แสบสลับขั้ว ตอนที่ 13
ช่วงเวลาสองทุ่มเซียนมาพบกับน้ำเพชรที่ร้านอาหารตามนัด ทั้งสองนั่งกันนิ่งๆ ไม่ได้แตะต้องอาหารตรงหน้า
“แล้วเรื่องที่คุณปลาใหญ่บอกให้น้ำยืนยันกับหม่าม้าไปล่ะคะ” น้ำเพชรถาม เซียนนิ่งอึ้งไป น้ำเพชรพยักหน้าช้าๆ น้ำตาคลอ “ไม่เป็นไรค่ะ น้ำเข้าใจทุกอย่างแล้ว”
“ร้องไห้ทำไม เป็นเพราะผมหรือเปล่า”
“นี่คุณปลาใหญ่ไม่รู้ตัวเลยหรือคะ”
“รู้อะไร”
“น้ำว่าน้ำไปดีกว่าค่ะ”
น้ำเพชรลุกขึ้น เดินผลุนผลันออกไปได้ 3-4 ก้าวแล้วหยุดกึก เหมือนนึกบางอย่างได้หันกลับมา “คุณปลาใหญ่เคยบอกว่า ตัวเองฉลาด ไอคิวสูงไม่ใช่หรือคะ”
เซียนพยักหน้างงๆ น้ำเพชรสะบัดบ๊อบเดินออกไป เซียนส่ายหน้างงๆ
กิมฮวยและเติมศักดิ์กำลังนั่งจิบน้ำชารอน้ำเพชรอยู่ น้ำเพชรเดินแกมวิ่งเข้ามาเหมือนจะวิ่งหนีอะไรสักอย่าง
“อาน้ำ ไปไหนมา”
“อาน้ำ ลื้อเป็นอะไร”
น้ำเพชรขึ้นบันไดไปโดยไม่ฟัง
“ทำไมอีไม่ตอบ”
“อั๊วจะขึ้นไปตามเดี๋ยวนี้เลย”
กิมฮวยรีบเดินขึ้นบันไดตามไป
“ปวดหัว เป็นอะไรก็ไม่ยอมบอก”
พอเข้ามาในห้องน้ำเพชรโยนกระเป๋าและทิ้งตัวลงนั่งร้องไห้ แล้วเหวี่ยงข้าวของทิ้ง
“ไอ้โง่ ขอด่าเจ้านายเถอะว่าไอ้โง่ ไหนว่าตัวเองไอคิวสูง ที่แท้ต่ำเหมือนตาปลา”
เสียงเคาะประตูดังขึ้นพร้อมกับเสียงกิมฮวย
“อาน้ำ ลื้อเป็นอะไรหรือเปล่า เปิดประตูให้อาหม่าม้าหน่อย”
“น้ำไม่ได้เป็นอะไรค่ะ หม่าม้าไม่ต้องเข้ามาหรอก น้ำง่วงเดี๋ยวจะนอนแล้ว”
“น่อ...อาน้ำน่อ...เปิดประตูให้อาหม่าม้า”
“เอาไว้พรุ่งนี้ ค่อยคุยกันดีกว่านะคะ หม่าม้ากับอาเตี่ยไปนอนเถอะค่ะ ไม่ต้องเป็นห่วงน้ำ”
“ลื้อไม่ได้เป็นอะไรแน่นะ”
“ค่ะ...แต่ถ้าหม่าม้าซักมากๆ น้ำอาจจะเป็นอะไรก็ได้”
“ไอ๊หยา งั้นอั๊วไปดีกว่า”
กิมฮวยเดินผละไป น้ำเพชรทิ้งตัวลงนอนน้ำตาซึมออกมาทางหางตา
ช่วงเวลาเดียวกันนั้นที่บ้านปลาใหญ่ จันทร์ทิพย์เดินเข้ามาหาสมทรง
“สมทรง”
“ขา... คุณผู้หญิง”
“พรุ่งนี้เช้า ทำตามแผนเดิมนะ”
“ค่ะ สมทรงเตรียมทำกับข้าวขนมจีนแกงเนื้อที่คุณปลาใหญ่ชอบมากๆ ด้วยค่ะ แถมด้วยไข่เค็มดาว แต่มีปัญหาว่าจะมีใครอยากรับประทานด้วยหรือเปล่า”
“คราวนี้ไม่มีแน่นอน เพราะฉันกำชับไว้แล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นก็สำเร็จแน่นอนค่ะ โฉมเฉลาบอกว่ายานี่แรงเสียด้วย”
“ใครนะ” จันทร์ทิพย์ชะงัก
“โฉมเฉลาค่ะ”
“ใครใช้ให้ติดต่อกับโฉมเฉลาอีก แกเองก็ทำได้ แล้วก็ดีเสียด้วยทำไมต้องติดต่อโฉมเฉลา”
“อ๋อ เขามาเยี่ยมคุณผู้ชายกับคุณผู้หญิงค่ะ สมทรงเห็นว่าไหนๆ ก็มาแล้ว...เลย...เอ้อ...”
“มาเยี่ยมหรือว่ามาขอเงินเพิ่ม”
“ไม่ทราบค่ะ เห็นบอกว่าพรุ่งนี้ค่ำๆ จะมาใหม่ เขาสั่งไม่ให้เรียนคุณผู้หญิงนะคะเนี่ย บอกว่าจะเซอร์ไพรส์”
“เซอพ้งเซอร์ไพรส์บ้าบออะไร”
จันทร์ทพย์เดินออกไปอย่างหงุดหงิด
จันทร์ทิพย์กลับมาที่ห้องแล้วบอกเกริกก้องเรื่องโฉมเฉลา
“อุวะ แล้วทำไมถึงเพิ่งมาบอก”
“คงจะเก็บไว้เซอร์ไพรส์เรามั้งคะ”
“นังโฉมเฉลาคนนี้ชักจะยุ่งมากไปแล้ว”
“แต่ไม่มีอันตรายหรอกค่ะ จันทร์รับรองได้”
“ขอร้องที อย่าไปรับรองใครเด็ดขาด”
“โฉมเฉลาคงจะแค่มาเอาเงิน”
“จะแบล็คเมล์ล่ะซิ”
“เรื่องโฉมเฉลาจันทร์จัดการเอง แต่อย่าลืมเรื่องที่คุณบอกจันทร์ว่าจะให้นังอลิสาค้นสัญญาอย่างเดียว”
เกริกก้องทำหน้ารำคาญ จันทร์ทิพย์เม้มปากเจ็บใจและน้อยใจ
ปลาใหญ่เดินโทรศัพท์กลับเข้าบ้านพร้อมยักคิ้วหลิ่วตาทำหน้าทะลึ่งตึงตังตามเรื่อง
“ถึงบ้านแล้วหรือจ้ะ ริก้าจ๋าจ้ะ ... โอ๊ะถึงครึ่งชั่วโมงแล้ว ปลาใหญ่เพิ่งจะถึงเอง” สมทรงยืนลับๆ ล่อๆ หาจังหวะจะพูดด้วย “โอ่.เค้ ง่วงก็นอน ... แหม ปลาใหญ่อยากจะนอนเป็นเพื่อนจั๊ง บ๊าย...บาย” ปลาใหญ่เก็บโทรศัพท์ แล้วกวักมือเรียกสมทรง “ออกมา ออกมา” สมทรงเดินออกมา “ว่าไป”
“คุณปลาใหญ่จะรับประทานข้าวมั้ยคะ สมทรงเตรียมเอาไว้ให้แล้ว”
“หา ดีขนาดนั้น...ห่วงใยกันขนาดนั้นเชียวเรอะ ปลาใหญ่แทบไม่เชื่อหู”
สมทรงยิ้มแห้งๆ
“แหม คุณปลาใหญ่ละก็ สมทรงน่ะห่วงใยคุณปลาใหญ่ตลอดเวลาอยู่แล้วละค่ะ ว่าแต่คุณปลาใหญ่จะรับประทานมั้ยคะ”
“ไม่”
“อ้าว”
“จะรับประทานยังไงไหว ในเมื่อกินมาเต็มคราบแล้ว”
“แหม...ซักหน่อยเถอะนะคะ อย่าให้สมทรงเสียกำลังใจ”
“เสียกำลังใจแต่ไม่ได้เสียเงิน ไม่เห็นจะเป็นไร ฟังรู้เรื่องมั้ย”
“ไม่ค่อยค่ะ”
“ฉันรู้เรื่องคนเดียวพอ”
ปลาใหญ่เดินขึ้นห้อง สมทรงท้าวสะเอวมองตาม
“ไม่กินข้าวก็ต้องกินอย่างอื่น ให้กินให้ได้”
สมทรงเดินเข้ามาในครัว หันรีหันขวาง
“เอาไงดีวะ”
สมทรงเปิดตู้เย็นหยิบเหยือกน้ำส้มคั้นออกมารินใส่แก้ว สมทรงเก็บขวดไว้ที่เดิมแล้วเดินออกไปพร้อมถาดวางแก้วน้ำส้ม
สมทรงถือถาดวางแก้วน้ำส้มมาหาปลาใหญ่ที่ห้อง
“คุณปลาใหญ่ขา คุณปลาใหญ่”
ปลาใหญ่เปิดประตูออกมา
“ว่าไง”
“สมทรงเอาน้ำส้มคั้นเย็นเจี๊ยบมาให้ค่ะ”
“วะ จะรักใคร่ห่วงใยอะไรกันขนาดนั้น”
“แหม ถ้าไม่เป็นห่วงเจ้านายแล้วจะห่วงใครล่ะคะ”
“งั้นก็เอามา” ปลาใหญ่รับถาดน้ำส้มมา
“ดื่มให้หมดแก้วเลยนะคะ”
“เออ”
ปลาใหญ่ปิดประตู สมทรงยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
“ขออโหสิด้วยนะคะ...คุณปลาใหญ่”
ปลาใหญ่วางถาดน้ำส้มลง แล้วหยิบแก้วน้ำส้มขึ้นมาพร้อมกับเดินไปจะหยิบรีโมททีวี จังหวะนั้นเท้าปลาเหยียบเอาผ้าเช็ดตัวที่ตกอยู่แล้วลื่นหกล้มแก้วน้ำส้มตกแตกกระจาย
“โว้ย ไอ้มารคอหอย”
ปลาใหญ่โวยวายอย่างโห
เช้าวันรุ่งขึ้นสมทรงยกจานอาหารที่ทุกคนกินเสร็จแล้วออกไป จันทร์ทิพย์ยิ้มอย่างมีเลศนัย
“จนป่านนี้ มันยังไม่ลงมาอีก”
“ไม่หรอก ดูลุงเกรียงไกรเป็นตัวอย่าง สมทรงเขาค่อยๆ ผสมกับอาหารทีละน้อยๆ จนร่างกายมันอ่อนแอ แล้วก็เป็นโรคร้ายในที่สุด”
“คุณก้องครับ...” เกริกก้องเบือนหน้ามามอง สมทรงถือถาดกาแฟและน้ำผลไม้มาเสิร์ฟต่อ “แล้วเย็นนี้ ...”
“ฉันจะไปด้วยถ้าไม่เห็นฉัน มันอาจจะไม่กล้าเข้ามาพบ”
“พี่กรณ์ ดูแลคุณก้องของจันทร์ดีๆ ด้วยนะ แล้วก็อย่าให้เหลือหลักฐานเชื่อมมาถึงเราได้”
“ไว้ใจพี่เถอะน่า”
“รันกลัวจังเลยค่ะ”
ปลาใหญ่เดินผิวปากเข้ามา ทุกคนหันไปมองเป็นตาเดียว สีหน้าแต่ละคนราวกับจะค้นหาความผิดปกติ
“อ้าว รับประทานกินกันหมดแล้วหรือครับกระผม...ไม่รู้เป็นอะไร ง่วงๆ มึนๆ”
แต่ละคนมีสีหน้าตื่นเต้นยินดี
“สมทรงไปเอายาให้นะคะ” สมทรงบอกอย่างกระตือรือร้น
“เอาข้าวมาให้ก่อนซิ ต้องกินข้าวก่อนแล้วถึงจะกินยา”
“ไม่เอาทั้งสองอย่างครับ คลื่นไส้ ผมไปก่อนละ ขอตัวและหัวใจ”
ปลาใหญ่เดินออกไป ทุกคนมองตาม แววตาแต่ละคนทั้งพึงใจและสะใจในสีหน้า
สมทรงมาที่ห้องปลาใหญ่แต่พอเปิดประตูเข้ามาก็ต้องชะงักเมื่อเห็นแก้วน้ำส้มแตกกระจาย
น้ำส้มเหนียวเหนอะเลอะเทอะไปหมด
“แปลว่าไม่ได้กินเรอะนี่ โฮ้ย…ย”
สมทรงรีบโทรศัพท์บอกจันทร์ทิพย์ ขณะนั้นจันทร์ทิพย์อยู่ในรถกับเกริกก้อง
“สมทรงโทรมาค่ะ” จันทร์ทิพย์บอกเกริกก้อง เกริกก้องพยักหน้าจันทร์ทิพย์จึงกดรับสาย “ว่าไง...อะไรนะ” เกริกก้องหันขวับมามองทันที “เออ... เออ... สมทรงไปเก็บข้าวของในห้อง เจอแก้วน้ำส้มตกแตกกระจาย”
“แล้วน้ำส้มล่ะ”
“หกเหนียวเหนอะเต็มห้องเลยค่ะ”
“ก็แปลว่ามันไม่ได้กิน หรือถ้ากินก็น้อยมาก จนแทบไม่มีผลอะไร”
“แล้วทำไมมันบอกว่า มึนๆ ง่วงๆ คลื่นไส้ล่ะคะ หรือว่ามันจะรู้”
“จะรู้ได้ยังไง”
ทั้งคู่ต่างมีสีหน้าเคร่งเครียด
อลิสากำลังเติมปากแต่งหน้าตามปกติ จันทร์ทิพย์เดินเข้ามาท้าวสะเอวมองอย่างไม่พอใจ
“ฉันจ้างมาทำงานนะยะ ไม่ใช่ให้มาแต่งตัว” อลิสาสะดุ้ง “เวลาฉันพูดด้วยต้องลุกขึ้นยืนให้เกียรติ” อลิสารีบลุกขึ้นยืนทันที
“คุณก้อง สามีของฉันให้เธอไปค้นเอกสารให้หน่อย”
“เอกสารอะไรหรือคะ”
“ไปถามเขาเอง”
“ค่ะ”
อลิสาขยับจะเดินออกไป
“เดี๋ยว” อลิสาหันกลับมา “ค้นหาเอกสารอย่างเดียวนะยะ ไม่ใช่ถือโอกาสค้นอย่างอื่นด้วย”
“ค่ะ”
อลิสารีบเดินออกไป จันทร์ทิพย์มองตามแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากด
“อรผกา...นังอลิสามันจะไปช่วยคุณก้องค้นเอกสาร เธอสอดแนมด้วย”
จันทร์ทิพย์เก็บมือถือแล้วเดินเข้าห้องไป
ปลาใหญ่เดินตรงมาที่ห้องทำงานตัวเองขณะนั้นน้ำเพชรกำลังจัดโต๊ะโดยทำเหมือนปลาใหญ่ไม่มีตัวตน สีหน้าน้ำเพชรดูหมองๆ ผิดกับทุกวัน ปลาใหญ่หยุดมองแล้วทำกระแอมแต่น้ำเพชรยังทำท่าเหมือนไม่ได้ยินปลาใหญ่จึงกระแอมอีกครั้ง
“วันนี้ท่าทางคุณน้ำเหมือนไม่ค่อยสบายใจ”
น้ำเพชรเงยหน้าขึ้นมองทันที นัยน์ตาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อปลาใหญ่เห็นแล้วตกใจ
“ขอประทานโทษครับ”
ปลาใหญ่รีบเข้าไปในห้องทันที
ปลาใหญ่เดินมาที่โต๊ะแล้วยกมือทาบอกใจอย่างตกใจ
“ดุจังเลย”
ประตูเปิดออก น้ำเพชรเดินเข้ามายืนจังก้า
“บ่นอะไร”
ปลาใหญ่ประสานมือทันที
“เปล่าครับ”
“โกหก”
“ผมว่าคุณน้ำดุจังครับ”
“เพราะนายคนเดียว นายทำให้ทุกอย่างมันวุ่นวายไปหมด”
“ผะ...ผะ... ผมน่ะหรือครับ”
“เออ!” มือน้ำเพชรเริ่มสั่น “ เห็นมือฉันมั้ย...เห็นมั้ย”
ปลาใหญ่รีบหาที่ปลอดภัย
“เห็น...เห็นแล้วครับ...กลัวด้วยครับ”
น้ำเพชรทิ้งตัวลงนั่ง
“คุณปลาใหญ่ขอนังสายสะดือแต่งงาน”
“ไชโย้”
ปลาใหญ่ดีใจอย่างลืมตัว น้ำเพชรถลึงตามอง ปลาใหญ่จ๋อยทันที
“ถ้านายไม่เข้าร่างคุณปลาใหญ่ คุณปลาใหญ่กับนังสายสะดือก็คงไม่รู้จักกัน แล้วฉันก็คงไม่ต้องอกหัก”
น้ำเพชรร้องไห้ออกมา ปลาใหญ่ค่อยๆ เดินไปนั่งใกล้ๆ อย่างกลัวๆ กล้าๆ
“ผู้ชายไม่ได้มีคนเดียวในโลกนะครับ คุณน้ำ...”
