นางสิงห์สะบัดช่อ ตอนที่ 13
พอกำนันศรพร้อมด้วยเบิ้มกลับมาถึงบ้าน ก็เจอกับยอดซึ่งนั่งรอฟังข่าวอยู่ที่โซฟาในห้องรับแขก สภาพยอดนั่งขากางมีผ้าพันแผลทับขาที่แทงตัวเองไว้แล้ว
“ไอ้ยอด เอ็งเป็นยังไงบ้าง
“เจ็บแค่นี้ไม่เท่าไหร่พ่อกำนัน เรารีบไปช่วยคุณวาสนากันเถอะ” ยอดบอกอย่างแค้นใจ
กำนันศรปราม “เอ็งอย่าใจร้อน เรื่องนี้ถ้าบุ่มบ่ามไป วาสนาจะมีอันตราย”
“แล้วจะรอเฉยๆ เหรอพ่อกำนัน” เบิ้มเองก็คาใจ
“งานนี้มันต้องเกลือจิ้มเกลือถึงจะหายแค้นไอ้เบิ้ม แต่ก่อนอื่นข้าต้องรู้ให้ได้ ว่าพวกมันบุกเข้ามาในบ้านข้าได้ยังไง”
ครู่ต่อมาลิ้นจี่กำลังตอบคำถามของกำนันศรภายในห้องครัว
“ก็นั่นน่ะสิพี่กำนัน ชั้นเองก็สงสัยอยู่เหมือนกันเนี่ย จำได้แต่ว่าตอนเข้าครัว ชั้นได้กลิ่นอะไรเหม็นๆ แล้วหลังจากนั้นก็สลบไปเลย”
กำนันศรดักคอ “อะไรจะบังเอิญปานนั้นวะนังลิ้นจี่ วันดีคืนดีเอ็งตื่นเช้าปุ๊บ คนร้ายก็บุกมาปั๊บ”
“เอ๊ะพี่กำนัน พูดแบบนี้ แปลว่าพี่ไม่เชื่อใจชั้นเหรอ” ลิ้นจี่เบ้หน้า พร้อมแสร้งบีบน้ำตา “ก็เอาสิ เอาเลย ถ้าพี่ไม่เชื่อใจชั้น ไม่รักชั้นแล้ว ก็ไล่ชั้นออกจากบ้านไปเลย ชั้นไม่อยู่ด้วยแล้ว”
ลิ้นจี่ร้องห่มร้องไห้วิ่งออกจากครัวไป เบิ้มที่ยืนเฝ้าอยู่มองตาม ก่อนจะหันมามองกำนันศร
“เอ็งจับตานังนี่ไว้ไอ้เบิ้ม ถ้ามีอะไรให้รายงานข้า”
“จ้ะ พ่อกำนัน”
กำนันศรมองตามลิ้นจี่ไปด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
ที่หลังบ้านครูเพิ่มเวลาเดียวกัน ย้งกำลังง้อเก่งอย่างเอาเป็นเอาตาย
“นะไอ้เก่ง ช่วยข้าสักครั้งเถอะวะ ถือว่าเห็นแก่คุณวาสนาก็ได้ข้ารู้ว่าข้าผิด แต่ข้าทำไปเพราะความรักจริงๆ นะโว้ยงานนี้ถ้าเอ็งไม่ช่วยข้า ข้าต้องตายแน่ๆ”
เพ็ญพรโผล่มาเอาเรื่อง “อย่าช่วยเค้านะเก่ง คนเห็นแก่ตัวแบบนี้ ปล่อยให้ตายไปเถอะ”
ย้งไม่ค่อยเชื่อใจเพ็ญพรแต่แรก ยิ่งไม่พอใจ “นี่คุณเพ็ญพร คุณพูดดีๆ นะ อย่าชักใบให้เรือเสีย”
เพ็ญพรแดกดันต่อ “มันเสียตั้งแต่ตอนนายแหกกฎแล้วนายย้ง พวกเราทุกคนร่วมมือกันปล้นเสี่ยเล้งก็เพื่ออุดมการณ์ เพื่อขัดขวางคนชั่วแต่ว่านาย นายมันเอาแต่ได้”
ย้งเซ็งสุดๆ “เออ ไอ้ย้งมันเลว ไอ้ย้งมันไม่ดี แต่ว่าคุณวาสนาเค้าไม่รู้อะไรด้วย ช่วยเค้าหน่อยไม่ได้หรือไง”
เพ็ญพรบอกอีก “ยัยนั่นเป็นลูกของกำนันศร ลูกของศัตรูที่ฆ่าพ่อแม่ชั้นทำไมต้องช่วยมัน”
เก่งฟังแล้วอึ้ง “คุณบัว”
ย้งฉุนขาด ของขึ้นเต็มองค์แล้ว ด่าไม่ไว้หน้า “นี่คุณ.. คุณมันเลวยิ่งกว่าผมซะอีก หนอย อุดมการณ์งั้นเหรอ คุณทำทุกอย่างเพื่อแก้แค้น คอยดูนะถ้าผมรอดกลับมาได้เมื่อไหร่ผมจะแฉให้หมด ว่าคุณเป็นลูกสาวของผู้ใหญ่ทอง”
เก่งตกใจ “ไอ้ย้ง!”
เพ็ญพรชักปืนเล็งใส่หน้าย้งทันที เก่งรีบปราดออกมาขวางเอาไว้
“อย่าคุณบัว อย่าทำแบบนี้”
“หมอนี่เป็นตัวปัญหา ชั้นต้องฆ่ามัน” เพ็ญพรเสียงแข็ง
“ถ้างั้นก็ข้ามศพแก้วไปก่อน แก้วไม่ยอมให้ใครทำร้ายเพื่อนของแก้วเด็ดขาด”
เพ็ญพรโมโหมาก “แก้ว”
“รีบไปซะไอ้ย้ง แล้วจำไว้ว่าห้ามปากโป้งเด็ดขาดไม่อย่างนั้น ชั้นนี่แหละจะฆ่าแกกับมือ”
ย้งฮึดฮัดมองจ้องหน้าเพ็ญพรก่อนจะจากไป ทิ้งให้เก่งกับเพ็ญพรเผชิญหน้ากัน ที่สุดเพ็ญพรก็ลดปืนลง
ที่หน้ากระท่อมร้างกลางป่าเปลี่ยว สถานที่คุมขังตัววาสนา ซึ่งตั้งอยู่ห่างไกลผู้คน จำเริญเดินทางมาถึง และเจอกับสมุนหลายคนที่เฝ้าเวรอยู่
“คุณวาสนาเป็นยังไงบ้าง”
“ยังเงียบอยู่เลยครับเสี่ยน้อย สงสัยยังไม่ฟื้น” สมุนรายงาน
จำเริญยิ้มกริ่มพลางมองเข้าไปในกระท่อม
วาสนานอนหมดสติอยู่ ข้างตัวมีจานอาหารกับแก้วน้ำวางทิ้งไว้ที่บริเวณหัวนอน ท่าทางสมุนของจำเริญคงยกอาหารมาวางทิ้งไว้ก่อนที่เธอจะฟื้น
จำเริญเปิดประตูเข้ามาในกระท่อม วาสนาเริ่มรู้สึกตัว พอเห็นจำเริญเดินเข้ามามองเธอก็ตกใจลุกขึ้นนั่ง
“พี่จำเริญนี่มันเกิดอะไรขึ้น แล้วชั้นมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
“ไม่ต้องกลัววาสนา พี่รับรองว่าคุณจะต้องปลอดภัย” แววตาจำเริญกรุ้มกริ่มเริ่มวาดลีลาจอมเจ้าชู้ “ขอแค่อย่าขัดใจพี่ก็พอ”
จำเริญเอื้อมมือมาจะจับบ่าวาสนา วาสนาเห็นเข้าก็รีบถอยหลังไปยืนที่มุมห้อง
“ถอยไปนะ อย่าเข้ามา”
“ทำไมจ๊ะ ถ้าพี่ไม่ยอมวาสนา วาสนาจะทำอะไรพี่ จะฟ้องพ่อกำนันเหรอ”
จำเริญพูดลากเสียงยิ้มขำๆ แล้วสืบเท้าตามเข้าไปใกล้ๆ วาสนาเหลือบเห็นจานข้าวกับแก้วน้ำที่วางอยู่ ก็รีบคว้าจานข้าวปาใส่จำเริญแต่จำเริญหลบทัน วาสนาหันไปคว้าแก้วน้ำมาอีก
“อ๊ะๆ เอาเลย ปาเลยสิจ๊ะ จ้างก็ปาไม่ถูก”
จำเริญทำหน้าล้อยั่ว วาสนาเปลี่ยนใจปาแก้วลงพื้นจนแตก เล่นเอาจำเริญชะงักด้วยความงุนงง ก่อนที่วาสนาจะหยิบเศษแก้วขึ้นมาขู่เสียงแข็ง
“ชั้นบอกว่าอย่าเข้ามา”
จำเริญหัวร่อ “โธ่ถัง คิดเหรอว่าพี่จะกลัวเศษแก้วแค่นี้ ยอมพี่ดีๆ เถอะวาสนา เราจะได้เป็นทองแผ่นเดียวกัน”
วาสนายิ้มเหี้ยม ก่อนจะขยับเศษแก้วจ่อที่คอตัวเอง
“ก็เอาสิ ถ้าแกอยากมีเมียเป็นผี ก็เข้ามาเลยชั้นยอมตาย แต่ไม่ยอมเสียท่าให้แกเด็ดขาด”
จำเริญตกใจ รีบตะล่อม “เอ่อ ใจเย็นๆ ก็ได้จ้ะวาสนา พี่แค่ล้อเล่น พี่ไม่ทำอะไรหรอก วางเศษแก้วลงก่อนเถอะ”
วาสนาตะเพิด “ออกไป ออกไปให้พ้น”
จำเริญตาเหลือก “จ้ะๆ ไปเดี๋ยวนี้แหละ วาสนาอย่าทำอะไรโง่ๆ นะ”
