xs
xsm
sm
md
lg

ตะวันทอแสง ตอนที่ 8

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ตะวันทอแสง ตอนที่ 8

ภายในร้านเสื้อผ้า ปรางทิพย์กำลังลองชุดใหม่ เป็นขาสั้น น่ารักๆ เซ็กซี่แต่ก็ดูสดใสกว่าชุดแรก ปรางทิพย์มั่นใจมากขึ้น หันมายิ้มให้ภคพงษ์ที่ยิ้มตอบพร้อมกับชูนิ้ว ข้างๆ ภคพงษ์เห็นว่า มีกระเป๋าสะพายของปรางทิพย์วางอยู่ ทีมงานยิ้มแย้มอย่างพอใจ

“น้องปรางมาทางนี้เลยค่ะ พี่ขอถ่ายรูปส่งให้บอกอดูหน่อยนะคะ” สไตลลิสต์บอก
“ค่ะ”
ปรางทิพย์ขยับมาโพสท์ท่าตามที่สไตลิสต์ทำให้ดู ภคพงษ์นั่งมองแล้วก็นั่งยิ้มปลื้มภูมิใจที่มีน้องสาวน่ารัก
ปรางทิพย์หันมาเห็นภคพงษ์ยิ้มก็ออกอาการเขินๆ ปรางทิพย์หลบตาแล้วก็หันมาโพสท์ท่าต่อด้วยความตื่นเต้นเล็กๆ ตามประสาเด็กสาว
ภคพงษ์มองสักพัก เสียงโทรศัพท์มือถือปรางทิพย์ก็ดังขึ้น ภคพงษ์เหลือบไปดู ที่หน้าจอขึ้นรูปรัชนีและชื่อ “คุณแม่” ภคพงษ์คิด..ด้านมืดสั่งงานอีกครั้ง ภคพงษ์ตัดสินใจหยิบมือถือปรางทิพย์มากดรับ
“สวัสดีครับ”
รัชนีสะดุดกึก...หน้าเปลี่ยนสี ใจเต้นโครมคราม พยายามควบคุมอารมณ์และตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงห่างเหิน
“ขอสายปรางทิพย์ค่ะ”
น้ำเสียงเย็นชาของรัชนี ทำให้ภคพงษ์เจ็บจี๊ด
“น้องปรางกำลังถ่ายรูปอยู่ครับ คุณรัชนี” ภคพงษ์ห่างเหินใส่บ้างด้วยความสะใจ
รัชนีเม้มปากแน่น ทั้งกังวล ไม่เข้าใจและไม่ได้ดั่งใจ ภคพงษ์ยิ้มนิดๆ ที่เห็นรัชนีเงียบอึ้งไป ภคพงษ์พูดต่อทันที
“คุณรัชนีไม่ต้องห่วงนะครับ ผมรู้ว่าคุณ...รักลูกสาวคนนี้มาก”
น้ำเสียงภคพงษ์แอบแทรกความแค้น และน้อยใจลงไปจนรัชนีรู้สึกได้
“ผมจะดูแลลูกสาวคนนี้ของคุณอย่างดีที่สุด”
ภคพงษ์พูดจบก็วางสายไป รัชนีสะอึกกึก หันโทรศัพท์มาดู เห็นว่าสายถูกตัดไปแล้ว รัชนีรีบโทร.กลับไป
ภคพงษ์กดปิดเครื่องไปเลยแล้วก็ยิ้มนิดๆอย่างสะใจ
รัชนีสีหน้าเครียดกัดฟันกรอดพลางคิด
“ภคพงษ์....คิดจะทำอะไร”
รัชนีตกอยู่ในภาวะวิตกกังวลแล้ว
ภคพงษ์ยิ้มนิดๆที่มุมปากอย่าง“สะใจ” ภคพงษ์หันไปมองปรางทิพย์ที่กำลังโพสท์ท่าถ่ายรูปตามสไตลิสต์ อาจจะดูขัดเขินบ้าง แต่ก็น่ารักดี

รสาเดินอยู่ที่หน้าซูเปอร์มาร์เก็ต ชีวินเดินตามมา คิดแล้วก็ถามรสาตรงๆ
“รส เย็นนี้รสจะไปทำกับข้าวให้ภคพงษ์กินจริงๆเหรอ”
“จริงๆสิ นี่แค่ทำกับข้าวนะ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่เลยวิน ทำไมซีเรียสจัง เห็นถามตลอดเลย”
ชีวินตอบไม่ได้ และไม่กล้าตอบ รสาพูดต่อ
“ถ้ารสทำกับข้าวไม่อร่อย คุณภัคเค้าคงไม่โกรธขนาดสั่งให้บริษัทเลิกซ่อมบ้านให้หรอกน่า ไม่ต้องห่วง”
รสาตอบขำๆ แล้วก็เดินไป ชีวินคิดแล้วก็ถามขึ้นอีก
“รสเคยสงสัยมั้ยว่า เวลาที่แมงเม่ามันบินเข้าไปในกองไฟ มันรู้หรือเปล่าว่าไฟร้อนแค่ไหน หรือมันบินเข้าไป ด้วยความเข้าใจผิดคิดว่าไฟจะทำให้มันอบอุ่น”
รสานิ่ง สูดลมหายใจเข้าปอด พอจะเข้าใจในความหมายของชีวิน
“รสไม่รู้เพราะรสไม่ได้เป็นแมงเม่า และรสก็ดูออกว่าไฟจริงๆ มันร้อน หรือว่ามันอุ่นวินไม่ต้องห่วงหรอกคนอย่างรสไม่มีทางโดนไหม้ง่ายๆ”
ชีวินมองด้วยความเป็นห่วง รสาตัดบททันที
“รสกลับไปทำงานก่อนนะ วินก็ตั้งใจทำงานล่ะ ไปล่ะ”
รสาโบกมือให้แล้วก็เดินจากไปอย่างสบายอารมณ์ ชีวินมองตามรสาด้วยความเป็นห่วงแล้วพูดเบาๆกับตัวเอง
“ขอให้ดูออกจริงๆเถอะ เฮ่อ”

ภายในร้านเสื้อ ปรางทิพย์ลองอีกชุด และโพสท์ท่าถ่ายรูปอยู่ที่เดิม แต่เริ่มคล่องขึ้น ภคพงษ์เดินมาถาม
“น้องปรางอยากทานอะไรมั้ยครับ”
ปรางทิพย์ยิ้มแฉ่งแล้วบอก
“โกโก้เย็นได้มั้ยคะพี่ภัค”
“หวานมากมั้ย”
“ไม่ค่ะ เอาแบบขมๆเลย ปรางชอบ”
ภคพงษ์ยิ้มรับแล้วบอก
“ได้ครับ เดี๋ยวพี่ซื้อมาให้”
ปรางทิพย์ยกมือไหว้
“ขอบคุณค่ะ”
“และคนอื่นล่ะครับ”
สไตลิสต์ท่าทางตื่นเต้นเว่อร์บอก
“ เกรงใจ๊เกรงใจ...แต่ อะไรก็ได้ค่ะแล้วแต่ คุณภคพงษ์จะกรุณา”
“ได้ครับ”
ภคพงษ์ยิ้มรับและเดินออกไป คล้อยหลังภคพงษ์ สไตลิสต์ก็หันมาเมาท์กับปรางทิพย์ทันที
“คุณภคพงษ์เนี่ยน่ารักมากเลย นั่งรอตั้งนานไม่บ่นสักคำ แถมยังดูแลเทคแคร์...น่าร้ากเวอร์”
ปรางทิพย์ยิ้มรับ
เขียวหวานแทรกถามด้วยความสาระแน
“คุณภคพงษ์กำลังจีบน้องปรางอยู่เหรอคะ”
ปรางทิพย์ถึงกับชะงักตกใจรีบแก้ตัวพัลวัน
“ปล่ะ..เปล่านะคะ ไม่ได้จีบค่ะ...แค่มาเป็นเพื่อนเฉยๆค่ะ ไม่ได้จีบจริงๆค่ะ”
สไตลิสต์เหล่แบบไม่เชื่อแล้วบอก
“แหม..น่าเสียดาย แต่ถ้าคุณภคพงษ์จีบน้องปรางเมื่อไหร่ ต้องรีบคว้าไว้เลยนะคะ เพอร์เฟคแบบนี้หาไม่ได้อีกแล้วใน 3 โลก...เชื่อพี่” สไตลิสต์ยุสุดฤทธิ์
ปรางทิพย์ได้แต่ยิ้มเขินๆ ไม่กล้าคิดไปไกลขนาดนั้น แต่ก็แอบตื่นเต้นนิดๆ

ปรางทิพย์มองตามหลังภคพงษ์ไป แล้วก็อมยิ้มนิดๆ

ภคพงษ์เดินออกมาบริเวณหน้าร้านเสื้อผ้า ขณะที่อีกมุมหนึ่งรสาเดินออกมาพอดี ทว่ารสาอยู่ในจังหวะหันไปมองทางอื่นก็เลยมองไม่เห็นภคพงษ์

ภคพงษ์เดินเลี้ยวเข้าไปอีกมุมหนึ่งของตึก รสาหันมาทางภคพงษ์พอดีในจังหวะที่ภคพงษ์เดินเข้ามุมไป ก็ไม่เห็นกัน คลาดกันไปเพียงเส้นยาแดงผ่าแปด
รสาเดินผ่านมาที่หน้าร้านเสื้อผ้าแล้วปราดสายตาเข้าไปในร้านเห็นว่ามีการถ่ายแบบกันอยู่ รสาเห็นปรางทิพย์กำลังโพสต์ถ่ายรูปน่ารักๆ แล้วเดินผ่านร้านไป โดยไม่รู้เลยว่า..เธอจะต้องเจอกับผู้หญิงคนนี้อีกครั้งในอนาคตอันสั้น

รัชนียังยืนอยู่ที่เดิม พยายามจะกดโทรศัพท์โทร.หาปรางทิพย์แต่ก็ไม่ติด สุวิทย์เดินมาหาและถามด้วยความสงสัย
“ลูกปิดมือถือเพราะกำลังทำงานอยู่มั้งคุณ โทร.ไปก็ไม่ติดหรอก ถ้าทำงานเสร็จแล้ว ลูกคงโทร.กลับมาเอง”
“แต่รัชว่าคนปิดมือถือไม่ใช่ปรางแน่นอน”
“ไม่ใช่ลูก แล้วจะเป็นใคร”
รัชนีจะพูดชื่อภคพงษ์ แต่ก็พูดไม่ออก
“ก็คงจะใครสักคนที่ไม่อยากให้ลูกคุยกับรัช”
“ใครเค้าจะทำแบบนั้น ไม่มีหรอก ผมว่าคุณคิดมากเรื่องลูกเกินไปนะ เป็นอะไรรึเปล่า เมื่อก่อนไม่เคยเป็นแบบนี้”
รัชนียังหน้าเครียดอยู่
สุวิทย์เริ่มสงสัย
“รัช คุณอยู่กับผมมานาน คุณรู้ดีว่าผมไม่ชอบการมีความลับ ที่คุณเป็นห่วงลูกมากแบบนี้มีอะไรหรือเปล่า มีอะไรที่ผมควรรู้หรือเปล่า”
รัชนีนิ่งคิดมองหน้าสุวิทย์ แล้วก็ยิ้มออกมาอย่างเป็นปกติ
“ไม่มีค่ะ คุณพูดถูก รัชอาจจะคิดมากเกินไป ปกติอยู่กับลูกแค่สองคน ไปไหนมาไหนด้วยกัน แต่พอกลับมาเมืองไทยลูกก็เริ่มจะสังคมของตัวเอง รัชก็คงจะ..จะยังทำใจไม่ได้ ยังรับไม่ได้น่ะค่ะ”
“เอาน่า สักพักก็ชิน”
“รัชว่า เรากลับเข้าไปในงานดีกว่านะคะ”
สุวิทย์ยิ้มรับแล้วก็เดินกลับออกไป คล้อยหลังสุวิทย์ รัชนีก็กลับมาเครียดเหมือนเดิม ความหวาดหวั่นยังคงอยู่ไม่ไปไหน

ภายในบ้านเถลิงยศ สายใจยื่นกระดาษจดสูตรอาหารให้รสา
“นี่ค่ะ..สูตรมัสมั่นแล้วก็หมูอบที่คุณภัคชอบทาน”
รสารับมาแล้วก็ยิ้มนิดๆ พร้อมกับยกมือไหว้
“ขอบคุณมากค่ะ”
สายใจรับไหว้แล้วบอก
“ปกติคุณภัคไม่เคยเอ่ยปากขอให้ใครทำอาหารให้นะคะ ทำให้สุดฝีมือเลยนะคะคุณรสา”
รสายิ้มเขินๆ
“โห...จะพยายามนะคะ แต่จะได้แค่ไหน รสก็ไม่รู้เหมือนกัน งั้นรสกลับก่อนนะคะ เห็นคุณภัคบอกว่าจะไปถึงที่บ้านไม่ดึกมาก เดี๋ยวรสทำไม่ทัน”
“ค่ะ เชิญตามสบายเลยค่ะ”
รสายกมือไหว้
“สวัสดีค่ะ”
รสายกมือไหว้ลาแล้วก็เดินออกไปอย่างมุ่งมั่น สายใจมองตามแล้วก็ยิ้มด้วยความเอ็นดู

ในเวลาเย็นที่ร้านสื้อผ้า ทีมงานยืนคุยกับปรางทิพย์และภคพงษ์อยู่ในร้านเสื้อ ปรางทิพย์ถามขึ้นด้วยความตกใจ
“ต้องลองชุดใหม่ทั้งหมดเหรอคะ”
“ใช่ค่ะคือพี่ส่งรูปที่เราลองชุดมาตั้งแต่ตอนบ่ายให้ทางบอกอดู บอกอชอบมาก อยากเปลี่ยนจากแฟชั่นด้านใน มาให้น้องปรางขึ้นปกเลยค่ะ”
ปรางทิพย์ตาโตตื่นเต้น
“ขึ้นปกเลยเหรอคะ”
“ค่ะ แต่ถ้าขึ้นปก คงต้องเปลี่ยนชุดเป็นอีกเซตที่มันแซบกว่านี้ ทางร้านกำลังไปเอามาให้จากสาขาอื่น อาจจะต้องใช้เวลาอีกสักประมาณชั่วโมงกว่าๆ ไม่ทราบว่าน้องปรางสะดวกหรือเปล่าคะ”
ปรางทิพย์คิดหนัก แล้วหันมาทางภคพงษ์ด้วยความเกรงใจ
“ปรางสะดวกนะคะ แต่ว่า...เอาอย่างนี้ดีกว่าค่ะ เดี๋ยวปรางโทร.บอกคุณแม่ให้ส่งคนรถมารับ เผื่อพี่ภัคมีธุระต่อจะได้ไม่ต้องเสียเวลารอ”
ปรางทิพย์กำลังจะเดินไปหยิบโทรศัพท์ ภคพงษ์ตัดสินใจในแวบนั้นทันที แล้วคว้าแขนปรางทิพย์ไว้
“ไม่เป็นไรครับ พี่รอได้ เดี๋ยวพี่ไปส่งน้องปรางที่บ้านเอง พี่รับปากคุณแม่ ว่าจะดูแลน้องปรางอย่างดี พี่ก็ต้องดูแลให้ดีที่สุด”
ทีมงานแอบกิ๊วก๊าวเมื่อเห็นภคพงษ์จับมือปรางทิพย์ เมื่อรู้ตัวก็ค่อยๆ ปล่อยมือออก ปรางทิพย์ยิ้มยกมือไหว้“ขอบคุณพี่ภัคมากนะคะ”
ภคพงษ์ยิ้มรับนิดๆ เริ่มคิดแผนร้ายเพิ่มขึ้นทุกที ณ ขณะจิตนี้ คิดอยากจะแกล้งรัชนีให้ถึงที่สุดจนลืมรสา ไปชั่วขณะ

ภายในห้องครัวโฮมสเตย์ของอาภรณ์ สูตรแกงมัสมั่นและหมูอบของสายใจแปะอยู่ที่ผนังห้องครัว รสากำลังหั่นมันฝรั่งเตรียมทำแกงมัสมั่นอย่างตั้งใจ อาภรณ์เดินมาถาม
“วันนี้ท่าฝนจะตกหนัก รสกลับมาแต่เย็น แถมยังเข้าครัวทำกับข้าวอีก ต้องมีอะไรพิเศษแน่ๆ”
รสาหันมาบอก
“ไม่พิเศษหรอกค่ะ แค่มีแขกจะมาขอทานข้าวด้วย แล้วก็เรียกร้องให้ทำกับข้าวให้เป็นการแลกเปลี่ยน”
“แขกใครเหรอ ป้ารู้จักหรือเปล่า”
“คุณภคพงษ์น่ะค่ะ” รสาตอบเรียบๆ
“อ๋อ คุณภัค หะ คุณภคพงษ์จะมาเหรอ”
“ค่ะ”
“แล้วเค้าก็ขอให้รสทำกับข้าวให้กินเนี่ยนะ”
“ค่ะ”
อาภรณ์คิดแล้วพูดเบาๆ
“ แบบนี้ไม่ธรรมดาแน่ๆ”
“คะ”
อาภรณ์รีบเฉไฉ
“ปล่ะเปล่าจ้ะ ไม่มีอะไร อ้อ รสไม่ต้องทำเผื่อป้านะ ป้ากำลังจะออกไปกินโต๊ะแชร์กับเพื่อน รสก็กินกับคุณภัคตามสบายนะ ป้าไม่กวนแล้ว รสจะได้มีสมาธิทำอาหารอร่อยๆ คนกินจะได้ติดใจ”

อาภรณ์ยิ้มกริ่ม แล้วก็เดินออกไป รสาขมวดคิ้ว แล้วก็ยิ้มๆไม่ใส่ใจ หันกลับมาทำกับข้าวต่อ

