยู่หน้าห้องสมุดรีบบอก
“พี่ห้าว วันนี้ไม่ต้องมารับนะ พอดี...มีคนจะไปส่งน่ะ”
ห้าวขมวดคิ้ว
“ใคร”
พิมพรรณตอบเขินๆ
“ก็วาริชคนที่แวะไปที่บ้านน่ะ พอดี...เค้าจะชวนไปทานข้าวแล้วก็จะเลยไปส่งที่บ้าน พี่ห้าวไม่ต้องห่วงนะจ้ะ พิมกลับเอง”
ห้าวคิด
“พิม..แน่ใจนะว่าจะไปกับเค้าจริงๆ”
พิมพรรณคิดแล้วก็พยักหน้าอย่างอายๆ
“จ้ะ..พิมก็ว่าจะลองดู แต่พี่ห้าวอย่าเพิ่งบอกพ่อนะ พิมยังไม่อยากให้พ่อรู้ตอนนี้น่ะจ้ะ”
วาริชเดินมาพอดี พิมพรรณหันไปเห็น
“พี่ห้าวแค่นี้ก่อนนะ สวัสดีจ้ะ”
วาริชเดินมาได้ยินก็ยิ้มนิดๆ พอใจในความไร้เดียงสาของพิมพรรณ
ห้าววางสายไปด้วยแววตามีความกังวล เริ่มไม่สบายใจ พร้อมเดินมาหาห้าว ในมือเตรียมของจะเข้าครัว
“อ้าวไอ้ห้าว ยังไม่รับพิมอีกเหรอ”
ห้าวหันมาอึกๆอักบอก
“เอ่อ...พิมบอกว่าไม่ต้องไปรับจ้ะ เค้าไปกินข้าวกับเพื่อนก่อน แล้วจะมีเพื่อนมาส่งจ้ะ”
“เพื่อน ไอ้หนุ่มที่มาหรือเปล่า”
“เอ่อ ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันจ้ะ” ห้าวพูดหลบตาพร้อมและ ไม่สบายใจที่โกหก
“ เอ็งลองถามสิว่าใช่หรือเปล่า ถ้าใช่ คราวหน้าจะได้ไม่ให้ไป ข้าไม่ค่อยชอบหน้ามัน หรือถ้าอยากจะไป ก็ต้องให้มันมาขออนุญาตกับข้าเอง ถ้ามันไม่กล้ามา ก็ไม่ต้องไป” พร้อมบอก
“จ้ะ แล้วฉันจะลองถามพิมให้จ้ะ”
“อย่าลืมล่ะ” พร้อมย้ำ
“ไม่ลืมจ้ะ”
พร้อมเดินเข้าครัวไป ห้าวมองตามแล้วก็ถอนใจเบาๆด้วยความหนักใจ
ภายในบริษัทลงหลักปักฐาน ในเวลากลางคืน ชีวินวางหนังสือพิมพ์ข่าวยูโฮะกับภคพงษ์ต่อหน้ารสา
“รสเห็นข่าวนี้หรือยัง”
ชีวินนั่งคุยกับรสาในบริษัท มีคัพเค้กนั่งอยู่ไม่ไกล พิทยานั่งตรวจงานอยู่ห่างออกไป
“เห็นแล้ว เห็นตั้งแต่เมื่อเช้า เจ้าตัวเค้าบุกมาเองถึงบ้าน”
คัพเค้กรีบสาระแน
“แล้วไงต่อคะ ตกลงสองคนนี้เค้ากิ๊กกันจริงเหรอคะ แล้วแพต พักตร์วิมล ล่ะคะ กิ๊กกันด้วยหรือเปล่า แล้ตกลงใครกันแน่คะที่เป็นตัวจริง”
รสาทำหน้าลำบากใจ พิทยาเงยหน้าจากงานแล้วก็เดินมาหาคัพเค้ก
“เรื่องเม้าท์ดารากระตือรือร้นเหลือเกิน ทีฉันให้ทำงานทำหน้าเมื่อยตับใส่ตลอด เม้าท์ดารายังไม่พอ ยังจะเม้าท์ลูกค้าอีก มันสมควรมั้ยเนี่ย”
คัพเค้กเม้มปากเงียบ พิทยาหันมาทางชีวิน
“ไอ้วิน แกก็อีกคน เมื่อก่อนนังคัพเค้กเป็นคนเดียวยังพอว่า นี่แกก็เป็นไปกับมันด้วย”
“ผมก็แค่อยากให้รสเค้าอ่าน รสต้องไปทำงานกับเค้า..จะได้ระวังตัว”
ชีวินพูดพลางปรายตามาทางรสาที่ฟังแล้วก็ชะงักนิดๆ พิทยาพูดสวนขึ้นมา
“รสไม่ต้องระวังตัวหรอก เพราะทั้งคุณภัค ทั้งคุณเผด็จปลื้มงานรสจะตาย คนที่จะต้องระวังตัวก็คือ แก”
ชีวินหันขวับมาทางพิทยาที่พูดต่อ
“เพราะแกจะต้องเข้าไปพรีเซนต์แบบสวนให้คุณภัคพงษ์อาทิตย์หน้า”
“ไหนบอกว่ามีเวลาอีกเป็นเดือน”
“เลื่อนแล้วเพราะคุณเผด็จชอบแบบสวนของแกมาก อยากให้รีบเข้าไปคุยกับคุณภัค เพราะฉะนั้น..วันนี้ ตอนนี้ แกต้องไปเตรียมงานกับฉัน ให้ไว”
พิทยาสั่งงานเสร็จแล้วก็เดินนำเข้าห้องทำงานไป ชีวินหันมาทางรสาแล้วก็เลื่อนหนังสือพิมพ์ดาราให้
“เอาไว้อ่านนะรส เดี๋ยววินมาคุยต่อ ยังมีอีกเรื่องที่ยังไม่ได้ถาม”
พิทยาโผล่หน้ามาจากห้องทำงานเรียกเสียงแมนมาก
“ไอ้วิน”
“ไปแล้วค้าบ...เฮ่อ”