น้ำเพชรฟาดเปรี้ยงด้วยหลังมือ
“อย่าเถียง”
“อูย...ย...ย...” ปลาใหญ่แตะครึ่งจมูกครึ่งปากที่เลือดไหลซึมออกมา
“ใช่ ผู้ชายไม่ได้มีคนเดียวในโลก แต่ผู้ชายที่ฉันรักมีคนเดียว” ปลาใหญ่นั่งฟังเงียบๆ “นังสายสะดือมันมีอะไรดีกว่าฉัน” ปลาใหญ่อยากตอบแต่ไม่กล้า “ทำไมคุณปลาใหญ่ถึงได้มองข้ามฉัน” ปลาใหญ่ยังคงนิ่งน้ำเพชรใช้หลังมือฟาดอีกเปรี้ยง ปลาใหญ่ร้องลั่น “ฉันถาม ทำไมไม่ตอบ”
“ก็คุณน้ำ...”
“อย่าเถียง...” น้ำเพชรตวัดมือพร้อมคำพูด แต่คราวนี้ปลาใหญ่หลบทัน “หลบทำไม”
“ไม่หลบก็เจ็บซิครับ”
น้ำเพชรลุกขึ้นยืน ย่างสามขุมหาปลาใหญ่
“นายเป็นต้นเหตุ นายมันเป็นตัวซวยนายมันเป็นมารความสุข”
ปลาใหญ่ระเบิดออกมาด้วยความน้อยใจ
“อะไรๆ ก็มาลงที่ผม คุณน้ำไม่ยุติธรรม คุณน้ำไม่ยุติธรรม คุณน้ำ...”
“หยุดนะ”
“คุณน้ำนั่นแหละเป็นต้นเหตุ”
“ฉันเป็นยังไง พูดให้ดีนะ”
“ผมรักคุณน้ำ แต่คุณน้ำไม่เคยเห็นผมอยู่ในสายตา พอมีโอกาส...โอกาสที่มหัศจรรย์ที่สุดผมก็เลยเข้าร่างไอ้ปลาใหญ่เพื่อที่คุณน้ำจะได้เห็นความสำคัญของผมบ้าง ถ้าจะผิดผมก็ผิดเพราะผมรักคุณน้ำนั่นแหละ”
น้ำเพชรนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วพูดเน้นๆ
“ทุเรศ หน้าด้าน เห็นแก่ตัวที่สุด”
น้ำเพชรเดินออกไปเงียบๆ ปลาใหญ่มองตามอย่างน้อยใจสุดๆ
น้ำเพชรกลับมาที่โต๊ะแล้วทรุดตัวลงนั่งกุมขมับเมื่อนึกถึงคำพูดของปลาใหญ่ น้ำเพชรเงยหน้ามองเพดาน สีหน้าอัดอั้นตันใจ ประตูเปิดออกปลาใหญ่เดินออกมาแล้วผ่านไปโดยไม่มองน้ำเพชร น้ำเพชรมองตามแล้วเม้มปาก
แสบสลับขั้ว ตอนที่ 13 (ต่อ)
จันทร์ทิพย์เดินกลับไปกลับมาอย่างกระวนกระวายแล้วตัดสินใจหยิบโทรศัพท์มองราวกับจะตัดสินใจ ภายในห้องทำงานเกริกก้องขณะนั้นอลิสากำลังอ้อนเกริกก้องหลังจากช่วยหาสัญญาของปลาใหญ่จนเจอแล้ว
“อลิสาต้องไปแล้วละค่ะ เดี๋ยวคุณจันทร์ทิพย์เธอจะสงสัย”
“สงสัยก็ช่างเป็นไร”
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น
“นั่นไงคะ” อลิสาเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มาส่งให้เกริกก้อง “ใช่ จริงๆ ด้วย”
เกริกก้องกดรับสาย
“ว่ายังไงจ้ะ”
“ได้หรือยังคะ หรือว่าจะต้องหากันทั้งวันทั้งคืน”
“ได้แล้ว ...ได้แล้ว ... อลิสากำลังกลับไป”
อลิสามองเกริกก้อง ทำสีหน้าเหมือนจะต่อว่า เกริกก้องโบกไม้โบกมือเป็นเชิงห้ามให้ออกไป อลิสาเดินเข้ามาจุ๊บแก้มเกริกก้องแล้วออกไป
“ลายเซ็นเหมือนกันหรือเปล่าคะ”
“จะมาดูเองก็มาซิ”
เกริกก้องวางโทรศัพท์ลง
จันทร์ทิพย์ออกจากห้องเจอกับอลิสาที่มาถึงพอดี
“ทำไมหานานนัก”
“เอ้อ...เพิ่งจะหาเจอค่ะ”
“ห้องทำงานก็แค่นั้นเอง แกมันมารยาหาไม่เจอน่ะซิ” อลิสาทำก้มหน้านิ่ง “อย่าเชียวนะ นังอลิสา”
จันทร์ทิพย์สะบัดหน้าเดินออกไป อลิสามองตามเยาะๆ
“ตบมือข้างเดียวมันไม่ดังหรอกย่ะ นังคุณนาย”
เกริกก้องกำลังเทียบลายเซ็นปลาใหญ่ขณะที่จันทร์ทิพย์เดินเข้ามา
“คล้ายแต่ไม่เหมือน ดูซิ”
เกริกก้องส่งให้ จันทร์ทิพย์รับมาดู ลายเซ็นปลาใหญ่ที่กระดาษทั้งสองแผ่นคล้ายกัน แต่ยังเห็นข้อบกพร่องค่อนข้างชัด
“คงไม่มีใครทันสังเกตหรอกค่ะ”
“จันทร์ ไอ้บ้าเซียนนั่นมันไม่ได้โง่อย่างที่เราเข้าใจกันหรอกนะ ยิ่งไอ้ปลาใหญ่ยิ่งไอคิวสูง ถ้ามันร่วมมือกัน”
“ไม่มีทาง ไอ้เซียนมันอยากรวยจะตายไป”
“ร่วมมือกับปลาใหญ่มันก็รวยได้ ระหว่างเรากับปลาใหญ่มันอาจจะคิดว่าอยู่กับปลาใหญ่ปลอดภัยกว่า ซึ่งก็จริงของมัน”
“โอ๊ย คุณจะพูดให้จันทร์กลุ้มทำไมคะ ไม่เข้าใจ”
“เพราะมันต้องเผื่อกลุ้มไว้บ้างน่ะซิ”
“คุณยิ่งพูด จันทร์ก็ยิ่งกลุ้ม”
“งั้นก็มาช่วยกันแก้ปัญหา อย่าเอาแต่หึงหวงพยาบาทกัน”
“อ้อ...ไอ้ที่พูดมาทั้งหมดนี่ก็เพราะจะให้จันทร์ยอมรับนังอลิสเป็นเมียน้อยคุณนั่นเอง”
“ไปกันใหญ่แล้ว”
“นังอลิสามันมีอะไรดีกว่าจันทร์ จันทร์รักคุณมาก มันก็แค้นมาก ถ้าวันไหนคุณทิ้งจันทร์จันทร์จะไม่รับรองว่าจะเกิดอะไรขึ้น แล้วอย่าได้คิดจะฆ่า หรือกำจัดจันทร์เหมือนที่เคยทำกับคนอื่น เพราะจันทร์ไม่ยอมตายหรือหายนะคนเดียวแน่!”
จันทร์ทิพย์สะบัดหน้าจะเดินออกไปแต่เกริกก้องเข้ามากอดไว้
“ไม่เอาน่า ทำหน้าบึ้งหน้างอมากๆ เดี๋ยวแก่เร็วนะ อ้อ!ลืมไป คุณไม่แก่หรอกเพราะ ชอบฉีดโบท็อกซ์ ฉีดฟิลเล่อร์”
จันทร์ทิพย์ขำแต่รีบทำหน้าบึ้ง
“บ้า”
“เดี๋ยวเย็นนี้เราไปแวะซื้อเพชร แล้วไปกินข้าวกัน”
จันทร์ทิพย์ยิ้มออกกอดเกริกก้องไว้ ขณะที่เกริกก้องกอดจันทร์ด้วยสีหน้าเย็นชา
ปลาใหญ่มาหาเซียน ทั้งคู่จึงพากันมานั่งคุยที่ท้ายซอย
“ได้ข่าวว่า แกจะแต่งงานกับสายพิณ” เซียนนั่งนิ่ง “ฉันขอสนับสนุนเต็มที่ สายพิณเป็นคนดี ไม่ใช่ดีธรรมดา ...แต่ดีมาก...ก...ก”
“ถ้าดีขนาดนั้นแล้วทำไมนายไม่แต่งด้วยเสียเองล่ะ”
“เพราะฉันเสียสละให้แกไง”
“ขอบใจ แต่...”
“ไม่มีแต่ ...จะแต่งวันไหนบอกมา ฉันจะออกค่าโรงแรม ค่าจัดเลี้ยงทั้งหมด...”
“ซึ่งก็คือเงินของฉัน”
“แต่ตอนนี้มันเป็นของฉันแล้ว เอาเถอะน่า ฉันก็มีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีเหมือนกัน ฉันไม่ยึดเอาไว้คนเดียวหรอก”
“ฉันทำแผนงานเสร็จแล้ว”
“งานอะไร”
“งานวัดมั้ง... คุณครรชิตจะอธิบายให้แกฟัง”
“ทำไมแกไม่อธิบายเอง”
“เพราะฉันฉลาดมาก คนอย่างนายฟังไม่ค่อยเข้าใจหรอก อีกอย่างฉันต้องใช้ทับศัพท์เป็นบางคำแกไม่มีทางรู้เรื่อง คุณครรชิตอยู่กับฉันมานาน เขาสามารถถ่ายทอดได้” ทั้งคู่นิ่งกันไปครู่หนึ่ง “น้ำเพชรเป็นยังไงบ้าง”
“โอ๊ย ปลื้ม...ปลื้มจนน้ำตาเล็ดน้ำตาไหล”
“เคยมีวันไหนที่นายไม่พูดโกหกบ้างหรือเปล่า”
“ไม่มี โกหกวันละนิดจิตแจ่มใสไง” ปลาใหญ่เอาข้อศอกมาถองเซียนแบบหยอกล้อขณะพูด “ว่าแต่แกจะแต่งกับสายพิณเมื่อไหร่”
“เขาไม่แต่งกับฉันหรอก”
“เฮ้ย ต้องแต่งซิ ไม่แต่งไม่ได้เด็ดขาด”
“แล้วมันหนักอะไรแก”
ปลาใหญ่สะดุ้ง
“ไอ้พิณละซิ สอนให้พูดแบบนี้ ไอ้นี่สอนดีๆ ทั้งนั้น กลับหละแล้วฉันจะเจรจากับไอ้พิณให้เอง”
“ไอ้เนรคุณ”
“เฮ้ย”
“ฉันได้ยินป้าไหมด่าแกกับยายปิ่น บอกว่าได้ดีแล้วหายหัวไปเลยคนแบบนี้รับรองว่าไม่เจริญ แถมยังจะตกนรกหมกไหม้ไม่ได้ผุดได้เกิด ต้องชดใช้กรรมในนรกอเวจี”
“พอ”
“อ้าว ไม่ฟังต่อให้จบเรอะ”
ปลาใหญ่ส่ายหน้าเดินไป เซียนทำหน้าเจ้าเล่ห์แล้วเดินตาม
ที่บ้านยายปิ่น ขณะนั้นสายไหมและยายปิ่นนั่งคุยกันโดยยายปิ่นทายาหม่องเป่าว่าคาถาให้ไปพร้อมๆ กัน
เซียนเดินเข้ามา
“มีคนมาพบป้าครับ รออยู่ที่บ้าน”
“ใคร”
“ถ้าบอกก็ไม่เซอร์ไพร์สซิครับ”
สายไหมหันมาทางยายปิ่น
“ไปเหอะ แล้วช่วงนี้ก็ไม่ต้องตระเวณมาหาฉันหรือไปไหนมาไหน ตกรถขาแข้งยังไม่ปกติเลย”
“ก็มันเปรี้ยวปากอยากจะนินทานี่”
“แกเอ๊ย... สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ...”
