ขุนเดช ตอนที่ 13
ผกาพาสัมฤทธิ์มาที่กระท่อมร้างกลางป่า สัมฤทธิ์เห็นรูปปั้นนางรำทองคำอยูในกระท่อมก็ตกใจ
“นี่คุณผกาขโมยของพ่อผมมาเหรอ”
“ขโมยที่ไหน เขาเรียกว่าขอยืมมาต่างหากย่ะ”
“ขอยืม ...ขอยืมมาทำอะไร”
ผกาแอบหันมาบ่นแขวะด่า
“โง่เอ้ย”
“คุณผกาว่าไงนะ”
“เปล่า...เธอก็รู้ไม่ใช่เหรอสัมฤทธิ์ว่าถ้าหาเครื่องเซ่นไหว้มาให้แม่นางเมืองได้แล้วจะเกิดอะไรขึ้น”
“ก็ได้ทุกอย่างที่อยากได้ไง” สัมฤทธิ์พูดไปก็นึกได้ “หรือว่าคุณ....”
“ใช่...ก่อนที่ประดับจะเอารูปปั้นนางรำทองคำไปให้ท่านปราชญ์ ทำไมเราไม่ขอในสิ่งที่เราอยากได้ก่อนล่ะ ยกเว้นเสียแต่ว่าเธอไม่มีอะไรที่อยากได้เป็นพิเศษ”
สัมฤทธิ์นิ่งคิดไปครู่
“เข้าท่าดีนี่คุณผกา...ที่ผ่านมาชั้นถูกทั้งไอ้หมวดยงยุทธ ไอ้ขุนเดช แล้วยังไอ้วีรบุรุษบาปเล่นงานเหมือนชั้นเป็นแค่ไอ้เด็กอมมือสำหรับพวกมัน ถ้าแม่นางเมืองบันดาลทุกอย่างให้สมปรารถนาได้ ชั้นจะขอให้ชั้นมีฝีมือ...เป็นมหาโจรที่ใครก็ปราบชั้นไม่ได้”
“งั้นก็เอาเป็นว่า...เรามาร่วมมือกัน แต่จะให้พ่อเธอกับประดับรู้ไม่ได้เด็ดขาด เธอคงต้องไปหาลูกน้องคนอื่นมาช่วย แล้วชั้นจะบอกว่าต้องทำยังไงบ้าง”
“ได้เลยคุณผกา”
กำนันบุญเดินเข้ามาที่บนเรือนมองหาสัมฤทธิ์
“ไอ้สัมฤทธิ์...ไอ้สัมฤทธิ์”
“พี่สัมฤทธิ์ไม่อยู่จ้ะพ่อกำนัน”
“แล้วมันหายหัวไปไหน”
“บอกชั้นไว้ว่าจะแวะไปบ่อนจ้ะ”
“ไปบ่อน...ไอ้ลูกคนนี้ ข้าเพิ่งจะช่วยให้มันรอดตายมาได้หมาดๆ มันยังไปเที่ยวสำราญ ได้อีก...แล้วอย่างนี้อีกหน่อยข้าจะไว้ใจให้มันดูแลสมบัติของข้าได้ยังไง”
“ฝากให้ชั้นช่วยดูแลให้ก็ได้นะจ๊ะพ่อกำนัน”
กำนันบุญหันขวับ
“ฝากให้เอ็งช่วยดูแลเหรอ...ไอ้เวร”
กำนันบุญยันโครมไอ้นะจนกระเด็นไปทางประดับที่เดินเข้ามา
“เกะกะโว้ย” ประดับดันไอ้นะให้หลบทางแล้วเข้าไปที่กำนันบุญ “ทุกอย่างคงจะเรียบร้อยแล้วใช่มั้ยกำนัน ชั้นจะได้เอารูปปั้นไปให้ท่านทำพิธี”
“ก็ไม่ได้มีอะไรติดขัดนี่ครับคุณประดับ ผมรอก็แต่คุณเท่านั้น”
ประดับมองหน้ากำนันบุญแล้วเดินเลยเข้าไปในเรือน กำนันบุญเดินตาม
กำนันบุญพาประดับเข้ามาในห้องเก็บสมบัติโบราณ แต่พบว่ารูปปั้นนางรำทองคำได้หายไปแล้ว
“หายไปไหนวะ...หายไปไหน...พวกเอ็งเห็นรึเปล่า”
กำนันบุญหันไปกระชากคอเสื้อไอ้เน
“อะไรหายเหรอครับพ่อกำนัน”
“ไอ้โง่เอ้ย ก็รูปปั้นนางรำทองคำที่ข้าเก็บเอาไว้ในนี้ไง”
กำนันบุญเหวี่ยงไอ้เนจนกระเด็น ประดับชักสีหน้าไม่พอใจใส่
“นี่กำนันคิดจะเล่นตุกติกอะไรกับชั้น”
“ผมเปล่านะครับคุณประดับ เมื่อคืนนี้ผมยังเห็นอยู่ในนี้อยู่เลย”
“งั้นมันจะหายไปได้ยังไง ในเมื่อกำนันถือกุญแจอยู่คนเดียว”
“ผมไม่รู้”
ประดับโกรธกระชากคอเสื้อกำนันบุญทันที
“อย่าบอกว่าไม่รู้ เพราะชั้นกำลังคิดว่ากำนันกำลังจะ ฮุบรูปปั้นไปเป็นของตัวเอง”
กำนันบุญแกะมือประดับออก
“ผมจะทำอย่างนั้นไปเพื่ออะไร จะทำพิธีสัตตะโลหะบุรุษได้มันต้องใช้โลหะศักดิ์สิทธิ์โบราณ 7 อย่างไม่ใช่เหรอ”
ประดับกับกำนันบุญมองหน้ากันอย่างไม่มีใครยอมใคร จนประดับเป็นฝ่ายเบาลง
“ชั้นจะยอมเชื่อก็ได้ว่ากำนันไม่รู้ไม่เห็น...แต่ยังไงชั้นก็ต้องได้รูปปั้นกลับไปให้ท่าน ถ้าหากลับมาคืนให้ไม่ได้...กำนันโดนท่านเล่นงานหนักแน่”
ประดับเดินออกไปพร้อมเบิ้ม กำนันบุญหน้าหงุดหงิดหัวเสีย
กำนันบุญออกมาตวาดพวกลูกน้องเสียงดังโวยวาย
“พวกแกทุกคนถ้าใครไปตามหารูปปั้นทองคำกลับมาไม่ได้ ข้าจับยิงกะบาลเรียงตัว ไปสิเว้ย แล้วไปตามไอ้สัมฤทธิ์มาด้วย บอกให้มันมาช่วยหา”
“ครับกำนัน”
ไอ้นะพร้อมกับพวกลูกน้องรีบขึ้นรถจี๊ปพากันขับออกจากบ้านกำนันไป
ขุนเดชที่แอบซุ่มเข้ามาสืบได้ยินกำนันบุญพูดถึงรูปปั้นที่หายไปก็มีสีหน้าสงสัย
ที่แคมป์โบราณคดี พวกนักศึกษากำลังเตรียมสัมภาระสำหรับเดินทาง บางส่วนทยอยขึ้นไปนั่งรอบนรถบัสที่ เตรียมไว้สำหรับพานักศึกษาไปสำรวจโบราณสถานแหล่งอื่น ดาราเก็บข้าวของใส่กระเป้เดินทางแต่กลับมีท่าทีเหม่อใจลอยเพราะคิดถึงคำพูดกับยงยุทธเมื่อคืน
“นี่คุณกำลังดูถูกผม หาว่าผมทำงานไล่ตามหลังทั้งไอ้ขุนเดช ทั้งวีรบุรุษบาปอยู่ใช่มั้ย”
“ถ้าคำพูดของชั้นทำให้เธอคิดได้แบบนั้น ชั้นก็ไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว...ปล่อยชั้นได้แล้ว”
ดาราพยายามออกแรงแกะมือยกยงยุทธออกแต่กลับถูกเขาออกแรงดึงเธอเข้ามาประชิดจนหน้าแทบชนกัน ดาราอึ้งใจตึกตัก
“คนอย่างผมไม่มีวันยอมให้พวกนอกกฏหมาย ต่อให้มีคนรักมันทั้งบ้านทั้งเมือง หรือคนที่ผมรักที่สุดก็ยังไปเข้าข้างมัน ผมก็จะไม่ไว้หน้ามันเด็ดขาด”
ดารามารู้สึกตัวอีกทีเมื่อขุนเดชมาสะกิดเรียก
“ดารา...ดารา”
“ขุนเดช”
“เป็นอะไรไป”
“เปล่า...ไม่มีอะไรหรอก ชั้นมัวแต่คิดเรื่องที่จะต้องพาพวกนักศึกษาไปสำรวจแหล่งโบราณคดีที่อื่นอยู่น่ะ ว่าแต่เธอเถอะ...ไปสืบเรื่องรูปปั้นนางรำทองคำมาได้ความว่ายังไงบ้าง”
“พวกมันกำลังมีปัญหา อยู่ๆ รูปปั้นก็หายไป”
“หายไปเหรอ... แล้วจะทำยังไงล่ะขุนเดช”
“ผมจะลองตามหาดู ถ้าเจอก่อนที่พวกมันเจอก็ดี ครั้งนี้อาจจะหยุดพิธีกรรมสัตตะโลหะบุรุษของพวกมันได้ แต่ผมคงไปกับคณะนักศึกษาคุณด้วยไม่ได้”
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง ชั้นกับอาจารย์ดำรงดูแลนักศึกษาได้”
“งั้นผมไปก่อนนะ”
“เดี๋ยวก่อนขุนเดช…ระวังตัวด้วยแล้วก็…”
“เรื่องยงยุทธใช่มั้ย” ดารานิ่งไป “ผมจะพยายามเลี่ยงไม่ให้เจอกับยงยุทธ”
ดาราค่อยรู้สึกสบายใจขึ้นจึงปล่อยให้ขุนเดชไป ระหว่างนั้นดำรงเข้ามาตาม
“อาจารย์ครับ…รถกำลังจะออกแล้วครับ”
“จ้ะ”
ดาราตามขึ้นมาบนรถบัสที่ยังไม่ออกรถแต่มีนักศึกษาขึ้นมากันเต็มรถแล้ว
“ครบหมดทุกคนแล้วนะคะอาจารย์”
“ครบแล้วครับ”
“นักศึกษาคะ...เงียบหน่อยค่ะ เรากำลังจะไปทำงานกันนะคะ ไม่ใช่ไปเที่ยว”
ดาราเอ็ดพวกนักศึกษาที่กำลังสนุกสนานตามประสาวัยรุ่นจนเงียบกริบไปทั้งคันรถ
“เอาล่ะ ถ้าทุกคนพร้อมแล้วเราก็จะออกเดินทางกันเลย” พวกนักศึกษากลับมาเฮกันลั่น ดารายิ้มน้อยๆ มุมปากแล้วหันไปบอกคนขับรถ “ไปได้แล้วค่ะ”
“ครับอาจารย์”
คนขับรถคือนายจำเริญหน้าตาท่าทางดูซื่อๆ แต่กลับมองดารากับพวกนักศึกษาด้วยแววตาร้ายลึก
จบตอน 27
ขุนเดช ตอน 28.1
ผกาเดินไปเดินมาอยู่ในกระท่อมมีรูปปั้นนางรำทองคำวางอยู่ที่แท่นบูชาเพื่อเตรียมทำพิธี ระหว่างนั้นสัมฤทธิ์เข้ามาพร้อมกับลูกน้อง 2 คน ผกาไม่เห็นหญิงสาวมาด้วยก็สงสัย
“ไหนล่ะสัมฤทธิ์ เครื่องเซ่นที่ชั้นให้ไปหามา”
“ใจเย็นๆ สิคุณผกา สาวบริสุทธิ์มันไม่ได้หากันง่ายๆ เหมือนซื้อผักสดในตลาดนะครับ”
“ชั้นไม่สนใจว่ามันจะหายากหาเย็นแค่ไหน แกจะไปฉุดลูกสาวใครมันก็เรื่องของแก แต่ชั้นต้องได้เครื่องเซ่นมาถวายแม่นางเมือง ก่อนที่ประดับกับกำนันจะตามมาเจอ”
“ผมสัญญาว่าอีกไม่นานเกินรอแน่ เพราะตอนนี้ผมส่งคนของผมไปจัดการแล้ว รับรองว่าเครื่องเซ่นพวกนี้ต้องถูกใจแม่นางเมืองแน่”
“แกไปเลือกผู้หญิงที่ไหนมาเป็นเครื่องเซ่น”
สัมฤทธิ์ยิ้มร้ายแล้วหันไปพยักหน้ากับพวกลูกน้อง
รถโดยสารที่พานักศึกษากับอาจารย์ไปสำรวจโบราณคดีแหล่งใหม่วิ่งมาตามถนนลูกรังก่อนจะเลี้ยวออกไปจากถนนหลักเข้าไปตามทางเล็กๆ ดำรงสงสัยจึงถามจำเริญ
“จำเริญ...ไปถูกทางรึเปล่า นี่ไม่ใช่ทางที่จะไปแหล่งโบราณคดีที่จะไปสำรวจนี่”
“ผมไปทางลัดครับอาจารย์ ไปทางนี้เร็วกว่า”
ดำรงกับดาราไม่ติดใจสงสัยอะไร
“ตื่นเต้นจังเลยนะเปี๊ยะที่เราจะได้เป็นคณะแรกที่ได้เข้าไปสำรวจ”
“เก็บอาการหน่อยเถอะหยิน เดี๋ยวไปทำซุ่มซ่ามขึ้นมา หลักฐานทางประวัติจะเสียหายเพราะเธอ”
“เปี๊ยะ!...หึ”
ดาราเห็นลูกศิษย์มีความสุขก็ยิ้มรับแต่ระหว่างนั้นจำเริญจอดรถเอี๊ยดเมื่อรถวิ่งเข้ามาในดงที่มีต้นไม้ขึ้นรกครึ้ม
“อ้าว...จอดรถทำไมล่ะจำเริญ”
จำเริญนั่งนิ่งหน้าเครียดเหมือนมีอาการลังเลแล้วตัดสินใจเปิดลิ้นชักหน้ารถหยิบปืนหันไปขู่ใส่ทุกคน
“ผมคงพาพวกอาจารย์ไปต่อไม่ได้แล้วล่ะครับ”
ทุกคนบนรถพากันตกใจหน้าเสีย ส่วนจำเริญแววตามีแต่ความหนักใจเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ก่อนที่จะมาทำหน้าที่ขับรถให้กับคณะของดารา
แม่ของจำเริญป่วยหนักไอไม่หยุด จำเริญวิ่งเข้ามาหาแม่ทันทีที่กลับมาจากทำงานในไร่
“แม่ !! นี่แม่ยังไม่ได้กินยาอีกเหรอ” แม่จำเริญส่ายหน้าสลับกับไอๆ ไม่หยุด “รอเดี๋ยวนะแม่” จำเริญหันไปหยิบยาจะให้แม่กินแต่พบว่าเหลือยาแค่เม็ดสุดท้าย จำเริญหน้าเสียแต่ก็รีบเอายากับน้ำให้แม่กิน “แม่กินก่อนนะ…แล้วเดี๋ยวชั้นจะไปซื้อยามาให้อีก”
“ไอ้...ไอ้เริญ…เอ็งไม่มีตังค์แล้วไม่ใช่เหรอ”
“เรื่องนั้นแม่ไม่ต้องห่วงหรอก ยังไงชั้นก็ต้องหาซื้อยามาให้แม่ให้ได้”
“อย่าให้แม่ต้องลำบากเอ็งเลย แม่คงจะอยู่กับเอ็งได้อีกไม่นาน”
“แม่อย่าพูดอย่างนี้สิ แม่ต้องอยู่กับชั้นนานๆ”
“แม่หนีความตายไม่พ้นหรอก แต่เอ็งสิต้องสัญญากับแม่นะว่าเอ็งจะบวชให้แม่ แม่จะได้นอนตายตาหลับ”
“ไม่นะแม่…แม่จะต้องอยู่กับชั้น ชั้นไม่ยอมให้แม่เป็นอะไรเด็ดขาด”
“เอ็งต้องสัญญากับแม่ต่อหน้าพระพุทธรูปว่าเอ็งจะบวชให้แม่”
แม่จำเริญไอออกมาไม่หยุดอีก จำเริญรีบยกมือไหว้พระพุทธรูปปางประทานอภัยในพระอริยบทประทับนั่งองค์ เล็กๆ ที่อยู่บนโต๊ะบูชา
“ชั้นสัญญาจ้ะแม่ว่าชั้นจะบวชให้แม่ แต่แม่จะต้องอยู่กับชั้นนานๆ... แม่รอชั้นนะ ชั้นจะไปหาเงินไปซื้อยามารักษาแม่” จำเริญกอดแม่น้ำตาคลอเบ้าแล้วรีบออกไป