รัชนีรีบเดินเข้ามาในบ้านวงศ์เธียรสถิตย์ คนรับใช้เดินเข้ามารับกระเป๋า

“คุณปรางกลับมาหรือยัง” รัชนีรีบถาม
“ยังค่ะ”
รัชนีหน้าเครียดดูนาฬิกา
“ยังไม่กลับ นี่มันจะทุ่มแล้วนะ”
สุวิทย์เดินเข้ามาแล้วบอก
“พอดีทางหนังสือเค้าเปลี่ยนให้ปรางมาขึ้นปก ก็เลยต้องลองชุดกันใหม่ ตอนนี้คุณภคพงษ์รออยู่ เรียบร้อยแล้วจะขับรถมาส่ง”
“คุณรู้ได้ยังไงคะ”
“ภคพงษ์เค้าโทร.หาผมเอง”
รัชนีรู้สึกระแวง รีบพุ่งจะออกไป
“รัชไปรับลูกเองดีกว่าค่ะ”
สุวิทย์คว้าแขนไว้แล้วมองตา
รัช เป็นอะไรรึเปล่า”
รัชนีหลบตา รู้ตัวว่าเริ่มมีพิรุธ
“เอ่อ ดึกแล้ว เกรงใจเค้า”
“ตอนแรกผมก็บอกว่าจะไปรับเอง แต่คุณภัคยืนยันว่ามาส่ง เค้าบอกว่ารับปากคุณไว้ว่า จะดูแลปรางให้ดีๆ เค้าก็เลยต้องทำตามที่พูดไว้ เค้ายังบอกอีกนะว่า พ่อเค้าเป็นคนสอนให้เค้ารักษาคำพูด จะว่าไปภคพงษ์เค้าพูดถึงพ่อบ่อยๆ.. สงสัยจะรักพ่อมาก”สุวิทย์ว่า
สุวิทย์ยิ้มชื่นชม แต่รัชนีตัวชา
“ผมบอกแล้วว่า เด็กคนนี้ใช้ได้ คุณไม่ต้องห่วงนะ”
สุวิทย์ยิ้มปลอบใจ รัชนีฝืนยิ้มตอบ ก่อนจะเบือนหน้าไปแล้ววิตกหนักกว่าเก่า

ภคพงษ์นั่งอยู่ด้วยสีหน้าปกติ แต่เหลือบมองนาฬิกาข้อมือด้วยความร้อนใจลึกๆ นาฬิกาเวลาทุ่มเกือบครึ่ง
ภคพงษ์หันไปดูปรางทิพย์ที่กำลังลองชุด สไตลิสต์หันมาบอกภคพงษ์ด้วยความเกรงใจ
“ชุดสุดท้ายแล้วค่ะ ขอโทษด้วยนะคะ ธรรมดาก็ไม่ช้าแบบนี้หรอกค่ะ พอดี มันมีการเปลี่ยนแปลงกระทันหันก็เลยใช้เวลานานกว่าปกติ”
“ไม่เป็นไรครับ..ผมรอได้“
ปรางทิพย์ยิ้มปลื้มใจ หันไปถ่ายรูปต่อ คพงษ์หันกลับมามองนาฬิกาอีกครั้ง
นาฬิกาบ้านอาภรณ์เวลาบอก ทุ่มครึ่ง อาหารถูกวางบนโต๊ะอย่างสวยงาม มีมัสมั่นและหมูอบ จานชามช้อนวางพร้อม รสาเดินไปมา รออยู่ที่หน้าบ้าน รสาหันมามองที่นาฬิกาแล้วพึมพำ
“จะมากี่โมงเนี่ย”
รสาเริ่มหิวนิดๆ แล้วก็หันไปมองที่หน้าบ้านอีกที

รัชนีเดินไปมาในบ้านด้วยความร้อนใจ หันมาดูนาฬิกาอีกที เกือบสองทุ่ม รัชนีคิดเครียด

ปรางทิพย์โพสท์ท่าสุดท้ายถ่ายเสร็จปุ๊บ สไตลิสต์ปรบมือ
“เสร็จเรียบร้อยแล้วค่า น้องปรางเก่งมั่กๆ”
“ขอบคุณค่ะ ปรางรีบเปลี่ยนชุดเลยนะคะ แป๊บนึงนะคะพี่ภัค”
ภคพงษ์ยิ้มรับ ปรางทิพย์วิ่งเข้าไปในเปลี่ยนเสื้อผ้า ภคพงษ์หันมาดูนาฬิกาอีกที..สองทุ่มครึ่ง
ภคพงษ์คิด บริเวณด้านนอกร้านของร้านเสื้อ ที่ด้านหลังภคพงษ์ไม่ห่างออกไป ชีวินที่เสร็จงานเดินผ่านมาแล้วก็ชะงัก เมื่อเห็นภคพงษ์ยืนอยู่
ชีวินอึ้งไปที่เห็นภคพงษ์นั่งอยู่ในร้านเสื้อผ้า ณ เวลานี้

รสานั่งเซ็งมองอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะ อาภรณ์เพิ่งกลับจากกินโต๊ะแชร์เดินกลับเข้ามา พอเห็นรส และอาหารเต็มโต๊ะก็แปลกใจ มองซ้ายมองขวา
“อ้าว รส คุณภัคยังไม่มาอีกเหรอ นี่ป้าคิดว่าอิ่มแล้วนะเนี่ย”
“ยังค่ะ”
“คุณภัคบอกหรือเปล่าว่าจะมากี่โมง”
“ไม่ได้บอกค่ะ”
“อ้าว...แล้วทำไมไม่โทร.ถาม”
“โตๆกันแล้วก็ต้องมีความรับผิดชอบคำพูดตัวเองสิคะ ไม่ใช่เด็กๆที่จะต้องโทร.ตาม”
“สรุปว่าไม่โทร”
รสายังไม่ทันจะตอบ โทรศัพท์ก็ดังขึ้น รสารีบหันขวับไปดู
“นั่นไง คุณภัคโทร.มาแล้ว”
รสาแอบคิดเหมือนกันว่าใช่ รีบเดินไปรับ แต่พอหยิบโทรศัพท์มาดูก็หน้าเสียนิดๆ กดรับ

ชีวินยืนคุยโทรศัพท์อยู่มุมหนึ่ง บริเวณหน้าร้านเสื้อผ้า
“แขกรสยังไปไม่ถึงใช่มั้ย”
รสามองไปที่โต๊ะกินข้าวอันว่างเปล่า พยายามตอบด้วยน้ำเสียงปกติ
“วินรู้ยังไง”
ชีวินหันไปมองภคพงษ์ในร้านอีกครั้ง พร้อมกับตอบกลับไปทางโทรศัพท์
“เพราะเรารู้ว่าตอนนี้เค้าอยู่ที่ไหน”
ภคพงษ์ยืนรอปรางทิพย์อยู่ ทันใดนั้นปรางทิพย์ก็เดินออกมาจากห้องเปลี่ยนชุด และเดินมาหา
ภคพงษ์อย่างสนิทสนม ชีวินมองด้วยแววตาเคือง ชีวินพูดต่อ
“และอยู่กับใคร”
รสาสะอึก ใจหายวาบ ตัวชา พูดอะไรไม่ออก ภคพงษ์เดินออกมาจากร้านพร้อมกับปรางทิพย์
ชีวินมองด้วยความเคือง ในใจสงสารรสาอย่างแรง
“รส...รสยังอยู่หรือเปล่า”
รสาพยายามรวบรวมสติแล้วตอบกลับไป
“อยู่ วินบอกมาเถอะ รสรอฟังอยู่”
ชีวินคิดแล้วก็ตอบ
“วินเห็นภคพงษ์เดินอยู่กับผู้หญิง เพิ่งจะออกจากร้านเสื้อผ้าเมื่อกี้นี้เอง”
รสาถึงกับทรุด ค่อยๆหย่อนตัวลงนั่ง อาภรณ์มองด้วยความแปลกใจ
“รส..รสใจเย็นนะ”
“ขอบใจมากนะวิน”
รสาพยายามทำเป็นชิล
“รสจะได้ไม่ต้องรอเค้า... แค่นี้ก่อนนะ หิวแล้ว”
รสาวางสายไป ใจเต้นโครมคราม ตัวชาวาบๆ ชีวินวางสายแล้วก็หันไปมองภคพงษ์ที่เดินอยู่กับปรางทิพย์ห่างออกไป

ชีวินถอนใจเบาๆ มองภคพงษ์ด้วยความไม่พอใจอย่างแรง

รสายังนั่งอึ้งอยู่ สมองหยุดการสั่งงานไปชั่วขณะ ช็อกเล็กๆ งงหน่อยๆ อาภรณ์เดินมาถามด้วยความสงสัย

“รสา...วินโทร.มาว่าไงบ้าง มีอะไรหรือเปล่า”
รสาตาลอยๆ ในใจสับสน สมองวุ่นวาย หันมามองอาภรณ์แล้วตอบนิ่งๆ
“ไม่มีค่ะ รส...กินข้าวก่อนนะคะ”
“อ้าว”
รสาหันมาตักข้าวใส่จานแล้วก็นั่งลง กินอาหารที่อยู่ข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ด้วยความเศร้า สับสน และน้อยใจ รสากินเร็วจนเกือบจะสำลัก อาภรณ์หันไปรินน้ำให้ด้วยความเป็นห่วง
“ใจเย็นรส ใจเย็นๆนะ”
“ขอบคุณค่ะ”
รสารับน้ำมาดื่มแล้วก็ก้มหน้าก้มตากินต่อ อาภรณ์มองด้วยความเห็นใจ

ชามมัสมั่นและหมูอบยังเหลืออยู่กว่าครึ่ง ถูกนำมาวางในครัว รสายืนอยู่ด้วยสีหน้าครุ่นคิด เคร่งเครียด รสากำลังจะเททิ้งแต่ก็เสียดายวางไว้ที่เดิม ก่อนจะล้างจานข้าวตัวเองวางอยู่ในอ่าง รสาเปิดน้ำเตรียมจะล้าง แต่สมองมันดันแว่บไปนึกถึงคำพูดของชีวิน
“วินเห็นภคพงษ์เดินอยู่กับผู้หญิง เพิ่งจะออกจากร้านเสื้อผ้าเมื่อกี้นี้เอง”
รสาหน้าเศร้าก๊อกน้ำมีน้ำไหลออกมา เหมือนน้ำตาของรสาที่ไหลอยู่ข้างในใจ

น้ำพุที่หน้าบ้านวงศ์เธียรสถิตย์พวยพุ่งอย่างพลุ่งพล่าน รัชนียังคงเดินไปมาอยู่ในห้องรับแขกด้วยความร้อนใจไม่เป็นอันทำอะไร อีกมุมสุวิทย์เดินมาในชุดเตรียมนอน สุวิทย์มองรัชนียืนรออยู่ในห้องรับแขกแล้วก็ส่ายหน้า
เสียงรถภคพงษ์ดังเข้ามา รัชนีหันไปที่หน้าบ้านทันที

ปรางทิพย์และภคพงษ์เดินเข้ามาในบ้าน
“ปรางต้องขอบคุณพี่ภัคมากนะคะที่ไปเป็นเพื่อนปรางทั้งวันเลย”
“ไม่เป็นไรครับ”
รัชนีวิ่งออกมา สุวิทย์เดินตามมา
“ปราง”
ภคพงษ์หันไปเผชิญหน้ากับรัชนีแล้วยกมือไหว้
“สวัสดีครับ”
รัชนีและสุวิทย์รับไหว้
ปรางทิพย์รีบเข้ามาอ้อนรัชนี
“แม่คะ...วันนี้ปรางสนุกๆมากๆเลยค่ะ นี่แค่พี่ๆเค้าให้ลองชุดแล้วก็ลองมุมกล้องนะคะ ถ้าวันถ่ายแบบจริงๆต้องสนุกกว่านี้แน่ๆเลยค่ะ”
“ดีจ้ะ... แล้วปรางปิดมือถือทำไมน่ะลูก แม่โทร.เข้าไม่ได้เลย”
ปรางทิพย์หยิบโทรศัพท์มาดู
“ปรางไม่ได้ปิดนะคะ เอ๊ะ ปิดจริงๆด้วย มันปิดได้ยังไง”
“พอดีตอนน้องปรางลองชุด คุณแม่โทร.มาพี่ก็เลยรับให้ แล้วตอนวางคงจะพลาดไปกดปุ่มปิดเครื่องโดยไม่รู้ตัว ต้องขอโทษด้วย”
รัชนีมองหน้าภคพงษ์อย่างไม่เชื่อ ปรางทิพย์ยิ้มบอก
“ไม่เป็นไรค่ะ”
“ผมต้องขอบคุณคุณภัคด้วยนะครับ ปรางวันถ่ายจริงถ้าไม่มีเพื่อนก็ชวนพี่เค้าไปด้วยสิ”
รัชนีพูดแทรกทันที
“ไม่เป็นไรค่ะ รัชไปเองดีกว่า กวนคุณภคพงษ์บ่อยๆ คงไม่ดี แค่วันนี้...ก็มากพอแล้ว”
รัชนียิ้มๆให้ภคพงษ์ แต่แววตาแข็งกระด้าง ภคพงษ์มองตอบแล้วว่า
“ไม่มากเลยครับ ผมยินดีจะทำให้มากกว่านี้อีก”
รัชนีอึ้ง ภคพงษ์เปลี่ยนเป็นยิ้มเลือดเย็น
“ไม่ต้องเกรงใจนะครับ.. ผมเป็นลูกคนเดียว ไม่มีน้องสาว น้องปรางก็เหมือนเป็นน้องของผม ผมยินดีที่จะดูแลอย่างเต็มที่”
สงครามประสาทของสองคนแม่ลูกกำลังเริ่มระอุ รัชนีเชิดหน้านิดๆอย่างไม่ยอมรับ สุวิทย์ยิ้มรับ..ไม่รู้อิโหน่อิเหน่
“ผมได้ยินแบบนี้ก็สบายใจ เอ้อ เรากำลังจะทานข้าวกันอยู่พอดี อยู่ทานด้วยกันก่อนนะครับ”
“ขอบคุณครับ แต่ผมมีนัดแล้ว ขอตัวนะครับ”
ภคพงษ์ยกมือไหว้ และหันมาทางปรางทิพย์
“วันถ่ายแบบ ถ้าน้องปรางต้องการให้พี่ไปเป็นเพื่อน โทร.บอกได้เลยครับ...พี่ยินดีมาก”
ภคพงษ์พูดพลางแอบปรายตามาถากถางรัชนีนิดๆ ปรางทิพย์ยกมือไหว้
“ขอบคุณมากค่ะ สวัสดีค่ะ”
ภคพงษ์ยิ้มรับและเดินกลับออกไป ปรางทิพย์มองตามแล้วยิ้ม
 
รัชนีมองปรางทิพย์แล้วรีบมองตามภคพงษ์ไปอย่างวิตกกังวลสุดๆ

ตะวันทอแสง ตอนที่ 8 (ต่อ)

กรุงเทพฯ ตอนกลางคืนรถเริ่มบางตา ภคพงษ์ขับรถอย่างรวดเร็วเร่งรีบเพื่อไปหารสา ในมือก็กดโทรศัพท์ไปด้วย ที่หน้าจอขึ้นชื่อ “รสา” แล้วก็กดโทร.ออก

รสานั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานในชุดอยู่บ้าน หญิงสาวยังมีอาการเซ็งๆ พยายามรวบรวมสติแล้วเปิดคอมพ์ทำงาน

โทรศัพท์มือถือดังขึ้น รสาหันไปดู ที่หน้าจอขึ้นชื่อ “ภคพงษ์” รสามองแล้วก็คิด ตัดสินใจ... ไม่รับ หันมาทำงานต่อ ที่หน้าจอยังขึ้นชื่อภคพงษ์ สว่างวาบๆ เรียกร้องความสนใจ

“ไม่มีคนรับสาย”
ภคพงษ์พึมพำ ก่อนจะกดวางแล้วก็เร่งเครื่องให้เร็วขึ้นด้วยความไม่สบายใจ

โทรศัพท์ดับไปแล้ว รสาปรายตามามองแล้วก็คิด..ตัดสินใจไม่โทร.กลับ ใจแข็ง กลับมาทำงานเหมือนเดิม
รสากำลังทำงานอย่างตั้งใจ เสียงออดดังขึ้น รสาสะดุ้งนิดๆ แอบคิดว่าเป็นภคพงษ์หรือเปล่า ทันใดนั้นเสียงอาภรณ์ก็ดังขึ้นมา
“รสจ้ะ...มีแขกมาหาน่ะ”
ชามมัสมั่นและหมูอบถูกวางบนโต๊ะอีกครั้ง คนที่นั่งรอกินยิ้มแป้นอยู่ตรงหน้ารสาคือ ชีวิน
“ขอบใจจ้ะ”
รสายิ้มรับแล้วก็นั่งลงฝั่งตรงข้าม อาภรณ์ยืนอยู่ไม่ห่างออกไป
“กินให้หมดเลยนะ”
“แน่นอนอยู่แล้ว ถึงไม่อร่อยวินก็ต้องกินให้หมด รสอุตส่าห์ลงมือทำทั้งที จะปล่อยให้เหลือได้ไง”
อาภรณ์มองชีวินแล้วก็ยิ้มด้วยความเอ็นดู แกมสงสาร
เสียงออดดังขึ้นอีก อาภรณ์เดินออกไป
“ป้าเองจ้ะ”
ชีวินลงมือกินอย่างเอร็ดอร่อย
“เป็นไง” รสาถาม
ชีวินชูนิ้วบอก
“สุดยอด”
ชีวินพูดทั้งที่อาหารเต็มปาก รสามองแล้วก็ยิ้มๆ