“ไปละ ยายปิ่น” สายไหมลุกขึ้นโดยเซียนช่วยประคอง
“อ้าว ไม่ฟังก่อนเรอะว่าท่านตรัสว่าอะไร”
“ฟังจนขึ้นใจแล้ว”
เซียนพาสายไหมออกไป
“พูดเรื่องพระเรื่องเจ้าละทำเป็นไม่อยากฟัง ...เฮ้อ ผู้คนสมัยนี้ล้วนแต่มีอวิชชามาบดบัง”
ยายปิ่นบ่นตามหลัง
เซียนประคองสายไหมกลับมาบ้าน ปลาใหญ่ยิ้มกว้างโบกมือทักทาย
“สวัสดีจ้ะ ป้าจ๋า”
“ออกไปจากบ้านข้าเลยนะ ออกไป ข้าไม่รู้จักไอ้คนอกตัญญูแบบเอ็ง”
“ถ้าไม่รู้จักจะรู้ว่าเซียนอกตัญญูได้ไง” ปลาใหญ่ลอยหน้าลอยตาพูด
“บอกว่าออกไป ที่นี่ไม่ต้อนรับเอ็ง”
“ดูสายตาก็รู้ว่า ป้าคิดถึงเซียนจะแย่”
ปลาใหญ่พูดไม่ทันขาดคำ สายไหมคว้าหม้อใกล้มือขว้างปลาใหญ่
“นี่แน่ะคิดถึง”
“โอ๊ย...ป้า เซียนไปก่อนละ”
ปลาใหญ่รีบออกไป สายไหมนั่งลงร้องไห้โฮ
“ไล่เขาไป แล้วมานั่งร้องไห้ทำไมล่ะครับ”
“มันแค้น เข้าใจมั้ยว่ามันทั้งรักทั้งแค้น”
สายไหมสะอึกสะอื้น เซียนมองสายไหมพลางหยิบทิชชูส่งให้เช็ดน้ำตา
ปลาใหญ่อยู่หน้าบ้านยืนมองเข้าไปในบ้านด้วยสีหน้าสลดลง มือๆ หนึ่งยื่นมาสะกิด ปลาใหญ่สะดุ้งหันไปมอง
“สำนึกผิดละซิ”
สายพิณถาม ปลาใหญ่ถอนใจเฮือก
ปลาใหญ่กับสายพิณมานั่งคุยกันที่ร้านขายของของสายไหม
“พี่ก็ส่งเงินมาให้ทุกเดือนไม่เข้าใจว่าทำไมแกถึงโกรธแค้นชิงชังขนาดไล่เป็นหมูเป็นหมา”
“เงินไม่ใช่สิ่งสำคัญเสมอไปหรอก แล้วเท่าที่รู้แกก็ไม่เคยใช้เงินที่พี่เซียนส่งมา เพราะแกบอกว่าเป็นเงินไม่สะอาด เป็นเงินที่พี่เซียนคดโกงเขามา”
“โกงที่ไหน”
“พี่เซียนก็รู้อยู่แก่ใจ แต่ทำเป็นไม่รู้... ยิ่งหลังๆ มานี่ ตั้งแต่กลับมาดีกับยาย ป้าแกใช้แต่เงินของแก ไม่ยอมแตะเงินที่ปลาใหญ่ให้”
“ทำไม”
“แกบอกกว่า พี่โกงปลาใหญ่มามากแล้ว แกไม่ใจกล้าหน้าด้านใช้เงินของเขาอีกหรอก”
ปลาใหญ่นิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งแล้วเปลี่ยนเรื่องใหม่
“ได้ข่าวว่าเอ็งจะแต่งงานกับไอ้ปลาใหญ่”
สายพิณฉุนทันที
“ใครบอกพี่เซียน”
“เฮ้ย โชคดีแล้วนะพิณ ถึงปลาใหญ่จะไม่ดีเท่าพี่ แต่ก็เป็นคนใช้ได้ถ้าพิณจะแต่ง...”
สายพิณผุดลุกขึ้นทันที
“พิณไม่แต่ง”
“เฮ้ย”
“พิณจะแต่งกับพี่เซียน”
“แต่พี่คือปลาใหญ่”
“พิณจะเปลี่ยนพี่กลับมาเป็นคนเดิม จิตวิญญาณเดิมให้ได้”
ขณะที่ทั้งคู่คุยกัน มอมขี่จักรยานเข้ามาโดยมีชายสี่ซ้อนท้าย
“ไอ้เซียน”
ปลาใหญ่หันไปมอง
“เดี๋ยวไปคุยกันที่บ้านหน่อย”
มอมขี่มอเตอร์ไซค์ผ่านไป ปลาใหญ่มองตาม สายพิณมองปลาใหญ่อย่างครุ่นคิด
เมื่อกลับมาบ้านมอมและชายสี่นั่งปรึกษากัน
“แล้วเอ็งอยากจะรู้เรื่องของมันไปทำไมวะ”
มอมถามชายสี่
“ทำไม เพื่อนจะอยากรู้เรื่องของเพื่อนไม่ได้เรอะไง”
“ก็ไม่เห็นเอ็งสนมาตั้งนานแล้วนี่หว่า โน่น ... มันมาแล้ว ถามเองซิ”
“ใครจะถามอะไรข้า” ปลาใหญ่ถามขึ้นมา
“เฮอะ ใครจะกล้าไปถาม ข้าเป็นคนขับรถ มันเป็นประธานบริษัท” ชายสี่พูดแดกดัน
“เฮ้ย แต่แกเป็นคนขับรถที่มีวาสนานะเว้ย” ชายสี่ทำหน้าเก้อๆ ขณะที่มอมหันมามองหน้าชายสี่แล้วหันกลับมามองปลาใหญ่อย่างแปลกใจ “ใครๆ เขาก็ปิดกันให้แซ่ดว่า ลูกสาวท่านรองประธานมีเมตตากรุณา มุทิตา อุเบกขาคนขับรถมากเป็นพิเศษ”
“เฮ้ย อย่าพูดไปนะ คุณรันจะเสียชื่อ”
“สุนัขแหงนมองเครื่องบินอีกตัวแล้วเรอะนี่” มอมถามขึ้นมา
“ไม่ใช่เว้ย คุณรันเธอมีแต่ความบริสุทธิ์ใจ” ชายสี่รีบบอก
“บอกตรงๆ นะว่า ฉันไม่ค่อยอยากจะเชื่อ ยัยรันน่ะหน้าตาเต็มไปด้วยแผนพิฆาต”
“ไอ้เซียน”
“ยัยนี่แนะนำเพื่อนให้ฉันรู้จัก”
“แล้วแกก็ยังเนรคุณ”
ปลาใหญ่นึกฉุน
“เนรคุณอีกแล้ว ฉันไม่ได้เนรคุณใครเว้ย ผู้หญิงที่ยัยรันแนะนำน่ะพยายามจะรวบรัดให้ฉันแต่งงานด้วยท่าเดียว”
“แกดูถูกเขาเกินไปแล้ว”
“ฉันดูถูกทั้งหมดเลยรวมทั้งแกด้วย”
ชายสี่ต่อยปลาใหญ่เปรี้ยง ปลาใหญ่โกรธจัดชกตอบ ทั้งสองคนสู้กันชุลมุนโดยมีมอมพยายามเป็นกรรมการห้าม
“หยุดก่อน บอกให้หยุด” ทั้งสองไม่ยอมหยุด แถมมอมยังถูกลูกหลงไปด้วย ในที่สุดมอมโกรธจัดเข้าไปในครัวหยิบมีดอีโต้มาให้คนละด้าม “เอ้า เอาอีโต้ไปคนละอัน เอาซิ ฟันให้มันตายไปข้างนึงเลย ถ้าไม่ตายฉันจะช่วยฟันให้ตายตกไปตามกันทั้งคู่”
“เฮ้ย อย่าเล่นมีด เสี้ยวไส้”
“ไม่ได้ให้เล่น เอาจริงเลย ฟันกันให้หัวแบะ ไม่แบะไม่ต้องเลิกเอาไปซิ บอกให้เอาไป” ชายสี่กับปลาใหญ่ยืน
นิ่ง “อ้าว ถ้าไม่เอา ข้าฟันเอง” มอมควงมีด ชายสี่กับปลาใหญ่รีบหนีออกไป “ไม่แน่จริงนี่หว่า”
ปลาใหญ่และชายสี่หนีมอมออกมา เมื่อเห็นว่าพ้นแล้วจึงผ่อนฝีเท้าลง
“ข้าเชื่อว่า คุณรันเขาจริงใจ” ชายสี่บอก
“ข้าไม่เชื่อ” ชายสี่อ้าปากจะพูด ปลาใหญ่รีบยกมือห้าม “อย่ามาโน้มน้าวซะให้ยาก แกเองก็ควรจะรีบถอนตัว
ออกมา เพราะไอ้ปลาใหญ่กับคุณคันกำลังวางแผนกระชากคนพวกนี้ออกมา”
“วางยังไง”
“ไม่บอกเว้ย เพราะถ้าบอกเอ็งก็จะได้คาบไปฟ้องยัยรันน่ะซิ...ไปละ พูดมากไม่ได้ เดี๋ยวความลับจะรั่วไหล”
ปลาใหญ่เดินออกไป ชายสี่มองตามแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากด
ขณะนั้นรัญญากับดาริกากำลังคุยสนุกสนานอยู่กับชายหนุ่มอีกสองคนที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง เสียงโทรศัพท์รัญญาดังขึ้น รัญญาหยิบขึ้นมาดู แล้วนิ่วหน้านิดหนึ่ง
“ขอโทษนะคะ... คุยกันไปก่อน”
รัญญาลุกเดินออกไป ดาริกามองตามครุ่นคิดแว่บหนึ่งแล้วหันมาคุยกับสองหนุ่มต่อ
“เมื่อกี้ถึงไหนแล้วนะคะ”
รัญญาหลบออกมารับโทรศัพท์ด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“มีธุระอะไร”
“คุณรันโกรธผมหรือครับ”
ชายสี่ถามอย่างร้อนใจ รัญญารู้สึกตัวรีบปรับน้ำเสียง
“อ๋อ เปล่าจ้ะ แต่ไม่สบายนิดหน่อย”
“ไปหาหมอมั้ยครับ ผมจะไปขับรถให้”
“นี่มันนอกเวลางานแล้ว ไม่ต้องหรอกจ้ะ ว่าแต่โทรมาทำไม”
“ไอ้เซียนมันบอกผมว่า คุณปลาใหญ่กับมันกำลังวางแผนจะถอดหน้ากากคุณพ่อคุณรันกับพวกท่านทุกคนครับ”
“มันจะทำยังไง”
“ผมถามแล้ว แต่มันไม่ยอมบอกครับ เลยอยากจะให้คุณรันช่วยอธิบายให้มันเข้าใจหน่อย”
“ชายสี่คิดว่า เขาจะฟังฉันเรอะ”
“ฟังแน่ครับ ความจริง ไอ้เซียนมันไม่ใช่คนคิดอะไรลึกซึ้งนัก นี่คงจะถูกหลอกนั่นแหละ”
“ฉันจะลองดู แต่ฉันไม่ได้แคร์ว่าใครจะเข้าใจผิดหรอกนะ ถ้าชายสี่เข้าใจว่าฉันเป็นคนยังไงก็พอแล้ว”
“คุณรัน...ขอบคุณมากนะครับ...ผม...ผมขอบคุณมากเหลือเกินครับที่ไว้ใจผม”
“ไม่ใช่ไว้ใจอย่างเดียว ยังเชื่อใจแล้วก็อะไรๆ อีกหลายอย่าง” ชายสี่ตื้นตันจนพูดไม่ออก “แค่นี้ก่อนนะจ้ะ พอดีกำลังช่วยงานคุณพ่ออยู่”
“ครับ”
ชายสี่วางโทรศัพท์ลงอย่างสุขใจ
แสบสลับขั้ว ตอนที่ 13 (ต่อ)
พอวางหูจากชายสี่รัญญาจึงรีบโทรหาเกริกก้อง
“ว่าไงลูก...อ๋อ! พ่อยังอยู่ที่ออฟฟิศ รันมีอะไรหรือเปล่า...งั้นเดี๋ยวกลับไปเล่าให้พ่อฟังที่บ้านก็ได้” มีเสียงเคาะประตูเบาๆ แล้วปกรณ์ก็เดินเข้ามาด้วยท่าทางนอบน้อม เกริกก้องพยักหน้ากับปกรณ์ “โอเค พ่อต้องไปแล้ว...จ้ะ...เดี๋ยวพบกัน”
เกริกดก้องปิดโทรศัพท์เก็บใส่กระเป๋าเอกสาร ปกรณ์รีบมารับกระเป๋า
“ผมถือให้ครับ”
เกริกก้องส่งให้แล้วเดินนำไปที่ประตู ปกรณ์กุลีกุจอเปิดประตูให้แล้วรีบตามออกไป
ขณะนั้นเอ็กซ์อยู่ที่บ้านหมอแม่นและกำลังเดินกลับไปกลับมาอย่างกังวล กระวนกระวายใจ จนกระทั่งมี
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เอ็กซ์สะดุ้งเฮือกแล้วค่อยๆ เดินมาดู ที่จอโทรศัพท์เป็นชื่อ “เจ้านาย” เอ็กซ์ลังเลครู่หนึ่งแล้วหยิบขึ้นมารับ
“ครับ...เจ้านาย”
“ฉันกำลังจะไป”
“ครับ”
“ดี”
เอ็กซ์ปิดโทรศัพท์เครียดๆ พอวางหูจากเอ็กซ์เกริกก้องจึงสั่งให้ปกรณ์ออกรถ
“ไปได้”
ปกรณ์ขับรถออกไป
ประตูบ้านหมอแม่นค่อยๆ แง้มออก พร้อมกับดวงตาเอ็กซ์เหลือบซ้ายแลขวาเห็นหมอแม่นกำลังเดินตรงมา ... เอ็กซ์รีบออกมา
“ไอ้เอ็กซ์ ออกมาทำไม เดี๋ยวก็มีคนเห็นหรอก”
“ฉันจะออกไปธุระ”
“แล้วทำไมไม่ปีนออกทางหน้าต่างด้านหลัง”
เอ็กซ์นิ่งไปครู่หนึ่ง
“ไม่รู้ซิ ...วันนี้ ฉันไม่ค่อยสบายใจ ลืมโน่นลืมนี่ไปหมด”
“งั้นก็ไม่ควรจะไปไหน ถ้าเอ็งไม่ค่อยสบายใจก็ไม่ต้องไป”
“ไม่ไปไม่ได้หรอก เจ้านายเรียกตัวไม่ไปเดียวอด เพราะท่านจะเอาเงินมาให้”
“งั้นก็รีบไปเลย”
เอ็กซ์เดินลัดเลาะออกไปทางด้านหลัง
เอ็กซ์ขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามายังจุดนัดพบ ขณะนั้นฝนกำลังจะตกและรถเกริกก้องจอดรออยู่ก่อนแล้ว เอ็กซ์ขี่มอเตอร์ไซค์เข้าไปหาก้าวลงมาแล้วดับเครื่อง ประตูรถเปิดออกเกริกก้องก้าวลงมาในมือถือซองสีน้ำตาล
“เจ้านายมานานแล้วหรือยังครับ”
“ก็มาถึงก่อนหน้าแกเดี๋ยวเดียว รถไม่ค่อยติด...เอ้า...”