“ไอ้เริญ…ไอ้เริญ”
แม่จำเริญน้ำตาคลอหันไปพนมมือไหว้พระพุทธรูปปางประทานอภัย
ขุนเดชเดินผ่านมาที่หน้าโบสถ์เห็นจำเริญพาแม่มากราบพระประธาน
“อ้าวไอ้เริญ…พาแม่มากราบพระเหรอ”
“จ้ะพี่ขุนเดช…หมู่นี้อาการแม่แกไม่ค่อยดี แกเลยขอให้ชั้นมากราบขอให้หลวงพ่อรดน้ำมนต์ให้จ้ะ”
“น้าจ้ะ…น้ำมนต์หลวงพ่อช่วยทำให้น้ามีกำลังใจขึ้น แต่ถ้าน้าไม่กินยาน้าจะไม่หายนะ”
“ชั้นรู้จ้ะพ่อขุนเดช แต่ไอ้เริญมันไม่ค่อยมีเงิน ชั้นไม่อยากกวนมัน”
“กวนที่ไหนล่ะแม่ ทีแม่เลี้ยงชั้นมาลำบากไม่รู้เท่าไหร่ ถ้าชั้นดูแลแม่ไม่ได้ชั้นก็ไม่ควรเกิดมาเป็นคนแล้วล่ะ”
แม่จำเริญภูมิใจที่ลูกชายมีความกตัญญูจับมือลูกแล้วนึกขึ้นได้
“เออใช่…ได้เจอพ่อขุนเดชก็ดี พ่อน่ะยังหล่อพระพุทธรูปอยู่รึเปล่า”
“จ้ะ…น้ามีอะไรเหรอ”
แม่กับจำเริญมองขุนเดชแววตาน่าสงสาร
ขุนเดชพาจำเริญกับแม่มาที่กระท่อม และพามาที่ชั้นวางพระพุทธรูปที่เหลืออยู่องค์เดียวคือพระพุทธรูปปางประทานอภัยในพระอริยบทประทับนั่ง
“น่าเสียดายที่น้ามาถามชั้นวันนี้ เมื่อวานชั้นเพิ่งจะเอาพระพุทธรูปทั้งหมดไปทำบุญมาก็เลยเหลือปางประทานอภัยองค์นี้อยู่องค์เดียวที่ไม่ได้เอาไปเพราะมีตำหนิจ้ะ”
“ฝีมือหล่อพระของพี่ขุนเดช ขนาดมีตำหนิยังดูงามเลยนะแม่”
“เอาอย่างนี้แล้วกัน...น้ารอชั้นอีกสักหน่อย เดี๋ยวชั้นจะหล่อให้ใหม่”
“ไม่ต้องหรอกพ่อขุนเดช พระงามๆ น้าไม่มีปัญญาจ่ายค่าเช่าให้พ่อขุนเดชหรอก น้าขอรับองค์นี้ไปบูชาก็ได้”
“ชั้นก็ไม่ได้คิดจะเรียกค่าเช่าค่าบูชาจากน้าหรอกนะ”
“ไม่ต้องหรอกพี่…กว่าพี่จะหล่อได้แต่ละองค์คงเหนื่อยไม่ใช่เล่น ยังไงก็ต้องเรียกค่าเช่า”
“งั้นข้าคิดเอ็งบาทเดียว เป็นค่าครูค่าวิชาแล้วกัน” แม่จำเริญดีใจจนน้ำตาคลอ พยักหน้าให้จำเริญเข้าไปพนมมือไหว้พระพุทธรูป ขุนเดชรู้สึกภูมิใจตบบ่าจำเริญ “ศรัทธาไม่ได้อยู่ที่วัตถุ แต่อยู่ที่คุณงามความดีที่พระพุทธองค์ทรงปฏิบัติเป็นตัวอย่าง แม้พระเจ้าอชาตศัตรูจะเคยส่งนายธนูไปลอบปลงพระชนม์องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เมื่อรู้สึกสำนึกผิดต่อบาปมหันต์ พระพุทธองค์ก็ทรงประทานอภัย”
จำเริญหันมาพยักหน้ารับขุนเดชอย่างเข้าใจ
กลับมาปัจจุบัน จำเริญใช้ปืนขู่สั่งทุกคนให้ลงจากรถแต่น้ำเสียงของจำเริญเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด
“ลงมาจากรถ ชูมือให้ผมเห็นด้วย ถ้าใครคิดตุกติก ผมยิงจริงๆ”
ทุกคนทยอยกันลงมายืนข้างรถชูมือเหนือหัวตามคำสั่ง พวกนักศึกษามีอาการตื่นกลัว
“เธอทำอย่างนี้ทำไมจำเริญ”
“ไม่ต้องถาม ทำตามที่ผมสั่งอย่างเดียว”
“พวกเราไม่ได้มีสมบัติมีค่าอะไรติดตัวกันมาหรอกนะจำเริญ”
“หุบปาก…ผมไม่ได้คิดจะปล้นพวกอาจารย์”
“งั้นเธอต้องการอะไร คุยกันดีๆ ดีกว่ามั้ย”
“ขุนเดชแนะนำให้นายมาทำงานกับเรา เพราะเชื่อว่านายไว้ใจได้ ถ้ามีปัญหาอะไรก็บอกพวกเราได้”
จำเริญคิดอยู่อีกครู่แล้วตัดสินใจ
“นักวิชาการจนๆ อย่างพวกคุณช่วยอะไรผมไม่ได้หรอก”
จำเริญขึ้นเสียงแล้วใช้ด้ามปืนตบหน้าดำรงจนล้มเลือดกบปาก เปี๊ยะจะเข้าไปช่วยแต่จำเริญยกปืนขู่
“อย่านะ! อาจารย์ดารา คุณต้องมัดพวกผู้ชายไว้ที่นี่ ส่วนผู้หญิงทุกคนไปกับผม”
“จำเริญอย่าทำอย่างนี้เลย”
“ผมสั่งให้ทำ...เร็ว”
จำเริญขึ้นเสียงแต่มือสั่นระริก
ยงยุทธกับจ่าแท่นเข้ามาในป่าเดินสำรวจตามหาวาสนาแถวน้ำตกจนจ่าแท่นพบอะไรบางอย่าง
“หมวดครับ...มาดูนี่สิครับ” ยงยุทธตามจ่าแท่นมาที่ริมตลิ่งแล้วพบรองเท้าผู้หญิงตกอยู่ “สงสัยจะเป็นรองเท้าของนางวาสนานะครับหมวด”
“แสดงว่าเราตามรอยมาถูกแล้ว บางทีนางวาสนาอาจอยู่แถวนี้”
“หรือไม่บางทีก็อาจกลายเป็นเหยื่อพวกสัตว์ไปแล้ว”
“อย่าพูดอย่างนั้นสิจ่า...นางวาสนาเป็นคนเดียวที่จะให้เบาะแสเราตามเจอรูปปั้นทองคำ”
“ครับหมวด”
ระหว่างนั้นยงยุทธได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักดังแว่วมาให้ได้ยิน
“ชู่ววว์...ฟังสิจ่า...ผมได้ยินเสียงคนอยู่แถวนี้นะ”
“ใช่จริงๆ ด้วยครับ .เสียงผู้หญิง ผมไปดูให้เองครับหมวด”
จ่าแท่นชักปืนออกมาแล้วรีบไปตามเสียงลัดเลาะไปตามริมน้ำตก
จ่าแท่นเดินลัดเลาะตามโขดหินใกล้ๆ น้ำตกและได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักของวาสนาดังมากขึ้น แต่มาสะดุด แปลกใจเพราะเจอกระโปรงกับเสื้อและชั้นในของวาสนาถอดกองอยู่ที่พื้น จ่าแท่นหยิบขึ้นมาดูอย่างงงๆ ทันใดนั้นจ่าแท่นสะดุ้งโหยงสุดตัวเพราะวาสนากระโจนจากโขดหินมาตรงหน้าจังๆ ในสภาพเปลือยล่อนจ้อน
“แฮ่”
จ่าแท่นตกใจร้องเสียงหลง
“เฮ้ยยยยยยยย”
จ่าแท่นรีบวิ่งกลับมาที่ยงยุทธ
“จ่าเป็นอะไร...ร้องซะดังลั่นป่า เจอนางวาสนารึเปล่า”
“เจอครับหมวด แต่ว่า...”
“แต่อะไรจ่า”
“ก็นางวาสนาน่ะสิครับ มัน...มัน...”
“เขาเป็นอะไรจ่า”
จ่าแท่นชูเสื้อผ้าของวาสนาที่ติดมือมาด้วยให้ยงยุทธดู
“สงสัยนางวาสนาจะเป็นบ้าไปแล้วน่ะสิครับหมวด ผมเจอมันแก้ผ้าร้องรำทำเพลงอยู่ตรงโน้น”
“เป็นบ้าเหรอจ่า”
อีกด้านหนึ่งของป่า จำเริญถือปืนจี้ดารากับสองสาวนักศึกษาเดินมาตามทางและหยุดรอ
“อาจารย์คะ...หนูกลัวจังเลย เขาจะพาเราไปไหนคะ”
“ไม่ต้องกลัวนะ อาจารย์ว่าเขาไม่ใช้คนเลว อาจารย์จะพยายามเจรจากับเขา” ดาราปลอบใจลูกศิษย์แล้วหันไปทางจำเริญที่เหมือนกำลังรอใครสักคน “นายจำเริญ...จะพาพวกเราไปไหน”
“มีคนเขาจ้างให้ผมพาพวกนักศึกษามาส่งให้เขา”
“ใคร”
“ผมว่าอาจารย์อย่ารู้ให้มากเลยดีกว่า”
“ไม่ได้หรอกจำเริญ นักศึกษาทุกคนอยู่ในความดูแลของชั้น ชั้นจะไม่ยอมให้พวกเขาเป็นอะไรไปเด็ดขาด...ใครจ้างเธอให้ทำเรื่องอย่างนี้” จำเริญนิ่งไม่ยอมบอก “เอาอย่างนี้แล้วกัน...ถ้าเธอกำลังเดือดร้อนเรื่องเงิน เขาจ้างเธอเท่าไหร่ ชั้นจะให้เพิ่ม แต่เธอต้องปล่อยลูกศิษย์ของชั้นไป” จำเริญเริ่มลังเล “ชั้นมีเงินเก็บจริงๆ นะจำเริญ เธออย่าทำอย่างนี้เลยเชื่อชั้น”
จำเริญลังเลเหมือนจะเปลี่ยนใจ แต่ทันใดนั้นสัมฤทธิ์ก็โผล่เข้ามาพร้อมลูกน้องอีก 2 คน
“สายไปแล้วอาจารย์ดารา...เงินของอาจารย์มันช่วยชีวิตไว้ไม่ได้แล้ว”
ดาราตกใจ
“นายสัมฤทธิ์”
สัมฤทธิ์กับพวกลูกน้องพาดาราและนักศึกษาเข้ามาถึงหน้ากระท่อม
“ปล่อยเราไปเดี๋ยวนี้นะสัมฤทธิ์...นี่พวกแกพาเรามาที่นี่ทำไม”
สัมฤทธิ์รำคาญเพราะดาราเอาแต่ดิ้นมาตลอดทางเลยเข้าไปเอามือบีบปาก
“หนวกหูน่าอาจารย์ดารา ชะตาใกล้จะขาดอยู่แล้ว อย่ามาทำอวดเก่งไปหน่อยเลย”
ดาราเจ็บใจเอามือปัดมือสัมฤทธิ์อย่างแรง
“ก็ลองดูสิ ถ้าพวกแกทำอะไรชั้นกับลูกศิษย์ล่ะก็ ยงยุทธจะตามล่าแกจนไม่มีแม้แต่แผ่นดินให้แกเหยียบได้อีก”
“หึๆๆ ชั้นจะบอกอะไรให้นะอาจารย์ ทันที่ที่คำขอของชั้นได้สมประสงค์ ต่อให้เป็นไอ้หมวดยงยุทธ วีรบุรุษบาป หรือแม้แต่ไอ้ขุนเดช หน้าไหนชั้นก็ไม่กลัวพวกมันอีก ไอ้จำเริญ...แกไปเฝ้าข้างนอกไว้”
“ชั้นขอเงินก่อนตอนนี้เลยไม่ได้เหรอพี่สัมฤทธิ์”
“ใจเย็นสิวะ ไม่เห็นเหรอไงว่าตอนนี้ข้ายุ่ง เสร็จงานแล้วเอ็งได้ส่วนแบ่งแน่”
สัมฤทธิ์หันไปพยักหน้าให้พวกลูกน้องเข้าไปชกท้องน้อยนักศึกษาจนสลบหมดสติ
“อย่านะ...อย่าทำร้ายลูกศิษย์ชั้น”
สัมฤทธิ์หัวเราะสะใจ ลูกน้องพยุงตัวลูกศิษย์ดาราพาเข้าไปในกระท่อม สัมฤทธิ์หันมาจิกผมดาราแล้วทำหน้าเย้ยหยัน
“อยากรู้ใช่มั้ยว่าชั้นพาพวกแกมาทำอะไร...จะให้ดู”
สัมฤทธิ์ลากตัวดาราเข้าไปในกระท่อม จำเริญมองตามสีหน้ากังวลอยากรู้ว่าสัมฤทธิ์จะทำอะไร
ในกระท่อมกบกับหยินถูกลูกน้องสัมฤทธิ์พามานอนคู่กันต่อหน้าแท่นบูชารูปปั้นนางรำทองคำแล้วพากันออกไป
“รูปปั้นนางรำทองคำ สมบัติของแม่นางเมือง...นี่แก...แกจะเอาชีวิตพวกเรามาเซ่นบูชา แม่นางเมืองเพื่อให้แกสมหวังงั้นเหรอ”
สัมฤทธิ์ยิ้มรับแต่คนที่ออกมาตอบก็คือผกา
“ฉลาดนี่ดารา สมกับเป็นอาจารย์โบราณคดีที่รู้เรื่องราวของสมบัติโบราณดี”
“ผกา”
“เป็นไงคุณผกา ผู้หญิงที่ผมพามาใช้ได้ใช่มั้ย”
ผกาเดินเข้าไปดูกบกับหยินที่นอนหมดสติ
“นักศึกษาสาวๆ สวยๆ แบบนี้ น่าจะถูกใจแม่นางเมือง ทำได้ดีมากสัมฤทธิ์”
“ถ้าอย่างนั้นสำหรับอาจารย์ดารา ผมขอเป็นรางวัลฆ่าเวลาระหว่างรอให้แม่นางได้เครื่องเซ่น คงไม่ขัดข้องพิธีกรรมใช่มั้ยคุณผกา”
ผกาเข้าไปมองดาราอย่างเย้ยหยันหัวจรดเท้า
“อาจารย์ดารา...ประดับเคยเล่าให้ชั้นฟังว่าเธอเป็นผู้หญิงที่ทั้งยงยุทธและขุนเดชต่างพากันรุมชอบ ถ้าจะให้เธอตายเพราะเป็นเครื่องเซ่นให้แม่นางเมืองก็คงจะไม่สะใจ...สัมฤทธิ์ แกอยากทำอะไรมันก็จัดการเลย แกจะได้เอาไปเยาะเย้ยทั้งไอ้ยงยุทธ ทั้งไอ้ขุนเดชว่าผู้หญิงของมันเสียสาวให้แกแล้ว”
ดาราตกใจหน้าเสีย ยิ่งหันไปเห็นสัมฤทธิ์มองเธออย่างกะลิ้มกะเหลี่ยดาราก็ยิ่งตกใจ
จำเริญซึ่งแอบฟังอยู่ข้างๆ กระท่อมได้ยินเข้าก็ตกใจ
“พี่ขุนเดชกับอาจาร์ดารา ซวยแล้วเรา”
ระหว่างนั้นสัมฤทธิ์ลากตัวดาราออกมา
“ปล่อยชั้นนะ ไอ้สารเลว ปล่อยชั้น”
“พี่สัมฤทธิ์...ชั้นขอล่ะ อย่าทำอะไรอาจารย์ดาราเลย”
“อะไรของเอ็งวะไอ้จำเริญ เห็นหน้านังนี่เข้าหน่อยถึงกับใจอ่อนเลยเหรอ”
“คือพี่...พี่ขุนเดชเคยมีบุญคุณกับแม่ชั้น ถ้าเขารู้ว่าชั้นทำให้อาจารย์ดาราเป็นอะไรไป เขาต้องไม่ยกโทษให้ชั้นแน่”
“อ๋อ...นี่แกกลัวไอ้ขุนเดชมากกว่ากลัวหาเงินไปรักษาแม่แกไม่ได้ใช่มั้ย”
“ไม่ใช่นะพี่...คือชั้น...”