จำเริญจำยอมล่าถอยออกไปอย่างลนลาน วาสนาลดเศษแก้วลงอย่างโล่งอก
ด้านธัมโมนั่งอยู่ในห้องนอนที่บ้านพัก สักครู่หนึ่งได้ยินเสียงขลุ่ยของนางสิงห์กังวานไปทั่ว ธัมโมสะดุ้งตื่น โผมาดูที่หน้าต่าง
“นางสิงห์”
ไม่นานต่อมา นางสิงห์หันหน้ามาคุยกับธัมโม ทั้งสองนัดเจอกันที่บ้านผู้ใหญ่ทองเช่นเคย
“ชั้นยอมรับว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนายย้งเองก็มีส่วน แต่คนที่ลงมือปล้นคือชั้น ไม่ใช่เค้า”
“เรื่องนั้นไว้ค่อยว่ากันทีหลัง ตอนนี้ที่ชั้นเป็นห่วงก็คือความปลอดภัยของคุณวาสนา”
“บ่ายนี้นายย้งจะเอาเงินไปไถ่ตัวคุณวาสนาที่ชายป่าทางทิศใต้ของหมู่บ้าน ชั้นกะว่าจะสะกด
รอยตามเค้าไป แล้วถ้าเจอที่ซ่อนคุณวาสนาเมื่อไหร่ จะส่งข่าวบอกผู้กอง”
“ก็ได้ ถ้างั้นชั้นจะรีบเตรียมคนเอาไว้”
ดนัยเกรี้ยวกราดใส่ธัมโมต่อหน้าเพ็ญพร เมื่อทราบคำขอของเขา
“ไม่ ผมไม่อนุญาตเด็ดขาด! เราเป็นตำรวจนะผู้กองเรื่องอะไรต้องทำตามแผนของโจร”
“ผมทราบครับสารวัตร แต่งานนี้ความปลอดภัยของคุณวาสนาต้องมาก่อน”
“ผมไม่เห็นด้วย ถ้าคุณอยากอยู่ข้างนางโจรนั่น ก็เชิญตามสบายแต่อย่าลืมนะ ว่าผมเคยรายงานเรื่องนี้กับทางเบื้องบนไปแล้ว อีกไม่นานคุณต้องเจอดีแน่”
ธัมโมไม่หวั่นสักนิด “เชิญครับสารวัตร ผมขอแค่อย่างเดียวอย่าให้เสี่ยเล้งรู้เรื่องนี้ก็พอ ไม่อย่างนั้นผมจะรายงานเรื่องสารวัตรกับเสี่ยเล้งเหมือนกัน”
ดนัยโกรธจัดชี้หน้าด่าอย่างบันดาลโทสะ “ไอ้ธัมโม”
ธัมโมกลับห้องทำงาน ตระเตรียมอาวุธทั้งปืนยาวปืนสั้นเพื่อรับมือกับคนร้าย อย่างขันแข็ง
โอฬารถามขึ้นด้วยความสงสัย “ผู้กองครับ นี่ผู้กองเอาจริงเหรอครับ”
“ฉายเดี่ยวแบบนี้ มีสิทธิ์เจอไข้โป้งได้นะครับผู้กอง” ไชโยห่วง
“หมู่จ่าจะไปกับผมรึเปล่า”
ไชโยลำบากใจ “เอ่อ ก็อยากไปอยู่หรอกครับ แต่สารวัตรสั่งว่า…”
ธัมโมตัดบท “ช่างเถอะ ผมเข้าใจ ถ้าเกิดอะไรขึ้น ช่วยทำบุญกรวดน้ำให้ผมด้วยละกัน”
ธัมโมแบกปืนจะออกไปจากห้อง โอฬารนึกอะไรขึ้นได้
“เอ่อเดี๋ยวก่อนครับผู้กอง ผมมีแผนสำรองครับ”
ธัมโมหันมา “แผนอะไรเหรอหมู่”
“ผมรู้ครับว่าผู้กอง จะหากำลังเสริมได้จากที่ไหน”
ธัมโมขยับรอฟังอย่างสนใจ
สักครู่หนึ่งธัมโมแบกอาวุธมาขึ้นรถแล้วขับออกไปทันที เพ็ญพรเดินตามออกมาดูอย่างใช้ความคิด
กำนันศรเดินลงบันไดบ้านมาเผชิญหน้ากับธัมโม ท่ามกลางยอด เบิ้มและสมุนที่รายล้อม
“นางสิงห์จะช่วยลูกสาวผม ผู้กองแน่ใจเหรอ” กำนันศรคลางแคลงใจ
“ครับ เรื่องนี้เกี่ยวพันกับหลายฝ่ายด้วยกัน ที่สำคัญคุณหมอวาสนาเป็นคนดี นางสิงห์ไม่ต้องการให้เธอเดือดร้อน”
“ก็ได้ ถ้างั้นผมจะไปกับผู้กอง” กำนันศรสั่งการ “ไอ้ยอด ไอ้เบิ้ม เตรียมคน เตรียมอาวุธ
บุกชิงตัววาสนา”
ที่หลังบ้านเถ้าแก่ตง มีต้นมะพร้าวต้นหนึ่งยืนต้นอยู่ริมคลอง โคนต้นมีวัชพืชปกคลุมรกรุงรังจนดูไม่ออกว่ามีเชือกเส้นหนึ่งผูกอยู่ที่โคนต้นมะพร้าว
ย้งแกะเชือกเส้นนั้นออกแล้วสาวเอาถังพลาสติกที่ถ่วงน้ำไว้ขึ้นมา ย้งมองซ้ายแลขวาก่อนจะลากเอาถังพลาสติกนั้นขึ้นมาบนฝั่ง
ถังพลาสติกหลายใบถูกเปิดฝาทิ้งไว้ ย้งเอาเงินที่บรรจุอยู่ในถุงพลาสติกกันน้ำมาแพ็คใส่กระเป๋าเดินทางได้ถึงสองใบเขื่องด้วยกัน
“เอาวะไอ้ย้ง ตายเป็นตาย งานนี้ต้องช่วยคุณวาสนาให้ได้”
ย้งรูดซิปกระเป๋าแล้วยกขึ้นสะพาย แต่แล้วก็เจอเถ้าแก่ตงที่มาเห็นเข้าพอดี
“อาย้ง ป๊ามีเรื่องจะถามลื้อ”
ย้งนิ่วหน้า “โธ่ป๊า หน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ยังจะถามอะไรอีก เอาไว้ก่อนเถอะ”
ว่าแล้วย้งแบกเงินเดินหนีไป เถ้าแก่ตงมองตามหลังก่อนจะร้องออกมาอย่างสุดกลั้น
“อั้วแค่อยากรู้ ว่าลื้อไปปล้นเค้ามาใช่มั้ย”
ย้งชะงักกึก
เถ้าแก่ตงพูดต่อ “ลื้อเป็นโจร.. ลื้อเป็นโจรใช่มั้ยอาย้ง”
ย้งหันมาหาพ่อ “อาป๊า”
เถ้าแก่ตงครวญต่อ “ป๊าเสียพี่สาวลื้อไปคนนึงแล้ว นี่ยังต้องมาเสียลื้อไปอีกป๊าทำอะไรผิด ป๊าเลี้ยงพวกลื้อไม่ดีตรงไหน ทำไมพวกลื้อถึงทำกับป๊าแบบนี้”
ย้งได้แต่เงียบไป ขณะที่เถ้าแก่ตงยังฟูมฟายต่อ
“ก่อนที่อาม้าของพวกลื้อจะตาย อีสั่งเสียกับอั้ว บอกให้อั้วเลี้ยงดูพวกลื้อให้ดี อีบอกว่ารวยจนอีไม่ว่า ขอให้พวกลื้อเป็นคนดี อีก็พอใจแล้ว แต่อั้ว..อั้วทำไม่ได้ อั้วมันไม่เอาไหน อั้วมันไม่เอาไหน”
เถ้าแก่ตงนั่งลงกับเก้าอี้อย่างหมดแรง ย้งรู้สึกสงสารพ่อเต็มกำลัง มันทิ้งกระเป๋าเงินก่อนจะเดินมาคุกเข่าตรงหน้าเถ้าแก่ตง
“อาป๊า อั้วผิดไปแล้ว อั้วไม่ดีเอง แต่อั้วสาบาน ถ้าจัดการกับเรื่องนี้ได้เมื่อไหร่ อั้วจะกลับตัว อั้วจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ อั้วจะไม่เป็นโจรอีกแล้ว ลื้อเชื่ออั้วนะอาป๊า”
เถ้าแก่ตงพยักหน้าทั้งน้ำตา สองพ่อลูกกอดคอกันร้องไห้
นางสิงห์เพิ่งกระโจนลงมาถึงพื้นก่อนจะวิ่งมุ่งหน้าไป ขณะที่นางสิงห์กำลังวิ่งมุ่งหน้าไปยังจุดนัดนั้น ก็มีใครบางคนยิงหน้าไม้เข้าใส่เธอ
ลูกศรพุ่งเข้าใส่นางสิงห์ แต่นางสิงห์พลิกตัวหลบอย่างรวดเร็ว ลูกศรพุ่งไปปักฉึกที่ต้นไม้
นางสิงห์ชะงักมองลูกศร เห็นมีคราบเลือดติดอยู่ที่ พร้อมกับกวาดตามองหาศัตรูที่ดูเหมือนจะซ่อนอยู่หลังต้นไม้
“นั่นใคร”
เพ็ญพรส่งเสียงออกมา “คนเค้าว่าเลือดหมาดำล้างอาถรรพ์ได้ สงสัยจะจริงล่ะมั้ง”