เกริกก้องยืนซองให้
“ขอบคุณมากครับ”
ปกรณ์ก้าวเข้ามาทางด้านหลังเอ็กซ์ ในมือถือปืนยกขึ้นเล็งแล้วลั่นไกใส่เอ็กซ์ เอ็กซ์สะดุ้งสุดตัวแล้วค่อยๆ ทรุดลงขาดใจตาย ซองในมือร่วงลงพื้น เกริกก้องมองเอ็กซ์อย่างเลือดเย็น ปกรณ์เดินมาหยิบซองส่งให้เกริกก้องหลังจากมาแตะชีพจรเพื่อเช็คว่าเอ็กซ์ตายแน่
“นี่ครับ”
“เอาไว้ใช้เถอะ”
“ขอบคุณมากครับ”
เกริกเดินไปขึ้นรถ ปกรณ์เดินตามมาขึ้นที่คนขับ ฝนเริ่มตกลงมา ปกรณ์ขับรถออกไป
“ไอ้เอ็กซ์มันตายเย็นดีนะครับ”
ปกรณ์พูดขึ้นมา
“เดี๋ยวไปส่งฉันที่บ้านแล้ว เอาปืนไปทิ้งแม่น้ำหรือทะเลไกลๆ เลย”
“ได้ครับ”
โทรศัพท์ดังขึ้น เกริกก้องหยิบขึ้นมาดูแล้วรับ
“ทุกอย่างเรียบร้อย...กลับถึงบ้านแล้วจะเล่าให้ฟัง”
เกริกก้องเก็บโทรศัพท์นั่งมองไปข้างหน้าเงียบๆ ขณะที่รถแล่นไปท่ามกลางสายฝน
ปกรณ์ขับรถเข้ามาจอดหน้าตึก รถปลาใหญ่แล่นตามเข้ามาจอดปกรณ์มองทางกระจกหลัง
“ไอ้เซียนมันก็เพิ่งกลับเหมือนกัน”
ปลาใหญ่ลงจากรถ แล้วเดินมาเคาะหน้าต่างรถเกริกก้อง
“ไปไหนมาครับ คุณอา”
ปกรณ์ลงจากรถแล้วเดินอ้อมมาจะเปิดประตูให้เกริกก้อง
“ถอย”
“เฮ้ย พูดให้มันเข้ารูหูหน่อย นี่เจ้าของบ้านนะเว้ย”
“ขอประทานโทษ ท่านเจ้าของบ้าน”
ปลาใหญ่ยักไหล่ แล้วเดินเข้าบ้าน ปกรณ์เปิดประตูให้เกริกก้องลงมา
“อย่าลืม...ไปจัดการให้เรียบร้อยภายในคืนนี้”
“ครับ”
เกริกก้องเดินเข้าบ้านไป
เกริกก้องก้าวเข้ามาในบ้านแล้วนิ่วหน้านิดหนึ่งเมื่อเห็นปลาใหญ่คุยเสียงดังกับจันทร์ทิพย์และสมทรง
“โอ๊ะโอ ครอบครัวอบอุ่นจริงๆ จังๆ น่าอิจฉา”
ปลาใหญ่โบกมือให้ทุกคน แล้วเดินแยกไป ทุกคนมองตามแล้วหันมาสบตากัน
“สมทรง ปิดบ้านให้หมดนะ”
“ค่ะ”
จันทร์ทิพย์เกาะแขนเกริกก้องเดินออกไป
“น้องรันมีเรื่องจะคุยกับคุณค่ะ จันทร์บอกว่าคุณมีนัดกับคุณเดชา” เกริกก้องพยักหน้า “หายโกรธจันทร์แล้วหรือยัง จันทร์มันบ้าบอไปหน่อย”
“ผมรู้ว่า คุณเป็นยังไง”
รัญญาถอนใจเฮือก เมื่อเห็นพ่อเดินมา
“กลับมาเสียที รันน่ะร้อนใจอยากเจอคุณพ่อตั้งแต่รู้เรื่อง”
“เรื่องอะไรลูก”
“เข้าไปคุยในห้องดีกว่าค่ะ”
ทั้งหมดพากันเดินเข้าไป
ส่วนปลาใหญ่เมื่อเข้ามาในห้องปลาใหญ่อ่านแฟ้มงานของเซียนแล้วทิ้งแฟ้มกระจายก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดหาครรชิต
“ว่าไง นายเซียน”
“ผมอ่านไอ้แฟ้มบ้าบอที่คนส่งมาให้แล้ว ไม่เห็นรู้เรื่องเลยสักตัว”
“ก็ไม่ได้หวังว่าจะให้แกรู้เรื่อง แค่ให้รับรู้ไว้บ้าง คนปฏิบัติคือ...”
“จะไหวฟัง”
“ไหวกว่าแกก็แล้วกัน หนูน้ำเพชรเขาจะอธิบายให้แกฟังโดยละเอียดอีกที”
“อ๋อ โอเค เลยครับ ... ถ้าเป็นคุณน้ำเพชรละก็ ผมยินดีและเต็มใจฟังคำอธิบายซ้ำๆ ซากๆ ต่อให้เป็นปีๆ ก็ฟังได้”
“ไม่มีใครเขาจะอธิบายให้แกฟังซ้ำๆ ซากๆ เป็นปีๆ หรอก...ไอ้เบื๊อก”
“ก็ไม่แน่นะครับ ลุงปื๊ด”
“หน็อยแน่ ไอ้เบื้อก ดูปิดโทรศัพท์เลย”
ลุงป่องอาบน้ำเสร็จ เดินนุ่งผ้าข้าวม้าเข้ามา
“คุยกับแฟนเรอะ...คุณคัน”
“คุยกับไอ้เบื๊อก”
ลุงป่องทำหน้างง
“ถ้าเป็นอย่างนั้นพรุ่งนี้เช้าเรียกหัวหน้าฝ่ายบัญชีมาพบฉันแต่เช้าเลย จะเล่นแร่แปรธาตุยักย้ายถ่ายเทสักหน่อย”
เกริกก้องบอกหลังจากฟังสิ่งที่รัญญาเล่าจบ
“เหลืออีกแค่เดือนเดียวเอง ก็จะครบสัญญา 2 เดือนของไอ้ปลาใหญ่แล้ว”
“ประมาทมันไม่ได้หรอกค่ะน้องรัน ไอ้เด็กเนิร์ดนี่มันเขี้ยวไม่แพ้พ่อของมัน”
“พี่เกรียงไกรเขี้ยวแค่ไหนก็ยังแพ้ฉัน ป่านนี้ไปเกิดใหม่แล้วมั้งไอ้เขี้ยวตัน”
สีหน้าแกริกก้องบอกถึงความมั่นใจ
ส่วนปลาใหญ่เมื่อวางหูจากครรชิต ปลาใหญ่ก็โทรหาน้ำเพชรทันที
“โทรมาทำไม” น้ำเพชรถามเสียงห้วน
“เรื่องซีเรียสสิครับ คือผมกำลังอ่านและทำความเข้าใจกับเอกสารที่คุณคันกับไอ้...เอ๊ย...น้องปลาใหญ่ให้มาอยู่”
“อ่านเสร็จแล้วทั้งโง่ทั้งมึนเลยใช่มั้ยล่ะ”
“ตรงกันข้าม ผมว่าผมเข้าใจแจ่มแจ้งเลยละ ณ.วินาที ที่อ่านจบ ผมรู้สึกตัวเลยว่า ผมฉลาด”
“ไอ้เบื๊อกเอ๊ย”
น้ำเพชรปิดโทรศัพท์ ล้มตัวลงนอน ปลาใหญ่พยายามโทรอีก แต่มีเพียงเสียงให้ฝากข้อความ ปลาใหญ่ถอนหายใจยาว
“ทำยังไงถึงจะเอาชนะใจน้องน้ำเพชรได้นะ”
ปลาใหญ่เดินไปเดินมาอย่างใช้ความคิด
เช้าวันรุ่งขึ้นน้ำเพชรนั่งทานอาหารเช้าด้วยสีหน้าครุ่นคิด กิมฮวยเดินเข้ามา
“กู๊ดมอร์นิ่ง อาน้ำ”
“กู๊ดมอร์นิ่ง ค่ะหม่าม้า หม่าม้าจะทานข้าวหรือยังค่ะ”
“ยังไม่หิว อาน้ำ...เรื่องหมั้นหมายกับอาท่านประทาน”
“อ๋อ น้ำไม่หมั้นไม่เมิ่นกับใครแล้วค่ะ ชาตินี้ น้ำจะอยู่บนคานให้สบายใจ ใครอย่าได้มายุ่งกับน้ำ”
“ไอ๊หยา”
“ไอ๊หยาแต่เช้าเลย อาเกลือ” เติมศักดิ์ต่อว่ากิมฮวย
“อาน้ำอีจะอยู่บนคานชาตินี้ทั้งชาติ”
“ไอ๊หยา” คราวนี้เติมศักดิ์เป็นฝ่ายร้องออกมาบ้าง
“บางที...อาจจะอยู่บนคานมันทุกชาติเลยค่ะ”
“ไม่ได้...อาน้ำ ลื้ออยู่บนคานแล้วใครจะเป็นทายาทสืบสกุลพูนสวัสดิ์”
“อ๋อ ก็ให้มันสั้นจุ๊ดจู๋อยู่แค่น้ำนี่แหละค่ะ หรือไม่อาเตี่ยกับหม่าม้าก็มีลูกใหม่”
“ไอ๊หยา”
“อย่าเพิ่งพูดต่อค่ะ...น้ำกำลังเบื่อผู้ชาย”
“เบื่อผู้ชาย”
น้ำเพชรกินข้าวโดยไม่พูดไม่จา
ส่วนที่ชุมชนพัฒนายายปิ่นและสายไหมกำลังขายของกันไปโดยมีขาประจำกินกันตามปกติ สายพิณนั่งหั่นผักด้วยสีหน้าเรียบเฉย กระสือเดินเข้ามากับกระหัง ร้องสั่ง
“ไอ้พิณ...ขนมจีนแกงไก่ ไข่พะโล้ 2 จาน แข็งเปล่า 2 แก้ว”
“น้องพิณไม่ต้องลุกจ้า พี่มอมแมมจะขายแทนเอง”
“อย่า...ส ได้มั้ย”
“ได้จ้ะ”
มอมหน้าจ๋อยลง ลุงป่องตบไหล่ปลอบ
“ทนต่อไป...ไอ้มดแดง ผู้หญิงว่าเขาแปลว่าผู้หญิงรัก”
“เชื่อปรมาจารย์เถอะ จนป่านนี้ยังหาเมียไม่ได้สักคน”
มอมนั่งลงกินต่ออย่างมีความหวัง
“น้องพิณด่ามอมมาตั้งแต่ ม.ต้น ยันมหาลัย แบบนี้แปลว่ารักมากใช่มั้ยลุงป่อง”
“ตามตำราบอกว่างั้น”
“งั้นก็ค่อยมีกำลังใจหน่อย”
“ไอ้มอม อยากช่วยมาช่วยข้า เอ้า...เอาไปเสิร์ฟโต๊ะ 3 หน่อย” ยายปิ่นบอก
“เต็มใจจ๊ะ ยาย”
มอมมารับจานข้าวแกงจากปิ่นไปเสิร์ฟ
“พี่ป่อง วันนี้ยังไม่ได้กินกล้วยปิ้งฉันเลยนะ” สายไหมบอก
“เอามาให้หมดเท่าที่ปิ้งนั่นเลย”
“เฮ้ย” ป๋องกับมอมร้องออกมาพร้อมกัน
“พวกเอ็งไปยกมาเสิร์ฟ คิดตังค์โต๊ะใครโต๊ะมัน”
ทุกคนบ่นและด่าลุงป่องกันไปโดยเฉพาะสายไหม ครรชิตและเซียนเดินเข้ามานั่งลงที่โต๊ะว่าง
“เอา…”
“ไม่ขาย”
สายพิณบอกเสียงห้วนครรชิตกลืนน้ำลาย
“ทำไมถึงไม่ขาย” เซียนถามสายพิณ
“พูดผิดไป ขายทุกคนในชุมชนพัฒนาสู่สุขานี้ ยกเว้นนาย”
“ไม่เป็นไรครับ สั่งจานเดียวแล้วเอามาแบ่งกัน”
“และลุงคัน”
“อ้าว”
“น้องสายพิณพูด ไม่ได้ยินเรอะไง เขาไม่ขาย ก็เชิญออกไปหากินที่อื่น” มอมบอก
“ไอ้พิณไม่ขาย ข้าขายเอง” ยายปิ่นบอก
“ยาย”
“สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า...”
ยายปิ่นพนมมือทุกคนพนมตาม ยกเว้นสายพิณที่เดินออกไป เซียนลุกเดินตาม ครรชิตและมอมจะลุกบ้าง
“ห้ามลุกไปไหน สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านสั่งสอนเรื่องสังคหวัตถุ 4 ความว่า...”