ชีวินรีบวิ่งไป คัพเค้กรีบหันมาทางรสาแล้วคว้าหนังสือพิมพ์มา
“พี่รสคะ”
คัพเค้กคั้งท่าจะคุยเรื่องข่าวของภคพงษ์กับยูโฮะต่อ รสารู้ทัน รีบตัดบทแล้วดึงหรังสือพิมพ์กลับ
“เรามาคุยเรื่องงานของเราดีกว่านะ เรื่องแม่ของคุณภคพงษ์ได้เรื่องว่ายังไงบ้างจ้ะ”
รสาพูดเข้าเรื่องงานหน้าตาเฉย คัพเค้กได้แต่ยิ้มแห้งๆ หน้าจ๋อยๆ แล้วก็หุบยิ้มหันไปหยิบแฟ้มประวัติ
ภคพงษ์ที่เตรียมไว้ด้วยความเสียดายที่ไม่ได้เม้าท์ต่อ
รสามองตามคัพเค้กพยายามไม่สนใจภาพข่าวที่อยู่ตรงหน้า
ภายในห้องนอน สายใจกำลังนั่งสวดมนต์ เสียงเคาะประตูดังขึ้น สายใจยกมือท่วมหัวแล้วก็เดินไปเปิดประตู เห็นเปลี่ยนยืนอยู่
“ไอ้เปลี่ยน มาดึกๆดื่นๆ มีอะไร”
สายใจรอคำตอบ
รสาหยิบแฟ้มมาดู คัพเค้กรายงาน
“คุณแม่ของคุณภคพงษ์เป็นใครมาจากไหน ไม่มีใครรู้เลยค่ะ ไม่เคยมีประวัติ หรือรูปภาพแม้แต่รูปเดียว ที่คัพเค้กพอหาได้เพิ่มเติมก็เป็นบทสัมภาษณ์ล่าสุดของคุณภคพงษ์ แต่ก็ไม่ได้พูดถึงแม่ พูดถึงพ่ออย่างเดียว”
รสาเปิดแฟ้มดู เป็นคอลัมน์สัมภาษณ์ภคพงษ์ และรูปภคพงษ์ตอนเด็กๆ แต่ไม่มีรูปแม่อยู่ดี คัพเค้กยังรายงานต่อไป
“และคัพเค้กก็แอบโทร.ไปถามคุณเผด็จมาค่ะ”
รสาตกใจ
“แล้วคุณเผด็จเค้า..ว่ายังไงบ้าง เค้าไม่พอใจหรือเปล่าที่เราไปละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัว”
“ไม่เลยค่ะเพราะคัพเค้กเนียนมาก คัพเค้กบอกว่าเราต้องการได้ข้อมูลเพื่อจะได้นำมาศึกษานิสัยใจคอ เราจะได้ออกแบบให้ถูกใจลูกค้ามากที่สุด”
“แล้วคุณเผด็จเค้าเชื่อเหรอ”
“ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่คำตอบก็คือ ไม่ต้องสนใจ เพราะคนที่ตัดสินใจเรื่องแบบมีคนเดียวคือ คุณภคพงษ์”
“สรุปข้อมูลที่บอกว่าได้เพิ่มก็คือ...”
“ก็คือ...ไม่มีใครรู้ว่าใครเป็นแม่คุณภคพงษ์ค่ะ”
“อ้าว”
“คัพเค้กพยายามอย่างสุดความสามารถแล้วค่ะ ได้แค่นี้จริงๆ ไม่มีใครยอมให้ข้อมูลหรือระแคะระคายสักนิดเลยนะคะว่าเป็นใคร แล้วตอนนี้ยังอยู่หรือเสียชีวิตไปแล้ว..เป็นปริศนามากๆเลยค่ะ”
รสาฟังแล้วก็ยิ่งคิดหนัก...ในใจลึกๆก็อยากรู้ว่ามันยังไงกันแน่ รสาหยิบบทสัมภาษณ์ล่าสุดของภคพงษ์มาดู...แววตาครุ่นคิด
ภายในห้องทำงาน ภคพงษ์ กำลังเปิดกล่อง หยิบรูปถ่ายตอนเด็กๆมาดูด้วยแววตานิ่งๆ เศร้าลึกๆ สายใจยืนอยู่ไม่ห่าง
“ทำไมอยู่ๆ คุณหนูถึงอยากดูรูปพวกนี้คะ”
ภคพงษ์ไม่ตอบ ได้แต่ดูรูปนิ่งๆ
“ป้าว่า..ให้ป้าเป็นคนเก็บไว้ให้คุณหนูดีกว่านะคะ รูปพวกนี้มันเป็นแค่อดีต ถ้าอดีตมันทำให้คุณหนูไม่สบายใจ ก็อย่าไปดูมันเลยค่ะ”
ภคพงษ์ปิดกล่อง และตอบอย่างสุภาพ
“แต่อดีตมันเป็นความจริง ถึงเราจะดูแล้วไม่สบายใจ แต่เราก็หนีมันไม่ได้ ผมขอเก็บรูปพวกนี้ไว้เอง”
สายใจถอนใจเบาๆก่อนจะพูด
“จริงค่ะ ที่เราหนีอดีตไม่ได้ แต่เราก็ไม่ควรจะไปยึดติดกับมันนะคะ เรื่องที่มันผ่านไปแล้ว...ก็ให้มันผ่านไปเถอะค่ะ”
สายใจปลอบใจกึ่งอ้อนวอน ภคพงษ์ไม่ตอบ เพราะในใจไม่อยากปล่อย และยังวางไม่ลงสักที
ในเวลาต่อมา รสากับชีวินเดินคู่กันออกมาจากออฟฟิศ
“คัพเค้กบอกว่า รสให้สืบเรื่องแม่ของภคพงษ์ รสอยากรู้ไปทำไม มีอะไรพิเศษหรือเปล่า”
“ไม่ได้พิเศษหรอก แค่มีเรื่องแปลกใจนิดหน่อย ก็เลยอยากรู้”
ชีวินเสียงขรึมขึ้น