เก่งตกใจคาดไม่ถึง “คุณบัว”
เพ็ญพรปรากฏตัวขึ้นพร้อมหน้าไม้ในมือ “อยากรู้เหมือนกัน ว่าเธอหนังเหนียวจริงรึเปล่า”
“เราไม่ได้เป็นศัตรูกันนะคุณบัว ทำไมต้องทำแบบนี้ด้วย”
“ตราบใดที่นายย้งยังไม่ตาย เค้าต้องแฉเรื่องของเราแน่ เธอควรปล่อยเค้าไปซะ”
“แต่เค้าเป็นเพื่อนของชั้น”
เพ็ญพรยกหน้าไม้ขึ้นเล็ง “ชั้นทำเพื่อเราอยู่นะแก้ว ทำเพื่อปกป้องเธอกับชั้น”
นางสิงห์มองหน้าไม้ชุบเลือดหมาดำอย่างพรั่นพรึง เธอไม่เคยลองเหมือนกันว่าจะหนังเหนียวได้แค่ไหน
ธัมโมอยู่กับกำนันศรพร้อมสมุนที่หน้าเรือนบ้านกำนัน ทุกคนมีอาวุธครบมือ รออยู่ที่รถพร้อมเดินทาง
“ทำไมนางสิงห์ยังไม่ติดต่อมาอีก หรือว่าจะเบี้ยว”
“ไม่หรอกครับ นางสิงห์ไม่เคยผิดคำพูด”
“ฮึ เป็นตำรวจแท้ๆ แต่ดันเชื่อโจร มิน่าบ้านเมืองถึงได้วุ่นวาย” ยอดเย้ย
“ถึงเป็นโจรแต่ก็มีสัจจะ ยังดีกว่าเป็นคนของทางการ แต่ไม่ซื่อตรงต่อหน้าที่” ธัมโมว่า
แทงใจดำกำนันศรจังๆ “ไอ้ยอด เอ็งเงียบเถอะวะ ก่อนที่มันจะพาดพิงมาถึงข้า”
ยอดมองธัมโมฉุนๆ
เวลาเดียวกันย้งยืนสะพายกระเป๋าเงินหนักอึ้ง มือหนึ่งล้วงกระเป๋าเสื้อแจ็คเก็ตอย่างลุ้นระทึก สักครู่มิ่งก็ขับรถมาจอด
“ว่าไงไอ้ย้ง”
“ไอ้มิ่ง ข้านึกแล้วว่าต้องเป็นพวกเอ็ง” ย้งแค้นนัก
มิ่งยิ้มเยาะ “เอาเงินมารึเปล่า”
ย้งขยับกระเป๋านิดหนึ่ง มิ่งบุ้ยหน้าให้สมุนลงจากรถไปเอา ย้งรีบถอยพร้อมกับขยับมือที่ซุกอยู่ในกระเป๋าเสื้อแจ็คเก็ต
“อ๊ะๆ ขอเจอคุณวาสนาก่อน ไม่อย่างนั้นได้วอดวายกันหมดแน่”
มิ่งขำก๊าก “เอ็งพกอะไรมาวะไอ้ย้ง มีดโกนเหรอ”
ย้งไม่ตอบ แต่สีหน้าเอาจริง
“ก็ได้ คุณจำเริญเค้าก็อยากพบเอ็งอยู่เหมือนกัน” มิ่งบุ้ยหน้า “ขึ้นรถ”
ลูกศรพุ่งปักฉึกที่ต้นไม้ ขณะที่เก่งวิ่งหลบหาที่กำบัง “คุณบัว พอซะทีเถอะ แก้วรีบอยู่นะ”
“ขอโทษด้วยนะแก้ว แต่ชั้นไม่ยอมให้เธอไปช่วยนายย้งเด็ดขาด ถ้าเธอไม่อยากตายก็กลับไปซะ”
นางสิงห์นิ่งงันอย่างใช้ความคิด ทางฝ่ายเพ็ญพรเองก็ยกหน้าไม้ขึ้นเล็งเพื่อดักรอ นางสิงห์วิ่งออกมาจากที่กำบัง เพ็ญพรยกหน้าไม้เล็งตามไป ก่อนจะเหนี่ยวไกยิง ลูกศรพุ่งเข้าหาร่างของนางสิงห์
ที่นางสิงห์ล้มคว่ำไป
เพ็ญพรตกใจมาก “แก้ว” รีบทิ้งหน้าไม้แล้ววิ่งมาดูนางสิงห์ที่นอนฟุบอยู่
“แก้ว ชั้นขอโทษ ชั้นไม่คิดว่าจะเป็นแบบนี้ แก้ว”
เพ็ญพรพลิกตัวนางสิงห์หันมา แล้วพบว่าที่แท้ลูกศรไม่ได้โดนตัว แต่ถูกนางสิงห์กุมเอาไว้
“นี่เธอ”
นางสิงห์ฟาดสันมือใส่ก้านคอของเพ็ญพร จนร่างเพ็ญพรร่วงไปกองกับพื้น
“ขอโทษนะคุณบัว แก้วก็ไม่อยากทำแบบนี้เหมือนกัน”
เพ็ญพรหมดสติ นางสิงห์รีบมองไปทางหนึ่งจุดหมาย
มิ่งและสมุนกำลังขับรถพาย้งเข้าไปในป่าลึก มิ่งมองที่กระจกหน้ารถและสังเกตเห็นย้งกุมของในกระเป๋าเสื้อแจ็คเก็ตตลอดเวลา ท่าทางระแวดระวังเต็มที่ มิ่งได้แต่ครุ่นคิดสีหน้าเจ้าเล่ห์ว่าจะหาทางเล่นงานย้งได้ยังไง
ยินเสียงขลุ่ยผิวดังกังวานมาแต่ไกล ธัมโมเดินมาเงี่ยหูฟังรำพึงเบาๆ “นางสิงห์”
กำนันศรมองอยู่ “ว่าไงผู้กอง”
“นายย้งออกเดินทางแล้วครับ มุ่งหน้าเข้าไปในป่าทางใต้ตอนนี้นางสิงห์กำลังแกะรอยอยู่”
“ถ้างั้นพวกเราก็รีบตามเถอะ”
ยอดสั่ง “ทุกคนขึ้นรถ”
ธัมโมและพวกกำนันศรเริ่มออกเดินทาง
เวลาเดียวกัน ตรงชายป่าบริเวณจุดนัดพบ นางสิงห์ยังถือขลุ่ยสัญญาณอยู่ในมือ จดสายตามองตามรอยล้อรถของมิ่งที่ย้งนั่งไป ก่อนจะเก็บขลุ่ยแล้ววิ่งมุ่งหน้าตามไป
นางสิงห์สะบัดช่อ ตอนที่ 13 (ต่อ)
ภายในกระท่อมร้างกลางป่าเวลาตอนกลางวัน วาสนายังคงนั่งกุมเศษแก้วอยู่ตัวสั่นงันงก ด้วยความตื่นกลัว มือถูกเศษแก้วบาดเลือดซึมออกมานิดๆ ในยามนี้ลูกสาวกำนันศรผู้ยิ่งใหญ่ต้องอยู่ในสภาพจนตรอกและไม่คิดว่าจะมีใครมาช่วยเธอได้
แต่แล้วก็มีเสียงรถยนต์มาจอดข้างนอก วาสนารีบคลานไปดูที่รอยแตกของช่องกระดานจึงเห็นว่ามิ่งกับสมุนพาใครมา
วาสนานึกถึงแต่ “ย้ง”
จำเริญรออยู่ที่หน้ากระท่อม ปรบมือแปะๆ เมื่อเห็นมิ่งและสมุนพาย้งมาถึง
“เอ็งนี่มันแน่จริงๆ ว่ะไอ้ย้ง กล้าบุกเดี่ยวมาช่วยคนรักนี่เอ็งไม่กลัวตายหรือไงวะ”
ย้งไม่ตอบตบกระเป๋าบอก “เงินอยู่นี่ เอ็งปล่อยตัวคุณวาสนาได้แล้ว”
จำเริญส่งซิก มิ่งรีบชักปืนมาเล็งใส่ย้ง
“ขอดูเงินก่อนโว้ย อย่าลวดลายนะไอ้ย้ง” มิ่งตะโกน
ย้งมองหน้ามิ่งก่อนจะค่อยๆ รูดซิปกระเป๋าทุกคนพากันแปลกใจเมื่อพบว่าในกระเป๋านั้นนอกจากเงินแล้วยังมีแกลลอนเล็กๆ สอดอยู่ตามช่อง อีกหลายใบ
ในขณะที่ทุกคนยังงุนงง ย้งเปิดขวดแล้วเทน้ำในขวดราดหัวตัวเองจนชุ่ม
จำเริญชะงัก “นี่เอ็งทำบ้าอะไรของเอ็งวะ”
มิ่งได้กลิ่นบางอย่าง ทำจมูกฟุดฟิดแล้วตกใจ “เฮ้ย น้ำมัน”
ทุกคนแตกฮือกระโดดถอยออกห่าง ขณะที่ย้งหยิบไฟแช็คจากกระเป๋าเสื้อแจ็คเก็ตออกมาจุดไว้
“ชีวิตไอ้ย้งกับเงินสิบล้าน ขอแลกกับคุณวาสนาถ้าพวกเอ็งตุกติกล่ะก็ ข้ายอมตายที่นี่”
จำเริญโกรธจัด “เอ็งอย่าบ้านะไอ้ย้ง รีบดับไฟก่อนแล้วค่อยพูดกัน”
ย้งตะโกนก้อง “ปล่อยคุณวาสนา” พอเห็นจำเริญยังลังเลอยู่ ก็ร้องขึ้นอีก “กูบอกให้ปล่อยคุณวาสนา”
จำเริญบุ้ยหน้าให้ลูกน้องถอดกลอน วาสนาเปิดประตูออกมาปรี่เข้าไปหาย้งทันที
วาสนาตะลึงตาค้างกับภาพที่เห็น “ย้ง”
ย้งร้องห้าม “อย่าเข้ามา”