ครรชิตไม่สนใจรีบลุกออกไป
สายพิณเดินจ้ำกลับบ้าน โดยมีเซียนตามมา และครรชิตรั้งท้ายด้วยความเหนื่อย
“คุณสายพิณ”
เซียนก้าวตามสายพิณจนทัน สายพิณหันขวับมาทันทีจนเซียนเกือบเบรคไม่ทัน
“ไสหัวออกไปจากชุมชนของฉันเดี๋ยวนี้”
“คุณไม่ได้เป็นเจ้าของชุมชน”
“ฉันเป็นตัวแทน”
“ใครแต่งตั้ง”
“ฉันตั้งเอง”
“คุณโกรธแค่เพราะผมขอแต่งงาน ซึ่งไม่มีเหตุผล ถ้าไม่แต่งก็แค่ปฏิเสธ นี่คุณกลับโกรธเกินลิมิต ซึ่งแสดงว่า คุณเองก็อยากแต่งกับผมเหมือนกัน แต่ถ้าจะรับมันก็ขัดๆ เขินๆ เพราะคุณเคยประกาศว่าเกลียดผม”
“สู่รู้”
สายพิณยกกำปั้นต่อย ครรชิตรีบเข้ามาขวางไว้
“เดี๋ยว หนูสายพิณ ขอที” กำปั้นสายพิณเข้าหน้าครรชิตพอดิบพอดี “โอ๊ย”
“อุ๊ย ขอโทษค่ะลุงคัน หนูจะต่อยไอ้ปลาใหญ่ คุณลุงไม่ควรเอาหน้ามารับแทนเลย”
เซียนช่วยประคองครรชิตขึ้นมา
“ขอบคุณครับ คุณปลาใหญ่ ... ผมไม่เป็นไร...” ครรชิตพูดไม่ทันขาดคำก็เซไปเกือบล้มดีที่เซียนรับไว้ทัน
“ระวังครับ คุณครรชิต”
“ขอขอบคุณอีกครั้งนึงครับหนูสายพิณ หมัดหนูนี่ต้องเป็นปัญหากับชีวิตแต่งงานแน่...เพราะหนักจริงๆ”
“หนูขอประกาศไว้ตรงนี้เลยว่า หนูจะไม่แต่งกับมัน” สายพิณชี้หน้าเซียน
“ถ้าคุณอยากจะทิ้งโอกาสดีๆ ที่ได้แต่งงานกับผู้ชายไอคิวสูงและเพรียบพร้อมไปทุกอย่างก็ตามใจ”
สายพิณเบิกตากว้าง
“ไป คุณครรชิต ไปหาอะไรอร่อยๆ กินกัน”
เซียนเดินออกไป ครรชิตหันมามองสายพิณ
“เสียใจด้วยนะหนู” ครรชิตรีบเดินตามเซียน
“ไอ้บ้า ไอ้คนหลงตัวเอง ไอ้ทุเรศ” สายพิณตะโกนไล่หลังคนที่ผ่านไปมาพากันมองสายพิณอย่างประหลาดใจ “แน่จริงก็อย่ามาอยู่ที่นี่ซิวะ ออกไปให้พ้น ไป๊”
ทางด้านเกริกก้องเมื่อเข้าบริษัทเกริกก้องก็เรียกหัวหน้าบัญชีและพนักงานที่เกี่ยวกับการเงินมาพบที่ห้อง
“มีใครสงสัยไม่เข้าใจตรงไหนบ้าง” เกริกก้องถามขึ้นมา
“ดิฉันเข้าใจดีแล้วค่ะ”
“ดี... อย่าลืมว่าเหลือเวลาอีกเพียงเดือนเดียว ต้องแก้ไขกำไรให้เป็นขาดทุนย่อยยับถึงขนาดปิดสาขาอีก 4-5 สาขา”
“ค่ะ/ครับ”
“ทุกคนไปได้”
ทุกคนไหว้เกริกก้องแล้วออกจากห้องไป เมื่อทุกคนไปหมดแล้วปกรณ์ส่งหนังสือพิมพ์ให้เกริกก้อง
“ท่านครับ...”
เกริกก้องรับมาดู สีหน้าเรียบสนิทแล้วส่งคืน
“ข่าวว่าอะไรคะ ขอดูหน่อย” รัญญาถามขึ้นมา
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ น้องรัน”
รัญญามองหน้าคนโน้นทีคนนี้ที
“ลองพูดแบบนี้มีแน่”
“ไปทำงานต่อเถอะ เราต้องแข่งกับเวลา”
“คุณพ่อ”
“พ่อเองก็จะทำงานเหมือนกัน”
“รันไปอ่านเองก็ได้”
รัญญาลุกเดินออกไป จันทร์ทิพย์หันมามองเกริกก้อง เกริกก้องพยักหน้าจันทร์ทิพย์จึงตามรัญญาไป
“ผมสั่งให้ลูกน้องเอาศพไปนั่งยางเผา จะได้สืบหาตัวยากๆ หน่อยๆ” ปกรณ์บอกเกริกก้อง
“ดีมาก”
“ขอบคุณครับ คุณก้องมีอะไรจะใช้ผมอีกมั้ยครับ”
“ตอนนี้ยังไม่มี”
ปกรณ์เดินออกไป เกริกก้องมีสีหน้าผ่อนคลายลง
อีกด้านหนึ่งที่ห้องทำงานปลาใหญ่ ปลาใหญ่กำลังก้มเอาหัวโขกกองเอกสารบนโต๊ะ
“โอ๊ย ปวดกบาล” น้ำเพชรมองปลาใหญ่ด้วยสายตาเย็นชา ปลาใหญ่รู้สึกตัวรีบเงยหน้าขึ้น “ขอโทษครับ”
“จะให้ฉันเอาไม้แพ่นกบาลให้หายปวดมั้ย”
“ขอบคุณครับ แต่ไม่ต้องดีกว่าครับ”
“ถ้านายสมองช้า งี่เง่าอธิบายเท่าไหร่ก็ไม่เข้าใจ ฉันจะทำสำเนาเอกสารพวกนี้แจกในที่ประชุม”
“แล้วถ้ามีใครถามล่ะ ซึ่งรับรองว่าต้องมีแน่”
“นายก็ทำเป็นคอเจ็บ เสียงแหบแห้งพูดไม่ได้”
“คุณน้ำเพชรฉลาดจัง”
“นายก็โง่จัง”
ปลาใหญ่ยิ้มรับแล้วรีบหุบยิ้มทันทีเมื่อจับความได้ น้ำเพชรเดินออกไป
“หลอกด่าอยู่เรื่อย”
รัญญากลับมาดูหนังสือพิมพ์ที่ห้องทำงานของตัวเอง รัญญามีสีหน้าครุ่นคิดเมื่อเงยหน้าจากหนังสือพิมพ์
“มีแต่ข่าวการเมืองกับข่าวฆ่ากันตาย”
“ก็นั่นน่ะซิคะ ไม่เห็นมีอะไร” จันทร์ทิพย์บอกอย่างโล่งใจ
“รันว่าต้องมี”
“น้องรันก็เห็นแล้วนี่คะว่าไม่มี”
“ถ้าไม่มีแล้วคุณกรณ์ จะเอาหนังสือพิมพ์ให้คุณพ่อดูทำไม...อีกอย่างสีหน้าคุณพ่อ น้าจันทร์แล้วก็คุณกรณ์บอกว่ามี”
“น้องรันคิดมากไปเอง”
“รันจะอ่านใหม่ทุกคอลัมภ์ รันเชื่อว่าต้องมี เชิญน้าจันทร์เถอะค่ะถ้าเจออะไรแล้วรันจะโทรไปถาม”
จันทร์ทิพย์มีสีหน้ากังวลแว่บหนึ่ง
“ค่ะ...”
จันทร์ทิพย์เดินออกไป รัญญาอ่านหนังสือพิมพ์ใหม่อย่างตั้งใจ
ขณะนั้นหมอแม่นกำลังพยายามโทรศัพท์หาเอ็กซ์แต่ทุกอย่างเงียบสนิทไม่มีการตอบรับใดๆ หมอแม่นวางโทรศัพท์ลงแล้วถอนใจเฮือก
“ทำไมมันเงียบยังงี้วะ เอ้อ จะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้”
เสียงโทรศัพท์หมอแม่นดังขึ้น หมอแม่นรีบคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาดูด้วยสีหน้าตื่นเต้นแต่แล้วก็หน้าเหี่ยวลงเมื่อเห็นเบอร์
“ว่าไงเจ๊ อ๋อ...ได้ ฉันจะไปเดี๋ยวนี้”
หมอแม่นเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋าแล้วเดินออกไป
หมอแม่นมาหากิมฮวยที่ร้านทอง
“ว่าไง ตาพิชิตสุขภาพดูแข็งแรง หน้าตามีเลือดฝาดขึ้นนี่นะ” หมอแม่นทักพิชิต
“ก็คงงั้นแหละยายแม่น วันหลังช่วยดูหมอให้หน่อยละกัน”
“ได้ เฮีย...เจ้ล่ะ”
“รออยู่ข้างใน”
หมอแม่นเดินเข้าข้างใน
กิมฮวยกำลังดูหนังสือพิมพ์อยู่เมื่อหมอแม่นเดินเข้ามา
“มีข่าวอะไรบ้าง ...เจ้”
“อั๊วอ่านไม่ออก ดูรูปเอา”
“ขอดูหน่อยซิ”
กิมฮวยเลื่อนหนังสือพิมพ์ให้
“เอ้า...เอาไป”
หมอแม่นอ่านทีละรูปแล้วอ่านข่าวพาดหัวไปเรื่อยจนไปชะงักกับข่าวเผานั่งยาง
“เผานั่งยางชายนิรนาม”
“ลื้อรู้จักเรอะ”
“เปล่า”
“นั่นน่ะซิ เหลือแต่กระดูกแล้วลื้อจะรู้จักได้ไง” หมอแม่นหยิบอีกฉบับขึ้นมาดู สีหน้าเหมือนเป็นกังวล “ลงมือดูได้แล้ว”
“วันนี้เจ้จะถามอะไรก็ว่ามา”
“เรื่องความคืบหน้าของเนื้อคู่อาน้ำเพชรลูกสาวอั๊ว”
รัญญาถือหนังสือพิมพ์เข้ามาในห้องทำงานจันทร์ทิพย์
“อ้าว น้องรัน”
“ข่าวนี้ใช่มั้ยคะ ที่ทุกคนสนใจกัน”
รัญญาวางหนังสือพิมพ์ ชี้ข่าวเผานั่งยางจันทร์ทิพย์ฝืนยิ้ม
“ทำไมน้องรันถึงคิดว่าเป็นข่าวนี้ล่ะคะ”
“เพราะว่ามันน่าสงสัยที่สุด ข่าวอื่นก็เป็นเรื่องนักเรียนตีกัน จับยาบ้าได้ซึ่งไม่น่าจะเกี่ยวกับเรา”
“แล้วเผานั่งยางมันจะเกี่ยวกับเรายังไง” จันทร์ทิพย์ถามอย่างใจเย็น
“นั่นน่ะซิคะ มันเกี่ยวยังไง อันนี้น้าจันทร์ต้องบอกรันค่ะ”
“น้าก็ไม่รู้จะบอกยังไง เพราะน้าก็ไม่รู้เหมือนกัน”
รัญญาเม้มปาก จ้องจันทร์ทิพย์ราวกับจะค้นหาความจริง
เมื่อไม่ได้คำตอบจากจันทร์ทิพย์ รัญญาจึงมาหาเกริกก้องที่ห้อง
“ทำไมถึงได้อยากรู้นัก”
“เพราะรันสังหรณ์ใจน่ะซิคะ”
“ว่า ...”
“คุณพ่อบอกรันซิคะ”
“พ่อไม่มีอะไรจะบอก”
“งั้นรันจะสืบเอง” รัญญาเดินไปที่ประตูแล้วหันกลับมา “คุณพ่อจะคดโกง หรือใส่ร้ายอะไรใคร รันรับได้ทุกอย่าง ยกเว้นเรื่องฆ่าคน...”
รัญญาเปิดประตูเดินออกไป เกริกก้องมองตามด้วยสีหน้าเป็นกังวล
แสบสลับขั้ว ตอนที่ 13 (ต่อ)
ทุกคนอยู่ภายในห้องประชุมบริษัทแล้ว ปลาใหญ่นั่งอยู่ด้วยท่าทีไม่สบายตัวนัก และนั่งกระสับกระส่ายไปมา เพราะแผลกลางหลังเริ่มลามมากขึ้น
ผู้ถือหุ้นรายหนึ่งที่นั่งใกล้ปลาใหญ่ ทำท่าเหมือนได้กลิ่นเหม็นเน่าเบาบางลอยมาแตะจมูก แม้จะไม่ฉุนมาก แต่ปลาใหญ่ขยับตัวที กลิ่นก็โชยมาที
น้ำเพชรก็ได้กลิ่นนั้น ทำจมูกฟุดฟิดไปมา แล้วจึงค่อยๆ แอบยื่นหน้ามาไปจ่อที่แผ่นหลังปลาใหญ่ แต่ต้องทำท่าขยักขย้อนจะอ้วกออกมา แต่รีบยกมือปิดปากไว้ทัน
จันทร์ผิดสังเกตจึงถามผู้ถือหุ้นที่นั่งใกล้ๆ ปลาใหญ่ขึ้น “มีอะไรหรือคะ...คุณอาวุธ”
“ผมได้กลิ่นเหมือนมีอะไรตายอยู่แถวๆ นี้ครับ” อาวุธบอก
น้ำเพชรรีบชิงพูด “คงจะเป็นหนูน่ะค่า”
ทุกคนหันมามองน้ำเพชรเป็นตาเดียว
น้ำเพชรพูดด้วยสีหน้าจริงจัง เพื่อเบี่ยงประเด็น เบนความสนใจ “ซึ่งต้องใช่แน่ๆ เพราะถ้าไม่ใช่หนูแล้วจะเป็นอะไร...จริงมั้ยคะ”
ปลาใหญ่ยังไม่รู้สึกตัวออกความเห็น “ผมว่ากลิ่นคล้ายๆ...ศพนะ”
น้ำเพชรยื่นมีมาสะสะกิดสีข้างปลาใหญ่เพื่อให้รู้ตัว ปลาใหญ่สูดปากเจ็บ แต่ไม่ได้โวยวาย
“งั้นเธอไปตามเออร์ซูล่ามาดูซิ บอกให้เอาน้ำหอมปรับอากาศมาด้วย” จันทร์ทิพย์ สั่ง
“ไม่เป็นไรครับ...กลิ่นไม่ได้รุนแรงขนาดนั้น...ประชุมเลยดีกว่า เห็นในเมล์แจ้งว่า มีเรื่องสำคัญแค่เรื่องเดียว...ใช่ไหมครับ ท่านประธาน” อาวุธหันมาทางปลาใหญ่
“ไม่รู้เหมือนกัน...ต้องถามรองประธานก่องก๊องเค้า” ปลาใหญ่ว่า
น้ำเพชรกระแอมเตือนปลาใหญ่
ก้องหันมาพยักหน้ากับเลขา “แจกเอกสารให้ท่านผู้ถือหุ้นซิ”
“ค่ะ” อรผกาลุกขึ้นแจกเอกสาร ในขณะที่เกริกก้องเริ่มบรรยาย
“เอกสารในมือท่านทุกคน เป็นตัวเลขขาดทุนของบริษัท ตั้งแต่วันที่ท่านประธานปลาใหญ่เข้ามาบริหารบริษัท” เกริกก้องแดกดันเต็มที่
น้ำเพชรตกใจ ขณะที่ปลาใหญ่ผุดลุกพรวด มองเกริกก้องอย่างเอาเรื่อง
“อ้าว! พูดไม่สวยนี่ คุณอา”
เกริกก้องหันมามองปลาใหญ่ พลางบอก “ถ้าไม่เชื่อก็เปิดดูได้ครับ ท่านประธาน! ตัวเลขมันไม่โกหกหรอก”
ปลาใหญ่สวนออกมา “ตัวเลขไม่โกหกน่ะใช่ แต่คนทำตัวเลขอาจจะโกหกก็ได้”
จันทร์ทิพย์ท้วงติง “ ท่านประธานพูดอย่างนี้ไม่ถูกนะคะ ฟังเหมือนพวกพาลเกเรมากกว่าจะเป็นประธานบริษัทใหญ่ขนาดนี้ เรียกว่าขาดวุฒิภาวะค่ะ”
เกริกก้องยิ้มนิดๆ แล้วเบือนหน้าไปที่ผู้ถือหุ้นทีละคน “ส่วนเอกสารแผ่นสุดท้ายที่ที่แนบมาด้วย เป็นสัญญาที่ท่านประธานกรุณาทำกับผมไว้เพื่อเป็นหลักฐานว่า กรุณาดูตามไปเลยครับ ถ้าท่านประธานไม่สามารถพัฒนาบริษัทให้
ก้าวหน้าภายใน 2 เดือน ท่านจะคืนทุกอย่างให้ผมด้วยความเต็มใจ”
ปลาใหญ่กลืนน้ำลายเอื๊อก “นี่ 2 เดือนแล้วเรอะ”
“สองเดือนกับอีกสองสัปดาห์ครับ...” เกริกก้องเว้นนิดหนึ่ง “คงไม่มีใครปฏิเสธว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมานับตั้งแต่ท่านประธานปลาใหญ่เข้ามาบริหารบริษัทนอกจากจะไม่พัฒนาแล้วยังกลับถอยหลังเข้าคลองอีก ซึ่งจะดูได้จากตัวเลขติดลบเป็นเงินถึงหนึ่งหมื่นล้านบาท”
“แม่เจ้า” ปลาใหญ่อุทาน
เกริกก้องว่าต่อ “เพราะฉะนั้น ผมถึงจะขอมติจากที่ประชุมให้ปลดประธานปลาใหญ่ออกและแต่งตั้งผมดำรงตำแหน่งแทนเพื่อกอบกู้บริษัทและศักดิ์ศรีกลับคืนมา....และผมขอสัญญาว่า จะพยายามทำทุกอย่าง อย่างเต็มความสามารถเพื่อให้บริษัทของเรากลับมาเป็นยักษ์ใหญ่ในวงการโทรคมนาคมอีกครั้ง”
น้ำเพชรได้แต่ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ส่วนปลาใหญ่เองก็อึ้งไป ขณะที่เกริกก้องและพวกมองมาอย่างผู้ชนะ
ปลาใหญ่เดินตามน้ำเพชรซึ่งสีหน้าโกรธจัดเข้ามาในห้องทำงาน
“แล้วทีนี้จะทำยังไง” ปลาใหญ่บ่น น้ำเพชรหยุดกึก หันขวับมา จนปลาใหญ่สะดุ้งตกใจ
“เฮอะ! จะทำยังไง!”