“หุบปากเอ็งไปเลย...ถ้ายังอยากได้เงินไปรักษาแม่เอ็งล่ะก็อยู่เฉยๆ ไม่งั้น ข้าจะใช้ลูกปืนช่วยรักษาแม่เอ็งให้ตายอย่างไม่ต้องทรมาน ฮ่าๆๆๆ”
สัมฤทธิ์จิกหัวดาราพาออกไป ดาราร้องให้ช่วยเสียงดัง
“จำเริญ...ช่วยชั้นด้วย จำเริญ...ช่วยด้วย”
จำเริญมองตามหน้าเครียด
ยงยุทธกับจ่าแท่นถึงกับปาดเหงื่อหลังช่วยกันจับวาสนาใส่เสื้อผ้าเรียบร้อย
“โอ้ย...แค่จับคนบ้าใส่เสื้อผ้านี่เล่นเอาเหงื่อแตกเลยนะครับหมวด”
จ่าแท่นพูดไปก็หันไปมองวาสนาที่ยืนร่ายรำตาลอยบ้าไปแล้ว
“น่าแปลกที่อยู่ๆ ก็เป็นบ้าไปได้”
“แต่ผมว่าไม่แปลกหรอกครับหมวด พวกใจบาปหยาบช้าเคยทำกรรมชั่วอะไรไว้ ถึงเวลากรรมก็สนอง ดูอย่างผัวมันสิครับ สุดท้ายก็ถูกยิงตาย ส่วนนังวาสนาก็คงเจออาถรรพ์แม่นางเมืองย้อนเข้าตัวจนเป็นแบบนี้”
“แต่เธอเป็นคนเดียวที่รู้ว่าจะตามหารูปปั้นนางรำทองคำได้ที่ไหน”
“นี่หมวดอย่าบอกนะครับว่าจะสอบปากคำคนบ้า”
“หรือว่าจ่าจะเป็นคนสอบปากคำแทนผม”
“ไม่ดีกว่าครับ...คุยกับคนบ้าเดี๋ยวผมพาลเป็นบ้าไปด้วย”
ยงยุทธเดินเข้าไปหาวสนาที่กำลังร่ายรำชะเอิงเอย
“คุณ...คุณ”
วาสนาหันมายิ้มหวาน
“เจ้าคะเสด็จพี่...เรียกหม่อมชั้นมีอะไรให้รับใช้เหรอเจ้าคะ”
จ่าแท่นถึงกับมึนตึบ
“เวร...แบบนี้หมวดจะรู้เรื่องมั้ยเนี่ย”
“ชั้นอยากรู้ว่ารูปปั้นนางรำทองคำอยู่ไหน พอจะบอกชั้นได้มั้ยว่าใครเป็นคนเอาไป”
“นางรำ...เสด็จพี่อยากให้หม่อมชั้นรำให้ดูเหรอเพคะ”
“ไม่ใช่...ชั้นหมายถึงรูปปั้นนางรำทองคำ สมบัติของแม่นางเมือง”
คราวนี้วาสนาชะงัก
“แม่นางเมือง...แม่นางเมือง” วาสนาตกใจจนหน้าตื่น อาการกลัวเข้ามาแทนที่ ตาขวางกรีดร้องลั่น...กรี๊ดๆๆๆๆ “กลัวแล้ว...อย่าทำอะไรชั้นเลย ชั้นกลัวแล้ว...อย่าเข้ามา กลัว...กลัว”
“ใจเย็นๆ คุณ ไม่มีใครทำอะไรคุณหรอก”
“ไม่...อย่าเข้ามา...อย่า...ชั้นกลัวแล้ว อย่า”
ยงยุทธรีบเข้าไปจับแขนดึงเอาไว้แต่ถูกวาสนาจับมือมากัดอย่างแรงแล้วสบัดวิ่งหนีออกไปทันที
“หมวด เป็นไงบ้างครับ”
“ผมไม่เป็นอะไร...รีบตามเธอไปเถอะจ่า เดี๋ยวจะเตลิดหายไปอีก”
จ่าแท่นรับคำแล้วรีบไล่ตามวาสนาไป ยงยุทธเจ็บมือที่โดนกัดอย่างแรง
อ่านต่อหน้าที่ 2
ขุนเดช ตอนที่ 13 (ต่อ)
ที่ไร่ของกำนันบุญ ไอ้นะกับไอ้เนถามหาสัมฤทธิ์จากคนงาน
“พี่สัมฤทธิ์มาตามไอ้จำเริญให้ไปทำงานให้เหรอวะ”
“จ้ะ...ไปกับไอ้หมากกับไอ้สุน”
“ทำไมพี่สัมฤทธิ์ไม่เรียกเราไปใช้งานวะ”
“แล้วพวกเอ็งรู้รึเปล่าว่าพี่สัมฤทธิ์เรียกให้ไปทำงานอะไร”
คนงานหันรีหันขวางดูไม่ค่อยอยากจะพูดเท่าไหร่ จนไอ้นะต้องกระชากคอเสื้อมาถาม
“รู้อะไรก็พูดมา”
“จ้ะๆๆ พี่สัมฤทธิ์อยากได้คนไปช่วยจับตัวพวกนักศึกษาสาวๆ ไปให้เขาจ้ะ ไอ้จำเริญมันกำลังร้อนเงินมันก็เลยอาสาไปจัดการให้”
ขุนเดชที่แอบตามมาและฟังอยู่ไม่ไกลได้ยินเข้าก็อึ้งไปทันที
“ไอ้จำเริญ”
ที่กระท่อมกลางป่าจำเริญเดินไปเดินมาหน้าเครียดๆ แล้วเข้าไปแอบดูผกาที่กำลังทำพิธีใช้กบกับหยินเป็นเครื่องเซ่น ส่วนไอ้หมากนั่งลับดาบใกล้ๆ
“เฮ้ย...เอ็งจะหยุดเดินไปเดินมาซะทีได้มั้ยวะ ข้าปวดหัวเว้ย” หมากบอกอย่างรำคาญ
“ข้าถามจริงๆ เอ็งรู้มาก่อนรึเปล่าวะว่าพี่สัมฤทธิ์ให้จับพวกนักศึกษามาทำอะไร”
“รู้สิวะ”
จำเริญกระชากคอเสื้อหมากทันที
“เอ็งรู้งั้นเหรอ...ทั้งๆ ที่รู้ว่าต้องพาเขามาตาย แต่เอ็งกลับไม่บอกข้า”
“จะพาพวกมันมาตายแล้วเกี่ยวอะไรกับเอ็งด้วยวะ ยังไงเอ็งก็ได้เงินไปรักษาแม่ อย่าทำปอดคิดกลับเนื้อกลับตัวเอาตอนนี้เลย มันสายไปแล้วเว้ย”
หมากผลักจำเริญจนเซ ยิ่งได้ยินเสียงร้องของดาราดังมาจากอีกด้านหนึ่งของกระท่อมก็ยิ่งหน้าเสีย
“ช่วยด้วย...อย่า...อย่าเข้ามานะ...ไอ้สารเลว..ช่วยด้วย”
ดาราร้องตะโกนและพยายามหนีแต่ถูกสุน ลูกน้องของสัมฤทธิ์ดักทาง ดาราตั้งการ์ดพร้อมสู้เพราะพอมีฝีมือ พอสุนเข้ามาใกล้เธอเลยปล่อยทั้งหมัดทั้งถีบเล่นเอาสุนจุกเจ็บ แต่พอจะหนีต่อกลับเจอสัมฤทธิ์เข้ามาจ่อด้วยปืน
“ฤทธิ์เยอะเหลือเกินนะอาจารย์ แต่ผมก็ชอบนะ เวลาเราสนุกกันผมจะได้ไม่สนุกอยู่ คนเดียว ฮ่าๆๆๆ”
“ไอ้ชาติชั่ว”
ดาราง้างหมัดจะชกแต่สัมฤทธิ์เหนี่ยวไก ดาราชะงัก สัมฤทธิ์เลยเข้าไปชกที่ท้องทีเดียวดาราจุกตัวงอแทบหมดแรง
“ก็แค่นี้...หึๆๆๆ...เฮ้ย...จะมายืนดูทำไมวะ ข้าไม่ชอบให้มีถ้ำมองเว้ย...ออกไป”
สุนออกไปตามสั่งเหลือสัมฤทธิ์กับดาราที่จุกตัวงอไม่มีแรงตอบโต้ สัมฤทธิ์เข้าไปใกล้แล้วจะปลุกปล้ำ
“อย่านะ...ออกไป...ช่วยด้วย...ช่วยด้วย”
สัมฤทธิ์จับดาราขึงพืดแต่ระหว่างนั้นต้นไม้ใกล้ๆ ไหวไปมา สัมฤทธิ์หันขวับ
“เฮ้ย...ใครวะ...ไอ้สุน...ข้าบอกแล้วไง ข้าไม่ชอบถ้ำมอง ไสหัวไป” สัมฤทธิ์ด่าแล้วหันมาจะปลุกปล้ำดาราต่อ แต่ต้นไม้ยังไหวอีก สัมฤทธิ์ชักฉุนไม่พอใจ “ไอ้เวรเอ้ย ต้องโดนกระทืบสักทีก่อนใช่มั้ยถึงจะฟังภาษาคนรู้เรื่อง”
สัมฤทธ์เหน็บปืนแล้วเดินไปตรงที่ต้นไม้ไหวแต่แหวกดูแล้วไม่เจออะไร
“ไอ้เวร...อยู่ไหนวะ”
สัมฤทธิ์ถอยออกมาแล้วต้องชะงักเพราะเจอวาสนายืนฉีกยิ้มตาถมึงถึงใส่
“แฮ่”
วาสนาแยกเขี้ยวยิงฟันพร้อมชูก้อนหินขนาดจับสองมือเหนือหัวทุบเข้าที่หน้าสัมฤทธิ์ทีเดียวล้มตึงแน่นิ่ง วาสนาเข้ามาทำจมูกฟุดฟิดดมตัวดาราที่กำลังตกใจกลัวเสื้อผ้าหลุดลุ่ย
“อย่านะ…อย่าทำอะไรชั้น”
“ฮิฮิฮิ…ไม่ต้องกลัวหม่อมชั้นนะเพคะองค์หญิง หม่อมชั้นมาช่วยจัดการโจรป่าให้แล้ว เตร๊ง แตรง แตร๊ง แตร้งงงงง”
วาสนาเพี้ยนบ้าๆ บอๆ ร้องลิเกร่ายรำออกไป ดารางงและพยายามยันตัวลุก
สุนเดินกลับมาที่จำเริญกับหมากที่เฝ้าอยู่หน้ากระท่อม
“ไอ้สุน...แล้วอาจารย์ดาราล่ะ”
“เอ็งนี่ก็ถามแปลก เสียงเงียบไปแบบนี้แสดงว่าพี่สัมฤทธิ์คงพาไปเที่ยวสวรรค์แล้วมั้ง”
สุนหัวเราะชอบใจแล้วเดินไปตักน้ำจากตุ่มมากิน ส่วนไอ้หมากลับดาบเสร็จชูดาบดูความคมโดยไม่รู้ตัวว่า วาสนาโผล่มาจากข้างหลังแล้วใช้ก้อนหินทุบหัวทีเดียวสลบเหมือด
วาสนาหยิบดาบขึ้นมา แสยะยิ้มแล้วย่องเข้าไปข้างหลังใช้ดาบแทงจากข้างหลังทีเดียวดาบทะลุอก จำเริญหันมาเห็นพอดีก็ตกใจ วาสนาถือดาบที่มีเลือดชุ่มโชกร่ายรำไปมา จำเริญกลัวเลยรีบวิ่งหนีออกไป
“ฮิฮิฮิ...ฮ่าๆๆๆๆ”
วาสนาหัวเราะอย่างบ้าคลั่งแล้วหันไปมองตาขวางๆ ที่กระท่อม
ภายในกระท่อมกบกับหยินรู้สึกตัวแล้วและถูกจับมัดมือมัดปากไว้ด้วยกัน ผกาหันมายิ้มร้ายกับทั้งคู่ที่กลัวจนน้ำตาคลอ
“ไม่ต้องกลัวขนาดนั้นหรอก เดี๋ยวพอแม่นางเมืองได้พวกแกไปเป็นเครื่องเซ่นแล้ว พวกแกก็จะไปสบาย”
ผกาหัวเราะชอบใจแล้วหันไปพนมมือไหว้รูปปั้นนางรำทองคำ แต่วาสนาเข้ามาในกระท่อมพร้อมถือดาบ
“หยุดนะ อีนังกาลกิณี”
ผกาตกใจที่เห็นวาสนา
“นังวาสนา นี่แก...แกมาได้ไงเนี่ย”
“ชิชะชิชะ...มาจิกหัวเรียกข้า แบบนี้มันต้องตัดหัวซะแล้ว”
วาสนาควงดาบเข้าไปไล่ฟันผกาที่ร้องวี้ดว้ายหลบเป็นพัลวัน
“ช่วยด้วย...ช่วยด้วย...ว้ายยยยย”
ผกาหนีไปจนเกือบจะจนมุม สัมฤทธิ์ก็โผล่เข้ามาในสภาพหัวแตกชุ่มไปด้วยเลือดพร้อมปืน
“อีบ้า...มึงเล่นกูจนได้เลือด...มึงตาย”
เปรี้ยง...สัมฤทธิ์ยิงใส่แต่ไม่ถูก วาสนารีบวิ่งหนีออกทางหน้าต่าง สัมฤทธิ์เจ็บแค้นถือปืนไล่ตาม กบกับหยินดิ้นจนเชือกหลุดก็รีบฉวยโอกาสวิ่งหนี ผการีบอุ้มรูปปั้นนางรำทองคำเอาไว้
กบกับหยินวิ่งหนีมาจนมาเจอดาราที่ระหว่างทาง
“อาจารย์”
“กบ...หยิน...พวกเธอเป็นยังไงบ้าง”
“พวกเราปลอดภัยค่ะอาจารย์ อยู่ๆ ก็มีผู้หญิงบ้าโผล่มาจากไหนไม่รู้มาช่วยเราไว้”
“เขาก็มาช่วยอาจารย์ก็เหมือนกัน”
“พวกเรานึกว่าอาจารย์จะถูกพวกมันทำร้ายไปแล้ว ฮือๆๆๆ”
หยินร้องไห้ไม่หยุดพาลทำกบร้องไห้ไปด้วย ดาราดึงลูกศิษย์มากอดปลอบใจ
“ไม่เป็นไรนะ พวกเราปลอดภัยแล้ว ไม่ต้องกลัว”
ดาราปลอบลูกศิษย์ได้ครู่ก็ได้ยินเสียงคนเดินเข้ามา
“พวกมันรึเปล่าคะอาจารย์”
ดารารีบดันลูกศิษย์ให้หลบข้างหลัง แล้วคว้าท่อนไม้พร้อมจะรับมือแต่คนที่โผล่เข้ามาคือยงยุทธกับจ่าแท่น
“ยงยุทธ”
ดาราดีใจรีบโผเข้าไปกอด ยงยุทธแปลกใจสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมคุณกับลูกศิษย์ถึงมาอยู่บนนี้”