วาสนาชะงักกึก ย้งยิ้มให้อย่างปวดร้าว
“รีบหนีไปครับคุณวาสนา ไปซะ ไม่ต้องห่วงผม”
วาสนาไม่ยอม “ไม่ เราต้องไปด้วยกัน”
ย้งส่ายหน้า มองไปที่จำเริญ “ไอ้จำเริญ มันไม่ยอมปล่อยผมแน่” หันไปทางจำเริญ “คนอย่างเอ็ง มันไม่มีสัจจะ ไอ้จำเริญ วันนี้ข้าขอวัดดวงกับเอ็ง”
จำเริญแค้นที่ถูกตลบหลัง สักพักก็แสยะยิ้ม “เอ็งทำแบบนี้แล้วคิดว่าจะหนีพ้นเหรอวะ”
มิ่งฉวยโอกาสนั้นเตะไฟแช็คจนกระเด็นไปจากมือย้ง ย้งรีบเหวี่ยงกระเป๋าฟาดใส่มิ่งแล้วการต่อสู้ก็เปิดฉากขึ้น
วาสนาเห็นย้งก็ยิ่งเป็นห่วง “ย้ง”
ย้งตะโกนบอก “คุณวาสนาหนีไป”
จำเริญโผนเข้ามาเอาด้ามปืนตบย้งจนล้มคว่ำ แล้วจะยิงซ้ำ วาสนารีบโผไปขวาง ร้องลั่น
“อย่า! อย่ายิง พี่จำเริญชั้นขอเถอะ อย่าฆ่าเค้า”
จำเริญแค่นหัวเราะ “ขอเหรอ ทำไมต้องเชื่อเธอ เธอมีสิทธิ์อะไรมาต่อรองกับชั้น”
“ไม่ต้องไปอ้อนวอนมันครับคุณวาสนา” ย้งบอกแล้วหันไปจ้องหน้าจำเริญ “เอาเลยไอ้จำเริญ มึงฆ่ากูเลย มาถึงขั้นนี้แล้วไอ้ย้งไม่เสียใจเด็ดขาด”
จำเริญเหยียดยิ้ม “อ๋อเหรอ เอ็งเสียใจไม่เป็นใช่มั้ยไอ้ย้ง ได้เลย…ถ้างั้นข้าสอนให้เอง”
จำเริญก้าวพรวดเดียว จิกผมวาสนาให้ยืนขึ้นมา
ย้งตกใจ “คุณวาสนา”
วาสนาร้อง “พี่จำเริญ ชั้นเจ็บ”
จำเริญตบวาสนาสุดแรงเกิดจนหน้าหันและสลบคามือ พยักให้สมุนปรี่ไปรับตัวพยุงไว้
ย้งคำราม “ไอ้จำเริญ ไอ้ชาติชั่ว กูจะฆ่ามึง”
มิ่งและสมุนช่วยกันจับตัวย้งเอาไว้ ขณะที่จำเริญช้อนแขนอุ้มตัววาสนาขึ้นมา
“ข้าจะทำให้เอ็งเสียใจไปชั่วชีวิตไอ้ย้ง ต่อให้เอ็งตายเป็นผี เอ็งก็ต้องร้องไห้ไม่หยุด”
จำเริญอุ้มวาสนาเข้าไปในกระท่อม สมุนปิดประตูให้อย่างรู้งาน
“ไอ้จำเริญ เอ็งปล่อยคุณวาสนาเดี๋ยวนี้ ไอ้จำเริญ ปล่อยคุณวาสนาปล่อยคุณวาสนา” ย้งตะโกนสุดเสียง
มิ่งแสยะยิ้ม “ไอ้บ้านี่แหกปากอยู่ได้ เฮ้ยจัดการให้มันเงียบโว้ย”
สมุนของมิ่งเริ่มลงมือซ้อมย้งกันอย่างสนุกมือ
จำเริญวางร่างของวาสนาลงบนแคร่ ก่อนจะแสยะยิ้ม อย่างหื่นกระหาย
“วาสนา ในที่สุดวันนี้ก็มาถึงจนได้”
จำเริญเริ่มปลดกระดุมเสื้อของวาสนาอย่างใจเย็น
ย้งสู้เหมือนหมาจนตรอก โดนอัดเด้งไปทางโน้นทีทางนั้นทีจนหงายเงิบลงไปกับพื้น ย้งเลือดกบปากแต่ยังคร่ำครวญออกมา
“คุณวาสนา คุณวาสนา”
ขณะที่สะลึมสะลือใกล้จะหมดสตินั้น ย้งก็เห็นนางสิงห์ชุดดำปีนป่ายมาบนกิ่งไม้ และมองสถานการณ์อย่างรอจังหวะบุก
มืออันสั่นเทาของย้ง รวบรวมเรี่ยวแรงเฮือกสุดท้ายชี้ไปที่กระท่อม นางสิงห์มองตามไปทันที
ขณะที่จำเริญย่ามใจ และกำลังจะเชยชมวาสนาอยู่นั้น นางสิงห์ก็โดดทะลุหลังคาลงมาในกระท่อม
จำเริญผงะหงาย “นางสิงห์ชุดดำ”
จำเริญจะคว้าปืนแต่โดนางสิงห์ใช้พลองศอกเล่นงานจำเริญจนหมดสติ ล้มชนข้าวของแตกหักโครมคราม
มิ่งยินเสียงเหลียวมองไปในกระท่อมอย่างเอะใจ
“ทำไมเสียงมันแปลกๆ วะ” ตะโกนถาม “เสี่ยน้อยครับ เสี่ย...” ไม่มีเสียงตอบ มิ่งรีบบอกลูกน้อง “เฮ้ย ไปดูกันหน่อยโว้ย”
มิ่งกับสมุนไม่ทันเดินไปถึงกระท่อม สมุนคนหนึ่งก็ตะโกนขึ้น
“พี่มิ่ง มีคนบุกมา”
มิ่งมองไปเห็นรถกำนันศรแล่นตรงมา โดยมีธัมโมกับยอด เบิ้มและสมุนโดยสารกันมาเพียบ
มิ่งตกใจ “กำนันศร ผู้กองธัมโม”
รถแล่นมาจอดบริเวณก่อนถึงหน้ากระท่อม กำนันศรพอลงจากรถได้ก็สั่งการทันที
“ไอ้พวกระยำ พาลูกสาวข้ามาที่นี่เอง” สั่งกร้าว “เฮ้ย ถล่มพวกมันให้ราบ แล้วช่วยวาสนาออกมา”
“เดี๋ยวก่อนกำนัน ให้ผมเจรจากับพวกมันก่อน”
กำนันศรไม่สน ผลักธัมโมให้หลีกทางไปด้วยความรำคาญ แล้วตรงไปรับปืนจากสมุน
ทันทีที่กระสุนนัดแรกของกำนันศรปลิวมาที่หน้ากระท่อม มิ่งก็เปิดฉากยิงตอบโต้ทันที
มิ่งตะโกนก้อง “เฮ้ย สู้ตายโว้ยพวกเรา ต้านพวกมันเอาไว้”
ก่อนจะถึงหน้ากระท่อม พวกของมิ่งและกำนันศรยิงต่อสู้กัน ธัมโมฉากหลบเข้าที่กำบังก่อนจะบ่นออกมาด้วยความเจ็บใจ
“ต้องฆ่าแกงกันอีกจนได้ ต่อรองกันไม่เป็นหรือไง”
ยอดได้ยินยิ้มเยาะ “ฝันไปเถอะผู้กอง เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว มันต้องพูดด้วยปืน”
ว่าแล้วยอดก็หันไปยิงต่อ
ธัมโมไม่มีทางเลือกอื่นเมื่อกระสุนยิงมาใกล้ๆ บริเวณที่หลบอยู่ จึงตัดสินใจชักปืนโผล่ออกไปยิงตอบโต้
ในขณะที่มิ่งและพวกยึดหัวหาดหน้ากระท่อม ยิงต่อสู้กับพวกกำนันศร ย้งก็เริ่มตั้งหลักได้ จึงฉวยโอกาสนั้นลุกขึ้นโซเซเข้าไปในกระท่อม
นางสิงห์พยายามปลุกวาสนาที่นอนหมดสติอยู่
“คุณวาสนา ฟื้นสิ ข้างนอกยิงกันใหญ่แล้ว คุณวาสนา”
มีเสียงคนผลักประตูเข้ามา เก่งในคราบนางสิงห์ รีบชักปืนหันไปก่อนจะพบว่าเป็นย้ง
“ไอ้ย้ง”
“คุณวาสนา” ย้งเห็นวาสนาปลอดภัยก็โล่งใจ รีบบอกกับเก่ง “ขอบใจเอ็งมากนะไอ้เก่ง”
เก่งพยักหน้าตัดบท “ที่นี่อันตรายมาก รีบพาคุณวาสนาหนีไปเถอะ”
พวกมิ่งยิงต้านสู้กับกำนันศร แต่แล้วกระสุนนัดหนึ่งจากฝ่ายกำนันศรก็ดันซัดเข้าที่แกลลอนน้ำมันของย้งจนแตกลุกเป็นไฟ เงินในกระเป๋าถูกเผาวอดวายอย่างรวดเร็ว
“เฮ้ย ฉิบหายแล้ว รีบดับไฟเร็ว”
มิ่งกับสมุนจะไปดับไฟที่กระเป๋าเงิน แต่ก็ถูกยิงสะกัดไว้จนต้องหลบเข้าที่กำบังเงินสดๆ หลายสิบล้านถูกเผาวอดวายต่อหน้าต่อตา
ระหว่างที่มิ่งมัวพะวงเรื่องเงินและการยิงต่อสู้อยู่นั้น จึงไม่ได้สังเกตทางด้านหลังว่า ย้งแบกร่างวาสนาเดินตามนางสิงห์ หลบไปทางด้านหลังกระท่อม