“ผมทำดีที่สุดแล้ว!”
“ทำเลวที่สุดซิไม่ว่า!”
“พวกนั้นต้องโกงแน่ๆ”
“เขาคงโกงไม่ได้หรอก ถ้านายมีความสามารถ หรือถ้าไม่มี ก็ทำตามที่คุณปลาใหญ่กับคุณครรชิตบอก..แต่นี่นายอวดเก่งทั้งๆ ที่โง่ อวดดีทั้งๆ ที่เลว! แหม..หมัดทะลุไส้แตก!”
มือน้ำเพชรสั่น แล้วก็ซัดโครมเข้าที่ท้องเต็มแรง ปลาใหญ่ร้องลั่นทรุดตัวลง
“สมน้ำหน้า!” น้ำเพชรชะงัก ทำจมูดฟุดฟิด ก่อนที่สายตาจะมองเห็นเลือดคล้ำๆ ซึมออกมาจากเสื้อปลาใหญ่
น้ำเพชรตกตะลึง เบิกตากว้าง
สามคนยกแก้วไวน์ชนกัน
“ความสำเร็จ” เกริกก้องเอ่ยขึ้น หน้าระรื่น
2 สาวจุ๊บแก้มเกริกก้องคนละข้าง “เก่งมากเลยค่ะ คุณก้อง ! ขนาดปากไวใจกล้าอย่างนังเลขาฯ น้ำเพชรยังพูดอะไรไม่ออก” จันทร์ทิพย์ชม
รัญญาไม่ยอมแพ้ จุ๊บแก้มพ่ออีกข้าง “รันภูมิใจในตัวคุณพ่อมากค่ะ !
“ขอบใจลูก .... พ่อก็ภูมิใจในตัวลูกมาก”
จันทร์ทิพย์ มองรัญญาด้วยนัยน์ตาเจ้าเล่ห์ “จันทร์เห็นด้วยค่ะ”
รัญญาชะงักมองจันทร์ทิพย์แล้วนิ่วหน้า
ด้านน้ำเพชรเปิดประตูเข้ามาอีกครั้งพร้อมกล่องเครื่องมือปฐมพยาบาล โดยมีมาสค์คาดจมูก-ปากไว้ด้วย น้ำเพชรตรงมายังปลาใหญ่ซึ่งนอนบนโซฟา พอเสื้อเปิดเห็นรอยช้ำแผ่ไปเกือบเต็มหน้าอก ส่วนตรงท้องมีเลือดสีคล้ำปนหนองไหลออกมา
น้ำเพชรหยิบถังขยะมาใกล้ ปากพร่ำบ่น “ทนหน่อยนะ นายไม่น่าทำให้มือฉันโกรธ”
มือข้างหนึ่งของน้ำจับที่คีบ คีบสำลีเช็ดที่บาดแผลเสร็จแล้ว
“ผมเหม็นเหมือนศพแล้วใช่ไหม คุณน้ำ” ปลาใหญ่ถาม
น้ำชะงักไปนิดหนึ่ง แววตาอ่อนลง “ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกน่า”
เสียงเคาะประตูดังขึ้น ทั้งสองหันขวับไปมองพร้อมๆกัน
น้ำเพชรตัดสินใจ “เราจะให้ใครมาเห็นนายในสภาพอย่างนี้ไม่ได้ ฉันจะออกไปถ่วงเวลาไว้ นายใส่ยาที่แผลเองนะ”
ปลาใหญ่พยักหน้า
“ยาแก้ปวด แก้อักเสบมีครบ ถ้าทนไม่ไหวก็กินซะ”
น้ำเพชรดึงมาสค์ออกวางไว้ เช็ดไม้เช็ดมือ แล้วเดินสวยเชิดออกไป
น้ำเพชรแง้มๆ ประตู ค่อยๆ สอดตัวออกมา แล้วรีบปิด
จันทร์ทิพย์มองหัวจดเท้า “ปิดประตูเข้าไปทำอะไรกันยะ”
เลขาฯจันทร์ทิพย์ ทำปิดปากหัวเราะอย่างมีเลศนัย
“ญาติใกล้ตายหรือคะ” น้ำเพชรด่า
เลขาฯ หุบปากทันทีเสียงดังเอื๊อก
“อย่าทำปากเก่งกับคนของฉันอีก ว่าไง เข้าไปทำอะไรกัน” จันทร์ทิพย์คาดคั้น
“นำอาหารกลางวันเข้าไปให้ท่านประธานค่ะ...กรุณาอย่าคิดอกุศลดิฉันไม่ใช่อลิสา” น้ำเพชรเหน็บอยู่ในที
จันทร์ทิพย์สะอึก
“คุณจันทร์ทิพย์มีธุระอะไรกับท่านประธานหรือคะ”
จันทร์ทิพย์หันมาพยักหน้ากับเลขาฯ “ให้เขาไป”
เลขาฯ ยื่นซองขาว 2 ซองให้ “นี่ย่ะ”
น้ำเพชรรับมางงๆ
“เขาเรียกว่าซองขาว! เอาเข้าไปอ่านกันซะ!”
จันทร์ทิพย์สะบัดมือกลับ เลขาฯ สะบัดตาม
น้ำเพชรมองซองในมือแล้วเม้มปาก
ครู่ต่อมาปลาใหญ่เงยหน้าขึ้นจากจดหมายในซอง
“ไล่ออก! หมายความว่าไง!”
“ก็หมายความว่าเขาไล่ทั้งฉันแล้วก็นายออกจากงานน่ะซิ!”
ปลาใหญ่ผุดลุกขึ้นแล้วนิ่วหน้า กุมท้องนั่งลงใหม่ “ผมเป็นประธาน! ใครจะมาไล่ผมออกไม่ได้”
น้ำเพชรมองอย่างสมเพชขณะทรุดตัวลงนั่ง “นี่นายลืมไปแล้วเรอะว่า นายเป็นใคร! นายคือไอ้เซียนขับมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ไม่ใช่คุณปลาใหญ่ประธานบริษัท”
ปลาใหญ่นิ่งงันไป
“เรื่องเลวร้ายทั้งหลายแหล่นี้มันเกิดขึ้นเพราะความโลภของนาย! นายทำให้คนอื่นต้องเดือดร้อน ถ้าวันนั้นนายไม่เข้าร่างคุณปลาใหญ่”
ปลาใหญ่ตัดบท “นั่นมันแก้ไขไม่ได้แล้ว! พูดไปก็เปล่าประโยชน์”
“ไม่เปล่าหรอก! อย่างน้อยมันก็จะคอยสะกิดให้นายสำนึกได้บ้างว่า ทำอะไรกับคนอื่นไว้บ้าง!” เว้นนิด..แล้วยักไหล่พรืด เหมือนดูถูก “อ้อ! ลืมไป! คนอย่างนายมีสำนึกกับเขาที่ไหน”
ปลาใหญ่ขบกรามแน่น แล้วค่อยๆ ลุกขึ้นยืนอย่างถือดี
น้ำเพชรกอดอกมอง
ปลาใหญ่กัดฟันเดินไปที่ประตู
น้ำเพชรอดรนทนไม่ไหว “นี่จะไปไหน”
“ไปพบคุณอาก้อง”
ปลาใหญ่ค่อยๆ เปิดประตูเดินออกไป
น้ำเพชรเหลือกตามองเพดาน แล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ คิดในใจว่าปลาใหญ่กำลังรนหาที่
ปลา ก้อง อรผกา
เวลานั้น เกริกก้องยืนกอดอกมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยอาการผยองและภาคภูมิ
“ในที่สุด! อาณาจักรมหาทรัพย์รุ่งเรืองฯ ก็ตกเป็นของเรา! เสียใจด้วยนะ คุณพี่เกรียงไกร!”
จู่ๆ ที่ทับกระดาษตกลงจากโต๊ะ เสียงดังแล้วกลิ้งมาหยุดตรงหน้าก้อง
เกริกก้องค่อยๆ แสยะยิ้มขณะก้มลงมอง “ถ้านี่เป็นการประท้วงของพี่ละก็ ขอบอกว่า ไปเกิดใหม่เสียเถอะ! จะได้ไม่ต้องช้ำใจมากกว่านี้”
ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้น เกริกก้องหันไปมอง
ปลาใหญ่เดินเข้ามา ตามด้วยเลขาฯหน้าตาตื่น
“ท่านประธานคะ”
“ไม่เป็นไร..ให้โอกาสคนที่กำลังสิ้นหวังเขาได้ดิ้นรนเป็นครั้งสุดท้ายบ้าง! ออกไปได้”
“ค่ะ” เลขาออกไป
“ว่าไง! นายเซียน”
“คุณจะไล่ผมออกไม่ได้!” ปลาใหญ่บอก
“ทำไมจะไม่ได้! แต่ถ้านายไม่อยากออก ฉันก็จะลองเมตตาเก็บนายไว้ ในตำแหน่งแมสเซ็นเจอร์ หรือว่าพนักงานส่งเอกสาร เป็นไง ชอบใจละซีท่าเชื่อเถอะมันเป็นตำแหน่งที่เหมะสมกับอดีตคนขับมอเตอร์ไซค์รับจ้างอย่างนายมากที่สุด”
ปลาใหญ่กัดฟัน “คุณก้อง”
เกริกก้องโบกไม้โบกมือ “ไม่ต้องมาขอบอกขอบใจฉันหรอก!”
เกริกก้องเดินกลับมานั่งอย่างอารมณ์ดี
“รู้มั้ย ฉันต้องขอบใจนายเหมือนกัน ถ้าไม่ได้นาย ฉันไม่มีวันฮุบบริษัทนี้ได้ง่ายดายอย่างนี้หรอก..ความโง่...ความโลภ..ความจองหองพองขน ของนายเป็นประโยชน์กับฉันมากกว่าที่คิด...”
เกริกก้องกดโทรศัพท์ภายใน “อรผกา เข้ามาหน่อย”
“ค่ะ” อรผกาเคาะประตูเบาๆ แล้วเปิดเข้ามา
“ช่วยพาพนักงานส่งเอกสารคนใหม่ของเราลงไปแนะนำให้พวกคนเก่าๆ รู้จักหน่อย! อ้อ ! ถ้ายังไม่เข้าใจอะไร ก็ถามพวกพี่ๆ เขาได้นะ!”