“แต่ปกติรสไม่เคยสนใจอยากรู้เรื่องคนอื่นเลยนะ..ทำไมอยู่ๆถึงอยากรู้เรื่องของผู้ชายคนนี้ แน่ใจนะว่าไม่มีอะไรพิเศษจริงๆ”
“ไม่มีจริงๆ”
ชีวินไม่วางใจ รสาตอบยิ้มๆ
“รสคิดว่าไหนๆ ต้องทำงานด้วยกัน หนีไปไม่ได้ ก็เลยอยากรู้ว่าทำไมเค้าถึงเป็นคนแบบนี้ พอรู้ ก็จะได้เข้าใจ แล้วก็ไม่ถือสาเวลาที่เค้ามาทำให้อารมณ์เสีย แล้วรสก็สังหรณ์ใจว่า แม่อาจจะเป็นต้นเหตุที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้ ก็เลยอยากรู้จักแม่เค้าแค่นั้นเอง”
รสาพูดด้วยความเข้าใจ แต่ชีวินฟังด้วยความไม่เข้าใจ รสาพูดแล้วก็คิดถึงรูปภาพที่เห็นในกล่องใบนั้น
รูปในกล่องยังวางอยู่ตรงหน้า ภคพงษ์หยิบรูปถ่ายที่ตัดรูปแม่ออกขึ้นมาดูแล้วนึกถึงอดีต
22 ปีก่อน ตอนภคพงษ์อายุ 5 ขวบ ภายในงานวันเกิด รัชนีสีหน้าเบื่อๆ บอกบุญไม่รับและพรตนั่งอยู่ข้างๆภคพงษ์ มองรัชนีด้วยแววตาตำหนินิดๆ รัชนีขยับปรับสีหน้าให้ดูมีความสุขขึ้น เผด็จถ่ายรูป
รูปใบนั้น บัดนี้ ไม่มีรูปรัชนี เพราะโดนตัดออกไปแล้ว ภคพงษ์คิด ในใจก็ยังคิดถึงรัชนีและอยากรู้ว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน ปมขัดแย้งที่กรุ่นเป็นคลื่นใต้น้ำรอวันระเบิด
ความคิดของภคพงษ์ นึกถึงรัชนีตอนเก็บของย้ายออกจากบ้าน ตอนกลับมางานศพ และตอนเปิดพินัยกรรม
และปิดท้ายด้วยตอนที่ทิ้งไปอีกครั้งอย่างไม่กลับมา
โปรดติดตาม...ลุ้นรัก "รสา-ภคพงษ์" ตอนต่อไป เวลา 12.00 น.
ตะวันทอแสง ตอนที่ 4 (ต่อ)
ในเวลาต่อมา รถตู้หรูจอดอยู่ที่บ้านหลังใหญ่อลังการ ประตูรถตู้ถูกเปิดออก...เผยให้เห็น “รัชนี วงศ์เธียรสถิตย์” ค่อยๆลงจากรถอย่างสง่างาม รัชนีอยู่ในชุดแบรนด์เนม เรียบหรู ดูดี มีรสนิยม เครื่องประดับน้อยชิ้นแต่ชิ้นใหญ่บ่งบอกถึงฐานะที่มั่งคั่ง
รัชนีในเวลานี้ไม่ต่างจากอดีต ความสวยยังฉายประกายอย่างเด่นชัด รัชนีมองไปรอบๆบ้านด้วยความพอใจ คนใช้เข้ามารับกระเป๋าถือราคาแพงอย่างนอบน้อม คนขับรถและคนใช้อีกคนช่วยกันยกกระเป๋าเดินทางหรูลงจากรถ
ทันใดนั้นเสียง “สุวิทย์ ” ก็ดังขึ้น
“คุณรัช “
รัชนีหันไปยิ้มให้เจ้าของเสียง สุวิทย์เดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มดีใจ
“เป็นไงจ้ะ เดินทางกลับมาเหนื่อยมั้ย”
สุวิทย์ วงศ์เธียรสถิตย์นักธุรกิจวัย 60 ต้นๆท่าทางภูมิฐาน ดูดีไม่ต่างจากรัชนี สุวิทย์เข้ามาประคองโอบเอวรัชนีด้วยความรัก
“นิดหน่อยค่ะ”
“เหรอ...งั้นเรารีบเข้าบ้านดีกว่านะ ผมให้เด็กเตรียมเครื่องดื่มเย็นๆไว้ให้แล้ว ดื่มให้ชื่นใจ แล้วผมค่อยพาชมบ้านใหม่ของเรา”
“ค่ะ”
สุวิทย์พารัชนีเข้าบ้านอย่างมีความสุข รัชนีมองรอบๆบ้านอันใหญ่โต อลังการด้วยความพอใจ
น้ำผลไม้ถูกรินใส่แก้วเจียรนัยสุดหรู สุวิทย์หยิบมาส่งให้รัชนีที่ยืนอยู่กลางบ้าน ในมุมสวย รัชนีกำลังมองไป
รอบๆอย่างพิจารณา
“น้ำจ้ะ”
“ขอบคุณค่ะ”
“บ้านสวยมั้ย คุณชอบหรือเปล่า”
“ชอบค่ะ สวย สบายตาค่ะ”
“ผมให้เค้าออกแบบในสไตล์ที่คุณชอบ แล้วก็พยายามทำให้ใกล้เคียงกับบ้านเราที่อังกฤษ คุณจะได้ไม่คิดถึงบ้าน”
รัชนียิ้มรับนิดๆสุวิทย์พูดต่อ
“ผมรู้ว่าคุณไม่อยากกลับมาประเทศไทย ถ้าผมไม่ติดว่าต้องกลับมาเปิดตลาดที่นี่ผมก็ไม่อยากขัดใจคุณ”
สุวิทย์เข้ามากอดปลอบใจ