กำนันศรที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเหลือบเห็นเข้าพอดี เช่นเดียวกับธัมโม
“ไอ้ยอดพวกเอ็งยิงคุ้มกัน ข้าจะไปช่วยลูกสาวข้า”
จำเริญที่นอนหมดสติเริ่มรู้สึกตัว มันลุกนั่งฟังเสียงปืนสักพักแล้วก็นึกขึ้นได้
“วาสนา”
พอจำเริญพอผลักประตูออกมาจากกระท่อม ก็เจอกระสุนปลิวข้ามหัวไปจนต้องรีบหลบแทบไม่ทัน
“ไอ้มิ่ง นี่มันเกิดอะไรขึ้นวะ”
“ไอ้ธัมโมมันพากำนันศรบุกมาครับเสี่ยน้อย” มิ่งบอกแล้วนึกขึ้นได้ “เอ่อ แล้วคุณวาสนาล่ะครับเสี่ย”
จำเริญตะโกนอย่างกราดเกรี้ยว “นางสิงห์มันพาหนีไปตั้งนานแล้วโว้ย” คิด “เอ็งมากับข้าไอ้มิ่ง งานนี้เราต้องใช้นังวาสนาต่อรองกับมัน”
ด้านนางสิงห์วิ่งนำหน้าย้งที่กำลังแบกวาสนาหนีมา ก่อนจะชะงักเมื่อเจอกับเหวซึ่งเป็นทางลาดชันลงไป
“ทางนี้ไปไม่ได้” หันมาถามย้ง “พวกมันตามมารึเปล่า”
ย้งเหลียวหันมองไป พลางหอบแฮ่กๆ ลิ้นห้อย ด้วยความเหนื่อย ในกรอบสายตาย้งที่มองไปยินเพียงเสียงหอบของตัวเอง ทั้งป่าเงียบสงัด ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ แต่แล้วสายตาของย้งก็เห็นเงาดำของใครคนหนึ่งไกลลิบตา เมื่อเพ่งมองไป จึงเห็นว่าเป็นจำเริญกับมิ่งที่มาพร้อมกับปืนลูกซองยาว
“ไอ้จำเริญ”
จำเริญกับมิ่งยกปืนลูกซองยาวเล็งมา นางสิงห์รีบผลักย้ง
“ไอ้ย้งหลบ”
ย้งล้มไปกับพื้น วาสนาล้มตามไปด้วย แรงกระแทกทำให้วาสนาเริ่มรู้สึกตัว ขณะที่จำเริญกับมิ่งระดมยิงใส่นางสิงห์เข้าเต็มๆ ย้งตกใจเผลอเรียกชื่อเก่งออกมา
“ไอ้เก่ง”
จำเริญกับมิ่งซึ่งอยู่ไกลไม่ได้ยิน แต่วาสนาได้ยินถนัดหู หญิงสาวอึ้ง
“ข้ารอวันนี้มานานแล้ว หนังเหนียวนักใช่มั้ยนางสิงห์ชุดดำเอ็งอย่าอยู่เลย” จำเริญตะโกนก้องป่า
นางสิงห์แข็งใจจะชักปืนพกยิงตอบโต้ ทว่าจำเริญกับมิ่งไม่เปิดโอกาสให้ตั้งตัว พวกมันช่วยกันกระหน่ำยิงใส่นางสิงห์หลายนัดจนเสียหลักกลิ้งตกเหวไป
“ไอ้เก่ง ไอ้เก่ง” ย้งร้องลั่น
ในสายตาวาสนาที่พร่าเลือน แต่หูได้ยินชัดอีกครั้งว่าย้งตะโกนเรียกนางสิงห์ซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า
“ไอ้เก่ง”
“ไอ้ย้ง เอ็งตาย” จำเริญคำราม
วาสนาได้สติรีบลุกขึ้นมาขวาง “ย้งระวัง”
จังหวะที่เสียงปืนดังเปรี้ยงไปทั่วบริเวณ แต่คนถูกยิงเข้าที่หลังกลับเป็นจำเริญ!
มิ่งตกใจ “เสี่ยน้อย”
เป็นกำนันศรที่หน้าตาถมึงทึงเดินกระชากลูกเลื่อนปืนเดินออกมาจากราวป่า
จำเริญตะโกนอย่างลนลาน “กำนัน อย่า..อย่า”
“นี่สำหรับที่เอ็งทำไว้กับลูกสาวข้า”
กำนันศรคำรามก่อนจะยิงซ้ำ ร่างจำเริญล้มลงขาดใจต่อหน้ามิ่ง พอมิ่งได้สติมันก็ยกปืนเล็งใส่กำนันศรแล้วเหนี่ยวไกตูมทันที กำนันศรเซไปแค่หน่อยหนึ่ง ก่อนจะเดินหน้าต่อ ลูกปืนไม่ระคายผิวสักนิด ที่สำคัญกำนันศรตัวใหญ่กว่านางสิงห์และต้านทานแรงปืนได้มากกว่าหลายเท่า
กำนันศรคำรามอย่างบ้าคลั่ง “เอาสิวะไอ้มิ่ง ยิงมาอีก ยิงเลย ยิง”
มิ่งยิงซ้ำอีกหลายนัด แต่ก็หยุดกำนันศร คนเหล็กไม่ได้
มิ่งยิงจนกระสุนหมด พอเงยหน้ามาอีกทีก็เจอกำนันศรเดินมาจ่อปืนที่ตรงหน้ามัน
มิ่งปืนร่วง ทรุดเข่าไหว้ขอชีวิต “พ่อกำนัน พ่อกำนัน ชั้นกลัวแล้วอย่าฆ่าชั้นเลย ชั้นผิดไปแล้ว”
กำนันศรกร้าว “กลับไปบอกนายเอ็ง ว่าลูกชายของมันตายยังไง แล้วบอกให้มันจัดงานศพเผื่อตัวเองด้วย ไป๊”
มิ่งโกยแน่บ ลนลานหนีตาย ก่อนที่กำนันศรจะหันมามองย้งกับวาสนา ทั้งคู่ต่างมองกำนันศรอย่างตื่นกลัว นึกในใจว่านี่คนหรือผี
สมุนของมิ่งถูกยิงจนล้มตายไปตามๆ กัน บ้างก็วิ่งหนีไป โดยทิ้งถุงเงินไว้ที่พื้น ธัมโม ยอด เบิ้มและสมุน เข้าเคลียร์พื้นที่
เบิ้มเปิดดูกระเป๋าเงิน “เงินอยู่ในนี้พี่ยอด มีเป็นตั้งเลยพี่”
ธัมโมมองยอดอย่างจับผิด ยอดรีบออกตัว
“ไม่ต้องห่วง เงินนี่พ่อกำนันสั่งเอาไว้ ว่าต้องคืนให้ท่านนำชัย”
ธัมโมพยักหน้าก่อนจะเหลือบไปมองเห็นกำนันศรเดินนำย้งกับวาสนามาที่กระท่อม โดยย้งทำหน้าที่ประคองวาสนา
“นายย้ง เห็นรึยังว่านายทำให้ทุกคนเดือดร้อนกันแค่ไหน” ธัมโมต่อว่าอย่างเหลืออด
ย้งยังช็อกอยู่หน่อยๆ “นางสิงห์…ตะกี๊ผมเห็นนางสิงห์ถูกยิง”
ธัมโมตกใจ “อะไรนะ แล้วตอนนี้อยู่ที่ไหน”
โปรดติดตาม "นางสิงห์สะบัดช่อ" ตอนต่อไป
นางสิงห์สะบัดช่อ ตอนที่ 13 (ต่อ)
ไม่นานต่อมา สมุนเสี่ยเล้งเปิดประตูบ้านให้มิ่งเดินโซซัดโซเซมาในเรือนใหญ่อย่างอ่อนแรง มิ่งพอมาถึงหน้าเรือนก็ทรุดล้มลงไป
มิ่งพูดอย่างอ่อนแรงจะขาดใจ “เสี่ยครับ เสี่ย เกิดเรื่องแล้วครับ เสี่ย”
เสี่ยเล้งออกมาพร้อมเพลินตา “อะไรของเอ็งวะไอ้มิ่ง ร้องครางอย่างกับควายถูกเชือด แล้วนี่ได้เงินมารึเปล่า”
มิ่งปากคอสั่นจะร้องไห้ ไม่รู้จะบอกนายยังไง
“แล้วพี่จำเริญล่ะ พี่จำเริญอยู่ที่ไหน” เพลินตาร้อนใจหนัก
เวลาเดียวกัน ธัมโมใช้เชือกช่วยในการไต่ลงมาที่ก้นเหวในป่าใกล้ลำธาร ซึ่งยังมีน้ำไหลผ่านแถวนั้น พอตั้งหลักปลดเชือกได้เขาก็รีบตามหานางสิงห์ทันที
“นางสิงห์ เธออยู่แถวนี้รึเปล่า นางสิงห์”
ยินเสียงแว่วดังมา “ทางนี้ ชั้นอยู่ทางนี้”
ธัมโมเหลียวไปทางเสียง “นางสิงห์”
ธัมโมรีบวิ่งไปดูแล้วเจอนางสิงห์นั่งพิงต้นไม้อย่างหมดสภาพ
“เธอเป็นยังไงบ้าง”