ปลาใหญ่เปิดประตูออกไปก่อนที่เกริกก้องจะพูดจบ เกริกก้องมองตามพลางหัวเราะชอบใจ
ที่บ้านป่องเวลาเดียวกัน ครรชิตและป่องช่วยกันประคองเซียนลุกขึ้นนั่ง ขณะที่สายพิณเก็บเครื่องมือปฐมพยาบาล ดึงมาสค์ออก แล้วลุกเดินออกไปข้างนอกเงียบๆ ทุกคนมองตาม แล้วหันมามองหน้ากันอย่างแปลกใจ
สายพิณนั่งซึม ขณะที่เซียนก้าวออกมา สายพิณเหลือบมองแว่บหนึ่งขณะที่เซียนทรุดตัวลงนั่งตรงหน้า
“ขอบคุณที่ช่วยทำแผลให้ผม”
สายพิณสูดลมหายใจยาว “ฉันทำเพื่อพี่เซียนของฉัน” สายพิณเว้นไปนิด “ตอนนี้เขาคงบาดเจ็บเหมือนนาย แล้วน้ำเพชรคงจะดูแลเขาอยู่ ...” น้ำตาคลอ
เซียนแปลกใจ “แล้วร้องไห้ทำไม”
“เปล่าสักหน่อย” สายพิณยกแขนป้ายน้ำตา
เซียนล้วงกระเป๋าเสื้อหยิบผ้าเช็ดหน้าส่งให้ สายพิณรับมาเช็ดน้ำตา
“คุณกลัวเขาตาย” เซียนเอ่ยขึ้น
คราวนี้สายพิณน้ำตาร่วงพรู “ก็ใช่น่ะซิ เป็นใครจะไม่กลัวบ้างล่ะ ทั้งนายทั้งเขาเน่ามากขึ้นทุกวัน แถมวันนี้ยังมีกลิ่นด้วย ....กลิ่นเหมือนซากศพเลย”
เซียนนิ่งอึ้งไปด้วยความสะเทือนใจ
สายพิณรู้สึกตัว “ฉันขอโทษ”
“ไม่เป็นไร! เกิดเป็นคนก็ต้องตายทั้งนั้น”
สายพิณมองหน้าเซียนแน่วแน่ “แต่ฉันไม่ยอมแพ้หรอก น้ำเพชรก็คงเหมือนกัน”
สีหน้าสายพิณเต็มไปด้วยความแน่วแน่มาดหมาย
ปลาใหญ่กลับถึงบ้าน ก็เปิดประตูเดินเข้ามาในห้องนอน แล้วทิ้งตัวลงนอนบนเตียงอย่างอ่อนระโหย
สีหน้าปลาใหญ่ยามนี้เหมือนจะทอดอาลัยตายอยาก
สักครู่หนึ่งแล้วปลาใหญ่ลุกเดินไปที่กระจก ถอดเสื้อ จ้องมองไปในกระจก
ภาพในกระจกสะท้อนออกมาเป็นเซียนในลักษณะถอดเสื้อ แผลเน่ากระจายเกือบเต็มหน้าอก
ปลาใหญ่หันหลัง แล้วเอี้ยวคอมอง
เวลาเดียวกันนั้น ภาพในกระจกสะท้อนให้เห็นแผลเน่าเกือบเต็มหลังเซียนเช่นกัน
ปลาใหญ่หน้าตาสลดหดหู่ เดินกลับมานั่ง ปลาใหญ่นั่งคอตกอยู่อย่างนี้ครู่หนึ่ง แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทร.ออก
“คุณน้ำเพชร ผมอยากพบคุณ”
จันทร์ทิพย์และเกริกก้อง สองคนกำลังนั่งคุยกันไป กินของว่างกันไปอย่างมีความสุขอยู่ในบ้าน จังหวะที่ปลาใหญ่เดินผ่านเพื่อจะออกไปข้างนอก
“อ้าว! ปลาใหญ่ .... นั่นจะไปไหนจ๊ะ” จันทร์ทิพย์ทัก
“เรียกให้มันถูกๆหน่อย นั่นคือไอ้เซียน ปลาหย่งปลาใหญ่ที่ไหนกัน” เกริกก้องเย้ยหยัน
ปลาใหญ่ทำเป็นไม่สนใจ เดินผ่านไป
“กระเป๋าเสื้อผ้าแกล่ะ”
ปลาใหญ่หยุดชะงัก หันมามอง
“ทำอะไรไม่เอาไอ้เสื้อผ้าบ้าๆ บอๆ ของแกไปด้วย” เกริกก้องตะโกนบอก
“เพราะผมไม่ได้ไปค้างที่ไหน! ออกไปธุระเดี๋ยวเดียวก็จะกลับ” ปลาใหญ่บอก
เกริกก้องลุกขึ้นยืนช้าๆ “ไม่ต้องกลับ”
“อะไรนะครับ”
“ฉันบอกว่าแกไม่ต้องกลับ ...ไสหัวไปอยู่ในสลัมของแกตามเดิม”
“คุณอาคงจะเข้าใจผิดอะไรสักอย่าง ... บ้านผมอยู่นี่”
“ฉันไม่ให้แกอยู่” เกริกก้องขึ้นเสียง
ปลาใหญ่จ้องหน้าเกริกก้องจริงจังครู่หนึ่ง
“ผมจะอยู่” แล้วปลาใหญ่เดินออกไป
เกริกก้องเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันมองตาม
“เดี๋ยวจันทร์ไปบอกพี่กรณ์เองว่าไม่ให้มันกลับเข้าบ้าน”
เกริกก้องพยักหน้า จันทร์ทิพย์เดินออกไป
ที่ร้านอาหารเงียบๆ แห่งนั้นบริกรกำลังเสริฟอาหาร ตรงมุมเงียบๆ มุมหนึ่ง ปลาใหญ่และน้ำเพชรนั่งคุยกันโดยที่อาหารที่สั่งมาแทบจะไม่มีการแตะต้อง
น้ำเพชรมีสีหน้าท่าทางดูโล่งใจขึ้น “ท่าทางนายไม่เป็นอะไรแล้วนี่ แต่ยังมีกลิ่นตุๆ อยู่”
“เมื่อไหร่คุณจะจัดการสักที” ปลาใหญ่โพล่งออกมา
“เรื่อง...” น้ำเพชรถาม
“ให้ผมกับปลาใหญ่กลับสู่ร่างเดิม”
น้ำเพชรหัวเราะเยาะ “อะไร! นี่ฉันหูฝาดไปหรือเปล่า ธรรมดาไม่เคยเห็นนายจะอาลัยใยดีร่างของนายเลยสักนิด”
ปลาใหญ่พูดด้วยดีๆ “คุณน้ำ”
“นายไม่อยากจน ... ไม่อยากอยู่บ้านเล็กๆ คับแคบ ... ไม่อยาก...”
ปลาใหญ่สวนคำทันที “ผมไม่อยากตาย”
“ไหนเคยบอกว่า นายเลือกที่จะมีชีวิตอยู่ไม่นานแต่ได้ใช้มันอย่างคุ้มค่า” น้ำเพชรทวนความจำปลาใหญ่
“ผมขอถอนคำพูดทั้งหมด”
น้ำเพชรเอียงคอมองปลาใหญ่อย่างแปลกใจปนสะใจ
ปลาใหญ่ถอนใจเฮือก “ผมเคยคิดอย่างนั้นจริงๆ แต่พอรู้ตัวว่าใกล้ตายเข้าจริงๆ...ผม ...ผม...”
น้ำเพชรต่อให้ “ก็เลยยังไม่อยากตาย”
ปลาใหญ่พยักหน้า “คุณน้ำช่วยผมด้วย”
น้ำเพชรมองปลาอย่างสะใจ
น้ำเพชรขับรถเข้ามาจอดที่เดิม แล้วเปิดประตูลงมา
“แกทำอะไร พี่เซียน”
น้ำเพชรหันขวับมา เห็นสายตาสายพิณมองจ้องอย่างเอาเรื่อง
ภายในร้านทองยินเสียงกิมฮวยแจ๋วๆ โฆษณาร้านตัวเองเช่นเคย น้ำเพชรเดินนำสายพิณเข้ามา ทุกคนต่างพากันมองมาเป็นจุดเดียว
กิมฮวยทัก “อาน้ำเพชร”
“น้ำขอความกรุณาอย่าเพิ่งให้ใครเข้าไปขัดจังหวะนะคะ หม่าม้า” น้ำเพชรเอ่ยขึ้น
น้ำเพชรพาสายพิณเดินจะเข้าไปข้างใน สายพิณเหมือนนึกได้ หันกลับมาไหว้ทุกคน ไม่มีเว้น ด้วยท่าทางขัดๆเขินๆ เล็กน้อย ท่ามกลางความประหลาดใจของทุกคนที่แทบจะยกมือรับไหว้ไม่ทัน รวมทั้งน้ำเพชรซึ่งหันมามองพอดี แต่สายพิณไม่ได้ไหว้น้ำเพชร
“นั่นมันอาสายพิณใช่ไหม อาพิชิต”
“ใช่ครับเจ๊! ผมยังนึกว่าตาฝาดไป... ธรรมดาเด็กคนนี้ไม่ไหว้ใครนอกจากไหว้พระ ตามยายของเขา” พิชิตว่า
“แล้วทำไมตอนนี้อีเปลี่ยนใจมาไหว้คน!” เติมสงสัย
“มันเป็นปริศนามากๆ” กิมฮวยฉงนหนัก
น้ำเพชรนั่งมองหน้าสายพิณอย่างเพ่งพิศ
“มองอะไร!”
“ไหว้เป็นกับเขาด้วยเรอะ!”
สายพิณยักไหล่ “ก็ไม่เห็นจะยากอะไร! แค่ยกมือพนมแล้วก้มหัว!”
น้ำเพชรทำท่าจะถามอีก
สายพิณขัดขึ้นก่อน “เลิกสนใจกับไอ้เรื่องไหว้ไม่ไหว้ แล้วพูดเรื่องของแกเสียที”
น้ำเพชรพยักหน้า “แกก็เห็นแล้วว่าอาการของคุณปลาใหญ่กับไอ้เซียน”
สายพิณแทรก “คุณเซียนกับไอ้ปลาใหญ่..พูดให้ถูกด้วย”
“ไอ้เซียนกับคุณปลาใหญ่” น้ำเพชรไม่ยอม
“ไอ้ปลาใหญ่กับคุณเซียน!” สายพิณก็ไม่ยอม
น้ำเพชรลุกขึ้นช้าๆ จ้องหน้า “ไอ้เซียนกับคุณปลาใหญ่!”
สายพิณลุกขึ้นบ้างและตบโต๊ะ “ไอ้ปลาใหญ่กับคุณเซียน”
มือน้ำเพชรเริ่มสั่น สายพิณจ้องมือน้ำเพชรแล้วยกมือขึ้นเตรียมพร้อม “ฝ่ามือพิฆาตธารา”
น้ำเพชรยกมือขึ้น “ฝ่ามือกระทบหน้าสายพิณ”
ทั้ง 2 ยกมือขึ้นกำลังจะตบ
ยินเสียงกิมฮวยดังขึ้น “ไอ๊หยา”
2 คนชะงัก หันไปมอง แล้วทรุดตัวลงนั่งทำหน้าปกติ
“นั้นพวกลื้อจะตบกันอีกแล้วเรอะ! ตบกันตั้งแต่เด็กจนโตไม่เบื่อมั่งเรอะไง!” กิมฮวยว่า
“มันเบื่อๆ อยากๆ น่ะค่ะ!” น้ำเพชรบอก
“แต่จะเป็นอยากมากกว่าเบื่อ..” เว้นไปนิดหนึ่ง “ค่ะ”
กิมฮวยตวาดลั่น “บังอาจ”
2 สาวสะดุ้งโหยง
“ลื้อออกจากร้านอั้วไปได้ ... อาสายพิณ!”
สายพิณลุกขึ้น
น้ำเพชรลุกตาม “อย่าเพิ่งไป”
สายพิณและกิมฮวยหันมามอง
“น้ำมีธุระสำคัญจะต้องพูดกับสายพิณค่ะ หม่าม้า!”
“ก็อั๊วเห็นลื้อจะตบกัน” กิมฮวยท้วง
“ไม่ตบแล้วค่ะ..หม่าม้าช่วยออกไปก่อนได้มั้ยค่ะ!”
“ได้! แต่ห้ามพวกลื้อตบกันนะ ไม่งั้น...” กิมฮวยคาดโทษ
น้ำเพชรรีบตัดบท “ค่ะ! หม่าม้า..ไม่ตบกันแล้วค่ะ..หม่าม้าออกไปก่อนนะคะ!”
น้ำเพชรพูดพลาง ค่อยๆ ดันตัวกิมฮวยออกไป
เฮียเติมรออยู่หน้าร้าน รีบถามเมื่อเห็นเมียออกมา “เป็นยังไงบ้าง! อาฮวย”
“พวกอีจะตบกันจริงๆ” กิมฮวยบอก
“ผมว่าแล้ว! มีใครบาดเจ็บบ้างหรือเปล่าเจ๊...” พิชิตสงสัย
“อั๊วเข้าไปห้ามทันเวลา!” กิมฉวยเว้นไปนิด “อยากรู้จังว่า พวกอีจะพูดกันเรื่องอะไร” กิมฮวยสงสัย
“หรือจะเรื่องนัดตบ” เติมคิด
สายพิณเอ่ยขึ้น “แล้วจะเอายังไง! บอกก่อนนะว่า ถ้าจะผลักให้รถชนตาย หรือยิงหรือแทงอะไรนี่ ... ฉันใจไม่กล้าพอ ...หรือว่าแกกล้า
“เอาเข้าจริง ฉันก็ไม่ไหวเหมือนกัน เพราะมันต้องให่แค่โคมา...ยังไม่ถึงกับตาย มันยากตรงนี้แหละ” น้ำเพชรบอก
ทั้ง 2 สาวเดินสวนกันกลับไปกลับมาอย่างใคร่ครวญครุ่นคิด และในที่สุด ทั้ง 2 หยุดเดิน หันกลับมาเผชิญหน้ากัน
“นอกจากว่า...” สายพิณนึกออก
“จะให้พวกเขาฆ่าตัวตายเอง” น้ำเพชรเอ่นขึ้น
“แต่ต้องไม่ให้ถึงตาย เอาแค่โคม่า วิญญาณออกจากร่าง” สายพิณบอก
น้ำเพชรพยักหน้า “เป็นไปได้!” หยิบโทรศัพท์ “ต้องโทร.ตามนายเซียนกลับมาประชุมก่อน”
สายพิณควักโทรศัพท์ออกมาแข่ง “พี่เซียนของฉัน... ฉันจะโทร.เอง”
น้ำเพชรยักไหล่ เก็บโทรศัพท์
“ฮัลโหล ! พี่เซียนจ๋า”
น้ำเพชรสะดุ้ง หันมามองหน้าสายพิณพึมพำ “มีพี่เซียนจ๋าด้วยแฮะ”
ภายในบ้านป่องเวลานั้น ทั้งหมดประชุมกันอยู่สีหน้าแต่ละคนเคร่งเครียด
“ปัญหาคือกินในจำนวนแค่ไหนถึงจะไม่ตาย เพราะถ้าตาย ทุกอย่างก็จบ” ครรชิตเอ่ยขึ้น
“หรือถ้าปล่อยไว้อย่างนี้” ป่องว่า
ปลาใหญ่เสริม “มันก็ตายเหมือนกัน” ก่อนหันมาทางเซียน “นายว่าไง”
“ฉันยอมแพ้” เซียนบอก
ทุกคนหันขวับมามอง ร้อง “อะไรนะ” พร้อมกัน
เซียนมองสบตาทุกคน “ผมยอมแพ้”
“ไม่ได้นะคะ คุณปลาใหญ่ไม่เคยยอมแพ้อะไรหรือใครทั้งนั้น... คุณปลาใหญ่เป็นคนเข้มแข็ง...คุณ...”
น้ำเพชรพูดๆม่ทันจบปลาใหญ่ก็ขัดขึ้น “นายอยากตาย แต่ฉันยังไม่อยากตาย”
ทุกคนหันมามองปลาแปลกใจเช่นกัน “อะไรนะ”
ปลาใหญ่มองน้ำเพชร “ก็อย่างที่ผมเคยบอกคุณน้ำ...ผมไม่อยากตาย”
“พิณดีใจที่พี่เซียนคิดยาว...ไม่คิดสั้นเหมือนคนบางคน” สายพิณตวัดสายตาค้อนเซียนโดยไม่รู้ตัว
“ปลาใหญ่ แกต้องสู้ซิ ขนาดฉันมีเรื่องคอขาดบาดตาย...เอ้อ...”
