xs
xsm
sm
md
lg

ตะวันทอแสง ตอนที่ 5

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ตะวันทอแสง ตอนที่ 5

ภายในบ้านวงศ์เธียรสถิตย์ในเวลาเดียวกัน ที่โต๊ะอาหารสไตล์อังกฤษอันหรูหรา ประดับประดาด้วยดอกไม้เมืองหนาวราคาแพง เครื่องใช้บนโต๊ะที่บ่งบอกถึงความมีรสนิยมสูงของเจ้าของบ้าน

บรรยากาศช่างสดใส อบอุ่น และรื่นรมย์ต่างจากบ้านเถลิงยศอย่างสุดขั้ว
ปรางทิพย์ยื่นห่อผ้ากำมะหยี่ในมือให้สุวิทย์
“สำหรับคุณพ่อค่ะ”
ปรางทิพย์ยิ้มสดใส ส่งของให้สุวิทย์ที่นั่งอยู่ข้างๆ ถัดไปรัชนีนั่งอยู่ สามคนพ่อแม่ลูกนั่งกินข้าวกันพร้อม
หน้า มีคนรับใช้ยืนบริการอยู่สามคน สุวิทย์ ขณะกำลังทานอาหารอยู่ก็ตกใจนิดๆ ตื่นเต้นกับของขวัญที่ปรางทิพย์ให้
“ของพ่อ”
“ใช่ค่ะ…เป็นของขวัญตอบแทนที่คุณพ่อต้องเหนื่อยหาบ้านใหม่ที่ประเทศไทยให้ปรางกับคุณแม่ไงคะ”
“ที่คุณบอกว่าลูกขอไปทำธุระก่อนจะมาบ้าน ก็คือ ธุระเนี่ยเหรอ”
รัชนียิ้มแล้วบอก
“ฉันเห็นลูกบ่นสงสารที่คุณต้องเหนื่อยบินไปบินมาอังกฤษ ประเทศไทยตั้งหลายรอบ เพื่อจะหาบ้าน หามหาวิทยาลัยให้ แล้วก็ยังต้องทำงานไปด้วย”
“คุณแม่ก็เลยแนะนำให้ปรางหาของขวัญมาให้คุณพ่อ เผื่อคุณพ่อจะได้ชื่นใจหายเหนื่อย แล้วนี่ก็เป็นของขวัญสุดพิเศษที่ปรางเลือกเอง ที่สำคัญ..ใช้เงินส่วนตัวซื้อด้วยนะคะ ไม่ใช่รูดบัตรแล้วให้คุณพ่อจ่าย”
สุวิทย์กับรัชนียิ้มตามเป็นบรรยากาศของครอบครัวที่แสนน่ารักและอบอุ่น
“เหรอๆมา ไหนดูสิว่าของขวัญสุดพิเศษของลูกสาวพ่อคืออะไร”
สุวิทย์รับมาแล้วก็เปิด ท่ามกลางความตื่นเต้นของปรางทิพย์และรัชนีที่มองภาพสองพ่อลูกอย่างมีความสุข..นี่แหละคือชีวิตที่ฉันต้องการอย่างแท้จริง สุวิทย์เปิดออกมาเห็นของข้างในก็ตาโตวาวด้วยความถูกใจ
“โอ้โห...พิเศษจริงๆด้วย สวยมากลูก สวยถูกใจพ่อมากๆ ลูกสาวพ่อนี่ รู้ใจพ่อจริงๆ”
ปรางทิพย์ยิ้มปลื้มบอก
“ต้องชมคุณเจ้าของร้านที่ปรางไปซื้อค่ะ เพราะเขาเป็นคนช่วยปรางเลือก คุณเจ้าของร้านนี้ ทั้งใจดี สุภาพ แล้วก็รสนิยมดีมาก ของในร้านสวยๆทั้งนั้นเลยค่ะ”
“เหรอ...ชื่อร้านอะไรลูก เผื่อวันหลัง พ่อจะได้แอบไปซื้อมาเซอร์ไพรส์แม่เค้าบ้าง เครื่องเพชรแบบนี้แม่เค้าชอบ”
สุวิทย์ถามยิ้มๆ แล้วก็หันมากระเซ้ารัชนีที่อมยิ้มอย่างมีความสุข รัชนีเอื้อมมือไปหยิบแก้วน้ำมาดื่ม ปรางทิพย์มองพ่อแม่ที่แซวกันแล้วก็ยิ้มตาม
“ตกลงชื่อร้านอะไรลูก”
“ชื่อร้าน เถลิงยศจิวเวอรี่ ค่ะพ่อ” ปรางทิพย์ตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำ
ทันทีที่ได้ยินชื่อร้านรัชนีตัวเย็นวาบตั้งแต่ศรีษะถึงปลายเท้า..ใจสั่นวูบ
“เจ้าของร้านชื่อ ภคพงษ์ ค่ะ ภคพงษ์ เถลิงยศ”
รัชนีมือไม้อ่อนขึ้นมากระทันหัน แก้วเจียรนัยที่ถืออยู่หล่นลงพื้นโดยไม่รู้ตัว เพล้ง !!!! เสียงแก้วกระทบพื้นดัง
กรีดกลางวงสนทนา เศษแก้วกระจายเต็มพื้น ปรางทิพย์และสุวิทย์หันมาด้วยความตกใจ
“คุณแม่”
“คุณรัช เป็นอะไรหรือเปล่า หน้าซีดมากเลย อ้าว ยืนอึ้งอะไรกันอยู่ รีบมาเก็บเศษแก้วสิ” สุวิทย์พูดแล้วรีบหันมาบอกคนใช้
“ค่ะๆ”
รัชนีพยายามควบคุมอารมณ์ให้ปกติที่สุด
“ฉันรู้สึกหน้ามืด..ฉันขอไปห้องน้ำก่อนนะคะ”
สุวิทย์รีบลุกตามและพูดเตือนด้วยความห่วง
“เดินดีๆนะคุณ ระวังเศษแก้วด้วย”
รัชนีไม่ทันได้ฟัง รีบเดินปลีกตัวออกไปให้เร็วที่สุด ปรางทิพย์และสุวิทย์มองตามรัชนีไปด้วยความเป็นห่วง

ภายในห้องน้ำ รัชนีรีบปิดประตูล็อคอย่างแน่นหนา รัชนีหน้าซีดแทบจะหมดแรง เมื่อรู้สึกปลอดภัย รัชนี ค่อยๆแสดงความอ่อนแอ รัชนีแทบทรุดจนต้องเอามือท้าวอ่างล้างหน้าไว้ไม่ให้ล้ม...หน้าซีด ปากสั่น หายใจหอบ
ภาพในอดีตย้อนกลับมา รัชนีเมื่อตอนเก็บของออกจากบ้าน ภคพงษ์วิ่งไล่ตาม สายใจจับตัวไว้ รัชนีกัดริมฝีปากแน่น...ไม่ฟูมฟายแต่น้ำตาไหลพราก รัชนีเก็บกดความเป็นแม่ไว้ ตัดใจทิ้งทุกอย่างไว้ข้างหลัง รัชนีหันหน้าหนีไม่มอง และไม่ยอมใจอ่อน
รัชนีแทบจะเซอย่างหมดแรงในห้องน้ำ...
“ขอให้เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้...มันจบลงแค่วันนี้ด้วยเถอะ”
รัชนีอ้อนวอนขึ้นมาเบาๆ อย่างหวาดหวั่น

ในเวลาเดียวกัน ที่หน้าบ้านรสา แสงไฟยังสว่าง บรรยากาศเงียบสงบ อบอุ่น ถาดผลไม้ถูกวางบนโต๊ะ
“ทานผลไม้ล้างปากจ้ะ” อาภรณ์ว่า
รสา ชีวินนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารตรงบริเวณห้องรับแขกของบ้านที่ดัดแปลงทำเป็นล็อบบี้ของห้องที่พัก บนโต๊ะ
ยังมีจานอาหารที่เพิ่งกินเสร็จ
“ขอบคุณครับ”
“วินนั่งเล่นไปก่อนนะ รสเอาจานไปเก็บก่อน”
“วินเก็บให้เอง”
รสากดไหล่ชีวินให้นั่งลง
“เป็นแขกจะทำได้ยังไง”
“ใช่จ้ะ วินไม่ต้องเกรงใจนะ เดี๋ยวป้ากับรสช่วยกันเก็บล้างเอง นั่งเล่นตรงนี้แหละ อ้อ..ป้าฝากดูเคาน์เตอร์ด้วยนะ ถ้ามีแขกมาถามอะไรก็ตอบให้ป้าด้วย”
“ครับ”
ชีวินยิ้มรับอย่างเกรงใจ รสายิ้มสดใสแล้วก็ช่วยยกถาดอาหารไปที่ครัว อาภรณ์ถือหม้อข้าวตามไป สองคนเดินหายไปหลังบ้าน ชีวินมองตามยิ้มๆ มีความสุข
รสาเดินเข้ามาในครัว อาภรณ์เดินตามมา รสาวางถาดจานแล้วก็ล้างเศษอาหารเตรียมจะล้าง อาภรณ์มองๆ
แล้วก็ถามขึ้น
“นี่รส...ป้าถามจริงๆเถอะ ตั้งแต่คบกับวินมา เริ่มมองเห็นความดีของเค้าบางหรือยัง”
“เห็นสิคะ เห็นมานานแล้วด้วย”
“เหรอ...ตอบแบบนี้แสดงว่าเริ่มใจอ่อนแล้วใช่มั้ย”
“ใจอ่อน ยังไงคะ”
“อ้าว..ก็ใจอ่อน ยอมคบกับเค้ามากกว่าเพื่อนไงหล่ะ”
รสายิ้มขำแล้วบอก
“โธ่ป้าภรณ์...รสกับวินเป็นได้แค่เพื่อนกันจริงๆค่ะ รสว่า..บางทีเราคงจะรู้จักกันมากเกินไปหน่อย”
“อ้าว..รู้จักกันมากเกินไปก็เลยเป็นแฟนกันไม่ได้..แล้วต้องรู้จักกันขนาดไหนถึงจะเป็นแฟนกันได้หะ”
อาภรณ์ถามด้วยความงุนงง รสานิ่งคิด.
“รสก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ..เอาไว้..ถ้ารสเจอคนที่ทำให้รู้สึกว่าเค้าเป็นแฟนได้เมื่อไหร่ รสจะบอกอีกทีนะคะ”

อาภรณ์มองหลานสาวแล้วก็ส่ายหน้านิดๆ ด้วยความไม่เข้าใจ

ชีวินนั่งกินผลไม้ พลางอ่านหนังสือพิมพ์พลางชะเง้อว่าเมื่อไหร่รสาจะมา ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์มือถือรสาดังขึ้น ชีวินสะดุ้งนิดๆ ตกใจแล้วก็มองหาไปมาจนเห็นโทรศัพท์มือถือรสาวางอยู่บนโต๊ะทำงานอาภรณ์

ชีวินเดินไปหยิบมาดู ที่หน้าจอขึ้นชื่อ “ภคพงษ์” ชีวินชะงัก คิด...เอาไงดี !
ชีวินตัดสินใจหันไปเรียกรสา
“รส...รส....รสเจ้านายรสโทร.มาน่ะ”
ไม่มีเสียงตอบออกมา โทรศัพท์ยังดังอยู่ ชีวินหันไปดูแล้วก็คิด ก่อนตัดสินใจหยิบมาแล้วก็กดรับ
“สวัสดีครับ”

ภคพงษ์ยืนในห้องทำงานก็ชะงักนิดๆ กับเสียงชีวินที่รับโทรศัพท์แทนรสา ภคพงษ์ปรายตาไปดูที่นาฬิกา 4 ทุ่ม 10 นาที หน้าตาแอบไม่พอใจนิดๆ
“สวัสดีครับ”
ภคพงษ์ตอบเสียงนิ่งๆ
“กรุณาบอกให้รสาติดต่อกลับผมด้วย..ขอบคุณมาก”
ภคพงษ์พูดจบก็วางสายไปนิ่งๆ ชีวินชะงัก....
“หะ..สั่งแล้วก็วางไปเลย”
ชีวินกดสายวางตามไปแล้วก็ส่ายหน้า ภคพงษ์วางโทรศัพท์ไว้ข้างหน้า ใบหน้านิ่งขรึม แต่ในใจแอบรุ่มร้อน

รสาแปลกใจ ชีวินที่ยืนอยู่ข้างๆ ส่งโทรศัพท์ให้
“คุณภคพงษ์ โทร.มา สี่ทุ่มกว่าเนี่ยนะ”
-“เราเรียกรสแล้ว แต่รสคงไม่ได้ยิน เราก็เลยถือวิสาสะกดรับไป รสคงไม่โกรธนะ”
“เราจะโกรธทำไม ขอบใจมากกว่า”
รสาหันไปเช็ดมือแล้วก็มารับโทรศัพท์ไปแล้วบ่น
“โทร.มาทำไมดึกๆดื่นๆ”
“เค้าบอกให้รสติดต่อกลับไปด้วย”
“ เรื่องอะไรของเค้านะ”
รสาคิดด้วยความอยากรู้

ภคพงษ์ยืนคุยโทรศัพท์อยู่ที่เดิม
“ผมจะบอกคุณเรื่องรถ ตอนนี้ซ่อมเสร็จแล้ว พรุ่งนี้ผมจะให้เปลี่ยนไปรับรถมาให้”
รสารีบบอกด้วยความเกรงใจ
“ขอบคุณค่ะ แต่ดิฉันไปรับเองก็ได้นะคะ”
ชีวินยืนอยู่ข้างหลัง ชะเง้อฟังด้วยความอยากรู้ ภคพงษ์ย้ำอีกทีด้วยเสียงแอบเข้ม
“พรุ่งนี้ ผมจะให้เปลี่ยนไปรับรถมาให้”
รสาชะงัก หมั่นไส้นิดๆ ที่ภคพงษ์เอาแต่ใจตามเคย
“ย้ำแบบนี้ .. แปลว่าดิฉันไม่มีตัวเลือกอื่นใช่มั้ยคะ”
ภคพงษ์อมยิ้มนิดๆ กับคำพูดของรสา
“ผมเลือกในสิ่งที่ดีที่สุดให้คุณแล้ว”
รสาชะงักนิดๆ พูดไม่ออกด้วยความอึ้ง ชีวินมองแล้วก็คิด ภคพงษ์ตัดบท
“ผมโทร.มาบอกคุณแค่นี้ พรุ่งนี้เจอกัน”
รสายังไม่ทันจะขอบคุณ เสียงวางสายไปก็ดังออกมา
“ขอบ...อ้าว วางไปแล้ว”
รสาส่ายหน้าแล้วก็วางตามไป
ภคพงษ์วางโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะ แล้วก็คิด...ในใจแอบหวงรสาลึกๆที่อยู่กับชีวินดึกๆดื่นๆ

รสาเดินมาส่งชีวินที่หน้าบ้าน
“แค่เรื่องรถเนี่ยนะ ทำไมถึงฝากเราบอกรสไม่ได้ ทำไมต้องให้โทร.กลับด้วย แถมยังให้คนรถไปรับรถมาให้อีก มันดีเกินไป... ไม่น่าไว้ใจอย่างแรง”
รสามองหน้าชีวิน
“เค้าก็ทำแบบนี้กับทุกคน มันอาจจะเป็นนิสัยของเค้าก็ได้ ถ้าวินเริ่มทำงานกับเค้า เค้าก็ทำวินแบบเดียวกัน”
ชีวินผงะบอก
“เย้ย..ไม่มีทาง วินว่าเค้าก็ไม่ได้ทำแบบนี้กับทุกคน”
“เฮ่อ พูดไปตอนนี้วินก็คงไม่เชื่อ ถ้าวินได้รู้จัก ใกล้ชิดกับผู้ชายอย่างภคพงษ์มากกว่านี้ เดี๋ยววินก็รู้เอง”
รสายืนยันอย่างมั่นใจ ชีวินไม่ตอบแต่ในใจไม่เชื่อ

เวลากลางวัน วันต่อมา ที่บริเวณตลาดเมืองระยอง ที่มีคนเดินผ่านไปมา ที่หน้าร้านข้าวแกงมีผู้คนเดินเข้าออกกันคึกคัก พิมพรรณกับวาริชเดินออกมาจากร้านพอดี
“อิ่มมั้ยครับ อยากทานขนมหวานหรือไอติมมั้ย”
“พิมอิ่มมากเลยค่ะ แต่ถ้าวาริชอยากไปทานขนม พิมไปเป็นเพื่อนได้นะค่ะ”
“พิมเนี่ย เป็นคนน่ารักมากเลยนะครับ มีน้ำใจกับผมทุกเรื่อง ไม่ว่าเรื่องใหญ่เรื่องเล็ก ขอบคุณมากนะครับ” วาริชจับมือพิมพรรณ

“ตกลงจะทานอะไรเป็นของหวานมั้ยคะ”
“ไม่ต้องแล้วครับ แค่พิมดีกับผม แค่นี้ก็หวานพอแล้ว”
พิมพรรณทั้งเขินทั้งเคลิ้ม
“งั้นเรากลับ...ไปทำงานต่อกันดีกว่านะคะ”
“ครับ”
วาริชทำเนียนจับมือพิมพรรณเดินไป...วาริชมองพิมพรรณที่เขินอายด้วยความพอใจ
ที่มุมหนึ่งของตลาด ห้าวเดินผ่านมาเห็นเข้าพอดีก็ตกใจ
“เฮ้ย”
ห้าวยืนอึ้งอยู่ ทันใดนั้นเสียงพร้อมก็ดังมาจากด้านหลังของห้าว
“พิม”
ห้าวตกใจหันขวับไป เห็นพร้อมยืนอยู่ ห้าวเหวอ
“อาพร้อม”
พิมพรรณนั่งอยู่บนรถวาริช ที่มือถือพิมพรรณมีเสียงข้อความเข้า พิมพรรณหยิบมาอ่าน หน้าเสียอย่างเห็นได้ชัด วาริชหันมาเห็นพอดีก็ถาม
“พิม..มีอะไรหรือเปล่า”
“เอ่อ..พี่ห้าวบอกว่า..พ่อเห็นเราสองคนเดินจับมือกันในตลาด”
พิมพรรณหน้าเสียแต่วาริชมองด้วยความไม่เข้าใจ
“แล้วไงครับ ตอนนี้เราสองคนเป็นแฟนกันแล้วนะ ทำไมเดินจับมือกันไม่ได้”
“คือ...พิมยังไม่ได้บอกที่บ้านว่าเราสองคนเป็นแฟนกัน”
วาริชพอได้ยินก็หักรถเข้าจอดข้างทาง ก่อนหันมาถามพิมพรรณด้วยหน้าตาจริงจัง
“แล้วทำไมพิมไม่บอก หรือพิมอยากจะคบกับผมแบบหลบๆซ่อนๆ”
“เปล่านะคะ แต่คือ..พิม..กลัวพ่อจะไม่อนุญาต” พิมพรรณพูดเสียงอ่อย
“โธ่..พิมไม่ต้องห่วงนะครับ ผมไม่ใช่คนอันตราย ถ้าพ่อคุณได้คุยกับผมจริงๆจังๆ ผมมั่นใจว่าท่านจะต้องยอมให้เราคบกัน”
“วาริชอยากจะคุยกับพ่อพิมแบบจริงๆจังๆเหรอค่ะ”
“ใช่ครับ..เพราะผมอยากคบกับพิม ผมก็ต้องทำทุกอย่างให้ถูกต้อง ให้ผู้ใหญ่ได้รับรู้ นอกจากให้เกียรติท่านแล้วยังให้เกียรติพิมด้วย”
วาริชพูดด้วยความจริงจัง เหมือนจะจริงใจ
 
