มณีแดนสรวง ตอนที่ 13
สร้อยแก้วพิพธรัตนะส่องแสงสว่างเรืองรอง เตือนภัยที่กำลังมาใกล้ ชิโลยิ่งร้อนใจ
“ได้โปรดคืนสร้อยให้ฉัน ฉันขอร้อง คืนให้ฉันเถอะ”
สการหันไปถาม
“สร้อยนั่นของเธอเหรอ”
“ใช่...คุณสิแย่งจากฉันไปแล้วโยนให้พวกนั้น”
ดรัณไท่พอใจ
“สิ...ทำไมคุณทำแบบนี้”
“คุณอย่ามาว่าสินะ ทีมันแย่งคุณไปจากสิล่ะ สร้อยราคาถูกๆกับผู้หญิงไร้ราคา คุณยัง คิดจะไปปกป้องมันอีกเหรอดรัณ”
“คุณชิโลเขาไม่เคยแย่งผมไปจากคุณ มีแต่คุณนั่นแหละที่กำลังผลักไสผมให้ไปจาก ชีวิตคุณ ผมรู้ความจริงแล้วสิ ผมไม่คิดเลยว่าคุณจะกล้าวางยานอนหลับหลอกให้ผม เชื่อว่าเรากลับมามีอะไรกันอีก”
สิริสุดาอึ้ง
“ดรัณ !!”
เอิงเอยเหวอ...
“โธ่เอ้ย ยัยสิ ไหนตอนคุยกับฉันแกบอกผู้กองยังหลับอยู่ไง”
“ยัยเอิง แกจะพูดทำไม”
“เอ่อ…พวกคุณอย่าเพิ่งทะเลาะกันตอนนี้เลย ถ้าฉันไม่ได้สร้อยคืน ฉันลำบากแน่”
สการเห็นชิโลดูมีอาการร้อนรนเลยเข้าไปขู่ใส่พวกผู้ต้องหา
“เอาสร้อยคืนมา”
พวกผู้ต้องหาไม่ยอม
“จะให้ฉันเข้าไปเอาคืนมั้ย...ห๊ะ !!”
ผู้ต้องหาพากันกลัวสการรีบยื่นสร้อยคืนให้ สการถือมาที่หน้าห้องขัง ชิโลรีบแบมือขอ
“ขอคืนให้ฉันเถอะผู้กอง”
สการมองสร้อยในมือแล้วครุ่นคิดอยู่ครู่ก่อนจะเก็บสร้อยไว้ในกระเป๋ากางเกง ก่อนจะเข้าไปไขกุญแจห้องขัง
“เธอมากับฉันชิโล”
ดรัณหันไปถามทันที
“ไอ้แซมแกจะพาคุณชิโลไปไหน”
“แกไม่เกี่ยว เคลียร์เรื่องของแกกับคุณสิไป”
สการจับแขนชิโลแล้วลากตัวออกไป
“ไอ้แซม แกจะพาคุณชิโลไปไหน…”
ดรัณจะตามแต่สิริสุดารั้งไว้
“เดี๋ยวค่ะดรัณ คุณไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น เรายังคุยกันไม่รู้เรื่อง”
สการดึงแขนพาชิโล เดินออกมาตามทางเดินในสำนักงานตำรวจฯ
“ผู้กอง คืนสร้อยให้ฉันมาเถอะ ฉันขอร้องล่ะ จะให้ฉันทำอะไรก็ได้ ฉันยอมทั้งนั้น”
“เธอไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น แค่บอกฉันมาว่า ทำไมสร้อยเส้นนี้ถึงสำคัญกับเธอมาก”
“ฉันบอกไป คุณก็ไม่เชื่อ”
“ก็ลองบอกมาก่อน บางทีครั้งนี้ฉันอาจจะเชื่อ เพราะท่าทางเธออยากได้มันคืนมาก”
“โธ่ผู้กอง...เอาไงดี ก็ได้ สร้อยเส้นนั้นคือแก้วสัตตพิธรัตนะ มีเอาไว้เพื่อปกป้องคุ้มครองฉัน ให้รอดพ้นจากพวกอสูร”
“แก้วสัตตพิธรัตนะ ?”
“ฉันไม่มีเวลาอธิบายให้คุณฟังมากกว่านี้แล้ว พวกนั้นกำลังมาที่นี่ มันจะมาเอาตัวฉันไป”
“พอได้แล้วชิโล เธอไม่ต้องปั้นน้ำเป็นตัวเรื่องอสูรเรื่องของวิเศษแล้ว ถ้าไอ้พวกที่เธอหนี มันมาเป็นพวกที่ฉันเคยเจอล่ะก็ ให้มันบุกเข้ามาที่นี่เลย ฉันจะได้จับมันเอามาสอบปาก คำ จะได้รู้กันซะทีว่าตกลงแล้วเธอไปสร้างปัญหาอะไรกับใครไว้”
“ผู้กอง !! คุณอย่าทำอวดเก่งเลย คุณสู้กับพวกนั้นคุณก็มีแต่ตายอย่างเดียว”
สการลอยหน้าลอยตาไม่สนใจคำเตือนของชิโล ยิ่งทำให้ชิโลกังวลเลยต้องหันมาครุ่นคิดเอาไงดีก่อนจะนึกขึ้นได้ แกล้งเล่นละครตบตา
“ก็ได้ค่ะผู้กอง ฉันบอกความจริงก็ได้ สร้อยนั่นเป็นของพี่สาวฉันที่ทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้า ฉันสัญญากับพี่ไว้ว่าจะไม่ให้มันห่างจากตัว มันเลยเป็นสมบัติชิ้นเดียวที่มีค่าสำหรับฉัน”
ชิโลพูดไปน้ำตาคลอเบ้าทำร้องไห้สะอื้นเสียใจจนสการรู้สึกสงสาร
“ถ้ามันเป็นของดูต่างหน้าพี่สาวเธอ ก็ไม่เห็นจะต้องโกหกฉัน”
สการเริ่มสงสารล้วงกระเป๋าเอาสร้อยแก้ววิเศษขึ้นมา ชิโลแอบยิ้ม
อัคราสูรกับจิตราสูรถูกตำรวจใส่กุญแจมือพาตัวมาที่ห้องขัง ทั้งคู่ถูกผลักเข้าไปในห้องขังผู้ต้องหาชาย
“พวกแกเข้าไปอยู่ในนี้ก่อน ท่านผู้การทำแผลเสร็จเมื่อไหร่ โดนสอบหนักแน่”
ตำรวจขู่แล้วปิดประตูห้องขัง ก่อนจะเดินออกไปทิ้งให้สองอสูรอยู่กับพวกผู้ต้องหาชายน่ากลัว
“พวกมนุษย์ต๊อกต๋อย เสร็จธุระกับรัศมิชโลธรแล้ว ข้าจะจับพวกแกมาหักแข้งหักขาเล่น” จิตราสูรบ่น
“เดี๋ยว !! ไอ้อสูรอึ่งอ่าง...รัศมิชโลธรอยู่ไหน”
“ก็อยู่ในห้องขังนี่ไง”
จิตราสูรหันมาดูในห้องขังพบว่าตัวเองอยู่กับพวกผู้ต้องหาชายหน้าตาน่ากลัวฝูงนึง ทุกคนจ้องมาที่สองอสูร อย่างเอาเรื่อง
“อ้าวเฮ้ย...หายไปไหน...หรือว่าออกไปแล้ว”
อัคราสูรเซ็ง
“โธ่เว้ยไอ้อึ่งอ่าง เพราะแผนโง่ๆของเอ็งทำให้ข้าต้องเสียเวลา”
“เฮ้ย...อย่ามาว่าข้าโง่นะเว้ย ยังไงเอ็งก็ไม่เคยเล่นสกาชนะข้า”
ผู้ต้องหาตวาด
“ไอ้น้อง...หยุดทะเลาะกันสักที พวกพี่หนวกหูเว้ย”
จิตราสูรกับอัคราสูรหันมาที่พวกผู้ต้องหาชายทั้งฝูงเดินกร่างเข้ามากะเล่นงานเด็กใหม่
“แกเรียกข้าว่าไอ้น้องงั้นเหรอ”
“เออสิวะไอ้อ้วน !! ในนี้พี่คุม ถ้าอยากอยู่สบายๆล่ะก็ น้องต้องฟังที่พี่สั่งเท่านั้น” ผู้ต้องหายิ้มกวน แล้วเข้าไปบีบก้นจิตราสูร ปี๊บๆ “ก้นแน่นแบบนี้พี่รู้แล้วว่าจะสั่งน้องให้ทำอะไร ฮ่าๆๆๆ”
พวกผู้ต้องหาพากันหัวเราะเสียงดัง จิตราสูรโกรธจนตาเปลี่ยนสีเป็นแดงก่ำ
“ไอ้พวกมนุษย์ตัวกระจ้อยร่อย บังอาจเล่นของสูงแบบนี้…โทษของพวกแกมีแต่ตาย สถานเดียว”
“เดี๋ยว” อัคราสูรห้าม
“อะไรของเอ็งอีก”
“ข้าไม่อยากเสียเวลากับพวกมัน ขืนชักช้ารัศมิชโลธรอาจจะหนีไปได้ แค่ทำให้มันกลัว ก็พอแล้ว”
“โธ่เว้ย…ก็ได้ !!”
จิตราสูรหันมาจ้องหน้าพวกผู้ต้องหาชาย แล้วร่างของมันก็ค่อยๆกลายสภาพจากร่างมนุษย์คืนกลับไปเป็นร่าง อสูร พวกผู้ต้องหาพากันตกใจ ตาเบิกโพลง เงาของจิตราสูรที่ทาบผ่านผนังค่อยๆขยายพองตัวสูงใหญ่ขึ้นจนหัว แทบชนเพดานห้องขังพร้อมเสียงหัวเราะดังกึกก้อง เสียงหวีดร้องดังระงมของผู้ต้องหาดังไปทั่ว
สการถือสร้อยของชิโลไว้ในมือ แต่ต้องหันขวับไปทางต้นเสียงที่ดังโหวกเหวกจนน่าแปลกใจ
“เกิดอะไรขึ้น !!”
“พวกมันมาแล้ว ฉันต้องเอาสร้อยฉันคืน ไม่อย่างนั้นฉันโดนจับตัวไปแน่”
ชิโลรีบแย่งสร้อยคืนจากมือสการ แต่สการยังกำไว้แน่น
“ไหนเธอบอกว่านี่เป็นสร้อยที่พี่สาวให้ไว้ดูต่างหน้าไง”
“ฉันไม่ได้โกหก นอกจากไว้ดูต่างหน้าแล้ว ยังไว้ปกป้องฉันด้วย”
ชิโลฉุนที่สการไม่ยอมปล่อยมือเลยจับมือสการมากัดเต็มๆ สการร้องลั่นปล่อยมือ ทำให้ชิโลได้สร้อยคืน ชิโลกำสร้อยไว้แน่นก่อนจะรีบฉวยโอกาสวิ่งหนีทันที
“ชิโล..อย่าหนีนะ”
สการรีบตามชิโลไป
ชิโลวิ่งหนีสการที่ไล่กวดตามมา แต่พอเลี้ยวตรงทางแยกก็ต้องตกใจหน้าเสียเมื่อเจอสองอสูรเดินกร่างแสยะยิ้มตรงดิ่งมาที่เธอ
“อสูร !! ชิโลแย่แล้ว”
ชิโลหันรีหันขวางเอาไงดี ได้แต่กำสร้อยเอาไว้ในมือ
“แย่งสร้อยมา แล้วจับนางให้ได้”
อัคราสูรคำรามเสียงดังก่อนจะรีบตรงดิ่งไปหา ชิโลผงะถอยจะวิ่งย้อนกลับไปทางเดิมแต่เจอสการที่กำลังมาทาง นี้พอดี ชิโลหน้าเสียต้องย้อนกลับมาอีก คราวนี้เธอถึงทางตันได้แต่กำแก้วสัตตพิธรัตนะไว้ในมือแล้วอธิษฐาน
“พี่พรรณราย ช่วยน้องด้วย ขอให้น้องรอดพ้นจากพวกอสูร และช่วยให้ผู้กองแคล้ว คลาดไม่ได้รับอันตรายจากพวกมันด้วย”
ชิโลหลับตาเพ่งจิตอธิษฐาน ทันใดนั้นก็เกิดแสงสว่างขึ้นที่แก้วสัตตพิธรัตนะ อัคราสูรเกือบจะถึงตัวชิโลแต่โดนแสงสว่างจ้าจากแก้วสัตตพิธรัตนะทำให้ปวดแสบปวดร้อนร้องเสียงดัง
“อ๊ากกกก”
สิ้นแสงสว่างจ้าทุกอย่างก็กลับมาเป็นปกติ แต่ชิโลและอสูรทั้งสองได้หายไปจากบริเวณนั้นอย่างไร้ร่องรอย สการวิ่งเข้ามาพบแต่ความว่างเปล่าก็ถึงกับงงว่าเกิดอะไรขึ้น ชิโลหายไปไหน ?
ในห้องชองชิโล... นารีเดินเข้ามามองหา พลางร้องเรียก...
“หนูชิโล...หนูชิโลจ๊ะ ...เอ๊ะ หายไปไหน ประตูห้องก็ไม่ได้ล็อค”
นารีแปลกใจได้ครู่ก็ได้ยินเสียงนกแก้วร้องดัง เลยเดินไปดูเห็นนกแก้วอยู่ในกรง
“นี่หนูชิโลเลี้ยงนกแก้วด้วยเหรอ ไงจ๊ะนกแก้วน้อย เรามาอยู่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่”
เสียงนกแก้วอุ้มสมดังขึ้น
“ช่วยด้วย...ช่วยปล่อยผมที”
นารีผงะ
“ตายแล้ว...น่ารักจังพูดเก่งซะด้วย ใครสอนให้พูดจ๊ะเนี่ย”
ระหว่างนารีกำลังสนใจกับนกแก้วในกรง ชิโลก็โผล่กลับมายืนหน้าตาตื่นตกใจอยู่ข้างหลังโดยนารีไม่ทันสังเกต
“ชิโล...ชิโล...” นกแก้วอุ้มสมร้องเรียก...
นารีหันไป
“อ้าว..หนูชิโล กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมป้าไม่ได้ยินเสียงหนูเลย”
“เอ่อ...คือ...ชิโลเข้ามาตอนที่คุณป้ากำลังคุยกับนกแก้วของชิโลอยู่น่ะค่ะ คุณป้าก็เลยไม่ ได้ยินเสียง”
“นั่นสินะ แล้วหนูชิโลไปไหนมา” นารีเห็นรอยฟกช้ำที่หน้า “ทำไมหน้าตาเป็นแบบนี้ล่ะ มีเรื่องอะไรมาเหรอ”
“เอ่อ...คือ...” ชิโลหน้าเสียไม่รู้จะเล่าให้ฟังยังไง เพราะไม่อยากมุสาให้ผิดศีล “ชิโลมีปัญหากับคุณสิริสุดามาค่ะ”
“มีปัญหาอะไร ทำไมต้องถึงขั้นลงมือลงไม้กันด้วย”
นารีมองอย่างไมสบายใจ
สิริสุดาถูกดรัณจับแขนแรงๆ ดึงพาตัวออกมาที่รถที่จอดอยู่หน้าอาคาร
“สิเจ็บนะดรัณ...สิบอกว่าเจ็บ ไม่ได้ยินเหรอไง !!”
ดรัณปล่อยมือจากสิริสุดาแล้วเปิดประตูรถสั่งเสียงเข้ม
“คุณกลับไปได้แล้วสิ”
สิริสุดาอึ้ง
“ดรัณ !! นี่คุณไล่สิเหรอ”
“ผมบอกให้คุณกลับไป”
“ไม่ !! สิไม่กลับ เรื่องอะไรที่ผู้หญิงดีพร้อมทั้งหน้าตา สติปัญญา แล้วก็ชาติตระกูล อย่างสิ จะต้องยอมแพ้ให้นังกากีอย่างนังนั่น”
เอิงเอยพูดช่วย
“ใช่..อย่างน้อยเพื่อนฉันก็ไม่บ้าผู้ชายถึงขนาดมาอ่อยตำรวจทั้งโรงพักอย่างนังนั่น”
“แล้วสิก็ไม่เคยยุให้เพื่อนรักต้องมาแตกคอกันอย่างนังนั่นด้วย”
“ใช่ !”
สิริสุดากับเอิงเอยหันมาตีมือไฮไฟว์...เยส ด่านังชิโลได้อย่างสะใจ ดรัณมองไม่พอใจ
“แต่คุณวางยาหลอกผม ร้องห่มร้องไห้เล่นละครน้ำเน่า แถมยังเอาตัวเข้าแลก ยั่วยวนให้ ผมคิดว่ามีอะไรกับคุณ ขอแค่ต้องการเอาชนะ นี่น่ะเหรอที่คุณบอกว่าคุณมีดีกว่าชิโล”
สิริสุดาถึงกับผงะ
“ดรัณ ! คุณ...คุณดูถูกสิ”
สิริสุดาปรี่เข้าไปตบหน้าดรัณทันที...เพี๊ยะ !! ดรัณหน้าหันแต่นิ่งไม่แสดงอารมณ์ก่อนจะหันมาอย่างเย็นชา
“ถ้าพอใจแล้วก็กลับไป อย่าให้ผมต้องเอาคุณเข้าไปขังไว้ในกรงอีก”
“ดรัณ...จำไว้นะ สิไม่มีวันยอมแพ้ คนอย่างสิจะไม่ยอมแพ้นังชิโลเด็ดขาด”
สิริสุดาน้ำตาคลอเสียใจปั้นปึ่งเข้าไปนั่งในรถปิดประตู...ปัง เอิงเอยสงสารเพื่อนหันมาทิ้งบอมบ์ใส่
“ถ้าเพื่อนฉันยังไม่เลิกอาลัยอาวรณ์คุณ คงไม่ลดตัวมาทำทุกอย่างเพื่อแข่งกับผู้หญิง บ้าๆอย่างนังนั่นหรอกค่ะผู้กอง”
เอิงเอยสะบัดใส่แล้วตามไปขับรถพาสิริสุดาออกไป ดรัณถึงกับอึ้ง”
“สิ...สิ !!!”