น้ำเพชรสะดุ้ง ขณะปลาใหญ่รีบหยุดทันที
“เรื่องคอขาดบาดตายอะไร” ครรชิตคาดคั้น
“เปล่าครับ” ปลาใหญ่หลบตาครรชิต
“นายเซียน! เรื่องคอขาดบาดตายของนายเกี่ยวข้องกับฉันหรือเปล่า”
“ไม่มีอะไรหรอกน่า! ไม่เชื่อก็ถามคุณน้ำดู” ปลาใหญ่โบ้ย
ทุกคนหันมามองน้ำเพชรเป็นตาเดียว รอฟัง
น้ำเพชรสบตาทุกคนแน่วแน่ “มี”
ปลาใหญ่ห้าม “คุณน้ำ”
“นายปิดไม่ได้หรอก และคุณปลาใหญ่ก็มีสิทธิ์ที่จะรู้ว่า นายเอารูปร่างหน้าตาและชื่อเสียงเขาไปปู้ยี่ปู้ยำขนาดไหน”
เซียนชักสงสัย “นี่มันเรื่องอะไรกัน”
ปลาใหญ่ขบกราม
“นายเซียนถูกไล่ออกจากงานค่ะ”
ทุกคนร้อง “หา” พร้อมกัน
ปลาใหญ่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ “ทำเป็นตกอกตกใจกันไปได้”
ค่ำแล้วสายพิณเดินเพลียๆ เข้ามาในบ้าน
“กำลังจะจุดธูปไหว้พระ...” มองอย่างเพ่งพิศ “หายไปไหนมา กลับเอาป่านนี้”
“พิณมีประชุมจ้ะยาย”
“มีประชุม! หน็อย ! แกทำงานทำการอะไรฮึ ถึงต้องมีประชุมกลับบ้านเอาเกือบ 2 ทุ่ม” ปิ่นบ่น
“แหม...สองทุ่มไม่ได้ดึกดื่นอะไรสักหน่อย ยายสวดมนตร์เถอะ ...พระท่านกำลังรออยู่แน่ะ”
สายพิณเดินเข้าห้องปิดประตู
“นังเด็กคนนี้ เอ๊ะ! หรือว่าพระท่านจะกำลังรอจริงๆ”
ปิ่นรีบจุดธูป
สายพิณเอนตัวลงนอน ตามองจ้องเพดานครู่หนึ่ง แล้วลุกขึ้นมา หยิบหนังสือเรียนมาเปิด พยายามอ่านหนังสือ แต่ไม่มีสมาธิพอ สายพิณวางหนังสือลง แล้วหงายท้อง ก่ายหน้าผากจ้องเพดานต่อ
ปลาใหญ่เดินออกจากบ้าน สายพิณรีบตามออกมา
“พี่เซียน”
ปลาใหญ่หยุดเดิน แล้วหันกลับมา
“พิณภูมิใจในตัวพี่เซียนมากที่สู้จนกระทั่งหยดสุดท้าย ขนาดปลาใหญ่ที่ยัยน้ำคุยนักคุยหนาว่าเจ๋งยังแหยงเลย”
ปลาใหญ่จับหัวสายพิณโยก “คงมีเราคนเดียวในโลกมั้งที่ชื่นชมพี่”
“ก็ไม่เห็นจะเป็นไร..พรุ่งนี้พิณจะไปรอรับหน้าปากซอยนะ”
“ไม่ต้องหรอก...พี่เข้ามาเองได้”
“แต่พิณอยากไปรับ”
“ก็ตามใจ”
สายพิณโผเข้ากอดปลาใหญ่ “พิณดีใจจังที่จะได้พี่เซียนกลับคืนมาแล้ว”
ในห้องนอน เวลาต่อมาสายพิณลุกขึ้นนั่งพนมมือ
“คุณพระคุณเจ้า....ขอให้วิญญาณพี่เซียนกลับเข้าร่างได้สำเร็จเถอะเจ้าค่ะ แล้วลูกช้างขอสัญญาว่าจะเป็นคนดีขึ้นทุกวันๆ”
สายพิณก้มกราบบนหมอน
ปลาขับรถมาถึงหน้าบ้านแล้วกดรีโมท แต่ประตูไม่ยอมเปิด กดอีก แต่ก็ไม่เปิด
“เป็นอะไรอีกล่ะ”
ปลาใหญ่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากด โทรศัพท์ในห้องรับแขกดังขึ้น กรณ์ซึ่งนั่งดูที.วี อยู่เอื้อมมือมารับ
“ฮัลโหล! บ้านคุณเกริกก้อง มหาทรัพย์รุ่งเรืองครับ”
“พูดผิดแล้วมั้ง...นี่มันบ้านของฉัน....ปลาใหญ่ มหาทรัพย์รุ่งเรืองต่างหาก!... ประตูบ้านเป็นอะไร”
“ก็ไม่เห็นเป็นอะไรนี่”
“แต่ฉันกดรีโมทเท่าไหร่ก็ไม่เปิด”
“เรอะ”
“ช่วยมาเปิดให้หน่อยซิ”
“เสียใจ! ไม่ว่าง! กำลังดูโอลิมปิกอยู่”
“เฮ้ย! นี่มันจะแกล้งกันนี่หว่า”
“แค่นี้ใช่มั้ย” กรณ์วางโทรศัพท์
ปลาใหญ่พยายามโทร.อีก แต่ไม่มีใครรับ ปลาใหญ่เริ่มฉุน “เล่นกับใครไม่เล่น”
พลางปลาใหญ่กดโทรศัพท์อีกครั้ง
“ฮัลโหล...191 หรือครับ...มีผู้บุกรุกอยู่ในบ้านผม”
เกริกก้องกำลังนั่งดูทีวี โดยจันทร์ทิพย์นั่งกอดแขนคุยกันท่าทียิ้มแย้มด้วยความสุข
“บริษัทเป็นของเราแล้ว...ต่อไปก็จะเป็นบ้าน” จันทร์ทิพย์ระรื่น
เสียงเคาะประตูดังขึ้น พร้อมเสียงทรง
“คุณผู้ชายคะ”
“สมทรงมาเรียกทำไม”
จันทร์ทิพย์พูดพลางเดินไปเปิดประตู ซึ่งสมทรงยืนหน้าตาตื่นอยู่
“มีอะไร”
“ตำรวจค่ะ ! ตำรวจมา”
จันทร์ทิพย์หันมามองเกริกก้องซึ่งลุกขึ้นยืนด้วยความแปลกใจ
เกริกก้องและจันทร์ทิพย์เดินเข้ามาในห้องรับแขก ติดตามด้วยสมทรง ซึ่งยังมีสีหน้าตกใจ
ปลาใหญ่ซึ่งกำลังคุยกับตำรวจด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ขณะที่กรณ์ดูเหมือนพยายามระงับความหงุดหงิด ด้วยอยู่ต่อหน้าตำรวจ
“โน่นไงครับ คุณอาของผมมาแล้ว...คุณอาครับ ไอ้...”
เกริกก้องสวนขึ้น “มีอะไรหรือครับ คุณตำรวจ”
“คุณกรณ์มันไม่ยอมเปิดประตูให้ผมเข้าบ้าน แถมยังบุกรุกเข้ามาดูที.วีในห้องรับแขกอย่างสบายใจยังกับเป็นเจ้าของบ้าน” ปลาใหญ่ฟ้องตำรวจ
“มันจะมากไปแล้ว ! พี่กรณ์เป็นพี่ชายของฉัน” จันทร์ทิพย์แว้ดใส่เซียน
“จะเป็นพี่ใครน้องใครผมไม่สน! ในเมื่อมันไม่ยอมเปิดประตูให้เจ้าของบ้านเข้ามา มันก็อยู่บ้านนี้อีกต่อไปไม่ได้” ปลาใหญ่เสียงแข็ง
“แกก็ไม่ใช่เจ้าของบ้าน ไอ้เซียน” จันทร์ทิพย์ขึ้นเสียง
“พอที! จันทร์!” เกริกก้องหันมาทางตำรวจ “หลานชายผมกับภรรยาเข้าใจผิดกันนิดหน่อย ต้องขอโทษด้วยครับที่ปลาใหญ่โทร.ไปรบกวน”
“ถ้าไม่โทร.ไป ก็ไม่ได้เข้าบ้านน่ะซิ” ปลาใหญ่บอก
“ตกลงไม่มีการบุกรุกเข้ามาในบ้านนะครับ”
“ไม่มีค่ะ” จันทร์ทิพย์บอกพร้อมกันกับที่ “มีครับ” ซึ่งปลาใหญ่บอก
เกริกก้องมีแววหงุดหงิดแว่บหนึ่ง “เมื่อไหร่คู่นี้ถึงจะเลิกทะเลาะกันเสียทีนะ...คุณตำรวจ...ผมจะไปส่ง”
เกริกก้องพูดคุยพาตำรวจเดินออกไปแบบคนมีมารยาทดี
ปลาใหญ่หันมาหาจันทร์ทิพย์และกรณ์ “เล่นกับใครไม่เล่น”
ปลาใหญ่เดินออกไปแบบกวนประสาท
กรณ์มองตามเกลียดชังสุดๆ “ฉันอยากจะฆ่ามัน”
“ก็เอาเลยซิ” จันทร์ทิพย์บอก
กรณ์เบือนหน้ามาสบตาจันทร์ทิพย์ สีหน้าเหี้ยมเกรียม
ปลาใหญ่ผิวปากเข้ามาในห้องแล้วเดินเข้าห้องน้ำ ก่อนจะเดินออกมาด้วยสีหน้ากังวลสุดๆ ตรงมาที่กระจก แล้วค่อยๆ เปิดแหวกเสื้อคลุมอาบน้ำดู
ภาพในกระจกเห็นเป็นแผลเริ่มเน่ามีหนองไหล ลามไปทั่วแผ่นหลังและอก
ปลาใหญ่ทำจมูกฟุดฟิด “เหม็นเน่าด้วย”
เสียงเคาะประตู และเสียงเกริกก้องดังขึ้น
“เปิดประตูหน่อย”
ปลาใหญ่ตกใจ “ผมจะนอนแล้ว”
“ฉันบอกให้เปิดประตู” เกริกก้องตะโกน
“เอาไว้มีอะไรค่อยพูดกันพรุ่งนี้เช้า”
ปลาใหญ่ดึงเสื้อคลุมปิด แล้วลูบหน้าตัวเองเครียดๆ
เกริกก้องกำมือแน่นจะทุบประตู
จันทร์ทิพย์รีบจับไว้ “อย่าค่ะ! เจ็บเปล่าๆ”
“ฉันเกลียดมัน”
“จันทร์ก็เกลียดมันไม่น้อยไปกว่าคุณ” เว้นนิด “ปล่อยให้เป็นหน้าที่พี่กรณ์เถอะค่ะ”
เกริกก้องยังคงสีหน้าเคร่งเครียด
ด้านปลาใหญ่ทรุดตัวลงบนเตียง
“นี่ชั้นกำลังจะตายจริงๆเรอะเนี่ย” กุมขมับ “โธ่เอ๊ย ! ไม่น่าหาเรื่องใส่ตัวเล้ย”
ปลาใหญ่ก้มลงทำจมูกฟุดฟิด “เหม็นก็เหม็น”
ปลาใหญ่ลุกขึ้น ...โซเซเล็กๆ แล้วเดินไปที่โต๊ะเครื่องแป้ง หยิบน้ำหอมมาฉีดบริเวณอกและหลังจนหมดขวด
แล้วทำจมูกฟุดฟิดสูดกลิ่น
“กลิ่นพิลึก! มีทั้งเหม็นทั้งหอม...” ตะโกนลั่นอย่างหงุดหงิด “...โว๊ย”
เซียนเองก็นั่งกุมขมับด้วยความกลุ้มใจอยู่บ้านป่อง
ขณะที่ครรชิตและป่องต่างก็กุมขมับกลุ้มๆ เช่นเดียวกัน
ครรชิตเงยหน้าขึ้น “ได้กลิ่นอะไรมั้ย”
ป่องสูดกลิ่น “กลิ่นเหม็นเน่า”
ครรชิตลุกขึ้นมองหา “กลิ่นอยู่ใกล้ๆ นี่แหละ”
ป่องลุกขึ้นหาบ้าง “ใช่ ! อยู่ตรงนี้เลย”
ป่องและครรชิตเข้ามาวนหารอบๆ ตัวเซียน
“ต้องแถวๆ นี้แน่ ๆ” ครรชิตว่า
“เหม็นจนอยากจะอ้วก” ป่องเสริม
เซียนลุกขึ้น “ไม่ต้องหาหรอก กลิ่นมาจากตัวผมนี่แหละ”
ป่องตบขาตัวเอง “ถึงว่า....” ชะงักกึก
ครรชิตหน้าเสีย “คุณปลาใหญ่...นี่ ... นี่...เมื่อตอนเย็นกลิ่นยังไม่แรงเท่านี้”
“หรือว่ายิ่งดึกยิ่งเหม็น” ป่องพ่นต่อ
“พี่ป่อง! ถ้าไม่รู้จะพูดอะไรก็กรุณาอย่าพูดอีกเลย...ได้โปรด” ครรชิตปราม
“ครับ” ป่องรับคำ
“ผมจะกลับละ” เซียนบอก
“ผมเดินไปส่ง”
เซียนพยักหน้า แล้วเดินออกไปครรชิตรีบตาม
ป่องค่อยๆผ่อนลมหายใจ “หายเหม็นทันทีเลย”
ท่ามกลางแสงไฟค่อนข้างสลัว 2 ข้างทาง เซียนและครรชิตเดินคุยกันมาเรื่อยๆ
เซียนเงยหน้ามองฟ้า แล้วหันมาทางครรชิต “คุณครรชิต ถ้าผมเป็นอะไรไปก็อย่าเสียใจนะ”
ครรชิตสะดุ้ง “คุณปลาใหญ่ คุณปลาใหญ่อย่าพูดอย่างนั้นซิครับ”
“ความจริงเป็นสิ่งที่ต้องตาย” เซียนว่า
“ต้องพูดว่า “ความจริงเป็นสิ่งที่ไม่ต้องตาย” ครับ” ครรชิตท้วง
“ความจริงจะตายหรือไม่ตายก็ช่าง แต่ผมจะต้องตายแน่ๆ”
“ผมบอกแล้วว่าอย่าพูด” ครรชิตบอก
“คุณครรชิต คุณต้องยอมรับความจริง”
“แต่พรุ่งนี้” ครรชิตท้วง
“พรุ่งนี้ไม่มีอะไรแน่นอน ส่งผมแค่นี้พอแล้ว ขอบคุณมาก”
เซียนหันหลังเดินกลับไป ครรชิตมองตามใจคอไม่ดี
โปรดติดตาม "แสบสลับขั้ว" ตอนต่อไป