“แต่คุณไม่ต้องห่วงนะ เกือบ ๒๐ ปีที่คุณไม่อยู่ที่นี่ ประเทศไทยเปลี่ยนไปมาก รับรองว่าคุณจะต้องสนุกเผลอๆอาจจะไม่อยากกลับไปอังกฤษอีกเลยก็ได้นะ”
รัชนีหันมามองหน้าสุวิทย์ แล้วก็ตอบยิ้มๆ
“ฉันก็หวังว่าอย่างนั้นเหมือนกันค่ะ”
สุวิทย์ยิ้มรับแล้วก็นึกได้พลางเหลียวซ้ายแลขวา
“เออ...ผมนี่เป็นพ่อที่แย่มากเลย..ผมลืมไปได้ยังไงว่าลูกมากับคุณด้วย ผมก็มัวแต่กังวลว่าคุณจะไม่ชอบบ้านใหม่ที่ผมหาไว้ให้ แล้วนี่ลูกเราหายไปไหนเนี่ย นี่ถ้ารู้ว่าผมลืมต้องงอนอีกแน่ๆเลย..ปราง .. ปราง..ปรางอยู่ไหนลูก ปราง”
รัชนียิ้มๆ แล้วก็พูดขึ้น
“ปรางทิพย์ไม่อยู่หรอกค่ะ ลูกขออนุญาตไปทำธุระน่ะค่ะ”
สุวิทย์เลิกคิ้วถาม
“ลูกเราเนี่ยนะมีธุระ ตั้งแต่เกิด มาประเทศไทยนับครั้งได้ มาคราวนี้มีธุระกับเค้าด้วยเหรอ ธุระอะไร”
รัชนียิ้มแอบเจ้าเล่ห์นิดๆบอก
“เดี๋ยวคุณก็รู้เอง”
รัชนียิ้มอย่างมีเสน่ห์ ถึงจะอายุมากขึ้น แต่ความสวยยังชวนให้หลงใหลเหมือนเดิม
รถลิมูซีนของสนามบินแล่นมาจอดเทียบที่หน้าห้างสรรพสินค้าหรู พนักงานห้างเดินมาเปิดประตูให้อย่างสุภาพ เห็น “ปรางทิพย์” เด็กสาวอายุ 17-18ปี ผิวพรรณขาวสะอาด ราวกับตุ๊กตากระเบื้องเคลือบของอังกฤษ ปรางทิพย์หันมาพูดกับคนขับรถอย่างสุภาพ
“รอสักครู่นะคะ”
“ครับ”
ปรางทิพย์ลงจากรถพร้อมกับยิ้มนิดๆในคนขับรถอย่างมีมารยาท ก่อนจะเดินเข้าห้างสรรพสินค้าไปด้วยความไม่ชำนาญสถานที่
ภายในห้างสรรพสินค้า ปรางทิพย์เดินเข้ามาพร้อมกับมองไปรอบๆด้วยความไม่คุ้นเคย ด้วยหุ่นที่สูงโปร่ง ผิวพรรณขาวใส เสื้อผ้าหน้าผมสมวัย บ่งบอกถึงความเป็นคนมีรสนิยมและมีฐานะ ทำให้ปรางทิพย์เป็นที่สนใจของผู้คนที่เดินผ่านไปมา
หนุ่มๆ หลายคนหันมามองแทบเหลียวหลัง แต่ปรางทิพย์ไม่ได้สนใจยังคงเดินมองหา เป้าหมายต่อไป จนมาหยุดที่โซนจิเวลรี่
ปรางทิพย์ยืนอยู่ท่ามกลาง ร้านจิเวลรี่ที่เรียงรายอยู่ข้างหน้า และก็ตัดสินใจเดินเข้าไปในร้านร้านหนึ่ง
ภายในร้านเถลิงยศจิเวลรี่ที่ หรู เก๋ ดูทันสมัย มีพนักงานอยู่ 5-6 คน ทุกคนกำลังดูแลลูกค้า ซึ่งส่วนมากจะเป็นคนต่างชาติ ไม่มีพนักงานคนไหนว่างเลย ปรางทิพย์เดินมาที่ตู้วางเครื่องประดับสำหรับผู้ชาย ขณะที่กำลังดูอย่างตั้งใจเสียงภคพงษ์ก็ดังขึ้น
“มีอะไรให้ช่วยมั้ยครับ”
ปรางทิพย์สะดุ้งนิดๆ หันมาที่ต้นเสียง ภคพงษ์ยืนอยู่ในชุดสูทเก๋พลางยิ้มให้นิดๆอย่างสุภาพ ตามมารยาท ไม่ลุ่มล่าม ปรางทิพย์ชะงักแปลกใจนิดๆและตะลึงในความหล่อ
“เอ่อ..มีค่ะ คือ..กำลังหาคัฟลิงก์ค่ะ ..กระดุมติดแขนเสื้อเชิ้ตน่ะค่ะ จะหาซื้อเป็นของขวัญให้คุณพ่อค่ะ”
ภคพงษ์ยิ้มเอ็นดูแล้วก็เดินมาที่ตู้อีกมุม
“ไม่ทราบว่าต้องการแบบไหนเป็นพิเศษครับ” ภคพงษ์ เดินไปถามไป
“แล้วมันมีกี่แบบคะ “
ภคพงษ์อธิบายอย่างใจเย็นถึงคัฟลิงค์แบบต่างๆ ที่วางอยู่บนตู้กระจก
“คัฟลิงค์ของเรามีสามแบบครับ แบบสวิฟเวลโพส เป็นแบบเกลียวหมุน แบบเชนลิงก์จะมีโซ่เชื่อม แล้วก็แบบที่มีกระดุมติดสองด้านจะคล้ายๆกับเชนลิงก์แต่แน่นกว่า”
ปรางทิพย์มองด้วยความสนใจ แต่ยังคิดไม่ออก ภคพงษ์ถามเพิ่ม
“ไม่ทราบว่าจะเลือกไปใช้กับเชิ้ตแบบไหนครับ สำหรับเชิ้ตใส่ไปทำงานตอนกลางวัน หรือสำหรับใส่ไปงานกลางคืน”
“สำหรับใส่ทำงานกลางวันดีกว่าค่ะ จะได้ใช้ได้บ่อยๆ” ปรางทิพย์ตอบอย่างสดใส