อาภรณ์เดินหน้ากร่อยเข้ามา
“รส”
“ใครมาคะป้า”
อาภรณ์ไม่ตอบ แต่หันไปมองด้านหลัง รสากับชีวินหันไปตามสายตาของอาภรณ์ ภคพงษ์เดินตามมา เห็นรสานั่งอยู่กับชีวินพอดีก็ชะงัก เช่นเดียวกับรสาที่ชะงักเช่นกัน ชีวินมองภคพงษ์ แล้วก็มองรสา แล้วก็กินต่ออย่างไม่สนใจ
ภคพงษ์พยายามควบคุมอารมณ์ รสานั่งนิ่ง ไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว ชีวินยังคงกินอยู่อย่างเอร็ดอร่อย
“รส กับข้าวฝีมือรสอร่อยที่สุดเลย” ชีวินพูดกวนแล้วก็ตักคำสุดท้ายเข้าปาก
ภคพงษ์มองแอบเคืองในใจ รสายังคงนิ่ง ไม่พูด ไม่แสดงออกใดๆ จนอาภรณ์รู้สึกอึดอัดแทน
“ป้าขอตัวไปนอนก่อนนะ อยู่ๆก็ง๊วงง่วง เชิญคุยกันตามสบายนะ”
ภคพงษ์ยกมือไหว้
“สวัสดีครับ”
“ป้าภรณ์สวัสดีครับ” ชีวินบอก
“สวัสดีค่ะ ๆ เชิญตามสบายนะ”
พูดจบอาภรณ์ก็ชิ่งไปอย่างแนบเนียน ชีวินเก็บซ้อนจานอย่างเรียบร้อย อิ่ม อร่อย หมดเกลี้ยง
“วินบอกว่าจะกินให้หมด มันก็หมดจริงๆ เห็นมั้ยว่าวินเป็นคนรักษาคำพูด พูดแล้วก็ต้องทำให้ได้”
ชีวินแอบประชดหน้าซื่อๆ ภคพงษ์สะอึกนิดๆ รู้ว่าโดนประชด ภคพงษ์มองหน้ารสาที่ทำเป็นไม่สนใจ แล้วก็คุยกับชีวินเหมือนภคพงษ์ไม่มีตัวตน
“ดีมาก รสฝากวินเอาจานไปเก็บในครัวให้ด้วยนะจ้ะ รสต้องรีบไปทำงานต่อ”
“ได้เลย เดี๋ยวล้างให้ด้วย”
“ขอบใจมาก พรุ่งนี้เจอกันที่ออฟฟิศ”
“จ้ะ”
ภคพงษ์ยืนเป็นส่วนเกินอย่างน่าสงสาร รสาจะลุกขึ้นไปทำงาน ชีวินลุกขึ้นจะเอาจานไปเก็บ ภคพงษ์พูดขึ้น

“รสา...ผมขอโทษที่มาช้า”

ภคพงษ์กล่าวขอโทษอย่างเรียบง่าย และรู้สึกผิดจริงๆ รสาหันมาตอบอย่างเรียบง่าย ไม่ใส่อารมณ์ ไม่วีน ไม่เหวี่ยง แต่ยิ้มๆ

“ไม่เป็นไรค่ะ โชคดีที่ดิฉันไม่ได้รอนาน ขอตัวก่อนนะคะ”
รสายิ้มให้ตามมารยาทแล้วก็เดินขึ้นบ้านไป
“รสา”
รสาไม่หยุด เดินขึ้นบ้านไปเลย ภคพงษ์ยืนอยู่กับชีวินแค่สองคน ภคพงษ์รู้ว่า ไม่ควรเซ้าซี้ตอนนี้ ภคพงษ์หันมามองชีวินแล้วก็ก้มหน้านิดๆ ทำนองว่าขอตัวกลับ ก่อนจะเดินออกไป
ชีวินมอง คิด แล้วก็ตัดสินใจ
ภคพงษ์กำลังจะเปิดประตูออกไป ชีวินเดินตามมา
“เดี๋ยวก่อนครับ”
ภคพงษ์หยุดเดิน หันมา
“รสเค้ารู้แล้วว่าทำไมคุณถึงมาช้า”
ภคพงษ์ขมวดคิ้ว ชีวินพูดต่อ
“ผมเห็นคุณอยู่กับผู้หญิงอีกคน ในเวลาที่คุณควรจะอยู่กับรส”
ภคพงษ์คลายปมที่คิ้ว เข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น
“ผมไม่รู้ว่าคุณคิดยังไงกับรส แต่ผมขอให้รู้ไว้ว่า รสไม่ใช่ของเล่นของคุณ ถ้าคุณไม่เห็นคุณค่า ขอความกรุณาช่วยออกไปไกลๆ”
ชีวินพูดนิ่มๆ แต่หนักแน่น และจริงใจ พูดจบก็หันหลังจะเดินไป ภคพงษ์ตัดสินใจพูดขึ้น
“ถ้าผมไม่เห็นคุณค่า ผมคงไม่มายืนอยู่ตรงนี้”
ชีวินหยุดเดิน ชะงักนิดๆ แล้วหันมา
“และผมก็ขอให้คุณรู้ไว้ด้วยว่า ผมไม่เคยคิดว่า รสาเป็นของเล่นของผม”
ภคพงษ์มองหน้าชีวินด้วยแววตาหนักแน่น ชีวินนิ่งอึ้งไป
ภคพงษ์หันหลังแล้วก็เดินออกไปเลย ชีวินคิดหนัก


รสานั่งทำงานที่ห้อง แต่ในใจยังคิดถึงภคพงษ์ รสาลุกขึ้นเดินไปที่หน้าต่าง มองออกไปที่ด้านหน้าเห็นภคพงษ์เดินออกจากบ้านไปแล้ว รสาคิด...แววตาเต็มไปด้วยความสับสน และไม่เข้าใจกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น
ภคพงษ์มาบอกให้ทำอาหาร เมื่อตอนกลางวัน / สายใจบอกว่าภคพงษ์ไม่เคยอยากกินของใคร / รสารอแล้วรออีก / ชีวินบอกว่าภัคพงษ์ไปกับผู้หญิงอื่น / ภคพงษ์ขอโทษ
รสาคิดแล้วก็สับสน และไม่แน่ใจ

เช้าวันต่อมาที่รีสอร์ตพร้อม พร้อมและวิมลช่วยกันจัดโต๊ะริมหาด ทำความสะอาดหาดของตัวเอง
ห้าววิ่งมากระหืดกระหอบ
“ลุง ป้า”
พร้อมกับวิมลหันมา
“มีอะไรวะไอ้ห้าว เรียกซะตกอกตกใจ”
“ปะ...ไปที่ล็อบบี้หน่อยจ้ะ มีคนเค้าอยากเจอ”
พร้อมกับวิมลแปลกใจ - ใคร!?

วาริชนั่งยิ้มหน้าแป้นอยู่ที่ล็อบบี้ ข้างๆเป็นพิมพรรณนั่งด้วยสีหน้ามีความสุข พร้อมกับวิมลนั่งหน้างงๆ อยู่อีกฝั่ง ห้าวยืนกอดอกคุมเชิงอยู่ตรงกลาง
“ที่ผมมาวันนี้...เพราะมีเรื่องสำคัญจะมาเรียนคุณพ่อคุณแม่ครับ”
พร้อมผงะแล้วถาม
“ใครเป็นพ่อนาย”
“ตอนนี้อาจจะยัง แต่อีกไม่นานครับ...เพราะผมมาวันนี้เพื่อจะมาสู่ขอพิมครับ”
พร้อม วิมล สะดุ้ง ห้าวคลายมือออกจากการกอดอก พิมพรรณยิ้มอย่างมีความสุข
“สู่ขอ”
วาริชจับมือพิมพรรณ
“ครับ ผมกับพิม เรารักกัน อยากจะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน”
พิมพรรณยิ้มรับ ห้าวมองหน้าพิมพรรณ งง !!
“เรา...อยากจะแต่งงานกันครับ”
“ไม่ได้” พร้อมบอก
วาริชสะดุ้ง พิมพรรณหน้าเสีย
“เพิ่งจะรู้จักกันได้ไม่นาน พ่อแม่เป็นใครก็ไม่รู้ หัวนอนปลายเท้าเป็นยังไงก็ไม่รู้จะไปแต่งงานกันได้ยังไง แล้วนี่มีอย่างที่ไหน มาสู่ขอผู้หญิง ไม่มีผู้ใหญ่มาสักคน ทำกันชุ่ยๆแบบนี้ได้ยังไง”
“พ่อ” วิมลหน้าเสียแล้วจับเข่าพร้อมให้ใจเย็น
ห้าวยืนดูอยู่เห็นด้วยกับพร้อม ห้าวค่อยๆหยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วก็กดข้อความ
“ผมขอโทษครับคือ วันนี้มันฉุกละหุก ผมอยากจะรีบแต่งงานกับพิมเร็วๆ ก็อาจจะลืมธรรมเนียมไปบ้าง แต่ไม่ต้องห่วงครับ ผมจะรีบให้พ่อกับแม่แล้วก็ผู้ใหญ่มาคุยกับคุณพ่อคุณแม่โดยเร็วที่สุด”
“ไม่ต้อง จะเป็นใครก็ไม่ต้องมาทั้งนั้น เพราะข้าไม่ให้แต่ง”
พิมพรรณหน้าเสีย วาริชหน้าเสียกว่า ห้าวกดส่งข้อความหารสา

รสากำลังจะเดินออกไปจากบ้าน เตรียมไปทำงาน หน้ายังเซ็งอยู่ ทันใดนั้นมีข้อความเข้ามา รสาหยิบมาอ่านแล้วก็ตกใจ
“ไอ้หน้าหนวดมาสู่ขอพิม อาพร้อมโกรธอย่างแรง”
รสาอึ้ง
“วาริชมาสู่ขอพิม”

พร้อมยังย้ำอีกครั้ง
“ต่อให้ขนมาทั้งโคตรก็ไม่ให้แต่งเว้ย”
พิมพรรณหน้าเสีย วิมลมองแล้วก็สงสารลูก
“พ่อใจเย็นๆ ค่อยๆคุยกันก่อนก็ได้”
“ไม่ ไม่ต้องคุยทั้งนั้น ข้าไม่ไว้ใจเอ็ง หน้าอย่างเอ็งไม่มีทางจะดูแลลูกสาวข้าได้ ข้าไม่ยกให้เว้ย กลับไปได้แล้ว มาทางไหน ไปทางนั้น”
พร้อมหันหลังให้อย่างไม่ไยดี
พิมพรรณหน้าเสีย ห้าวยิ้มนิดๆ วาริชเห็นสถานการณ์ไม่ค่อยดี ก็โพล่งขึ้นมาเลย
“แต่ผมกับพิมมีอะไรกันแล้วนะครับ”
พร้อมช็อก วิมลอ้าปากค้าง ใจพ่อใจแม่หายวาบทันที
พิมพรรณสะอึก หน้าร้อนผ่าวด้วยความอาย และความกลัว ห้าวหันมาทางไอ้วาริชด้วยความแค้น
“แกพูดอะไรนะ”
วาริชยืดอกอย่างหน้าไม่อาย
“ผมกับพิม เราสองคนมีอะไรกันแล้ว และที่ผมมาวันนี้เพราะผมเป็นลูกผู้ชาย ผมถึงกล้ารับผิดชอบ ถ้าเป็นผู้ชายคนอื่นคงไม่รับผิดชอบเหมือนผม”
วาริชพูดออกมาอย่างหน้าด้าน
พร้อมช็อกหนักกว่าเดิมถึงกับทรุดเซ ห้าวแค้นจัดพุ่งเข้าไปทันที
“พูดออกมาได้ยังไง ไอ้...”
ห้าวพุ่งเข้ามากระชากคอเสื้อวาริชกำลังจะชก เสียงพิมพรรณร้องดัง
“พี่ห้าว”
แต่เสียงวิมลดังกว่า
“พ่อ”
ทุกคนหันขวับไปแล้วก็อึ้ง พร้อมช็อก...ลงไปนอนแน่นิ่งอยู่ที่พื้น วิมลรีบเข้าไปเขย่าตัว พร้อมกับส่งเสียงร้องโวยวายตกใจ
“พ่อ พ่อ .. พ่อ”
พิมพรรณ และห้าว ตกใจร้องขึ้นมาพร้อมกัน
“พ่อ"/ "ลุง”

พร้อมนอนแน่นิ่งอาการน่าเป็นห่วง

พร้อมนอนหลับหายใจอ่อนๆ อยู่บนเตียงภายในโรงพยาบาล วิมลและห้าวยืนอยู่ที่ด้านหนึ่งของเตียง อีกด้านเป็นหมอและพยาบาล

“คนไข้ปลอดภัยแล้วนะครับ หมอจะให้พักสักวันสองวันดูอาการ”
“ขอบคุณคุณหมอมากค่ะ” วิมลบอก
หมอและพยาบาลเดินออกไป วิมลกับห้าวหันมามองพร้อมที่นอนอยู่ด้วยความโล่งอก

บริเวณหน้าห้องพักคนไข้ พิมพรรณเดินไปมาพลางชะเง้อมอง รอฟังข่าวด้วยความร้อนใจ วาริชนั่งทำหน้าเซ็งๆอยู่ไม่ห่าง แล้วก็พยายามปั้นหน้าให้ดูอาทรก่อนจะพูดขึ้น
“พิมจ๊ะ..ใจเย็นๆ ไม่ต้องคิดมากนะ พ่อคุณคงไม่เป็นอะไรมากหรอก ท่านเป็นคนดี พระท่านคุ้มครองอยู่แล้ว” พิมพรรณฟังแล้วก็ยังไม่รู้สึกดีขึ้นมากนัก
วิมลกับห้าวเดินมาหาพอดี พิมพรรณหันไปเห็นก็รีบวิ่งเข้าไปถามทันที
“แม่..พ่อเป็นยังไงบ้าง”
วาริชรีบเสนอหน้า ทำเป็นห่วงด้วย
“คุณพ่อเป็นอะไรมากหรือเปล่าครับ”
ห้าวหันขวับมา
“ใครเป็นพ่อแก”
วาริชชะงักกึก พิมพรรณหน้าเสีย
“พี่ห้าว...อย่าเพิ่งหาเรื่องดีกว่า พิมอยากรู้อาการของพ่อ”
“หมอบอกว่าปลอดภัยแล้ว ให้นอนต่ออีกวันสองวัน”
พิมพรรโล่งอก วาริชก็ทำเป็นโล่งอกด้วย พร้อมกับสาระแน
“งั้น ระหว่างที่คุณพ่อ...”
ห้าวมองตาดุบอก
“เอ่อ คุณอานอนอยู่ที่นี่ ผมอาสามาเฝ้าท่านนะครับ คุณแม่ เอ่อ คุณอาจะได้ไม่ต้องลำบาก”
ห้าวสวนขึ้นทันที
“ไม่ต้อง ! ถ้าแกมาอยู่มีหวัง ลุงฉันได้ช็อกวันละแปดรอบ อีกอย่างพวกฉันเฝ้ากันเองได้ไม่ลำบาก กลับไปได้แล้ว”
วาริชเลิ่กลั่ก พิมพรรณมองหน้าวาริชด้วยความเห็นใจแล้วก็หันมาทางวิมลที่ย้ำขึ้นว่า
“คุณกลับก่อนเถอะ ตอนนี้เรายังไม่พร้อมจะคุยอะไรทั้งนั้น”
วาริชมองหน้าพิมพรรณอย่างขอความช่วยเหลือ พิมพรรณมองหน้าตอบแต่ไม่รู้จะทำยังไง วิมลพูดต่อ
“พิมกลับบ้าน...เดี๋ยวให้ห้าวไปส่ง”
“เอ่อ จ้ะ”
พิมพรรณก้มหน้าไม่สบตาวาริช
วาริชมองหน้าพิมพรรณแล้วแอบขัดใจนิดๆ ห้าวเห็นก็รีบเร่ง
“กลับไปสิ หรือว่าฟังไม่รู้เรื่อง”
วาริชมองหน้าห้าวอย่างฉุนสุดๆ แต่ก็ต้องเก็บอารมณ์ไว้ก่อนหันมายกมือไหว้วิมล
“ผมลานะครับ สวัสดีครับ พิม แล้วผมจะโทร.หานะ”
พิมพรรณพยักหน้าแล้วก้มๆหน้า ทั้งเสียใจ ทั้งสับสน ทำตัวไม่ถูก วาริชเดินออกไป ห้าวมองหน้าพิมพรรณด้วยความเป็นห่วง


รีสอร์ตพร้อมในตอนเย็น พิมพรรณเดินนำเข้ามาด้วยสีหน้า แววตาเศร้าและเครียด ห้าวเดินตามมาแล้วก็เรียกไว้
“พิม”
พิมพรรณหันไป
“รสบอกว่าติดต่อพิมไม่ได้มาหลายวันแล้ว ถ้าตอนนี้มีอะไรไม่สบายใจ ก็โทร.หารสนะ เค้ารออยู่”
ห้าวพูดแค่นี้เป็นอันรู้กัน ห้าวเดินแยกไป พิมพรรณคิดถึงรสาขึ้นมาจับใจ

ภายในเรือนหลังเล็ก เวลาเย็น รสานั่งทำงานอยู่ ในใจเป็นห่วงพิมพรรณอย่างมาก เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น รสารีบหันไปมอง เห็นชื่อพิมพรรณก็รีบกดรับทันที
“พิม”
พิมพรรณยืนอยู่ในมุมสงบ เงียบของบ้าน
พิมพรรณรส...
พิมพรรณพูดได้แค่นั้น ก็พูดไม่ออกหมือนมีก้อนอะไรมาจุกอยู่ที่คอ รสาพูดเปิดประเด็นด้วยความเข้าใจ และเห็นใจ
“พี่ห้าวเล่าให้รสฟังหมดแล้ว ที่อาพร้อมเป็นแบบนี้มันไม่ใช่ความผิดของพิมนะ”
พิมพรรณพูดเสียงสั่นเครือ น้ำตาคลอ
“มันจะไม่ใช่ได้ยังไง ที่พ่อเป็นแบบนี้ก็เพราะพิมทำตัวเหลวไหล ไม่รักนวลสงวนตัว ทำให้พ่อผิดหวัง มันเป็นความผิดของพิมเองรส พิมผิดเอง”
รสาลุกขึ้นคุยและพยายามจะปลอบใจ
“พิม รสถามตรงๆนะ ที่ไอ้วาริชมันบอกว่ามันมีอะไรกับพิมแล้ว มันเกิดขึ้นด้วยความเต็มใจของพิม หรือว่ามันใช้กำลัง”
พิมพรรณสะอึกถึงกับน้ำตาร่วง ความอึดอัดขัดใจทั้งหมดถูกปล่อยออกมาเกินกว่าจะห้าม