ดรัณวิ่งตามเรียก แต่รถของสิริสุดาก็ขับออกไปลับตา
ในคฤหาสน์อสูร...จิตราสูรกระเด็นเข้ามาเหมือนกับโดนแรงถีบมหาศาล กลิ้งตัวกลมม้วนไปกระแทกผนังดังอั๊ก
“อู้ย...เจ็บชะมัด โดนฤทธิ์เดชของแก้ววิเศษอีกจนได้”
จิตราสูรบ่นไปก่อนค่อยๆลุกขึ้น หัวจิตราสูรหมุน 360 องศากลับหน้ากลับหลังไปอยู่คนละด้าน
“เฮ้ย !! อะไรวะเนี่ย รัศมิชโธร นางเล่นงานข้า !!”
ด้วยความที่หัวหันไปทาง ตัวหันไปทาง จิตราสูรเลยเดินตุปัดตุเป๋ ชนโน่นชนนี่ เจ็บระบมไปหมด
“โว้ย...ไม่ไหวแล้วเว้ย”
จิตราสูรเลยหยุดยืนนิ่งๆแล้วค่อยจับหัวตัวเองบิดช้าๆ ทีละนิดๆด้วยความเจ็บปวด กระทั่งหมุนกลับมาเป็นปกติ
“อู้ย....ค่อยยังชั่วหน่อย”
แต่จิตราสูรบ่นไปได้ไม่เท่าไหร่ อัคราสูรก็กระเด็นเข้ามาแถมยังพุ่งตรงมาที่มันอีก
“เฮ้ย...อย่าเข้ามา ไอ้อสูรสันขวาน”
ห้ามไม่ทันอัคราสูรพุ่งมาชนจิตราสูร...เสียงชนดังสนั่นหวั่นไหว...โครม !!
ที่ห้องโถงของคฤหาสน์...ประตูที่เชื่อมพิภพอสูรกับโลกมนุษย์ถูกเปิดเข้ามา อสุเรศกลับมาที่โลกมนุษย์ใน สภาพใบหน้ามีแต่รอยลิปสติคและรอยข่วน รอยจิกเล็บ
อสุรเรศเข้ามาได้ก็ร้อนรนรีบปิดประตูทันที แต่ประตูก็ถูกทุบปังๆ และกระแทกอย่างแรง ราวกับว่าอีกฝากฝั่งของ ประตูมีผู้พยายามจะตามอสุเรศมาที่โลกมนุษย์ให้ได้
“ข้าสัญญาว่าเสร็จธุระที่โลกมนุษย์แล้วข้าจะกลับไป พวกเจ้าไม่ต้องตามข้ามา”
เสียงทุบประตูปังๆ และแรงกระแทกประตูยังดังสนั่นหวั่นไหว อสุเรศต้องออกแรงดันประตูสุดฤทธิ์
“ถ้าพวกเจ้าไม่ฟัง ยังดื้อดึงจะตามข้ามาอีกล่ะก็ ข้าจะไม่ไปหาพวกเจ้าอีก ข้าพูดจริงๆ”
อสุเรศขู่จริงจังไปได้ครู่ เสียงทุบประตูและแรงกระแทกประตูก็หยุดไปจนสงบ อสุเรศเป่าปากโล่งอก
“แรงหึงของสตรีช่างมีพลังเหลือเกิน เล่นเอาซะเหนื่อยเลย ไอ้อัคราสูร ไอ้จิตราสูร มานี่เดี๋ยวนี้”
เสียงของสองอสูรดังเข้ามา
“มาแล้วขอรับนายท่าน”
อสุเรศสายตายังจับจ้องที่ประตู
“ข้าจะผนึกประตูระหว่างพิภพอสูรกับโลกมนุษย์ไว้ไม่ให้ เปิดอีก แต่ข้าก็ยังไม่วางใจ เจ้าสองตนคอยช่วยกันผลัดเวรดูไว้ด้วย”
“นายท่านกลัวว่าจะมีอสูรตนใดผ่านประตูเข้ามาเหรอขอรับ” จิตราสูรสงสัย
“ก็พวกเมียข้าน่ะสิ”
อสุเรศพูดไปก็หันมาที่สมุน ก่อนจะตกใจเพราะเห็นสมุนสองตนหัวกับตัวหันกันไปคนละทาง
“นี่เกิดอะไรขึ้นกับพวกเจ้า”
อสุเรศตบหน้าจิตราสูรกับอัคราสูรทีเดียวพร้อมกัน หัวของสองอสูรก็หมุนเป็นลูกข่างก่อนจะวนกลับ มาเป็นปกติ แต่เล่นเอามึนตึบหันมาเซชนกันโครม !!
“โว้ยยย ไอ้อสูรสันขวาน เอ็งทำข้าเจ็บตัวตลอด” จิตราสูรโวย
“ไอ้อสูรอึ่งอ่าง เอ็งนั่นแหละทำให้ข้าพลอยเจ็บตัวไปด้วย”
อสุเรศหัวเสีย
“พอซะที !!”
อัคราสูรชะงัก
“กระผมขอโทษด้วยขอรับนายท่าน ถ้ากระผมไม่ทำตามแผนการของไอ้อึ่งอ่าง กระผมก็คงได้ตัวรัศมิชโลธรมาให้นายท่านแล้ว”
“ข้าล้มเหลวครั้งเดียว เอ็งก็หาเรื่องข้าแล้วเหรอวะ”
“จะพอกันได้รึยัง ข้าอารมณ์ไม่ดีกลับมา ถ้าพวกเอ็งยังไม่หยุด ข้าบอกได้คำเดียวว่า พวกเอ็งโดนหนักแน่
จิตราสูรหยุดแล้วขอรับนายท่าน ว่าแต่ที่นายท่านอารมณ์ไม่ดีกลับมา เพราะเรื่องมหาเทวาสุร สงครามหรือว่าโดนบรรดานางสนมตามหึงหวงขอรับ”
“ก็ทั้งสองเรื่องนั่นแหละ !!”
อสุเรศหันมาหน้าตาหงุดหงิดอารมณ์ไม่ดี ตาแดงก่ำแสดงความกราดเกรี้ยวของเจ้าชายแห่งพิภพอสูร
นารีหน้าตาไม่พอใจดุสการต่อหน้าชิโล
“แม่ไม่เข้าใจ เราดูแลหนูชิโลยังไง ถึงปล่อยให้คุณสิมาทำร้ายจนหน้าตาเป็นแบบนี้”
“งานผมล้นมือ ต้องคอยไล่ตามเก็บกวาดปัญหาที่พวก 18 มงกุฎทิ้งเอาไว้เรี่ยราด ไม่มี เวลาดูแลหรอกครับ”
“ตาแซม !!”
นารีเข้าไปตีแขนจนเสียงดังเพี๊ยะ
“ถ้าเรื่องแค่นี้ แกยังดูแลหนูชิโลไม่ได้ แล้วต่อ ไปแม่จะไว้ใจให้แกดูแลหลานแม่ได้ยังไง”
ชิโลกับสการร้องพร้อมกัน
“หลาน !!”
“เอ่อคุณป้าคะ...คือเรื่องนั้น”
สการได้โอกาสรีบเข้ามาโอบไหล่ชิโลทำเนียนทันที ชิโลตกใจ
“ผมขอโทษครับแม่ ขอโทษด้วยนะจ๊ะชิโลจ๋า ต่อไปผมสัญญาว่าจะไม่คลาดสายตาจาก คุณ จะไม่ปล่อยให้คุณโดนคนอื่นมาทำร้ายอีก ไหนดูสิ เจ็บตรงไหนบ้าง”
“ผู้กอง...นี่จะทำอะไรของคุณ”
“อยู่เฉยๆสิจ๊ะ ดูสิแก้มก็ช้ำ ปากก็เจ็บ งั้นเดี๋ยวผมพาแฟนผมไปทำแผลนะครับแม่ ส่วนเรื่องคุณสิผมจะจัดการให้แน่นอนครับ”
“พอโดนแม่ด่าเข้าหน่อยก็รีบอ้อนแฟน แกนี่ปลิ้นปล้อนจริงๆ” นารีมองค้อน
ชิโลพยายามดันสการออก
“ฉันไม่เป็นไรแล้ว ไม่ต้องยุ่งกับฉัน”
“ไม่ได้นะชิโลจ๋า แม่เขาอุตส่าห์ตั้งความหวังไว้ว่าอยากอุ้มหลาน”
นารีเข้าไปตีมือสการที่โอบไหล่ชิโล..เพี๊ยะ
“นี่...แบบนี้ก็มากไป แม่สั่งให้ดูแล ไม่ใช่แต๊ะอั๋ง หนูชิโลเขาเป็นสาวเป็นแส่ รู้จักให้เกียรติหน่อย เอาล่ะแม่ไม่อยู่เป็น กขค แล้ว ได้เวลา สวดมนต์ก่อนนอนแล้ว ตามสบายกันนะ”
“ครับแม่”
“เดี๋ยวค่ะคุณป้า”
สการรีบหยิกเอวชิโลไว้ไม่ให้เรียกนารีกลับมา ชิโลสะดุ้งโหยง
“ครับแม่...ราตรีสวัสดิ์ครับ”
นารีหันมาอมยิ้มแล้วเดินเข้าห้องไป ชิโลหันมาหน้าวีนใส่สการ
“ผู้กอง...คุณหยิกฉันเจ็บนะ”
“หุบปาก !!” สการชี้หน้า “เธอมีเรื่องต้องเคลียร์กับฉัน”
“แต่ฉันไม่มีอะไรต้องเคลียร์กับคุณ”
ชิโลจับนิ้วชี้สการมากัดแรงๆ สการร้องจ๊ากเสียงดังลั่น
นารีกำลังนั่งสวดมนต์ก่อนนอนอยู่หน้าโต๊ะหมู่บูชา นารีสะดุ้งโหยงกับเสียงร้องครวญครางของสการ
“ชะอุ๋ย…สงสัยตาแซมจะโดนหนูชิโลเล่นงาน เฮ้อ…ปล่อยให้เป็นเรื่องของหนุ่มๆสาวๆ เขาดีกว่า เดี๋ยวตีกัน เดี๋ยวรักกัน สุดท้ายก็หัวปีท้ายปี เห็นแบบนี้มาเยอะแล้ว”
นารีอมยิ้มชอบใจก่อนจะหันมาสวดมนต์ต่อ
ชิโลวิ่งหนีสการเข้ามาที่ห้องตัวเอง ชิโลดันประตูห้องเอาไว้ สการกระแทกประตูปังๆ
“ฉันไม่มีอะไรจะเคลียร์กับคุณแล้วผู้กอง อย่ามายุ่งกับฉัน”
“เปิดประตูให้ฉันเดี๋ยวนี้นะชิโล”
“ไม่…ฉันไม่เปิดให้หรอก เดี๋ยวคุณหาเรื่องจับฉันขังคุกอีก”
“ถ้าเธอเปิดประตูให้ฉัน ฉันสัญญาว่าจะไม่จับเธอขังคุกอีก”
“ฉันไม่เชื่อคำพูดของคุณหรอก คุณน่ะชอบทำผิดศีล ตายไปเมื่อไหร่ คุณได้ตกนรกแน่”
“เธออย่ายั่วฉันนะชิโล ไม่งั้นเธอจะเสียใจ”
“ฉันไม่กลัวคำขู่คุณหรอก”
ทันใดเสียงนกแก้วอุ้มสมดังขึ้น...
“แต่เราว่าเจ้าควรจะกลัวนะชิโล ประตูแค่นั้นกันผู้กองสการไว้ไม่ได้หรอก”
ชิโลหันไปที่กรงนกแก้ว เห็นนกแก้วอุ้มสมส่งเสียงเย้ยหยัน
“อุ้มสม…เจ้าอย่าดีแต่พูด ถ้าไม่ใช่เพราะเราเชื่อแผนการรักหลอกๆของเจ้า เรื่องก็คงไม่ วุ่นวายจนเราเกือบถูกพวกอสูรจับ แถมยังโดนคุณสิเล่นงาน โดนผู้กองลวนลามอีก”
“อย่ามาโทษเราอย่างเดียวสิ เจ้าเองต่างหากที่หาเรื่องไปที่นั่นเอง นะชิโลนะ เจ้าขังเรา ไว้ในกรงแบบนี้ทั้งวันไม่ได้ ปล่อยเราเถอะ เราช่วยเจ้าจากผู้กองได้”
“ไม่ !! เราคนเดียวรับมือผู้กองได้สบาย”
“ก็ได้...งั้น...เราจะคอยดู ฮ่าๆๆๆๆ”
ชิโลแปลกใจที่นกแก้วอุ้มสมหัวเราะเย้ยหยัน ก่อนจะหันไปเห็นสการเปิดประตูเข้ามาตีหน้าโหดใส่
“ฉันทำกุญแจสำรองห้องเธอเอาไว้แล้ว เธอหนีฉันไม่ได้หรอก”
“ผู้กอง !!”
“ชิโลแย่แล้ว....ชิโลแย่แล้ว ฮ่ะๆๆๆ”
นกแก้วอุ้มสมตีปีกร้องส่งเสียงดังอยู่ในกรงอย่างเยาะเย้ยชิโล
อสุเรศนั่งลงที่เก้าอี้ตัวใหญ่ สองอสูรสมุนตามเข้ามาบีบนวดให้เจ้านาย
“พ่อข้าสั่งให้ข้านำทัพอสูรรบกับพวกเทวดา แต่ข้าไม่เห็นด้วย กี่โกฏิปีมาแล้วที่อสูรรบกับ เทวดาแล้วเอาชนะพวกมันได้”
“ไม่เคยมีสักครั้งเลยขอรับนายท่าน”
“ก็ใช่น่ะสิ ในเมื่อพวกเราไม่เคยรบชนะพวกเทวดาสักครั้ง แล้วจะดันทุรังรบกับพวกมัน ไปทำไม ข้าก็เลยเสนอแผนการที่ดีกว่าส่งข้าออกไปในสนามรบ”
“แผนการอะไรเหรอขอรับนายท่าน”
จิตราสูรถามอย่างสนใจจนเผลอบีบนวดแรงไป อสุเรศสะดุ้งเจ็บ
“เฮ้ย...เบาๆ”
“ขอโทษขอรับ”
“ข้าเสนอท่านพ่อว่าข้าจะจับตัวรัศมิชโลธร ไปกักขังไว้ที่พิภพอสูรในฐานะนางสนมของ ข้า เพื่อเป็นการหยามหน้าพวกเทวดา และใช้เป็นข้อต่อรองให้เทพบิดาของนางยอม แพ้สงครามให้กับอสูร”
จิตราสูรสีหน้าชื่นชมสุดฤทธิ์
“เป็นแผนการที่ภาษามนุษย์เรียกว่า สุดยอดของแผนชั่วเลยขอรับ นายท่าน”
“ไอ้จิตราสูร !!”