ภคพงษ์มองด้วยความเอ็นดู
“ไม่ทราบว่าปกติคุณพ่อใส่เสื้อเชิ้ตโทนสีอะไรครับ โทนเข้ม หรือว่าโทนอ่อน”
ปรางทิพย์คิดก่อนตอบ
“สีเข้มค่ะ มีสีน้ำเงินมากที่สุดค่ะ”
ภคพงษ์ฟังแล้วก็หันไปหยิบมาหนึ่งคู่มาตรงหน้าปรางทิพย์
“กระดุมติดแขนเสื้อเชิ้ตตัวเรือนทองคำขาวเหมาะกับเชิ้ตสีเข้ม เป็นแบบ สวิฟเวลสวมใส่ง่ายเหมาะกับการใช้งานประจำวัน เพชรคัดสลับไพลินถ้าคุณพ่อชอบสีน้ำเงิน ท่านอาจจะชอบแซปไฟร์”
ปรางทิพย์หยิบมาดูด้วยความพอใจ
“แบบนี้ล่ะค่ะ ใช่เลย”
ปรางทิพย์ยิ้มร่าเริง ถูกใจ เงยหน้ามองภคพงษ์ด้วยความชื่นชม ภคพงษ์ยิ้มรับพร้อมก้มหน้านิดๆอย่างมี
มารยาท ปรางทิพย์ก้มดูราคาแล้วหน้าเสียนิดๆ
“แพงจัง”
ภคพงษ์ยังยิ้มนิดๆ ด้วยความเข้าใจและไม่รังเกียจ
“แต่มันสวยมากเลย ถ้าคุณพ่อเห็นต้องดีใจมาก ตกลง ปรางเอาคู่นี้ค่ะ”
ปรางทิพย์เลื่อนกล่องของส่งให้ภคพงษ์
“แต่ปรางต้องขอออกไปกดเงินมาให้นะคะ เพราะถ้าใช้บัตรเครดิต ทางธนาคารจะโทร.ไปบอกคุณพ่อ ปรางยังไม่อยากให้คุณพ่อทราบก่อน จะเซอร์ไพรส์น่ะค่ะ”
ปรางทิพย์พูดเรื่องส่วนตัวออกมาอย่างเป็นธรรมชาติโดยที่ตัวเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม ภคพงษ์ยิ้มนิดๆอย่างเอ็นดู
“งั้นไปกดเงินก่อนนะคะ เดี๋ยวมาอีกรอบ”
ปรางทิพย์หันหลังจะเดินไป ภคพงษ์คิดแล้วก็พูดขึ้น
“ดี๋ยวครับ ให้ผมไปด้วยได้มั้ยครับ”
ปรางทิพย์หน้าเสียถาม
“กลัวว่าปรางโกหก พอออกจากร้านแล้วจะไม่กลับมาซื้อเหรอคะ”
“ไม่ใช่ครับ ผมกลัวว่าจะอันตรายมากกว่า เงินจำนวนมาก ผมเกรงว่าจะไม่ปลอดภัย” ภคพงษ์พูดเสียงขรึม ด้วยความเป็นห่วงจริง
ปรางทิพย์คิดแล้วก็เห็นด้วย
“งั้นก็ได้ค่ะ”
ปรางทิพย์ตอบพร้อมรอยยิ้มและเดินนำไป ภคพงษ์หันมาทางพนักงานที่อยู่ไม่ไกลออกไป แล้วพยักหน้าให้
พนักงานมาเก็บของที่วางอยู่ ภคพงษ์เดินตามปรางทิพย์ไป
ภายในห้าง ปรางทิพย์เดินนำ ภคพงษ์เดินตามเหมือนบอดี้การ์ด แต่เดินตามหลังอย่างให้เกียรติ ปรางทิพย์หันมามอง รู้สึกแปลกนิดหน่อย แต่ก็รู้สึกดีที่ภคพงษ์ไม่ได้เดินมาตีเสมอ
ปรางทิพย์เดินมาถึงที่ตู้เอทีเอ็ม ภคพงษ์เดินห่างออกไปเล็กน้อย ไม่เข้ามาใกล้จนน่าเกลียด
ปรางทิพย์กดเงินประมาณแสนกว่าบาทแล้วก็รีบใส่กระเป๋า ภคพงษ์ยืนคุมมองซ้ายมองขวา พลันสายตาไป
สะดุดเข้ากับชายวัยกลางคนที่มองปรางทิพย์กดเงินด้วยความสนใจ และไม่รู้ว่าภคพงษ์มาด้วย
ปรางทิพย์กดเงินเสร็จ กำลังจะหันมาทางภคพงษ์
ชายกลางคนรีบทำเป็นก้มหน้าและเดินตรงเข้ามาหาตั้งใจจะเดินชนเพื่อล้วงกระเป๋า
ภคพงษ์ปรายตาไปเห็นพอดี ปรางทิพย์กำลังจะเดินออกจากตู้เอทีเอ็ม ชายกลางคนเดินตรงเข้ามาอย่างเร็ว ในจังหวะที่เกือบจะชนนั้นเอง ภคพงษ์เอาตัวแทรกเข้ามาเหมือนเป็นกำแพงกั้นระหว่างปรางทิพย์และชายกลางคน เอาตัวบังปรางทิพย์ไว้โดยไม่โดนตัว ปรางทิพย์ตกใจร้องเบาๆ
“อุ้ย”
ปรางทิพย์หันมาเห็นแผ่นหลังจากภคพงษ์ที่ยืนกั้นอยู่ ปรางทิพย์รู้สึกได้ถึงความปลอดภัยแม้จะเป็นเพียงเสี้ยว
เวลาสั้น ๆ
ภคพงษ์เผชิญหน้ากับชายกลางคนผู้ไม่น่าวางใจ ชายกลางคนผงะ มองหน้าภคพงษ์เห็นแววตาดุนิ่งแล้วก็หน้า
เสียรีบก้มหน้างุดๆ แล้วก็รีบเดินชิ่งหนีไปทันที
ปรางทิพย์ค่อยๆขยับโผล่หน้ามาอีกฝั่ง..