พิมพรรณฟังแล้วถึงกับเชื่อ ยิ้มออกมาด้วยความสบายใจ มีความสุขกับคำพูดอันสวยงามตรงหน้า

รถของรสาจอดอยู่ที่หน้าบ้าน รสานั่งอยู่ในรถ สตาร์ตเครื่องติดอย่างง่ายดาย รสายิ้มพอใจ ดับเครื่องลงมาจากรถและหันมาทางเปลี่ยนที่ยืนยิ้มอยู่หลังรถ
 
“เจ้ากระป๋องเลิกงองแงแล้ว ขอบคุณพี่เปลี่ยนมากนะคะ”
“โอ้ย..ไม่ต้องขอบคุณผมหรอกครับ ผมแค่ไปขับรถมาให้คุณรสา ไปขอบคุณคุณภัคเถอะครับ”
รสาขมวดคิ้วแปลกใจ

ภคพงษ์พับหนังสือพิมพ์ธุรกิจเก็บวางไว้ตรงหน้า พลางตอบรสา
“เรื่องค่าใช้จ่ายทั้งหมดผมจะเป็นคนรับผิดชอบเอง”
รสารีบแย้งด้วยความเกรงใจ
“ไม่เป็นไรค่ะ ดิฉันขอจ่ายเองดีกว่า เท่าไหร่คะ”
รสาหยิบกระเป๋าเงินออกมาเตรียมจะจ่าย
“รับไปเถอะ...ถือว่าเป็นการขอโทษที่พักตร์วิมลไปรบกวนการทำงานของคุณ”
“เรื่องแค่นั้นเอง ดิฉันไม่ถือหรอกค่ะ”
“ถึงคุณไม่ถือ ผมก็ยังยืนยันที่จะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเอง”
“ขอบคุณที่คุณมีน้ำใจ แต่ดิฉันไม่สบายใจ”
“สบายใจเถอะ ผมเป็นคนที่ให้อะไรใครแล้วไม่หวังสิ่งตอบแทน ผมให้ เพราะอยากให้”
รสาจะอ้าปากแย้งอีก ภคพงษ์ตัดบท
“วันนี้ผมต้องออกไปคุยงานข้างนอก คงอยู่ทานข้าวกลางวันด้วยไม่ได้ เชิญคุณตามสบาย”
“เอ่อ”
ภคพงษ์พูดจบก็เดินออกไปเลย รสามองตามในอาการงงงวย ภคพงษ์เดินออกจากห้องไป
“พูดยังกะว่าคนอื่นเค้ารอจะทานข้าวด้วยอย่างนั้นแหละ”
รสาส่ายหน้าแล้วก็ก้มดูกระเป๋าเงินของตัวเองแล้วก็ถอนใจไม่ได้จ่ายเงินจนได้

ถาดอาหารกลางวันถูกวางลงตรงโต๊ะที่ตั้งอยู่ไม่ห่างจากสายใจ สายใจกำลังแกะสลักผลไม้อยู่ก็เงยหน้ามามองด้วยความแปลกใจ
“อ้าวคุณรสา...ทำไมยกอาหารมาทานตรงนี้ล่ะคะ ป้าให้นังปุยมันไปจัดไว้ให้ที่โต๊ะใหญ่นี่คะ”
“โต๊ะมันใหญ่เกินไปน่ะค่ะ นั่งทานคนเดียวเหงา รสก็เลยยกมานั่งทานกับป้าใจตรงนี้ดีกว่าค่ะ อบอุ่นกว่ากันเยอะเลย”
สายใจยิ้มตาม
“ขอบคุณป้าใจมากนะคะ สำหรับอาหารกลางวัน”
“ขอบคุณป้า..แล้วอย่าลืมขอบคุณคุณหนูด้วยนะคะ เพราะป้าทำตามคำสั่งของคุณหนูค่ะ”
รสาชะงัก ยิ้มไม่ออก ได้แต่ก้มหน้ากินอาหารไปเงียบๆ เก็บความกังวลบางอย่างไว้ในใจ สายใจมองแล้วก็รู้สึกได้จึงวางมือจากผลไม้ข้างหน้า และพูดขึ้น
“คุณรสาอาจจะมีความกังวล หรือสงสัยในตัวของคุณภัค บางครั้งเธออาจจะคิด พูด และทำ ไม่ค่อยเหมือนคนอื่น คำพูดคำจาบางครั้งก็ตรงเกินไป ถ้าคนที่ไม่เข้าใจ..คิดว่าเธอเป็นคนใจร้าย”
รสาค่อยๆหยุดทาน และฟังสายใจพูดอย่างตั้งใจ
“แต่ถ้าได้อยู่ใกล้ๆ และรู้จักตัวตนของเธอจริงๆ จะรู้ว่า..คุณหนูไม่ใช่คนใจร้าย แต่เป็นคนดีที่น่าสงสาร”
รสาชะงัก ค่อยๆเงยหน้ามองสายใจเหมือนไม่เชื่อในสิ่งที่สายใจพูด
“ถ้าคุณรสารู้จักคุณภัคมากกว่านี้ คุณก็จะเห็นเหมือนที่ป้าเห็น”
รสานิ่งไป...ครุ่นคิด ทั้งไม่อยากเชื่อและแปลกใจ...

ภายในบ้านวงศ์เธียรสถิตย์ รัชนีกำลังจัดดอกไม้เมืองหนาว สวย เก๋ ดูดีมีราคาแพงอยู่อย่างสบายใจ เสื้อผ้าหน้าผมเป๊ะ แม้จะเป็นชุดอยู่บ้านแต่สวยสง่าทุกอิริยาบถ ปรางทิพย์นั่งอยู่ข้างๆ กำลังเปิดดู
“ประเทศไทยมีมหาวิทยาลัยนานาชาติเยอะมากเลยนะคะ มหาวิทยาลัยของรัฐบาลที่เป็นหลักสูตรนานาชาติก็มีดีหลายที่ ขนาดคุณพ่อคัดมาให้หนึ่งรอบแล้ว ก็ยังเยอะอยู่ดี ปรางเลือกไม่ถูกเลยค่ะ”
ปรางทิพย์ปิดหนังสือลงด้วยความหนักใจ
“แม่ว่าปรางค์ลองเลือกมาสัก 3-4 แห่งที่สนใจแล้วเราไปดูสถานที่จริงกัน คุณแม่พาไปเอง ลองไปสำรวจแล้วก็เลือกสิ่งที่เราชอบที่สุด”
ปรางทิพย์ฟังอย่างตั้งใจ
“คนเรา ถ้ายังมีโอกาสเลือก เราต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ตัวเองนะจ้ะ”
รัชนีสอนแนวทางการดำเนินชีวิตที่ตัวเองยึดถือมาตลอด ปรางทิพย์ฟัง คิดตามแล้วก็ยิ้มอย่างเข้าใจ
“ค่ะคุณแม่”
รัชนียิ้มพอใจในความว่านอนสอนง่ายของลูกสาว เสียงรถของสุวิทย์แล่นเข้ามา


สุวิทย์เดินเข้ามาในบ้านพร้อมกระเป๋าทำงาน คนใช้มารับไปพร้อมกับสูท สุวิทย์ใส่เสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินและใช้
กระดุมติดแขนเสื้อที่ปรางทิพย์ให้ สุวิทย์เดินมาหารัชนีและปรางทิพย์ รัชนีหันไปเห็นก็ยิ้มให้อย่างสดใส ปรางทิพย์ก็หันไปยกมือไหว้
“สวัสดีค่ะคุณพ่อ”
“สวัสดีจ้ะ” สุวิทย์ยิ้มรับแล้วเดินมาร่วมวงแม่ลูก
“เป็นไงบ้างคะคุณ วันนี้งานยุ่งหรือเปล่า”
คนรับใช้นำเครื่องดื่มมาให้ และยกแจกันที่รัชนีจัดเสร็จแล้วออกไป
“ไม่ยุ่งจ้ะ..แต่ผมมีข่าวดีจะมาบอก”
รัชนีและปรางทิพย์ตั้งใจฟัง แววตาตื่นเต้น
“ข่าวดีอะไรคะ”
“หุ้นส่วนของเราในกลุ่มประเทศอาหรับสนใจจะขยายตลาดนำเข้าเครื่องจักรของโรงงาน ยอดสั่งเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว”
รัชนียิ้มเป็นประกาย
“ดีใจด้วยนะคะ มีข่าวดีแบบนี้ คืนนี้คงต้องฉลองกันหน่อย”
ปรางทิพย์ยิ้มรับและดีใจไปด้วย
“แค่นี้ยังไม่พอ เค้าบอกว่า อยากนำเข้าจิวเวอรี่ฝีมือคนไทย เพราะกำลังเป็นที่ต้องการของตลาด พ่อก็เลยให้เค้าดูของขวัญปรางให้ นี่”
“เป็นไงคะ” ปรางทิพย์ถามอย่างตื่นเต้น
“โห..เค้าชอบมาก พ่อก็เลยให้ผู้ช่วยลองสืบประวัติเจ้าของร้านที่ชื่อ ภคพงษ์ เถลิงยศ”
รัชนีหุบยิ้มวูบ หน้าเจื่อนไปทันที สุวิทย์พูดต่อโดยไม่ทันสังเกต
“เค้าเป็นนักธุรกิจหนุ่มรุ่นใหม่น่าจับตามอง และน่าร่วมงานด้วยมากๆ พ่อก็เลยให้ทางผู้ช่วยนัดทานข้าวกับเค้าเรียบร้อยแล้ว”
รัชนีเริ่มตัวชา ร่างเย็นวาบ แต่ต้องพยายามปั้นหน้าให้เป็นปกติที่สุดเท่าที่จะทำได้
“ดีจังเลยค่ะ...คุณพ่อคะ..ปรางขออนุญาตไปด้วยได้มั้ยคะ ปรางจะได้ขอบคุณที่เค้าดูแลปรางอย่างดี ตอนที่ปรางไปซื้อของน่ะค่ะ”
รัชนีหันมามองหน้าสุวิทย์ ในใจไม่อยากให้ไป..แต่สุวิทย์ตอบว่า
“ถึงปรางไม่ขอ พ่อชวนปรางอยู่เหมือนกัน คุณก็ไปกับผมด้วยนะ”
รัชนีช็อก โพล่งถามออกไป
“คะ อะไรนะคะ”
“ไปทานข้าวกับคุณภคพงษ์ เถลิงยศ .. เจ้าของร้านที่ปรางเล่าให้เราฟังไง ผมเห็นรูปเค้าแล้ว หน้าตาหล่อใช้ได้เลย”
ปรางทิพย์อมยิ้มนิดๆ อย่างเห็นด้วย แต่ไม่ได้แสดงออกมามากจนน่าเกลียด
“ผมอยากให้คุณไปเจอจะได้ช่วยดูว่าน่าทำธุรกิจด้วยหรือเปล่า นะคุณ ตกลงไปนะ”
รัชนีอึดอัดอย่างแรง แต่ต้องเก็บไว้ภายในใจ พูดออกมาไม่ได้ แสดงออกมาก็ไม่ได้
 
รัชนีมองหน้าสุวิทย์แล้วคิดว่าจะทำอย่างไรดี

ภายในห้องทำงาน ภคพงษ์นั่งตรวจแบบเครื่องเพชรอย่างตั้งใจ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ชื่อที่หน้าจอขึ้นชื่อ “แพต” ภคพงษ์มองด้วยสายตาเย็นชา และดึงสายตากลับมาทำงานต่อ ไม่สนใจโทรศัพท์ที่ดังอยู่

พักตร์วิมลวางสายไปด้วยความหงุดหงิด
“ทำไมภัคไม่รับสาย”
คิดแล้วก็กดข้อความส่งไป “เย็นนี้แพตว่าง ไปทานข้าวกันนะคะ” หลังส่งข้อความไปแล้วก็คิดว่า ภคพงษ์จะติดต่อกลับมาหรือเปล่า

รสากำลังเดินตรวจงานติดตั้งคอมเพรสเซอร์แอร์ที่หลังบ้าน
“โอเคค่ะ...ติดตั้งตามตำแหน่งที่รสบอกได้เลยนะคะ”
“ครับ”
โทรศัพท์รสาดังขึ้น รสาดูชื่อ...แล้วก็กดรับ
“พิมว่าไงจ้ะ”

พิมพรรณอยู่ในห้องทำงานคนเดียว
“พิมจะบอกพ่อกับแม่เรื่องวาริช”
รสาขมวดคิ้วแปลกใจ พูดพลางเดินกลับมาที่ห้องทำงานด้านใน
“เรื่องอะไรเหรอพิม”
พิมพรรณอธิบาย
“เรื่องที่พิมกำลังคบกับวาริชน่ะ คือ..ตอนแรกพิมก็ไม่แน่ใจว่าพ่อกับแม่จะรับได้หรือเปล่า พิมก็เลยไม่กล้าบอก แต่วันนี้พ่อเห็นพิมเดินจับมือกับวาริชที่ตลาด แล้ววาริชเองเค้าก็ยินดีที่จะให้พิมเปิดตัว พิมก็เลยคิดว่า...เย็นนี้จะพาวาริชไปสวัสดีพ่อกับแม่น่ะ”
รสาเดินมาถึงห้องทำงาน แล้วก็นั่งลงตอบอย่างใจเย็น
“ก็ดีนะพิม ความลับมันไม่มีในโลกหรอก บอกความจริงไปดีแล้ว”
พิมพรรณยิ้มมั่นใจขึ้น
“จ้ะ พิมจะลองดู ที่จริงพิมก็ไม่อยากปิดนะ แต่บางเรื่องไม่อยากบอกเพราะกลัวว่าพ่อกับแม่จะไม่สบายใจ”
รสายิ้มนิดๆ
“รสเข้าใจ...แล้วก็เป็นกำลังใจให้พิมนะ สู้ๆ”
พิมพรรณยิ้มรับ
“ขอบใจจ้า คุยกับรสทีไรสบายใจทุกทีเลย งั้นพิมกลับไปทำงานก่อนนะ”
รสายิ้มรับก่อนวางสายไป รสาแอบหวั่นใจอยู่ลึกๆ รอยยิ้มเมื่อครู่ค่อยๆหายไป ขณะที่พิมพรรณวางสายแล้วก็ยิ้มลุ้น

ที่หน้าบ้านพร้อมตอนเย็น ลูกค้ายังเล่นน้ำอยู่ริมหาด บางคนนอนอยู่ที่เตียงผ้าใบ ภายในห้องรับแขก พิมพรรณ วาริช นั่งฝั่งหนึ่ง วิมลและพร้อมนั่งอีกฝั่งหนึ่ง ห้าวยืนกอดอกอยู่ตรงกลาง วาริชยกมือไหว้พร้อมและวิมลอย่างนอบน้อม
“สวัสดีครับ”
พร้อมมองอย่างตั้งแง่ วิมลรับไหว้
“สวัสดีจ้ะ”
พร้อมนั่งนิ่ง พิมพรรณแอบหน้าเสีย วิมลหันมาสะกิดพร้อม พร้อมจำใจพยักหน้ารับ วาริชชะงักนิดๆ กับความไม่เป็นมิตร พิมพรรณหันมามองหน้าวาริชด้วยความเกรงใจแล้วก็หันไปพูดกับพร้อมและวิมล
“พ่อจ้ะ แม่จ้ะ พิมมีเรื่องจะบอกพ่อกับแม่น่ะจ้ะ คือ...” พิมพรรณเริ่มอึกอัก
วาริชชิงพูดเสียเอง
“ตอนนี้เราสองคนเป็นแฟนกันแล้วครับ”
พร้อมกับวิมลถึงแอบชะงักนิดๆที่วาริชออกตัวอย่างแรง พิมพรรณก็สะอึกนึกไม่ถึง ห้าวมองหน้าวาริชอย่างจับสังเกต วาริชไม่พูดเปล่าคว้ามือพิมพรรณมากุมไว้อีก
“เราสองคนอาจจะรู้จักกันได้ไม่นาน แต่สำหรับผม พิมคือผู้หญิงที่ใช่ ผมรู้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เราเจอกัน”
พิมพรรณสะเทิ้นด้วยความอาย พร้อมเบือนหน้าหนีด้วยความหมั่นไส้ พึมพำๆ
“มีปากก็สักแต่ว่าพูดไปเรื่อยเปื่อย”
วาริชชะงัก พิมพรรณสะอึก วิมลหันมาทางพร้อมเรียก “พ่อ” เบาๆ
“ก็มันจริงนี่..คนที่ใช่อะไรกัน นี่มันโลกความเป็นจริง ไม่ใช่ในนิยาย คงจะใช้มุกนี้จีบผู้หญิงมาเยอะแล้วล่ะสิ”
พร้อมพูดจี้ใจดำจนวาริชสะอึก พิมพรรณหันมาทางวาริชเป็นเชิงถาม
“ไม่ใช่นะครับ ผมไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับคนอื่นเลย พิมเป็นคนที่พิเศษสำหรับผมจริงๆ วันนี้คุณพ่อ...”
วาริชยังพูดไม่ทันจบ พร้อมก็สวนขึ้น
“น้อยๆหน่อย พ่อใคร ใครพ่อ”
“เอ่อ...คุณอาอาจจะยังไม่ไว้ใจผม แต่ผมจะพิสูจน์ให้คุณอาเห็นว่าผมจริงใจกับพิม และจะดูแลพิมอย่างดีที่สุด”
วาริชพูดอย่างมั่นใจตามประสาคนเอาตัวรอดเก่ง พิมพรรณฟังด้วยความเชื่อ มองวาริชด้วยความซึ้งใจ ห้าว
กอดอกมองด้วยความไม่วางใจ แต่ไม่อยากพูดอะไรตอนนี้
“ไม่ต้องมาดูแลหรอก ลูกสาวฉัน ฉันดูแลเองได้ เอาเวลาไปทำตัวให้มันดีๆ สมกับที่คุยเอาไว้ พูดไว้เยอะ ทำไม่ได้ อายเปล่า”
พร้อมพูดจบก็ลุกขึ้นเดินออกไป พิมพรรณมองตามตาละห้อยเสียใจลึกๆ วาริชมองด้วยความไม่พอใจหน่อยๆ แต่พยายามเก็บไว้ไม่แสดงออกมามาก วิมลมองตามพร้อมแล้วก็รีบหันมาทางวาริช
“ขอตัวไปเตรียมอาหารค่ำให้ลูกค้าก่อนนะ ตามสบายจ้ะ”
วิมลเดินตามพร้อมไป วาริชหันมาจับมือพิมพรรณให้กำลังใจ แววตาดูอ่อนโยนเป็นคนดีมากๆ ห้าวยืนมองวาริชแล้วรู้สึกขัดหูขัดตาแปลกๆ