อสุเรศฉุนจัดหันมากระชากคอเสื้อจิตราสูรจนตัวลอย จิตราสูรหน้าเหวอถูกเหวี่ยงกระเด็นล้มเจ็บตัวอีกจนได้
“ปากมันน่าจับมาเลาะเขี้ยวออกให้หมด ที่กล้าเอาเจ้าชายอสูรอย่างนายท่านไปเปรียบ เทียบกับพวกมนุษย์”
“กระผมขอโทษขอรับนายท่าน กระผมเพียงแต่ชื่นชมแผนการของนายท่านจริงๆขอรับ ท่านจอมอสูรควรจะต้องเห็นด้วยกับแผนการนี้”
“ข้าก็หวังให้ท่านพ่อเห็นด้วย แต่ท่านพ่อกลับหาว่าข้าไร้ซึ่งศักดิ์ศรีของอสุรเทพ ท่านพ่อ ต้องการรบกับพวกเทวดาให้ชนะในสงคราม เลยสั่งให้ข้าเลิกยุ่งกับรัศมิชโลธร”
อัคราสูรสงสัย
“แล้วเหล่านางสนมทั้งสามของนายท่านล่ะขอรับ ทำไมถึงทำให้นายท่านหัวเสีย”
“ข้าก็แค่จะแวะไปหาพวกนาง กะว่าจะย้อมใจให้หายหงุดหงิด แต่พวกนางดันไปรู้มาว่า ข้าคิดจะพานางฟ้ากลับไปเป็นสนมเพิ่ม”
“พวกนางก็เลยแผลงฤทธิ์เป็นนางอสูร ฟ้อนเล็บใส่ท่านใช่มั้ยขอรับ”
อสุเรศหันมาจิกตาดุใส่จิตราสูรทำเอาจิตราสูรสะดุ้งโหยง
“ความหึงหวงของพวกนางไม่ทำให้ข้ารู้สึกอะไรหรอก ในเมื่อท่านพ่อมัวแต่เตรียมเรื่อง ทำสงคราม ข้าก็จะใช้โอกาสนี้กลับมาจับตัวรัศมิชโลธร กลับไปที่พิภพอสูรให้ได้ แล้ว ท่านพ่อจะต้องขอบคุณข้าภายหลังเมื่อข้า…ทำให้อสูรเอา ชนะพวกเทวดาเป็นครั้งแรก”
อสุเรศหัวเราะเสียงดังกึกก้อง แต่กลับถูกอัคราสูรถามซื่อๆ
“แล้วเราจะจับตัวรัศมิชโลธรได้ยังไงล่ะขอรับนายท่าน ในเมื่อนางยังมีแก้ววิเศษคุ้มครอง กายอยู่“
อสุเรศชะงัก
“ไอ้โง่…ข้าไม่น่าปล่อยให้พวกเจ้าทำงานกันตามลำพัง ข้ามีแผนการที่จะได้ตัว นางมาโดยที่แก้ววิเศษก็ช่วยอะไรนางไม่ได้”
“แผนอะไรเหรอขอรับนายท่าน”
อสุเรศยิ้มร้ายและหัวเราะลงลูกคอจนน่ากลัว
มณีแดนสรวง ตอนที่ 13 (ต่อ)
นกแก้วอุ้มสมส่งเสียงร้อง…แคว๊กๆๆๆ ลั่นห้อง เพราะชิโลกำลัง ถูกสการหาเรื่องเดินเข้าหา
“รีบกลับไปห้องคุณเดี๋ยวนี้เลยนะผู้กอง ไม่อย่างนั้นฉันจะร้องตะโกนเรียกคุณป้า” ชิโลขู่
“เรียกแม่ฉันเหรอ...หึๆๆ เธอก็เพิ่งได้ยินแม่ฉันบอกว่าอยากอุ้มหลาน ไม่อย่างนั้นแม่ ฉันจะไปนั่งสวดมนต์เปิดทางสะดวกให้เหรอ”
ชิโลกลืนน้ำลายเอื๊อก
“อย่านะ...งั้นฉันจะร้องเรียนเจ้านายคุณ ว่าคุณเป็นตำรวจโรคจิต วิปริต บ้ากาม ที่นี้คุณได้ไปยืนโบกรถกับจ่าเฉย เพื่อนซี้คุณแน่ ผู้กองบ้า”
“ทีอย่างนี้ล่ะคิดจะพึ่งตำรวจ ทีเวลาโดนตามล่า บอกตำรวจช่วยอะไรไม่ได้ เธอนี่มัน ปลิ้นปล้อนกะล่อนตัวแม่จริงๆ ถ้าวันนี้ฉันไม่รู้ความจริงว่าเธอเป็นใคร แล้วหนีใครมา ล่ะก็ ฉันจะไม่ยอมออกไปจากห้องนี้”
สการปรี่เข้าไป แต่ชิโลรีบถอยไปคว้ากรงนกแก้วอุ้มสมมาขู่
“อย่านะผู้กอง ถ้าคุณเข้ามาฉันจะปล่อยให้นกแก้วฉัน ไล่จิกลูกตา รุมทึ้งปาก กัดหูคุณ”
นกแก้วอุ้มสมโวยวาย
“แคว๊กๆๆ เป็นนกแก้ว ไม่ใช่หมาบ้า”
สการหัวเราะลั่น
“ฮ่ะๆๆๆ ฉันว่านกแก้วเธอไม่เต็มใจจะช่วยเธอแล้ว”
ชิโลหน้าตึง
“ผู้กอง !! หึ...คุณอย่าประเมินความสามารถของนกแก้วฉันต่ำไปนักเลยผู้กอง เมื่อไหร่ที่ ฉันตกอยู่ในอันตราย นกแก้วของฉันทำได้ทุกอย่างเพื่อช่วยฉัน...จัดการ !!”
ชิโลเปิดกรงแต่นกแก้วอุ้มสมไม่ยอมออกจากกรง กลับได้ยินเสียงผิวปากฮัมเพลงไม่สนใจ ชิโลผงะ สการส่ายหน้า
“แม้แต่สัตว์เลี้ยงเชื่องๆยังไม่สนใจช่วยเธอแบบนี้ เธอโดนฉันสอบปากคำแบบถึงลูกถึง คนแน่ !!”
ชิโลหน้าเสียรีบปล่อยกรงนกแก้วแล้ววิ่งตาตั้งหนีไปที่ห้องนอน สการรีบตาม นกแก้วอุ้มสมร้อง...แคว๊กๆๆๆ
ชิโลวิ่งหนีสการมาที่ห้องนอนแต่หนีไม่ทัน โดนสการตามมาจับแขนแล้วจับบิดไขว้หลังอย่าง ชำนาญแบบตำรวจจับผู้ร้ายเอาไว้
“โอ๊ย…ฉันเจ็บ ปล่อยฉันนะ แขนจะหักแล้ว”
“อยู่เฉยๆ อย่าดิ้น ยิ่งดิ้นฉันก็ต้องยิ่งออกแรงกับเธอ”
“ฉันเกลียดคุณ…คนใจยักษ์ ใจมาร คุณมันเป็นพวกอสูร ไม่ใช่มนุษย์”
“ถ้าฉันเป็นยักษ์เป็นอสูร แล้วเธอล่ะ เธอก็ไม่ใช่นางฟ้าแสนดีอย่างที่เธอเพ้อเจ้ออยากจะ เป็นหรอก ผู้หญิงอย่างเธอต้องเจออย่างฉันถึงจะสมน้ำสมเนื้อ…ยัย 18 มงกุฎ”
สการออกแรงบิดแขนชิโลจนชิโลร้องเจ็บลั่น
“บอกฉันมา พวกที่บุกไปก่อเรื่องที่สำนักงานตำรวจเป็นลูกน้องใคร เธอเกี่ยวข้องกับพวก มันยังไง เป็นแกงค์เดียวกันใช่มั้ย”
“โอ๊ย…ฉันเจ็บ ฉันเกลียดคุณ…ผู้กองสการ…ฉันเกลียดคุณ !!”
ชิโลเจ็บจนน้ำตาเล็ดและร้องไห้สะอื้น...ฮือๆๆอย่างน่าสงสาร สการพอเห็นน้ำตาของชิโลก็ชะงักลืมตัวที่เผลอ ออกแรงกับชิโลมากเกินไป
“ชิโล”
ชิโลสะอื้น
“ฉันอยากกลับบ้าน…ไม่อยากอยู่บนโลกมนุษย์อีกแล้ว…ฮือๆๆ”
สการรีบปล่อยมือจากชิโลด้วยความเป็นห่วงทันที
“ชิโล…ฉันขอโทษ…ฉัน…”
สการไม่ทันขอโทษจบ อุ้มสมโผล่มาข้างหลังพร้อมกับกระทะอันเบ้อเริ่มฟาดเข้าที่ท้ายทอยของสการทันที..ผัวะ!! สการชะงักกึกก่อนจะร่วงผลอยหมดสติลงไปกองกับพื้น
“เป็นยังไงบ้างชิโล”
สการในสภาพหมดสติ ถูกอุ้มสมพยุงมาทิ้งตัวให้นอนลงที่โซฟา อุ้มสมค้นที่ตัวเขาจนเจอกุญแจมือ
“เจอของดีแล้วชิโล จับล็อคเอาไว้ก่อน เผื่อรู้สึกตัวขึ้นมาจะได้ไม่โดนเอาคืน”
อุ้มสมจัดการล็อคข้อมือข้างหนึ่งของสการ ที่ไม่ได้ใส่เฝือกอ่อนไว้กับขาเก้าอี้
“เอาล่ะ อย่างน้อยคืนนี้ผู้กองก็หมดสิทธิ์เล่นงานเจ้า อโหสิให้เราด้วยนะผู้กอง เราไม่ได้ ชอบความรุนแรง แต่จำเป็น”
“อโหสิเหรอ...เจ้ามนุษย์หน้ายักษ์ใจอสูร เล่นของสูงทำร้ายร่างกายนางฟ้าอย่างเรา อย่าคิดว่า จะได้นอนหลับสบายเลย”
ชิโลโกรธ ปรี่เข้าไปจะเอาคืนสการแต่อุ้มสมรีบรวบตัวกอดเอวรั้งเอาไว้
“เดี๋ยวชิโล…เจ้าจะทำอะไร ไม่ได้นะ แค่นี้ผู้กองก็โดนเราจัดหนักไปพอแล้ว”
“ปล่อยเรานะอุ้มสม เราไม่ยอมให้เขาทำเราเจ็บฝ่ายเดียว เราต้องเอาคืน”
“แต่เจ้าเป็นนางฟ้า ถ้าเจ้าปล่อยให้โทสะโมหะสั่งให้เจ้าทำร้ายผู้อื่น เจ้าก็จะไม่ต่างอะไร กับพวกมนุษย์ที่มีแต่กิเลศหยาบ”
“ถ้าเป็นนางฟ้าแล้วต้องถูกมนุษย์อย่างเขากลั่นแกล้ง เราก็ไม่อยากเป็นนางฟ้าอีกแล้ว ไหนๆก็หาทางกลับสวรรค์ไม่ได้ ขอเป็นมนุษย์จองเวรจองกรรมกับผู้กองบ้าคนนี้ซะเลย”
ชิโลแกะมืออุ้มสมออกแล้วปรี่ไปถึงตัวสการเงื้อมือจะตบหน้าสักที แต่ทันใดนั้นแก้ววิเศษที่สวมคออยู่ก็เปล่งแสง เรืองรอง ชิโลชะงักกึก อุ้มสมยืนข้างหลังชิโลเลยไม่เห็นว่าแก้ววิเศษส่องแสง
“มีอะไรเหรอชิโล”
ชิโลรีบเอามือกุมสร้อยเอาไว้ไม่ให้อุ้มสมเห็นว่าแก้ววิเศษส่องแสง
“เปล่า !!”
“เจ้าเปลี่ยนใจไม่แก้แค้นผู้กองแล้วเหรอ”
“เอ่อ...เรา”
“ดีแล้วล่ะ เจ้าไม่ควรทำอย่างที่พูดไปเมื่อกี้ เจ้าสวมสร้อยที่มีแก้วสัตตพิธรัตนะอยู่ คำพูด ใดที่ออกจากปากนางฟ้าอย่างเจ้าถือเป็นคำสัตย์ ไม่ต่างจากคำอธิษฐานต่อหน้าพระ มหาเจดีย์จุฬามณี”
ชิโลถึงกับอึ้งหน้าเสียมือกำแก้ววิเศษไว้แน่น
“จริงเหรออุ้มสม”
“จริงสิ เราว่า…คืนนี้ปล่อยให้ผู้กองอยู่อย่างนี้ไปก่อน พรุ่งนี้เรากับเจ้าควรต้องรีบเร่ง ไปเคลียร์เรื่องคุณสิริสุดากับผู้กองดรัณ อย่าให้คาราคาซัง ไม่อย่างนั้นเจ้าได้เป็น มนุษย์ติดอยู่บนโลกกับผู้กองสการสมคำอธิษฐานของเจ้าแน่”
อุ้มสมพูดไปก็หาวคำโตแล้วเดินไปเข้าห้องนอน ชิโลหันมาที่สการหน้านิ่ว หน้าตึงใจคอไม่ดี มือที่กำแก้ววิเศษเอาไว้ค่อยๆคลายออกนึกว่าแสงสว่างจะหาย แต่แก้ววิเศษยังส่องแสงกระพริบออกมาอีก ชิโลรีบเอามือกำไว้อีกอย่างตกใจ แล้วตบปากตัวเอง
“ไม่น่าปากดีเลยเรา ถ้าต้องกลายเป็นมนุษย์ อยู่จองเวรจองกรรมกับเขาไปจนแก่จน เฒ่าจริงๆขึ้นมาล่ะก็…ฮือๆๆ…ชิโลแย่แล้ว” ชิโลคิดแล้วสะดุ้ง
วันใหม่บ้าน... เสียงร้องโวยวายของสิริสุดาดังลั่นบ้าน
“ออกไป…ไม่ต้องมายุ่งกับฉัน บอกให้ออกไปให้หมด”
คนใช้ถูกสิริสุดาทั้งเหวี่ยงทั้งปาข้าวของใส่ จนตกใจกระเจิงวิ่งออกมาจากห้องนอน ทองทิวเข้ามาถาม
“มีอะไรกัน พวกแกไปทำอะไรให้ลูกสาวฉันอารมณ์เสียแต่เช้า”
“เอ่อ…พวกเราเปล่านะคะคุณท่าน กองถ่ายโทรมาตามให้คุณสิไปถ่ายแบบ แต่ไม่ ทราบคุณสิเป็นอะไร อารมณ์เสียใส่พวกเราทุกคน”
ทองทิวคิ้วขมวดสงสัยโบกมือไล่พวกคนใช้ออกไป ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องหาลูกสาว
ทองทิวเข้ามาเห็นสภาพห้องรกเละ หมอน ตุ๊กตาเกลื่อน ส่วนสิริสุดาก็เอาแต่นอนฟุบหน้ากับหมอนบนเตียง
“สิ..นี่ป๋านะลูก”
สิริสุดารีบเงยหน้าขึ้นจากหมอนแล้วหันมาหน้าตาแทบดูไม่จืด เพราะมาสคาร่าเลอะเต็มหน้า แถมขนตาก็หลุด ไปข้าง เอียงเฉอีกข้าง ทองทิวเห็นเข้าก็ตกใจ
“เฮ้ย !! แกเป็นใครวะ เอาลูกสาวฉันไปซ่อนไว้ที่ไหน”
สิริสุดาโกรธ
“คุณป๋า !!…คุณป๋าหายไปทั้งคืน ไม่อยู่ปลอบใจสิเวลาที่สิต้องการ แล้วคุณป๋า ยังมาว่าสิอีกเหรอ...ไปเลย ออกไป ไปๆๆ สิไม่อยากเห็นหน้าคุณป๋าอีก ฮือๆๆๆ”
“คุณป๋าขอโทษคร้าบ คุณป๋าแค่ตกใจนิดเดียว ก็คุณป๋าไม่เคยเห็นลูกสาวคนสวยปล่อย เนื้อปล่อยตัว ให้ยับเยินเหมือนโดนรถสิบล้อบดขยี้แบบนี้มาก่อน”
“ยังมาพูดอีก สิโกรธ สิงอน สิน้อยใจ...ฮือๆๆๆ”
“เอาล่ะๆ บอกมาซิว่าใครทำให้ลูกสาวป๋าอารมณ์ไม่ดี เดี๋ยวป๋าไปจัดการให้เอง”
“หึ...คุณป๋าอย่าเอานิสัยสัญญาว่าจะให้มาใช้กับสิ คราวก่อนก็บอกจะจัดการให้ แต่สิ ก็ไม่เห็นคุณป๋าทำอะไรสักอย่าง นังนั่นมันก็ยังลอยหน้าลอยตามาทำให้สิเสียหน้า”
“นังนั่น…นังนั่นไหน”
“คุณป๋า !! ก็นังบ้าที่...”
สิริสุดาไม่ทันจะพูดจบสาโรจน์ก็เข้ามาขัดจังหวะพอดี
“นายครับ”
“มีอะไร” ทองทิวหันไปถาม
“เรื่องด่วนครับนาย”
“คุณป๋า...เรื่องด่วนของคุณป๋าไว้ก่อนได้มั้ยคะ เรื่องของสิสำคัญกว่า”
ทองทิวนิ่งไปมองสาโรจน์ที่สีหน้าดูมีเรื่องสำคัญมากจริงๆ
“ขอพ่อคุยกับลูกน้องแป๊บเดียวนะสิ”
“คุณป๋า !!”
ทองทิวเดินไปคุยกับสาโรจน์เบาๆไม่ให้สิริสุดาได้ยิน
“ผมขอโทษครับ ผมต้องรีบมาบอกนายเพราะเป็นไปอย่างที่นายคิดเอาไว้จริงๆ พวก ตำรวจใช้ข้อมูลที่ได้จากสายของมัน เตรียมตัวบุกเราแล้ว”
ทองทิวหน้านิ่วจริงจังขึ้นมาทันที
“ฉันจะสั่งการเอง บอกให้ทุกคนเตรียมพร้อมไว้”
สาโรจน์รับคำแล้วเดินออกไป สิริสุดาหน้าตึงปั่นปึ่งเข้ามาทันที
“คุณป๋า !! ไหนคุณป๋าบอกจะจัดการทุกอย่างให้สิ แล้วนี่อะไร ไม่ทันไรคุณป๋าก็จะออก ไปอีกแล้ว”
“ป๋ามีงานสำคัญที่ต้องรีบไปสะสาง ไว้ป๋าเสร็จธุระแล้ว ป๋าจะรีบกลับมา”
“งานๆๆๆๆ ทั้งปี ไม่ต้องแล้วค่ะ ถ้าคุณป๋าเห็นเรื่องงานสำคัญกว่า คุณป๋าก็ไป เลย..ไปยุ่งกับงานของป๋า สิไม่ต้องการคุณป๋าแล้ว”
สิริสุดากระฟัดกระเฟียดดันทองทิวออกไปจากห้องแล้วปิดประตูใส่...โครม !!