“ผู้ชายคนเมื่อกี้เค้า..ทำอะไรเหรอคะ ทำไมต้องเดินหนีไปแบบนั้นด้วย หรือว่า.. เค้าเห็นตอนปรางค์กดเงิน ปรางทิพย์หน้าเสียรีบกระชับกระเป๋า
ภคพงษ์พูดปลอบใจเสียงอบอุ่น
“ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้ว รีบกลับไปที่ร้านดีกว่าครับ”
“ค่ะๆ”
ภคพงษ์ผายมือให้เดินนำอย่างสุภาพ ปรางทิพย์เดินนำไป ภคพงษ์เดินตามคุมหลัง
ปรางทิพย์ใจคอไม่ค่อยดี ก่อนถอนใจเบาๆ แต่พอหันมาเห็นว่ามีภคพงษ์เดินคุมอยู่ข้างหลัง ก็รู้สึกใจชื้นขึ้นมาอย่างประหลาด
กล่องจิเวลรี่สวยหรูถูกใส่อยู่ในถุงกำมะหยี่ ภคพงษ์ส่งให้ปรางทิพย์ที่รับมาพร้อมรอยยิ้มอย่างมีความสุข
ภคพงษ์มองด้วยความเอ็นดู
“ทางร้านมีประกันซ่อม 1 ปีนะครับ ถ้ามีปัญหาอะไรส่งมาให้ทางเราดูให้ได้ตลอดไม่มีค่าบริการ”
“ค่ะ”
ปรางทิพย์มองไปที่ประตูร้าน แล้วคิดว่าต้องเดินออกไปที่รถคนเดียวก็แอบใจเสีย ภคพงษ์พูดอย่างรู้ใจ
“ผมให้ทางห้างส่งรปภ.มาพาคุณไปส่งที่รถนะครับ อีกสักพักคงจะมา”
ปรางทิพย์หันมายิ้มโล่งอก
“ขอบคุณมากนะคะ ปรางกำลังคิดอยู่เลยว่าจะเดินไปที่รถยังไง ปกติก็ไม่กลัวนะคะ แต่เห็นคุณลุงคนเมื่อกี้แล้ว ปรางเลยปอดไปเลยค่ะ”
ภคพงษ์ยิ้มเอ็นดู ในความใสๆ ซื่อๆ ของเด็กสาว พนักงานในร้านเดินเข้ามารายงาน
“คุณภัคครับ..รปภ.มาแล้วครับ รออยู่หน้าร้าน”
ปรางทิพย์ชะงัก...มองหน้าพนักงาน แล้วก็มองหน้าภคพงษ์
“ขอบใจมาก”
พนักงานก้มหน้ารับคำและเดินไปอย่างนอบน้อม ปรางทิพย์มองหน้าภคพงษ์แล้วก็พูดออกมาด้วยความสงสัย
“คุณภัค”
ภคพงษ์ยิ้ม
“ผมภคพงษ์..เป็นเจ้าของร้านครับ”
“เจ้าของ” ปรางทิพย์ตกใจเล็กน้อย
ภคพงษ์ยิ้มแล้วบอก
“รปภ.มารอที่หน้าร้านแล้ว...เชิญครับ”
ภคพงษ์พูดจบก็เดินนำไป ปรางทิพย์ยังยืนอึ้งอยู่ที่เดิม ทั้งตกใจ แปลกใจ และประทับใจในคราวเดียวกัน
ภายในบ้านเถลิงยศในเวลาเดียวกัน พักตร์วิมล ตวาดถามปุยนุ่นด้วยความไม่พอใจ
“เมื่อกี้พูดว่าภัคไปทำอะไร กับใครนะ บอกมาอีกทีสิ”
ปุยนุ่นผงะ หน้าซีดและหน้าเสียในทันที
“เอ่อ...ปุยนุ่นพูดอะไรผิดไปเหรอคะ ทำไมคุณแพตต้องโกรธแบบนี้ด้วยคะ ปุยนุ่นตกใจนะคะ”
พักตร์วิมลนั่งคุยกับปุยนุ่นอยู่ในมุมหนึ่งของบ้าน เป็นมุมสงบไม่มีใครผ่านไปมาซึ่งเหมาะกับการแอบถามความลับ พักตร์วิมลพยายามระงับอารมณ์ข่มมารร้ายในตัว แล้วค่อยสวมบทนางเอก พูดเสียงเบาลง นุ่มนวลขึ้น
“แพตก็แค่ตกใจก็เลยถามเสียงดังไปหน่อย ปุยนุ่นจ้ะ”
“ขา”
“เมื่อกี้ที่ฉันถามว่าช่วงนี้ภัคเค้าเป็นยังไงบ้าง งานยุ่งมั๊ย ในแต่ละวันทำอะไรบ้าง แล้วปุยนุ่นก็บอกว่าส่วนใหญ่ภัคไปทำงาน ตรวจงานซ่อมแซมเรือนหลังเล็ก และออกไปไหนกับใครนะ ฉันฟังไม่ถนัด”
“อ๋อ ออกไปดูเฟอร์นิเจอร์กับคุณรสาค่ะ”
พักตร์วิมลได้ยินเต็มสองหูแววริษยาพุ่งอย่างแรงจนหน้าแดงกล่ำ ปุยนุ่นยังไม่รู้ตัวว่าต่อ
“ช่วงนี้พอคุณภัคเธอมีเวลา ต้องชวนคุณรสาไปดูเฟอร์นิเจอร์ บางทีก็หายไปทั้งวันเลยค่ะ กลับมาทีก็อารมณ์ดี ตอนนี้ทุกคนในบ้านรู้กันหมดแล้วค่ะว่าวันไหนคุณภัคออกไปกับรสาวันนั้นคุณภัคเธอจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ”
ปุยนุ่นยิ้มแฉ่ง พักตร์วิมลปรี๊สอย่างแรง ลุกพรวดขึ้น ปุยนุ่นสะดุ้งตกใจ พักตร์วิมลหันไปคว้ากระเป๋าถือแล้วก็เดินฉับๆ ออกไปทันที ปุยนุ่นได้แต่มองตามด้วยความงุนงง