เย็นวันต่อมา รสาเดินดูงานภายในเรือนหลังเล็ก คุยโทรศัพท์ไป เช็กงานไป
“พี่ห้าวคิดมากไปหรือเปล่า”
ห้าวคุยโทรศัพท์อยู่ริมหาด
“มันรู้สึกแปลกๆจริงๆนะรส พี่ว่าได้วาริชอะไรเนี่ย มันไม่น่าไว้ใจ มันดูคล่องจนคร่อก หวานเลี่ยนๆ พี่ว่า..รสลองคุยกับพิมเค้าดูอีกทีสิว่า ตอนนี้เค้าคิดยังไงกับไอ้เจ้าวาริช พี่ห่วงพิมจะมองโลกในแง่ดีแล้วก็โดนมันหลอกเอาได้ง่ายๆ รสก็รู้ว่าพิมเป็นคนยังไง”
รสาฟังแล้วเริ่มเครียด
“จ้ะ..ได้ รสตั้งใจว่า ศุกร์นี้จะลางานครึ่งวัน แล้วไประยองเลย รสจะลองคุยกับพิมดูนะคะ”
ห้าวตาเป็นประกายขึ้น
“ศุกร์นี้รสจะมาเหรอ ดีเลย พี่จะเตรียมทำของอร่อยๆไว้ให้นะ”
รสายิ้มรับบอก
“ขอบคุณค่า แล้วเจอกันจ้ะ”
ห้าวยิ้มรับบอก
“จ้า..รสก็อย่าทำงานหนักมากนะ แล้วก็อย่าลืมกินข้าวให้ตรงเวลา หาเวลาพักผ่อนด้วยนะ”
“จ้า..แหมสั่งซะยาวเลย”
“ก็พี่...เป็นห่วงนี่ แล้วเจอกันนะ”

ห้าววางสายไปพร้อมกับรอยยิ้มสุขใจ

ตะวันทอแสง ตอนที่ 5 (ต่อ)

รสาวางสายไปพร้อมกับรอยยิ้มนิดๆ แล้วเดินตรวจงานต่อมาที่บนบ้าน ระหว่างที่เดินอยู่นั้นเองก็มีเสียงดังโครม ! รสาตกใจหันไปที่ต้นเสียงในห้องน้ำ สักพักมีเสียงเด็กคนงานร้องขึ้น

“ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วย !”
รสารีบวิ่งไปทันที
ภายในห้องน้ำที่กำลังมีการปูกระเบื้องอยู่ อุปกรณ์ยังวางระเกะระกะ ที่พื้นมุมหนึ่ง ป้าคนงานนอนล้มอยู่ที่ศรีษะมีเลือดออก ข้างๆมีกระแป๋งน้ำล้มคว่ำ น้ำเจิ่งนองไปทั้งพื้น คนงานที่สาวกว่ายืนทำตัวไม่ถูก
รสาโผล่หน้าเข้ามาเห็นป้าล้มอยู่ก็ตกใจ
“ป้าเป็นอะไรคะ”
คนงานสาวหันมาบอกด้วยความตกใจ
“ป้าหมายแกลื่นหกล้ม หัวฟาดพื้นค่ะ เพิ่งล้มเมื่อกี้นี้เองค่ะ ทำยังไงดีคะ”
รสาพุ่งเข้ามาดูอาการป้า
“เดี๋ยวรสดูป้าให้ รีบไปตามหัวหน้าคนงานมาด่วนเลย”
“เอ่อ..หัวหน้าแกขับรถออกไปธุระค่ะ เห็นบอกว่าเย็นๆจะกลับมารับ”
“อ้าว...งั้นรีบไปตามคนงานผู้ชายมาสักสองสามคน ช่วยกันอุ้มป้าลงไปก่อน เดี๋ยวรสพาไปโรงพยาบาลเอง”
“ค่ะ”
คนงานสาวจะวิ่งไป ทันใดนั้นเสียงภคพงษ์ก็ดังขึ้น
“มีอะไร “
รสาหันไป เห็นภคพงษ์ยืนดูอยู่ด้วยความสนใจ และรอฟังคำตอบ
รถตู้ของภคพงษ์เข้ามาจอดเทียบที่หน้าเรือนหลังเล็ก ภคพงษ์รีบวิ่งลงมา
“เอาคนป่วยขึ้นรถ เดี๋ยวผมพาไปโรงพยาบาลเอง”
รสายืนอยู่กับคนงานชายอีก 2 คนและคนงานสาวที่ประคองป้าอยู่ คนงานชายสองคนช่วยกันอุ้มป้ามาที่รถ รสาช่วยปรับเบาะนอนให้
รสาหันมาถามภคพงษ์
“คุณจะขับไปเองเหรอคะ”
“พอดีเปลี่ยน ออกไปซื้อของให้ป้าสายใจ ผมไม่อยากรอ... เรียบร้อยนะ”
“ครับ” คนงานบอก
ภคพงษ์รีบวิ่งไปประจำที่คนขับด้วยความกระตือรือร้น รสามองตามแอบแปลกใจนิดๆที่ภคพงษ์แคร์คนอื่น รสาตัดสินใจพูดขึ้น
“ดิฉันไปด้วยค่ะ”
ภคพงษ์หันมาพยักหน้ายิ้มๆบอก “ดี”
สารีบขึ้นไปบนรถนั่งอยู่ข้างๆป้าที่นอนสลบอยู่ ประตูรถตู้ปิด และรีบออกตัวไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งไว้แต่คนงานที่ยืนดูด้วยความตื่นเต้น

ภคพงษ์ขับรถตู้ด้วยความตั้งใจ และแล่นอยู่ด้วยความเร็ว รสาหยิบผ้าเช็ดหน้าตัวเองมาอุดรอยแตกที่ศรีษะซับเลือดเบื้องต้น รสาหันไปมองหน้าภคพงษ์ที่ขับรถอย่างตั้งใจ รสารู้สึกแปลกใจอยู่ในที แล้วก็หันมาดูป้าด้วยความเป็นห่วง
ภคพงษ์ขับรถอยู่ แต่ก็แวบมามองรสาผ่านกระจกมองหลัง เห็นรสาใช้ผ้าอุดแผลและจับตัวป้าอย่างไม่ถือตัว
ภคพงษ์ดึงสายตากลับ ความพึงพอใจฉาบอยู่ในแววตา รถภคพงษ์มุ่งเข้าไปในโรงพยาบาลอย่างรวดเร็ว


รถตู้ภคพงษ์เข้ามาจอดเทียบที่ห้องฉุกเฉิน ประตูรถตู้ทางด้านรสาถูกเปิดออก ภคพงษ์รีบวิ่งมาหาเจ้าหน้าที่
“คนป่วยได้รับอุบัติเหตุ ลื่นล้ม ศรีษะฟาดพื้น”
“ครับ ระหว่างพาคนป่วยไปห้องฉุกเฉิน รบกวนญาติตามมาทำประวัติด้วยนะครับ”
รสารีบตอบ
“ได้ค่ะ”
เจ้าหน้าที่รีบพาป้าลงจากรถแล้วอุ้มขึ้นเตียง รสารีบเดินตามเจ้าหน้าที่ไป ภคพงษ์รีบเรียกขึ้น
“รสา”
“คะ”
“บอกเค้ารักษาให้เต็มที่ ค่ารักษาพยาบาลผมรับผิดชอบเอง ผมเอารถไปจอดแล้วจะรีบตามไป”
“ค่ะ”
ภคพงษ์รีบกลับไปที่รถตู้แล้วขับออกไป รสามองตามนิดๆ กับภาพแปลกตาที่ไม่คาดคิดว่าจะเป็นภคพงษ์ขับรถตู้ และเป็นห่วงเป็นใยคนอื่นมากขนาดนี้ รสาครุ่นคิดหนึ่งแว่บแล้วก็ดึงความคิดกลับมาแล้วรีบเดินตามเจ้าหน้าที่ไป

รสากำลังทำประวัติกับเจ้าหน้าที่ ป้านอนอยู่ที่เตียง มีหมอมาดูอาการ
“ประวัติละเอียด ต้องรอให้ญาติตัวจริงมาบอกนะคะ ตอนนี้แจ้งไปทางหัวหน้าช่างแล้ว อีกสักพักคงจะมา”
“ค่ะ”
หมอหันมาบอกทางพยาบาล
“พาคนป่วยไปที่ห้องผ่าตัดเล็กนะ”
“ค่ะ”
พยาบาลรีบจัดการเข็นป้าไปอย่างขะมักเขม้น รสามองตามไป เจ้าหน้าที่รีบบอก
“คุณหมอจะรีบผ่าตัดทำแผลให้นะคะ ห้องผ่าตัดเล็กทางด้านโน้นค่ะ”
รสารีบเดินตามไป

รสานั่งรออยู่ที่ห้องผ่าตัดเล็ก ทันใดนั้นมีแก้วน้ำยื่นมาให้ตรงหน้า รสามองด้วยความแปลกใจ พอมองไปตามมือเห็นภคพงษ์ยืนอยู่
“เอ่อ... ขอบคุณค่ะ”
ภคพงษ์นั่งลงข้างๆแล้วถาม
“หมอว่ายังไงบ้าง”
“เสียเลือดมาก แต่โชคดีที่แผลไม่ใหญ่ หลังจากเย็บแผลแล้ว อาจจะต้องตรวจสมองอีกที”
ภคพงษ์พยักหน้ารับรู้
“คุณจะกลับไปก่อนก็ได้นะคะ ที่นี่คงไม่มีอะไรมากแล้ว ดิฉันจัดการเอง”
“ไม่เป็นไร..ผมอยากอยู่จนแน่ใจว่าทุกอย่างเรียบร้อย”
รสามองหน้าภคพงษ์ด้วยความแปลกใจ ภคพงษ์มองเข้าไปในห้องผ่าตัดด้วยแววตานิ่งๆ แต่รู้ว่าจริงจัง และรอคอยด้วยความเป็นห่วงจากใจจริง

รสารู้สึกแปลกใจกับท่าทีของภคพงษ์อย่างมาก

ในเวลาต่อมา หัวหน้าช่างเดินเข้ามาพร้อมกับ ลูกสาวของป้าอายุประมาณ13 - 14 ปี และลูกชายอายุประมาณ 7 ขวบ หัวหน้าช่างเดินตรงมาที่รสาแล้วยกมือไหว้รสากับภคพงษ์

“คุณรสาครับ..คุณภคพงษ์ ผมต้องขอโทษด้วยนะครับที่ไม่ได้อยู่ตอนเกิดเหตุ”
“พี่เค้าเป็นหัวหน้าช่างค่ะ”
ภคพงษ์พยักหน้ารับทราบอย่างไม่ถือตัว เด็กหญิงกับเด็กชายยืนอยู่ชะเง้อๆมองหาแม่ หน้าตาตื่นตระหนกตกใจ เด็กหญิงน้ำตาคลอๆ เด็กชายดึงเสื้อพี่สาวแล้วถาม
“พี่แวว...แม่อยู่ไหน แม่เป็นอะไรมากเปล่า”
ภคพงษ์หันไปทางเด็กสองคน
หัวหน้าช่างรีบแนะนำ
“เด็กสองคนนี้เป็นลูกของป้าหมายน่ะครับ พอรู้ข่าวจากคุณรสาผมก็ไปรีบรับมาเลย”
ภคพงษ์หันไปมองเด็กชายแล้วก็นึกถึงตัวเอง
“แม่อยู่ไหน แม่จะเจ็บมากมั้ย”
ภคพงษ์มองแล้วก็สงสาร แววตาอ่อนโยนลง ค่อยๆเดินมาหาเด็กชายและนั่งลงจนเสมอกัน รสามองภคพงษ์ด้วยความประหลาดใจ ภคพงษ์พูดกับเด็กอย่างอ่อนโยน
“คุณหมอกำลังพยายามช่วยคุณแม่อยู่นะครับ ไม่ต้องกลัวนะ”
เด็กชายมองหน้าภคพงษ์ แล้วก็รู้สึกได้ถึงความเป็นมิตร เด็กชายพยักหน้ารับ
“ครับ”
ภคพงษ์ยิ้มนิดๆ แล้วก็จับศรีษะเด็กชายเป็นการปลอบใจด้วยความเอ็นดู และเข้าใจในความรู้สึก รสามองมองแล้วก็อึ้งไป ... แปลก ประหลาดใจและคิดไม่ถึงว่า ภคพงษ์จะมีมุมนี้เหมือนกัน
ที่หน้าห้องผ่าตัด หมอเดินออกมา ทุกคนหันไป หมอพูดขึ้นด้วยความสบายใจ
“คนไข้ปลอดภัยดีแล้วนะครับ นอนพักผ่อนอีกไม่นานน่าจะออกจากโรงพยาบาลได้”
ลูกสาวปาดน้ำตา หัวหน้าช่างฟังด้วยความโล่งใจ รสายิ้มรับนิดๆ โล่งอก แล้วก็หันมาทางลูกชายป้า ลูกชายป้ายิ้มกว้าง แล้วหันมายิ้มให้ภคพงษ์ที่ยิ้มรับอย่างอ่อนโยน รสารีบหลบตาไปทางอื่น ภคพงษ์ยิ้มนิดๆ เข้าใจความคิดของรสาทันที

ป้าคนงานนอนอยู่บนเตียงในห้องพักรวมอย่างดี ลูกนั่งประกบสองด้าน รสา ภคพงษ์ และหัวหน้าช่างยืนคุยกันอยู่ที่หน้าห้อง
“ค่ารักษาพยาบาล ผมจะเป็นคนดูแลเอง”
หัวหน้ายกมือไหว้
“ขอบคุณมากครับ ขอบคุณมากๆ ผมต้องขอโทษอีกครั้งนะครับ ที่ทำให้คุณรสากับคุณภคพงษ์ต้องวุ่นวาย”
“ไม่เป็นไร อุบัติเหตุผมเข้าใจ”
หัวหน้ายิ้มรับด้วยความโล่งอกแล้วก็มองภคพงษ์ด้วยความชื่นชมในน้ำใจ รสาลอบมองภคพงษ์ แววตาที่เคยตั้งแง่ลดลง แล้วก็อมยิ้มนิดๆ

บริเวณหน้าโรงพยาบาล เปลี่ยนขับรถภคพงษ์เข้ามาจอดเทียบ ภคพงษ์เดินออกมาพร้อมกับรสา
“ผมให้เปลี่ยนเก็บของของคุณมาจากเรือนหลังเล็กเรียบร้อยแล้ว เดี๋ยวผมจะไปส่งคุณที่บ้าน”
รสาชะงักบอก
“ไม่เป็นไรค่ะ ดิฉันกลับเองได้”
“ผมรู้”
”งั้น..ดิฉันกลับเองนะคะ”
“ไม่ได้”
“อ้าว”
เปลี่ยนเดินมา ภคพงษ์หันมาส่งกุญแจรถตู้ให้
“รถจอดอยู่ที่ชั้น 2 นะ”
“ครับผม...ของคุณรสาอยู่ที่เบาะหลังรถคุณภัคนะครับ”
เปลี่ยนพูดจบแล้วก็รีบเดินไปเลย รสาหันมาทางภคพงษ์ที่เดินนำไปที่รถแล้ว
“คุณภัค คุณภัค คุณภคพงษ์”
ภคพงษ์ไม่หยุดเดิน รสาจำใจต้องเดินตามไป ภคพงษ์เดินไปที่ด้านคนนั่งแล้วก็เปิดประตูให้รสาพร้อมรอยยิ้มที่มุมปาก
“เชิญครับ”
“ไม่ว่ายังไง คุณก็จะต้องไปส่งดิฉันให้ได้ใช่มั้ยคะ”
ภคพงษ์ไม่ตอบแต่ยิ้ม และเปิดประตูรถให้กว้างขึ้น แทนคำตอบ รสามองแล้วก็จำใจต้องเข้าไปนั่งในรถด้วย
ความเหนื่อยใจที่จะเถียง ภคพงษ์ปิดประตูให้อย่างสุภาพและยิ้มนิดๆ
ตัดไป

ภคพงษ์ขับรถอยู่บนถนน หันมาถามรสา
“หิวหรือเปล่า”
“นิดหน่อยค่ะ แต่ดิฉันต้องกลับไปทานข้าวที่บ้านนะคะ เพราะป้าเตรียมอาหารไว้ให้แล้ว”
“คิดว่าผมจะชวนคุณทานข้าวหรือไงถึงได้รีบออกตัว”
รสาสะอึก)แล้วบอก
“ไม่ได้คิดแต่ต้องการแจ้งให้ทราบ”
“ผมรับทราบ”
ภคพงษ์พูดจบแล้วก็ขับรถไปต่อ รสาหันมามองอย่างงงๆ..ที่ไม่ต่อปากต่อคำต่อเหมือนเคย

บริเวณบ้าน อาภรณ์ส่งกุญแจให้ลูกค้าชาวเอเชีย
“แท้งค์กิ้ว แอนด์ กู้ดไนท์ นะคะ”
นักท่องเที่ยวรับกุญแจมา โค้งรับแล้วก็เดินไปที่ห้องพัก
รถภคพงษ์แล่นเข้ามาจอด อาภรณ์หันไปดูด้วยความแปลกใจ
“รถใคร”
รสาเปิดประตูลงมาจากรถ อาภรณ์แปลกใจ
“อ้าว รสนี่ แล้วมากับใคร”
ภคพงษ์ลงมาจากรถอีกด้าน อาภรณ์อึ้งไปเล็กน้อย
“รส....มากับผู้ชาย”
อาภรณ์เผลอหลุดปากออกมากับตัวเองไม่ดังมาก แต่อึ้งมากกว่า
ภคพงษ์ยกมือไหว้อาภรณ์อย่างนอบน้อม
“สวัสดีครับ”
อาภรณ์ยิ้มพร้อมกับรับไหว้มองภคพงษ์ด้วยแววตาชื่นชม

“สวัสีดีจ้า นึกไม่ถึงนะคะว่าเจ้านายรสจะหน้าตาดีขนาดนี้ หน้าตาแบบนี้ไปเป็นพระเอกละครได้สบายๆเลยนะคะเนี่ย”

ภายในห้องทำงาน ภคพงษ์นั่งตรวจแบบเครื่องเพชรอย่างตั้งใจ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ชื่อที่หน้าจอขึ้นชื่อ “แพต”
ภคพงษ์มองด้วยสายตาเย็นชา และดึงสายตากลับมาทำงานต่อ ไม่สนใจโทรศัพท์ที่ดังอยู่

พักตร์วิมลวางสายไปด้วยความหงุดหงิด
“ทำไมภัคไม่รับสาย”
คิดแล้วก็กดข้อความส่งไป “เย็นนี้แพตว่าง ไปทานข้าวกันนะคะ”

หลังส่งข้อความไปแล้วก็คิดว่า ภคพงษ์จะติดต่อกลับมาหรือเปล่า? 