“อย่างอแงสิลูก สิ...ฟังป๋าบ้าง...สิ”
สิริสุดาไม่ฟังเอามืออุดหูหน้างอกระเง้ากระงอด
ทองทิวหัวเสียเดินออกมาพบกับสาโรจน์ที่รออยู่
“ท่าทางคุณหนูจะไม่พอใจนายมาก”
“ก็เอาแต่ใจแบบนี้มาตลอด เพิ่มวงเงินบัตรเครดิตให้ เดี๋ยวก็อารมณ์ดี ตอนนี้รีบจัดการ เรื่องสำคัญก่อน ฉันจะสั่งสอนพวกมันให้รู้ว่า อย่าได้คิดกระตุกหนวดเสืออย่างฉันอีก”
รถของทองทิวขับเข้ามาจอดรับที่หน้าบ้าน สาโรจน์เปิดประตูให้แล้วพากันออกไป
คล้อยหลังรถทองทิวออกไปได้ไม่นาน รถของมัดหมี่ก็ขับเข้ามาจอดที่หน้าบ้าน มัดหมี่ลงจากรถมากับเอิงเอย เจอคนใช้ที่ออกมาพอดี
“คุณสิล่ะ” เอิงเอยถาม
“ยังไม่ยอมออกมาจากห้องตั้งแต่เมื่อคืนเลยค่ะ เมื่อครู่คุณท่านยังโดนไล่ออกมาเลย”
“งั้นปล่อยให้เป็นหน้าที่ฉันเอง” มัดหมี่บอก
“ขนาดฉันเป็นเพื่อนสนิทกับยัยสิ ยังเอาไม่อยู่ แล้วเธอมีวิธีอะไรถึงมั่นใจนัก”
มัดหมี่ปรายหางตามองอย่างเหยียดๆ
“ฉันเป็นใคร เธอลืมแล้วเหรอ” มัดหมี่เชิดสุดฤทธิ์ “ ฉัน..มัดหมี่ นักข่าวสาวลีลา...จี๊ดดดดถึงใจ มีเรื่องจี๊ดๆที่ไหน มีมัดหมี่ที่นั่น...ชิ”
มัดหมี่สะบัดบ๊อบเดินเข้าบ้าน เอิงเอยมองตามอย่างหมั่นไส้
อุ้มสมถึงกับตกใจเมื่อชิโลบอกแผนการที่วางเอาไว้ให้ฟัง
“ว่าไงนะ…จะให้เรากลายร่างเป็นนกแก้วต่อหน้าคุณสิริสุดาน่ะเหรอ”
“ใช่…เราเตรียมกระปุกพริกไทยเอามาแล้วด้วยนะ” ชิโลชูกระปุกให้ดู “รับรองว่าเจ้าฮัดเช้ย เสียงดังฟังชัดแน่นอน”
อุ้มสมส่ายหน้า
“แต่นั่นไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่ท่านพ่อของเจ้าส่งให้เจ้าลงมาที่โลกมนุษย์”
“เรารู้ว่ามันไม่ถูกต้อง แต่เราไม่มีวิธีอื่นแล้วที่จะทำให้คุณสิริสุดาเชื่อว่าเราเป็นนางฟ้า ไม่ใช่นางกากีที่มาแย่งแฟนเขา”
อุ้มสมนิ่งไปกอดอกหน้านิ่วบ่น
“ยิ่งอยู่บนโลกมนุษย์นานๆ ยิ่งเรียนรู้กลโกงของพวกมนุษย์ มากขึ้นไปทุกวัน”
“เอาน่า…เขาเรียกพลิกแพลงหาทางแก้ไขต่างหาก หรือว่าที่เจ้าไม่เห็นด้วยเพราะเจ้า ติดใจเมล็ดฟักทองในโลกมนุษย์ เลยไม่อยากกลับสวรรค์”
อุ้มสมหันขวับมาทันที
“ก็ได้ๆ ในเมื่อไม่มีทางเลือกก็ตกลงทำตามแผนของเจ้า”
“ดี..งั้นเราเรียกแท็กซี่ไปหาคุณสิริสุดากันเลย”
ชิโลกับอุ้มสมกำลังจะออกไปแต่พากันชะงัก เมื่อเจอนารียืนมองสองคนและได้ยินว่าทั้งคู่จะไปหาสิริสุดา
“จะไปหาสิริสุดากันเหรอ” นารีถาม
“คุณป้า !!” ชิโลตกใจ
สการรู้สึกตัวมึนตึบปวดหัว เพราะระบมที่โดนอุ้มสมฟาดด้วยกระทะ
“อู้ยยย...ยัยตัวแสบ เล่นเอามึนตึบเลย”
สการตาปรือเรียกสติก่อนจะหันไปเห็นกระทะที่วางทิ้งไว้บนโต๊ะ เห็นเป็นรอยบุ๋มรูปหัวสการอย่างชัดๆ
“เฮ้ย !! ชิโล...ฉันไม่ปล่อยเธอไว้แน่”
สการหุนหันลุกพรวดแต่ติดแขนข้างที่โดนล็อคกุญแจไว้ สการเจ็บใจหน้าแดงเถือกด้วยความโกรธ
“กุญแจ...กุญแจอยู่ไหน”
สการหันรีหันขวางเห็นลูกกุญแจที่ไว้ไขกุญแจมือวางอยู่บนโต๊ะห่างจากเขาไม่เท่าไหร่ แต่ต้องใช้ความพยายาม เอื้อมไปหยิบ สการขยับไม่ถนัดเพราะมืออีกข้างยังใส่เฝือกอ่อนอยู่ เลยจำเป็นต้องเอาแกะเฝือกออกเพราะแขน เริ่มกลับมาใช้การได้แล้ว แต่ระหว่างนั้นมือถือในกระเป๋ากางเกงดังขึ้นอีก สการเลยต้องรับสายก่อน
“ว่าไงคุณตรีชฎา..ไอ้ดรัณออกไปปฏิบัติการแล้วเหรอ ผมจะรีบไปเดี๋ยวนี้ ขอบคุณมาก”
สการวางสายแล้วหันมาพยายามเอื้อมมือไปหยิบลูกกุญแจสุดฤทธิ์….อึ๊บบบบบบ
นารียืนยันจริงจังกับชิโลที่หน้าคอนโด
“ถ้าหนูชิโลยืนยันว่าต้องการไปคุยเพื่อเคลียร์ปัญหา ป้าก็จะไปด้วย”
“เอ่อ…ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณป้า ชิโลจัดการเองได้ เกรงใจคุณป้าน่ะค่ะ” ชิโลบอกอย่างไม่สบายใจ
“จะต้องเกรงใจทำไม หนูชิโลก็เหมือนลูกสาวป้าคนนึง มีผู้ใหญ่อยู่ด้วยจะได้คุยกันง่าย”
อุ้มสมบ่น
“จะวุ่นวายกว่าเดิมมากกว่าน่ะสิ”
ชิโลแอบหยิกอุ้มสม
“เอ่อ…คุณป้าคะ…คือ...”
ระหว่างนั้นมีแท็กซี่ขับเข้ามาส่งคนที่หน้าตึกพอดี นารีหันไปเห็น
“รถแท็กซี่มาพอดีเลย ไปกันเถอะจ้ะ เคลียร์ให้จบกันไป ป้าอยากเห็นหนูชิโลสบายใจ”
นารีเดินเรียกรถแท็กซี่เอาไว้ ชิโลหันหน้ายุ่งๆกับอุ้มสม”
“เอาไงดีล่ะอุ้มสม”
“ภาษามนุษย์ว่าต้องตามน้ำไปก่อน ถึงที่แล้วค่อยว่ากัน”
ชิโลถอนหายใจเฮือกใหญ่
มัดหมี่กับเอิงเอยถูกสิริสุดาไล่ตะเพิดออกมาจากห้อง
“ออกไป..ฉันไม่อยากเห็นหน้าใครทั้งนั้น บอกให้ออกไป”
มัดหมี่พยายามพูดดี
“ใจเย็นๆสิคะคุณสิ...คุณปล่อยให้ตัวเองอยู่ในสภาพแบบนี้ แล้วมันจะมีประโยชน์อะไร ถ้านังกากีนั่นมันรู้ว่าคุณเป็นแบบนี้ ฉันว่ามันคงนั่งหัวเราะเยาะคุณ สมเพชคุณ”
“หุบปาก ไม่ต้องมาหลอกด่าฉัน แล้วก็อย่าพูดถึงมันให้ฉันได้ยิน ฉันเกลียดมัน”
“จะไม่ให้ฉันพูดถึงมันเพื่อให้คุณสบายใจ ฉันทำได้ค่ะ แต่นั่นไม่ได้ช่วยทำให้คุณแก้แค้น มันได้ แล้วก็ไม่ได้ช่วยให้ทั้งคุณและฉันแย่งเอาของรักคืน คิดดูเอาแล้วกันนะคะว่าจะ จมอยู่กับแผลเป็นที่มันกรีดใส่คุณ หรือจะลุกขึ้นมาหาทางเล่นงานมันเอาให้จี๊ดถึงใจ”
มัดหมี่พูดทิ้งให้สิริสุดาคิดก่อนจะเดินเชิดหน้าออกไปจากห้อง เอิงเอยเป็นห่วงเพื่อน
“แก...ที่นังจี๊ดๆนั่นพูดมามันก็น่าฟังนะ”
“ออกไป”
เอิงเอยสะดุ้งโหยงรีบตามมัดหมี่ออกไป สิริสุดาปิดประตูใส่ดัง..ปัง !! ก่อนจะถอยมานั่งที่โต๊ะเครื่องแป้ง แล้วมองหน้าตัวเองในกระจกบานใหญ่ สิริสุดาเห็นหน้าตัวเองที่เลอะเทอะเพราะคราบน้ำตา ดูไม่จืด นึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา....
สิริสุดาโวยวายใส่ดรัณ...
‘ไม่ !! สิไม่กลับ เรื่องอะไรที่ผู้หญิงดีพร้อมทั้งหน้าตา สติปัญญา แล้วก็ชาติตระกูล อย่างสิ จะต้องยอมแพ้ให้นังกากีอย่างนังนั่น’
‘ใช่..อย่างน้อยเพื่อนฉันก็ไม่บ้าผู้ชายถึงขนาดมาอ่อยตำรวจทั้งโรงพักอย่างนังนั่น’
‘แล้วสิก็ไม่เคยยุให้เพื่อนรักต้องมาแตกคอกันอย่างนังนั่นด้วย’
‘ใช่ !!’
สิริสุดากับเอิงเอยหันมาตีมือไฮไฟว์...เยส ด่านังชิโลได้อย่างสะใจ ดรัณบอกอย่างไม่พอใจ...
‘แต่คุณวางยาหลอกผม ร้องห่มร้องไห้เล่นละครน้ำเน่า แถมยังเอาตัวเข้าแลก ยั่วยวนให้ ผมคิดว่ามีอะไรกับคุณ ขอแค่ต้องการเอาชนะ นี่น่ะเหรอที่คุณบอกว่าคุณมีดีกว่าชิโล’
สิริสุดาถึงกับผงะ
‘ ดรัณ ! คุณ...คุณดูถูกสิ’
สิริสุดาปรี่เข้าไปตบหน้าดรัณทันที...เพี๊ยะ !! ดรัณหน้าหันแต่นิ่งไม่แสดงอารมณ์ก่อนจะหันมาอย่างเย็นชา
เมื่อนึกแล้ว...สิริสุดาเกิดแรงฮึด กำมือจิกเล็บแน่นแล้วเดินไปเปิดประตูห้อง เห็นมัดหมี่กับเอิงเอยที่ยังยืนรออยู่
“เธอจะช่วยฉันได้ยังไงบอกฉันมาสิยัยมัดหมี่”
มัดหมี่ยิ้ม
“ไม่ใช่ฉันหรอกค่ะที่จะช่วยคุณ แต่ฉันมีที่ปรึกษาฝีมือดีที่จะช่วยเราต่างหาก”
“ที่ปรึกษา ?”
“มัดหมี่ใช่ค่ะ ที่ปรึกษาทางด้านจิตวิญญาณ งานนี้ถ้าไม่ได้เล่ห์ก็ต้องเอาด้วยกล ถ้าไม่ได้ด้วย กลก็ต้องมนต์แล้วล่ะค่ะ ลองไปฟังเขาหน่อย รับรองคุณจะจี๊ดถึงใจ”
สิริสุดากับเอิงเอยหันมามองหน้ากันอย่างแปลกใจ...อะไรคือที่ปรึกษาทางด้านจิตวิญญาณ
ริมถนนแห่งหนึ่ง รถแท็กซี่ที่ชิโล นารีและอุ้มสมนั่งมาจอดเปิดฝากระโปรงรถคันโขมงเพราะเสียอยู่ข้างทาง คนขับยืนงงเกาหัว
“อะไรวะ...รถเพิ่งเช็คเครื่องมาไม่ถึงวัน อยู่ๆมาเสียได้ไงวะเนี่ย”
คนขับยืนงงดูเครื่องรถตัวเองแล้วไม่รู้จะเอายังไง ชิโลเข้ามาถามสงสัย
“ไปต่อไม่ได้เลยเหรอคะ”
“ครับ ต้องขอโทษด้วย พวกคุณคงต้องเรียกคันใหม่”
คนขับพูดไม่ทันขาดคำ แท็กซี่คันหนึ่งก็ขับเข้ามาจอดเอี๊ยดใกล้ๆ
“หนูชิโลจ๊ะ แท็กซี่มาพอดีเลย”
นารีหยิบแบงค์ร้อยออกมาแล้วจ่ายให้คนขับแท็กซี่
“ค่าเสียเวลาจ้ะ”
“ขอบคุณมากครับคุณนาย ขอให้เดินทางปลอดภัยครับ”
นารียิ้มรับแล้วพาชิโลกับอุ้มสมไปขึ้นรถแท็กซี่ที่เพิ่งเข้ามาจอดแล้วพากันออกไป ในรถแท็กซี่คนขับลองสตาร์ทเครื่องใหม่อีกที เสียงเครื่องยนต์ติดทำงานได้เป็นปกติ ทำเอาคนขับแท็กซี่งง
“อ้าว...เครื่องติดแล้วนี่หว่า อะไรวะเนี่ย”
รถแท็กซี่วิ่งไปตามถนนที่ตัวรถถูกปกคลุมไปด้วยหมอกควันสีดำน่ากลัว ในรถที่เบาะหลังชิโลนั่งกลางระหว่างอุ้มสมกับนารี อุ้มสมรู้สึกแปลกๆ พูดเบาๆ
“ชิโล...รู้สึกว่าบรรยากาศในรถมัน...มันอึดอัดยังไงก็ไม่รู้”
“จะไม่อึดอัดได้ยังไง ก็มานั่งเบียดกันอยู่ข้างหลังเนี่ย ทำไมถึงไม่ไปนั่งข้างหน้า”
“ก็...ก็เรารู้สึกว่าคนขับรถดูท่าทางไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไหร่”
ชิโลคิ้วขมวดสงสัยมองไปที่คนขับซึ่งสวมชุดดำ ใส่แว่นดำ ดูน่าเกรงขาม ซึ่งมันก็คืออัคราสูรนั่นเอง นารีพูดด้วยเบาๆ
“อย่าเพิ่งมองคนอื่นแต่ภายนอกสิจ๊ะอุ้มสม” นารีหันไปคุยกับคนขับ “พ่อหนุ่มจ้ะ เดี๋ยวเลี้ยวซ้ายขึ้นทาง ด่วนเลยนะ ตรงไปรถมันจะติด”
อัคราสูรไม่สนใจขับตรงแน่วไปอย่างเดียว
“อ้าว...ฉันบอกให้เลี้ยวแล้วทำไมไม่เลี้ยวล่ะ”
อัคราสูรไม่สนใจ กลับยิ่งเหยียบคันเร่งให้รถพุ่งไปเร็วขึ้นจนรถกระชากแรง
“ว๊ายยยย...นี่..พ่อหนุ่ม ขับช้าๆหน่อยหัวใจฉันจะวาย”
“ชิโล...เราว่าชักจะทะแม่งๆแล้วล่ะ” อุ้มสมพูดเบาๆ
ชิโลเองก็เริ่มสงสัยระหว่างนั้นเองที่แก้วสัตตพิธรัตนะเรืองแสงขึ้นมาเหมือนต้องการเตือน ชิโลเห็นก็ตกใจ
“แย่แล้วอุ้มสม แก้ววิเศษเตือนเราว่ามีพวกอสูรอยู่ใกล้ๆ”
“ไหน...มันอยู่ไหน...พวกอสูรอยู่ที่ไหน”
อัคราสูรหุวเราะ
“หึๆๆ...ฮ่าๆๆ”
เสียงหัวเราะต่ำๆแต่กังวานไปทั่วรถทำให้ชิโลกับอุ้มสมถึงกับอึ้ง อัคราสูรถอดแว่นดำออกเห็นดวงตาแดงก่ำชัดๆ
ชิโลกับอุ้มสมร้องพร้อมกัน
“แย่แล้ว !!”