“อ้าว คุณแพตคะ คุณแพต”
“รีบไปไหนของเค้า”
ปุยนุ่นยังเหวออยู่
ภายในเรือนหลังเล็ก รสากำลังดูช่างเปลี่ยนกระเบื้องพื้นห้องน้ำด้วยความพอใจ ก่อนจะเดินมาดูช่างทาสี และเดินมาที่ห้องที่ดัดแปลงเป็นห้องทำงาน รสายกแบบผ้าม่านมาที่โต๊ะเตรียมจะเลือกแบบ
ทันใดนั้นเสียงพักตร์วิมลดังขึ้น
“อยู่ที่นี่เอง ตามหาตั้งนาน”
รสาชะงักนิดๆแล้วแอบถอนใจเบาๆ พักตร์วิมลยืนมองจิกรสาอย่างแรง ก่อนจะก้าวเข้ามาในห้องด้วยท่าทางมาดมั่น พักตร์วิมลเดินมาหยุดที่หน้ารสา
รสาเงยหน้ามองถามนิ่งๆ
“คุณตามหาฉัน มีธุระอะไรคะ”
“ธุระส่วนตัว”
“ถ้าอย่างนั้น ฉันขอคุยเวลาอื่นนะคะ เพราะตอนนี้เป็นเวลางาน”
รสาจะก้มหน้าทำงานต่อ พักตร์วิมลปัดแบบผ้าม่านตรงหน้าอย่างไม่มีมารยาท แบบผ้าม่านกระเด็นลอย
ออกไปจากโต๊ะ รสาอึ้ง..ชะงัก พักตร์วิมลยื่นหน้าเข้ามาหา
“แต่ฉันต้องการคุยตอนนี้”
รสาเงยหน้ามองพักตร์วิมล...เงียบ นิ่ง ใช้ความสงบสยบความอิจฉา
สายใจหน้าตาตื่น
“ตายแล้วนังปุย แล้วแกไปพูดแบบนั้นกับคุณพักตร์วิมลเค้าทำไม”
ปุยนุ่นเริ่มลนลาน
“ก็...ฉะ...ฉันไม่รู้นี่จ้ะ ฉันก็ตอบไปตามจริง ก็ฉันเห็นคุณภัคไปกับคุณรสาแล้วมีความสุข ฉันก็พูดไปตามนั้น แต่เอ๊ะ...ฉันพูดแบบนี้ แล้วมันผิดตรงไหนล่ะป้า”
สายใจได้แต่ส่ายหน้า ถอนใจด้วยความเอือมระอา
“เฮ่อ...แกนี่มันบัวใต้น้ำจริงๆ บอกไป แกก็ไม่มีวันเข้าใจ”
สายใจหันไปหยิบโทรศัพท์มาโทร.หาเผด็จ
“คุณเผด็จเหรอคะ..คุณเผด็จถึงเรือนหลังเล็กหรือยังคะ เกิดเรื่องใหญ่แล้วค่ะ”
พักตร์วิมลกระแทกวางกระเป๋าลงบนโต๊ะทำงานตรงหน้ารสาอย่างแรง ปัง ! ก่อนชักสีหน้าและแววตามาเชือดนิ่มๆ กดๆ อย่างดูถูก
“ครั้งที่แล้วเธอทำฉันเจ็บแสบมากนะ แต่อย่าคิดว่าทำแบบนั้นแล้วเธอจะชนะฉันได้ และการที่ภัคไปไหนของเธอ ก็ไม่ได้แปลว่าเค้าจะสนใจเธอ ผู้หญิงอย่างเธอเป็นได้ก็แค่ลูกจ้าง”
“ฉันว่าคุณกำลังเข้าใจผิดนะคะ”
“เข้าใจผิดอะไร”
“ฉันไม่ใช่ผู้หญิงที่ต้องการจะเอาชนะคุณ และฉันก็ไม่คิดจะแข่งกับคุณ”
“ดีแล้วที่ไม่คิด เพราะถ้าคิด ผู้หญิงอย่างเธอก็ไม่มีวันชนะ”
“ฉันว่าคุณคงจะเล่นละครมากไปนะคะ”
พักตร์วิมลชะงัก
“เลยคิดว่าผู้หญิงในโลกความเป็นจริง ต้องวิ่งไล่จับผู้ชายเหมือนในละคร”
พักตร์วิมลเชิดใส่ถาม
“หรือว่าไม่จริง”
ที่หน้าห้อง เผด็จเดินมาได้ยินพอดี เผด็จส่ายหน้ากำลังจะรีบเดินเข้าไป แต่เสียงรสาดังมาซะ
ก่อน
“ไม่จริงค่ะ..ฉันไม่ได้คิดจะวิ่งไล่จับคุณภคพงษ์”
เผด็จชะงักและ..คิด..หยุดฟังก่อนว่ารสาจะพูดว่าอะไรต่อ
“และฉันก็ทราบเสมอว่าฉันเป็นแค่ลูกจ้าง ไม่เคยคิดมากไปกว่านั้น”
พักตร์วิมลกอดอกมองหน้ารสา ประมาณ “มันพูดจริงหรือสร้างภาพ”
“ฉันทราบดีกว่าผู้หญิงอย่างฉันไม่ใช่คนที่คุณภัคจะมาสนใจ และฉันเองก็ไม่ได้สนใจคุณภคพงษ์เช่นกัน”
รสาพูดตรงๆ เน้นๆ จริงใจ จริงจัง เผด็จแอบฟังอยู่หน้าห้อง พักตร์วิมลเชิดหน้า เชื่อครึ่ง ไม่เชื่อครึ่ง
“ถ้าคุณต้องการกำจัดฉันออกไปจากชีวิตคุณภคพงษ์ ง่ายนิดเดียวค่ะ”
“ยังไง”
“ก็..ปล่อยฉันไปทำงาน ฉันจะได้รีบทำงานให้เสร็จ จบงานเมื่อไหร่ ฉันกับคุณภคพงษ์ก็จะไม่ได้เจอกันอีก คุณไม่ต้องเสียงแรงมาตบตีกับฉัน.. ง่ายมั้ยคะ”
รสาแอบไล่ แอบกัดแบบอ้อมๆ เผด็จอมยิ้ม พักตร์วิมลคิดแล้วก็ตกหลุมพรางรสา หันไปคว้ากระเป๋ามาฟึ่บ !