พิมพรรณพูดไม่ออก ได้แต่ร้องไห้โฮออกมาอย่างหนัก...ฮือๆๆๆ

รสาได้ยินเสียงร้องไห้ก็รู้คำตอบทันที รสาน้ำตาร่วงตามด้วยความสงสาร

“ร้องออกมาเลยพิม ร้องออกมาให้พอใจ รสจะอยู่เป็นเพื่อนเอง”
พิมพรรณร้องไห้ออกมาอย่างหนักระบายความอึดอัดที่ถูกเก็บไว้ รสาร้องไห้ตามไปด้วยความสงสารและแค้นใจ
ถอยห่างจากรสาออกมา ภคพงษ์ยืนอยู่หน้าห้อง ภคพงษ์ได้ยินทุกอย่างที่เกิดขึ้น ทั้งเห็นใจพิมพรรณและซึ้งใจในความอ่อนโยนและมีน้ำใจของรสา

ภายในบ้านเช่า วาริชโยนกุญแจรถลงบนโต๊ะด้วยความหงุดหงิด
“บ้าเอ๊ย ไอ้แก่ดันมาช็อกซะได้ แผนพังกันพอดี แล้วตกลงไงวะเนี่ย จะได้แต่งหรือไม่ได้แต่งกันแน่”
วาริชคิดแล้วก็วางแผนชั่วออกมาอีกจนได้
“เรื่องมากนักไม่ต้องแต่งก็ได้เว้ย”
วาริชยิ้มร้าย

รสากดวางโทรศัพท์ไปแล้ว แต่น้ำตายังอาบแก้ม รสาถอนใจเบาๆ
“เฮ่อ”
ทันใดนั้นก็มีกระดาษทิชชูยื่นเข้ามา รสามองด้วยความแปลกใจ พอมองไล่ไปก็เป็นภคพงษ์ยืนอยู่
“เช็ดน้ำตาซะ เลอะเทอะหมดแล้ว” ภคพงษ์พูดด้วยความห่วงใยและเอ็นดู
“ไม่เป็นไร ขอบคุณ”
รสาหันหน้าหนีจะใช้หลังมือเช็ดน้ำตา ภคพงษ์รีบคว้ามือไว้ รสาชะงักหันมามอง ภคพงษ์ค่อยๆดึงมือรสาออกจากหน้าและใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาให้อย่างแผ่วเบาและอ่อนโยน รสาชะงักนิดๆ แอบใจเต้นแรง พอรู้สึกตัวก็ดึงมือออก แล้วก็ถอยตัวห่าง
“ฉันบอกแล้วไงคะว่าไม่เป็นไร”
รสาพูดปกติ ไม่ได้แสดงอาการกระฟัดกระเฟียด หากแต่พยายามทำใจแข็ง และหักห้ามความรู้สึกของตัวเอง ภคพงษ์มองรสาด้วยความเข้าใจ และถามอย่างใส่ใจ
“ยังโกรธเรื่องเมื่อคืนอยู่เหรอ”
“ฉันไม่มีสิทธิ์อะไรที่จะโกรธคุณ” รสาพูดด้วยความเจียมตัวและรู้ตัว
“มีสิทธิ์ของการเป็นคนสำคัญของผม”
รสาชะงัก หันมามองหน้าภคพงษ์ด้วยความสับสน ภคพงษ์พูดต่อด้วยความจริงใจและจริงจัง
“เมื่อคืน การที่ผมไปช้าไม่ได้แปลว่าผมไม่เห็นความสำคัญของคุณ หรือเห็นคุณเป็นของเล่น ผมขอโทษที่ทำให้คุณต้องรอ”
รสาอึ้งไป น้ำเสียงและแววตาของภคพงษ์แสดงความรู้สึกผิดจริงๆ ทำให้รสาเผลอใจอ่อนลงหนึ่งวูบ ก่อนตั้งสติ
ดึงแล้วตัวเองกลับมาอีก
“ช่างมันเถอะค่ะ ที่จริงฉันก็รอไม่นาน พอวินโทร.มาบอกว่าคุณติดธุระ ฉันก็เลิกรอ และก็ขอบคุณนะคะที่เห็นว่าฉันเป็นคนสำคัญ เพื่อเป็นการตอบแทน ฉันจะทำงานที่รับได้มอบหมายให้ดีที่สุด”
รสาพยายามดึงโยงเข้าเรื่องงานเพื่อป้องกันตัวเองก่อนตั้งท่าจะไปทำงานต่อ ภคพงษ์มองอย่างรู้ทันแล้วก็พูดขึ้น
“เพื่อเป็นการขอโทษ ผมทำอาหารโปรดของคุณ แล้วให้ป้าสายใจจัดใส่กล่องไว้แล้ว ผมรู้ว่าเย็นนี้คุณคงไม่อยากทานที่นี่ คุณจะได้เอากลับไปทานที่บ้าน”
“อาหารโปรดของฉัน คุณรู้ได้ยังไงว่าฉันชอบอะไร”
รสาถามด้วยความสงสัย ภคพงษ์ยิ้มนิดๆ แอบมีเลศนัย


เวลากลางคืน ภายในโฮมสเตย์ อาภรณ์ตอบพร้อมรอยยิ้มละมุน
“ป้าเป็นคนบอกเองแหละ ก็คุณภัคเค้าโทร.มาถามป้าเมื่อเช้า ป้าก็เลยบอกเค้าไปว่ามีหลายรายการอยู่ แต่ที่ชอบสุดๆ กินบ่อยๆก็มี ไก่ผัดเม็ดมะม่วง ปลาสำลีแดดเดียวกับยำมะม่วง แล้วก็ต้มข่าทะเล”
อาภรณ์นั่งคุยกับรสาอยู่ที่โต๊ะอาหาร ข้างหน้ามีกับข้าววางอยู่สามอย่าง อาภรณ์กับรสานั่งอยู่ในท่าพร้อมกิน
“ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า คุณภัคเธอจะทำมาให้จริงๆ ดูสิ...น่ากิ๊น น่ากิน
อาภรณ์มองอาหารข้างหน้าด้วยความตื่นเต้น รสาก็แอบประทับใจ แต่ไม่อยากจะปล่อยใจให้เหลิงลอย พูดออกมาอย่างยั้งอารมณ์
“ทำเองจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้”
“อ้าว ทำไมพูดแบบนั้นล่ะ คุณภัคเธอออกจะใส่ใจ”
“เดี๋ยวก็ใส่ใจ เดี๋ยวก็ไม่ใส่ใจ ขึ้นๆลงๆ เอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้”
รสาพูดเหมือนระบายความสับสนออกมา อาภรณ์มองแล้วก็พูดขึ้นด้วยความเมตตา
“ความไม่แน่นอนมันมีอยู่ในทุกคน ทุกเวลา ถ้าเรารู้ในจุดนี้ก็ดี เราจะได้ไม่ยึดติด แล้วก็มีความสุขกับปัจจุบันขณะ เฝ้ามองการเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนไปอย่างมีสติ เราก็จะเข้าใจมันเอง”
รสาฟังแล้วคิดตาม..
“แล้วปัจจุบันขณะนี้ ก็มี...”
อาภรณ์เปลี่ยนน้ำเสียงเป็นตื่นเต้นแล้วพูดต่อ
“...ของที่น่ากินมากอยู่ตรงหน้า ป้าว่าเราอย่ามัวแต่พูดอะไรคมๆกันเลย กินกันดีกว่า”
รสาขำแต่ก็เห็นด้วย
“ได้เลยค่ะ ลุย”
อาภรณ์กับรสาลงมือกินข้าวอย่างเอร็ดอร่อย
“อร่อยนะเนี่ย อร่อยมะๆ”
รสาพยักหน้ายอมรับ
“อร่อยค่ะ”

รสาตักอาหารกินไปก็คิดถึงภคพงษ์ไปด้วย รสาอมยิ้มนิดๆ ความขุ่นข้องใจที่มีจางหายไปเกือบหมด

ตะวันทอแสง ตอนที่ 8 (ต่อ)

ภายในห้องนอนรสา แบบบ้านเรือนหลังเล็ก และภาพงานต่างๆ วางอยู่บนโต๊ะ รสานั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานพลางครุ่นคิดถึงสิ่งที่อาภรณ์พูดและสิ่งที่เกิดขึ้น

ภาพภคพงษ์ตั้งแต่แรกพบกันที่ดูเคร่งขรึม ดุ เย็นชา และค่อยๆเปลี่ยนเป็นยิ้มแย้มแจ่มใส เป็นธรรมชาติ และน่ารักสุดตอนที่อยู่ระยอง
“ความไม่แน่นอนมันมีอยู่ในทุกคน ทุกเวลา ถ้าเรารู้ในจุดนี้ก็ดี เราจะได้ไม่ยึดติด แล้วก็มีความสุขกับปัจจุบันขณะ เฝ้ามองการเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนไปอย่างมีสติ เราก็จะเข้าใจมันเอง”
รสาคิดแล้วก็ตัดสินใจหยิบโทรศัพท์มาและกดส่งข้อความไปให้ภคพงษ์

ภคพงษ์เดินมาหยิบโทรศัพท์มือถือที่มีข้อความเข้าเปิดอ่าน
“ขอบคุณสำหรับอาหาร อร่อยมากค่ะ”
ภคพงษ์คลี่ยิ้มออกมาอย่างอารมณ์ดีทั้งที่เป็นข้อความที่แสนจะเรียบง่ายและธรรมดา ภคพงษ์กดข้อความส่งกลับไป
เสียงข้อความเข้า รสาหยิบมากดอ่าน
“หายโกรธแล้วนะ ^^”
รสาถึงกับยิ้มกว้างออกมา ใจฟู ล่องลอยไปกับความสุข
“ส่งตายิ้มมาซะด้วยนะ กุ๊กกิ๊กกับเค้าเหมือนกันนะเนี่ย”
รสายิ้มอย่างมีความสุขโดยไม่รู้เลยว่า การเปลี่ยนแปลงที่รออยู่ข้างหน้าจะทำให้เธอเจ็บปวดแค่ไหน

โทรศัพท์ภคพงษ์มีเสียงข้อความเข้าอีกครั้ง ภคพงษ์ยิ้มคิดว่าเป็นรสาจึงหยิบมาเปิดอ่านทั้งๆที่ยังไม่ได้ดูชื่อ แต่แล้วเมื่อเห็นข้อความ รอยยิ้มก็หายไป
“พี่ภัคคะ วันถ่ายแบบบปรางไม่รบกวนพี่ภัคนะคะ คุณแม่บอกว่าจะไปเป็นเพื่อนค่ะ ขอบคุณค่ะ”
ภคพงษ์กดปิดข้อความไป ในใจร้อนรุ่มเหมือนมีใครเอาไฟมาสุมไว้ โทสะจางเริ่มบังเกิด ภคพงษ์ตัดสินใจโทร
กลับไป
“พี่ภัคสวัสดีค่ะ” ปรางทิพย์เสียงแอบเศร้านิดๆ
“พี่ได้รับข้อความแล้วนะครับ ไม่ทราบว่าน้องปรางมีถ่ายแบบวันไหน ที่ไหนครับ”
ภคพงษ์พูดดี แต่แววตามีความคิดร้ายเจืออยู่

วันถ่ายแบบ ปรางทิพย์ถ่ายแบบอยู่ในสวนแบบอังกฤษเล็กๆ แต่อบอุ่นด้วยทีมงานมืออาชีพ
“สวยค่ะสวย...เชิดหน่อยค่ะ ยิ้มหน่อยนะคะ จิกค่ะจิก งามมาก”
สไตลิสต์บอกกำกับให้ ปรางทิพย์โพสท่าอย่างมีความสุข มีอาการเก้อเขินบ้างแต่ก็ทำได้ดีทีเดียว
รัชนีนั่งอยู่อีกมุมหนึ่งของสวน โต๊ะเบื้องหน้าวางเครื่องดื่มไว้ให้พร้อมสรรพ รัชนีนั่งมองปรางทิพย์ด้วยความภูมิใจและชื่นชม
เสียงบอกอดังขึ้น
“คุณแม่น้องปรางใช่มั้ยคะ”
รัชนีหันไปเห็นบอกอยืนอยู่กับเขียวหวานก็ส่งยิ้มให้
“ใช่ค่ะ”
บอกอยกมือไหว้
“สวัสดีค่ะ เอ๋เป็นบอกอค่ะ”
รัชนียิ้มรับแล้วบอก
“อ๋อ...สวัสดีค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ”
“ได้เจอหน้าคุณแม่แล้วไม่สงสัยเลยว่าน้องปรางสวยเหมือนใคร ยังดูเด็กอยู่เลยนะคะ นี่ถ้าไม่บอกต้องนึกว่าเป็นพี่สาวแน่เลยค่ะ”
รัชนียิ้มถ่อมตัวบอก
“ขอบคุณค่ะ”
“น้องปรางเป็นเด็กที่มีเสน่ห์มาก ขึ้นกล้องที่สุด ตอนเอ๋เห็นแว่บแรก เอ๋รู้เลยถ้าเด็กคนนี้ได้ขึ้นปกล่ะก้อ..ทอล์กออฟเดอะทาวน์แน่นอนค่ะ”
บอกอชมปรางทิพย์ในขณะที่รัชนีก็หันไปมองลูกสาวด้วยความชื่นชม ปรางทิพย์โพสท่าถ่ายรูปอย่างน่ารัก
รัชนีมองปรางทิพย์พร้อมกับยิ้มอย่างมีความสุข
ในจังหวะเปลี่ยนท่า ปรางทิพย์เหลือบไปเห็นใครบางคนเดินเข้ามา แล้วก็ส่งเสียงเรียกด้วยความตื่นเต้นดีใจ
“พี่ภัค”
รัชนีชะงักกึก รอยยิ้มหายไปทันที รัชนีหันไปตามสายตาของปรางทิพย์

ภคพงษ์เดินเข้ามาในสวนอย่างเท่ มีช่อดอกไม้อย่างหรูอยู่ในมือ
รัชนีนั่งตัวแข็งทื่อ ใจเต้นรัว ลางแห่งความวุ่นวายปรากฏ บอกอมองแล้วก็จำได้
“คุณภคพงษ์ที่เราเคยสัมภาษณ์ไปนี่ เอ มาได้ยังไง”
เขียวหวานสาระแนขึ้นทันที
“คุณภคพงษ์รู้จักกับครอบครัวน้องปรางค่ะ วันที่มาลองชุดก็มาอยู่เป็นเพื่อนทั้งวันเลยนะคะ วันนี้มีดอกไม้มาซะด้วย”
บอกอหันมาถามอย่างยิ้มๆ
“หนิดหนมขนาดนี้..มีซัมติ้งหรือเปล่าคะ”
“ไม่มีค่ะ ไม่มีแน่นอน เค้าแค่เป็นคนรู้จักทางธุรกิจน่ะค่ะ ไม่มีอะไรมากกว่านั้น” รัชนีรีบตอบทันควัน
เขียวหวานพูดในขณะที่มองปรางทิพย์และภคพงษ์อยู่
“แต่ภาพที่เห็นมันน่าจะมีอะไรนะคะเนี่ย”
รัชนีหันไปมองทันที
ภคพงษ์ยื่นช่อดอกไม้ให้ ปรางทิพย์ยกมือไหว้และยิ้มอย่างมีความสุข ช่างภาพขอถ่ายรูปคู่ ปรางทิพย์
ขยับมาถ่ายคู่กับภคพงษ์ด้วยความปลาบปลื้ม
รัชนีเริ่มร้อนใจกับแววตาและอากัปกิริยาของปรางทิพย์ รัชนีลุกพรวดขึ้นแล้วก็เดินพุ่งไปทันที บอกอกับเขียวหวานมองหน้ากันอย่างงงๆ
“อ้าว คุณแม่น้องปรางรอด้วยค่ะ”
บอกอรีบเดินตามไป เขียวหวานตามไปติดๆ

ปรางทิพย์ถ่ายรูปกับภคพงษ์ด้วยความภูมิใจและดีใจ
ทันใดนั้นเสียงรัชนีก็ดังขึ้น
"ขอโทษนะคะ"

บรรยากาศความสุขหวานหายวับไป ภคพงษ์เงยหน้ามองไปตามเสียง รัชนียืนอยู่ข้างๆช่างภาพ บอกอกกับเขียวหวานเดินตามมา รัชนีเปลี่ยนจากใบหน้าบึ้งตึงเป็นยิ้มหวาน และพูดจาอย่างอ่อนโยนมีมารยาท