[ต่อจากตอนที่แล้ว]

รสาสะดุ้งนิดๆ กิริยาเขินๆ ที่อาภรณ์ออกอาการปลื้มมากมาย ภคพงษ์อมยิ้มหน่อยๆ รสารีบหันมาทางอาภรณ์ ตัดบท เปลี่ยนเรื่องทันที

“ป้าคะ รสหิวแล้ว ขอไปทานข้าวก่อนนะคะ”
“อ้าว...ทานตอนนี้เลยเหรอ แล้วคุณ...”
รสาหันมาทางภคพงษ์และพูดอย่างสุภาพ
“ขอบคุณมากนะคะที่มาส่ง”
รสากำลังจะหันหลังเดินเข้าบ้านไป ภคพงษ์พูดดักขึ้น
“ผมก็หิวเหมือนกันจะขอทานข้าวด้วยคนจะได้หรือเปล่า”
รสาชะงักกึก อาภรณ์รีบตอบแทนรสา
“ได้สิคะ...ป้าทำกับข้าวไว้เผื่ออยู่แล้ว เชิญทานได้ตามสบายเลยค่ะ”
ภคพงษ์ยิ้ม รสาหันมาพูดเสริม
“แต่อาหารที่มีเป็นอาหารธรรมดาๆนะคะ มีแค่ไข่พะโล้กับผัดผัก ไม่แน่ใจว่าคุณจะทานได้หรือเปล่า”
“ผมทานได้”
ภคพงษ์ตอบอย่างสุภาพและไม่ถือตัว อาภรณ์ยิ่งยิ้มปลาบปลื้ม รสาแอบอึดอัดใจ....มามุกไหนเนี่ย

ถ้วยไข่พะโล้ และผัดผักถูกจัดวางที่โต๊ะ ข้าวสองจานของรสาและภคพงษ์
“แน่ใจนะคะว่าทานได้”
ภคพงษ์ไม่ตอบแต่ตักไข่พะโล้มาใส่จานและตักเข้าปาก เคี้ยวด้วยความพอใจ และหันมาชมอาภรณ์ด้วยความ
จริงใจ
“อร่อยมากครับ”
อาภรณ์ยิ้มกว้างบอก
“อร่อยก็ทานเยอะๆนะคะ ... อ้อๆ จะเอากลับบ้านไปด้วยก็ได้นะคะ เดี๋ยวป้าตักใส่ถุงให้”
“ป้า...” ยังไม่ทันที่รสาจะบอกว่าไม่ต้อง ภคพงษ์ก็พูดแทรกขึ้น
“ขอบคุณมากเลยครับ”
“งั้นเดี๋ยวป้าไปตักมาให้นะ รอแป๊บนะคะ”
อาภรณ์รีบเดินไปด้วยความกุลีกุจอ รสามองตามอาภรณ์ไปแบบงงๆ ภคพงษ์พูดขึ้น
“เลิกงง..แล้วก็ทานข้าวได้แล้ว”
ภคพงษ์ตักอาหารให้รสา
“ขอบคุณค่ะ”
รสาหยิบช้อนมาเตรียมจะกิน แต่ไม่วายลอบมองภคพงษ์ที่นั่งอยู่ตรงหน้าด้วยความแปลกใจกับท่าทีที่แสนจะ
ธรรมดาของภคพงษ์ และยังไม่อยากเชื่อว่าเขาจะมีมุมเรียบง่ายแบบนี้
ภคพงษ์นั่งทานข้าวอย่างสุภาพ เรียบง่าย และเป็นกันเอง ภคพงษ์รู้สึกว่า โดนมองก็เงยหน้าขึ้น สองคนสบตา
กัน รสารีบก้มหน้าทำเป็นกินข้าวต่อไปแบบไม่สนใจ ภคพงษ์อมยิ้มนิดๆ ที่รสาทำเป็นฟอร์มไม่สนใจ ภคพงษ์มองรสาแล้วก็ยิ้มมีความสุขแบบแปลกๆ ความสุขลึกๆที่เขาเองก็เพิ่งจะได้เคยสัมผัส

ในเวลาต่อมา อาภรณ์ส่งถุงไข่พะโล้ให้ภคพงษ์
“นี่ค่ะคุณ..ทานให้อร่อยนะคะ”
ภคพงษ์รับมาพร้อมรอยยิ้ม
“ขอบคุณครับ”
อาภรณ์และรสายืนส่งภคพงษ์ที่หน้าบ้าน
“ป้าต้องฝากคุณภคพงษ์ดูแลรสาด้วยนะคะ”
รสาสะดุ้งพูดแล้วเบาๆ
ป้า...คุณภคพงษ์เค้าเป็นเจ้านายรสนะคะ จะมาดูแลได้ยังไง”
“อ้าว..ก็รสชอบทำงานเพลินจนลืมกินข้าวกินปลา โรคกระเพาะก็เป็นๆหายๆ ไม่ยอมไปหาหมอสักที ป้าบอกตั้งหลายครั้งแล้ว ก็เอาแต่ห่วงงาน ตะบี้ตะบันทำแต่งาน นอนก็ดึก ตื่นก็เช้า”
รสาคอยสะกิดอาภรณ์ให้หยุดพูดเพราะอาย แต่อาภรณ์ไม่รู้ตัวยังพูดต่อ
“ป้าก็เลยอยากจะฝากให้คุณภคพงษ์เห็นใจ อย่าใช้งานรสหนักนักไงลูก ไม่ดีเหรอ”
“ป้าคะ แต่งานก็คืองานนะคะ คุณภคพงษ์เค้าเป็นลูกค้า มีสิทธิ์ใช้งานรสเต็มที่ค่ะ ป้าจะเอาไข่พะโล้ไปติดสินบนแบบนี้ไม่ได้นะคะ”
รสาพูดทีเล่นทีจริง อาภรณ์หน้าเสียนิดๆ ภคพงษ์พูดขึ้น
“ได้ครับ...ผมจะดูแลรสาอย่างดี”
รสาหันมามองหน้าภคพงษ์ที่ยิ้มให้อาภรณ์ เป็นการรับปากอย่างมั่นเหมาะ
“ขอบใจมากนะคะ ป้ามีหลานคนเดียวก็เลยเป็นห่วงมากหน่อย ขอบใจที่คุณเข้าใจ”
“ผมขอตัวกลับก่อนนะครับ ขอบคุณสำหรับอาหาร สวัสดีครับ” ภคพงษ์ยกมือไหว้
อาภรณ์รับไหว้หน้าบาน
“สวัสดีจ้ะ”
ภคพงษ์หันมาทางรสา
“พรุ่งนี้ผมจะให้เปลี่ยนมารับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ดิฉันไปเองได้”
“ผมทราบ แต่ผมรับปากกับป้าคุณไว้แล้ว ผมต้องดูแลคุณอย่างดีที่สุด...หวังว่าคุณจะเข้าใจ”
รสามองหน้าภคพงษ์แล้วก็หันมามองหน้าอาภรณ์ที่ยิ้มอย่างพอใจ รสาจำใจต้องยอมรับไม่โต้แย้ง ภคพงษ์ยิ้ม
นิดๆ หันมาทางอาภรณ์
“ผมกลับก่อนนะครับ”
“จ้า...ขับรถดีๆนะ ว่างๆก็แวะมาเที่ยวใหม่นะ”
“ป้า”
ภคพงษ์ยิ้มรับรีบตอบทันที
“ครับ”
ภคพงษ์เดินไปขึ้นรถ ลับหลังภคพงษ์ อาภรณ์คว้ามือรสาถามด้วยความอยากรู้ทันที
“มีอะไรจะเล่าให้ป้าฟังหรือเปล่า”
รสานั่งลงพร้อมกับพูดด้วยความสบายใจ
“ไม่มีค่ะ”
อาภรณ์มองแล้วก็เลิกคิ้วอย่างไม่เชื่อ
“ไม่มีได้ยังไง นี่ผู้ชายเค้าอุตส่าห์ขับรถมาส่งถึงบ้าน ขอทานข้าวด้วย แล้วยังรับปากเป็นมั่นเหมาะว่าจะดูแลเราอย่างดี แบบนี้ยังไม่มีอะไรอีกเหรอ”
“ไม่มีจริงๆค่ะ...ทุกอย่างที่ป้าภรณ์เห็น เป็นนิสัยปกติของคุณภคพงษ์ เขาทำแบบนี้กับทุกคนค่ะ”
“จริงเหรอ”
“จริงค่ะ ขนาดคนงานที่มาซ่อมแซมบ้านประสบอุบัติเหตุ เค้าก็ดูแลอย่างดี ขับรถมาส่งถึงโรงพยาบาล จัดห้องพัก และรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด”
รสามองหน้าอาภรณ์แล้วก็พูดด้วยความมั่นใจ
“เค้าทำดีแบบนี้กับทุกคนค่ะ ไม่ได้มีอะไรพิเศษจริงๆค่ะ”
รสาพูดตามที่เห็นและคิดจากความเป็นจริง อาภรณ์มองแล้วก็คิดตามประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมา
อาภรณ์เชื่อว่ามันมีอะไรพิเศษมากกว่านั้นจริงๆ

ส่วนภคพงษ์ขับรถอยู่บนถนนที่ไม่วุ่นวาย บรรยากาศรอบข้างดูเงียบเหงา หนุ่มรูปงามค่อยๆ หันมามองถุงไข่พะโล้ที่วางอยู่ข้างๆ แล้วก็ยิ้ม คิดถึงตอนนั่งกินข้าวบนโต๊ะเล็กๆ กับรสาที่บ้านป้าอาภรณ์แว่บเข้ามา

ภคพงษ์ยิ้มนิดๆ รู้สึกสุขใจลึกๆ อย่างประหลาด

ตรงบริเวณริมหาดบ้านพร้อม ทะเลสงบ สวยงาม พร้อมทำสวนอยู่ห้าว

“ห้าว เดี๋ยวที่เหลือข้าทำต่อเอง เอ็งไปส่งพิมที่โรงเรียนได้แล้ว”
“พิมบอกว่าวันนี้ไม่ต้องไปส่งจ้ะ”
“อ้าว...ไม่ต้องไปส่งแล้วจะไปยังไง”
ห้าวยังไม่ทันตอบ รถวาริชแล่นเข้ามาจอดเทียบที่หน้าบ้าน พร้อมหันไปมอง พอเห็นเป็นรถวาริชก็ชักสีหน้า
“อ้อ... สารถีใหม่ รีบเสนอหน้ามาแต่เช้า จะดูสิว่ามันจะทำดีไปได้สักกี่น้ำ”
พร้อมเบือนหน้าหนี วาริชเดินเข้ามาหาพร้อมและห้าว
“สวัสดีครับ”
พร้อมหันหน้าหนี ไม่รับไหว้แล้วก็ไม่ตอบโต้
“ไอ้ห้าว ยกต้นไม้ตรงนี้ไปไว้หน้าบ้านไป วางไว้ตรงนี้มันรกหูรกตา”
วาริชชะงักรีบเอามือลง ชักสีหน้านิดๆ ห้าวรับคำ
“จ้ะ”
ห้าวยกกระถางต้นไม้ไปไว้ที่หน้าบ้าน
พิมพรรณแต่งตัวเสร็จก็รีบชะโงกหน้าออกไปมองที่หน้าบ้าน เห็นวาริชยืนอยู่กับพร้อมก็รีบหยิบกระเป๋าเดินออกไปจากห้องนอนทันที

พร้อมขุดดินจัดสวนทำเป็นไม่สนใจเหมือนไม่มีวาริชยืนอยู่ วาริชยืนเก้อๆ แล้วก็ชวนคุยขึ้น
“คุณอาจัดสวนเองแบบนี้ไม่เหนื่อยแย่เหรอครับ ผมว่าจ้างคนอื่นมาทำดีกว่านะครับ หรือถ้าคุณอาอยากจะจัดสวนใหม่ บอกผมได้เลยนะครับ ผมมีเพื่อนรับจัดสวนฝีมือเยี่ยม ราคากันเอง ถ้าคุณอาสนใจผมเรียกมาพรุ่งนี้ได้เลย”
พร้อมหันมามองด้วยความหมั่นไส้
“ฝีมือเยี่ยมแค่ไหน ก็ไม่สนใจ อยากทำเอง มีปัญหาอะไรหรือเปล่า”
วาริชสะอึกพูดไม่ออก
พิมพรรณส่งเสียงเรียกและรีบเดินมาหา
“วาริช”
วาริชยืนทำหน้าเจื่อนๆ ยิ้มเซ็งๆให้ พิมพรรณมองอย่างงงๆ
“มีอะไรหรือเปล่าคะ”
พร้อมไม่ตอบยังคงหันหลังไปทำสวนต่อ วาริชตัดบท
“ไม่มีอะไร ผมว่าเรารีบไปกันดีกว่าก่อนจะสาย”
“จ้ะ พ่อจ๋า..พิมไปก่อนนะ สวัสดีจ้ะ”
พิมพรรณยกมือไหว้อย่างอารมณ์ดี พร้อมพยักหน้ารับ
“อื้อ...แล้วเย็นนี้ไม่ต้องให้คนอื่นมาส่งนะ จะให้ห้าวมันไปรับ”
วาริชชะงัก พิมพรรณมองหน้าวาริชแล้วก็หันมารับคำกับพร้อม
“ได้จ้ะ ไปกันเถอะค่ะ”
วาริชยกมือไหว้ด้วยอย่างจำใจ
“สวัสดีครับ”
พร้อมปรายตามามองนิดๆแล้วก็ไม่สนใจ วาริชยกมือเก้อแล้วก็ค่อยๆเอามือลง พิมพรรณมองด้วยความ
สงสาร

ห้าวกำลังเรียงกระถางต้นไม้อยู่ที่หน้าบ้าน ข้างๆเห็นรถวาริชจอดอยู่ ระหว่างห้าวและวาริชมีแนวต้นไม้กั้นอยู่
วาริชเดินมากับพิมพรรณ
“ผมว่าพ่อพิมไม่ค่อยชอบขี้หน้าผมเท่าไหร่”
“ปกติไม่ค่อยมีผู้ชายมารับมาส่งพิม พ่อคงยังไม่ชินน่ะค่ะ ให้เวลาพ่อหน่อยนะคะ”
“ได้สิครับ พ่อพิมก็เหมือนพ่อผม ผมต้องเคารพนับถือและให้เกียรติท่านเสมอ”
ห้าวได้ยินก็ส่ายหน้าบ่นๆ
“ไอ้หมอนี่ มันหวานจริงๆ”
วาริชคิดแล้วก็ถามขึ้น
“เอ้อ พิม ผมมีเรื่องนึงที่สงสัย”
“คะ”
“เรื่องของ..รสาน่ะ”
ห้าวชะงักกึก รีบเงี่ยหูฟัง
“พิมบอกว่าเค้าเป็นลูกบุญธรรมของพ่อแม่ แล้วได้จดทะเบียนเป็นเรื่องเป็นราวถูกต้องตามกฎหมาย หรือว่ารับแบบปากเปล่า รู้กันเองในครอบครัว”
“จดทะเบียนถูกต้องทุกอย่างจ้ะ”
“แล้ว..รสเค้าได้เข้ามาดูแลเรื่องงานที่รีสอร์ตหรือเปล่า”
“ไม่หรอก..แค่งานตัวเองก็ยุ่งจะแย่อยู่แล้ว .. วาริชถามทำไมเหรอ”
“ไม่มีอะไร..ก็แค่อยากรู้เฉยๆ เชิญจ้ะ”
วาริชเปิดประตูให้
“ขอบคุณค่ะ”
พิมพรรณเข้าไปนั่ง วาริชปิดประตูแล้วก็คิดนิดๆ กับเรื่องที่เพิ่งคุยไป ก่อนจะเดินมาประจำที่คนขับ
ห้าวได้ยินก็ครุ่นคิดและเริ่มไม่วางใจวาริชมากขึ้น

ชีวินนั่งคุยงานเกี่ยวกับแบบสวนที่ปรากฏอยู่ในจอคอมพิวเตอร์กับรสาบนโต๊ะกินข้าวที่บ้านอาภรณ์ ซึ่งเป็นมุมประจำของทั้งสองคน
“แบบสวนที่เรากับพี่พิทตี้เคาะแล้ว รสมีอะไรเพิ่มเติมหรือเปล่า”
“ไม่มีจ้ะ .. แค่นี้รสว่ามันก็งามเลิศแล้วนะ ลงตัวไม่มากไป ไม่น้อยไป แล้วก็เข้ากับตัวบ้านที่กำลังปรับปรุงด้วย”
“โอเค...ถ้ารสว่าดี วินก็ว่าดีจ้ะ เออ...แล้วเราสองคนว่าดี รสว่าคุณภคพงษ์เค้าจะว่ามันดีด้วยหรือเปล่า”
อาภรณ์เดินเข้ามาได้ยินพอดี
“คุณภคพงษ์..ที่ชอบกินไข่พะโล้ใช่มั้ย”
ชีวินหันมามองอาภรณ์ด้วยความแปลกใจ
“ไข่พะโล้”
“ใช่..ก็วันก่อน คุณภคพงษ์เค้าแวะมาส่งรสที่นี่ แล้วก็เลยขอกินข้าวด้วย วันนั้นป้าทำไข่พะโล้ คุณเค้ากินใหญ่เลย ป้ายังตักใส่ถุงกลับบ้านไปให้ด้วยนะ”
ชีวินหันมามองรสาที่ยิ้มรับนิดๆ แต่ไม่ได้พูดอะไรต่อ ชีวินคิดหนัก