“พวกเราถูกจับตัวมาค่ะหมวด”
“ถูกจับตัวมา...ใครเหรอดารา”
อีกด้นหนึ่งของป่าสัมฤทธิ์ถือปืนมือหนึ่งอีกมือหนึ่งกุมหัวที่ชุ่มโชกด้วยเลือด
“อีบ้า..มึงคิดว่าหนีกูพ้นเหรอ...โผล่มาสิโว้ย...กูจะยิงให้ไส้แตกเลย”
สัมฤทธิ์เห็นต้นไม้ไหวข้างหลังก็หันไปยิงใส่ทันที...เปรี้ยงๆๆๆ ยิงแล้วก็เข้าไปดูแต่ไม่เจอวาสนา พอหันกลับมาอีกทีเจอวาสนายืนถือดาบชูเหนือหัว
“ตายยยยยย”
วาสนาฟันฉับลงมา สัมฤทธิ์เอี้ยวตัวหลบได้ทันแต่ปืนหลุดมือ วาสนาหัวเราะเสียงแหลมแล้ววิ่งไล่ฟันสัมฤทธิ์เป็นการใหญ่ จนสมฤทธิ์เกือบพลาดท่าดีที่เอามือรับมือวาสนาไว้ได้ทัน ก่อนจะตบหน้าวาสนาจนกระเด็นแล้วกระเสือกกระสนไปที่ปืน
วาสนาควงดาบร้องเสียงดังวิ่งเข้าใส่ สัมฤทธิ์คว้าปืนหันมาลั่นไกทันที...เปรี้ยง !! ลูกปืนเจาะกลางอก แล้วร่างวาสนาก็ทรุดฮวบลงมาทับตัวสัมฤทธิ์ ดาบปักเฉียดหน้าไปนิดเดียว
“อีบ้า...ออกไปให้พ้น”
สัมฤทธิ์ผลักวาสนาแล้วรีบลุกขึ้นมายิงซ้ำไม่หยุด..เปรี้ยงๆๆๆๆ จนวาสนานอนตายจนกองเลือดอย่างน่าเวทนา
ยงยุทธส่งพวกผู้หญิงให้จ่าแท่น
“พาทุกคนกลับไปแล้วส่งกำลังขึ้นมา ส่วนผมจะตามล่าไอ้สัมฤทธิ์เอง”
“ยงยุทธ...ระวังตัวด้วยนะ”
ดาราบอกอย่างเป็นห่วง ยงยุทธจับมือดารามากุม
“ครั้งนี้มันทำร้ายคุณเกินไปแล้ว ผมจะไม่ยอมให้อิทธิพลหน้าไหนมา คุ้มกะลาหัวไอ้สัมฤทธิ์ได้อีก...รีบพาทุกคนลงไปเถอะจ่า”
“ครับหมวด”
จ่าแท่นพานักศึกษากับดาราออกไป ดารากับยงยุทธมองส่งกันด้วยแววตาห่วงใย
อีกบริเวณของป่าไอ้นะกับไอ้เนพากำนันบุญกับประดับเข้ามา
“พวกเอ็งแน่ใจนะว่าไอ้สัมฤทธิ์พาคนมาช่วยผกาเซ่นบูชาแม่นางเมือง”
“ครับกำนัน...พี่สัมฤทธิ์ไปตามพวกคนงานในไร่ให้มาช่วย คิดว่าคงพากันไปทำพิธีที่ กระท่อมบนเขาแน่”
“นังผกา...มิน่ามันถึงหลอกให้ชั้นค้างคืน” ประดับนึกถึงผกาอย่างแค้นใจ
“ใจเย็นน่าคุณประดับ ผกากับลูกชายผมคงอยากจะขอพรจากแม่นางเมือง คงไม่คิดจะ แย่งรูปปั้นทองคำเอาไว้เองหรอก”
“แต่มันทำให้ชั้นเสียเวลา เพราะถ้าไอ้วีรบุรุษบาปกับยงยุทธรู้เรื่องเข้า มันคงไม่ปล่อยให้ ชั้นได้รูปปั้นทองคำกลับไปแน่”
“งั้นผมจะรีบตามกลับคืนมาให้”
กำนันบุญพาไอ้นะไอ้เนเดินออกไปก่อน แต่ประดับยังยืนอยู่กับเบิ้มเพราะรู้สึกผิดสังเกตรอบๆ บริเวณ
“มีอะไรเหรอครับคุณประดับ” เบิ้มถามอย่างแปลกใจ
“ระวังตัวให้ดี...ชั้นรู้สึกว่าไอ้วีรบุรุษบาปมันอยู่แถวนี้ อย่าให้มันได้รูปปั้นทองคำไปเด็ดขาด คราวนี้มันต้องตายด้วยมือชั้น”
ประดับชักปืนออกมาแล้วบรรจุกระสุนอย่างใจเย็นแต่มีท่าทางระมัดระวังและพร้อมรีบมือกับวีรบุรุษบาปเต็มที่
ขุนเดชในคราบของวีรบุรุษบาปหลบอยู่ไม่ไกล แววตาของขุนเดชรู้ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับศัตรูตัวร้ายแน่นอน
สัมฤทธิ์เดินกุมหัวตัวเองที่ยังมีคราบเลือดหัวแตกปากก็บ่นไป
“อีนังบ้าเอ้ย...เกือบจะได้พรของแม่นางเมืองอยู่แล้วเชียว ดันมาขัดจังหวะซะนี่”
สัมฤทธิ์แวะที่แอ่งน้ำตกกวักน้ำมาล้างหน้าล้างตา เลยไม่ทันระวังตัวยงยุทธโผล่มาข้างหลังพร้อมปืน
“หยุดอยู่ตรงนั้นแหละไอ้สัมฤทธิ์”
“หมวดยงยุทธ”
สัมฤทธิ์แตะปืนแต่ยงยุทธยิงไปที่พื้น...เปรี้ยง สัมฤทธิ์ชะงัก
“อย่าพยายามขัดขืนการจับกุมดีกว่าสัมฤทธิ์ ไม่อย่างนั้นชั้นจะไม่ส่งแกให้ไปติดคุกหัวโต อย่างเดียว แต่ชั้นจะหักแข้งหักขาแกให้พิการก่อน”
“ถุย อย่ามาขู่ชั้นเลย ชั้นไม่กลัวแกหรอกเว้ย แกจับชั้นได้กี่ครั้งแล้ว แต่สุดท้ายชั้นก็ไม่เคยต้องติดคุกสักกะที ฮ่าๆๆๆ”
“อิทธิพลของพ่อแกอาจจะช่วยไว้ได้ทุกครั้ง แต่ครั้งนี้หลักฐานมันแน่นหนา แกได้แก่ตาย อยู่ในคุกแน่ คุกเข่าลงแล้วชูมือขึ้นสูงๆ...เร็ว”
สัมฤทธิ์เจ็บใจขบกรามแล้วยอมทำตามที่สั่ง แต่พอยงยุทธเข้ามาใกล้ก็ขัดขืนแย่งปืนในมือ ทั้งยื้อยุดกันไปมาจน สามารถสะบัดปืนยงยุทธตกลงไปในน้ำตก สัมฤทธิ์ฉวยโอกาสพยายามหนีแต่ถูกยงยุทธคว้าคอไว้แล้วเปิดฉาก ซัดแลกหมัดกันไม่ยั้ง
กำนันบุญกับประดับเจอศพของวาสนานอนตายอยู่ กำนันบุญพลิกศพดู
“เมียไอ้วงศ์มันถูกยิงตายแล้วครับคุณประดับ”
“แล้วรูปปั้นทองคำล่ะ”
กำนันบุญยังไม่รู้อะไรจนไอ้นะกับไอ้เนพาตัวจำเริญที่ถูกเจอตัวเข้ามา
“กำนันครับ...พวกผมเจอไอ้เริญกำลังหนีอยู่ในป่าครับ”
กำนันบุญกระชากคอเสื้อจำเริญทันที
“นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไร”
“อยู่ๆ นังบ้านั่นก็โผล่มาจากไหนไม่รู้ มาไล่ฆ่าพวกเราครับกำนัน”
“แล้วผกากับไอ้สัมฤทธิ์ล่ะ”
“คุณ...คุณผกาเอารูปปั้นทองคำหนีไปแล้ว ส่วนพี่สัมฤทธิ์ฆ่านังบ้านั่นแล้ว...แล้ว...”
“แล้วอะไร”
“ชั้นเห็น…เห็นพี่สัมฤทธิ์กำลังจะถูกตำรวจจับจ้ะกำนัน”
“ไอ้สัมฤทธิ์”
กำนันบุญชกหน้าจำเริญจนล้มเลือดกบปากแล้วชักปืนจะยิงซ้ำแต่ประดับเข้ามาจับมือไว้
“อย่ามาเสียเวลากับไอ้พวกนี้เลย รีบไปช่วยลูกกำนันเถอะ ส่วนชั้นจะตามหาผกาเอง”
กำนันบุญเจ็บใจเก็บปืนแล้วพาไอ้นะกับไอ้เนไปด้วย ส่วนประดับกับเบิ้มแยกไปอีกทาง ทิ้งจำเริญที่เจ็บหน้าเลือดเต็มปากไว้คนเดียว
สัมฤทธิ์แลกหมัดกับยงยุทธ ฝีมือของสัมฤทธิ์เป็นรองยงยุทธอยู่มากเลยโดนเล่นงานทั้งหมัดเข่าศอกจน โงนเงนหน้าตาโชกไปด้วยเลือด ยงยุทธจะตามไปซ้ำด้วยหมัดแต่สัมฤทธิ์รีบยกมือไหว้ท่วมหัว
“พอๆๆๆๆ…พอแล้วครับหมวด ผมยอมแล้ว”
“ชั้นเตือนแล้วอยากไม่เชื่อเอง”
“จะให้ผมไปติดคุกติดตะราง ผมยอมแล้ว จับผมใส่กุญแจมือเถอะครับ”
สัมฤทธิ์แสดงอาการเจ็บไปทั้งตัวจนยงยุทธเชื่อกำลังจะเอากุญแจมือเข้าไปใส่ให้สัมฤทธิ์แต่ถูกมันเล่ห์เหลี่ยมดึงมีดพกที่ซ่อนอยู่ที่ข้อเท้าออกมาแล้วแทงเข้าที่ช่องท้องของยงยุทธทันที…ฉึก
ยงยุทธสะดุ้งเฮือก สัมฤทธิ์ชักมีดออกมาแล้วหัวเราะสะใจ
“เป็นไงล่ะไอ้ยงยุทธ...อยากจับข้านักไม่ใช่เหรอ...เข้ามาสิวะ มาให้ข้ากระซวกแกให้ไส้ ทะลักเลย ฮ่าๆๆๆๆ”
“ไอ้...ไอ้สัมฤทธิ์”
ยงยุทธเอามือจับช่องท้องเลือดเต็มมือ แต่ข่มความเจ็บดวงตาแข็งกร้าวเอาจริง
ผกาอุ้มรูปปั้นนางรำทองคำวิ่งหนีเข้ามา ผกาหยุดเหนื่อยหอบพักเอาแรงได้ครู่แต่พอจะก้าวเท้าไปต่อก็ต้องหยุดชะงักเมื่อเจอวีรบุรุษบาปมายืนขวางทาง
“แก...วี...วีรบรุษบาป” ผการีบถอยหลังหนีกลับไปทางเดิม แต่ก็เจอวีรบุรุษบาปโผล่มาขวางทางอีก “อย่านะ…อย่าเข้ามา แม่นางเมืองช่วยชั้นด้วย ชั้นสัญญาว่าชั้นจะถวายเครื่องเซ่นที่ ท่านถูกใจ แต่ท่านต้องช่วยชั้นจัดการมันด้วย”
ผกาพยายามจะพึ่งรูปปั้นทองคำที่อุ้มมาด้วย แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ไม่มีใครช่วยแกได้หรอก คนใจบาปต้องถูกตัดสินด้วยโทษประหาร”
วีรบุรุษบาปชักดาบดำออกจากฝัก ผกาหน้าซีด
“ช่วย…ช่วย..ช่วยด้วย…ช่วยด้วย”
วีรบุรุษบาปควงดาบเดินเข้าไปหา แต่ทันใดนั้นเสียงปืนดังขึ้น...เปรี้ยง ขุนเดชชะงักหันไปเจอประดับที่มากับเบิ้ม
“ไม่ใช่หรอกไอ้วีรบุรุษบาป…ชั้นต่างหากที่กำลังตัดสินโทษประหารให้แก”
“ประดับ” ผการีบอุ้มรูปปั้นวิ่งไปหาประดับทันที “จัดการมันเลยประดับ คราวนี้อย่าให้มันหนีรอดไปได้นะ”
ประดับหันมาที่ผกาแล้วตบหน้าไปฉาดใหญ่ทันที…เพี๊ยะ ส่วนวีรบุรุษบาปยังถูกเบิ้มเอาปืนชี้ขู่อยู่
“ประดับ”
“ถ้าเธอไม่มีรูปปั้นทองคำอยู่กับตัว ชั้นปล่อยให้มันฆ่าเธอไปแล้ว ไอ้เบิ้ม...พาผากับรูปปั้นกลับไป”
“ครับคุณประดับ”
เบิ้มเข้าไปจับแขนผกาพาออกไปพร้อมกับรูปปั้นทองคำ วีรบุรุษบาปขยับจะตามไปเอารูปปั้น แต่เจอประดับยิงปืน ใส่พื้นขวางเอาไว้...เปรี้ยง
“หน้าที่รักษาวัตถุโบราณของแกมันจบลงแล้วไอ้วีรบุรุษบาป”
ประดับเหนี่ยวไกยิงไปที่วีรบุรุษบาปทันที...เปรี้ยงๆๆๆ แต่วีรบุรุษบาปกระโจนหนีวิถีกระสุน จนประดับยิงหมด ลูกโม่ แต่ประดับก็เตรียมดาบมาด้วยจึงชักดาบออกมาพร้อมรับมือวีรบุรุษบาป
ยงยุทธเจ็บท้องเพราะแผลถูกแทง สัมฤทธิ์ได้ทีโยนมือสลับไปมาสองมืออย่างกวนตรีน
“ว่าไงล่ะหมวดยงยุทธคนเก่ง...เจอแทงเข้าไปแค่แผลเดียวถึงกับหมดแรงเลยเหรอ...ไอ้ แบบนี้มันไม่เก่งจริงนี่หว่า”
“ชั้นต้องลากคอแกไปให้กฏหมายลงโทษให้ได้”