รถแท็กซี่วิ่งส่ายไปมาบนถนนอย่างน่าหวาดเสียว ในรถชิโลกับอุ้มสมช่วยกันรุมทิ้งดึงหัว บีบคอ เขย่าอัคราสูรจนวุ่นวายเสียงดังลั่นไปทั้งรถ
“หยุดรถนะ บอกให้หยุด นี่แน๊ะๆๆๆ” ชิโลสั่ง
อุ้มสมโวยวาย
“คิดจะจับพวกเราไปเหรอ ฝันไปเถอะไอ้อสูรหน้าโง่ นี่แน๊ะๆๆๆ”
นารีร้องอย่างตกใจ
“หนูชิโล หยุด...หยุดเถอะ ป้าหัวใจจะวาย”
“โอ๊ยยยย...รำคาญโว้ย”
อัคราสูรโดนทั้งบีบคอรุมทึ้งหัว เลยทำให้ขับรถฉวัดเฉวียนหมุนเคว้งไปมาจนต้องเหยียบเบรคเสียงดัง...เอี๊ยดดด เพราะมีรถผ่านมาตัดขวางตรงหน้า ทุกคนในรถร้องเสียงดังลั่น...กรี๊ดดดดดดดด
รถแท็กซี่ชนท้ายเข้ากับรถยนต์คันหนึ่ง ประตูหลังรถเปิดออกอุ้มสมพาชิโลกับนารีวิ่งหนีออกมา
“รีบหนีเร็วชิโล”
ทั้งหมดพากันวิ่งหนีสุดฤทธิ์ อัคราสูรเปิดประตูออกมาหน้าโชกไปด้วยเลือดและมีเศษกระจกทิ่มเต็ม
“รัศมิชโลธร...คิดว่าจะหนีพ้นงั้นเหรอ”อัคราสูรจะตามแต่ถูกเจ้าของรถมาขวาง
“เฮ้ย...ชนแล้วจะหนีเหรอวะ”
อัคราสูรหันมาตาขวางใส่แล้วจับบีบคอยกคนขับขึ้นจนตัวลอย คนขับดิ้นทุรนทุรายแล้วโดนหักคอดัง...กร่อบ!!
คนขับรถร่วงมาตายคาที่ ใบหน้าของอัคราสูรที่มีแต่รอยเลือดและเศษกระจกทิ่มเต็มหน้า ค่อยๆ กลับมาเหมือนเดิมในพริบตา
มณีแดนสรวง ตอนที่ 14
อุ้มสมวิ่งนำเข้ามาในเขตก่อสร้างแห่งหนึ่งเพื่อหาที่ซ่อนตัว ชิโลตามมาทีหลังพร้อมนารี
“ทางนี้เลยชิโล...ตามมาเร็ว”
ชิโลเป็นห่วงนารี
“เร็วค่ะคุณป้า เราต้องหาที่หลบไม่ให้พวกมันตามเจอ”
“แต่ป้าว่าเราน่าจะโทรแจ้งตำรวจนะหนูชิโล”
“ตำรวจช่วยไม่ได้หรอกค่ะ บนโลกนี้ไม่มีมนุษย์คนไหนรับมือพวกมันได้”
นารีงง
“หนูหมายความว่ายังไง มันเป็นใคร ทำไมหนูชิโลกับอุ้มสมถึงได้กลัวมันนัก”
“ชิโลยังอธิบายให้คุณป้าฟังตอนนี้ไม่ได้ ไว้ชิโลพาคุณป้าหนีพวกมันพ้น ชิโลจะเล่าให้ฟัง”
ทันใดเสียงอสุเรศดังขึ้น
“คิดว่าเจ้าจะหนีข้าพ้นเหรอรัศมิชโลธร”
ชิโลชะงักหันขวับไปเห็นอสุเรศก้าวเข้ามาท่าทางน่าเกรงขาม
“อสุเรศ !!”
อสุเรศจ้องเขม็งที่ชิโลสายตากร้าวเอาเรื่อง นารียืนงุนงงไม่เข้าใจ
อุ้มสมวิ่งหน้าตั้งจนเหนื่อยหอบแฮ่กๆ
“หาที่หลบพวกมันแถวนี้ก่อนแล้วกันนะชิโล ตั้งหลักได้แล้วค่อยใช้แก้ววิเศษจัดการไล่ ตะเพิดพวกมัน”
อุ้มสมพูดไปแต่หันมาแล้วไม่เจอชิโลกับนารี
“ชิโล...ชิโล...อยู่ไหน...ชิโล”
อุ้มสมหน้าเสีย จะวิ่งกลับไปแต่ต้องชะงักเมื่อเจอจิตราสูรก้าวเข้ามายืนขวางทาง
“ไอ้นกแก้วปากเก่ง วันนี้เอ็งเสร็จข้าแน่...ฮ่าๆๆๆ”
“ไอ้จิตราสูร อสูรฉันต่ำอย่างเจ้ากล้ามาลองดีกับเทพบุตรอย่างข้า รนหาเรื่องเจ็บตัวแล้ว”
“ฮ่าๆๆ เทพบุตรตกสวรรค์อย่างเจ้าจะทำอะไรข้าได้ จะใช้จงอยปากจิกข้างั้นเหรอ มาเลย ข้ากำลังคันอยู่พอดี แต่คันแถวๆนี้นะ” จิตราสูรชี้ที่เท้า แล้วหัวเราะลั่น
อุ้มสมเจ็บใจ
“ไอ้อสูร !! ข้าไม่ต้องเป็นนกแก้วข้าก็จัดการเจ้าได้”
อุ้มสมกำหมัดแน่นแล้วปรี่เข้าไปชกเปรี้ยงเข้าที่หน้าจิตราสูรทันที......ก๊อง !! เสียงเหมือนหมัดอุ้มสมชกเข้ากับแท่งเหล็กแข็งๆ จิตราสูรไม่สะดุ้งสะเทือน แต่อุ้มสมร้องจ๊ากเจ็บมือ
“ฮ่าๆๆๆ ข้าเตือนเจ้าแล้วไง สมน้ำหน้า”
“ซี้ดดด...อู้ยยย..ก็ได้ ข้ายอมเจ้าแล้ว”
“ว่าง่ายๆแบบนี้แหละดีข้าจะได้ไม่เหนื่อย”
จิตราสูรเข้ามาใกล้ อุ้มสมได้ทีกำทรายที่พื้นขึ้นมาแล้วสาดใส่หน้ามันทันที จิตราสูรร้องแสบตามองไม่เห็น อุ้มสมรีบวิ่งเข้าไปถีบตูดมันกระเด็นจนหัวทิ่มลงไปในถังแกลลอนน้ำมัน กลิ้งเป็นลูกขนุนแถมยังติดอยู่ในถังดึง ตัวออกมาไม่ได้ร้องโวยวาย
“ไอ้นกแก้วอุ้มสม ข้าออกไปได้ข้าจะกระทืบเจ้าให้จมปฐพี”
“เจ้าอสูรขี้คุย อย่าลืมไปตามพรรคพวกเจ้ามาด้วยล่ะ”
อุ้มสมหัวเราะเยาะใส่ก่อนจะหันขวับมาเจออัคราสูรยืนแสยะยิ้มเขี้ยวโง้ง อุ้มสมกลืนน้ำลายเอื๊อก..เหวอ
อสุเรศก้าวเข้ามาใกล้ ชิโลรีบดันให้นารีหลบไปอยู่ข้างหลังตัวเองเพื่อปกป้อง
“อย่านะอสุเรศ ถ้าเจ้าคิดจะทำอะไรเราล่ะก็ เจ้าได้เจอเราสั่งสอนแน่”
“นี่เจ้าขู่ข้าแล้วเหรอ ข้านึกว่าเสียงกระซิบบอกรักข้าซะอีก หึๆๆ นางฟ้าคนสวยจ๊ะช่วย ขู่อีกทีได้มั้ย ข้าอยากขนลุกขนพองเพราะคำขู่เจ้า ฮ่าๆๆๆ”
ชิโลโดนยั่วโมโหถึงกับอารมณ์พุ่งปรี๊ดๆ
“โกรธ...โกรธๆๆๆๆๆ”
นารีงงหนัก
“ชิโล หมอนั่นเป็นใคร”
อสุเรศหันมาตวาด
“หุบปากเจ้าไปซะเจ้ามนุษย์ตัวจ้อย กล้าดียังไงมาจิกหัวเรียกข้าเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกับเจ้า ข้าอยู่สูงกว่าเจ้านัก”
นารีตบอก
“ตายแล้ว ! ฉันไม่รู้หรอกนะว่าเธอหลุดมาจากคณะลิเกโรงไหน แต่พูดจาไม่รู้ จักเคารพผู้หลักผู้ใหญ่แบบนี้ อยากรู้นักเชียวว่าพ่อแม่เป็นใครถึงไม่สั่งไม่สอน”
“นั่นเจ้าด่าลามไปถึงพ่อข้าด้วยเหรอ ไม่รู้ซะแล้วว่าพ่อข้าเป็นใคร”
“ปกติฉันไม่เคยปากร้ายกับใคร แต่ถ้าเลี้ยงลูกแล้วไม่รู้จักสั่งสอนให้เป็นคนดี ในฐานะที่ เคยเป็นครูจะเรียกมาอบรม”
อสุเรศยิ่งโกรธจัด ชิโลตกใจรีบปรามนารี
“คุณป้าคะ...พอเถอะค่ะ คุณป้าไปอบรมพ่อเขาไม่ได้หรอก” ชิโลเตือน
“ได้สิ รัฐมนตรีกระทรวงใหญ่ๆที่เป็นลูกศิษย์ป้าก็เคยโดนไม้เรียวป้ามาแล้วทั้งนั้น”
“แต่พ่อหมอนั่นไม่ใช่มนุษย์อย่างป้านะคะ”
“ไม่ใช่มนุษย์...แล้วเป็นอะไร”
นารีหันมาถามชิโลเลยหันหลังให้อสุเรศ ชิโลเห็นอสุเรศแล้วตกใจ นารีสงสัยเลยหันไป...เหวอ...อึ้ง อสุเรศร่างขยายสูงใหญ่มากกว่า 3 เมตร ดวงตาแดงก่ำ เขี้ยวโง้งออกจากมุมปาก
“พวกมันเป็นอสูรค่ะคุณป้า”
“อะ...อะ....อสูร...คร่อก”
นารีถึงกับหมดสติร่วงพล่อย ชิโลรีบประครอง
“คุณป้า...คุณป้าคะ”
อสุเรศหัวเราะเสียงดึงกังวาน
“ฮ่าๆๆ พวกมนุษย์ ช่างน่าสมเพชซะเหลือเกิน”
ชิโลเงยหน้าขึ้นมองอสุเรศที่ร่างใหญ่โตน่ากลัว ด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธสุดๆ
ในเซฟเฮ้าส์ของทองทิว ดรัณนำทีมตำรวจชุดปฏิบัติการพร้อมอาวุธครบมือบุกเข้ามา ตำรวจชุดปฏิบัติการแยกย้ายกันไปตามห้องต่างๆ ส่วนดรัณกับตำรวจอีกคนนึงเข้าไปตรวจดูห้องหนึ่งที่ชั้นล่าง ดรัณพยักหน้าให้ตำรวจในหน่วยเปิดประตูเข้าไปก่อนจะบุกพร้อมกันอย่างรวดเร็ว
ในห้องดรัณพบเด็กสาว 2-3 คนถูกจับมัดเอาไว้ด้วยโซ่และใส่กุญแจเอาไว้อย่างแน่นหนา ทุกคนมีผ้าปิดปาก ดรัณกวาดปืนสำรวจไปทั่วห้องไม่พบว่ามีอะไรผิดปกติเลยลดปืนลงจะเข้าไปช่วยเด็กสาวพวกนั้น แต่ตำรวจอีก ชุดที่ไปค้นห้องอื่นรีบเข้ามารายงาน
“ผู้กอง แย่แล้วครับ เราต้องรีบถอนกำลังออกจากที่นี่”
“มีอะไร”
ดรัณตามตำรวจในชุดปฏิบัติการเข้ามาที่ห้องหนึ่ง สิ่งที่ดรัณเห็นตรงหน้าคือระเบิดเวลาที่ถูกตั้งเวลาเอาไว้ เวลากำลังนับถอยหลังไปเรื่อยๆ ซึ่งเหลืออีกเพียงแค่ไม่ถึง 20 นาที
“เวรแล้วไง...ไอ้บัดซบเอ้ย พวกมันขุดหลุมดักพวกเราไว้”
ทันใดเสียงสการดังขึ้น
“อย่ามัวแต่บ่นให้เสียเวลาเลย แกรีบสั่งทุกคนให้ออกไปจากที่นี่ เดี๋ยวนี้เลย”
“ไอ้แซม นี่แกมาที่นี่ได้ไงวะ”
“ฉันเป็นห่วงแกก็เลยตามมาช่วย อย่าเสียเวลาเลย รีบไปจากที่นี่เถอะ”
“ไม่ได้เว้ย มีเด็กผู้หญิงถูกจับล่ามโซ่เอาไว้ กว่าจะช่วยปลดออกได้” ดรัณหันไปมองระเบิด “ไม่ทันแน่”
“งั้นแกก็พาทุกคนออกไป ฉันจะจัดการระเบิดนี่เอง”
“เฮ้ย...แกอย่าหาเรื่องน่าไอ้แซม ถึงแกจะเคยถูกส่งไปอบรมวิธีกู้ระเบิดมา แต่แกก็ยัง ไม่เคยเจอของจริง”
“ก็นี่ไง วันนี้ได้เจอของจริงแล้ว จะได้รู้ว่าฉันไม่ได้ใช้เงินภาษีไปโดยเปล่าประโยชน์”
ตำรวจรีบตัดบท
“เอ่อ...ผู้กองครับ เวลามัน...มันวิ่งไปเรื่อยๆแล้วนะครับ”
“สั่งกำลังทุกคนออกไปจากที่นี่ ผมกับผู้กองสการจะกู้ระเบิดอยู่ที่นี่ด้วยกัน”
“ไอ้ดรัณ !!”
ดรัณไม่ยอมปล่อยให้สการอยู่คนเดียว มองหน้าเพื่อนอย่างขึงขังจริงจัง
เสียงหัวเราะกึกก้องดังกังวานของอสุเรศยังทับถมชิโล ร่างใหญ่ยักษ์ของมันขยับเข้ามาจ้องหน้า
“ท่าทางของเจ้าดูจะโกรธข้ามากซะเหลือเกิน ทั้งๆที่ข้ายังไม่ทันทำอะไรมนุษย์แก่หนัง เหี่ยวนั่นสักนิด หรือว่าเจ้าคิดถึงบ้านมากจนทนไม่ไหว เลยต้องเหมาเอามนุษย์ที่ต่ำ ต้อยกว่ามาแก้ขัดแทนที่แม่ของเจ้า”
“มนุษย์ไม่ได้ต่ำต้อยอย่างที่เจ้าดูถูก !! อย่างน้อยมนุษย์คนนี้ก็ยังมีจิตบริสุทธิ์ และสูงส่ง กว่าอสูรเลวๆอย่างเจ้านัก อสุเรศ!!”
“เจ้ากำลังจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบข้า ยังกล้าปากดีอีกเหรอรัศมิชโลธร”
“เจ้านั่นแหละที่จะต้องโดนเราสั่งสอน คราวนี้เราจะไม่ปราณีเจ้าอีก แก้ววิเศษของเราจะ จัดการกับเจ้า ให้เจ็บปวดยิ่งกว่าแผลแรกบนหน้าเจ้าอีก”
ชิโลเอามือกำแก้วสัตตพิธรัตนะ แต่ยังไม่ทันทำอะไร อสุเรศก็คืนร่างกลับเป็นร่างแบบมนุษย์เหมือนเดิม
“แก้ววิเศษของเจ้าอาจจะช่วยปกป้องเจ้าจากพวกข้าได้ แต่เจ้าอย่าลืมว่าแก้วนั่นไม่ได้ ช่วยปกป้องเพื่อนเจ้า !!”
อสุเรศยิ้มร้ายอย่างมีเล่ห์เหลี่ยม ก่อนจะให้อัคราสูรและจิตราสูรพาตัวอุ้มสมเข้ามา
“ชิโล…ใช้แก้ววิเศษจัดการกับพวกมัน ไม่ต้องห่วงเรา”
“อุ้มสม !!” ชิโลตกใจ
“ไงล่ะรัศมิชโลธร ชักช้าอยู่ทำไม อยากเล่นงานข้านักไม่ใช่เหรอ แต่บอกไว้ก่อนนะ ถ้าเจ้าทำข้าเจ็บแม้แต่นิดเดียว สมุนของข้าก็จะจับนกแก้วปากมากตัวนี้หักคอทันที”
“ไม่ต้องไปฟังมันชิโล จัดการพวกมันเถอะ”
จิตราสูรรำคาญเลยชกเข้าที่ท้องหนักๆทีเดียวอุ้มสมสะดุ้งเฮือก...จุก
“นอกจากจะหักคอเจ้าแล้ว ข้านี่แหละจะจับเจ้ามากินเป็นอาหารค่ำ เนื้อเทพบุตรตก สวรรค์อย่างเจ้าคงจะหวานกว่าเนื้อมนุษย์นัก ฮ่าๆๆๆ”
“ปล่อยเพื่อนเรานะอสุเรศ”
“จะให้ข้าปล่อยเพื่อนเจ้า ข้าทำให้ได้ไม่มีปัญหา แต่นั่นต้องมีข้อแลกเปลี่ยน...เจ้าก็รู้ดีว่า ข้าต้องการอะไร”
“ข้าไม่มีวันยอมเป็นเมียอสูรหน้าบากอย่างเจ้า ไม่มีวัน !!”