“เห็นทีมงานบอกว่า เหลือถ่ายอีกแค่ชุดเดียว รบกวนให้น้องเปลี่ยนชุดแล้วถ่ายเลยได้มั้ยคะ คือว่าพอดี เพิ่งนึกได้ว่าเย็นนี้มีธุระกลัวว่าจะไปไม่ทัน”
ภคพงษ์ชะงัก รู้ทันว่าเป็นข้ออ้างของรัชนี
“ธุระอะไรเหรอคะคุณแม่ ปรางไม่เห็นทราบเลย”
รัชนียิ้มเนียนแล้วบอก
“ธุระคุณพ่อน่ะจ้ะ เพิ่งโทร.มาบอกคุณแม่เมื่อกี้นี้เอง”
ภคพงษ์แอบอมยิ้มนิดๆ รัชนีรู้สึกเหมือนโดนภัคพงษ์จับได้ก็รีบดึงรอยยิ้มกลับ
บอกอกับเขียวหวานเดินมาถึงพอดี
“ได้ค่ะ งั้นเราก็รีบๆกันหน่อยนะ ต้องเผื่อเวลาให้น้องสัมภาษณ์ด้วย”
ทีมงานพยักหน้ารับและพาปรางทิพย์ไปเปลี่ยนชุด
บอกอหันมาทางภคพงษ์บอก
“เชิญคุณภคพงษ์มานั่งเล่นที่มุมโน้นกับพี่ก่อนนะคะ เขียวหวานเตรียมเครื่องดื่มให้คุณด้วย”
“ค่ะ”
เขียวหวานรีบเดินไป
บอกอหันมาทางรัชนีและภคพงษ์
“เชิญทั้งสองท่านเลยนะคะ”
บอกอยิ้มแล้วก็เดินนำไป รัชนีกับภคพงษ์สบตากัน รัชนียิ้มเนียนเหมือนไม่มีอะไรติดค้างในใจ ก่อนจะเดินนำไป

ภคพงษ์มองตามด้วยแววตาขัดเคืองใจแกมสะใจก่อนจะเดินไป

ปรางทิพย์เปลี่ยนใส่ชุดสุดท้าย และโพสท่าถ่ายอีกมุมหนึ่งด้วยความแคล่วคล่องมากขึ้น และแล้วการถ่ายแบบก็เสร็จสิ้น

“ฟินแล้วค่า ปิดจ๊อบ” สไตลิสต์บอก
ทีมงานปรบมือด้วยความดีใจ ปรางทิพย์ยิ้มร่าเริง ยกมือไหว้พี่ๆ ทีมงานรอบวงอย่างน่ารัก
“ขอบคุณพี่ๆ ทุกคนนะคะ ขอบคุณมากค่ะ”
พี่ๆ รับไหว้ ช่างภาพแอบเก็บภาพสแน๊ปช็อต แสงแฟลชวูบวาบ

ข้างหน้าของที่นั่งของรัชนีกับภคพงษ์มีแก้วชา กาแฟ เครื่องดื่ม ของว่างวางอยู่ บอกอ และเขียวหวานนั่งอยู่ไม่ไกล ส่วนภคพงษ์นั่งอยู่ห่างออกไปเล็กน้อย รัชนียิ้มอย่างพอใจ รีบหันมาทางบอกอพร้อมทำท่าจะลุกไป
“พอน้องปรางเปลี่ยนชุดแล้ว ขอตัวกลับเลยนะคะ”
ภคพงษ์นั่งจิบชา สบายอารมณ์ ทั้งที่ในใจร้อนกรุ่นๆ ตลอดเวลา บอกอถามรัชนีด้วยความเกรงใจ
“ก่อนกลับขอสัมภาษณ์น้องปรางสักแป๊บนึงได้มั้ยคะ รับรองว่าไม่นานค่ะ”
รัชนีคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วบอก
“เอ่อ ก็ได้ค่ะ”
รัชนีจำใจต้องหันมานั่งเป็นปกติ ทั้งที่ในใจร้อนรนอยากจะกลับสุดๆ ภคพงษ์อมยิ้มร้ายกาจ

การสัมภาษณ์เริ่มต้น เครื่องบันทึกเสียงถูกกดเพื่ออัดเสียง บอกอนั่งสัมภาษณ์ปรางทิพย์ที่อยู่ในชุดลำลอง รัชนีนั่งอยู่ข้างๆ ภคพงษ์ขยับลากเก้าอี้มาอยู่อีกข้างใกล้ๆปรางทิพย์ รัชนีแอบปรายตามามองภคพงษ์นิดๆ ในใจแอบคิด ทำไมต้องย้ายมานั่งใกล้ๆ
“พี่ขออนุญาตฟังด้วยนะครับน้องปราง”
“ค่ะ”
ปรางทิพย์ยิ้มเขินๆ รัชนีเห็นอาการเขินของลูกแล้วร้อนใจอย่างบอกไม่ถูก
“เนื่องจากว่าวันนี้คุณแม่มาด้วย พี่เอ๋ขอถามถึงคุณแม่ก่อนเลยแล้วกัน น้องปรางกับคุณแม่สนิทกันมากมั้ยคะ”
“มากค่ะ” ปรางทิพย์ลากเสียงยาวยืนยันก่อนพูดต่อ
“คุณแม่เป็นเหมือนเพื่อนปราง เข้าใจทุกปัญหา แล้วก็ช่วยปรางแก้ปัญหาทุกอย่าง เราคุยกันทุกเรื่อง ไม่เคยมีความลับต่อกัน”
ภคพงษ์อมยิ้ม รัชนีชะงักนิดๆ รู้ตัวตามประสาวัวสันหลังหวะ รัชนีค่อยๆหุบยิ้ม
“ในสายตาของปราง คุณแม่เป็นคนยังไง”
“เป็นคนดีมากค่ะ ชอบช่วยเหลือคน ตอนอยู่ที่อังกฤษคุณแม่ทำงานการกุศลที่เกี่ยวกับเด็กกำพร้าเยอะมาก คุณแม่บอกว่าเด็กที่เกิดมาในครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์ เป็นเด็กที่น่าสงสาร ถ้าเราช่วยได้ เราก็ต้องช่วยค่ะ”
ภคพงษ์ชะงัก ก่อนทำหน้าสะอิดสะเอียนแล้วขยับตัวนิดๆด้วยความหมั่นไส้ลึกๆ รัชนีสัมผัสได้ถึงบรรยากาศนั้น
“แล้วคุณพ่อล่ะคะ ปรางคิดว่าคุณพ่อมองคุณแม่เป็นคนยังไง”
“โห..เป็นนางฟ้าเลยค่ะ”
ภคพงษ์เบือนออกไปมองข้างนอกด้วยความเอือมระอาแบบสุดๆ
“คุณแม่ช่วยงานคุณพ่อทุกอย่าง จำได้ว่าคุณพ่อชอบอะไร ไม่ชอบอะไร แล้วคุณพ่อก็ไว้ใจคุณแม่มาก”
ภคพงษ์ทนไม่ได้แทรกขึ้นอย่างสุภาพ
“แล้วคุณพ่อน้องปรางทราบหรือเปล่าครับว่า ก่อนจะแต่งงานกัน คุณแม่น้องปราง...”
รัชนีสวนขวับขึ้นมาอย่างเร็ว
“เปลี่ยนเรื่องดีกว่านะคะ”
ทุกคนงงหันมาทางรัชนี ยกเว้นแต่ภคพงษ์ที่นั่งนิ่งด้วยความสะใจ รัชนีพูดต่ออย่างยิ้มๆ
“คุยแต่เรื่องคุณแม่..เบื่อแย่เลย ถามเรื่องเกี่ยวกับน้องบ้างดีกว่าค่ะ ขอโทษด้วยนะคะ” รัชนีพูดพลางหันมาทางภคพงษ์พร้อมกับยิ้มสุภาพ
“ขอคำถามของพี่ภัคอีกข้อนึงก็คงไม่เป็นไรมั้งคะคุณแม่”
รัชนีสะอึก ปรางทิพย์หันมาทางภคพงษ์
“พี่ภัคจะถามว่าอะไรคะ ก่อนคุณแม่จะมาแต่งงานกับพ่อ..แล้วอะไรต่อคะ”
รัชนีปรายตามามองภคพงษ์ก่อนกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก รัชนีใจเต้มโครมคราม ภคพงษ์ปรายตามไปเห็นว่ารัชนีมือสั่นด้วยความตื่นเต้น ถึงแม้จะพยายามจับประสานกันไว้บนตัก แต่ก็สังเกตเห็นได้ ภคพงษ์ยิ้มสะใจ แล้วก็ตอบออกไปว่า
“ไม่เป็นไรครับ พี่ได้คำตอบแล้ว”
ปรางทิพย์มองหน้าอย่างงๆเล็กน้อย
ภคพงษ์พูดกับบอกอ
“ต้องขอโทษด้วยที่ถามแทรกขึ้นมา เชิญต่อได้เลยครับ”
“ค่ะงั้น...พี่เอ๋ถามต่อก่อนเลยนะคะ น้องปรางกลับมาไทยนานหรือยังคะ”
ปรางทิพย์ยังคงงงๆอยู่ รัชนีโล่งใจนิดๆ แต่ความสงสัยวิ่งเข้ามาแทนที่ รัชนีแปลกใจที่ภคพงษ์ไม่ถามต่อ รัชนีปรายตามามองภคพงษ์ด้วยความไม่วางใจและอยากรู้
ภคพงษ์จิบชา ท่าทางเหมือนสบายใจ แต่ข้างในกลับระอุไปด้วยความโกรธ เสียใจ และน้อยใจ

อีก 2-3 วันต่อมา ภายในรีสอร์ต พร้อมค่อยๆหย่อนตัวลงนั่งที่เก้าอี้อย่างระมัดระวัง ห้าวทำหน้าที่คอยประคองอยู่
“ค่อยๆนะลุง”
วิมลวางกระเป๋าที่ขนของมาจากโรงพยาบาลไว้ที่โต๊ะข้างๆ
“ฉันไปเตรียมข้าวให้นะ กินแล้วจะได้กินยา”
พร้อมพยักหน้ารับรู้ วิมลเดินออกไป สวนกับพิมพรรณที่เดินเข้ามาพร้อมกับแก้วน้ำในมือ วิมลพยักหน้าให้กำลังใจ พิมพรรณก้มหน้ารับอย่างมีหวัง พิมพรรณเดินเข้าไปหาพร้อม
“น้ำจ้ะพ่อ”
พร้อมมองหน้าพิมพรรณแล้วก็เบือนหน้าไปทางอื่น ไม่ตอบ ไม่มองหน้า แอบมีน้ำตาซึมๆ พิมพรรณหน้าเสีย
ห้าวรีบรับแก้วน้ำมา
“พี่กินเอง ขอบใจนะ”
ห้าวดึงแก้วน้ำจากมือพิมพรรณมาดื่มรวดเดียวหมดแก้ว พิมพรรณมองพร้อมแล้วก็ค่อยๆทรุดตัวลงนั่งข้างหน้า น้ำตาร่วง พิมพรรณยกมือพนมจะก้มกราบ
“พ่อจ๋า...พิมขอโทษ”
ทันใดนั้นพร้อมก็ลุกขึ้น พิมพรรณชะงัก ห้าวอึ้ง พร้อมบอกห้าว
“ไอ้ห้าว ข้าง่วง พาข้าไปนอนหน่อย”
ห้าวมองพิมพรรณที่นั่งพนมมืออยู่ “เอ่อ”
“เร็วสิเว้ย”
“จ้ะๆ”
ห้าวต้องรีบประคองพร้อมไป แต่ก็ยังหันมามองพิมพรรณด้วยความสงสารจับใจ พิมพรรณนั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วยความเสียใจอย่างหนัก

ภายในบ้าน วาริชพูดสร้างภาพขึ้นด้วยความเห็นใจ
“คุณพ่อคงยังโกรธอยู่ พิมก็ทำใจเย็นๆไว้ก่อนนะ สักพักท่านคงหาย”
พิมพรรณยังร้องไห้สะอึกสะอื้น
“แต่พ่อเป็นใจแข็งมาก เคยทะเลาะกับญาติเป็นปีก็ยังไม่ได้คุยกัน บางทีก็โกรธจนตายจากกันไปเลย ขนาดตาย พ่อยังไม่ไปเผาเลย”
“แหม..แต่ญาติกับลูกมันก็ไม่เหมือนกัน พิมเป็นลูกของท่าน ยังไงก็ต้องมีวันให้อภัย”
“แล้ว..ถ้ามันไม่มีวันนั้น พิมจะทำยังไง ถ้าพ่อไม่คุยกับพิมไปตลอดชีวิต พิมจะอยู่ในบ้านนั้นได้ยังไง”
วาริชเห็นพิมพรรณอยู่ในจังหวะอ่อนไหวก็รีบเข้าแผนต่อไปทันที
“เพื่อเป็นการรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด พิม เราไปจดทะเบียนกันนะ”
พิมพรรณอึ้ง มองหน้าวาริช
“จดทะเบียนไว้ก่อน ถึงไม่มีงานแต่งงาน พ่อพิมจะได้มั่นใจว่าผมรักพิมจริงๆ ตกลงนะ”
วาริชส่งสายตาหวานเชื่อมออดอ้อน

พิมพรรณมองหน้าวาริชแล้วแววตาก็หวั่นไหวและอ่อนแอ ในยามนี้ไม่รู้แล้วว่าจะไปทางไหน ไม่รู้ว่าอะไรดี ไม่ดี

ภายในบริษัทลงหลักปักฐาน รสาเปิดอ่านข้อความของภคพงษ์ในมือถือแล้วขำคนเดียวเบาๆ

“ฮึๆๆ”
ชีวินเหลือบมามองด้วยความแปลกใจ พิทยาเดินมาทักทันที
“เป็นอะไรจ้ะ นั่งอ่านข้อความแล้วอมยิ้ม มีหนุ่มบอกรักหรือไง”
รสารีบกดปิดแล้วกลบเกลื่อน
“ไม่ได้ยิ้มสักหน่อย แต่ขำ”
ชีวินเลื่อนเก้าอี้มาถาม
“แล้วขำอะไร”
“เออ นั่นสิ ขำนี่ท่าจะอาการหนักกว่ายิ้มอีกนะ ถ้ายิ้มๆก็แค่บอกรัก แต่ถ้าขำนี่ ถึงขั้นขอแต่งงานเลยนะ”
“ไปกันใหญ่ ที่บอกว่ามันไม่เหมือนกัน เพราะยิ้มก็อาจจะ เออ มีความสุข แต่ถ้าขำ คือมันตลก ก็เลยขำ ก็แค่นั้นแหละ วินกับพี่พิทคิดมาก”
รสาพูดจบก็หันไปทำงานต่อ สองหนุ่มถึงกับเหวอ มองหน้ากัน
“อ้าว สรุป จะรู้มั้ยว่า she ยิ้ม หรือ she ขำเรื่องอะไร”
ชีวินยักไหล่ ไม่รู้เหมือนกัน
ทันใดนั้นเสียงคัพเค้กก็ดังเข้ามา
“ข่าวใหญ่ค่า ข่าวใหญ่”
พิทยา ชีวิน หันไปตามเสียง แต่รสายังทำงานอยู่ไม่สนใจข่าวเม้าท์
คัพเค้กวิ่งเข้ามาพร้อมกับหนังสือพิมพ์ในมือ
“ข่าวใหญ่มั่กๆ”
พิทยาท้าวเอว
“ถ้าไม่ใหญ่จริงโดนหักเงินเดือน โทษฐานทำให้ผู้บริหารตกใจ”
คัพเค้กเริ่มหายหอบพลางกางหนังสือพิมพ์
“ใหญ่สิคะ รับรองว่าใหญ่แน่นอน นี่ค่ะ ข่าวคุณภคพงษ์กับกิ๊กใหม่”
รสาที่กำลังทำงานอยู่ถึงกับหยุดค้าง ใจหายวาบ ชีวินหันไปมองรสาเหมือนจะรู้ใจ รสาแอบตื่นเต้น ลึกๆ คิดว่า... ฉันหรือเปล่า


พิทยาอ่านข่าวซุบซิบอย่างตั้งใจมากเป็นพิเศษ
“ไฮโซคนดัง ภคพงษ์ เถลิงยศ”
รสาทำเป็นนิ่งๆแต่รอฟังอยู่ พิทยาอ่านต่อ
“หอบดอกไม้ให้กำลังใจนางแบบหน้าใหม่ที่ฮอตตั้งแต่งานถ่ายแบบชิ้นแรกยังไม่วางแผง”
รสาอึ้ง แววตาเปลี่ยนไปทันที งง สับสน ตัวชา ใจหายวาบ
“ใครอยากรู้ว่าสาวน้อยคนนี้เป็นใคร วันที่ 25 นี้หาซื้อนิตยสารที่เธอลงปกมาอ่านได้ มีบทสัมภาษณ์ซีฟสุดๆ”
รสานั่งนิ่ง สมองเหมือนมีอะไรบางอย่างมากดทับ คิดช้าลง มึน
พิทยาหันหนังสือพิมพ์มาทางชีวิน และรสาที่ยังนั่งนิ่งเหมือนจะทำงานอยู่ที่เดิม
“นี่ไงมีรูปด้วย”
เป็นรูปที่ภคพงษ์กับปรางทิพย์ยืนคู่กัน ในมือปรางทิพย์ถือช่อดอกไม้อยู่ในมือ
“สวย ใส ไฮโซมั่กๆ ชิ น่าหมั่นไส้”
ชีวินเพ่งมองใกล้ๆแล้วก็จำได้
“จำได้แล้ว รสคนนี้แหละที่วินเจอ คนที่ภคพงษ์อยู่ด้วยก่อนจะไปหารสเมื่อคืนนั้น”
พิทยากับคัพเค้กถึงกับหูตั้งทันที พิทยาถามย้ำ
“คุณภัคไปหารส”
“ไปตอนกลางคืนด้วย” คัพเค้กพูดเสริมต่อ
“ทำไม อะไร ยังไง ทำไมฉันไม่รู้เรื่อง รสเล่ามา” พิทยาพูดพลางมองจิกรสา
รสาอึกอัก ชีวินหน้าเสีย รสาพยายามทำใจแล้วเล่าอย่างเป็นปกติ
“คือ คุณภัคเค้าแวะไปทานข้าวที่บ้านน่ะค่ะ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ทาน เพราะเค้ามาช้า รสก็เลยไม่ได้รอ เรื่องมันก็มีแค่นี้หล่ะค่ะ รสไปเข้าห้องน้ำนะคะ”
รสาลุกขึ้นแล้วก็เดินไปเข้าห้องน้ำ พิทยา คัพเค้ก มองตามด้วยความงุนงง กับอาการชิ่ง ชีวินมองตามด้วยความเป็นห่วง พิทยาเดินมาโอบไหล่แล้วบอก
“ฉันรู้ว่ามันไม่แค่นี้ที่เหลือแกเล่ามา”
คัพเค้กสไลด์ตัวเข้ามาประกบอีกข้าง พยักหน้าเป็นทำนองว่า ใช่ เล่ามา ! ชีวินทำหน้าอึดอัด