ยงยุทธกัดฟันกำหมัดปรี่เข้าไปเล่นงาน แต่คราวนี้แรงหายไปเยอะสัมฤทธิ์เลยหลบหมัดได้ง่ายๆ แถมยังตวัดมีด ในมือจนโดนแขนยงยุทธได้อีกแผล
“ฮ่าๆๆ...สงสัยว่าหมวดจะต้องตายเป็นซากศพให้สัตว์ในป่ามันแทะกินแทนซะแล้วมั้ง” ยงยุทธปรี่เข้าไปอีกเลยโดนสัมฤทธิ์ถีบกระเด็น “แต่คนอย่างไอ้สัมฤทธิ์มันไม่ใจร้ายไส้ระกำขนาดนั้นหรอกนะ หลังจากฆ่าแกแล้ว ชั้นจะลากศพแกเข้าไปในเมือง ให้ทุกคนในศรีสัชนาลัยเห็นกับตาว่าบนแผ่นดินนี้ ไอ้สัมฤทธิ์ต่างหากที่คือกฏหมาย”
สัมฤทธิ์หัวเราะเสียงดังควงมีดสั้นในมือเดินตรงเข้าไปจะจัดการกับยงยุทธให้ตาย แต่ยงยุทธไม่ยอมแพ้กัดฟัน เค้นแรงเฮือกสุดท้ายจิกมือกำหมัดแน่น
“หมัด...ฟ้า...ฟาด”
ยงยุทธฮึดขึ้นพรวดแล้วกระโจนใส่สัมฤทธิ์ด้วยหมัดไม้ตาย...หมัดฟ้าฟาด สัมฤทธิ์โดนเข้าไปที่หน้าเต็มๆ จนเซ โงนเงน มีดสั้นหลุดจากมือ ยงยุทธตามไปกระชากคอเสื้อมาซ้ำด้วยหมัดหนักเข้าหน้า
“กฏหมายต้องอยู่ในมือของคนดี... ถ้าแผ่นดินยังไม่กลบหน้าชั้น... ชั้นจะไม่ปล่อยให้โจรเป็นคนเขียนกฏหมายเด็ดขาด”
หมัดสุดท้ายยงยุทธอัพเปอร์คัทเสยปลายคางจนสัมฤทธิ์ทรุดฮวบตาปรือหมดสภาพ ยงยุทธยืนหอบเพราะเจ็บแผลที่ท้องที่เลือดยังไหลไม่หยุด แต่ขณะที่กำลังจะจับสัมฤทธิใส่กุญแจมือ ไอ้นะกับไอ้เนก็เข้ามาพร้อมกับยิงปืนใส่...เปรี้ยงๆๆๆๆ
ยงยุทธต้องรีบวิ่งหนีกระสุนเอาตัวรอดพลาดการจับกุมสัมฤทธิ์ กำนันบุญตามเข้ามาดูลูกตัวเอง
“ไอ้สัมฤทธิ์...ไอ้สัมฤทธิ์”
“พะ...พ่อ...ชั้นเจ็บ”
“อดทนไว้นะลูก เอ็งปลอดภัยแล้ว พ่อจะตามไปจัดการมันเอง ไอ้เน...เอ็งอยู่กับ ลูกข้า ไอ้ยงยุทธ...มึงตาย”
กำนันบุญรีบออกไปทิ้งไอ้เนให้ดูแลสัมฤทธิ์
ดาบของประดับกับดาบดำของวีรบุรุษบาปฟาดฟันใส่กันจนเกิดประกายไฟ สองคนงัดแรงใส่กัน สายตาจับจ้องเขม่นอย่างไม่มีใครยอมใคร
“ชั้นปล่อยให้แกมาเกะกะขวางทางชั้นนานเกินไปแล้ว...วันนี้ชั้นจะกระชากหน้ากาก แกออกมาให้ได้”
ประดับกดแรงลงไปจนวีรบุรุษบาปต้องย่อตัวรับแรงกด
“ข้าคือทหารของพระร่วง...ข้าจะปกป้องแผ่นดินไม่ให้พวกแกได้เป็นสัตตะโลหะบุรุษ”
วีรบุรุษบาปฮึดแรงต้านกลับกระแทกจนประดับกระเด็นแยกจากกัน
“นี่แกรู้เรื่องสัตตโลหะบุรุษแล้วเหรอ...หึ...แต่แกขัดขวางพวกข้าไม่ได้หรอก เพราะแกจะต้องตายก่อนที่จะได้เห็น”
ประดับควงดาบแล้วรุกเข้าใส่ เปิดฉากฟาดฟันกันด้วยเชิงดาบแลกกันมันส์หยด
ขณะนั้นยงยุทธใช้มือกุมท้องที่เลือดยังไหลไม่หยุดไต่ตามโขดหินเหนือน้ำตกหนีการไล่ตามของไอ้นะเปรี้ยงๆๆๆ เสียงปืนยิงไล่หลัง ยงยุทธหนีมาจนสุดทางด้านล่างเป็นแอ่งน้ำ ก้มมองดูแผลที่ท้องตัวเองคิดว่าถอย กลับไปคงรับมือไม่ได้แน่ ยงยุทธเลยตัดสินใจกระโดดลงไปที่แอ่งน้ำข้างล่างทันที...ตูม
ไอ้นะกับกำนันบุญตามเข้ามาเห็นยงยุทธตกลงไปในน้ำแล้ว กำนันบุญเอาปืนยิงใส่ไม่หยุด
“มันคงตายแล้วล่ะครับกำนัน”
กำนันบุญหยุดยิงมองลงไปที่แอ่งน้ำอันเชี่ยวกราก
“ตอนนี้ไอ้สัมฤทธิ์คงถูกหมายหัว ข้าไม่รู้ว่าจะช่วยให้มันพ้นผิดได้เหมือนทุกครั้งรึเปล่า เอ็งกับไอ้เนพามันไปหลบที่ปลอดภัยก่อน แล้วข้าจะติดต่อไป”
“ครับกำนัน”
ไอ้นะออกไป กำนันบุญหันมาสีหน้าจริงจัง
วีรบุรุษบาปกับประดับฟาดฟันกันยังไม่จบฝีมือทั้งคู่สูสีกินกันไม่ลง ประดับหลบเชิงดาบของวีรบุรุษบาปได้ แล้วใช้ต้นไม้เป็นที่รับเชิงดาบ...ฉับ ดาบดำฝังอยู่ในเนื้อไม้แน่นจนวีรบุรุษบาปดึงไม่ออก ประดับได้ทีไล่ฟัน จ้วง แทง วีรบุรุษบาปกลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ถอยไปเรื่อยจนสุดท้ายต้องยกมือเปล่าขึ้นรับคมดาบที่ฟาดลงมาเกือบจะแสกหน้า
“เสร็จข้าล่ะ ไอ้วีรบุรุษบาป”
ประดับออกแรงเต็มที่มือของวีรบุรุษบาปถูกคมดาบจนได้เลือดและกำลังจะหมดแรงต้าน แต่ทันใดนั้นเสียงปืน ดังขึ้น...เปรี้ยง ประดับกับวีรบุรุษบาปหันไปเห็นจ่าแท่นพากำลังตำรวจเข้ามา
“วันนี้ถือว่าแกโชคดี แต่ชั้นจะไม่ปล่อยให้แกมาขวางทางชั้นอีกแน่ ดาบดำของแกไม่มีทางหยุดสัตตโลหะบุรุษได้หรอก”
ประดับบอกอย่างเจ็บใจแล้วถีบวีรบุรุษบาปกระเด็นแล้วรีบฉวยโอกาสหนี จ่าแท่นกับตำรวจเข้ามาทุกคนยกปืนจ่อพร้อมจะจับวีรบุรุษบาปขณะที่ไปดึงดาบดำออกมาจากต้นไม้
“หยุดอยู่ตรงนั้นนะวีรบุรุษบาป”
วีรบุรุษบาปยืนนิ่งแต่มือกำดาบดำแน่นในท่าพร้อมสู้สบตากับจ่าแท่นไปมา
“เอาไงครับจ่า”
จ่าแท่นมองตาวีรบุรุษบาปแล้วตัดสินใจ
“ปล่อยมันไปก่อน...เราต้องรีบไปช่วยผู้หมวด”
“แต่ว่า”
“ผมสั่ง...ไป” พวกตำรวจพากันลดปืนแล้วถอยออกไป จ่าแท่นกับวีรบุรุษบาปยังสบตากัน “ถ้าเจอกันอีกครั้ง ชั้นจะไม่ทำแบบนี้อีก”
“ขอบคุณครับจ่า”
วีรบุรุษบาปเก็บดาบแล้วออกไป จ่าแท่นถอนใจยาว
ที่ริมตลิ่งน้ำไหลเอื่อยๆ ยงยุทธปีนป่ายขึ้นมาจากน้ำในสภาพใกล้หมดแรง แต่ยังฮึดสู้เอามือกุมท้องที่เลือดยังไหลอยู่พยายามลุกขึ้นเดิน แต่แรงก็ไม่มีเหลือเข่าทรุดลงไปอีก เท้าของวีรบุรุษบาปก้าวเข้ามา ยงยุทธเงยหน้าเห็นก็อึ้งไป
“แก”
ยงยุทธยันตัวลุกขึ้นแล้วตั้งการ์ดเชิงมวยเตรียมสู้แม้ปากจะซีดจนไม่มีสีเลือดแล้ว
“คุณไม่มีแรงเหลือแม้แต่จะเดินแล้วนะหมวด”
“จะหยุดไม่ให้ชั้นจับแก แกก็ต้องฆ่าชั้นเท่านั้น”
ยงยุทธเดินสะเปะสะปะเข้าไปพยายามชกใส่แต่ก็เซล้มหมดสภาพเต็มทน
“หยุดเถอะหมวด…เราไม่ควรจะมาเป็นศัตรูกัน”
“ชั้นไม่ญาติดีกับโจร” ยงยุทธลุกขึ้นอีกจะเข้าไปชกอีกแต่ก็หมดแรงจริงๆ นอนแผ่หราอยู่ที่พื้นตาปรือใกล้จะหมดสติ “ฆ่าชั้นซะไอ้วีรบุรุษบาป เพราะถ้าแกปล่อยให้ชั้นมีชีวิตรอด ชั้นจะเป็นฝ่ายตามล่าแก”
วีรบุรุษบาปตัดสินใจชักดาบดำออกมา คมดาบต้องแสงแดดเข้าตายงยุทธที่นอนยิ้มหัวเราะอย่างสมเพทตัวเอง
“ฮ่าๆๆๆๆ…ชั้นไม่กลัวความตาย เพราะชั้นได้ทำดีจนวินาทีสุดท้ายแล้ว ฮ่าๆๆๆๆ ฆ่าชั้น เลยไอ้วีรบุรุษบาป ถึงวันนี้ชั้นต้องตายด้วยมือของแก แต่กฏหมายจะยังตามล่าแก แกจะต้องหนีไปตลอดชีวิต”
วีรบุรุษบาปยกดาบดำขึ้นแล้วแทงลงไปทันที…ฉึก ดาบดำปักลงดินใกล้ๆ กับหน้าของยงยุทธ
“ผมปล่อยให้คุณตายไม่ได้หรอกหมวดยงยุทธ เพราะคุณคือคนเดียวที่ผมจะยอมให้จับ”
วีรบุรุษบาปถอดหมวกออกแล้วค่อยๆ คลี่ผ้าขาวม้าที่พันหน้าออกช้าๆ ยงยุทธตาปรือมองเกือบจะได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงแต่ก็หมดสติไปซะก่อน ภาพสุดท้ายที่เห็นจึงเป็นภาพเบลอๆ ของใบหน้าขุนเดชที่มองไม่ชัดเลย
อ่านต่อหน้าที่ 3
ขุนเดช ตอนที่ 13 (ต่อ)
ยงยุทธนอนหมดสติอยู่ที่แท่นหิน หมอน้อยช่วยจัดการเย็บแผลและพันผ้ากอซให้เรียบร้อย ระหว่างนั้นขุนเดชพาดาราเข้ามา ดาราเห็นสภาพยงยุทธก็เป็นห่วงเข้าไปจับเนื้อจับตัว
“ยงยุทธ...ยงยุทธ”
“ตอนนี้หมวดยังยุทธยังไม่รู้สึกหรอกครับอาจารย์ คงต้องรออีกหลายชั่วโมง” หมอน้อยบอก
“อาการไม่ดีเหรอครับอาหมอ”
“แผลที่โดนแทงลึกเอาเรื่องอยู่ แถมยังเสียเลือดไปมากด้วย อาหมอต้องรีบทำความสะอาดแล้วเย็บแผล ถ้าจะพาเขาลงไปตอนนี้อาหมอไม่แนะนำ ควรจะให้ดีขึ้นกว่านี้”
“งั้นชั้นจะอยู่ดูแลเขาที่นี่เอง”
“ดารา...แต่เขาอาจจะรู้เรื่องของผม”
“ชั้นรับปาก...เขาจะไม่รู้เรื่องเธอ”
“ก็ได้...ดีเหมือนกัน ถ้ามันรู้สึกตัวขึ้นมาแล้วเจอเธออยู่ด้วย มันคงดีใจ”
ขุนเดชยิ้มให้ดาราแล้วจะออกไปกับหมอน้อย แต่ดาราเรียกไว้
“ขุนเดช” ขุนเดชชะงักหันมา “ขอบใจมากนะ”
ขุนเดชยิ้มรับแล้วออกไปกับหมอน้อยทิ้งให้ดาราเฝ้าดูแลยงยุทธ
ขุนเดชเดินออกมากับหมอน้อย ซึ่งขุนเดชมีสีหน้ากังวล
“อารู้ว่าขุนเดชคงเจ็บใจที่รักษาสมบัติโบราณไว้ไม่ได้ แต่การที่ขุนเดชเลือกช่วยชีวิตเพื่อนไว้ ขุนเดชตัดสินใจถูกแล้ว”
“เป้าหมายของพวกมันน่ากลัวมากนะครับอาหมอ ถ้าผมหยุดสัตตโลหะบุรุษเสียตั้งแต่ วันนี้ไม่ได้...แผ่นดินที่บรรพบุรุษสร้างไว้ให้พวกเราคงถูกทำลายย่อยยับ”
“อารู้ว่ามันยาก แต่หนักหนาสาหัสกว่านี้ บรรพบุรุษเราก็เคยผ่านมาได้แล้ว ขุนเดชกับหมวดยงยุทธก็ต้องทำให้ได้ไม่น้อยหน้าบรรพชน”
ขุนเดชรู้สึกมั่นใจขึ้นมาจึงยกมือไหว้
“ขอบคุณครับอาหมอ ถ้าอย่างนั้นผมคงต้องขอโทษ อาหมอด้วยนะครับที่ผมต้อง...”