ในเวลาต่อมา รสาเดินมาส่งชีวินที่รถ
“รสไม่เห็นบอกวินเลยว่าภคพงษ์มากินข้าวที่นี่”
“ก็..รสไม่เห็นว่ามันสำคัญ”
“มันอาจจะไม่สำคัญ แต่มันแปลกมากนะ”
“แปลกยังไง”
“คนอย่างภคพงษ์มาที่นี่ มานั่งกินข้าวไข่พะโล้ รสไม่คิดว่ามันแปลกเหรอ”
“มันก็แปลก แต่..เค้าก็ชอบทำอะไรแปลกๆอยู่แล้วนี่”
“รสไม่คิดว่าเค้าทำดีกับรสเกินไปเหรอ”
“ไม่หรอก .. เค้าก็ดีแบบนี้กับทุกคน”
ชีวินมองหน้ารสา
“ดี รสคิดว่าเค้าเป็นคนดีแล้วเหรอ ก่อนหน้านี้ยังไม่ชอบหน้าเค้าอยู่เลย อยากจะรีบทำงานให้มันจบๆ ... แต่ตอนนี้รสคิดว่าเค้าเป็นคนดี”
รสาชะงักเล็กน้อยแล้วก็รีบอธิบายต่อ
“ก็..คนเราก็ต้องมีทั้งดี ทั้งไม่ดี ตอนแรกรสก็อาจจะมองเห็นแต่ด้านที่ไม่ดี ตอนนี้ก็เริ่มจะเห็นด้านดีๆขึ้นมาบ้าง ก็เท่านั้นเอง” รสาตอบด้วยความจริงใจ
ชีวินฟังแล้วเริ่มคิดหนัก
“รสก็ระวังอย่ามองแต่ด้านดี จนลืมด้านที่ไม่ดีของเค้าก็แล้วกัน วินเตือนด้วยความเป็นห่วง”
ชีวินมองรสาด้วยความเป็นห่วง รสายิ้มรับนิดๆ
“จ๊ะ รสจะไม่ลืม” รสายิ้มรับความหวังดี
 
ชีวินมองรสาถึงแม้จะรับว่าไม่ลืม แต่ชีวินก็ยังคงหนักใจ และสังหรณ์ใจว่าต้องมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นในเร็ววัน

ตะวันทอแสง ตอนที่ 5 (ต่อ)

ปรางทิพย์และรัชนีเดินสำรวจรอบบริเวณมหาวิทยาลัยหรู ปรางทิพย์มองไปรอบๆด้วยความพอใจ
 
“ปรางชอบที่นี่ค่ะคุณแม่..ร่มรื่นดี น่าเรียน หลักสูตรก็น่าสนใจ”
“ดีจ้ะ แล้วปรางอยากไปดูที่อื่นอีกหรือเปล่า”
“วันนี้พอแค่นี้ก่อนดีกว่าค่ะ คุณแม่เหนื่อยพาปรางไปหลายที่แล้ว ปรางว่าเราไปหาอาหารอร่อยๆทานกันดีกว่านะคะ ปรางอ่านเจอร้านนึง น่าสนใจมากๆ ปรางคิดว่าคุณแม่น่าจะชอบ”
“ลองดู...แม่ก็อยากรู้ว่าลูกสาวจะรู้ใจแม่จริงหรือเปล่า”
“ได้เลยค่ะ เรื่องรู้ใจคุณพ่อคุณแม่ ปรางไม่เคยพลาดอยู่แล้ว”
ปรางทิพย์ยิ้มมั่นใจ รัชนียิ้มอย่างมีความสุข

ภายในร้านอาหาร รัชนีตักอาหารเข้าปาก และเคี้ยวอย่างพิจารณา ปรางทิพย์นั่งลุ้นอยู่ตรงข้าม
“เป็นยังไงบ้างคะ คุณแม่ชอบหรือเปล่า”
รัชนีมองหน้าปรางทิพย์แล้วทำหน้านิ่งๆ ปรางทิพย์ลุ้น
“อร่อยมากจ้ะ”
“เย้ !เห็นมั้ยคะ คุณแม่ชอบจริงๆด้วย ปรางเดาไว้ไม่มีผิด”
“จ้า...ลูกสาวคนเก่งของแม่”
สองคนแม่ลูกนั่งกินข้าวกันอย่างมีความสุข สักพักก็มีครอบครัวหนึ่งเดินเข้ามานั่งข้างๆ มีพ่อแม่ลูกอีก ๓ คน ลูกสามคนแกล้ง แย่งเก้าอี้กันเล่น ส่งเสียงหัวเราะคึกคัก
ปรางทิพย์หันไปมองนิดๆ แล้วก็เปรยๆขึ้นมา
“น่าเสียดายจังเลยนะคะที่คุณแม่มีปรางเป็นลูกแค่คนเดียว”
รัชนีสะดุด ใจหายวาบ ปมในใจโดนสะกิดโดยคนพูดไม่รู้ตัว
“ทำไม..ปรางพูดแบบนั้นล่ะลูก”
“บางที..ปรางก็อยากมีพี่ มีน้องกับเค้าบ้าง...ถ้าเลือกได้ ขอเป็นพี่ดีกว่าค่ะ จะพี่สาวหรือพี่ชายก็ได้ ปรางจะได้มีเพื่อน”
รัชนีพยายามปลอบใจ
“ปรางก็มีคุณแม่เป็นเพื่อนอยู่แล้วไงลูก”
“ก็จริงค่ะ.. ไปไหนมาไหนก็มีแต่คนคิดว่าคุณแม่เป็นพี่สาว งั้น..ปรางไม่อยากมีพี่แล้วก็ได้ค่ะ มีคุณแม่คนเดียวก็พอ”
ปรางทิพย์ยิ้มสดใส รัชนียิ้มรับโล่งใจขึ้นมาหน่อย ทันใดนั้นปรางทิพย์ก็นึกขึ้นมาได้
“อ้อ..ปรางลืมบอกคุณแม่ ร้านเพชรที่ปรางมาซื้อของขวัญให้คุณพ่อ ร้านเถลิงยศจิวเวอรี่อยู่ที่ชั้นสามของห้างนี้นะคะ”
รัชนีอึ้งไป...ปรางทิพย์พูดต่อ
“ถ้าโชคดี เราอาจจะได้เจอกับเจ้าของร้าน คนที่ชื่อ ภคพงษ์ ก็ได้นะคะ”
รัชนีนิ่ง..งัน แล้วก็รวบช้อนทันที อิ่มโดยไม่รู้ตัว ปรางทิพย์มองด้วยความงุนงง
“อ้าว คุณแม่...อิ่มแล้วเหรอคะ”
รัชนียังอึ้งช็อกพูดอะไรไม่ออก

บริเวณหน้าห้างสรรพสินค้า ประตูห้างเลื่อนเปิดออก ภคพงษ์เดินเข้ามาอย่างเท่

ภายในร้านอาหาร รัชนีหยิบกระเป๋าเงินออกมา เตรียมจ่ายค่าอาหาร
“พอดีคุณแม่เพิ่งนึกได้ว่า มีธุระด่วนต้องรีบไปทำให้คุณพ่อน่ะจ้ะ”
ปรางทิพย์มองอาหารที่วางอยู่เต็มโต๊ะด้วยความเสียดาย
“คุณแม่ให้ทางร้านห่อกลับบ้านนะ เรากลับไปทานต่อกันที่บ้านดีกว่านะ คุณคะ...”
รัชนีรีบหยิบบัตรเครดิตออกมาเตรียมจ่าย ปรางทิพย์มองอาหารแล้วก็จำใจต้องวางช้อนอย่างว่านอนสอนง่าย
รัชนีเคาะบัตรเครดิตกับโต๊ะด้วยความร้อนใจ อยากจะรีบออกไปจากที่นี่

ภคพงษ์เดินอย่างสำรวม สุขุม ไม่รีบร้อน

บริเวณหน้าร้านอาหาร รัชนีเดินออกมากับปรางทิพย์ คนรถที่ยืนรออยู่รีบวิ่งเข้ามารับถุงอาหารไปถือ รัชนีรีบหันมาถาม
“รถจอดอยู่ที่ไหน”
“ชั้นสองครับ คุณท่านจะไปรอที่ประตูด้านไหนครับ”
“ไม่เป็นไร ไปที่รถเลยฉันไม่อยากรอ”
ปรางทิพย์หันมามองรัชนีด้วยความแปลกใจ
“ครับ”
คนขับรถเดินนำไป รัชนีรีบเดินตาม ปรางทิพย์เดินตามไปด้วยความงุนงง รัชนีเดินไปด้วยความร้อนใจ และ
สังหรณ์ใจแปลกๆ

ภคพงษ์เดินอยู่ที่มุมหนึ่งในห้าง รัชนี ปรางทิพย์เดินอยู่อีกมุมหนึ่ง ภคพงษ์เดินมาที่บันไดเลื่อนที่กำลังเลื่อนขึ้น
รัชนีเดินมาที่บันไดเลื่อนที่กำลังเลื่อนลง ปรางทิพย์ยืนอยู่ข้างๆ รัชนี ภคพงษ์ยืนอยู่บนบันไดเลื่อนที่เลื่อนขึ้นอย่างช้าๆ
ปรางทิพย์เหลือบมาเห็นว่ารองเท้าเชือกหลุดพอดี
“อุ้ย”
ปรางทิพย์ก้มลงผูกเชือกรองเท้า ในจังหวะที่ภคพงษ์เลื่อนสวนมาพอดี ....
รัชนีและภคพงษ์ค่อยๆสวนกันอย่างช้าๆ รัชนีไม่แม้แต่จะปรายตามามอง เพราะมัวแต่ร้อนใจและมุ่งออกไปจากห้างให้เร็วที่สุด แต่ภคพงษ์ปรายหางตามาเห็นพอดี...ภคพงษ์อึ้ง...ช็อก...ตัวเย็นวาบทำอะไรไม่ถูกไปในชั่วอึดใจ
บันไดเลื่อนยังคงเลื่อนต่อไป สองคนห่างออกจากกัน ปรางทิพย์ผูกเชือกรองเท้าเสร็จก็ลุกขึ้น บันไดเลื่อนลงมาถึงที่หมายพอดี รัชนีรีบเดินไป ปรางทิพย์รีบเดินตาม
บันไดเลื่อนภคพงษ์เพิ่งจะเคลื่อนมาถึง ภคพงษ์ก้าวขาลงจากบันไดเลื่อนด้วยอาการอึ้ง ๆ ไม่กล้าจะหันกลับไป
มอง ภคพงษ์ใช้เวลาทำใจหนึ่งขณะ ถึงจะค่อยๆหันมองลงไปที่ชั้นล่าง ไม่เห็นรัชนีแล้ว ชั้นล่างมีแต่วัยรุ่นเดินไปมา
ภคพงษ์ดึงสายตากลับมาคิดทบทวนอีกครั้ง แล้วก็ส่ายหน้านิดๆ เป็นไปไม่ได้ ภคพงษ์ปัดความคิดทิ้ง และเดินต่อไป
โทรศัพท์มือถือดังขึ้น ภคพงษ์หยิบมาดูชื่อ หน้าจอขึ้นชื่อ “แพต” ภคพงษ์กดทิ้งไม่รับ แล้วก็เดินไป


ภายในบ้านวงศ์เธียรประสิทธิ์ แฟ้ม 3-4 อันถูกวางบนโต๊ะทำงานสุวิทย์ รัชนีวางพร้อมกับอธิบาย
“รายละเอียดร้านจิวเวอรี่ที่น่าสนใจค่ะ”
สุวิทย์มองด้วยความแปลกใจแล้วถาม
“คุณเอามาให้ผมทำไม”
“รัชเห็นว่าคุณกำลังมองหาร้านจิวเวอรี่ที่จะส่งออก รัชก็เลยลองหาตัวเลือกอื่นๆมาให้.. ตัวเลือกอื่นที่ไม่ใช่... เถลิงยศจิวเวอรี่”
สุวิทย์ยิ้มและรับแฟ้มมา
“ขอบคุณมากนะ ผมนี่โชคดีจริงๆที่ได้ภรรยาอย่างคุณ ช่วยทั้งงานในบ้าน นอกบ้าน ขอบคุณจริงๆ”
รัชนียิ้มรับ
“แต่ผมก็ยังสนใจเถลิงยศจิวเวอรี่อยู่นะ ผมอยากลองร่วมงานกับคนหนุ่มรุ่นใหม่ไฟแรง ผมติดต่อผู้ช่วยคุณภคพงษ์ที่ชื่อคุณเผด็จได้แล้ว อีกไม่นานคงจะได้เจอกัน”
รัชนีหุบยิ้มหน้าเสียนิดๆ
“สำหรับร้านใหม่ที่คุณหามาให้.ผมก็จะลองติดต่อไป แล้วเราก็เลือกร้านที่ดีที่สุด”
รัชนีอึดอัดใจ อยากจะแย้งก็แย้งไม่ได้ ได้แต่รับคำแต่โดยดี
“ค่ะ”
รัชนีตอบสั้นๆ แล้วก็นั่งครุ่นคิดด้วยความหวาดหวั่น

ภายในห้องทำงาน ภคพงษ์กำลังคุยอยู่กับเผด็จ
“สุวิทย์ วงศ์เธียรสถิตย์”
“ครับ .. ทางเลขาเค้าติดต่อขอพบกับคุณภัค อยากคุยเรื่องการส่งออกเครื่องเพชรไปประเทศแถบอาหรับ”
“ผมขอทราบประวัติ ทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัวก่อนจะตัดสินใจ”
“ครับ”
เผด็จกำลังจะหันหลังเดินออกไป ภคพงษ์คิดแล้วก็เรียกขึ้น
“อาเผด็จ”
เผด็จหันมา ภาพที่เห็นเมื่อตอนกลางวันที่สวนกับรัชนีแว่บเข้ามาในความคิดของภคพงษ์ เผด็จถามด้วยความแปลกใจ
“คุณภัคเรียกผมมีอะไรครับ”
“เปล่า..ไม่มีอะไร ผมคงตาฝาดไปเอง”
ภคพงษ์พูดแค่นั้นแล้วก็หยุด เผด็จยิ้มรับอย่างงงๆ เล็กน้อย
“ครับ”
เผด็จเดินออกไป
 
ภคพงษ์พยายามตัดความคิดออกไปทั้งที่มันยากเต็มที

เย็นวันต่อมา ที่บริเวณตลาดระยอง ห้าวกำลังยกตะกร้าผักขึ้นรถ ก่อนจะหันเดินมาขึ้นประจำที่คนขับ ห้าวกำลังจะขับรถออกมา ทันใดนั้นสายตาก็ปราดไปเห็นวาริชเดินมากับผู้หญิงอีกคน ห้าวถึงกับเบรกรถเอี๊ยด!

“เฮ้ย”
ห้าวเพ่งมองไปข้างหน้าแล้วก็อึ้งที่เห็นวาริชเดินกับผู้หญิงอีกคน ทั้งสองคนเดินติดกันมาก คุยกันกระหนุงกระหนิงจนผิดปกติ วาริชและผู้หญิงเดินเข้าไปในร้านวิดีโอเกมส์
“นั่นมัน ... ไอ้วาริชนี่หว่า ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร”
ห้าวขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ

รสาถามด้วยความแปลกใจ
“พี่ห้าวแน่ใจนะว่าไม่ได้จำคนผิด”
ห้าวตอบอย่างมั่นใจ
“ไม่ผิดแน่ๆ ไอ้วาริชชัวร์ ไม่มีพลาด แต่ผู้หญิงนี่สิไม่รู้ว่าเป็นใคร”
รสาคิด พูดไป เก็บของไป
“ถ้ามองในแง่ดีอาจจะเป็นน้องสาวก็ได้”
ห้าวส่ายหน้า
“พี่ก็อยากจะมองแบบนั้น แต่ท่าทางที่มันเดินคุยกัน งุ๊งงิ๊ง งุ๊งงิ๊ง ดูยังไงก็ไม่ใช่พี่น้อง”
รสาคิดแล้วก็ถาม
“พี่ห้าวบอกพิมหรือยัง”
ห้าวหนักใจ
“ยัง...พี่รอให้รสมาก่อน”
“ได้ค่ะ ตอนนี้เก็บของแล้ว จะรีบไปอย่างด่วน”
ห้าวดีใจ
“ไม่เอาๆ ไม่ต้องด่วนมากค่อยๆขับรถ อย่าซิ่งมันอันตราย”
“จ้า”
“ขับรถดี ๆ นะรส แล้วเจอกัน”
ห้าววางสายไปแล้วยิ้มๆอย่างมีความสุข แต่พอนึกถึงเรื่องพิมพรรณแล้วก็เครียดขึ้นมา
“ยัยพิมเอ๊ย ไอ้วาริชนะไอ้วาริช”

โทรศัพท์ในบ้านภคพงษ์ดังขึ้น ปุยนุ่นเดินมารับ
“สวัสดีค่ะ ... อยู่ค่ะ”
ภคพงษ์เดินมาได้ยินพอดี ภคพงษ์หันไปมอง
“ค่ะๆ...สวัสดีค่ะ”
ปุยนุ่นวางสายไป ภคพงษ์หันมาถาม
“ใครโทร.มา”
“คุณพักตร์วิมลค่ะ เธอโทร.มาถามว่าคุณภัคอยู่บ้านหรือเปล่า ปุยก็เลยตอบไปว่าอยู่ค่ะ คุณแพตเลยบอกว่า ตอนนี้ใกล้จะถึงแล้ว ถ้าคุณภัคจะออกไปข้างนอกให้รีบโทร.บอกเธอด้วยค่ะ”
ภคพงษ์ถอนใจเบาๆ ปุยนุ่นหน้าเสีย จ๋อยๆไป
“เอ่อ คุณท่านคะ .. ปะ...ปุยพูดอะไรผิดหรือเปล่าคะ”
ภคพงษ์ไม่ตอบแล้วก็เบือนหน้าหนี พลันหันไปเห็นรถรสาแล่นมาที่หน้าบ้าน ภคพงษ์เพ่งมองแล้วก็เดินไป
ปุยนุ่นมองตามภคพงษ์แล้วก็บ่นกับตัวเองพลางตบปากตัวเองเป็นการสั่งสอน
“นังปุยเอ๊ย..ปากหาเรื่องอีกแล้ว”

รสาขับรถมาจอดที่หน้าบ้านแล้วรีบเดินลงจากรถพร้อมกับซองเอกสาร เปลี่ยนกำลังทำความสะอาดรถอยู่
“พี่เปลี่ยน”
เปลี่ยนหันมา “ครับ”
รสาเดินมาหาเปลี่ยนบอก
“รสฝากเอกสารให้คุณเผด็จด้วยนะคะ”
“ได้ครับ”
เปลี่ยนรับมาแล้วก็มองหาที่วาง แต่ไม่มีที่เหมาะ
“เดี๋ยวผมเอาไปเก็บข้างในก่อนนะครับ เย็นนี้คุณเผด็จมา ผมจะรีบเอาให้ทันทีเลยครับ”
“ขอบคุณค่ะ”
เปลี่ยนยิ้มรับแล้วก็รีบวิ่งเข้าไปในบ้าน รสารีบเดินกลับมาที่รถ