รสาเดินเข้ามาในห้องน้ำ พอเข้ามาแล้วก็กดล็อกประตู ยืนพิงประตูด้วยความมึนงง สงสัย คำพูดของพิทยากับชีวินดังก้องเข้ามา
“ไฮโซคนดัง ภคพงษ์ เถลิงยศ หอบดอกไม้ให้กำลังใจนางแบบหน้าใหม่ที่ฮอตตั้งแต่งานถ่ายแบบชิ้นแรกยังไม่วางแผง”
“รสคนนี้แหละที่วินเจอ คนที่ภคพงษ์อยู่ด้วยก่อนจะไปหารสเมื่อคืนนั้น”
รสาจิตตก คำพูดภคพงษ์ก็แทรกเข้ามาคัดค้าน
"ยังโกรธเรื่องเมื่อคืนอยู่เหรอ?"
“ฉันไม่มีสิทธิ์อะไรที่จะโกรธคุณ”
“มีสิ สิทธิ์ของการเป็นคนสำคัญของผม เมื่อคืน การที่ผมไปช้าไม่ได้แปลว่าผมไม่เห็นความสำคัญของคุณ หรือเห็นคุณเป็นของเล่น ผมขอโทษที่ทำให้คุณต้องรอ”
รสาคิดหนัก ดึงตัวเองกลับมา น้ำตารื้น
“นี่เหรอ ไม่ใช่ของเล่น”
รสาเศร้าลึกๆ ในใจ

เผด็จคุยกับสายใจอยู่ภายในบ้ายเถลิงยศ ถือหนังสือพิมพ์อยู่ในมือ สายใจถามด้วยความตกใจ
“คุณเผด็จบอกว่าผู้หญิงในรูปนี้เป็นใครนะคะ”
“ลูกสาวของคุณรัชนีกับสามีใหม่”
“หะ งั้นก็เป็น..น้องสาวต่างพ่อของคุณหนู”
เผด็จพยักหน้า สายใจยิ่งงงหนัก
“แล้วทำไมข่าวมันออกมาเป็นทำนองนี้ อ่านแล้วมันไม่ใช่พี่น้องกันเลยนะคะ”
“เฮ่อ ก็เพราะคุณผู้หญิงไม่ได้บอกเรื่องคุณภัคกับครอบครัวใหม่น่ะสิ ตอนเจอกันที่ร้านอาหารก็ทำเหมือนคนไม่รู้จัก พูดคุยกันไปตามมารยาท ขนาดฉันไม่ได้นั่งฟังอยู่ด้วย ฉันยังดูออกเลย”
สายใจคิดแล้วก็เครียด
“คุณหนูนะ คุณหนูกำลังคิดทำอะไรอยู่”
เผด็จส่ายหน้า
“แล้วข่าวมันก็ออกมาทำนองนี้ ถ้าคุณผู้หญิงอ่านเจอมีหวัง...”

สายใจพูดเหมือนรู้ว่ารัชนีจะต้องแย่แน่ๆ

รัชนีวางหนังสือพิมพ์หน้าข่าวซุบซิบตรงหน้าสุวิทย์

“คุณเห็นข่าวนี้หรือยังคะ”
สุวิทย์กำลังเซ็นเอกสารอยู่ก็เงยหน้าขึ้นมาอ่าน รัชนียืนอยู่ฝั่งตรงข้าม มีปรางทิพย์ยืนหน้าเสียอยู่ไม่ห่างออกไป
สุวิทย์หยิบมาอ่านพร้อมดูรูป แล้วก็พูดเหมือนไม่ทุกข์ร้อน
“อ้าว...คุณภัคเอาดอกไม้มาให้ปรางด้วยเหรอลูก พ่อไม่เห็นรู้เลย”
ปรางทิพย์ตอบอย่างงงๆ
“เอ่อ..ใช่ค่ะ”
รัชนีของขึ้น แต่พยายามเก็บอาการ
“คุณอ่านแล้วไม่รู้สึกว่ามันไม่สมควรบ้างเหรอคะ”
สุวิทย์ขมวดคิ้วถาม
“ไม่สมควรยังไง”
รัชนีเริ่มเข้าเรื่องทันที
“ก็ลูกเรายังเด็ก พอข่าวมันออกมาแบบนี้ คนที่เสียหายก็คือลูกเรา คุณบอกเองว่าภคพงษ์มีข่าวกับผู้หญิงมากมาย แล้วคุณจะยอมให้ลูกเรากลายเป็นหนึ่งในความมากมายนั่นเหรอคะ”
รัชนีใส่ยาวอย่างสุภาพ แต่หนักแน่น และเต็มไปด้วยเหตุผลอันสมควรจะโกรธ ปรางทิพย์มองหน้าสุวิทย์ อยากรู้ว่าพ่อคิดว่ายังไง สุวิทย์พูดอย่างสุขุม
“ผมก็ไม่อยากให้ลูกเราเป็นแบบนั้น แต่ผมคิดว่าภคพงษ์คงไม่ได้คิดกับปรางแบบผู้หญิงพวกนั้น”
ปรางทิพย์แอบพยักหน้าเห็นด้วย รัชนีหันขวับมาทางปรางทิพย์อย่างรู้ทัน ปรางทิพย์หยุดแล้วก็ยืนนิ่งเหมือนเดิม สุวิทย์พูดตัดบท
“แต่ก็เอาเถอะ เพื่อความสบายใจของคุณ ผมจะไปคุยกับคุณภัคให้เค้าช่วยแก้ข่าวหรือทำอะไรให้มันดีขึ้น”
รัชนีชะงักนิดๆ กลัวภคพงษ์เจอกับสุวิทย์เป็นการส่วนตัว เลยตัดสินใจพูดขึ้น
“อย่าดีกว่าค่ะ เรื่องเล็กน้อยแบบนี้รัชจัดการเอง คุณจะได้ไม่ต้องเสียเวลา รัชจะไปคุยกับภคพงษ์เองค่ะ “
รัชนีพูดจบก็หยิบหนังสือพิมพ์แล้วก็เดินออกไป สุวิทย์ส่ายหน้าแต่ก็เข้าใจ ก้มหน้าทำงานต่อ ปรางทิพย์มองด้วยความงุนงงและเริ่มคิด และเริ่มเห็นความมากมายของรัชนีที่เกินความจำเป็น

ภายในห้องทำงานของภคพงษ์ ภายในเถลิงยศจิวเวอรี ทีมงาน 2-3 คนกำลังนำเสนอเรื่องงานเดินแฟชั่นโชว์เครื่องเพชรของบริษัท
“นี่เป็นแบบเวทีของงานแฟชั่นโชว์เครื่องประดับคอลเลคชั่นใหม่ ทางเราใช้สีของอัญมณีมาเทียบเคียงกับสีของดอกไม้ชนิดต่างๆ ภายใต้คอนเซปต์ “บุษบาบัณ อัญมณี” บุษบาบัณแปลว่าตลาดดอกไม้
โมเดลเวทีถูกเลื่อนมาที่หน้าภคพงษ์ ทีมงานคนเดิมนำเสนอความเห็นต่อ
“ชุดในโชว์จะเป็นผ้าไหม ไทยร่วมสมัย ทางเราจะนำแบบชุดมาให้คุณภคพงษ์เลือกอีกครั้ง”
ภคพงษ์พยักหน้ารับทราบไม่โต้แย้ง
“ส่วนนางแบบจะแบ่งเป็น ๒ ส่วน คือ นางแบบอาชีพ 70 เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือจะเป็นเซเลบที่กำลังอยู่ในกระแส เราจะเชิญมาร่วมเดินแบบเพื่อเรียกให้นักข่าวมาทำข่าว อีก 30 เปอร์เซ็นต์ หลังจากสรุปรายชื่อนางแบบทั้งหมดได้แล้วจะรีบส่งให้คุณภคพงษ์พิจารณาค่ะ”
“ได้ครับ เท่าที่เสนอมา ผมไม่ติดขัดอะไร จะรอดูของจริงอีกครั้ง เชิญพวกคุณดำเนินงานต่อได้เลย” ภคพงษ์บอก
ทีมงานยิ้มพอใจ
“โอเคค่ะ รับรองว่างานแฟชั่นโชว์ที่จะมีขึ้น ต้องถูกใจคุณภคพงษ์แน่นอนค่ะ”
ภคพงษ์ยิ้มรับ ทีมงานทั้งหมดลุกขึ้นแล้วก็เดินออกไป ภคพงษ์มองดูเวทีอีกครั้งด้วยความพอใจ
เลขาเดินสวนกับทีมงานเข้ามา
“คุณภคพงษ์คะ มีแขกมาขอพบค่ะ”
ภคพงษ์ถามไม่เงยหน้าแต่ถาม
“ใคร”
เสียงรัชนีดังแทรกเข้ามาทันที
“ฉันเอง”
ภคพงษ์สะดุดหูกับเสียงที่รู้ว่าเป็นใคร ภคพงษ์เงยหน้าขึ้น รัชนียืนอยู่ที่ประตู การเผชิญหน้าเกิดขึ้นอีกครั้ง

ประตูห้องทำงานของภคพงษ์ถูกปิดลง ในห้องเหลือแค่ภคพงษ์และรัชนีเพียงสองคน
“รู้สึกเป็นเกียรติที่คุณรัชนีจำทางมาที่นี่ได้ นึกว่าจะลืมไปหมดทุกอย่าง”
รัชนีไม่สะทกสะท้าน ไม่ต่อปากต่อคำแต่ถาม
“เห็นหรือยัง”
รัชนีวางหนังสือลงที่หน้าภคพงษ์ ภคพงษ์ปรายตามามองแล้วก็อมยิ้มนิดๆ
“ภาพก็สวยดี แต่เสียดาย ผมน่ายิ้มมากกว่านี้”
“ฉันคิดว่าเราคุยกันรู้เรื่องไปแล้ว ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน”
ภคพงษ์มองหน้า แววตาแข็งขึ้น ยื่นหน้าเข้ามา
“ก็รู้เรื่องไงครับ คุณบอกให้ผมลืมอดีต ผมก็ลืม ลืมว่าคุณกับผมเป็นอะไรกัน แล้วมันก็ทำให้ผมลืมไปด้วยว่าผมกับปรางทิพย์เป็นอะไรกัน”
รัชนีสะอึก กึก ภคพงษ์มองหน้าอย่างเหนือชั้น ในแววตามีความกระหยิ่มร้ายอยู่ในที รัชนีเสียงเริ่มสั่นด้วยความโกรธ
“ทำแบบนี้ทำไม”
“ทำแล้วสบายใจ ก็ทำ เห็นคนที่กำลังดิ้นทุรนทุรายกับอดีตของตัวเองแล้วมัน..มีความสุข”
ภคพงษ์แสยะยิ้มร้าย ทุกคำพูดออกมาจากโทสะ โมหะ และความแค้น รัชนีมองหน้าภคพงษ์ แต่แววตาอ่อนลง เกือบจะเป็นขอความเห็นใจ
“ลูกสาวฉันไม่ใช่เครื่องมือในการแก้แค้น ชีวิตคนไม่ใช่ของเล่น หยุดซะ ก่อนที่มันจะบานปลายมากไปกว่านี้”
รัชนีพูดจบหันไปหยิบกระเป๋า ภคพงษ์ยืนนิ่งรู้สึกได้ถึงการออกคำสั่งของความเป็นแม่ แต่ลึกๆในใจภคพงษ์ไม่ยอมรับจึงพูดสวนออกไป
“ถ้าชีวิตของลูกสาวคุณไม่ใช่เครื่องมือในการแก้แค้น แล้วชีวิตของผมคืออะไร”
รัชนียืนหันหลังอยู่ชะงักอยู่ ภคพงษ์พูดต่อ น้ำเสียงที่แข็งกร้าวมีสำเนียงของความเสียใจซ่อนอยู่
“หรือว่ามันเป็นแค่อะไรสักอย่างที่คุณอยากทิ้งไปเมื่อไหร่ก็ได้ อยากลืมมันไปเมื่อไหร่ก็ได้”
รัชนีสะอึก น้ำตาจุกอยู่เบ้าตา แต่เธอไม่ยอมให้มันไหลออกมา รัชนีสกัดมันไว้ เชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยและหันมา
พูดกับภคพงษ์ เหมือนออกคำสั่งอีกครั้ง
“ไม่มีประโยชน์ที่เธอจะมาหมกหมุ่นกับคำถามนี้ ไม่ว่าชีวิตเธอจะเป็นอะไร ตอนนี้เธอก็มีทุกอย่างทั้ง เงินทอง ชื่อเสียง หน้าตาในสังคม เธอจะอยากรู้คำตอบนี้ไปทำไม อดีตถ้ามันเลวร้าย ก็ลืมมันไปซะ”
“เหมือนที่คุณลืมผมกับพ่อ” ภคพงษ์สวนขวับทันที
รัชนีสะดุด..กึก...อึ้ง พูดไม่ออก
“เราสองคนคงเลวร้ายมากๆ ในความคิดของคุณ”
ภคพงษ์มองตาความโกรธแค้นและน้อยใจที่กระจายออกมาอย่างเห็นได้ชัด จนรัชนีต้องรีบตัดบท
“ฉันขอย้ำอีกครั้ง...อย่ามายุ่งปรางทิพย์”
ภคพงษ์รู้สึกเหมือนโดนมีดกรีดกลางใจ ที่รัชนีไม่สนใจความรู้สึกของตัวเองแม้แต่นิดเดียว เมื่อพูดจบรัชนีก็หันหลังเดินออกไปเลย

ประตูห้องปิดลงภคพงษ์ยืนแค้นอยู่กลางห้องด้วยอารมณ์เดือดพล่านและพาลสุดๆ

รัชนีเดินออกมานอกห้อง พอพ้นสายตาผู้คน รัชนีถึงกับเซ จนต้องเอาถือท้าวผนังไว้ ความอึดอัด ถูกระบายออกมา น้ำตาแห่งความรู้สึกผิดไหลออกมาอย่างยากจะกลั้น คำถามภคพงษ์ดังก้องในความคิด

“ถ้าชีวิตของลูกสาวคุณไม่ใช่เครื่องมือในการแก้แค้น แล้วชีวิตของผมคืออะไร หรือว่ามันเป็นแค่อะไรสักอย่างที่คุณอยากทิ้งไปเมื่อไหร่ก็ได้ อยากลืมมันไปเมื่อไหร่ก็ได้”
ภาพภคพงษ์ตอนเด็กที่วิ่งไล่ตามร้องเรียกเธอย้อนกลับเข้ามาในความคิด
ความอ่อนแอ หวาดหวั่น และรู้สึกผิด ถาโถมเข้ามาหารัชนี อดีตที่เธอพยายามกลบฝังผุดขึ้นมาตรงหน้า
รัชนีพยายามหยัดตัวขึ้นยืนให้ตรง ปาดน้ำตาและปั้นหน้าให้ปกติ สูดลมหายใจลึกๆ
รัชนีมองทางที่ทอดไปข้างหน้าด้วยแววตาเริ่มนิ่งขึ้น แต่ก็ยังมีแววของความอ่อนไหวซ่อนอยู่

ภายในห้อง ภคพงษ์ยังยืนโกรธอด้วยความคิดทีพุ่งพล่าน คำสั่งรัชนีดังก้องเข้ามา
“ฉันขอย้ำอีกครั้ง อย่ามายุ่งปรางทิพย์”
ภคพงษ์แค่นหัวเราะ ส่ายหน้าอย่างไม่เชื่อ
ภคพงษ์ยิ้มร้ายหันไปเห็นเวทีแฟชั่นโชว์ที่วางอยู่ แผนการแก้แค้นขั้นต่อไปผุดขึ้นมาทันที

ภายในบ้านรัชนี ปรางทิพย์โพล่งขึ้นด้วยความดีใจ
“พี่ภัค ชวนปรางไปเดินแบบในงานเปิดตัวเครื่องเพชรเหรอคะ”
สุวิทย์พยักหน้ายิ้มๆ ทั้งสองคนนั่งคุยกันอยู่ในห้องรับแขกภายในบ้าน
“แล้วคุณพ่อ..ตอบไปว่ายังไงคะ”
“พ่อบอกว่าขอมาถามปรางก่อน”
ปรางทิพย์รีบพยักหน้าบอก
“ได้ค่ะคุณพ่อ ปรางสนใจค่ะ ปรางคิดว่าถ้าได้ร่วมงานนี้ มันน่าจะเป็นประโยชน์กับการเรียน ปรางก็อยากรู้เหมือนกันว่าวงการแฟชั่นของที่นี่เป็นยังไง น่าตื่นเต้นมากเลยค่ะ”
สุวิทย์ยิ้มอย่างเห็นด้วย
“ดีแล้วลูก ระหว่างรอเปิดเทอมก็จะได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์เต็มที่ งั้นพ่อจะได้ตอบรับคุณภัคเค้าไป”
ปรางทิพย์นึกได้
“ค่ะ แต่ คุณแม่จะยอมเหรอคะ แค่เป็นข่าวกับพี่ภัคก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เห็นบอกว่าจะออกไปคุยกับพี่ภัคก็ยังไม่เห็นกลับมาเลย”
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง คุณภัคบอกพ่อว่า หลังจากคุยกับคุณแม่ก็เลยได้ความคิดนี้ขึ้นมา พ่อเลยคิดว่า เค้าสองคนน่าจะปรับความเข้าใจกันได้แล้ว”
ปรางทิพย์ยิ้มสบายใจ โดยที่ไม่รู้เลยว่าเข้าใจผิดกันทั้งคู่ ปรางทิพย์เริ่มฝันถึงวันเดินแบบ
“งานแฟชั่นโชว์ มันต้องเป็นงานที่สนุกมากแน่ๆ”
ปรางทิพย์ยิ้มสดใสอย่างสนุกสนาน