“อาเข้าใจ ตามสบายเลยขุนเดช”
หมอน้อยยิ้มให้
ที่สถานีตำรวจจ่าแท่นรู้เรื่องจากบัวทองก็ตกใจ
“ว่าไงนะบัวทอง อาจารย์ดารากับหมอน้อยถูกวีรบุรุษบาปลักพาตัวไปเหรอ”
“ค่ะอาจ่า บัวทองเจอจดหมายที่เขาทิ้งไว้”
จ่าแท่นรับจดหมายจากบัวทองมาดูและอ่านจบอย่างรวดเร็ว
“มิน่าพวกเราถึงตามตัวหมวดยงยุทธไม่พบ ตอนนี้หมวดได้รับบาดเจ็บ มันเลยมาลักพาตัวหมอน้อยกับอาจารย์ดาราไปช่วยดูแล”
“ถ้าอย่างนั้นก็หายห่วงได้สิคะอาจ่า แสดงว่าเขาไม่ใช่ศัตรู”
“จะพูดอย่างนั้นไม่ได้หรอกนะบัวทอง เขาอาจจะวางแผนอะไรที่เราไม่รู้อยู่ก็ได้...ยังไง วีรบุรุษบาปก็เป็นคนนอกกฏหมาย จะให้ตำรวจทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นได้ยังไง” คำปันบอก จ่าแท่นชะงักหันไปมองคำปัน
“คำปัน...ความจริง...พี่...พี่นั่นแหละที่เป็นคนปล่อยวีรบุรุษบาปไป”
“พี่จ่า” คำปันตกใจ
“เยี่ยมไปเลยค่ะอาจ่า แบบนี้นี่สิลูกผู้ชายตัวจริง” คำปันตีแขนทันที
“บัวทอง...เรานี่ก็อีกคน”
“เอาน่าคำปัน...พี่รู้ว่าทำผิดกฏระเบียบ สัญญาเลยว่าครั้งต่อไปพี่จะไม่ทำแบบนี้อีก”
“ก็ไม่ใช่ว่าชั้นจะไม่เห็นด้วยกับการกระทำของวีรบุนุษบาปซะทีเดียวหรอกนะพี่จ่า แต่ชั้นไม่อยากให้มีคนเลียนแบบพฤติกรรมที่มันไม่ถูกต้อง...โดยเฉพาะ” คำปันใช้หางตามองบัวทอง “ลูกสาวตัวดีของชั้นเนี่ยแหละ”
ระหว่างนั้นตำรวจเข้ามารายงานจ่าแท่น
“จ่า...เราเพิ่งได้รับแจ้งว่าพบตัวหมอน้อยแล้วครับ”
จ่าแท่นช่วยแก้มัดเชือกที่มัดตัวหมอน้อยและผ้าที่ผูกปิดตาออก
“ขอบคุณครับจ่า”
“คุณหมอเป็นยังไงบ้างครับ มันทำอะไรหมอรึเปล่า”
“เปล่าครับ เขาแค่มาลักพาตัวผมให้ไปช่วยรักษาอาการบาดเจ็บของหมวดยงยุทธให้ แล้วก็พาผมออกมา”
“แล้วคุณหมอพอจะบอกผมได้รึเปล่าครับว่ามันพาตัวหมวดยงยุทธไปไว้ที่ไหน”
“ผมไม่รู้หรอกครับจ่า เขาเอาผ้าปิดตาผมไว้ทั้งตอนพาไปแล้วก็ตอนพาตัวออกมา”
“แล้วอาจารย์ดาราล่ะคะ เขาไม่ได้ปล่อยกลับมาด้วยเหรอ” คำปันถามอย่างเป็นห่วง
“อาการของหมวดยงยุทธยังไม่สามารถพาตัวออกมาได้ อาจารย์ดาราเลยต้องอยู่ดูแลก่อนครับ”
“แต่จะไว้ใจมันได้เหรอครับคุณหมอ”
“จ่า...ถ้าวีรบุรุษบาปคิดจะปล่อยให้หมวดยงยุทธตาย เขาคงไม่มาลักพาตัวผมไปรักษา หมวดหรอก”
“เห็นมั้ยแม่บอกแล้วว่าเขาไม่ใช่คนเลว” บัวทองบอกอย่างภูมิใจ คำปันมองค้อนขวับลูกสาว
“เอาล่ะ...ถ้าคุณหมอยืนยันว่าหมวดยงยุทธปลอดภัย ผมก็จะได้เบาใจ เพราะยังมีเรื่องสำคัญที่ผมต้องจัดการอีก”
ที่บ้านกำนันบุญ ผกาถูกประดับตบหน้าจนกระเด็น...เพี๊ยะ
“ประดับ...ชั้นขอโทษ” ผกาเลือดกบปาก
“ขอโทษเหรอ...เธอเกือบจะทำให้ไอ้วีรบุรุษบาปมันได้รูปปั้นทองคำไป ทำให้ชั้นเสียเวลา ทำให้ชั้นถูกท่านต่อว่า แค่นี้มันยังน้อยไปด้วยซ้ำ”
ประดับจะเข้าไปสั่งสอนผกาอีกแต่กำนันบุญเข้ามาห้าม
“พอเถอะครับคุณประดับ ผมว่าแค่นี้เธอก็สำนึกผิดแล้ว”
“กำนันไม่ต้องมายุ่ง”
“แต่ว่า...”
“กำนัน หรือว่ากำนันโดนมารยานังโสเภณีนี่เข้าไปด้วย เลยคิดจะออกรับแทน” ผกาเจ็บใจหันไปคว้าดาบที่แขวนบนผนังมากำแน่น “ผกา...นี่คิดจะสู้ชั้นเหรอ”
“ผู้หญิงชั้นต่ำอย่างชั้นจะหาญไปสู้ผู้ชายอกสามศอกอย่างเธอได้ยังไง”ผกาโยนดาบลงตรงหน้าประดับแล้วเชิดหน้าอย่างท้าทาย “ถ้าชั้นมันต่ำยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน ชั้นมันไร้ค่ากว่าสัตว์เลี้ยงที่เธอเห็นว่าไม่มีประโยชน์ เธอก็ต้องฆ่าชั้น ชั้นยอมตายด้วยน้ำมือเธอ”
“เธออย่าท้าชั้นนะผกา”
“ชั้นท้า”
ประดับฉุนคว้าดาบขึ้นมาชักออกจากฝักแล้วเหวี่ยงดาบไปที่ผกาทันที
“คุณประดับ”
ประดับหยุดค้างกลางอากาศ คมดาบห่างจากคอกำนันบุญที่เข้ามาขวางไปนิดเดียว
“กำนัน”
“ถ้ายังเห็นว่าเรายังต้องร่วมงานกันอยู่…ขอชีวิตผกาให้ผมแล้วกัน”
ประดับนิ่งไป
“หึ…ผีเน่ากับโลงผุ มันช่างเหมาะกันซะเหลือเกิน”
ประดับเก็บดาบเข้าฝักแล้วคืนดาบให้กำนันบุญ ระหว่างนั้นเบิ้มเข้ามา
“คุณประดับครับ ไอ้จ่าแท่นมันกำลังพากำลังตำรวจมาที่นี่ครับ”
“พวกมันคงมาเรื่องลูกชายผม ผมว่าคุณอย่ามาเสียเวลาอยู่ที่นี่เลย รีบนำรูปปั้นทองคำไปให้ท่านทำพิธีเถอะ”
“งั้นครั้งนี้กำนันคงต้องจัดการกับไอ้สัมฤทธิ์อย่างเด็ดขาดแล้ว ไม่งั้นมันจะทำให้เราเสียหาย หรือว่ากำนันไม่กล้าลงมือเองจะให้ชั้นลงมือให้ก็ได้”
“ผมมีวิธีแก้ปัญหาแล้ว คุณไม่ต้องห่วง ไอ้สัมฤทธิ์จะไม่ทำให้งานของเราต้องวุ่นวายอีก”
ประดับมองกำนันบุญอยู่อีกครู่ก่อนจะออกไปกับเบิ้ม ผกาจับมือกำนันบุญ
“พี่กำนัน…ขอบใจนะจ๊ะ”
กำนันบุญสะบัดมือจากผกาแสดงอาการไม่พอใจ
“อย่าให้มีแบบนี้อีกเด็ดขาดนะผกา”
กำนันบุญสั่งแล้วออกไป ผกาเชิดหน้าหงุดหงิด…เชอะ
จ่าแท่นพร้อมกำลังตำรวจค้นบ้านกำนันบุญแล้วแต่ไม่เจอ
“เป็นไงครับจ่า...จะให้ผมพาไปค้นที่อื่นอีกก็ได้นะครับ”
“ผมว่าไม่ต้องเสียเวลากันดีกว่ากำนัน กำนันเอาลูกชายไปซ่อนไว้ที่ไหน”
“ผมก็บอกจ่าไปแล้วไง ตั้งแต่เกิดเรื่องไอ้สัมฤทธิ์ก็หายหัวไป ผมเองก็อยากเจอหน้ามันเหมือนกันจะได้พาตัวไปสู้คดี”
“ครั้งนี้ลูกชายกำนันไม่มีทางรอดกฏหมายได้ติดคุกหัวโต”
“งั้นจ่าก็คงต้องเหนื่อยหน่อย เพราะอย่างไอ้สัมฤทธิ์มันคงไม่ยอมให้จับง่ายๆ”
“ที่ไม่ยอมน่ะ ไอ้สัมฤทธิ์หรือพ่อมัน”
“จ่าพูดแบบนี้กับผม ผมเอาเรื่องจ่าได้นะ”
“ก็ลองดูสิกำนัน...อย่าให้ผมรู้ก็แล้วกันว่ากำนันเอาลูกไปซ่อนไว้ที่ไหน จะเล่นทั้งพ่อทั้งลูกเลย กลับ”
จ่าแท่นออกไป กำนันบุญมองตามสีหน้าเจ็บใจ
ยงยุทธยังนอนพักฟื้นอยู่ในถ้ำศิลาดาราเอาผ้าชุบน้ำมาเช็ดตามเนื้อตัวและใบหน้าให้อย่างเป็นห่วง ระหว่างหันไปชุบน้ำใหม่บิดให้แห้ง ยงยุทธรู้สึกตัวลุกขึ้นมาพอดี
“ยงยุทธ...เธอยังลุกขึ้นมาไม่ได้นะ”
“ผม...ผมมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
“เขาช่วยชีวิตเธอไว้ พาหมอมารักษาแล้วให้ชั้นอยู่ดูแลเธอจนกว่าเธอจะกลับลงไปได้”
“เขา...คุณหมายถึง...มัน”
“ยงยุทธ”
ยงยุทธมีสีหน้ากราดเกรี้ยวยันตัวลุกขึ้นพยายามจะเดินออกไป ดาราตกใจพยายามห้าม
“หมอสั่งไม่ให้เธอลุกไปไหนเด็ดขาดนะ เธอต้องกลับมานอนพัก”
“ถ้ามันคิดว่าช่วยชีวิตผมแล้วผมจะติดหนี้บุญคุณมัน มันคิดผิด”
ยงยุทธเอามือกุมท้องแล้วเดินเซหุนหันออกไป
“ยงยุทธ”
ยงยุทธเดินเซมือกุมท้องที่เลือดค่อยๆ ซึมออกมา แต่ไปทันพ้นปากถ้ำก็เจอวีรบุรุษบาปยืนขวางทาง
“ผมไม่ได้อยากขวางทางคุณ แต่ถ้าปล่อยคุณไป คุณไม่พ้นได้นอนตายอยู่กลางป่าแน่”
“ให้ชั้นตายเป็นเหยื่อสัตว์ป่า ยังดีกว่ายอมรับความช่วยเหลือจากแก”
ยงยุทธฝืนความเจ็บปวดจะไปต่อแต่วีรบุรุษบาปยังขวางอีกเลยถูกยงยุทธชกแต่แรงไม่มีหมัดเลยถูกจับเอาไว้
“สภาพคุณตอนนี้ อย่าคิดสู้ผมเลย”
“ต่อให้ชั้นเหลือลมหายใจเฮือกสุดท้าย ชั้นก็จะไม่หยุดสู้กับแก”
“งั้นผมคงต้องสั่งสอนคุณ”
ขุนเดชชกหน้ายงยุทธจนเซ ดาราตามออกมาเห็นก็ตกใจจะเข้าไปห้ามแต่ถูกวีรบุรุษบาปจับตัวล็อคไว้
“ปล่อยดารานะเว้ย”
“ผมพาอาจารย์ดารามาเพราะอยากให้เขาช่วยดูแลคุณ แต่ถ้าคุณยังไม่เลิกหาเรื่องกับผม ผมอาจจะต้องทำร้ายเธอให้คุณหยุด”
วีรบุรุษบาปบีบปากดาราเพื่อขู่ ยงยุทธจ้องหน้าเจ็บใจ
ดาราพยุงยงยุทธกลับมานั่งที่เดิมแล้วช่วยดูแผลให้
“ดูสิ…เลือดออกมาอีกแล้ว มันจะทำให้เธอแย่ลงนะ”
“ถ้ามันอยากให้ผมอยู่ที่นี่นัก ผมจะยอมมัน แต่มันเผลอเมื่อไหร่ มันได้โดนผมกระชากหน้ากากแน่” ดาราหมั่นไส้ท่าทีของยงยุทธที่ยังทิฐิไม่หายเลยเอายาล้างแผลสาดใส่ไปที่แผลเต็มๆ “โอ๊ย ทำอะไรของคุณน่ะ ผมแสบนะ”
“ถ้าเธออยากเห็นชั้นถูกเขาทำร้าย...ก็เอาสิยงยุทธ”
“นี่คุณ”
“หุบปากได้แล้ว...ชั้นจะทำแผล เสร็จแล้วก็ต้องกินยาด้วย เข้าใจมั้ย” ดาราดุ แต่ยงยุทธยังมองหน้า “บอกว่าเข้าใจมั้ย”
ดาราขึ้นเสียงจนยงยุทธสะดุ้ง
“ขะ...เข้าใจก็ได้”
ยงยุทธหน้าจ๋อยๆ ดาราเลยก้มหน้าก้มตาล้างแผลให้อย่างหงุดหงิดจนยงยุทธหงอไปเลย
ขุนเดชยืนรอดาราอยู่ข้างนอกสักพักดาราก็เดินบ่นตามออกมา
“กว่าจะหมดฤทธิ์ได้...หึ คนอะไรก็ไม่รู้ ดื้อ รั้น มันน่าจะให้บาดทะยักกินตายไปเลย”
“มันก็เป็นของมันอย่างนี้มาตั้งแต่เด็ก ขนาดหลวงลุงยังเอามันไม่อยู่เลย”
“แต่ชั้นนึกว่าที่เธอช่วยเขาไว้จะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น เข้าใจวีรบุรุษบาป เลิกเป็นศัตรูกัน แล้วหันมาช่วยกันจัดการพวกใจบาป”
“เป็นไปไม่ได้หรอกดารา ถ้ายังจับผมไม่ได้ ผมกับมันก็ต้องเป็นศัตรูกันไปตลอดชีวิต”
“แต่ความเป็นเพื่อนจะไม่ทำอะไรให้มันเปลี่ยนแปลงเลยเหรอ”
“หน้าที่ส่วนหน้าที่ เพื่อนก็ส่วนเพื่อน”
ดาราหน้าเศร้า ถอนหายใจ
“งั้นถ้าครั้งต่อไปเราพลาดเหมือนอย่างครั้งนี้ที่พวกมันได้รูปปั้นทองคำไปทำพิธี ชั้นก็คงต้องสูญเสียทุกอย่างไปเพราะเราไม่สามารถหยุดพวกมันได้”
“ผมก็เคยกังวลเหมือนคุณ แต่อาหมอพูดถูก บรรพบุรุษของเราเคยผ่านเรื่องที่ยากกว่านี้มามาก ซากปรักหักพังก็มีให้เห็น แต่ผมคนนึงล่ะที่จะไม่ยอมแพ้ให้อายบรรพบุรุษ”