รสาเดินกลับไปที่รถ พลางเอื้อมมือจะเปิดประตู แต่ภคพงษ์เอื้อมมือเข้ามาจับประตูไว้ไม่ให้เปิด ภคพงษ์ยืนอยู่ในระยะประชิด รสาสะดุ้งนิดๆ
“ยังไม่หมดเวลางานจะรีบร้อนไปไหน”
รสาค่อยๆหันตัวออกห่างมาเล็กน้อย ภคพงษ์มองแล้วก็ยิ้มรู้สึกได้ถึงอาการหวงตัว
“ไประยองค่ะ พอดีมีเรื่องด่วนนิดหน่อย ต้องรีบออกไปก่อนรถติด แต่ฉันลางานกับพี่พิทตี้แล้วนะคะ”
“ผมไปด้วย”
รสาชะงักมองหน้าภคพงษ์อีกที
“คะ”
ภคพงษ์ยิ้มๆแล้วบอก
“ไปด้วยคนนะ “
รสามองหน้าภคพงษ์แล้วก็มองนาฬิกาและถาม
“คุณจะไปทำไมคะ”
รสาถามตรงๆ ด้วยความแปลกใจ ภคพงษ์เดินมาที่นั่งอีกฝั่งแล้วก็ตอบกวนๆ
“ผมอยากไปพักผ่อน”
รสาเลิกคิ้ว “ไปพักผ่อน”
ภคพงษ์พยักหน้าตอบ “ใช่”
“เอ่อ..แล้วเกี่ยวอะไรกับฉัน”
ภคพงษ์ยักไหล่“ไม่รู้เหมือนกัน”
“อ้าว...ไม่รู้แล้วจะไปเนี่ยนะ”
ภคพงษ์ยิ้มแล้วก็เปิดประตูเข้าไปนั่งในรถแทนคำตอบ รสาเหวอไปนิดๆ
“อ้าว...คุณ”
ภคพงษ์นั่งเนียนๆอยู่ในรถ รสารีบเปิดประตูเข้าไปในรถทันที ภคพงษ์ปรายตามามองนิดๆ รสานั่งอยู่ข้างๆ ประจำที่คนขับ
“ฉันถามอีกครั้ง...คุณจะไปกับฉันจริงเหรอคะ”
ภคพงษ์ไม่ตอบอีกตามเคย แต่หันไปดึงเข็มขัดนิรภัยมาคาด พร้อมกับกดล็อคประตู กรึก !
“มีธุระด่วน อยากรีบไปก่อนรถติดไม่ใช่เหรอ ผมพร้อมแล้ว”
รสาสะอึก..มองหน้าภคพงษ์ที่ยิ้มแอบกวนแบบดื้อตาใส รสาเห็นท่าว่าจะขัดใจไม่ได้ก็ตัดสินใจสรุป
“ก็ได้ค่ะ...ไปก็ได้ แต่ไปแล้ว ห้ามดื้อ ห้ามงอแง ถ้ามาร้องกลับกลางทาง ปล่อยให้กลับเอง ไม่มาส่งด้วย”
ภคพงษ์ทำเป็นถอนหายใจแล้วบ่นเปรยๆโดยไม่มองหน้า
“ใจดำ อุตส่าห์เคยขับรถไปส่งตั้งไกล”
รสามองหน้าแล้วก็พูดเสียงเข้ม
“ห้ามบ่น แล้วก็ห้ามทวงบุญคุณด้วย ถ้าพูดแล้วไม่ฟัง ยังเกเรฉันจะปล่อยคุณไว้บนทางด่วน”
รสาขู่ล่วงหน้าแล้วก็หันมาขับรถออกไป

ภคพงษ์แอบปรายตามามองรสาแล้วก็ยิ้ม

ในเวลาต่อมา ภายในบ้านเถลิงยศ พักตร์วิมลโวยวายลั่น

“ภัคไม่อยู่ เป็นไปได้ยังไง ก็เมื่อกี้แพตโทร.มาถาม ยังบอกว่าอยู่อยู่เลย”
ปุยนุ่นตอบเสียงสั่นงันงก
“เมื่อกี้อยู่ แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าคุณภัคหายไปไหนแล้วค่ะ ปุยนุ่นเดินดูทั่วบ้านแล้วก็ไม่เจอเลยค่ะ”
พักตร์วิมลส่ายหน้าด้วยความไม่ได้ดั่งใจแล้วก็หยิบโทรศัพท์มาโทร.ออกพลางบ่นเบาๆ
“ภัคนะภัค หายไปไหนของเค้า”
พักตร์วิมลกดโทร.ออก ทันใดนั้นโทรศัพท์มือถือของภคพงษ์ก็ดังขึ้น พักตร์วิมลชะงัก ปุยนุ่นหันซ้ายหันขวามองหาจนเห็นโทรศัพท์วางอยู่บนโต๊ะ
“โทรศัพท์คุณภัคอยู่นี่ค่ะ”
ปุยนุ่นรีบเดินไปหยิบมา พักตร์วิมลกดวางด้วยความหงุดหงิด
“ภัคออกไปข้างนอก ไม่เอามือถือไปเนี่ยนะ เป็นไปได้ยังไง”
พักตร์วิมลทั้งสงสัย ทั้งไม่พอใจ

บนถนน รถของรสาแล่นด้วยความชำนาญทางในความเร็วปานกลาง ปรายตามามองภคพงษ์ที่นั่งหลับอยู่ข้างๆ รสาส่ายหน้าเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่า คนที่นั่งอยู่ด้วยจะเป็นภคพงษ์ รถรสามุ่งหน้าออกจากกรุงเทพที่แสนวุ่นวาย

บริเวณทะเลหน้าหาดรีสอร์ตพร้อม ห้าวนั่งเล่นกีต้าร์ เสียงแกร๊งๆๆ ร้องเพลงโว้วโวไม่ได้เป็นเพลงไปเรื่อย พร้อมฟังแล้วรำคาญเขวี้ยงของใส่หล่นตรงหน้าห้าว ตุ้บ!
“โอ๊ย! อะไรเนี่ยลุงพร้อม”
“จะอะไร หนวกหูน่ะสิเว้ย โห...แหกปากลั่นยังกะควายจมน้ำทะเล”
“โห...หมดกัน”
“ไอ้ห้าว เย็นนี้ไปรับพิมด้วยนะ ข้าไม่อยากให้ไอ้หน้าหนวดมันมาส่ง”
“จ้ะ”
“เฮ่อ..ข้าล่ะหนักใจจริงๆ ไม่รู้จะพูดยังไง พิมถึงจะออกห่างจากไอ้หมอนี่ได้ ข้าไม่ไว้ใจมันจริงๆ รู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ ท่าทางมันกรุ้มกริ่มเจ้าชู้ยังไงบอกไม่ถูก”
ห้าวสะอึกนิดๆ พร้อมหันมาทางห้าวแล้วถาม
“เอ็งว่างั้นมั้ย”
ห้าวสะดุ้งทันที
“อ้าว...เอ่อ..ฉันก็ไม่แน่ใจ เอาไว้ถ้าฉันแน่ใจกว่านี้แล้วจะบอกนะจ้ะ...ตอนนี้ขอร้องเพลงก่อน”
ห้าวรีบเปลี่ยนเรื่องคว้ากีต้าร์มาจะเล่นต่อ พร้อมถามอีก
“อ้าว...เฮ้ย แล้วเมื่อไหร่แกจะแน่ใจหะไอ้ห้าว”
ห้าวไม่ตอบแต่ตีคอร์ดแหกปากโว้วโว... พร้อมหนวกหูจนต้องเอามืออุดเดินหนี
“โอ๊ย ไอ้นี่ ไอ้บ้าไปร้องในทะเล โน่นไป๊ หนวกหู”
ห้าวยังทำไม่รู้ไม่ชี้ จนพร้อมออกไปแล้วก็เลิกร้อง ถอนใจเฮือกอย่างหนักใจเรื่องพิมพรรณ

รถของรสาค่อยๆแล่นเข้าสู่ตัวเมืองระยอง ภคพงษ์รู้สึกตัวพลางถามเสียงงัวเงีย
“กี่โมงแล้ว”
รสาขับรถไปพลางเหลือบมาดูนาฬิกาก่อนจะตอบ
“ห้าโมงเย็น”
“หิวจัง”
รสาปรายตามามองนิดๆ ภคพงษ์พูดจบก็หันไปรื้อของที่เบาะหลัง
“คุณทำอะไร”
“ก็หิว ลองค้นๆดูเผื่อจะมีอะไรเหลือๆให้กินบ้าง”
ภคพงษ์หยิบรองเท้าส้นสูงที่วางอยู่แถวนั้นขึ้นมาดูแล้วถาม
“ใส่รองเท้าแบบนี้เป็นด้วยเหรอ”
รสาเหลือบมาเห็นก็รีบดึงมา
“เอามานี่...ซนจริงๆ ใครอนุญาตให้ค้นไม่ทราบ”
รสาดึงมาแล้วก็โยนกลับไปที่หลังรถ
“ในรถไม่มีอะไรให้คุณทานหรอกค่ะ อยากจะให้ฉันแวะพาคุณหาอะไรกินข้างทางใช่มั้ย”
“ขอบคุณครับ” ภคพงษ์ตอบรับหน้าตาเฉย
รสาส่ายหน้าบ่น
“คุณนี่ยุ่งจริงๆ ไม่น่าพามาด้วยเลย”
ภคพงษ์ได้ยินแล้วก็ตอบยิ้มๆ
“สายไปแล้ว”
ภคพงษ์หัวเราะเบาๆ ด้วยความพอใจแล้วก็เอามือประสานไว้ที่ต้นคอ นั่งอย่างสบายใจ รสาหันมามองแล้วก็ส่ายหน้าด้วยความหมั่นไส้


ตลาดระยองผู้คนเดินไปมาไม่วุ่นวายมาก รสายืนอยู่กับภคพงษ์ที่มองไปรอบๆด้วยท่าทางสบายอารมณ์แล้วสารภาพ
“ผมไม่มีอะไรติดตัวมาเลยนะ เงินสักบาทก็ไม่มี”
รสาหันมามองด้วยความไม่เชื่อ ภคพงษ์ยกมือขึ้น
“จริงๆ .. ไม่เชื่อค้นเลย”
“ไม่ค้น เพราะไม่มีเวลามาเล่นสนุก ถ้าคุณไม่มีเงินฉันออกให้ได้ แต่ห้ามกินของแพงนะฉันมีเงินไม่มาก” รสาเสียงเข้มเหมือนคุยกับเด็ก
“ไม่เป็นไร ตอนนี้ผมไม่ต้องการของแพง”
“ตอนนี้ หมายความว่าจะมีตอนต่อไปหรือไง”
ภคพงษ์ยิ้มขำ
“ก็ต้องมีสิ คุณคงไม่ได้ไปถึงระยองแล้วก็กลับคืนนี้ คุณต้องอยู่ค้าง ผมก็จะอยู่ค้างกับคุณ”
รสาผงะ “หะ”
“และถ้าจะให้ผมค้างช่วยซื้อเสื้อผ้าให้ซักชุดจะขอบคุณมาก”
“เสื้อผ้า”
“ใช่ เอาไว้เปลี่ยน แล้วก็...จ่ายเงินให้ด้วยนะ”
รสาผงะรอบสอง...มองหน้าภคพงษ์ยิ้มกวนปนทะเล้นนิดๆ เป็นภาพที่แปลกตารสาอย่างมาก รสาแอบอึ้งกับความน่ารักที่ทอประกายออกมาอย่างไม่ตั้งใจจนรสาต้องเบือนหน้าหนี แล้วก็บ่นๆ
“ก็ได้ แต่ห้ามแพงนะ”
“คุณมีเงินไม่มาก...ผมทราบครับ” ภคพงษ์พูดต่อเอง
รสามองตามอย่างแปลกใจและไม่ชิน
“อารมณ์ไหนของเค้านะ”
รสาส่ายหน้าแล้วก็เดินตามไป
รสากับภคพงษ์เดินอยู่ในตลาด มีคนหันมามองเป็นระยะๆ ทั้งสองคนดูหน้าตาดีโดดเด่นจาก
คนอื่นอย่างเห็นได้ชัด
 
ภคพงษ์เดินพลางลอบมองรสาด้วยความสุขใจอย่างประหลาด

บริเวณแผงเสื้อผ้าในตลาด ภคพงษ์เอื้อมมือมาเลือก เสื้อยืด กางเกงขาสั้นพร้อมกับหันมาบอกคนขาย

“เก็บเงินที่คุณผู้หญิงนะครับ”
รสาที่ยืนอยู่หน้าร้านถึงกับสะดุ้งนิดๆ คนขายหันมามองหน้ารสาที่จำใจต้องยิ้ม ภคพงษ์พูดจบก็เดินออกจากร้านไปกวนๆ
“เท่าไหร่คะ”
“เสื้อ 100 กางเกง 199 จ้ะ” คนขายบอก
รสาก้มหยิบเงิน คนขายพูดต่อด้วยสีหน้ายิ้มๆ แล้วหยิบเสื้อผ้าใส่ถุงไปด้วย
“แฟนหนูน่ารักจัง ยอมให้ถือเงินหมดเลย”
รสาสะดุดกึก คนขายพูดต่อ
“ผัวป้าไม่เห็นจะเป็นแบบนี้เลย มีเท่าไหร่ ไม่เคยกระเด็นมาถึงเมีย”
รสาวางเงิน 3 ร้อยบาทแล้วรีบพูดแก้
“เอ่อ..ป้าคะ คือเค้าไม่ใช่แฟนฉันหรอกจ้ะ แหะๆ นี่จ้ะ ไม่ต้องทอนนะจ๊ะ”
รสาคว้าถุงเสื้อผ้าที่ภคพงษ์ซื้อแล้วก็ยิ้มแห้งให้เจ้าของร้านก่อนจะเดินออกจากร้านมา

รสาเดินออกมาพร้อมกับถุงเสื้อผ้าแล้วมองหาภคพงษ์
“หายไปไหนของเค้านะ โทรศัพท์ก็ไม่มี”
รสายืนอยู่กลางตลาด มองกวาดสายตาไปรอบๆแล้วก็สะดุดกึกที่ร้านอาหารริมทะเล

ภคพงษ์นั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารริมทะเล เป็นร้านขนาดเล็กๆ บรรยากาศบ้านๆ ภคพงษ์นั่งอย่างสบายอารมณ์
เสียงของรสาโวยวายพร้อมกับวางถุงเสื้อผ้าลงบนโต๊ะ
“ฉันเกือบจะต้องไปโรงพักประกาศเด็กหลง”
ภคพงษ์เงยหน้ามองรสาอย่างกวนๆ
“ผมโตแล้วนะครับไม่ใช่เด็ก”
รสาชะโงกหน้ามอง
“เนี่ยนะคะ...โตแล้วนึกว่าเด็กสามขวบ”
ภคพงษ์ขำพลางส่งเสียงอ้อนพร้อมกับส่งรายการอาหารให้รสา
“ผมหิวแล้ว สั่งอะไรมาให้ทานหน่อย”
“ทำไมฉันต้องสั่งด้วย สั่งเองไม่เป็นหรือไง”
“เป็น แต่ไม่ได้จ่ายเงินเอง ไม่กล้าสั่ง กลัวแพง เดี๋ยวโดนดุ”
รสามองหน้าด้วยความมันเขี้ยว แล้วก็ดึงรายการอาหารมาดู
“ให้ฉันสั่งก็ต้องทานให้หมดด้วย ถ้าไม่หมดจะส่งไปล้างจานแทนค่าอาหาร”
พนักงานมารับรายการ รสาเปิดอ่านเมนูแล้วก็ทำหน้าเจ้าเล่ห์ก่อนจะเริ่มสั่ง
“ผัดเผ็ดทะเล ผัดฉ่าปลาหมึก หอยตลับผัดพริกแกง น้ำพริกนรกกุ้งเสียบ”
รสาแกล้งสั่งแต่ของเผ็ดด้วยความสะใจ กะว่าภคพงษ์กินไม่ได้แน่ๆ ภคพงษ์มองหน้ารสาอย่างรู้ทัน รสาปิดเมนูแล้วบอกพนักงาน
“แค่นี้ล่ะค่ะขอบคุณมาก … ฉันสั่งแต่ของที่ฉันชอบหวังว่าคุณจะทานได้”
พนักงานเดินไป รสาหันมาทางภคพงษ์ที่ยิ้มกวนอยู่ตรงหน้า

อาหารแต่ละจานที่รสาสั่ง สีแดงจัด บ่งบอกรสชาติว่า เผ็ดมากมาย น้ำในแก้วของรสาถูกดื่มจนหมด พนักงานเข้ามารีบรินให้ มือรสารีบคว้าน้ำมาดื่มต่อ หน้าแดงก่ำด้วยความเผ็ดของอาหาร ปากพองอย่างเห็นได้ชัด รสายกแก้วน้ำดื่มรวดเดียวหมด ภคพงษ์มองแล้วก็ยิ้มขำ รสาหันไปทางพนักงานสั่ง
“น้องเอาขวดน้ำวางไว้เลย เดี๋ยวเติมเอง”
รสาเทน้ำใส่แก้วอีกแล้วก็ยกดื่มอีก
“รู้ว่ากินเผ็ดไม่เก่งแล้วก็ยังสั่งแต่ของเผ็ดๆ”
รสาสะอึก
“แล้วคุณล่ะ ไม่เผ็ดหรือไง”
“ก็...นิดหน่อย น้อยก็ใครบางคน”
“ทำเป็นเก๊ก”
“ผมไม่ได้เก๊ก แต่ผมชอบทานเผ็ดจริงๆโดยเฉพาะตอนเรียนอยู่ที่อังกฤษ ผมทำอาหารเอง เผ็ดมากกว่านี้อีก แค่นี้...ระดับเด็กอนุบาล” ภคพงษ์ว่า
ภคพงษ์ตักอาหารที่ดูรสจัดเข้าปากแล้วก็เคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อยยั่วยวนกวนประสาท รสามองตาโตแล้วพาล
ที่แกล้งเค้าไม่สำเร็จ
“เก่งนัก ก็กินคนเดียวไปให้หมดเลยนะ ฉัน...กินไม่ไหวแล้ว”
รสาใช้มือพัดปากที่เริ่มพองด้วยความเผ็ด ภคพงษ์เปรยๆ
“นี่แหละน้า ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัว”
รสาหันหน้ามามองภคพงษ์ด้วยสายตาดุ
“ไม่ต้องทำตาดุใส่ผมหรอกน่า ตาก็โตอยู่แล้ว ยิ่งถลึงตาใส่ ยิ่งน่ากลัว”
รสาอึ้งที่โดนคอมเม้นต์ซึ่งๆ หน้าเลยค้อนใส่เบือนหน้าไปทางอื่น ภคพงษ์ยิ้มเอ็นดูก่อนจะใช้ช้อนกลางเขี่ยพริกออกจากตัวกุ้ง ปลาหมึก หอย และแยกไว้ในจานด้านที่ไม่เผ็ด รสามองพิจารณา ภคพงษ์ทำไปเงยหน้าพูดไป
“ผมแยกพริกออกให้แล้ว เผ็ดน้อยลงน่าจะทานได้ ทีหลังก็อย่าแกล้งคนอื่นจนตัวเองต้องลำบากอีกล่ะ”
รสาเห็นรอยยิ้มก็เชิดนิดๆแอบมีฟอร์ม ภคพงษ์พูดดัก
“ผมรู้ว่าคุณยังไม่อิ่ม เลิกฟอร์มแล้วก็ทานต่อซะ”
รสาชะงักนิดๆ ภคพงษ์ทำเป็นไม่มอง รสาก้มหน้ากินของตัวเองต่อไปอย่างไม่สะทกสะท้านต่อความเผ็ด รสามองๆเห็นภคพงษ์ไม่สนใจก็ตักกุ้ง ปลาหมึก ที่ภคพงษ์แยกไว้มากิน ภคพงษ์แอบๆมองแล้วก็อมยิ้ม
“ไม่ต้องมาทำเป็นยิ้มที่ฉันกินเพราะเสียดายของหรอกน่า มันแพง”
รสาทำเป็นฟอร์มงกแล้วทำเนียนกินต่อไป ภคพงษ์ส่ายหัวลอบมองเด็กดื้อ แววตาของภคพงษ์ดูอ่อนโยนและเป็นสุข

เผด็จยืนถือซองเอกสารที่รสาฝากไว้และถามด้วยความแปลกใจ
“คุณภัคหายตัวไป”
สายใจ ปุยนุ่น และเปลี่ยนยืนหน้าเสียอยู่ตรงหน้า
“ค่ะ นังปุยบอกว่าเห็นคุณหนูครั้งสุดท้ายตอนเที่ยง พอคุณพักตร์วิมลมาคุณหนูก็หายตัวไปเลยค่ะ” สายใจว่า
“มือถือก็ไม่ยอมเอาไปด้วยนะคะ” ปุยนุ่นรายงานเพิ่มเติม
“รถก็ไม่ได้เอาไปด้วยครับ ทั้งรถทั้งกุญแจอยู่ครบทุกคันเลยครับ” เปลี่ยนบอก
เผด็จคิด
“ถ้าคุณภัคไม่ได้เอารถไป ก็แสดงว่าต้องไปกับคนอื่น” เผด็จว่า
ปุยนุ่นสาระแนถามขึ้นทันที
“คนอื่น...ใครเหรอคะ”
ทันใดนั้นสายใจก็ฉุกคิดถึงรสา
 

“หรือว่า...”