“เดี๋ยวก็รู้ว่าเจ้าจะปากแข็งอย่างที่พูดรึเปล่า ข้าจะรอที่คฤหาสน์ของข้านะว่าที่เมียที่รัก จุ๊บๆๆ อ้อ...แล้วก็อย่าหวังว่าพี่สาวเจ้าจะตามลงมาช่วยได้เหมือนทุกครั้ง เพราะตอนนี้ บนสวรรค์กำลังวุ่นวายอยู่กับการเตรียมตัวทำศึกกับพวกข้าอยู่ ไม่มีใครมีเวลาว่างมา สนใจเจ้าหรอก นางฟ้าตกสวรรค์ ฮ่าๆๆๆ”
อสุเรศหายตัววับไปพร้อมกับสมุนและอุ้มสม ชิโลตกใจมาก
สการกับดรัณหน้าสิ่วหน้าขวาน สถานการณ์ตึงเครียดอยู่กับระเบิดเวลาที่เวลากำลังนับถอยหลังไปเรื่อยๆ สการค่อยๆถอดฝาครอบกล่องระเบิดออก ข้างในมีวงจรไฟฟ้าดูยุ่งๆยากๆ เขาพยายามมองหาวิธีที่จะกู้ระเบิด
“ดรัณ ตอนนี้ยังพอมีเวลา แกรีบออกไปเถอะ ถ้าฉันพลาดขึ้นมา แกจะได้ไม่เละเป็นชิ้นๆ”
สการสั่งด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“แกก็อย่าพลาดสิวะ”
“แต่ไอ้วงจรระเบิดแบบนี้”
ดรัณหน้าเครียด
“ทำไมวะ”
“ไม่ได้อยู่ในหลักสูตรที่ฉันไปอบรมมา”
ดรัณตกใจเข้าไปคว้าคอเสื้อสการทันที
“ไอ้เวรเอ้ย ไหนเมื่อกี้แกบอกว่าทำได้ไง”
“ฉันแค่ไม่แน่ใจเว้ย แค่อยากให้แกออกไปก็แค่นั้น แต่แกดันทะลึ่งดื้อด้านจะอยู่กับฉัน”
ดรัณชะงักอึ้งไม่คิดว่าเพื่อนจะห่วง
“ไอ้แซม”
“คราวนี้ฉันพูดจริง ซีเรียสเลย โอกาสมีแค่ 50-50 ถ้าแกไม่อยากเสี่ยงก็รีบไป ถ้าฉันทำ พลาดขึ้นมาจะได้มีคนที่ฉันไว้ใจฝากให้ช่วยดูแลแม่ฉันได้”
ดรัณนิ่งไปหน้าเครียดก่อนจะตัดสินใจ
“ไม่...แกนั่นแหละที่ต้องไป ฉันจะอยู่เสี่ยงเอง”
สการหงุดหงิดกระชากคอเสื้อเพื่อนทันที
“โธ่เว้ย...แกอย่ามาอยากเป็นฮีโร่เอาตอนที่มันหน้า สิ่วหน้าขวานแบบนี้ได้มั้ยวะ”
ดรัณกระชากคอเสื้อกลับเหมือนกัน
“ไม่ได้อยากเป็นฮีโร่เว้ย แต่แกเป็นทั้งเพื่อนรักของฉัน เป็นทั้งผู้ชายที่คุณชิโลรัก ถ้าแกเป็นอะไรไป ฉันไม่อยากเห็นคุณชิโลเสียใจ”
สการมองเพื่อนอย่างอึ้งๆ
ภายในห้องเกิดแสงสว่างวาบ ชิโลปรากฏตัวขึ้นมือกำแก้วสัตตพิธรัตนะเอาไว้ อาศัยอิทธิฤทธิ์ของแก้ววิเศษ ประครองนารีที่หมดสติพากลับมาให้นอนลงบนโซฟา
นารีปลอดภัยแล้วไม่เป็นอะไร แค่ยังหมดสติอยู่เท่านั้น ชิโลมองออกไปนอกห้องเห็นท้องฟ้ามืดครึ้ม มีเมฆดำแผ่ กระจายเต็มท้องฟ้า บรรยากาศเต็มไปด้วยความน่ากลัว อสุเรศประกาศก้อง...
‘เดี๋ยวก็รู้ว่าเจ้าจะปากแข็งอย่างที่พูดรึเปล่า ข้าจะรอที่คฤหาสน์ของข้านะว่าที่เมียที่รัก จุ๊บๆๆ อ้อ...แล้วก็อย่าหวังว่าพี่สาวเจ้าจะตามลงมาช่วยได้เหมือนทุกครั้ง เพราะตอนนี้ บนสวรรค์กำลังวุ่นวายอยู่กับการเตรียมตัวทำศึกกับพวกข้าอยู่ ไม่มีใครมีเวลาว่างมา สนใจเจ้าหรอก นางฟ้าตกสวรรค์ ฮ่าๆๆๆ’
ชิโลเต็มไปด้วยความหนักใจ แล้วตัดสินใจกำแก้วสัตตพิธรัตนะเอาไว้แล้วอธิฐานหายตัวไป
สการกับดรัณยังหน้าสิ่วหน้าขวานเพราะเวลาลดลงไปเรื่อยๆ สการดูแผงวงจรแล้วเลือกสายไฟไม่ถูก
“ว่าไงวะ ต้องตัดสายเส้นไหน ระเบิดมันถึงจะหยุดทำงาน” ดรัณถาม
“ไม่แน่ใจว่ะ”
“ฉันดูในหนังส่วนใหญ่ตัดสายสีแดง”
“แต่นี่มันไม่มีสีแดง มันสีเขียวกับสีน้ำเงิน”
ดรัณอึ้งเหวอ
“โธ่เว้ย...ไอ้ทองทิว รอดออกไปได้ล่ะก็ จะลากคอมันยัดตะรางให้ได้”
สการมองสายไฟตรงหน้าแล้วเครียดไม่รู้จะเอายังไงดี คิดจะตัดสีเขียวก็ไม่แน่ใจย้ายมาสีน้ำเงิน พอจะตัดสีน้ำ เงินก็เปลี่ยนใจมาสีเขียว ดรัณลุ้นตัวโก่งอยู่ข้างๆจนทนไม่ไหว
“เว้ยยยย...แกจะทำอะไรก็ทำสักอย่างเถอะวะ อย่าให้ลุ้นมากได้มั้ย มันปวดฉี่”
“นี่มันความเป็นความตายนะเว้ย ฉันต้องแน่ใจก่อนสิวะ”
“เสี่ยง 50-50 แบบนี้ ยังต้องแน่ใจอะไรอีก”
“ก็ได้...งั้นตัดเลย”
สการเอาคีมไปง้างรอตัดที่สายสีน้ำเงิน ดรัณหลับตาปี๋ลุ้นมากๆๆๆๆๆ แต่อยู่ๆสการก็ไม่ตัดหันมาถาม
“ไอ้ดรัณ ก่อนฉันจะตัดสินใจ ฉันอยากบอกให้แกรู้บางอย่าง”
“อะไรของแกอีกวะ เวลาไม่เหลือแล้วนะเว้ย”
“ฉันกับชิโลไม่ได้เป็นแฟนกันจริงๆ ฉันร่วมมือเล่นละครตามที่เธอขอมา เพราะเธอต้อง การให้แกกลับไปคืนดีกับคุณสิ”
ดรัณอึ้ง
“ห๊ะ..แกว่าไงนะ คุณชิโลเขาเกลียดฉันถึงขนาดนั้นเลยเหรอ”
“เขาไม่ได้เกลียดแกหรอก แต่ที่เขาทำทุกอย่างก็เพื่อต้องการกลับบ้าน ก็สวรรค์ที่เขาพูด ถึงบ่อยๆนั่นแหละ”
“แต่แกเป็นเพื่อนฉันนะไอ้แซม ทำไมแกไม่ปฏิเสธ แกก็รู้นี่หว่าว่าฉันชอบคุณชิโล”
“เพราะฉันเป็นเพื่อนซี้แกไงถึงสมรู้ร่วมคิดกับชิโล เพราะฉันรู้ว่าที่จริงแล้วแกยังรักคุณ สิริสุดา และชาตินี้แกก็จะไม่มีวันลืมคุณสิด้วย ฉันถึงไม่อยากเห็นแกทำให้ชิโลเสียใจ”
ดรัณนิ่งไปเพราะคำพูดของเพื่อนรัก ทิ่มแทงใจดำอย่างแรง
“ฉันก็ดูแกออกเหมือนกัน แกหลงรักคุณชิโล แกถึงร่วมมือกันเพื่อกันท่าฉัน”
สการชะงักไปครู่ก่อนจะปฏิเสธ
“ฉันไม่ได้หลงรักชิโล”
“แกไม่ต้องมาโกหก เวลาแบบนี้ควรต้องพูดความจริง”
ดรัณหันไปมองเวลาที่เหลือแค่ 3 นาที
“คนอย่างแกไม่เคยฟังเสียงหัวใจตัวเอง คิดแต่เรื่องของความถูกต้องอย่างเดียว ถ้าแก ยอมรับว่าหลงรักคุณชิโล ฉันจะยอมหลีกทางให้”
สการดูเวลาที่นับถอยหลังไปอย่างรวดเร็วเหลือ 2 นาที
“ว่าไงล่ะ ไอ้แซม ถ้าเสียงหัวใจแกสั่งให้บอกว่ารัก แกก็แค่พูดออกมาว่ารัก มันไม่เห็น จะคิดยาก พูดยากตรงไหน”
สการหน้านิ่วคิ้วขมวด ภาพของชิโลในเหตุการณ์ต่างๆผุดเข้ามา ตั้งแต่วันที่เจอกัน
“เวลาที่ระเบิดเหลืออยู่แค่ 20 วินาที สการตัดสินใจอย่างหนัก
“ฉันไม่เคยได้ยินเสียงหัวใจตัวเอง”
พูดจบสการก็ตัดสินใจใช้คีมตัดสายสีน้ำเงิน...ฉับ !! ทันเวลากับที่นาฬิกาหยุดเดินที่เลข 5 พอดี ดรัณหลับตาปี๋เพราะลุ้นจนตัวโก่ง สการโล่งอก
“สำเร็จแล้วว่ะไอ้ดรัณ...ฉันหยุดระเบิดได้”
“โอ้ย...เล่นเอาใจหายใจคว่ำ”
แต่ดรัณพูดไม่ทันขาดคำ เวลาบนหน้าจอกลับนับถอยหลังต่อ
“เฮ้ย...แกตัดสายผิดแล้วไอ้แซม”
สการกับดรัณพากันอึ้งเหวอตกใจได้แต่มองหน้ากันตาปริบๆจะวิ่งหนีก็ไม่ทัน...เพราะเวลานับเหลือ 3...2...1
ในร้านอาหารหรู...ขวดแชมเปญในมือทองทิวถูกเปิด...!!!
ทองทิวอยู่กลางงานเลี้ยงมอบรางวัลนักธุรกิจดีเด่นประจำปี 2011 ของสภาอุตสาหกรรม นักข่าวเข้ามารุมถ่ายรูป ประธานสภาฯเอาโล่รางวัลมามอบให้แล้วประกาศ
“ผมขอแสดงความยินดีด้วยนะครับคุณทองทิว รางวัลนักธุรกิจยอดเยี่ยมแห่งปีปีนี้ ไม่มีใครทำคะแนนแซงคุณได้เลยสักคน”
“ขอบคุณมากครับ”
ทองทิวรับรางวัลมาแล้วยิ้มรับกับพวกนักข่าว เต๊ะท่าฉีกยิ้มถ่ายรูปกันสุดฤทธิ์
หน้าเซฟเฮ้าส์ผู้การดำเกิง เดินทางมาด้วยอาการรีบร้อนเป็นห่วงถามหาสการกับดรัณจากตำรวจในหน่วย
“ผู้กองสการกับผู้กองดรัณล่ะ”
“ผู้กองดรัณอยู่นั่นครับ”
ตำรวจในหน่วยชี้ไปที่ดรัณซึ่งนั่งสูดยาดม....ปื้ดดดดยาว เรียกสติตัวเองสุดฤทธิ์ มีตำรวจลูกน้องเอาพัดมา ช่วยพัดให้ได้รับอากาศเต็มที่ด้วย
“แล้วผู้กองสการล่ะ”
สการเข้ามา
“ผมปลอดภัยดีครับผู้การ”
“ผู้กอง...ตกลงว่าคุณกู้ระเบิดได้เหรอ”
“ระเบิดอันนี้น่ะเหรอครับ”
สการชูระเบิดเวลาขึ้นมาแล้วโยนเล่น ผู้การดำเกิงถึงกับผงะตกใจกระโดดหลบเหยงๆ
“คุณเอามาโยนเล่นแบบนี้ได้ยังไง เดี๋ยวก็พลาดตกลงมาตูมตามหรอก”
“มันไม่ระเบิดหรอกครับผู้การ เพราะไอ้นี่เป็นระเบิดปลอม”
ผู้การดำเกิงแปลกใจ
“ระเบิดปลอม?”
“ครับ...ฝีมือของนายทองทิว มันจงใจสร้างสถานการณ์ปั่นหัวให้พวกเรารู้ว่า ยังไงเรา ก็ไม่มีทางเล่นงานมันได้ และเราก็ไม่ใช่คู่ปรับที่มันควรต้องกลัว”
“ไอ้ทองทิว !!..มิน่าล่ะ ตอนนี้มันถึงโผล่ไปรับรางวัลนักธุรกิจดีเด่น แถมยังจะประกาศ เรื่องสำคัญอีก”
“เรื่องอะไรครับ”
ดำเกิงมองหน้าสการอย่างหนักใจ
ที่โต๊ะอาหารทองทิว ยังถูกนักข่าวรุมถ่ายรูปและสัมภาษณ์พร้อมโล่รางวัล
“ยินดีด้วยกับรางวัลนะคะคุณทองทิว” นักข่าวบอกอย่างชื่นชม
“ขอบคุณมากครับ”
“ตอนนี้คุณก็ได้ชื่อว่าเป็นนักธุรกิจที่บริหารงานได้เก่งที่สุดคนนึงของประเทศแล้ว ดิฉัน อยากทราบว่าข่าวลือที่คุณคิดจะลงเล่นการเมืองเท็จจริงเป็นยังไงคะ”
ทองทิวยิ้มรับกับนักข่าวแล้วหยุดนิดหนึ่ง เพราะมองผ่านพวกนักข่าวไปเห็นสการกับผู้การดำเกิงเดินเข้ามา สองคน จ้องเขม็งมาที่ทองทิวอย่างไม่พอใจ ทองทิวยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์และร้ายกาจแล้วพูดกับนักข่าวต่อ
“ตลอดชีวิตของผม ผมทำงานหนักเพื่อดูแลลูกน้อง และเพื่อลูกสาวที่ผมรัก วันนี้เมื่อ ผมประสบความสำเร็จ ผมก็อยากใช้ความรู้และประสบการณ์ของผม ช่วยพัฒนา ประเทศให้เจริญยิ่งขึ้นครับ”
ทองทิวให้สัมภาษณ์เสร็จพวกนักข่าวรุมถ่ายรูปกันจนแสงแฟลชวูบวาบ พร้อมเสียงคำถามที่ตามมาไม่หยุด
“คุณทองทิวจะเริ่มจากการเมืองระดับไหนคะ ระดับประเทศเลยรึเปล่า”
“เลือกพรรคการเมืองที่จะร่วมงานด้วยหรือยังคะ หรือว่าจะตั้งพรรคเอง”
ทองทิวยิ้ม
“เรื่องนั้นไว้ผมจะแถลงทีหลัง ตอนนี้เอาเป็นว่าผมพร้อมแล้ว ขอตัวไปทักทายเพื่อนก่อน นะครับ”
สาโรจน์กับการ์ดกันพวกนักข่าว ให้ทองทิวเดินไปหาสการกับผู้การดำเกิง
ทองทิวเดินกร่างเข้ามาหาสการกับผู้การดำเกิง...
“ผู้การดำเกิง ผู้กองสการ ไม่ทราบว่าพวกคุณจะมาร่วมแสดงความยินดีกับผมด้วย ผมจะได้ให้ลูกน้องต้อนรับเป็นพิเศษ”
“ไม่ต้องหรอกครับ ผมเป็นข้าราชการมาทำงานตามหน้าที่ เราไม่รับอะไรจากผู้อื่น เพราะนั่นถือเป็นส่วนนึงของการคอรัปชั่น”
“ทองทิวน่าชื่นชมดีนะครับ ไว้ผมได้เข้าไปทำงานการเมืองเต็มตัวเมื่อไหร่ ผมจะสนับสนุนคนดี อย่างผู้การเต็มที่”
สการฟังแล้วหงุดหงิดชักสีหน้าไม่พอใจขยับจะเข้าไปใกล้ แต่ดำเกิงยกมือปรามไว้”
“ไม่ต้องสนับสนุนผมหรอกครับ ถึงอายุราชการผมอาจจะเหลืออีกไม่เท่าไหร่ แต่ผมจะ สนับสนุนคนดีมีฝีมือให้ขึ้นมาไล่ล่าพวกอาชญากร ไม่ยอมให้มันขึ้นมามีอำนาจเด็ดขาด”
ดำเกิงจ้องหน้าทองทิวอย่างเอาเรื่อง ทองทิวจ้องตอบอย่างไม่กลัวเกรง
“ผู้กอง...คุณมีของขวัญจะมาแสดงความยินดีกับคุณทองทิวไม่ใช่เหรอ”
“ครับผู้การ”
สการเดินเข้าไปหาทองทิวพร้อมกล่องของขวัญแบบมีฝาเปิด ทองทิวมองอย่างไม่แน่ใจแต่ก็รับไว้เพื่อไม่ให้ผิด สังเกตต่อหน้าสาธารณะชน
“ยินดีด้วยนะครับสำหรับรางวัลที่ทำให้คุณดูดีขึ้นกว่าเดิม แต่ผมฝากไว้นิดนึง ก่อนที่คิด จะพัฒนาประเทศให้เจริญ คุณควรจะพัฒนาจิตใจตัวเองก่อน”
ทองทิวชักสีหน้าไม่พอใจ สาโรจน์จะเข้าไปเอาเรื่อง ทองทิวยกมือปราม สการกับผู้การดำเกิงมองทองทิวก่อนจะพากันออกไป ทองทิวมองตามอย่างหงุดหงิดแล้วเปิดกล่องของขวัญ ออก พอเห็นของข้างในก็ตกใจผงะ เพราะเป็นระเบิดปลอมที่สการเพิ่งกู้ไป แต่สการตั้งเวลาให้เดินถอยหลัง
“เฮ้ย !!”