ขุนเดชพูดด้วยสีหน้ามั่นใจ ฮึกเหิมจนช่วยปลุกความมั่นใจให้ดารารู้สึกมีกำลังใจมากขึ้น
“ชั้นเข้าใจแล้วขุนเดช...ชั้นจะไม่ยอมแพ้ เราจะสู้ไปด้วยกัน แต่ก่อนอื่นชั้นต้องรับมือกับตาบ้าหัวดื้อในนั้นซะก่อนน่ะสิ...หึ คนใจแคบแค่สะกดคำว่าให้อภัยก็ไม่ได้”
ขุนเดชยิ้มกับคำพูดของดาราแล้วคิดอะไรบางอย่าง
ที่กระท่อมจำเริญ ขุนเดชเอาน้ำให้แม่จำเริญกินพร้อมกับยาที่นำมาให้
“ขอบใจนะจ๊ะพ่อขุนเดช”
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะน้า ยาที่ชั้นเอามาให้น้าก็เก็บไว้กิน ถ้าใกล้จะหมดก็บอกชั้น”
“พ่อช่างประเสริฐแท้ ชาตินี้น้ากับไอ้จำเริญไม่รู้จะตอบแทนบุญคุณพ่อได้ยังไง”
“ไม่ต้องตอบแทนอะไรชั้นหรอกจ้ะ ว่าแต่จำเริญไม่กลับมาเลยเหรอ”
แม่จำเริญถอนใจอย่างเป็นห่วง
“จ้ะ...หายหัวไปหลายวันแล้ว ไม่รู้ว่าไปไหน น้ากลัวว่ามันจะไปมีเรื่อง” ขุนเดชนิ่งไป แม่จำเริญเห็นสีหน้าขุนเดชแล้วสงสัยจึงถามขึ้นมา “ไอ้จำเริญมันไปก่อเรื่องอะไรใช่มั้ยพ่อขุนเดช ไอ้ลูกคนนี้...มัน กำลังจะบวชให้น้าอยู่แท้ๆ”
“ใจเย็นเถอะน้า เอาเป็นว่าถ้าจำเริญกลับมา บอกให้มันไปหาชั้นด้วย”
ขุนเดชยิ้มรับแล้วหันไปมองที่พระพุทธรูปปางประทานอภัยที่ให้แม่จำเริญไว้บูชา
คืนนั้นเมื่อจำเริญกลับมา แม่จึงบอกให้ไปหาขุนเดชแต่จำเริญหันมาเสียงแข็ง
“ชั้นไม่ว่างไปหาพี่ขุนเดชหรอกแม่”
“ทำไม...เอ็งไปก่อเรื่องอะไรมาใช่มั้ย เอ็งถึงไม่กล้าไปเจอหน้าเขา”
“ชั้นไม่ได้ไปก่อเรื่องอะไรมานะแม่ แต่ชั้นไม่ว่างจริงๆ เพราะชั้นต้องเตรียมงานบวช”
“เอ็งอย่าเอาเรื่องบวชมาอ้าง ถ้าเอ็งไปทำเรื่องชั่วๆ มาแล้วคิดจะหลบหลังผ้าเหลือง เอ็งก็ไม่ต้องบวช”
“แต่แม่อยากเห็นชั้นบวชไม่ใช่เหรอ”
“ใช่...ข้าอยากเห็นเอ็งบวช ข้าจะได้นอนตายตาหลับ แต่ถ้าเอ็งบวชแล้วทำให้ผ้าเหลืองมัวหมอง ข้าก็ขอตายซะดีกว่า”
แม่จำเริญพูดไปก็ไอไม่หยุด จำเริญเป็นห่วงรีบเข้าไปประคอง แต่แม่จำเริญปัดมือลูกอย่างไม่ไยดี
“ขุนเดชเป็นคนดี ถ้าเอ็งเดือดร้อนก็มีแต่เขาเท่านั้นที่ช่วยเอ็งได้”
แม่จำเริญบอกแล้วเดินออกไป จำเริญหน้าเครียดมองที่พระพุทธรูปปางประทานอภัยที่ขุนเดชให้มา
จำเริญคิดถึงเหตุการณ์เมื่อตอนกลางวันระหว่างอยู่ในป่า ไอ้นะทำแผลให้สัมฤทธิ์ผลจากการถูกยงยุทธเล่นงาน แต่สัมฤทธิ์ร้องเจ็บ
“เบาๆสิเว้ย เดี๋ยวหน้าหล่อๆ ของข้าก็เสียโฉมหมดหรอก”
สัมฤทธิ์ผลักไอ้นะออกไปเป็นจังหวะที่ไอ้เนลากคอจำเริญเข้ามา
“ไอ้จำเริญ...นั่นเอ็งไปได้ตัวมันมาจากไหนวะ”
“ชั้นเห็นมันอยู่แถวๆ โรงพักตอนกำลังไปสืบข่าวจากพวกตำรวจ”
สัมฤทธิ์หรี่ตามองจำเริญอย่างสงสัย
“ไอ้จำเริญ...อย่าบอกนะว่าที่เอ็งไปป้วนเปี้ยนแถวนั้นเพราะเอ็งคิดจะเอาเรื่องข้าไปบอกตำรวจ”
จำเริญชะงักหน้าเสียไม่สบตาสัมฤทธิ์เลยถูกกระชากหัวขึ้นมาจ้องหน้าแล้วกระหน่ำอัดใส่ไม่ยั้งจนนอนจุกตัวงอ สัมฤทธิ์หันไปเอาปืนจากไอ้นะมาแล้วเล็งไปที่จำเริญทำเอาจำเริญตกใจหน้าซีดร้องขอชีวิต
“อย่าฆ่าชั้นเลยนะพี่สัมฤทธิ์ แม่ชั้นแก่แล้ว ถ้าชั้นตายไปแม่ชั้นคงอยู่ไม่ได้ พี่จะให้ชั้นทำ อะไรชั้นยอมหมด...แต่อย่าฆ่าชั้นเลย”
จำเริญรีบเข้าไปกราบเท้าสัมฤทธิ์อย่างอ้อนวอน จนเกือบจะถูกฆ่าอยู่แล้วแต่สัมฤทธิ์กลับคิดอะไรบางอย่าง
“แน่ใจนะว่าเอ็งทำให้ข้าได้หมดทุกอย่าง”
“จ้ะพี่...พี่สั่งมาเถอะ ชั้นทำให้ได้จริงๆ”
สัมฤทธิ์ยิ้มร้ายแววตาเจ้าเล่ห์ขึ้นมาทันที
บัวทองเดินเข้ามาหยุดที่หน้าโบสถ์ซึ่งประตูเปิดกว้างเห็นพระประธานอยู่ข้างใน ถามเด็กวัดที่กวาดลานอยู่
“เห็นพี่ขุนเดชรึเปล่า”
“เพิ่งกลับไปที่กระท่อมเมื่อกี้เองครั”บ
“ขอบใจนะ”
บัวทองเดินออกไป จำเริญที่แอบตามบัวทองมาตลอดก้าวออกมาหยุดที่หน้าโบสถ์มองตามบัวทองด้วยสีหน้า หนักใจเป็นกังวลเมื่อนึกถึงคำพูดของสัมฤทธิ์ก่อนหน้านี้
“ถ้าเอ็งยืนยันว่าทำตามที่ข้าสั่งได้ทุกอย่าง งั้นเอ็งก็ต้องไปลักพาตัวบัวทองมาให้ข้า เพราะไหนๆ ข้าก็คงกลับไปเหยียบศรีสัชนาลัยไม่ได้อีก ไม่งั้นแม่เอ็งจะไม่มีวันได้เห็นชายผ้าเหลืองเอ็งแน่”
จำเริญสีหน้าหนักใจเป็นอย่างมากหันไปมองพระประธานในโบสถ์
ขุนเดชกำลังหล่อพระพุทธรูปอยู่ที่กระท่อม บัวทองเข้ามา
“ชั้นว่าพี่ขุนเดชดูใจเย็นไปนะ”ล
“พี่ใจเย็นเรื่องอะไร”
“ก็เรื่องอาจารย์ดาราน่ะสิ หรือว่าพี่ยังไม่รู้เรื่องว่าคนรักตัวเองถูกลักพาตัวไป”
“พี่รู้เรื่องจากอาหมอแล้ว”
“รู้แล้ว...รู้แล้วทำไมไม่คิดจะออกไปตามหา”
“ก็วีรบุรุษบาปไม่ได้พาพวกเขาไปทำร้ายไม่ใช่เหรอ”
“แต่อาจารย์ดาราเป็นคนรักของพี่”
“บัวทองเองก็เคยถูกไอ้หมอนั่นลักพาตัวไปไม่ใช่เหรอ หรือว่ามันเคยทำร้ายบัวทอง พี่ถึงอยู่เฉยไม่ได้ต้องรีบตามไปช่วยดารา”
“พี่ขุนเดช” บัวทองโกรธคำพูดของขุนเดชเลยคว้าถ่านในถังมาปาใส่ “นี่แน๊ะ…คนบ้า ปากกระโถน วีรบุรุษบาปเขาเป็นสุภาพบุรุษ เขาให้เกียรติบัวทอง เขาไม่เคยพูดจาทำร้ายความรู้สึกของบัวทองเลยแม้แต่นิดเดียว”
บัวทองปาใส่จนถ่านหมดถัง น้ำตาคลอๆ เพราะโกรธเลยเอามือปาดหน้าตัวเอง หน้าบัวทองเลยดำเป็นปื้นเพราะลืมว่ามือเปื้อนถ่าน
“ชั้นเกลียดพี่ขุนเดช เกลียด…เกลียดที่สุด”
บัวทองน้อยใจจะออกไปแต่ขุนเดชคว้ามือไว้
“เดี๋ยวก่อนบัวทอง”
“ปล่อยมือบัวทองนะ...บอกให้ปล่อย...ปล่อยสิ”
“พี่บอกให้อยู่เฉยๆ” ขุนเดชขึ้นเสียงแล้วเอาผ้าขาวม้าเช็ดคราบถ่านบนหน้าให้บัวทองอย่างทะนุถนอมทำเอาบัวทองนิ่งชะงักไปมองตาขุนเดช แล้วใจเต้นตึกตัก “ถึงพี่จะเป็นคนดีอย่างวีรบุรุษบาปในสายตาของบัวทองไม่ได้ แต่พี่ก็ไม่อยากให้บัวทองเกลียดพี่ เรายังเป็นพี่เป็นน้องกันเหมือนเดิมได้มั้ย”
บัวทองนิ่งงันเพราะแววตาของขุนเดชดูน่าสงสารจนเกือบเผลอใจอ่อนให้ แต่ต้องตัดใจแกะมือขุนเดชออก
“ชั้นไม่รู้ว่าทำไมอาจารย์ถึงมารักพี่ทั้งๆ ที่หมวดยงยุทธดีกว่าพี่ตั้งเยอะ”
บัวทองผลักขุนเดชแล้วรีบเดินออกไป ขุนเดชได้แต่มองตามสีหน้าสลด
บัวทองรีบเดินออกมาใจเต้นไม่เป็นส่ำแล้วมาหยุดที่โคนต้นไม้นิ่งแตะใบหน้าตัวเองที่เพิ่งถูกขุนเดชสัมผัสไป คำพูดของขุนเดชยังดังก้อง
ถึงพี่จะเป็นคนดีอย่างวีรบุรุษบาปในสายตาของบัวทองไม่ได้ แต่พี่ก็ไม่อยากให้บัวทองเกลียดพี่ เรายังเป็นพี่เป็นน้องกันเหมือนเดิมได้มั้ย”
บัวทองหน้าร้อนผ่าวและได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาข้างหลังนึกว่าเป็นขุนเดช
“ตามชั้นมาทำไม...ชั้นไม่ได้อยากพี่มีชาย”
บัวทองหันมาแล้วต้องตกใจเพราะเจอจำเริญสวมไอ้โม่งปิดหน้าเข้ามาล็อคตัวปิดปากไม่ให้ดิ้น
“อย่าส่งเสียงนะ ไม่งั้นเธอเจ็บตัวแน่”
บัวทองฮึดสู้จับมือมันบิดแล้วกระทุ้งศอกใส่ จำเริญผงะเจ็บจุก บัวทองรีบชิงจังหวะวิ่งหนี จำเริญเจ็บใจรีบตามไป
ขุนเดชเก็บถ่านที่เกลื่อนเต็มพื้นใส่ถังเหมือนเดิมพลางคิดเสียใจที่บัวทองโกรธตัวเอง แต่ระหว่างนั้นได้ยินเสียงบัวทองตะโกนร้องขอความช่วยเหลือดังมาไกลๆ
“ช่วยด้วย...ช่วยด้วย”
“บัวทอง”
ขุนเดชเป็นห่วงบัวทองโยนถังในมือทิ้งแล้วรีบวิ่งเข้าไปคว้าเอาดาบดำของวีรบุรุษบาปขึ้นมา สีหน้าดุดันทันที
บัวทองวิ่งหนีร้องตะโกนขอความช่วยเหลือแล้วมาสะดุดล้มพอจะลุกหนีต่อจำเริญก็โผล่เข้ามาพร้อมดาบ
“บอกแล้วใช่มั้ยว่าอย่าขัดขืน ชั้นไม่อยากทำร้ายเธอ”
“ถ้าคิดจะปล้นชั้นล่ะก็ ชั้นไม่มีทรัพย์สินอะไรหรอก”
“ชั้นไม่ได้มาปล้น...ชั้นแค่ต้องพาเธอไป”
“ไม่...ชั้นไม่ไปไหนทั้งนั้น”
“งั้นเธอก็บังคับให้ชั้นต้องทำแบบนี้” จำเริญเข้าไปฟันขู่ บัวทองตกใจถอยหลบจนล้ม จำเริญเข้าไปจิกผมขึ้นมาแล้วใช้ด้ามดาบกระแทกท้องน้อยจน บัวทองจุกตัวงอ “ยกโทษให้ชั้นด้วยนะบัวทอง ถ้าชั้นไม่ทำ...ชั้นก็ต้องถูกมันฆ่า”
จำเริญกำลังจะเข้าไปอุ้มบัวทองแต่ขุนเดชเข้ามาพร้อมดาบดำที่ยังไม่ชักออกจากฝัก
“ถ้าแกแตะต้องบัวทองแม้แต่นิดเดียว...แกตายแน่”
จำเริญหันไปเห็นขุนเดชยืนจังก้าเอาจริงก็ตกใจ จึงรีบทิ้งบัวทองไว้แล้วหนี
“พี่...พี่ขุนเดช”
“ไม่เป็นไรนะบัวทอง...รอพี่อยู่ตรงนี้ พี่จะไปลากคอมันมา”
ขุนเดชรีบวิ่งไล่ตามไป บัวทองกุมท้องจุกมองตาม
จำเริญวิ่งหนีตาลีตาเหลือกพยายามเอาตัวรอด แต่เจอขุนเดชโผล่มายืนขวาง
“แกเป็นใคร”
จำเริญไม่ยอมเปิดเผยหน้าให้เห็นจำเป็นต้องชูดาบขึ้นมาขู่ ขุนเดชดูท่าทางแล้วเห็นไม่มีฝีมือเลยไม่ชักดาบดำ ออกจากฝักไปสู้เลยแม้แต่เพลงดาบเดียว จำเริญฟาดฟันใส่ขุนเดชไม่ยั้งแต่ก็ถูกเล่นงานกลับด้วยฝักดาบจนล้มกลิ้งไม่เป็นท่า เมื่อไม่อยากถูกฆ่าตายเลย จำเริญจึงกำทรายที่พื้นสาดใส่หน้าทำให้ขุนเดชชะงัก และคิดจะฟันขุนเดชเพื่อเปิดทางหนี นั่นเลยทำให้ขุนเดชจำเป็นต้องชักดาบดำออกจากฝัก ปลายดาบดำชี้ไปที่หน้าของจำเริญทำเอาตัวแข็งทื่อ กลืนน้ำลายเอื๊อก จำเริญมองที่ดาบแล้วยิ่งตกใจ
“ดาบนี่มัน...ดาบของวีรบุรุษบาป”
“ถ้าแกเคยได้ยินชื่อเสียงของวีรบุรุษบาปมาแล้ว งั้นแกก็คงรู้ด้วยว่าดาบเล่มนี้มีไว้เพื่อฆ่าคนใจบาป”
จำเริญตกใจเข่าทรุดรีบยกมือไหว้ท่วมหัว
“พี่ขุนเดช...อย่าฆ่าชั้นเลย...ชั้นขอโทษ ชั้นผิดไปแล้ว”
“นี่แก...”