ภายในกองถ่าย พักตร์วิมลถือหนังสือพิมพ์ที่มีรูปปรางทิพย์อยู่ในมือแล้วอ่านด้วยสีหน้าและอารมณ์จิกอย่างแรง
“นังเด็กนี่มันเป็นใคร”
พักตร์วิมลปาหนังสือลงบนโต๊ะข้างหน้าอย่างแรง
“ภัคนะภัค ตั้งแต่เกิดเรื่องโทร.ไปก็ไม่รับสาย แล้วก็ไม่โทร.กลับ เห็นฉันเป็นอะไร”
พักตร์วิมลคิดแค้นแล้วก็หยิบโทรศัพท์มาโทร.ออก
“มันไม่จบง่ายแบบนี้หรอก”
พักตร์วิมลรอสาย จนมีคนรับก่อนดัดเสียงนางเอก วิญญาณดาราตุ๊กตาเข้าสิงขึ้นมาทันที
“พี่ติ๋มเหรอคะ ยุ่งเปล่าคะ...แพตมีเรื่องอยากจะถามน้องๆนักข่าวในเครือพี่ติ๋มนิสนึงค่ะ”
พักตร์วิมลพูดเสียงหวานอย่างนางเอก แต่แววตาจิกร้ายอย่างไม่น่าวางใจ

เวลาบ่ายเกือบเย็น ที่บริษัทลงหลักปักฐาน รสากำลังเก็บของกำลังจะออกจากออฟฟิศ ชีวินเดินเข้ามาถาม
“รสเป็นไงบ้าง โอเคเปล่า”
รสาหันมาทำหน้างงๆ
“โอเคสิ ทำไมต้องไม่โอเคด้วย”
“ก็เรื่องข่าว”
“นั่นมันเป็นข่าวคุณภัคกับสาวๆของเค้า มันไม่ใช่เรื่องของรสสักหน่อย ทำไมรสต้องไม่โอเคด้วย รสไปก่อนนะ”
รสาเตรียมจะไป ชีวินรีบพูดขึ้นอีก
“งั้น ถ้ารสโอเค เย็นนี้เราไปหาของอร่อยๆกินกันนะ”
“ขอบใจที่ชวนจ้ะ”
ชีวินยิ้ม รสาพูดต่อ
“แต่รสต้องเข้าไปตรวจงานที่บ้านเถลิงยศ อยากจะรีบปิดจ๊อบเร็วๆ เริ่มเบื่อแล้ว อยากเริ่มงานใหม่”
รสาพูดคำว่าเบื่ออย่างมีนัยยะแฝง ชีวินมองด้วยความเข้าใจ
“ไปก่อนนะ”
รสาเดินออกไป ชีวินมองตามแล้วก็พูดอย่างรู้ทัน
“อาการแบบนี้ ไม่โอเคชัดๆ เฮ่อ”
ชีวินถอนหายใจเบาๆ ด้วยความเป็นห่วง แต่ก็น้ำท่วมปากเพราะเจ้าตัวไม่ยอมรับ

พักตร์วิมลกำลังพยายามเกลี้ยกล่อมปุยนุ่น อยู่ในมุมหนึ่งของบ้านเถลิงยศ พักตร์วิมลพูดในน้ำเสียงนางเอกอีกครั้ง เหมือนกับสมองจำไม่ได้แล้วว่าครั้งที่แล้วมาออกฤทธิ์อะไรไว้
“ไม่ต้องกลัวว่าจะเดือดร้อนหรอกจ้ะ มีอะไรก็บอกมาเถอะ ที่แพตถามก็เพราะเป็นห่วงภัค กลัวว่าจะโดนเด็กๆ มาหลอก เหมือนครั้ง ยูโฮะน่ะ”
ปุยนุ่นยกหนังสือพิมพ์ขึ้นมาดูอีกครั้ง
“ปุยก็ไม่กลัวเดือดร้อนหรอกค่ะ แต่ปุยไม่รู้จักจริงๆ คนที่อยู่ในรูป ก็เพิ่งเห็นครั้งนี้เป็นครั้งแรกเนี่ยหล่ะค่ะ น่ารักดีนะคะ หน้าใส๊ใส”
พักตร์วิมลถึงกับสะดุ้ง ปุยนุ่นสะดุ้งนิดๆ อย่างรู้สึกตัว
“อุ่ย..แหะๆ คุณแพตก็หน้าใสนะคะ”
พักตร์วิมลเชิดบอก “ฉันรู้”
ปุยนุ่นสะดุ้งจะโดนอีกมั้ยเนี่ย
พักตร์วิมลกลับมาเป็นนางเอกเหมือนเดิมอีกครั้งแล้วถาม
“แล้ว..คนอื่นล่ะมีใครเคยเห็นเด็กนี่มาหาภัคบ้างหรือเปล่า”
“ที่เรือนใหญ่เนี่ย รับรองว่าไม่มีแน่นอนค่ะ ปุยถามจนทั่วแล้ว ไม่มีใครในเรือนใหญ่เคยเจอหน้าคุณคนนี้เลยค่ะ”

พักตร์วิมลนิ่งคิด ถ้าเรือนใหญ่ไม่มี แล้วเรือนหลังเล็กล่ะ

ตะวันทอแสง ตอนที่ 8 (ต่อ)

ในเวลาต่อมา ภายในเรือนหลังเล็ก ขณะที่รสาเดินตรวจงานอยู่ ทันใดนั้นพักตร์วิมลก็โผล่ออกมา รสาชักสีหน้าแอบเซ็ง

“ภัคเคยพาผู้หญิงคนอื่นมาที่นี่หรือเปล่า”
รสาเหลือบไปเห็นพักตร์วิมลถือหนังสือพิมพ์อยู่ในมือก็รู้ทันที รสาเงยหน้ามาตอบอย่างเซ็งๆ
“ขอโทษนะคะ ดิฉันทำงานเสร็จแล้ว ต้องรีบกลับ”
พักตร์วิมลเดินเข้ามาขวาง
“เดี๋ยว ทำเป็นชิ่งแบบนี้แปลว่ามีใช่มั้ย”
“ฉันไม่ได้ชิ่ง ไม่ได้หนี แต่ฉันไม่อยากเสียเวลา ถ้าคุณอยากรู้ว่าผู้หญิงที่เป็นข่าวกับคุณภคพงษ์เป็นใครก็ควรจะไปถามเจ้าตัวเอาเอง ฉันไม่ทราบ”
รสาเดินไปทันที พักตร์วิมลแทบกรี๊ด

รสาเดินผ่านมาสักระยะก็หันไปมามองเห็นพักตร์วิมลที่ยืนกำหมัดแน่น ด้วยความอยากรู้แต่ไม่ได้ดั่งใจ รสาส่ายหน้าตอกย้ำสะท้อนถึงตัวเอง ก่อนจะเบือนหน้าหนีแล้วเดินออกมา

ภายในเรือนหลังเล็ก พักตร์วิมลปาหนังสือพิมพ์ทิ้ง แล้วก็โวยวายออกมา
“ทำไมไม่มีใครรู้จักนังเด็กนี่นะ”
โทรศัพท์มือถือดังขึ้น พักตร์วิมลหยิบมาดูแล้วก็ยิ้มนิดๆ รีบกดรับ
“พี่ติ๋มสวัสดีค่ะ รู้แล้วเหรอคะว่าเด็กนั่นเป็นใคร รู้ไปถึงแม่เลยเหรอคะ”
พักตร์วิมลยิ้มกว้าง...เสร็จฉันแน่

บริเวณหน้าโฮมสเตย์ของอาภรณ์ตกอยู่ในบรรยากาศเงียบเหงา รสานั่งอยู่ที่หน้าบ้าน คิดถึงเรื่องเกิดขึ้นกับพักตร์วิมล ยูโฮะ และปรางทิพย์
“มีผู้หญิงอีกกี่คนที่ต้องทุกข์ทรมานเพราะคุณ...”
ภาพสุดท้ายในห้วงความคิดนั้นมีภาพภคพงษ์ยิ้มหล่อแว่บเข้ามา รสาสะดุ้งนิดๆ พยายามไล่ภาพดีๆ ออกไป
จู่ๆ โทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น รสาหันขวับมาดู ในใจคิดถึงภคพงษ์

“รสเป็นไงบ้าง สบายดีเปล่าจ๊ะ”
ไม่ใช่ภคพงษ์ หากแต่เป็นห้าว
รสาลังเลนิดๆ ก่อนจะถามกลับ
“พี่ห้าวโทร.มาเรื่องข่าวอีกคนหรือเปล่า”
ห้าวขมวดคิ้วอย่างงงๆ
“ข่าวอะไร นี่...พี่ตกข่าวอะไรหรือเปล่า”
รสารีบเปลี่ยนเรื่องทันที
“เปล่าจ้ะ ไม่มีอะไรสำคัญก็แค่ข่าวทั่วไป...เออพี่ห้าว พิมกับอาพร้อมเป็นไงบ้าง”
ห้าวถอนใจ
“เฮ่อ อาการแย่ทั้งคู่ ตั้งแต่เกิดเรื่องลุงยังไม่ยอมคุยกับพิม ทั้งพี่ทั้งป้าช่วยกันเกลี้ยกล่อมก็ไม่ยอมฟัง พี่กลัวว่าถ้าปล่อยไว้แบบนี้ พิมจะยิ่งเตลิด”
รสาเป็นห่วงขึ้นมาทันที
“ถ้ารสมีเวลากลับมาคุยกับลุงเค้าหน่อยสิ ก่อนที่เรื่องมันจะบานปลายมากไปกว่านี้”
“ได้ๆ รสจะรีบเคลียร์งานแล้วหาเวลากลับไปนะ”
ห้าวยิ้มรับ
“แล้วเจอกันนะรส เอ้อ แล้วรสก็ดูแลตัวเองดีๆล่ะ ผู้ชายคนไหนไม่น่าไว้ใจอย่าไปเข้าใกล้นะ รู้หรือเปล่า”
รสาแอบสะอึกนิดๆ กับคำพูดซื่อของห้าว
“จ้ะ ฝากพี่ห้าวดูแลพิมด้วยนะ เจอกันจ้ะ”
รสาวางสายแล้วถอนใจ
“เฮ่อ บนโลกนี้มีผู้หญิงที่ต้องเป็นทุกข์เพราะความรักเยอะจริงๆ”
รสารำพึงรำพันออกมาโดยไม่รู้เลยว่าตัวเองก็เป็นหนึ่งในนั้น

ภายในบ้านวงศ์เธียสถิตย์ เวลากลางคืน รัชนีปฎิเสธเสียงแข็ง
“รัชไม่ยอมให้ลูกไปเดินแบบกับภคพงษ์”
สุวิทย์นั่งเอนหลังอ่านหนังสือก่อนลดหนังสือลง เห็นรัชนียืนอยู่
“แต่ผมรับปากเค้าไปแล้ว ไปปฎิเสธตอนนี้จะดูไม่ดี”
“งั้นรัชเป็นคนปฎิเสธเองค่ะ”
“รัช...คุณเป็นอะไรหรือเปล่า ตั้งแต่ไปคุยกับภคพงษ์มาคุณดูเงียบๆ แล้วนี่ก็เหมือนจะไม่พอใจเอามากๆ ตกลงว่า..คุณมีปัญหาอะไรกับภคพงษ์กันแน่ ผมนึกว่าวันนี้ไปเคลียร์กันเข้าใจแล้วซะอีก เพราะเค้าบอกว่า...เค้าได้ความคิดนี้ หลังจากที่ได้คุยกับคุณ”
รัชนีชะงักกึก
“หลังจากที่คุยกับรัช”
“ใช่ เค้าบอกว่า พอคุยกับคุณทำให้อยากร่วมงานกับปราง ก็เลยโทร.มาชวน”
รัชนีหน้าซีด หมดแรงค่อยทรุดนั่งบนเตียง สุวิทย์มองด้วยความไม่เข้าใจแล้วก็พูดขึ้น
“ผมก็ไม่รู้ว่าคุณไปคุยอะไร แต่ผมรับปากเค้าไปแล้ว ผมจะไม่คืนคำ”
สุวิทย์ส่ายหน้านิดๆ แล้วก็ก้มอ่านหนังสือต่อ รัชนีนั่งอึ้งอยู่ที่เดิมทั้งสับสนทั้งร้อนใจในคราวเดียว

เช้าวันต่อมา ในบรรยากาศสบายๆ ปุยนุ่นยกถาดอาหาร ภคพงษ์นั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ โดยมีสายตาของสายใจคอยควบคุมการจัดวาง
“เช้านี้มีข้าวต้มนะคะ เห็นวันก่อนคุณหนูบ่นอยากทาน”
ภคพงษ์วางหนังสือพิมพ์ หันมาขอบคุณยิ้มๆ
“ขอบคุณครับ”
ภคพงษ์เริ่มลงมือทาน สายใจเห็นภคพงษ์อารมณ์ดีก็ตัดสินใจบางอย่าง ก่อนพูดหันมาพยักหน้าให้ปุยนุ่นเดินออกไป ปุยนุ่นทำท่าสาระแนไม่อยากไป แต่ก็ต้องไปเพราะสายใจทำตาวาวใส่
ภคพงษ์กินข้าวต้มด้วยความสบายใจ สายใจมองๆ หาจังหวะแล้วก็เริ่มถาม
“ป้าเห็นข่าวแล้วนะคะ .. คุณหนูยังโกรธคุณผู้หญิงอยู่เหรอคะ”
สายใจถามตรงๆ ด้วยความเป็นห่วง ภคพงษ์ตอบนิ่งๆ แต่คิด
“ไม่ใช่โกรธ แต่มากกว่านั้น”
สายใจได้ยินแค่นั้นก็รู้ว่าภคพงษ์ไม่อยากพูด สายใจเลยเตือนสติแบบอ้อมๆ
“คุณหนูจะทำอะไรตามอารมณ์ป้าก็ไม่ว่า แต่อย่าลืมนึกถึงความรู้สึกของคนอื่นด้วยนะคะ”
ภคพงษ์นึกถึงรัชนี ...จะไปนึกถึงทำไมในเมื่อรัชนียังไม่เคยนึกถึงความรู้สึกของคนอื่น ลูกตัวเองแท้ๆ ยังไม่สนใจ
สายใจมองภคพงษ์ด้วยความเข้าใจแล้วก็พูดด้วยความเมตตา
“ป้าไม่ได้หมายถึงคุณผู้หญิง แต่ป้าหมายถึงอีกคน”
ภคพงษ์มองอย่างแปลกใจ
“คนที่เค้าไม่รู้เรื่องรู้ราว ไม่รู้ว่าคุณหนูกำลังคิดจะทำอะไรอยู่ ถ้าเค้าเห็นข่าวเค้าอาจจะเสียใจก็ได้นะคะ”

ภคพงษ์ชะงักนิ่งคิด แอบรู้สึกผิดนิดๆ ที่ลืมนึกถึงความรู้สึกของรสา

ขณะนั้น รสากำลังคุมการเก็บงานในเรือนหลังเล็ก การซ่อมแซมบ้านเกือบจะเสร็จเรียบร้อย

“ถ้าห้องไหนเคลียร์งานเรียบร้อยแล้ว ย้ายอุปกรณ์ออกให้หมดเลยนะคะ จะให้คนเข้ามาทำความสะอาด”
“ครับ” หัวหน้าช่างรับคำ
รสาเดินเช็กความเรียบร้อยทีละจุดอย่างชำนาญ และตั้งใจ


บริเวณด้านนอกของเรือนหลังเล็ก ชีวินกำลังคุมคนเอาต้นไม้มาลง และปรับสภาพดิน ทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทาง
“เบาๆนะพี่..ต้นไม้ชุดนั้นพักไว้ก่อนครับอย่าเพิ่งลงสวน เอาไปเก็บที่อาคารด้านหลัง ขอปรับดินด้านนี้ก่อนครับ”
รสาเดินมาเห็นชีวินทำงานก็มองให้กำลังใจ บรรยากาศอบอวลไปด้วยมิตรภาพอันแสนงาม
ภคพงษ์เดินเข้ามาทางด้านหลังของรสา เห็นชีวินกับรสายิ้มให้กันพอดี
“รสา”
รสาหุบยิ้มก่อนตั้งสติเตรียมรับมือ ฝ่ายชีวินก็หุบยิ้มแล้วเดินเข้ามาหาทันที
รสาหันมาเผชิญหน้า
“คะ”
“เสียงแข็งแบบนี้ แสดงว่าเห็นข่าวแล้วใช่มั้ย”
รสากำลังจะตอบ แต่เสียงโทรศัพท์มือถือในมือภคพงษ์ดังขึ้น รสาชะงัก
ภคพงษ์เหลือบไปมองเห็นชื่อปรางทิพย์ก็ชะงักนิดๆ ด้วยสัญชาตญาณ รสารับรู้ได้ทันทีว่าต้องเป็นคน
สำคัญจึงรีบชิงตัดบท
“ดิฉันขอตัวไปทำงานต่อก่อนนะคะ”
รสาพูดจบก็เดินหันหลังเข้าเรือนหลังเล็กไป
ภคพงษ์มองตามอย่างลังเล เสียงโทรศัพท์ดังต่อเนื่อง ภคพงษ์คิดในแว่บนั้นก็ตัดสินใจกดรับสาย
“สวัสดีครับ”
ภคพงษ์หันหลังแล้วเดินกลับออกไป ชีวินยืนมองดูด้วยความไม่พอใจอย่างแรง

รสาเดินเข้ามาในบ้าน แล้วก็หยุดที่หลังกำแพง ค่อยๆหันเหลือบมามองภคพงษ์ผ่านทางหน้าต่าง เห็นภคพงษ์เดินคุยโทรศัพท์กลับไปที่ทางเดิม รสาใจแฟ่บลงทันที น้ำตารื้นและถอนใจกับตัวเอง
ชีวินเดินมาเห็นรสาในอารมณ์เศร้าลึก สับสน ชีวินมองด้วยความสงสาร