ตะวันทอแสง ตอนที่ 5 (ต่อ)

ภายในร้านอาหาร รสาจ่ายเงินค่าอาหาร พนักงานรับเงินและเดินไป ภคพงษ์มองหน้ารสา

“เพื่อเป็นการตอบแทนที่เลี้ยงข้าว ผมจะทำตัวว่านอนสอนง่ายที่สุด ไม่ดื้อไม่ซนด้วย”
“พูดแล้วทำให้ได้ก็แล้วกัน”
“ถ้าทำไม่ได้ผมไม่พูด”
รสาอ้าปากจะสวน แต่เสียงโทรศัพท์รสาดังขึ้นพอดี ภคพงษ์เหลือบไปดู
“รีบไปได้แล้วมีคนโทร.มาตาม”
ภคพงษ์พูดจบก็ลุกไปเลย รสามองตามด้วยความแปลกใจแล้วก็หันมาดูโทรศัพท์หน้าจอขึ้นชื่อห้าว


ห้าวยืนคุยอยู่ที่ริมหาด
“รสใกล้ถึงหรือยัง พี่อึดอัดเรื่องพิมมากเลยบอกใครก็ไม่ได้ ลุงพร้อมก็ไล่พี่ให้ไปรับพิมที่โรงเรียน แต่พูดตรงๆพี่ก็ไม่อยากเจอพิม กลัวจะหลุดปากด่าไอ้วาริชและที่สำคัญถ้าพี่เจอหน้ามัน มีต่อยแน่”
ห้าวระบายออกด้วยความงุ่นง่าน รสาเดินออกมาที่หน้าร้านอาหาร พูดโทรศัพท์มองหาภคพงษ์ไปด้วย
“พี่ห้าวใจเย็น ฉันกำลังจะถึงแล้วจ้ะ ตอนนี้แวะกินข้าวอยู่ในตลาด เพิ่งอิ่ม ...หายไปไหนของเค้าอีกนะ”
ห้าวแปลกใจ
“หะ รสว่าไงนะ”
รสาหันไปเห็นภคพงษ์เดินอยู่ที่ถนนเล็กที่เต็มไปด้วยร้านขายของ ภคพงษ์หยุดซื้อขนมสายไหมแล้วก็ชี้มา
ทางรสาพลางชี้ไปที่ป้ายราคาทำนองว่าจ่ายให้ด้วย แล้วก็หันหลังเดินไปต่อ
“อะไรของเค้าเนี่ย”
“รสคุยกับใคร”
“ไม่มีอะไรจ้ะ”
รสารีบเดินตามไปจะจ่ายเงินค่าสายไหมแล้วคุยกับห้าวต่อ
“เอางี้นะพี่ห้าว บอกลุงว่าเดี๋ยวฉันไปรับพิมเอง พี่ห้าวรออยู่ที่บ้านนะ แล้วเจอกันจ้ะ”
รสารีบวางไป
รสาจ่ายเงินให้คนขายสายไหม
“นี่ค่ะ”
รสามองหาภคพงษ์ แล้วก็ต้องอึ้ง เพราะภคพงษ์กำลังเดินซื้อผลไม้ ซื้อไอติมไปตามทาง พร้อมกับชี้มาทางรสาทำนองว่าเก็บเงินกับคนนั้นนะครับพร้อมกับรอยยิ้มอ้อนๆ
“หะ คิดจะแกล้งฉันล่ะสิ”
รสาเตรียมจะเดินไปด่า เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมาอีก รสาแอบหงุดหงิดเล็กๆ
“ใครโทร.มาอีกเนี่ย”
รสารีบหยิบมาดูพอเห็นชื่อก็ชะงัก... “อุ๊ย ขอโทษค่ะ”

สายใจคุยโทรศัพท์ด้วยหน้าตายิ้มแย้มอย่างโล่งอก
“คุณหนูอยู่กับคุณรสา”
ปุยนุ่น เปลี่ยน เผด็จที่อยู่ด้วยกันพลอยโล่งอกไปด้วย สายใจรีบพูดต่อ
“แล้วคุณหนูเป็นยังไงบ้างคะ สบายดีหรือเปล่าคะ”
รสาหันไปมองเห็นภคพงษ์ยืนคุยกับแม่ค้าขายขนม แม่ค้าคุยไปหัวเราะไปยิ้มไปดูท่าทางจะมีความสุข
ได้คุยกับคนหล่อ รสาคุยไปก็จ่ายค่าผลไม้ไปแล้วตอบกลับสายใจไปทางโทรศัพท์ว่า
“ดีมากๆเลยล่ะค่ะ ป่วนรสาตั้งแต่กรุงเทพยันระยอง”
สายใจตาโต
“ระยอง นี่คุณหนูติดรถคุณรสาไปถึงระยองเลยเหรอคะ”
เผด็จ ปุยนุ่น เปลี่ยน อึ้งพอกัน
รสาคุยไปก็จ่ายค่าไอติมไปด้วย
“ใช่ค่ะ ดูท่าทางจะไม่ยอมกลับง่ายๆด้วยนะคะ”
สายใจรีบบอก
“อุ้ย ไม่ต้องรีบให้กลับมาหรอกค่ะ นานๆคุณหนูจะได้ไปเที่ยวต่างจังหวัด ปล่อยให้คุณหนูเที่ยวให้เต็มที่เถอะค่ะ ป้าก็ฝากคุณรสาดูแลคุณหนูด้วยนะคะ งั้นป้ารบกวนแค่นี้นะคะ”
สายใจวางไปเลยพร้อมรอยยิ้มพอใจ เผด็จ ปุยนุ่น และ เปลี่ยนยิ้มโล่งใจพอกัน สายใจหันมามองหน้าเผด็จแล้วทั้งสองคนก็ยิ้มให้กันนิดๆ เหมือนรู้ว่าต่างคนต่างคิดอะไรอยู่

รสาโวยใส่ภคพงษ์
“ไหนบอกว่าจะทำตัวว่านอนสอนง่าย ไม่ดื้อ ไม่...”
ยังไม่ทันจบภคพงษ์ก็เอาสับปะรดยัดปากรสา
“ผมซื้อมาให้ สับปะรดช่วยย่อยอาหาร หวานมั้ย” ภคพงษ์พูดพลางยื่นหน้ามากวนๆ
รสารีบเคี้ยวแล้วก็ตอบ
“สับปะรดน่ะหวาน แต่คุณน่ะกวนประสาท แล้วใครกันแน่ที่ซื้อ..ฉันเป็นคนจ่ายเงินนะ”
“แต่ผมเป็นคนเลือก ป้าคุณให้ผมดูแลคุณอย่างดี ผมต้องทำให้ตามที่รับปากไว้ ทานของคาวแล้วก็ต้องตามด้วยของหวาน แล้วก็ผลไม้ เห็นมั้ยว่าผมเป็นคนรักษาคำพูด” ภคพงษ์พูดพลางชูถุงผลไม้และขนมก่อนหันหลังเดินไปที่รถ
รสาเห็นรอยยิ้มภคพงษ์แล้วก็ใจอ่อนด่าไม่ออก แต่ก็ขอบ่นหน่อย
“คนอะไร แถไปเรื่อย”

รสาส่ายหน้าแล้วก็เดินไป ทำเป็นบ่นแต่ก็แอบใจอ่อนในความขี้อ้อนของภคพงษ์โดยไม่รู้ตัว

บริเวณหน้าโรงเรียนพิมพรรณเด็กทะยอยกลับเกือบหมด พิมพรรณยืนโทรศัพท์รออยู่ที่หน้าโรงเรียน วาริชเดินมา

“พิม”
“อ้าว มาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ พิมโทร.หาตั้งแต่เมื่อกลางวันแล้วไม่เห็นรับสาย”
วาริชยิ้มกลบเกลื่อนแล้วก็โกหก
“อ๋อ งานยุ่งน่ะ พอดีลูกค้าที่ร้านเกมส์เค้าเรื่องมาก ผมก็เลยต้องคุยกับเค้าเยอะหน่อย ไม่ได้รับโทรศัพท์”
พิมพรรณพยักหน้าเชื่อ
“พิมจะกลับหรือยังครับ ผมไปส่ง”
“เอ่อ...วันนี้รสบอกว่าจะมารับ ขอโทษด้วยนะคะ”
“ไม่เห็นต้องขอโทษเลยนี่ครับ รสมาก็ดีจะได้ชวนกันไปหาอะไรทานที่ตลาด แล้วนี่รสจะมาถึงหรือยังครับ”
วาริชถามด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม พิมพรรณยิ้มรับและหันไปเห็นรถของรสาแล่นเข้ามาพอดี
“นั่นไง รสมาแล้ว”

วาริชยื่นมือมาทักทายแบบฝรั่ง วาริชมองอย่างงงๆ
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
ภคพงษ์จับมือด้วยมารยาท มาดนิ่งอย่างถือตัว พิมพรรณรีบแนะนำ
“วาริชมาวางระบบคอมพ์ให้พี่โรงเรียนค่ะ”
ราริชมองภคพงษ์หัวจรดเท้าแล้วบอก
“เป็นธุรกิจส่วนตัว ทำผมเล่นๆ ระหว่างรอหาที่ทำรีสอร์ต แล้วคุณทำงานอะไครับ”
“คุณภัค”
รสาเห็นท่ามองของวาริชแล้วหมั่นไส้ กำลังจะแนะนำกะให้สำนึก แต่ยังไม่ทันพูดต่อ ภคพงษ์ก็พูดแทรกแนะนำตัวเอง
“ทำธุรกิจส่วนตัวเหมือนกันครับเป็นงานของครอบครัว เป็นธุรกิจเล็กๆน่ะครับ”
รสาชะงักหันมาทางภคพงษ์ ภคพงษ์มองตอบเป็นทำนองว่า ตอบแบบนี้ดีแล้ว วาริชหันมาโอบพิมพรรณ แสดงความเป็นเจ้าของเต็มที่
“ผมกับพิมเป็นแฟนกัน แล้วไม่ทราบว่าคุณกับรสาเป็นอะไรกันครับ”
รสาสะอึกรีบหันขวับไปทางวาริช
“เป็น...” รสายังพูดไม่จบ ภคพงษ์รีบตอบแทน
“เป็นเพื่อนกันครับ”
รสาหันขวับมาทางภคพงษ์ที่กำลังพูดต่อ
“แต่เป็นเพื่อนที่สนิทกันมากกว่าเพื่อนปกติ”
ภคพงษ์พูดพลางโอบไหล่รสาท่าเดียวกับที่วาริชโอบพิมพรรณ
พิมพรรณมองภคพงษ์โอบรสาแล้วก็อมยิ้ม ภคพงษ์ยิ้มรับ วาริชยิ้มโล่งใจ
“ดีเลยครับ พิมบอกว่ารสยังโสด ถ้ามีแฟนสักทีก็ดี พิมจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง”
รสาหันขวับมาทางวาริชถลึงตาใส่ แต่ยังไม่ทันจะได้ด่าอะไร วาริชก็ชิงพูดขึ้นก่อน
“ผมว่าเราไปหาอะไรทานที่ตลาดกันดีมั้ยครับ ผมเลี้ยงเอง”
รสายังไม่ได้จะได้ปฎิเสธ ภคพงษ์ก็สรุป
“ดีครับ”
พิมพรรณรีบสนับสนุนทันที
“งั้นพิมไปกับวาริช รสไปกับคุณภัคแล้วเจอกันที่ตลาดนะจ๊ะ ไปค่ะ”
พิมพรรณกับวาริชเดินกันไป คล้อยหลังสองคน รสารีบหันมาสะบัดมือภคพงษ์ออกจากไหล่ แล้วก็โวย
“ใครเป็นเพื่อนคุณ ใครสนิทกับคุณมากกว่าเพื่อนปกติ แล้วใครจะไปกินข้าวกับคุณที่ตลาดหะ จะทำอะไรปรึกษากันสักนิดจะได้มั้ย”
“ผมตอบว่าเป็นเพื่อนก็ดีแล้ว..ดีกว่าตอบว่าเป็นแฟน”
“คุณภัค”
“ทำตาโตใส่อีกแล้ว ผมพูดเล่น ที่ผมต้องตอบแบบนั้นเพราะวาริชเค้าหวงพิม เค้ากลัวผมจะไปจีบ ผมตอบเลี่ยงมาแบบนี้ เค้าจะได้สบายใจ”
“แต่ฉันไม่สบายใจ”
“ไม่เป็นไรหรอก คุณโกรธง่ายหายเร็ว ได้คุยกับพิมสักพักเดี๋ยวก็หาย”
“อ้าว”
ภคพงษ์ยิ้มกวนแล้วก็เดินนำไป
“รีบไปได้แล้ว เดี๋ยวสองคนนั้นจะรอนาน”
รสาได้แต่ถอนใจ แล้วเดินตามไป พิมพรรณเดินตามวาริชมา แต่ก็แอบมองรสากับภคพงษ์แล้วอมยิ้มนิดๆ อย่างพอใจ

วิมลพูดด้วยความใจเย็น
“ปล่อยลูกมันบ้างเถอะพ่อ นานๆ จะขอไปกินข้าวนอกบ้านสักที แล้วนี่รสก็ไปด้วย พ่อไม่ต้องห่วงหรอกจ้ะ”
วิมล พร้อมนั่งเล่นอยู่ที่โถงหน้าบ้านริมทะเล มีห้าวยืนอยู่ที่เคาน์เตอร์ไม่ไกลออกไป
“ใช่จ้ะ..ลุงไม่ต้องคิดมาก ไม่มีอะไรน่าห่วงหรอกจ้ะ” ห้าวบอก
“จริง พิมบอกว่าคุณภัคเจ้านายของรสเค้าก็ไปด้วย ฉันว่ายิ่งไม่ห่วงเข้าไปใหญ่”
ห้าวลืมตัวบอก “ใช่จ้ะ” แล้วก็ชะงักกึก “หะ เจ้านายรสไปด้วย”
ห้าวหน้าเสีย ใจสั่นอย่างบอกไม่ถูก

บริเวณร้านข้าวต้มในตลาดโต้รุ่งซึ่งเป็นร้านข้างถนน วาริชเดินหน้าใหญ่นำไป
“เชิญๆๆ ร้านนี้อร่อยมากเลยนะ อยากกินอะไรสั่งเลย ผม..เลี้ยงเอง”
วาริชโม้เสียงดัง หน้าบาน ภคพงษ์ยิ้มรับนิดๆอย่างถ่อมตัว วาริชจูงมือพิมพรรณเดินนำเข้าไปในร้าน รสาหันมามองภคพงษ์
“ถ้าคุณไม่อยากทาน ฉันบอกพิมได้นะ”
“ไม่ต้องหรอก ผมทานได้”
ภคพงษ์ตอบสบายๆ แล้วก็เดินตามพิมพรรณกับวาริชไปนั่งที่โต๊ะอย่างไม่ถือตัว รสามองแล้วก็เปรยเบาๆ
“ถ้าถ่ายรูปนี้ไปให้ป้าใจดู ป้าคงช็อก...คิกๆ”
รสาเผลอขำกิ๊ก ภคพงษ์หันมาเห็นพอดี รสารีบหุบยิ้มทันที ฟอร์มเป็นไอแค่กๆ แทน! ก่อนจะเดินเนียนๆตามเข้าไปนั่ง