“ก็จุกสิถามได้ โดนยิงเข้าเต็มๆ แบบนั้นใครจะทนไหว” บุ้ยใบ้หน้าไปที่เท้าตัวเอง “แถมข้อเท้ายังแพลงอีกต่างหาก”
“ขอชั้นดูหน่อยนะ”
ธัมโมลองจับข้อเท้านางสิงห์เพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้หัก
“โอ๊ย เบาๆ” นางสิงห์ร้องบอก
“แบบนี้ไต่ขึ้นไปไม่ไหวแน่” ธัมโมกวาดตามองหาตัวช่วย ก่อนจะเอ่ยขึ้น “สงสัยเราคงต้องค้างกันที่นี่แล้วล่ะ”
นางสิงห์อึ้งไป
ค่ำนั้นลิ้นจี่นั่งดูทีวีในห้องรับแขกบ้านกำนันศร พลางนั่งกินผลไม้เลอะเทอะเกลื่อนพื้น แถมยกขาวางพาดโต๊ะอีกต่างหาก ขณะมีความสุขอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงรถแล่นมาจอดหน้าบ้าน
“หนอย กลับมาแล้วเหรอไอ้แก่ หายไปไหนมาทั้งวันวะ” มองความรกเละรอบกาย “เวรแล้ว ต้องรีบจัดบ้านไม่งั้นโดนบ่นหูชาแหงๆ”
ลิ้นจี่รีบปิดทีวีเก็บข้าวของเก็บข้าวของอย่างรีบเร่ง
ยอดขับรถมาส่งกำนันศร วาสนา และย้ง ส่วนเบิ้มและสมุนคนอื่นๆ อยู่เคลียร์พื้นที่ พอกำนันศรประคองวาสนาลงรถแล้วก็ร้องบอกยอด
“ไอ้ยอด เอ็งพาไอ้ย้งไปส่งที่บ้าน แล้วหาหยูกหายาให้มันทำแผลซะด้วย”
“ครับพ่อกำนัน”
วาสนาสบตากับย้งอาการซาบซึ้งใจ “ย้ง ขอบใจมากนะ”
กำนันศรแดกดันอย่างแค้นใจ “ใช่ ขอบใจทำให้วุ่นวายกันทั้งหมู่บ้าน งานนี้เอ็งต้องรับผิดชอบไอ้ย้ง”
ย้งพยักหน้าอย่างเจียมๆ ก่อนที่ยอดจะออกรถ
ลิ้นจี่จัดเสื้อผ้าผมเผ้าเสร็จ ก่อนจะยืนแอ็คท่าสวยรอจนกำนันศรประคองวาสนาขึ้นมาบนบ้าน
“อร๊ายน้องวาสนา กลับมาแล้วเหรอจ๊ะ พี่เป็นห๊วงเป็นห่วง รู้มั้ยตอนวาสนาไม่อยู่เนี่ย พี่สวดมนต์ภาวนาอธิษฐานทุกคืนเลยนะ ว่าขอให้วาสนาปลอดภัยกลับมา”
วาสนาพยายามระงับโทสะ “พี่ลิ้นจี่ พี่จำเริญตายแล้ว” ลิ้นจี่หน้าถอดสี “ตอนนี้ตำรวจกำลังสืบอยู่ว่า มีใครบ้างที่ร่วมกันลักพาตัวชั้น”
ลิ้นจี่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ “เอ่อ แล้ว..มาบอกพี่ทำไมเหรอจ๊ะ”
วาสนาตอกใส่หน้า “วันที่เกิดเหตุ ชั้นได้ยินเสียงพี่พูดอยู่กับใครบางคน พี่ไม่ได้ถูกวางยาเหมือนคนอื่นๆ ในบ้าน”
ลิ้นจี่ตกใจ รีบโวยวายกลบเกลื่อน “ต๊าย ดูสิพี่กำนัน ลูกสาวพี่ใส่ร้ายลิ้นจี่อีกแระ”
กำนันศรจ้องหน้า “เดี๋ยวก็รู้นังลิ้นจี่ อย่าให้จับได้ก็แล้วกัน งานนี้ข้าเอาถึงตายแน่”
ลิ้นจี่หน้าเสียหนัก
ลิ้นจี่เดินหนีเข้ามาตั้งสติในห้องนอน
“โอ้ย คำก็ตาย สองคำก็ตาย หรือว่าเราฆ่าตัวตายซะเลยวะ จะได้ไม่ต้องลุ้น” หน้าสลดลง “โธ่เอ๊ยคุณจำเริญก็เหมือนกัน ไม่น่าอายุสั้นเลย”
ยอดขับรถมาส่งย้งที่หน้าบ้าน แต่ก่อนที่ย้งจะเข้าบ้าน ยอดก็เรียกไว้
“ไอ้ย้ง” รอจนย้งหันมา “วันนี้เอ็งแน่มาก ข้านับถือว่ะ”
ย้งแทบไม่เชื่อหู “พูดจริงหรือประชดวะ”
ยอดยิ้มมุมปากแล้วออกรถไปโดยไม่สนใจตอบคำถาม ย้งมองตามก่อนจะเข้าบ้านไป
ย้งกลับเข้าห้องนอนด้วยอาการอ่อนล้าสุดๆ มันมองสภาพตัวเองในกระจกเงาแล้วก็บ่นออกมา
“งานนี้เข็ดจนตายไอ้ย้ง ชาติตี้ไม่ขอเป็นโจรอีกเด็ดขาด”
ย้งว่าก่อนจะทิ้งตัวลงบนที่นอนอย่างหมดแรง น้ำท่าไม่ยอมอาบ
ริมปากเหวในป่ายามนั้น มิ่งกับสมุนช่วยกันส่องไฟฉายนำทางให้เสี่ยเล้ง ดนัย และเพลินตามาดูศพของจำเริญ โดยมีตำรวจจากโรงพักตามมาดูด้วย
เสี่ยเล้งแค้นจัดร้องครวญคร่ำใจจะขาด ที่ต้องเสียลูกชายหัวแก้วหัวแหวนไป
“จำเริญ ลูกพ่อ”
“หักห้ามใจเถอะครับเสี่ย คุณจำเริญไปดีแล้ว” ดนัยปลอบ
เสี่ยเล้งฉุนกึก พูดขึ้นเสียง “ไปดี คุณพูดมาได้ยังไงสารวัตร ลูกผมถูกยิงตายแบบนี้เค้าเรียกว่าตายโหง คุณไม่เห็นหรือไง” ขยับมาหาในระยะประชิด “คุณต้องช่วยผม คุณต้องจับตัวไอ้กำนันศรมาลงโทษ”
“ผมทำไม่ได้หรอกครับเสี่ย คดีนี้คุณจำเริญเป็นฝ่ายผิดเต็มประตู”
เสี่ยเล้งโกรธจนลืมตัว กระชากคอเสื้อดนัยนัยน์ตาวาวโรจน์ “ผมไม่สน สารวัตรจะต้องจัดการมัน ถ้าสารวัตรจัดการไม่ได้ บ้านไม้งามต้องนองเลือด”
ดนัยอึ้งไปในขณะที่เพลินตารู้สึกกังวล
ด้านนางสิงห์นั่งพิงต้นไม้อยู่ที่เดิมตรงก้นเหว เบื้องหน้ามีกองไฟเล็กๆ ที่ธัมโมก่อทิ้งไว้ สักครู่หนึ่งธัมโมก็เดินกลับมาพร้อมกับผลไม้ที่หาได้ในป่า
“นี่ชั้นเก็บผลไม้มาฝาก ถ้าหิวก็ทานรองท้องไปก่อนนะ”
นางสิงห์มองธัมโมอย่างจับสังเกต “ตัวคุณตัวเปียกนี่”
“อ๋อ ตะกี๊ชั้นแวะไปอาบน้ำที่ลำธารมาน่ะ”
“สภาพแบบนี้ คุณยังมีกระใจอาบน้ำอีกเหรอผู้กอง”
ธัมโมนั่งลงหยิบมีดพับออกมาปอกผลไม้ทาน
“ไม่อาบยังไงไหว เหนียวตัวมาทั้งวัน นี่ถ้าไม่โดนน้ำชั้นนอนไม่หลับแน่” ชะงัก เมื่อนึกขึ้นได้ “แล้วเธอจะไม่อาบบ้างหรือไง”
“ไม่” นางสิงห์บอกโยไม่ต้องคิด
“ไม่คันเหรอ สวมหน้ากากใส่ชุดรัดรูปแบบเนี้ย ถ้าเป็นชั้นนะผดขึ้นไปตั้งนานแล้ว”
“จะบ่นทำไมเนี่ย คนยิ่งคันๆอยู่” นางสิงห์บอก
ธัมโมขำ “อ้าวคันเป็นเหมือนกันเหรอ นึกว่าหนังเหนียวแล้วไม่คันซะอีก”
“หนังเหนียวไม่ใช่หนังหนา”
“ถ้างั้นก็ถอดเสื้อผ้า ถอดหน้ากาก แล้วไปอาบน้ำซะสิ”
“พูดง่ายนี่ ชั้นไม่หลงกลหรอก”
“โธ่ เชื่อใจกันบ้างสิ เราเป็นเพื่อนกันนะ ชั้นไม่จับเธอตอนแก้ผ้าอาบน้ำหรอกน่า หรือว่ากลัวโดนปล้ำ” ธัมโมว่าขำๆ
นางสิงห์เก่งคิดสักครู่ “ชั้นว่าเอาแบบนี้ดีกว่า”
ธัมโมเลิกคิ้วรอว่านางสิงห์จะทำยังไง แต่เมื่ออีกฝ่ายชักปืนเล็งมาใส่ตัวเอง ธัมโมก็หุบยิ้มทันที
เวลาผ่านไปอีก ธัมโมโดนจับสวมกุญแจมือไพล่หลัง ล่ามไว้กับต้นไม้ แถมตายังถูกผูกผ้าเช็ดหน้าปิดไว้