ทองทิวรีบโยนกล่องระเบิดให้สาโรจน์รับไป สาโรจน์ดูแล้วรีบบอกนาย
“ไม่ต้องตกใจครับนาย มันคืนระเบิดปลอมที่เราใช้เล่นงานมัน…”
แต่สาโรจน์พูดไม่ทันขาดคำ เวลาที่นับถอยหลังอยู่ก็หมดลง…เสียงตี๊ดๆๆดังขึ้นก่อนจะมีระเบิดน้ำหมึกพุ่งขึ้น มาใส่หน้าสาโรจน์เต็มๆ…
สาโรจน์หน้าเต็มไปด้วยหมึกสีดำเลอะสุดๆ ทองทิวเห็นเข้าก็กำหมัด ขบกรามแน่นเจ็บใจ
“ผู้กองสการ !”
ค่ำคืนนั้น...หน้าคฤหาสน์อสูรบรรยากาศน่ากลัววังเวงสุดๆ ชิโลปรากฏกายก้าวเข้ามาสีหน้าจริงจังไม่รู้สึกหวั่นกลัวบรรยากาศ อัคราสูรค่อยเดินเข้ามาหน้าตาดุดันใส่
“มาแล้วรึรัศมิชโลธร เจ้าให้นายข้ารอนานๆแบบนี้ นายข้ายิ่งอารมณ์ไม่ดี ยิ่งต้องหาเรื่อง สนุกๆทำแก้เซ็ง”
“อย่าคิดว่าพวกเจ้าได้ตัวอุ้มสมไว้แล้วจะมีสิทธิ์มาชี้นิ้วสั่งข้าได้ทุกอย่าง”
จิตราสูรโผล่เข้ามา
“สมแล้วที่เจ้าเป็นนางฟ้าผู้เย่อหยิ่ง ขนาดไม่มีทางเลือกต้องมาเหยียบย่ำ อยู่ในถิ่นของอสูร แต่เจ้าก็ยังปากเก่งจองหอง”
ทั้งจิตราสูรและอัคราสูรพากันเดินลงน้ำหนักเท้าดัง พื้นสะเทือนเข้าใกล้ ชิโลรีบเอามือกุมสร้อยไว้
“อสูรหางแถวอย่างพวกเจ้าอยากลองดีกับข้าก็เข้ามา”
อัคราสูรหยุด
“หึๆๆ เราไม่ได้อยากลองดีหรอก แค่อยากจะพาเจ้าเข้าไปพบนายข้า”
“เจ้าได้รู้ว่าตอนนี้นายข้าเล่นสนุกอะไรอยู่”
จิตราสูรพูดไปก็เอาขนนกแก้วขึ้นมาโบกไปมายั่วโมโหชิโล
“นั่น…นั่นพวกเจ้าทำอะไรอุ้มสม”
จิตราสูรสุภาษิตมนุษย์เขาเรียกว่าอะไรนะ เชือดไก่ให้ลิงดู แต่ที่นี่ไม่มีไก่ก็เลยเปลี่ยนเป็น เชือดนกแก้วแทนไง ฮ่าๆๆๆ
“อุ้มสม !!”
ชิโลตะลึงงัน
มณีแดนสรวง ตอนที่ 14 (ต่อ)
ชิโลรีบเข้ามาในคฤหาสน์ด้วยความเป็นห่วงอุ้มสม
“อุ้มสม…อุ้มสม เจ้าอยู่ไหน เรามาช่วยเจ้าแล้ว”
ชิโลพยายามมองหาแต่ไม่เห็นเพื่อนรัก อัคราสูรตามเข้ามาพร้อมกับเสียงประตูปิด...ปัง !! หญิงสาวสะดุ้งตกใจหันไปเห็นอัคราสูรยืนเฝ้าประตูเอาไว้
“เจ้าก้าวเข้ามาในคฤหาสน์ของนายท่านแล้ว เจ้าจะไม่มีวันได้กลับออกไปอีก”
อสุเรศก้าวเข้ามา
“หึๆๆ แต่จะมีเพียงประตูเดียวเจ้าสามารถผ่านไปได้..นั่น !! ประตูที่ข้า จะพาเจ้าเปิดไปสู่พิภพอสูร เจ้าจะต้องไปเป็นเมียของข้าที่นั่นชั่วกัปชั่วกัลป์”
ชิโลหันไปตามนิ้วที่อสุเรศชี้ไปยังประตูบานใหญ่ ที่เชื่อมระหว่างโลกมนุษย์กับพิภพอสูร ชิโลเจ็บใจ
“อุ้มสมอยู่ไหน...พวกเจ้าทำอะไรเพื่อนเรา”
“ชิโล !!”
ชิโลหันไปตามเสียงหันไปเห็นจิตราสูรจับตัวอุ้มสมเข้ามา
“อุ้มสม !! พวกเจ้าหลอกเรา”
อสุเรศยิ้มเยาะ
“อย่าเรียกว่าหลอกเลยรัศมิชโลธร เราก็แค่อยากรู้ว่าเจ้าจะห่วงเพื่อนมากจนถึงขนาด ยอมเอาตัวเข้าแลกได้รึไม่ต่างหาก”
อุ้มสมร้องบอก
“อย่าไปฟังมันชิโล...เจ้าไม่ควรมาช่วยเรา ปล่อยให้มันจัดการเราไป ดีกว่ายอมให้มันพา เจ้าไปพิภพอสูร”
“แต่เราต้องช่วยเจ้า กี่ครั้งแล้วที่เราถูกท่านพ่อลงโทษ แต่เจ้าก็ไม่เคยทิ้งเรา แล้วเราจะทิ้ง เจ้าได้ยังไง”
“ฮ่าๆๆ น้ำใจของเทพบุตรกับเทพนารีช่างน่าชื่นชมซะเหลือเกิน ในเมื่อเจ้าพร้อมช่วย เพื่อนแล้ว ก็อย่าเสียเวลา รีบๆทำลายแก้วสัตตพิธรัตนะซะ...รัศมิชโลธร”
ชิโลชะงักมองสร้อยที่คออย่างหนักใจ แก้วสัตตพิธรัตนะส่องแสงเรืองรอง
ณ อาคารเทพธิดาตาทิพย์ ทาวเวอร์...ภายในโถงของอาคารนั้น มัดหมี่พาสิริสุดากับเอิงเอยเข้ามาเจอผู้คนต่อคิวจากเคาท์เตอร์ประชาสัมพันธ์เป็นแถวยาว
ประชาสัมพันธ์มีไมโครโฟนแบบเหน็บหูคอยจัดคิวให้ลูกค้า ที่มาต่อคิว สิริสุดาสงสัย
“ยัยมัดหมี่ นี่เธอพาฉันที่ไหนเนี่ย ทำไมคนถึงได้เยอะแยะต่อแถวยาวเป็นร้านสุกี้แบบนี้”
“ก็บอกแล้วไงว่าฉันจะพาเธอมาพบกับที่ปรึกษาทางด้านจิตวิญญาณของฉัน”
เอิงเอยรำคาญ
“ไม่ต้องเรียกให้ยากฟังแล้วงงหรอก จะพามาหาหมอดูก็แค่นั้นแหละ”
มัดหมี่ไม่พอใจ
“ระวังคำพูดหล่อนหน่อยนะยัยเอิง ของอย่างนี้ถ้าหล่อนไม่เชื่อก็อย่าหลบหลู่ ที่ปรึกษาของฉันถ้าไม่จี๊ดถึงใจจริงๆ ไม่มีคนมาเข้าคิวรอพบแถวยาวแบบนี้หรอก..ชิ”
มัดหมี่สะบัดบ๊อบใส่แล้วแซงคิวยาวๆไปหาประชาสัมพันธ์
“ฉันคุณมัดหมี่ นัดกับเทพธิดาตาทิพย์ไว้ เช็คชื่อฉันในลิสต์ของ VIP”
ประชาสัมพันธ์เช็ครายชื่อจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่ได้บันทึกนัดเอาไว้ เอิงเอยนึกๆ
“เทพธิดาตาทิพย์...อ๋อ...ฉันนึกออกแล้วยัยสิ มิน่าทำไมถึงได้คุ้นๆชื่อ”
“ใครเหรอแก”
เอิงเอยไม่ทันจะตอบมัดหมี่ก็เดินเข้ามา
“เทพธิดาตาทิพย์ให้เราเข้าพบแล้ว ตามฉันมา”
มัดหมี่พาสองสาวเดินตามประชาสัมพันธ์ที่มาเปิดช่องทาง VIP เป็นพิเศษให้ไปพบกับเทพธิดาตาทิพย์ พวกชาว บ้านที่เข้าแถวรอต่างพากันส่งเสียงโวยวายเซ็งแซ่ที่โดนแซงคิว
สิริสุดากับเอิงเอยเดินซุบซิบคุยกันระหว่างตามมัดหมี่กับประชาสัมพันธ์ มาที่ห้องทำงานของเทพธิดาตาทิพย์
“อะไรนะ หมอดูชื่อดังที่รับดูดวงทางโทรศัพท์น่ะเหรอ” สิริสุดาพูดเบาๆ
“ใช่ แต่นั่นตอนดังแรกๆ ตอนนี้ไม่รับดูทางโทรศัพท์แล้ว เพราะมีพวกเศรษฐีจากบ่อ น้ำมันมาขอให้ดูดวงให้ ตอนนี้ก็เลยรวยเละ เป็นเจ้าของช่องดูดวงในเคเบิ้ลทีวีแทน”
มัดหมี่ปราม
“ชู่ววว์ เลิกเมาท์เทพธิดาได้แล้ว เธอไม่ชอบพวกปากหอยปากปู”
เอิงเอยหุบปากเงียบ ก่อนจะได้ยินเสียงเพลงคลาสสิคเปิดตัวโหมโรงแบบอุปรากรโอเปร่า สายตาของสาวสาวจับจ้องไปที่เทพธิดาตาทิพย์ หญิงสาววัยกลางคน บุคลิกน่าเกรงขาม สวมแว่นกลมสีฟ้า ทรงแบบจอห์น เลนนอน เดินออกมาพร้อมกับผู้ช่วยเด็กสาวหน้าตาซื่อๆแต่งชุดสูทขาวทั้งชุด ในมือถือ iPAD2
“มากันแล้วเหรอ...นังพวกอยากเป็นคุณนายตำรวจ”
เอิงเอยตบอก
“ทักคำแรกก็แม่นแล้วแก”
“แม่นอะไร ยัยมัดหมี่อาจจะเล่าเรื่องของเราให้ฟังแล้วก็ได้”
เทพธิดาพูดขึ้น...
“0448885”
สิริสุดางง
“นี่ยัยมัดหมี่...ไหนบอกจะพาฉันมาหาคนช่วยจัดการนังชิโลไง ฉันไม่ได้เสียเวลา ตามมาขอหวยนะ”
“ชู่ววว์ อย่าปากเสียสิคะคุณสิ เทพธิดาไม่ได้ใบ้หวย คุณลองเอาแบงค์ในกระเป๋าคุณ ออกมาดู แล้วจะรู้เองว่าเทพธิดาช่วยเราได้แน่”
สิริสุดาลองหยิบแบงค์ในกระเป๋าสตางค์ออกมา แล้วตกใจเพราะเลขที่เทพธิดาพูดเป็นเลขในแบงค์จริงๆ
“แม่เจ้า โคตะระแม่นเลยแก...เลขในธนบัตรตรงกับที่เทพธิดาบอกทุกตัวเลย”
สิริสุดามองเทพธิดาตาทิพย์ด้วยความแปลกประหลาดใจเป็นอย่างมาก
ในคฤหาสน์อสูร...ชิโลมือกำแก้ววิเศษเอาไว้แน่นสีหน้าเคร่งเครียด อุ้มสมร้องปราม
“อย่านะชิโล เจ้าห้ามทำตามที่มันสั่งเด็ดขาด ถ้าเจ้าทำลายแก้ววิเศษ เจ้าจะไม่เหลือ สิ่งใดไว้ปกป้องเจ้า”
“อุ้มสม...เจ้านี่มันช่างน่ารำคาญจริงๆ”
อสุเรศปรี่เข้าไปแล้วชกเข้าที่ท้องอุ้มสมอย่างแรง อุ้มสมจุกตัวงอ ชิโลตกใจ
“อุ้มสม !!”
อุ้มสมร้องบอก
“ไม่..ไม่ต้องห่วงเรา เจ้า...ต้องรักษาแก้ววิเศษเอาไว้ อย่าให้มันพาเจ้าไปที่พิภพอสูร ไม่อย่างนั้นพวกเราบนสวรรค์จะต้องเดือดร้อน”
อสุเรศจิกหัวอุ้มสมมาบีบปาก
“เจ้าชักจะพูดมากเกินไปแล้ว”
“ข้ารู้ทันแผนการชั่วของเจ้าต่างหากไอ้อสูรหน้าบาก อสูรอย่างพวกเจ้าไม่เคยรบชนะ เทวดาในศึกเทวสุรสงครามเลย เจ้าจึงคิดใช้แผนชั่วจับชิโลไปเป็นข้อต่อรองบีบบังคับ ให้เทวดายอมแพ้”
“หึๆๆ...นึกว่าเจ้าจะเป็นนกแก้วปากมากธรรมดา แต่ในเมื่อเจ้าแสนรู้แบบนี้ เห็นทีคง ปล่อยไว้ไม่ได้”
อสุเรศเงื้อมือจะสั่งสอนอุ้มสม แต่ชิโลร้องห้ามเสียงดัง
“อย่านะ !! ถ้าเจ้าทำร้ายอุ้มสมแม้แต่ปลายเส้นผม เจ้าจะไม่มีวันได้ตัวข้า”
ชิโลสั่งเสียงเข้มก่อนจะถอดสร้อยออกจากคอ อสุเรศยิ้มร้าย แต่อุ้มสมร้องห้าม
“อย่านะชิโล เจ้าทำลายแก้ววิเศษไม่ได้”
“ขอโทษด้วยนะอุ้มสม เจ้าเป็นเพื่อนรักคนเดียวของเรา เรายอมให้เจ้าถูกทำร้ายไม่ได้” ชิโลบอกอย่างตั้งใจจริง
เทพธิดาตาทิพย์นั่งลงที่เก้าอี้ทำงานตัวใหญ่...มัดหมี่ถามอย่างเกรงใจ...
“เทพธิดาคะ คือเรื่องที่ดิฉันมาในวันนี้...”
เทพธิดายกมือห้ามไม่ทันพูดจบ
“ฉันรู้ ฉันเห็นทุกอย่าง ไม่ต้องพูดมากน่ารำคาญ ถ้าอยากให้ เรื่องงานที่ติดขัดอยู่ของหล่อนราบลื่นไม่มีสะดุด ก็ถึงเวลาที่หล่อนต้องต้องยกเครื่องทำ ศัลยกรรมใหม่ตั้งแต่หัวจรดเท้า เน้นๆที่นมกับตูดแล้วจะดังพลุแตกกว่าเดิม”
“ทำศัลยกรรม?”
สิริสุดากับเอิงเอยพากันสงสัย มัดหมี่หน้าม้าน เทพธิดาตาทิพย์หัวเราะเสียงดังแหลม
“ความงามเป็นหน้าต่างสู่ความสำเร็จ พวกหล่อนคงไม่รู้ว่าก่อนที่นังนี่มันจะโด่งดังจี๊ด ถึงใจประชาชนหน้าตามันเป็นยังไง”
เทพธิดาพยักหน้ากับผู้ช่วยสาวให้เปิดหน้าจอ iPAD สิริสุดากับเอิงเอยดูรูปของมัดหมี่ก่อนทำศัลยกรรมแล้วอึ้ง เอิงเอยร้องเสียงดัง
“ว๊าย แม่เจ้า...นั่น..กับนี่...มันคนละคนเลย นรกกับสวรรค์ชัดๆ”
มัดหมี่หน้าเสีย
“นังบ้า !! เทพธิดาคะ...ไหนบอกว่าจะลบหน้าเก่าของมัดหมี่ทิ้งไง”
“ไม่ต้องมาถามมาก ทำตามที่ฉันสั่ง แล้วหล่อนจะสมปรารถนา”
“ค่ะ...ทำเพิ่มก็ได้ค่ะเทพธิดา ถ้าจะทำให้มัดหมี่จี๊ดกว่าเดิม มัดหมี่ยอมเจ็บตัว”
สิริสุดาชักสนใจ
“แล้วเรื่องของดิฉันล่ะคะเทพธิดา มัดหมี่บอกฉันว่าคุณสามารถช่วยฉันกำจัด เสี้ยนหนามหัวใจได้”
เทพธิดาหันมาจ้องตาเขม็งทำเอาสิริสุดาชะงัก เทพธิดาค่อยถอดแว่นออกแล้วหลับตาเหมือนเข้าสมาธิ
“เทพธิดาทำอะไร”
มัดหมี่ปราม...