ภคพงษ์มองตาม รสาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้

อาหาร 4-5 อย่างถูกวางอยู่บนโต๊ะ ทั้งสี่คนลงมือกิน วาริชเริ่มโม้

“ที่จริง ระหว่างที่รถของรสเสีย บอกผมก็ได้นะครับ ผมจะได้ให้คนที่บ้านที่เชียงใหม่เอารถมาให้ยืม ไม่ต้องลำบากให้คุณภัคขับรถมาส่ง”
รสาหันมามองหน้าวาริชด้วยความหมั่นไส้นิดๆ เต่เมื่อหันไปทางพิมพรรณก็ชะงัก เพราะพิมพรรณยิ้มด้วยความปลื้มใจ ภคพงษ์ตอบอย่างสุภาพ
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมไม่ได้ลำบาก”
“ผมก็ไม่ลำบากเหมือนกัน ที่เชียงใหม่ผมมีรถอยู่หลายคัน แต่ผมไม่อยากเอามาเยอะ อีกอย่างผมอยากจะลองใช้ชีวิตอยู่แบบสมถะดูบ้าง”
พิมพรรณยิ้มรับสนับสนุนอย่างเชื่อหมดหัวใจ
“วาริชเค้าอยากจะลองมาต่อสู้สร้างฐานะด้วยตัวเองน่ะค่ะ”
“ใช่ครับ ที่ผ่านมา ผมอาจจะเป็นเหมือนคุณหนูลอยไปลอยมา แต่หลังจากที่ผมเจอพิม ผมอยากจะหยุดและสร้างครอบครัวสักที”
วาริชกับพิมพรรณโชว์หวานกันซะงั้น รสาถึงกับมองอึ้ง ส่ายหน้านิดๆ อย่างไม่ค่อยเห็นด้วย ภคพงษ์ปรายตามาเห็นปฎิกริยาของรสาก็เริ่มรู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากล
“พูดถึงเชียงใหม่แล้วก็นึกได้ คุณภัคไม่สนใจจะซื้อที่ทำบ้านพักตากอากาศไว้ที่โน่นสักหลังเหรอครับ ผมหาที่ให้ได้นะ”
“ขอบคุณ แต่คงไม่ไหวหรอกครับ”
“เอาน่า..ไม่ต้องแพงเหมือนที่บ้านผมก็ได้ ราคาถูกๆก็มี สนใจหรือเปล่า”
รสามองหน้าภคพงษ์กะว่า ภคพงษ์คงจะตอกกลับไป แต่ภคพงษ์กลับพูดอย่างสุภาพ
“ขอบคุณครับ..เอาไว้ ถ้าผมพร้อมมากกว่านี้ ผมจะบอกนะครับ”
วาริชยิ้มรับ แล้วก็หันไปตักอาหารให้พิมพรรณอย่างประจบประแจงเอาใจ รสายังมองภคพงษ์ด้วยแววตาครุ่นคิด ขณะที่ภคพงษ์กินข้าวต้มอย่างสุภาพและติดดิน


บริเวณหน้าตลาดรสาโพล่งถามขึ้น
“ทำไมคุณไม่บอกนายวาริชไปเลยว่าคุณรวยขนาดไหน ฉันเห็นเค้าพูดข่มคุณแล้วหงุดหงิดแทน น่าจะบอกๆไปเลย เค้าจะได้รู้ว่าจริงๆคุณเป็นยังไง”
“ผมชอบที่จะเปิดเผยตัวจริงกับคนที่ผมไว้ใจเท่านั้น สำหรับคนที่ผมไม่แคร์ เค้าจะคิดยังไงก็ช่าง”
รสาสะดุดนิดๆกับคำพูดของภคพงษ์ รสามองตาภคพงษ์แล้วจู่ๆก็เกิดอาการตื่นเต้นขึ้นมาจนเบนตาไปทางอื่นแล้วก็พูดเฉไฉขึ้น
“ฉันไปตามพิมก่อนนะ ดึกแล้ว เดี๋ยวอาพร้อมกับอาวิมลเป็นห่วง คุณยืนรอตรงนี้นะ เดี๋ยวฉันมา”
รสาพูดจบก็เดินชิ่งไป ภคพงษ์มองตาม..ไม่แน่ใจว่าเธอจะเห็นคำว่าแคร์ในสายตาหรือเปล่า

รสาเดินมาแล้วก็หยุดคิด คำพูดภคพงษ์ดังอยู่ในใจ
“ผมชอบที่จะเปิดเผยตัวจริงกับคนที่ผมไว้ใจเท่านั้น สำหรับคนที่ผมไม่แคร์ .. เค้าจะคิดยังไงก็ช่าง”
รสาคิดถึงภาพที่เกิดขึ้นระหว่างที่เดินทางมาด้วยกัน ภาพภคพงษ์น่ารักๆ ทั้งตอนที่นอนหลับบนรถ ตอนแกล้งรื้อของในรถ ตอนแกล้งกินข้าว ตอนแกล้งซื้อขนม และ แกล้งเอาสับปะรดยัดปาก
รสาหน้าแดงนิดๆ อย่างไม่รู้ตัว แล้วก็พยายามปัดความคิดออกจากสมอง
“บ้าแหละ ... คิดอะไรเนี่ย”
รสาส่ายหน้าแล้วเดินออกตามหาพิมพรรณต่อไป

พิมพรรณยืนซื้อผลไม้กลับบ้าน วาริชยืนรออยู่อีกมุมหนึ่งห่างๆ ด้านหลังของวาริชเป็นร้านขายเสื้อผ้า วาริชมองจนแน่ใจว่า พิมพรรณกำลังง่วนกับการซื้อของก็ล้วงโทรศัพท์มาโทรออก
ผู้หญิงที่รับโทรศัพท์เสียงหวานมาก “สวัสดีค่ะ”
“ทำอะไรอยู่ คิดถึงผมบ้างหรือเปล่า ผมคิดถึงโบว์มากเลยนะ แต่วันนี้งานยุ้ง...ยุ่ง เพิ่งจะมีเวลาโทร.กลับนี่แหละ”
พิมพรรณซื้อของเสร็จเรียบร้อย จ่ายเงิน วาริชรีบตัดโทรศัพท์ทันที
“ลูกค้าเรียกอีกแล้ว เดี๋ยวผมไปคุยกับเค้าก่อนนะ”
วาริชกำลังจะวางแล้ว แต่โบว์รีบบอกว่า
“เดี๋ยวค่ะ เดี๋ยว..ตกลงว่าพรุ่งนี้..เราเจอกันที่เดิมนะ”
วาริชพูดจบก็วางสายด้วยรอยยิ้มหื่น พิมพรรณเดินมาพอดี
“คุยกับใครคะ ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่”
“ยิ้มอะไร คุยกับลูกค้าน่ะ เรื่องมากจะตาย ก็ต้องทำเป็นอารมณ์ดีกลบเกลื่อนๆ ซื้อของเสร็จแล้วใช่มั้ย เดี๋ยวผมเดินไปส่งที่รถ”
วาริชเดินไปกับพิมพรรณอย่างมีความสุข
ที่ด้านหลังรสาค่อยๆเดินออกมาจากมุมที่ซ่อนตัวอยู่ รสาหน้าเครียดอย่างเห็นได้ชัด แววตาเต็มไปด้วย
ความกังวลกับสิ่งที่ได้ยิน

บริเวณหน้ารีสอร์ตพร้อม รสาแล่นรถเข้ามาจอด พิมพรรณลงจากรถด้วยความสุข รสาและภคพงษ์เปิดประตูตามลงมา
“พิมรีบไปบอกแม่ก่อนนะว่าคืนนี้เรามีแขก ...เจอกันข้างในนะคะคุณภัค”
ภคพงษ์ยิ้มรับ พิมพรรณรีบเดินเข้าบ้านไปอย่างกุลีกุจอ รสามองตามด้วยแววตาครุ่นคิด ภคพงษ์เดินมาคุยด้วยอย่างรู้ใจ
“ผมเห็นคุณเครียดๆ ตั้งแต่ขับรถมาจากตลาด มีอะไรหรือเปล่า”
รสาตอบอย่างหลบสายตา
“ไม่มีค่ะ”
ภคพงษ์จับแขนรสามือไว้ รสาตกใจหันมากำลังจะต่อว่า แต่ภคพงษ์พูดสวนขึ้น
“ถ้ามีเรื่องไม่สบายใจก็บอกพิมเค้าตรงๆ พิมเค้ารักคุณและไว้ใจคุณมากที่สุด ผมเชื่อว่าเค้าต้องฟังคุณ”
รสามองหน้าภคพงษ์อย่างอึ้งและแปลกใจที่ภคพงษ์รู้ใจเธออย่างที่สุด ภคพงษ์มองรสาแววตานิ่ง มั่น และให้กำลังใจ ทันใดนั้นเสียงห้าวก็ดังขึ้น
“รส”
รสาสะดุ้งรีบดึงมือจากภคพงษ์ ห้าวเดินมามองด้วยความไม่วางใจ
“มีอะไรหรือเปล่า”
“มีจ้ะ”
ภคพงษ์หันมามองรสา
“มี...กระเป๋าอยู่หลังรถ ๒ ใบ พี่ห้าวช่วยฉันยกหน่อยนะ”
ห้าวมองภคพงษ์อย่างไม่เป็นมิตรก่อนจะตอบรสา
“ได้”
รสาเดินนำห้าวไป ห้าวเดินผ่านภคพงษ์แล้วก็แกล้งชนๆเฉี่ยวๆ จนภคพงษ์เซนิดๆ ห้าวหันมาพูดกวนๆ
“ขอโทษ..ไม่ตั้งใจ”

ภคพงษ์ได้แต่มองตามด้วยความเข้าใจ

ภคพงษ์ยกมือไหว้ทักทาย อย่างสุภาพและอ่อนน้อม

“สวัสดีครับ”
พร้อม วิมล รับไหว้อย่างเป็นมิตร
“สวัสดีจ้ะ”
ห้าวยืนเหล่ไม่พอใจอยู่ไม่ห่าง พิมพรรณยืนยิ้มอยู่ข้างๆ รสายืนอยู่ข้างภคพงษ์
“แน่ใจนะคะว่าจะไม่ไปนอนที่โรงแรม”
ภคพงษ์ไม่ตอบรสาแต่หันไปทางพร้อม และวิมล
“ผมขอพักที่นี่สักคืนนะครับ”
“เอาเลย..ตามสบาย จะสองคืน หรือ สามคืนก็ได้” พร้อมบอก
ห้าวสวนขึ้นทันที
“ไม่ได้นะลุง ตอนนี้ห้องเต็มหมดแล้ว”
วิมลหันมาแย้ง
“จะไปเต็มอะไร บังกะโลหลังริมหาดก็ยังว่าง เอ็งนี่ ไม่รู้เรื่องเลย”
“ฉันรู้ว่าว่าง แต่มันเก่ามากนะ ทั้งเก่า ทั้งโทรม แอร์ก็ไม่มี .. จะนอนได้เร้อ”
ห้าวถามกวนๆ รสาหันมาฟังคำตอบ
“นอนได้ครับ ไม่ได้ปัญหา ถ้าไม่มีห้องจริงๆ ผมนอนที่นี่ก็ได้” ภคพงษ์พูดพลางมองไปที่โซฟารับแขกที่วางอยู่
“ดี งั้นคืนนี้ก็นอนตรงนี้แหละ”
พร้อม วิมล พิมพรรณร้อง “เฮ้ย” ขึ้นพร้อมกัน พิมพรรณรีบพูดต่อ
“บ้าเหรอพี่ห้าว นอนตรงนี้ เดี๋ยวยุงก็ได้หามกันพอดี พิมว่า รสพาคุณภัคไปดูที่พักก่อนดีกว่าว่า พอจะนอนได้หรือเปล่า”
พิมพรรณหันไปหยิบกุญแจที่แขวนอยู่ส่งให้
“นี่จ้ะ”
ห้าวจะเข้าไปแย่งหุญแจ
“พี่พาไปเอง”
พิมพรรณดึงกุญแจหลบ
“ไม่ต้องเลย ให้รสพาไป ส่วนพี่มากับฉัน”
พิมพรรส่งกุญแจให้รสาแล้วก็ลากห้าวไป
“เดี๋ยวสิ จะลากไปไหนเนี่ย”
“มาเถอะน่า”
ห้าวจำใจต้องไปเพราะโดนลาก แต่ตาก็ยังมองไม่ปล่อย รสาหันมาทางภคพงษ์เหมือนจะถามว่า จะไปดูห้องหรือยัง

ทะเลยามค่ำคืนแสนโรแมนติก รสาถือกระบอกไฟฉายเดินนำภคพงษ์มาที่ห้องพัก
“เดินดีๆนะคุณ ไฟมันไม่ค่อยสว่าง คุณไม่ค่อยคุ้นทาง เกิดสะดุดล้มหัวฟาดพื้นขึ้นมา ป้าใจ คุณเผด็จ เล่นงานฉันแน่ๆ”
รสาพูดจบก็เดินสะดุดรากไม้ซะเอง
“ว้าย”
รสาสะดุดล้มจ้ำเบ้า ภคพงษ์หัวเราะอย่างลืมตัว รสาหันขวับมา
“ขำตรงไหน”
ภคพงษ์หยุดหัวเราะแล้วก็เดินเข้ามาพลางยื่นมือ
“ขอโทษครับ..ไม่ขำก็ได้ ลุกไหวหรือเปล่า”
รสามองมือภคพงษ์แล้วก็เชิดใส่บอก
“ฉันลุกเองได้”
รสาลุกขึ้นอย่างเคือง
“ผมไม่ได้หัวเราะเยาะนะ ผมแค่หัวเราะคุณ”
“แล้วมันต่างกันยังไง”
“ก็หัวเราะที่คุณเอาแต่พูดห่วงคนอื่นไม่ห่วงตัวเอง ผมว่าห่วงตัวเองบ้างก็ดีนะ ถ้าคุณสะดุดล้มหัวฝาดพื้นทั้งป้าคุณ อาๆคุณ พี่ๆคุณ ทั้งพิม ทั้งเจ้านายคุณเล่นงานผมแน่ๆ”
“ทำมาเป็นย้อน ไม่ห่วงก็ได้ ต่อไปนี้คุณจะเดินหกล้มหัวแตก ขาหักก็ช่างคุณแล้ว”
รสาเดินนำขึ้นบ้านไป ภคพงษ์มองตามแล้วก็ยิ้มตาม

ในเวลาเดียวกัน ห้าวกับพิมพรรณยืนคุยกันอยู่มุมหนึ่งของบ้าน ห้าวพูดหน้าตาเฉย
“พี่ไม่ชอบหน้ามัน มันขาวเกินไป ไม่น่าไว้ใจ”
พิมพรรณเลิกคิ้ว
“ความน่าไว้ใจกับความขาวมันเกี่ยวกันยังไง”
-“เกี่ยวก็แล้วกัน พี่ว่ามันต้องคิดไม่ดีกับรส ครั้งแรกที่มาส่งยังพอให้อภัย แต่ครั้งนี้เล่นมาแบบไม่มีอะไรมาเลย แล้วยังมีหน้ามาขอนอนบ้านคนอื่นอีก ไว้ใจไม่ได้”
“พี่ห้าวน่ะ คิดมาก คุณภัคเค้าก็ดูสุภาพ จริงใจดี ไม่ลุ่มล่าม อีกอย่างดูเค้าให้เกียรติรสจะตาย”
“สร้างภาพน่ะสิ เป็นเจ้านายมีอย่างที่ไหนตามมาเที่ยวกับลูกน้อง พี่บอกแล้ว ไอ้พวกหน้าขาวๆ ไว้ใจไม่ได้สักคน..ของเราก็เหมือนกัน”
“ของพิม หมายถึงใคร”
ห้าวอึกอัก...เอ่อ...พูดไม่ออก

หน้าต่างห้องพักภคพงษ์ถูกเปิดออก รสาโผล่หน้าออกมาดูความเรียบร้อย ก่อนจะหันไปคุยกับภคพงษ์ที่ยืน
สำรวจอยู่กลางห้อง
“นอนได้มั้ยคะ”
ภคพงษ์พยักหน้ายิ้มๆ
“สบายมาก ดีกว่าห้องเช่าที่ผมเคยพักตอนเรียนอยู่ที่อังกฤษตั้งเยอะ”
รสากอดอกถาม
“แล้วทำไมคุณไม่เช่าห้องที่มันดีๆกว่านี้ เงินก็มีตั้งเยอะแยะ”
ภคพงษ์ตอบยิ้มๆ
“คงจะเหตุผลเดียวกับวาริชมั้ง อยากจะลองใช้ชีวิตแบบคนธรรมดา”
“คุณพูดแบบนี้ฉันเชื่อ แต่ทำไมเวลานายนั่นพูดฉันไม่ค่อยเชื่อยังไงไม่รู้”
รสาแววตากลับมากังวลเหมือนเดิม ภคพงษ์มองแล้วก็พูด
“งวลเรื่องนี้นี่เอง”
รสาเงยหน้ามองภคพงษ์แล้วก็พูดเสียงเครียดๆ
“จริงๆ มันก็มีอีกเรื่อง”
รสานึกถึงตอนที่ได้ยินวาริชคุยโทรศัพท์กับผู้หญิงอื่น รสาคิดแล้วก็ตัดสินใจไม่เล่าดีกว่า
“แต่ก็ช่างเถอะ ปัญหาของฉัน ฉันจัดการเองได้ นี่ค่ะกางเกงใหม่ที่ซื้อมาจากตลาด ฉันไปก่อนนะคะ”
รสาหยิบกางเกงออกจากกระเป๋ามาวางไว้ที่โต๊ะ
รสาหันหลังเดินออกไประหว่างที่เดินมาถึงประตู ภคพงษ์ก็พูดขึ้น
“ผมรู้ว่าคุณชอบแบกปัญหาไว้กับตัวเอง แต่ถ้าแบ่งมาให้ผมช่วยบ้าง ผมจะยินดีมาก”
รสาชะงักหันมามองภคพงษ์ที่มองรสาด้วยแววตามุ่งมั่น จริงจัง
“วันนี้คุณอาจจะยังไม่ไว้ใจ แต่สักวันผมจะทำให้คุณไว้ใจผมให้ได้”
รสามองหน้าภคพงษ์ทั้งงุนงง สงสัย ตื่นเต้น สลับกันไปมา รสาทำฝืนใจแข็ง
“ฉันไว้ใจคุณสิคะ ในฐานะเจ้านายกับลูกน้อง ราตรีสวัสดิ์ค่ะ”
รสาตัดบทจบแล้วหันหลังให้ ทันใดนั้นประตูห้องที่เปิดอยู่ก็ถูกลมพัดตีเข้าที่หน้าอย่างแรงปัง ! รสาร้องออกมา
ด้วยความตกใจเจ็บ
“โอ้ย” / “รสา”
ภคพงษ์จะเข้ามาดู รสารีบยันมือห้ามไม่ให้เข้ามา
“ไม่เป็นไร..ฉันไม่เจ็บ”
ภคพงษ์ปัดมือรสาทิ้งแล้วพุ่งเข้ามาดู
“ไม่ต้องมาทำเก่ง”
ภคพงษ์ใช้มือช้อนหน้ารสาให้หันมาเพื่อดูอาการบาดเจ็บ ร่องรอยอาการฟกช้ำ ในขณะที่รสากำลังมองหน้าภคพงษ์ในระยะประชิด รสาใจเต้นระรัว ภคพงษ์มองแล้วก็จับที่หน้าผากที่มีรอยแดง
“เจ็บหรือเปล่า”
“อุ้ย” รสาร้องด้วยความเจ็บ
“ขอโทษ”
ภคพงษ์พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน สองคนมองหน้ากันเนิ่นนานหนึ่งอึดใจ รสาก็ยันตัวออก
“ฉันไม่เป็นอะไร ฉัน...ไปนอนก่อนนะ”
รสาพยายามทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วก็รีบเดินลงจากบ้านไป

ภคพงษ์มองตาม..ในใจแอบหวั่นไหว ไม่อยากให้ไป

โปรดติดตาม...ลุ้นรัก "รสา-ภคพงษ์" ตอนต่อไป เวลา 9.30 น.
กำลังโหลดความคิดเห็น