“ได้ ฉันจะให้เธอกลับไปทำงานกรรมกรของเธอ จะได้รีบๆออกไปชีวิตของภัคซักที แต่จำไว้นะ ถ้างานจบ แล้วเธอยังไม่จบ เจอกับฉันแน่ “
พักตร์วิมลเอากระเป๋าชี้หน้าแล้วก็เดินออกไป เผด็จรีบหลบวูบ รสามองตามด้วยความเหนื่อยหน่ายใจ ก่อนจะหันกลับไปทำงาน เผด็จค่อยๆโผล่หน้ามามองรสาที่กำลังเดินไปหยิบแฟ้มผ้าม่านมาดูต่อ เผด็จยิ้มนิดๆ ด้วยความพอใจ
ปุยนุ่น สายใจ เผด็จ คุยกันอยู่มุมหนึ่งของบ้าน ปุยนุ่นหน้าตาตกใจมาก
“คุณแพตไปอาละวาดคุณรสาเพราะปุยนุ่นเหรอคะเนี่ย”
สายใจหันมาเอ็ดด้วยความไม่พอใจสุดๆ
“ก็ใช่สิยะ ทีหลังก็หัดรูดซิปปากตัวเองซะบ้าง ทีหน้าทีหลังพอผู้หญิงพวกนี้มา แกไม่ต้องเสนอหน้าไปอยู่ใกล้ๆเลยนะ เค้าแอบถามก็ตอบเค้าไปหมด”
ปุยนุ่นยกมือไหว้บอก
“ปุยนุ่นขอโทษค่ะ ก็เห็นว่าเค้าถามไถ่สารทุกข์สุขดิบคุณภัคด้วยความปรารถนาดีก็เลยตอบด้วยความจริงใจ ไม่คิดว่าเรื่องมันจะเป็นแบบนี้”
“ดีนะ ที่คุณรสาไหวพริบดี เอาตัวรอดไปได้ ไม่ต้องเลือดตกยางออก”
สายใจพยักหน้าเห็นด้วย
“ใช่ค่ะ เจอไม้นี้เข้าไป คุณพักตร์วิมลเธอคงไม่อยากหาเรื่องทำให้เสียเวลางานไปอีกนาน”
“ตอนผมได้ยิน ยังเกือบหลุดขำออกมา ยิ่งเห็นหน้าคุณพักตร์วิมลเธอครุ่นคิด ยิ่งขำ เสียดาย..คุณภัคไม่ได้มาเห็นเหตุการณ์”
“ถึงไม่ได้เห็น แต่สายใจจะเล่าให้คุณหนูฟังเองค่ะ” สายใจพูดด้วยความมุ่งมั่น
เผด็จกับปุยนุ่นหันมาทางสายใจด้วยความแปลกใจ
ภคพงษ์นั่งกินข้าวอยู่คนเดียวท่ามกลางโต๊ะกินข้าวขนาดใหญ่ สายใจยืนรายงาน และคอยดูแลอยู่ข้างๆ ภคพงษ์ยิ้มนิดๆด้วยความพอใจที่ได้ยินเรื่องราวทั้งหมดจากสายใจ
“รสาตอบแบบนั้นจริงๆเหรอ”
“จริงค่ะ คุณเผด็จเธอได้ยินมาเอง พอดีเธอจะมาดูงานที่เรือนหลังเล็ก ตอนเกิดเรื่องป้าโทร.ไป เธอถึงที่หน้าบ้านพอดี ป้าขอร้องให้เธอไปห้ามศึก แต่พอไปถึงคุณรสารับมือเองได้ คุณเผด็จก็เลยไม่ได้แสดงตัว”
“หลังจากเกิดเรื่อง รสาพูดอะไรหรือเปล่า”
“ไม่นะคะ เห็นปุยนุ่นบอกว่า พอเลิกงานเธอก็เก็บของแล้วก็ยืนเรียกแทกซี่ที่หน้าบ้าน แล้วก็กลับไปเลย ป้าว่า..ปกติเธอก็ไม่ใช่คนขี้นินทา ขี้โวยวายอยู่แล้ว ยิ่งเรื่องนี้เธอคงไม่พูดกับคนอื่นหรอกค่ะ อีกฝ่ายจะเสียหายเปล่าๆ”
ภคพงษ์พยักหน้าเห็นด้วย แล้วก็ถามต่อ
“รถของรสาเสร็จหรือยัง จะได้เมื่อไหร่”
“ทางอู่โทร.มาบอกว่าได้รถพรุ่งนี้ค่ะ”
“ให้เปลี่ยนไปรับรถ ส่วนค่าใช้จ่ายทั้งหมดผมจะดูแลเอง”
“ได้ค่ะ”
สายใจยิ้มอย่างพอใจ ภคพงษ์นั่งกินอาหารมื้อค่ำอยู่เพียงลำพัง ท่ามกลางบรรยากาศในบ้านทึมๆเทาๆ เหงาๆ
มีเพียงสายใจยืนเป็นเสาหลักค้ำชีวิตอยู่เพียงคนเดียว
โปรดติดตาม...ลุ้นรัก "รสา-ภคพงษ์" ตอนต่อไป