ภายในบ้านวงศ์เธียรสถิตย์ ปรางทิพย์คุยโทรศัพท์ด้วยน้ำเสียงสดใส
“คุณพ่อบอกปรางเรื่องเดินแบบแล้วนะคะ ตื่นเต้นมากเลยค่ะ”
ภคพงษ์เดินคุยโทรศัพท์ในระหว่างทางเดินที่จะไปยังเรือนหลังใหญ่
“ไม่ต้องตื่นเต้นครับ งานเราไม่ใหญ่มาก จัดแบบเล็ก ๆ อบอุ่น มีแต่คนกันเอง”
ปรางทิพย์คุยด้วยความตื่นเต้น
“ถ้าปรางอยากจะทราบรายละเอียดเพิ่มเติม ปรางจะคุยกับใครได้คะ”
ภคพงษ์ตอบยิ้มๆ อย่างเอ็นดู
“คุยกับพี่ก็ได้ครับ อยากรู้อะไรถามมาได้เลย”
ภคพงษ์ยิ้มมีความสุขเหมือนได้คุยกับน้องสาว ส่วนปรางทิพย์ยิ้มมีความสุข เหมือนได้คุยกับชายในฝัน
“ขอบคุณพี่ภัคมากค่ะ”
ด้านหลังปรางทิพย์ รัชนียืนอึ้ง ใจเต้น ด้วยความเป็นห่วง แต่ไม่รู้จะทำยังไง ทันใดนั้นมือถือ
ของปรางทิพย์ก็ดังขึ้น รัชนีรีบหลบออกมาพร้อมกับกดรับ เพราะกลัวลูกจะรู้ว่าแอบฟังโทรศัพท์ รัชนีรีบเดินเลี่ยงมาอีกห้องหนึ่ง

รัชนีเดินเข้ามาอีกห้อง พร้อมกับคุยโทรศัพท์
“สวัสดีค่ะ”
“คุณรัชนี แม่ของน้องปรางทิพย์ใช่มั้ยคะ”
“ใช่ค่ะ...นี่ใครคะ” รัชนีถามด้วยความแปลกใจ
พักตร์วิมลยิ้มกริ่ม
“เราไม่รู้จักกันเป็นการส่วนตัว แต่แพตคิดว่า เราควรจะเจอกันเพื่อคุยเรื่องลูกสาวของคุณ กับภคพงษ์”
พักตร์วิมลยิ้มเหนือ รัชนีชักสีหน้าอย่างขัดเคืองใจนิดๆกับน้ำเสียง ความเป็นแม่แผ่ซ่านออกมาอย่างเห็นได้ชัด รัชนีสัมผัสได้ว่า ไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน

ในเวลาต่อมา เผด็จกำลังควบคุมการทำงานของเลขาที่นำเครื่องเพชรที่จะใช้ในงานแฟชั่นโชว์ เพื่อให้ภคพงษ์ตรวจ
“จัดให้ตรงตามลำดับที่จะใช้โชว์ในงานนะ ชุดไหนที่ยังทำไม่เสร็จ คุณภัคจะได้ทราบ”
“ค่ะ”
เลขาง่วนกับการเรียงเครื่องเพชร เลขาอีกคนเดินเข้ามา
“ทางบริษัทออร์กาไนซ์ส่งรายชื่อนางแบบ มาให้คุณภัคพิจารณาค่ะ”
“ขอบใจ” เผด็จบอก
เผด็จรับมาเปิดอ่านแล้วก็อึ้งไป เผด็จมองที่รายชื่อหนึ่งที่ปรากฏอยู่ด้วยความแปลกใจ

สายใจตกใจเมื่อได้ยินเผด็จเล่าให้ฟัง
“คุณหนูเชิญลูกสาวคุณผู้หญิงมาเดินแบบของที่ร้าน”
เผด็จพยักหน้า ทั้งสองคนคุยกันอยู่ในมุมประจำ
“ใช่ ฉันก็ตกใจเหมือนกัน เชคกลับไปที่บริษัทจัดงาน เค้าบอกว่าเป็นนางแบบกิตติมศักดิ์ของคุณภัค”
“คุณหนูทำแบบนี้คงอยากให้คุณผู้หญิงร้อนใจ ยิ่งรู้ว่าทางครอบครัวนั้นไม่รู้ความจริง คงจะยิ่งสนุกที่ได้ปั่นหัว” “สายใจลองคุยกับคุณภัคเธอหน่อยซิ เผื่อเธอจะเชื่อบ้าง”
“พูดแล้วค่ะ ไม่มีประโยชน์ ตอนนี้คุณหนูใช้แต่อารมณ์ ไม่ใช้สติ พูดไปก็ไม่ได้ยิน”
“สายใจยังดึงสติคุณภัคกลับมาไม่ได้...แล้วใครทำได้”
สายใจเห็นด้วย แล้วก็นึกขึ้นมาได้
“มีอีกคนนึง ที่อาจจะทำได้ค่ะ”
สายใจนึกถึงรสา

รสาตกใจอย่างแรง
“จะให้รสไปเดินแฟชั่นโชว์เครื่องเพชรเนี่ยนะคะ”
พิทยายืนอยู่กับเผด็จในห้องหนึ่งของบ้าน
“ใช่ คุณเผด็จโทร.มาปรึกษาพี่ แล้วก็ขอร้องให้ช่วยพูดให้หน่อย นานๆคุณเผด็จขอมาและพี่ก็เลยจัดให้”
“แต่รสไม่เคยเดินนะคะ แล้วก็ไม่ใช่นางแบบ ไม่ใช่คนดัง แล้ว...”
“เอาน่า...งานนี้มีแต่คนกันเอง และรสก็จัดอยู่ในหมวดของนางแบบรับเชิญคนดูเค้าไม่ถือสาหรอก เดินหน่อยเถอะน่า ถือว่าเป็นหน้าเป็นตาของบริษัท”
“นะครับ...ถือซะว่าผมขอร้อง”
เผด็จมองขอความช่วยเหลือ รสาอึดอัดทำตัวไม่ถูก
“แต่...”
“อ้อ ลืมบอก ป้าสายใจเป็นคนเสนอรสมาเองเลยนะ ถ้าไม่เดินป้าเสียใจแย่”
รสาหันไปทางสายใจที่ยืนรอฟังคำตอบอยู่ที่หน้าห้องด้วยใจจดจ่อ

รสาคิดหนักว่าจะเอาไงดี

รัชนีเดินเข้ามาในร้านอาหารหรูแห่งนั้น มองไปรอบๆ แล้วก็สะดุดตาเข้ากับพักตร์วิมลที่นั่งจิบชาด้วยท่วงท่าซุปตาร์อยู่ที่มุมส่วนตัวของร้าน รัชนีรู้ได้ทันทีด้วยสัญชาตญาณว่าต้องเป็นเธอคนนี้แน่ๆ รัชนีเตรียมพร้อม แล้วก็เดินไปหาอย่างไม่หวั่นกลัว

พนักงานรินชาให้รัชนีแล้วเดินไป เมื่อเห็นว่า ปลอดคนแล้ว พักตร์วิมลก็เริ่มบทสนทนาในทันที
“ขอบคุณนะคะที่มาตามคำเชิญ”
“ถ้าเป็นเรื่องของลูก ฉันไม่เคยไม่ปฏิเสธอยู่แล้วค่ะ”
“ท่าทางคุณรัชนีจะรักลูกสาวคนนี้มากนะคะ ถ้ารักมาก ห่วงมาก แนะนำว่าควรจะให้อยู่ห่างๆจากภัคของแพตให้มากที่สุด”
รัชนีชะงัก แล้วค่อยๆคลายยิ้ม พักตร์วิมลพูดด้วยรอยยิ้มแต่ตาจิกสุดฤทธิ์จนรัชนีเข้าใจในความหมายได้ในทันที
“คุณไม่ต้องห่วงนะคะ ลูกสาวดิฉันกับภคพงษ์ ไม่ได้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดอย่างที่คุณกลัว หรืออย่างที่เป็นข่าวแน่นอน ถ้าคุณมีความสามารถมากพอจะเบอร์ส่วนตัวของดิฉันมาได้ คุณคงมีความสามารถพอจะรู้ว่าครอบครัวของดิฉันเป็นยังไง”
รัชนีพูดอย่างไว้ตัว แต่แอบเฉือนอยู่ในที
“ข่าวที่ออกมา มันก็แค่ข่าว คุณทำงานอยู่ในวงการบันเทิงก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่าข่าวที่ไม่จริงก็มีอยู่มากมาย”
พักตร์วิมลรอยยิ้มเริ่มมา เสียงเริ่มเป็นมิตรขึ้น ลุคนางเอกเข้าสิงทันที
“ไม่จริงก็ดีค่ะ เพราะน้องยังเด็ก แพตเป็นห่วง ภัคเค้าเป็นคนขี้เบื่อน่ะค่ะ ชอบของใหม่ๆ แต่ก็อยู่ได้ไม่ได้ .. มีแพตเนี่ยหล่ะค่ะ ที่เข้าใจและอยู่กับเค้าได้นานที่สุด”
พักตร์วิมลสวมรอยเนียนๆ รัชนียิ้มรับทำเป็นไม่รู้ทัน
“ขอบคุณสำหรับความเป็นห่วงนะคะ ถ้าเรื่องจะพูดมีแค่นี้ ดิฉันขอตัวกลับก่อนนะคะ”
รัชนีจะลุกไป พักตร์วิมลนึกขึ้นได้
“อ้อ..ลืมบอกไปค่ะ..เราคงจะได้พบกันอีกในเร็ววันนี้นะคะ เพราะแพตอยู่ในรายชื่อนางแบบกิตติมศักดิ์ในงานแฟชั่นโชว์ของภัคด้วย”
รัชนีชะงักนิดๆ หันมาเห็นพักตร์วิมลยิ้มอย่างเป็นมิตร
“แล้วเจอกันค่ะ”
รัชนียิ้มรับนิดๆ ก่อนจะหันหลังให้แล้วก็เดินออกมา ลับหลังพักตร์วิมล สีหน้าของรัชนีก็กลับมาเคร่งเครียดและเป็นห่วงปรางทิพย์ ทั้งยังมีลางสังหรณ์ว่า งานนี้ต้องยุ่งแน่ๆ

ภายในห้องภคพงษ์ในบ้านเถลิงยศ เวลากลางคืน เผด็จยื่นแฟ้มให้ภคพงษ์
“นี่เป็นรายชื่อนางแบบที่จะมาเดินแบบในงานแฟชั่นโชว์ ทางผู้จัดงานส่งมาให้คุณภัคพิจารณาครับ”
ภคพงษ์รับมาอ่านแล้วก็สะดุดกึกที่ชื่อของรสา เผด็จเห็นสีหน้าก็รู้ในทันที
“ผมกับสายใจเป็นคนเสนอไปเองครับ เราเห็นว่าคุณรสาเธอมีบุคลิคที่โดดเด่น รูปร่างก็ไม่ต่างจากนางแบบ อาจจะเพิ่มความเก๋มีสไตล์ให้กับเครื่องเพชรของบริษัทได้ และคุณรสาก็ตอบตกลงมาแล้ว..คุณภัคคงจะไม่ขัดข้องนะครับ”
ภคพงษ์ไม่ตอบวางแฟ้มไว้ข้างหน้า เผด็จลุ้น แล้วก็ภคพงษ์ยิ้ม
“ไม่ขัดข้องเลยครับ เหตุผลที่คุณอาบอกมามันใช่ทุกข้อ ผมเห็นด้วยทุกอย่าง”
“ขอบคุณครับ”
เผด็จยิ้มด้วยความโล่งอก
ภคพงษ์นึกถึงรสา
“ผมจะเตรียมเครื่องเพชรชุดพิเศษไว้ให้รสา ถ้าออกแบบเสร็จแล้ว จะรีบส่งแบบให้คุณอาไปดำเนินการผลิตต่อ จะได้เสร็จทันวันงาน”
“ได้เลยครับ ผมจะเร่งทีมผลิตอย่างเต็มที่ คุณภัคไม่ต้องห่วง”
ภคพงษ์ยิ้ม มีประกายความสุขออกมา เผด็จยืนมองแล้วก็ยิ่งมั่นใจว่า ภคพงษ์ต้องมีความรู้สึกพิเศษกับรสาอย่างแน่นอน

ภายในรีสอร์ตพร้อมในเวลาเช้า ห้าวโพล่งออกมาอย่างขัดอารมณ์
“จะมาห่วงทำไม รีสอร์ตเนี่ย เดี๋ยวฉันเรียกพ่อกับแม่มาเฝ้าให้ก็ได้ แค่วันเดียวเอง ไปเหอะ ไปดูรสเดินแบบ ถือซะว่าพาลุงไปเที่ยวด้วย เป็นการพักผ่อน รสอุตส่าห์โทร.มาเล่าให้ฟัง จะไม่ไปดูได้ไง”
ห้าวคุยกับวิมล และพร้อมอยู่ที่ห้องนั่งเล่น พร้อมดูสดใสขึ้น แต่ยังนั่งเงียบๆ หน้าตาไม่มีความสุข
“รสจะเดินเมื่อไหร่วะได้ห้าว” วิมลถาม
“เออ...นั่นสิลืมถาม”
“เฮ่อ งั้นก็ไปถามมาให้รู้เรื่อง ถ้ามันไม่ติดแขกเยอะ แล้วหาคนมาเฝ้าได้ข้าก็จะไป”
“เย้”
“ไปนะพ่อ ถือซะว่าไปเปลี่ยนบรรยากาศ”
พร้อมนั่งนิ่งๆ แล้วก็พูดออกมาอย่างมีทิฐิ
“ถ้าไปกันแค่สามคนแค่นี้ไป แต่ถ้าไปมากกว่านี้ ไม่ไป”
พิมพรรณเดินมาได้ยินพอดีก็ชะงัก ห้าวหันไปเห็นพอดี
“พิม”
พร้อมชะงักนิดๆ แต่ทำใจแข็ง ไม่สงสาร หันหน้าหนี วิมลหันมามองพิมด้วยความสงสาร พิมพรรณเศร้าอย่าง
แรง แต่ก็พยายามฝืนตอบออกมายิ้มๆ
“พี่ห้าว พาพ่อกับแม่ไปเถอะจ้ะ พิมคงไม่ได้ไปด้วย พิมอยู่เฝ้ารีสอร์ตเองจ้ะ”
วิมลกับห้าวสงสาร พร้อมไม่มองทำใจแข็ง
“พิมออกไปข้างนอกแป๊บนึงนะจ้ะ สวัสดีจ้ะ”
พิมพรรณยกมือไหว้วิมลและพร้อม ก่อนเดินเงียบออกไปด้วยสีหน้าเศร้าๆ
“อ้าว เอ๊ะ แล้วพิมจะไปไหน แล้วไปยังไง ไปกับใคร”
ห้าวรีบหันมองตามพิมพรรณไปทันที

บริเวณหน้ารีสอร์ตเห็นวาริชยืนรออยู่ พิมพรรณเดินออกมาหา วาริชยิ้มร่ารับ พิมพรรณยิ้มน้อยๆตอบ

ห้าวส่ายหน้า พูดด้วยความไม่พอใจ
“ไอ้หน้าหนวดนี่เอง”
วิมลถอนใจอย่างกลุ้มพอกัน พร้อมได้ยินแล้วก็ยิ่งเสียใจ
“เออ ปีกกล้าขาแข็งแล้วนี่ ไม่เห็นหัวใครทั้งนั้น ทั้งพ่อ ทั้งแม่ ทั้งพี่ นึกจะไปไหนก็ไป ลูกไม่รักดี ที่พ่อแม่พร่ำสอนไม่รู้จักจดจักจำ”
วิมลรีบเข้ามาปลอบ
“พ่อใจเย็นๆ ใจเย็นๆนะพ่อนะ”
พร้อมน้ำตาไหลด้วยความผิดหวังอย่างรุนแรง
ห้าวมองพร้อมที่ร้องไห้ แล้วก็หันไปทางพิมพรรณที่เดินไปด้วยความเสียใจ ห้าวเห็นแล้วก็เครียด...
“ไอ้หนวดมันจะพาพิมไปไหน”
ห้าวมองตามด้วยความเป็นห่วง

บริเวณหน้าที่ว่าการอำเภอ พิมพรรณกับวาริชนั่งอยู่ที่หน้าโต๊ะจดทะเบียน เจ้าหน้าที่เตรียมเอกสารให้เซ็น
“เซ็นชื่อตรงนี้ค่ะ”
วาริชยิ้มรับรีบเซ็นทันที พิมพรรณยังครุ่นคิดจนวาริชเซ็นเสร็จรีบส่งปากกาให้พิมพรรณ
“พิม”
พิมพรรณคิดแล้วก็ตัดสินใจรับปากกามาเซ็น
เจ้าหน้าที่ส่งเอกสารที่เรียบร้อยให้ทั้งสองคน วาริชรับมาอย่างมีความสุขและหันมาทางพิมพรรณ
“นับต่อจากนี้ไป เราเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วนะพิม”
พิมพรรณยิ้มรับแล้วก็ก้มมองทะเบียนสมรสอีกครั้งด้วยแววตาลังเลและหนักใจอย่างเห็นได้ชัด
“ขอให้ทะเบียนสมรสทำให้พ่อยกโทษให้พิมด้วยเถอะ”
พิมพรรณยังหวัง ทั้งที่ความหวังนี้จะไม่มีทางเป็นจริง
 
วาริชมองทะเบียนสมรสด้วยแววตาเจ้าเล่ห์ มั่นใจว่าวิธีนี้จะต้องทำให้ตัวเองมีเอี่ยวในที่ดินรีสอร์ตของพร้อมอย่างแน่นอน

โปรดติดตามลุ้นรัก "รสา-ภคพงษ์" ตอนที่ 9 เวลา 17.00 น.
กำลังโหลดความคิดเห็น