“ชู่ว์...เงียบๆ เทพธิดากำลังใช้ตาทิพย์ช่วยเราอยู่”
“ตาทิพย์?”
“ใช่น่ะสิ สมัยที่เทพธิดายังเป็นเด็ก เธอถูกฟ้าผ่าจนหยุดหายใจไป ใครๆก็นึกว่าตาย แต่เธอก็ฟื้นขึ้นมาแล้วก็เริ่มมองเห็นอนาคต อดีต และสิ่งเร้นลับที่คนธรรมดามองไม่เห็น”
มัดหมี่เล่าไม่ทันขาดคำ เทพธิดาตาทิพย์ก็ลืมตา...โพล่ง !! เอิงเอยกับสิริสุดาสะดุ้งโหยง เพราะลูกตาดำของ เทพธิดาตาทิพย์หายไป เหลือแต่ตาขาวโพลน เปล่งเสียงทุ้มต่ำดังกึกก้อง
“นังผู้หญิงคนนั้น...มัน...มัน...มัน !!”
ชิโลกำสร้อยไว้ในมือสีหน้าเคร่งเครียดอย่างหนักใจ อสุเรศสั่ง
“รีบทำลายแก้ววิเศษซะรัศมิชโลธร ถ้าข้านับถึงสามแล้วเจ้ายังไม่ทำลายมัน เจ้าได้เห็น ข้าปลิดชีพเพื่อนเจ้าแน่ๆ ฮ่าๆๆๆ”
“อย่านะชิโล...เจ้าจะปล่อยให้อสูรชนะเทวดาไม่ได้ ไม่อย่างนั้นภพสวรรค์และมนุษย์ จะต้องเดือดร้อน”
อุ้มสมยังคงร้องห้าม อสุเรศเริ่มนับ...
“หนึ่ง...สอง...”
ชิโลหน้าเครียดหนักใจ อสุเรศลุ้นตัวโก่ง
“สาม !! หมดเวลาแล้วรัศมิชโลธร เจ้าเป็นฝ่ายขอให้ข้าปลิดชีวิตเพื่อนต่อหน้าต่อตา เจ้าเอง มันจะเป็นตราบาปที่เกาะกินเจ้าไปจนชั่วกัปชั่วกัลป์
“อย่านะ !! ท่านพ่อ ลูกขอใช้พรข้อที่สอง ปกป้องอุ้มสมให้แคล้วคลาดจากอสูร”
ชิโลชูมือขึ้นแล้วหมุนเป็นวงกลม อัศจรรย์เกิดขึ้นทันทีเมื่อแสงสว่างวาบไปทั่วคฤหาสน์ พวกอสูรต่างพากัน ปวดแสบปวดร้อน ส่งเสียงร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด...อ๊ากกกกก
เทพธิดาตาทิพย์สีหน้าตื่นตระหนกตกใจ เสียงสั่นเครือ
“แสง...แสงอะไร...สว่างจ้าเหลือเกิน โอ๊ย...แสบตา...แสบตาเหลือเกิน...กรี๊ดดด”
เทพธิดาตาทิพย์ร้องเสียงดังลั่นก่อนจะหงายหลังตึงคาเก้าอี้ตัวใหญ่ ชักกะตุกแหง๊กๆ หมดสติต่อหน้าทุกคน
มัดหมี่ สิริสุดาและเอิงเอยตกใจพากันถอยไปยืนกอดกันกลมกับเหตุการณ์ตรงหน้า
ภายในคฤหาสน์ควันขโมงคลุ้งไปทั่ว อัคราสูรกระเด็นกระดอนไปกองอยู่กับซากโต๊ะที่พังกระจายเจ็บระบมไป ทั้งตัว ส่วนจิตราสูรเองก็กระเด็นไปไม่ไกลมันลุกขึ้นมาได้ก็สำลักควันค่อกๆแค่กๆ
“กลิ่นอะไรไหม้ๆวะ”
จิตราสูรทำจมูกฟุดๆฟิดๆหาต้นตอของกลิ่นไหม้ก่อนจะหันมาดูที่ก้นตัวเองมันตกใจร้องเสียงหลงเพราะไฟลุก
“เฮ้ย !! ไฟไหม้ตูดข้า...ช่วยด้วย..ช่วยด้วย”
จิตราสูรวิ่งพล่านเพราะร้อนก้น อัคราสูรเห็นเข้าก็หัวเราะชอบใจทับถม
“อึ่งอ่างถูกเผา...ฮ่ะๆๆ”
จิตราสูรวิ่งวนไปมา อัคราสูรหัวเราะชอบใจ อสุเรศก้าวเข้ามาหน้าเหี้ยมเจ็บใจ
“นายท่านช่วยข้าด้วย”
อสุเรศหันมาที่จิตราสูรแล้วเป่าทีเดียว ลมพัดแรงใส่ราวกับพายุพัดดับไฟที่ตูดของจิตราสูรดับ
“รัศมิชโลธร...เจ้ามันทั้งแสบ ทั้งปลิ้นปล้อน กะล่อนเกินนางฟ้า ข้าจะไม่หยุดราวีเจ้า ข้าจะต้องจับเจ้ามาเป็นเมียข้าให้ได้...คอยดู !!”
อสุเรศขบกรามแน่นจนเขี้ยวยักษ์งอกออกมา ตาแดงก่ำด้วยความโกรธ แต่ทันใดนั้นประตูผ่านพิภพอสูรก็ถูก เปิดเข้ามาอย่างแรงพร้อมกับแสงสว่างจ้าและควันขโมง อัคราสูรหันไปเห็นเข้าก็ตกใจ
“แย่แล้วขอรับ...เมียนายท่านมาแล้ว”
3 นางอสูรแต่ละนางล้วนโคตะระสวยและ very sexy นางโมหะนั้นมาในชุดโทนสีดำ นางโทสะแทนด้วย ชุดโทนสีแดง ส่วนนางราคะนั้นเน้นเนื้อนมไข่สุดๆมาในโทนสีม่วง
อสุเรศเห็นสามเมียที่จิกหน้าเอาเรื่องสุดฤทธิ์แล้วหน้าเสียกลืนน้ำลายเอื๊อก
“งานเข้ากูแล้ว”
ชิโลกับอุ้มสมปรากฏตัวขึ้นอย่างปลอดภัยในห้องพัก แต่อุ้มสมยังเจ็บจุกเพราะโดนเล่นงาน
“อุ้มสมเจ้าเป็นอะไรรึเปล่า”
“ชิโล...เราไม่เป็นอะไรแล้ว แต่เจ้าใช้พรข้อที่สองไปเพื่อช่วยเราทำไม”
“เราไม่มีทางเลือก มันถึงคราวจำเป็นต้องใช้”
“แต่เจ้าไม่ควรใช้ ลืมไปแล้วเหรอว่าเจ้าเหลือพรแค่สองข้อเท่านั้น”
“ไม่เห็นจะเป็นไรเลย ใช้ไปอีก 1 ก็ยังเหลืออีกตั้ง 1”
“แต่เหลือพรอีกแค่ข้อเดียว โอกาสที่จะได้กลับดาวดึงส์ก็ยิ่งเหลือน้อยลง”
“ถ้าจะให้เรากลับดาวดึงส์โดยไม่มีเจ้า เราทำไม่ได้หรอก” ชิโลแตะบ่าปลอบใจอุ้มสม “ ต่อไป นี้เจ้าไม่ต้องห่วงนะ พรของเราเมื่อเอ่ยปากขอให้คุ้มครองใคร คนนั้นก็จะแคล้วคลาด จากอสูรเหมือนมีแก้วสัตตพิธรัตนะคุ้มครอง พวกมันจะใช้เจ้าเป็นเครื่อง ต่อรองกับเรา ไม่ได้อีก”
“แต่....”
“เลิกแต่ได้แล้วอุ้มสม เราสัญญาว่าเราจะหาทางพาเจ้ากลับดาวดึงส์ให้ได้”
“นางฟ้านางสวรรค์...นี่ฉันไม่ได้ฝันไปใช่มั้ย”
ชิโลกับอุ้มสมชะงักหันไปเห็นนารีที่เข้ามามองทั้งคู่ด้วยสายตาตื่นตะลึง
ในห้องทำงานเทพธิดาตาทิพย์...เลขาเอายาดมมาช่วยเรียกสติให้
“เทพธิดาคะ...เทพธิดา”
สิริสุดาสงสัย...
“ไม่รู้สึกตัวเลย หรือว่าจะหัวใจวายตายแล้ว”
สิริสุดาพูดไม่ทันขาดคำเทพธิดาตาทิพย์ก็เด้งลุกขึ้นมา...ตึ่ง !!
“ฉันยังไม่ตาย !! หล่อนกล้าดียังไงมาแช่งให้ฉันตาย เดี๋ยวก็ไล่ตะเพิดให้ไปกินน้ำใต้ ศอกซะหรอก”
“ขอโทษค่ะเทพธิดา เพื่อนดิฉันปากไม่ค่อยดี” มัดหมี่ช่วยพูด
“อยู่ๆเห็นเทพธิดาร้องกรี๊ดแล้วชักกะตุกก็นึกว่า…”
“ที่ฉันเป็นแบบนั้นเพราะฉันเห็นในสิ่งที่…” เทพธิดาหน้าเครียดคิ้วขมวด “ที่….แรงมาก แรงอย่าง ไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน”
“อะไรแรงเหรอคะเทพธิดา” เองเอยสงสัย
“ก็นังผู้หญิงที่เป็นเสี้ยนหนามของพวกหล่อนน่ะสิ ตั้งแต่ฉันใช้ตาทิพย์มายังไม่เคยมีใคร กล้าท้าทายอำนาจฉันเท่านังผู้หญิงคนนั้นมาก่อน”
มัดหมี่ตกใจ
“นังชิโลนั่นน่ะเหรอคะ”
“ใช่ นังนั่นมันไม่ธรรมดาเลย มันต้องเล่นของหรือมีของขลังอะไรสักอย่างติดตัวแน่ ถึงทำให้ฉันเจ็บปวดเวลาที่พยายามใช้ตาทิพย์สแกนหาตัวมัน”
“ของขลัง ?”
สิริสุดาสงสัยครุ่นคิดเมื่อหันมามองหน้าเอิงเอยที่ยักไหล่ไม่รู้ สิริสุดาก็ฉุกคิดบางอย่างขึ้นมา เธอนึกไปถึงเหตุการณในห้องขัง ..
ชิโลพยายามขอร้อง...
‘ขอสร้อยคืนให้ฉัน คืนมานะ...เอาคืนมา’
พวกผู้ต้องหาไม่สนใจพากันแย่งสร้อยกันไปมาถึงกับชกหน้ากันก็มี สิริสุดายิ้มเยาะ
‘สมน้ำหน้า ทีนี้แกจะได้รู้สึกบ้างว่าเวลาโดนคนอื่นแย่งของรักไป มันน่าหงุดหงิดแค่ไหน’
‘คุณสิ...คุณทำแบบนี้กับฉันเท่ากับว่าคุณกำลังฆ่าฉัน’
‘อ๋อเหรอ...ตายแล้ว นี่ถ้าฉันรู้ว่าแค่แย่งสร้อยจากแกแล้วทำให้แกรู้สึกเหมือนจะตาย ฉันแย่งแกมาตั้งนานแล้วนังบ้า’
สิริสุดาขัดใจมาก
สิริสุดานึกออก รีบบอกเทพธิดาทันที...
“ต้องเป็นสร้อยนั่นแน่ๆค่ะเทพธิดา ตอนที่ฉันแย่งสร้อยนั่นมา มันร้องจะเป็นจะตายว่าอยู่ ห่างสร้อยนั่นไม่ได้ แถมสร้อยนั่นยังมีแสงประหลาดๆออกมาอีกด้วย”
เทพธิดาตาโตทันที
“นั่นแหละ ของขลังที่นังนั่นมันใช้ทำให้ผู้ชายรักผู้ชายหลง ผู้ชายของพวก หล่อน ถึงได้ติดอกติดใจหลงมันจนโงหัวไม่ขึ้น”
มัดหมี่รีบถาม
“งั้นเทพธิดามีของแบบนั้นให้พวกเราไว้พกบ้างมั้ยคะ”
“ของแบบนั้นฉันไม่มีหรอกย่ะ”
สิริสุดาเซ็ง
“อ้าว...แล้วพวกเราจะทำยังไงล่ะคะ”
“พวกหล่อนก็ต้องหาทางทำลายสร้อยของนังนั่นให้ได้ แล้วพวกหล่อนก็จะได้ผู้ชายคืน”
มัดหมี่ตาวาว
“แค่ทำลายสร้อยนั่นผู้กองสการก็จะกลับมาจี๊ดถึงใจกับมัดหมี่จริงๆเหรอคะเทพธิดา”
เทพธิดากระแอม
“เอาล่ะ หมดเวลาของพวกเจ้าแล้ว ก่อนออกไปก็อย่าลืมบริจาคทำบุญใส่ กล่องนั่นด้วย แล้วแต่จิตศรัทธา ใส่เยอะก็ได้บุญเยอะ ใส่น้อยก็ได้บุญน้อย อยากได้ บุญเยอะหรือน้อยก็คิดเอาเอง”
เทพธิดาตัดบทแค่นั้น แล้วหยิบแว่นกลมสีฟ้าขึ้นมาสวมแล้วนั่งนิ่งเชิดคอตั้งไม่สนใจ
“เชิญได้แล้วค่ะ เทพธิดามีคิวต่อไปแล้ว”
เลขาผายมือเชิญให้สามสาวออกจากห้อง สิริสุดาหยิบแบงค์พันใบนึงขึ้นมาหย่อนใส่กล่องทำบุญ เทพธิดาหรี่ ตามองแล้วกระแอมเสียงดัง สิริสุดาเลยต้องหย่อนลงไปอีกเยอะๆ
สการกลับเข้ามาในห้องเห็นห้องเงียบเชียบ
“แม่ครับ...ผมกลับมาแล้ว...แม่...แม่อยู่ไหนครับ”
สการไม่ได้ยินเสียงตอบเลยรู้ว่าแม่ไม่อยู่ แต่เห็นบนโต๊ะมีหนังสือไตรภูมิพระร่วงวางอยู่ สการหยิบขึ้นมาดูพบว่า แม่ได้คั่นหน้าหนังสือเอาไว้ เลยลองเปิดออกดูว่าแม่อ่านอะไรทิ้งไว้
“นึกแล้วเชียว อ่านเรื่องนางฟ้าเรื่องสวรรค์ค้างไว้แบบนี้ต้องไปขลุกอยู่กับชิโลแน่”
สการกอดอกสีหน้าครุ่นคิด
นารีนั่งพับเพียบแล้วพนมมือไหว้ชิโลกับอุ้มสมอย่างนอบน้อม ชิโลตกใจรีบห้าม
“คุณป้าคะ อย่าทำอย่างนี้เลย”
“ไม่ได้ค่ะ ท่านเป็นนางฟ้า ฉันเป็นมนุษย์ ต้องกราบไหว้ท่านสิคะ”
“แต่จะมนุษย์หรือเทวดา เราต่างก็ว่ายเวียนอยู่ในวัฏสงสาร เมื่อถึงเวลาเทวดาก็จุติมา เป็นมนุษย์ได้ และมนุษย์ก็สามารถเกิดเป็นเทวดาได้เหมือนกัน”
“พวกเราจึงควรนับถือกันด้วยความมีศีลมีธรรม ไม่ใช่ภพสภาวะ” อุ้มสมแนะ
“แต่ว่า...”
“ไม่มีแต่ค่ะ ห้ามคุณป้ากราบเราเด็ดขาด เวลานี้เรามีสภาวะไม่ต่างอะไรจากมนุษย์ ชิโลต่างหาก ที่ควรจะกราบคุณป้าที่มีเมตตาคอยช่วยเหลือและเชื่อที่ชิโลพูดมาตลอด”
นารียังอึกอัก
“เอ่อ...แต่...แต่คนอย่างป้าไม่ควรจะลบหลู่”
นารีพูดไม่ทันขาดคำ ชิโลก็เข้าไปกราบที่อกนารีอย่างอ่อนน้อม ทำเอานารีตกใจ
“ชิโลขอให้คุณป้าปฏิบัติต่อเราเหมือนเดิมนะคะ”
“ก็ได้จ้ะนางฟ้า..เอ่อ...หนูชิโล”
ชิโลดีใจสวมกอดกับนารีที่รู้สึกปลื้มปิติดีใจเป็นอย่างมาก แต่ทั้งหมดก็ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงเคาะประตูปึงๆปังๆ
“แม่ครับ ผมรู้ว่าแม่อยู่ในนั้น นี่มันดึกมากแล้ว ได้เวลากลับบ้านนอนได้แล้วครับ...แม่”
นารีตกใจหน้าเสีย
“ตายแล้ว...อย่าถือโทษโกรธลูกชายฉันเลยนะคะ ฉันจะสั่งสอนเขาให้รู้ ว่าอะไรสูงอะไรต่ำ”
“อย่าเลยค่ะคุณป้า เรื่องที่ชิโลเป็นนางฟ้า ชิโลไม่อยากให้ใครรู้นอกจากคุณป้าคนเดียว”
นารีมองชิโลด้วยสีหน้าแปลกใจ
โปรดติดตาม "มณีแดนสรวง" ตอนต่อไป