“เออ เชื่อแล้วว่าไม่มีสัจจะในหมู่โจร คนอุตส่าห์ช่วยไว้แท้ๆ ยังทำกันได้”
“เอาน่าผู้กอง ชั้นเป็นผู้หญิงนะ ถึงยังไงก็ต้องปลอดภัยไว้ก่อน”
“เฮอะ”
“รอเดี๋ยวนะ เดี๋ยวชั้นมา”
ว่าแล้วนางสิงห์ก็เดินไปอาบน้ำที่ลำธาร
“นี่อย่านานนะแม่คุณ ชั้นเมื่อยนะจะบอก…”
ธัมโมพูดไม่ทันจบคำ เมื่อหันไปก็พบว่าผ้าที่ผูกตาเขาอยู่ค่อนข้างบาง จนสามารถมองลอดใยผ้าและเห็นเงาลางๆ ของนางสิงห์ที่กำลังอาบน้ำ
นางสิงห์ตะโกนถาม “คุณว่าอะไรนะ ผู้กอง”
“เปล่า”
“หา” นางสิงห์ได้ยินไม่ถนัด
“ค่อยๆอาบไปเถอะ อาบนานๆ ก็ได้นะ ชั้นไม่รีบ” ธัมโมว่า
นางสิงห์พยักหน้างงๆ แล้วอาบน้ำต่อ ธัมโมพยายามเพ่งมอง
ธัมโมรำพึง “โธ่เว้ย ถ้าชัดกว่านี้ก็ได้เห็นหน้าแล้ว ฮึ่ย”
นางสิงห์หันไปแล้วสังเกตว่าธัมโมยื่นหน้าตาเหมือนจะเพ่งยังไงอยู่ชอบกล ก็เริ่มเขิน
“นี่ผู้กอง คุณมองอะไรอยู่รึเปล่าเนี่ย”
“เปล๊า... โอ้ย ผูกซะมิดขนาดนี้จะไปเห็นได้ยังไง ไม่เห๊น”
“ถ้าแอบดู ขอให้ตาเป็นกุ้งยิงด้วย”
นางสิงห์ขยับไปอาบที่ไกลๆ กว่าเดิม ธัมโมพยายามชะเง้อมองตามอย่างขัดใจ
“โธ่เว้ย ไปซะมืดแบบนั้นก็จบเห่กันพอดีฮึ่ย”
เวลาผ่านไป ธัมโมยังถูกมัดอยู่ ขณะที่นางสิงห์อาบน้ำเสร็จแล้ว และไม่ได้สวมหน้ากากอีก เธอปอกผลไม้ป้อนให้ธัมโม
“ขาเธอเป็นยังไงบ้าง” ธัมโมถามอย่างอาทร
นางสิงห์มองขาตัวเอง “ฮืม หายบวมแล้วล่ะ พรุ่งนี้ก็เดินได้แล้ว”
ธัมโมพยายามจะเพ่งมองนางสิงห์ แต่ก็เห็นไม่ชัดอยู่ดีเพราะเนื้อผ้าที่คาดหน้าหนาเกิน
นางสิงห์รู้ทันชูมีดขู่ “นี่ ก้มหน้าไป ถ้าพยายามมองชั้นอีกล่ะก็ ชั้นจะควักลูกตาทิ้ง”
“แหม จะโหดไปถึงไหนกัน ก็แค่อยากเห็นหน้าคนสวยเท่านั้นเอง”
“ยังไม่เห็น แล้วรู้ได้ยังไงว่าชั้นสวย”
“สัมผัสที่หกมันบอก ตอนที่เธอจูบชั้นล่ะมั้ง ชั้นว่าเธอต้องสวยแน่”
นางสิงห์เก่งแอบยิ้มปลื้ม “แล้วถ้าไม่สวยล่ะ จะเลิกตามจับรึเปล่า”
“ไม่สวยสิโดนจับ แต่ถ้าสวยรับรองโดนจีบแน่” ธัมโมสัพยอก
นางสิงห์ขำกิ๊ก “พูดเก่งเหมือนกันนะผู้กอง ไม่น่าเชื่อว่าจะเคยโดนแฟนทิ้ง”
ธัมโมสะดุดหู นึกเอะใจ “เธอรู้ได้ยังไง”
เก่งในคราบนางสิงห์อึกอัก “โอ้ย เรื่องคุณกับคุณเพลินตาน่ะ เค้ารู้กันทั้งบางแล้วไม่รู้สิแปลก”
“ฮือ ก็นั่นสินะ” ธัมโมถอนหายใจ “เฮ้อ คืนนี้อากาศดีจัง เผลอๆ ชั้นนึกว่าเรามาปิกนิกกันซะอีก”
“ปิกนิก” นางสิงห์งวงยงง
“ก็ที่มาเที่ยวปูเสื่อ ทานข้าวกันนอกบ้านไง”
“อ๋อ แบบที่คู่รักเค้าทำกันน่ะเหรอ”
“ใช่ สวมกุญแจมือ แล้วก็เอาผ้าผูกตาผู้ชายเอาไว้ นี่ล่ะที่เค้าเรียกว่าปิกนิก” ธัมโมประชด
นางสิงห์ยิ้มขำอีก “สักวันนึง ชั้นคงไม่ต้องทำแบบนี้ ชั้นจะยอมให้คุณเห็นหน้าชั้น”
“จริงเหรอ”
“จริงสิ ถ้ากำนันศรกับเสี่ยเล้งโดนจับเมื่อไหร่ ชั้นสัญญาว่าจะมอบตัว”
ธัมโมใจหล่นวูบ หน้าสลดลงไป
“รู้มั้ยนางสิงห์ ชั้นไม่อยากให้ถึงวันนั้นเลย ไม่อยากจริงๆ”
เก่งในคราบนางสิงห์เอื้อมมือไปลูบแก้มธัมโมเบาๆ อย่างผูกพัน
นางสิงห์สะบัดช่อ ตอนที่ 13 (ต่อ)
ข่าวการตายของจำเริญแพร่สะพัดไปทั่วบ้านไม้งามในวันต่อมา ที่ห้องรับแขกบ้านพักผู้กองธัมโมยามนั้น แก้วเหล้าใบหนึ่งวางอยู่ก่อนที่เหล้าจะถูกรินเติมลงไป เพลินตากำลังยืนกอดอกมองดนัยที่นั่งดื่มเหล้าอย่างกลัดกลุ้ม
“ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากช่วยคุณนะเพลินตา แต่เรื่องแบบนี้ถ้าขึ้นโรงขึ้นศาลล่ะก็ กำนันศรต้องชนะคดีแน่นอน แถมผมจะโดนฟ้องไปด้วยที่เข้าข้างพ่อคุณตอนแรก”
“แล้วเราไม่มีวิธีอื่นเหรอคะดนัย วิธีไหนก็ได้ที่ทำให้พี่จำเริญนอนตายตาหลับ”
“มีอยู่ทางนึง” สีหน้าดนัยหนักใจ “พวกคุณต้องหาใครสักคนมาเก็บกำนันศร ส่วนผมจะ
แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น”
“กำนันศรมันร้ายยิ่งกว่าผีซะอีก ใครจะฆ่ามันได้” เพลินตาหนักใจ
“หนามยอกต้องเอาหนามบ่งเพลินตา จะฆ่าคนมีวิชาอย่างกำนันศรเราต้องอาศัยคนๆ นึง” ดนัยบอก
“ใครเหรอคะ”
สองคนพากันมาอยู่ที่เรือนจำประจำจังหวัดในเวลาต่อมา และยืนอยู่หน้าห้องขังเดี่ยวของ เชิด ผาดำ แล้ว
ประตูเหล็กหน้าห้องขังมีเพียงช่องส่งอาหารเล็กๆ ด้านล่าง และด้านบนระดับสายตาเป็นช่องส่องมองนักโทษ นอกนั้นปิดทึบ จังหวะนั้นมีหนูวิ่งออกมาจากช่องเล็กด้านล่าง บ่งบอกความโสโครกภายในอย่างดี
ผู้คุมเปิดช่องบังตาด้านบนเพื่อมองเข้าไปข้างใน ก่อนจะไขกุญแจเปิดประตูเหล็กออก โดยมีดนัยกับเพลินตาเฝ้ารออยู่
เสียงดนัยเริ่มเล่าเรื่องราวขณะที่สองคนอยู่ในห้องรับแขกบ้านพักธัมโม ดังก้องในหัวเพลินตา
“เชิด ผาดำ อดีตจอมโจรผู้ยิ่งใหญ่สมัยที่ท่านจอมพลยังเรืองอำนาจ ท่านต้องเสียคนเป็นร้อยกว่าจะจับมันได้ วิชาอาคมของมันร้ายกาจมาก ถึงขั้นยงคงกระพัน ท่านจอมพลเลยมีคำสั่งให้ขังมันเอาไว้ เพื่อทรมานจนกว่าจะตาย” ขยับท่าที “และที่สำคัญ...ท่านกำชับว่า ห้ามใครสัมผัสมือขวาของมันเด็ดขาด”
เพลินตาฉงน “มือขวา”
“มือขวาของเชิด ผาดำ มีอาถรรพ์ จะผีหรือคน มันสะกดวิญญาณได้ทั้งนั้น”
สีหน้าเพลินตารู้สึกหวาดหวั่น
ยินเสียงประตูห้องขังนักโทษฉกรรจ์เปิดออก พอผู้คุมเปิดประตูออก เพลินตากับดนัยถึงกับผงะกลิ่นเหม็นที่ตลบอบอวลออกมาจากในห้อง
ผู้คุมร้องขึ้น “เชิด ผาดำ มีคนมาเยี่ยม”
ในห้องนั้น…เชิด ผาดำ ผมเผ้าหนวดเครายาวรุงรัง มันนั่งอยู่กลางห้อง โดยที่มือขวาถูกล่ามโซ่ไว้กับผนัง ที่หลังฝ่ามือขวา มีอักขระโบราณรูปร่างแปลกตาหลายตัวสักเรียงรายเต็มไปหมด
เชิดสูดกลิ่น “น้ำหอม…ผู้หญิง…ข้าไม่ได้กลิ่นผู้หญิงมานานแล้ว”
เชิด ผาดำ ลืมตาขึ้นมองเพลินตาแล้วหัวเราะใส่อย่างหื่นกระหาย เพลินตารีบถอยไปหลบหลังดนัย
“เชิด ผาดำ ชั้นสารวัตรดนัย มีข้อเสนอสำหรับแก”
“ว่ามาเลยสารวัตร”
“อิสรภาพ ถ้าแกยอมทำงานให้ชั้น”
“งานอะไร” เชิดถาม
“ฆ่าคน” ดนัยบอก
“หึๆๆๆ ฆ่า ฮ่าๆ ฆ่าคน ฆ่าคน”
เชิด ผาดำ หัวเราะสะใจ เสียงหัวเราะดังกึกก้อง จนเพลินตาต้องอุดหู ผนังห้องสั่นสะเทือนเพราะเสียงหัวเราะนั้นของมัน
ตรงทางเดินบริเวณชายป่า ธัมโมยังสวมกุญแจมือไพล่หลังและมีผ้าปิดตา กำลังเดินมากับนางสิงห์ โดยนางสิงห์ต้องเกาะบ่าธัมโมเพื่อประคองตัว และก็คอยดูทางแทนเขาไปด้วย
“เฮ้อ เตี้ยอุ้มค่อมขนานแท้เลยนะเนี่ย อีกคนก็มองไม่เห็น อีกคนก็ขาเจ็บ แล้วแบบนี้เมื่อไหร่จะถึงหมู่บ้านซะที” ธัมโมบ่นอุบ
“อย่าบ่นเลยน่าผู้กอง จวนถึงแล้ว”
“ถ้างั้นอีกเดี๋ยว เราก็คงต้องแยกกันแล้วสินะ”
“ไว้ๆ ว่างผู้กองก็ชวนชั้นมาปิคนิคอีกสิ สนุกดีนะชั้นชอบ”
“ชั้นก็ชอบ เวลาได้อยู่กับเธอ” ธัมโมพูด น้ำเสียงจริงใจ
เก่งในคราบนางสิงห์มองธัมโมอย่างหวั่นไหว
“เธอทำให้ชั้นนึกถึงใครบางคน”
นางสิงห์หน้าหงิก “คุณเพลินตาอีกสิท่า”
“ไม่ใช่ซะหน่อย คนที่ชั้นนึกถึงก็คือนายเก่งรู้มั้ยว่าเธอกับหมอนั่น มีอะไรคล้ายๆกันหลายอย่างเลยนะชั้นว่า…”
นางสิงห์ไม่รอให้ธัมโมพูดจบ จับกุญแจมือเขากระชากและว่าคาถา “สะบัด”
กุญแจมือร่วงลงพื้น ธัมโมพอรู้ตัวก็รีบดึงผ้าปิดตาออก แต่ร่างนางสิงห์หายวับไปเสียแล้ว
“นางสิงห์ นางสิงห์” ธัมโมส่ายหน้า “ขนาดขาเจ็บนะเนี่ย ไวเป็นบ้า”
เก่งในชุดนางสิงห์โยนตัวลงที่พื้นห้องนอนบ้านครูเพิ่มโดยละม่อม จากนั้นเก่งก็จัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นเก่งคนเดิม สวมวิกขยับให้เข้าที่
“โฮ่ยเหนื่อยแทบตาย เพราะแกคนเดียวไอ้ย้งมันถึงป่วนกันไปหมดแบบนี้ เจอตัวเมื่อไหร่ต้องด่าซะให้เข็ด”
เก่งเปิดประตูจะออกจากห้องแต่แล้วก็ต้องตกใจเมื่อเจอเพ็ญพรยืนดักอยู่
“คุณ…”
เก่งไม่ทันจะได้พูดอะไร เพ็ญพรตบหน้าฉาดใหญ่
“คุณบัว” เก่งตกตะลึง
เพ็ญพรผลักตัวเก่งอีก เหมือนคนขาดสติ “ทุกอย่าง! ชั้นทำทุกอย่างเพื่อเธอ ทำไมเธอไม่เห็นใจชั้นบ้าง ชั้นเป็นห่วงความปลอดภัยของเธอ แล้วเธอตอบแทนชั้นแบบนี้เหรอแก้ว เธอหักหลังชั้น เธอเห็นนายย้งมันดีกว่าชั้น เธอชอบมันใช่มั้ย”
“แก้วเปล่านะคุณบัว แก้วเห็นนายย้งเป็นแค่เพื่อน”
“แล้วผู้กองธัมโมล่ะ เมื่อคืนเธอหายไปกับเค้าทั้งคืน เธอไปทำอะไรเธออยู่ไหน” เพ็ญพรเขย่าๆ ร่างเก่งถามอย่างคาดคั้น “บอกชั้นมาสิแก้ว บอกชั้นมา”
เก่งกระชากตัวจับเพ็ญพรให้หยุดพล่าม “พอได้แล้วคุณบัว แก้วไม่ใช่ขี้ข้าของคุณนะตอนนี้แก้วเป็นอิสระ ทุกอย่างที่แก้วทำลงไป ก็เพื่อตอบแทนผู้ใหญ่ทอง ไม่ใช่คุณ”
เพ็ญพรเสียใจมาก “นี่เธอเห็นคนอื่นดีกว่าชั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ เธอเห็นคนอื่นสำคัญกว่าชั้นได้ยังไง เธอลืมตอนที่เรายังเด็กไปแล้วเหรอแก้ว เราเคยไว้ใจกัน เราไม่เคยมีคนอื่น”
“แต่เวลามันผ่านไปแล้ว ตอนนี้แก้วไม่ใช่แก้วคนเดิม แก้วตามใจคุณบัวทุกอย่างเหมือนตอนที่เรายังเด็กไม่ได้ แต่แก้ว…แก้วยังพร้อมจะปกป้องคุณบัวของแก้วเสมอ”
เพ็ญพรโผเข้ากอดอย่างรักใคร่ “ชีวิตชั้นไม่มีใครอีกแล้วนอกจากเธอ เธออย่าทำให้ชั้นผิดหวัง
อีกนะแก้ว สัญญานะ ว่าเธอจะไม่รักใคร นอกจากชั้น”
เพ็ญพรกอดเก่งแน่นแก้มแนบแก้ม ทำเอาเก่งใจหายวาบเริ่มรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติในตัวของเพ็ญพร
ประตูด้านหลังคุกถูกเปิดออก ผู้คุมช่วยกันยกนำร่างไร้วิญญาณของเชิด ผาดำ ออกมา โดยมีพระสวดนำหน้า และมีดนัยกับเพลินตาเดินตามหลัง ผู้คุมแสดงเอกสารและแจ้งกับเจ้าหน้าที่ยาม
“นักโทษเชิดผาดำ เสียชีวิตเมื่อตอนเที่ยงวันนี้ แพทย์สันนิษฐานว่าหัวใจล้มเหลว”
เจ้าหน้าที่ยามมองหน้าผู้คุมๆหลิ่วตาให้ดูใต้เอกสารที่มีเงินจำนวนนึงเหน็บอยู่
เพลินตามองดนัยอย่างเป็นกังวล ดนัยพยักหน้าทำนองว่าทุกอย่างจะต้องเรียบร้อย
รถของดนัยกำลังแล่นมาฝุ่นตลบ มุ่งหน้าสู่บ้านไม้งาม
เสี่ยเล้งกับมิ่งเดินออกมาดูที่เฉลียงหน้าบ้าน เมื่อเห็นรถของดนัยแล่นมาจอด ดนัยกับเพลินตาลงจากรถมาก่อนจะหันไปเรียก
“ลงมาได้แล้ว เชิดผาดำ”
เท้าสกปรกเป็นคราบดำของเชิดผาดำก้าวลงมาจากรถ เชิดผาดำอยู่ในชุดนักโทษก้าวออกมาจากรถและสูดหายใจรับกลิ่นอายแห่งอิสรภาพ
เวลาเดียวกันกำนันศรกำลังจัดรายการเสียงตามสายเช่นเคย ขณะที่เลือกแผ่นเสียงแผ่นใหม่อยู่นั้น แผ่นเสียงที่เล่นอยู่บนเครื่องเล่นก็เกิดติดๆขัดๆเหมือนตกร่องแล้วดับไปเสียเฉยๆ
แสงจากนอกหน้าต่างดูมืดลงราวกับมีเงาดำมาบดบัง
กำนันศรเดินไปดูที่หน้าต่างก่อนจะพบว่า กำลังมีกลุ่มเมฆสีดำขนาดใหญ่ราวกับจานบินลำยักษ์เคลื่อนตัวมาบดบังดวงอาทิตย์อย่างช้าๆ ไม่นานนักทั่วทั้งหมู่บ้านไม้งามก็ตกอยู่ในเงามืด
โปรดติดตาม "นางสิงห์สะบัดช่อ" ตอนต่อไป