จำเริญรีบดึงหมวกไหมพรมออก
“ชั้นเองจ้ะพี่...ชั้นจำเริญ”
ขุนเดชจ้องหน้าจำเริญเขม็ง ระหว่างนั้นบัวทองพยุงตัวเข้ามาเพราะเป็นห่วงขุนเดช
“พี่...พี่ขุนเดช”
“บัวทอง”
จำเริญเห็นขุนเดชละสายตาไปที่บัวทองเลยรีบฉวยโอกาสหนีทันที ขุนเดชตัดสินใจไม่ตามเพราะเป็นห่วงบัวทอง
ขุนเดชพาบัวทองเข้ามาในกระท่อมให้นั่งพัก
“ยังเจ็บอยู่รึเปล่า”
“นิดหน่อยจ้ะพี่”
“งั้นดีขึ้นแล้วพี่จะพาบัวทองไปส่งบ้าน”
“มันเป็นใครเหรอพี่ มันบอกไม่ได้คิดจะทำร้ายชั้น มันแค่อยากจะมาพาตัวชั้นไป”
ขุนเดชนิ่งไปครู่
“พี่ไม่รู้จักมัน อาจจะมีใครจ้างให้มันมาพาตัวบัวทองไป”
“ถ้าคนที่ราวีชั้นไม่เลิกก็มีแต่ไอ้สัมฤทธิ์คนเดียว ตอนนี้ตำรวจกำลังตามล่าตัวมันให้วุ่น มันคงอยากจะได้ตัวชั้นไปด้วย”
“งั้นตอนนี้บัวทองก็ต้องระวังตัว ไอ้สัมฤทธิ์มันกำลังจนตรอก เงินมันทำได้ทุกอย่างแม้แต่จ้างคนดีให้กลายเป็นคนบาปมันก็ทำได้”
ขุนเดชหันมาสีหน้าจริงจังเอาเรื่อง
อ่านต่อหน้าที่ 4
ขุนเดช ตอนที่ 13 (ต่อ)
จำเริญกลับมาที่กระท่อมร้อนรนเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋า แม่จำเริญเข้ามาเห็นก็สงสัย
“นี่เอ็งมาเก็บเสื้อผ้าข้าทำไมหา...ไอ้จำเริญ”
“ชั้น...ชั้นจะให้แม่ไปอยู่บ้านลุงน่ะจ๊ะ”
“แต่นี่มันบ้านข้าแล้วเอ็งจะให้ข้าไปอยู่บ้านคนอื่นทำไม”
“คือ...ชั้น...ชั้นเป็นห่วงแม่ไงว่าระหว่างที่ชั้นเข้าวัดเตรียมบวชจะไม่มีใครอยู่ดูแลแม่”
“ไอ้จำเริญ เอ็งบอกความจริงข้ามา”
“ชั้นไม่ได้โกหกแม่จริงๆ ชั้นต้องเข้าวัดไปหัดขานนาค แล้วใครจะมาอยู่ดูแลแม่ล่ะ หรือว่าแม่ไม่อยากให้ชั้นบวชแล้ว”
“แล้วเอ็งไปหาขุนเดชมารึยัง”
“เอ่อ...ชั้น...ชั้นไปมาแล้วจ้ะแม่ พี่ขุนเดชบอกชั้นเองว่าให้ชั้นมาพาแม่ไปอยู่กับลุง ชั้นจะได้มีสมาธิตั้งใจหัดขานนาค”
“ถ้าขุนเดชแนะนำมา ข้าก็ว่าตามนั้น จะได้เห็นชายผ้าเหลืองเอ็งซะที อ้อ...เอ็งอย่าลืมเอาพระพุทธรูปที่ขุนเดชให้มาไปด้วยล่ะ เอาไว้ในกุฎิจะได้กราบไหว้บูชา”
“จ้ะแม่”
จำเริญหันไปมองที่พระพุทธรูปปางประทานอภัย
เสียงพระสวดมนต์ดังออกมาจากในโบสถ์ ขุนเดชเดินหน้าตาขึงขังจริงจังเข้ามาหยุดที่หน้าประตูโบสถ์ ภายในโบสถ์พระกำลังสวดมนต์ทำวัตร จำเริญหัดสวดมนต์อยู่กับพระลูกวัดก่อนจะหันไปเห็นขุนเดชยืนอยู่ที่หน้าประตูจ้องเขม็งมาที่ตน จำเริญถึงกับสวดมนต์ตะกุกตะกักไปต่อไม่ถูกรีบขยับเข้าไปไปใกล้ๆ พระ
“อะไรของเอ็งหา...ไอ้จำเริญ”
ขุนเดชไม่ยอมไปไหนยังยืนจ้องจำเริญไม่วางตา
“เอ่อ...หลวงพี่ครับ...ผมขอนอนกุฎิเดียวกับหลวงพี่นะครับ ผมจะได้หัดท่องบทสวด”
พระลูกวัดพยักหน้ารับ จำเริญหันมามองขุนเดชแล้วรีบหลบตาก้มหน้าก้มตาอาศัยพระเป็นที่หลบภัยขุนเดชจ้องจำเริญแล้วเดินออกจากโบสถ์
คืนนั้นที่ถ้ำสิลาดาราเตรียมยากับน้ำให้ยงยุทธที่นอนหลับอยู่
“ยงยุทธ...ยงยุทธ”
“ดาราเรียกอีกครู่แต่ยงยุทธไม่รู้สึกตัว”
“ดา...ดารา” ยงยุทธเพ้อเสียงเบา ดาราสงสัยเลยลองแตะดูที่หน้าผากพบว่าตัวร้อนจี๋
“ยงยุทธ”
ดาราเป็นห่วงรีบเอามาชุบน้ำมาเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้ ยงยุทธจึงได้ตาปรือขึ้นมา
“ดารา”
“อย่าเพิ่งพูดอะไร เธอตัวร้อนมาก ชั้นต้องรีบเช็ดตัวให้ก่อน”
ยงยุทธไม่มีแรงแม้แต่จะขยับตัว ดาราจึงต้องช่วยถอดเสื้อให้เผยให้เห็นกล้ามเป็นมัด ดาราเอาผ้าชุบน้ำบิดหมาดมาเช็ดตามกล้ามเนื้อของยงยุทธแล้วสายตาของทั้งคู่ก็สบประสานกัน
ส่วนที่บ้านคำปัน คำปันกอดบัวทองเอาไว้แล้วหันไปต่อว่าจ่าแท่น ส่วนขุนเดชนั่งฟังอยู่ด้วย
“เพราะพี่จ่าคนเดียวนั่นแหละ”
“อ้าว...ทำไมมาว่าพี่ล่ะคำปัน”
“ก็ถ้าพี่จ่าตามลากคอไอ้สัมฤทธิ์มาเข้าคุกได้ มันจะส่งคนมามาลักพาตัวบัวทองได้เหรอ”
“โธ่...ทำอย่างกับพี่ไม่อยากจะตามจับมันงั้นแหละ มันไปมุดหัวอยู่ที่ไหนพี่ยังไม่รู้เลยแถมผู้หมวดจะเป็นตายร้ายดียังไงก็ยังไม่รู้อีก”
“งั้นชั้นก็รู้แล้วล่ะว่าทำไมชาตินี้พี่ถึงเป็นได้แค่จ่า”
“ชะอุ๋ย...ด่าซะพี่เสียคนเลยนะเนี่ย”
“อย่าไปว่าลุงจ่าเลยจ้ะแม่ ถึงมันจะหนีตำรวจได้แต่ชั้นว่ามันก็คงหนีไม่พ้นวีรบุรุษบาป”
“งั้นก็ขอให้วีรบุรุษบาปจัดการไอ้สัมฤทธิ์ให้ได้สักที มันจะได้เลิกยุ่งกับบัวทอง”
“ไหนแม่บอกว่าแม่ไม่ชอบวีรบุรุษบาปไง”
คำปันชะงักแล้วแก้เก้อ
“ก็ยังไม่ชอบอยู่นั่นแหละ แต่ปล่อยให้โจรมันฆ่าโจรไปซะบ้างก็ดี ตำรวจจะได้ทำงานไม่ต้องเหนื่อยมาก เผื่อจะช่วยให้ลุงจ่าเอ็งได้เลื่อนยศก่อนตาย”
“เอ้า..อยู่เฉยแล้วนะเนี่ย...เฮ้อ...” จ่าแท่นหันไปที่ขุนเดช “ข้าว่าข้าไปส่งขุนเดชดีกว่า จะได้โดนด่าน้อยลง”
“เอ่อ...ลุงจ่า เดี๋ยวบัวทองไปส่งพี่ขุนเดชเองจ้ะ”
ขุนเดชชะงักมองบัวทองที่หันมาสบตาเขาแล้วมีท่าทางเก้อๆ แบบไว้ฟอร์ม
บัวทองเดินมาส่งขุนเดชที่หน้าบ้าน
“ส่งพี่แค่นี้ก็พอแล้วล่ะบัวทอง ดึกแล้วไปนอนพักเถอะ” บัวทองเอาแต่ยืนนิ่งหน้าตาฟอร์มเยอะมากเหมือนอยากจะพูดอะไรจนขุนเดชสงสัย “บัวทอง”
“เอ่อ...ชั้นว่าคืนนี้อากาศมันเย็นๆ ยังไงก็ไม่รู้ ชั้นว่าพี่เอาผ้าคลุมของชั้นติดไปด้วยดีกว่าจะได้ไม่หนาว” บัวทองทำเป็นยื่นผ้าคลุมไหล่ให้แบบส่งๆ ตาไม่มองหน้า “เฉยทำไมล่ะ รับไปสิหรือว่ากลัวอายถ้ามีคนเห็นพี่มีผ้าคลุมไหล่ผู้หญิงติดตัว”
“จะอายทำไม ถ้ามีคนเห็นก็คงมีแต่จะอิจฉา ที่พี่มีผู้หญิงใจดีคอยเป็นห่วงเป็นใย แล้วถ้าใครถามพี่ก็จะบอกไปว่าเป็นของบัวทองคนดีของพี่”
บัวทองชะงัก ขุนเดชยิ้มให้ บัวทองเลยรีบดึงผ้าคลุมไหล่คืน
“งั้นชั้นไม่ให้พี่แล้ว”
“อ้าว...ทำไมล่ะ”
“ก็ชั้นไม่ได้อยากเป็นคนดีของพี่ ชั้นเกลียดพี่อยู่”
“พี่ช่วยชีวิตบัวทองนะ จะไม่ยกโทษให้พี่เลยเหรอ”
บัวทองหน้าตาจริงจังจ้องหน้าขุนเดช
“ดูปากชั้นนะพี่ขุนเดช...ไม่”
“แล้วทำไมทีวีรบุรุษบาปช่วยชีวิต บัวทองยังชอบเขาได้ล่ะ”
“ก็เพราะพี่ไม่ใช่วีรบุรุษบาปไง…กลับไปได้แล้ว ชั้นเพลียอยากนอนแล้ว”
บัวทองเชิดหน้าไปทางอื่นทำเป็นไม่สนใจ ขุนเดชอมยิ้มชอบที่เห็นบัวทองทำท่างอนๆ
“งั้นพี่ไปนะ” ขุนเดชเดินออกไปแล้วแกล้งทำเป็นหนาวอากาศเย็น “ฮัด…ฮัดชิ้วหนาวจริงๆ ด้วย”
ขุนเดชทำเป็นหยุดยืนหนาว บัวทองมองด้วยหางตาแอบเป็นห่วงเล็ก แต่ก็เบ้ปาก
“เชอะ…หนาวตายไปซะได้ก็ดี”
บัวทองสะบัดหน้างอนๆ เดินเข้าบ้านไป ขุนเดชหันมามองตามแล้วพบผ้าคลุมไหล่ของบัวทองแขวนอยู่กับกิ่งไม้
“ขอบใจนะบัวทอง”
ดาราเช็ดตัวให้ยงยุทธจนเสร็จจากนั้นก็ป้อนยาให้
“กินยาแล้วก็นอนพัก ไข้จะได้ลง” ยงยุทธกินยาตามที่ดาราจัดการให้แล้วล้มตัวลงนอนแต่ยงยุทธยังมีอาการหนาวสั่นให้เห็น ดาราเลยต้องเอา ผ้าคลุมมาห่มตัวให้ “ยังหนาวอยู่เหรอ” ยงยุทธพยักหน้ารับสั่นๆ “งั้นเดี๋ยวชั้นเติมฟืนให้นะ”
ดาราจะขยับลุกแต่ยงยุทธคว้ามือเธอไว้
“ไม่ต้องหรอกดารา คุณดูแลผมมาทั้งวันแล้ว นอนพักเถอะ”
“ชั้นจะหลับได้ยังไงในเมื่อเธอยังไม่ดีขึ้น”
ยงยุทธนอนหนาวเบือนหน้าหลบหันหลังให้ไม่กล้าพูดสบตากับเธอและไม่ให้เธอเห็นหน้า
“แต่ผมยังรักคุณอยู่นะดารา”
“ยงยุทธ”
“ถึงผมจะพูดว่ายอมให้คุณกับขุนเดชรักกัน” ยงยุทธตาเริ่มแดงก่ำน้ำตาเริ่มคลอ “แต่มันก็ไม่ใช่อย่างที่ใจผมคิดเลย ผมอิจฉาขุนเดชทั้งๆ ที่มันทิ้งคุณ มันไม่เคยไปแอบยืนดูคุณทำงาน ไม่เคยแวะไปทำความสะอาดหลุมศพของพ่อคุณ ไม่เคยแม้แต่จะจดหมายมาหาคุณ แต่คุณก็ยังรักมัน”
ยงยุทธน้ำตาอาบแก้มแม้พยายามจะกลั้นเอาไว้แล้วก็ตาม แต่เขาก็ไม่ยอมหันหน้ากลับมาให้ดาราเห็นน้ำตา
ดาราอึ้งไปพลอยน้ำตาไหลออกมาเช่นกันเพราะต้องปล่อยให้ยงยุทธเข้าใจผิดทั้งที่ตัวเองก็รักยงยุทธ
“คุณไม่ต้องดูแลผมแล้วล่ะดารา เพราะยิ่งผมปล่อยให้คุณใกล้ชิดผม ผมก็ยิ่งกลัวว่าผมจะใจอ่อน ยอมกลายเป็นผู้ชายเลวๆ ที่คิดแย่งคนรักของเพื่อน”
ยงยุทธน้ำตาไหลพรากเกือบจะสะอื้นออกมาแต่เอามือปิดปากไว้ไม่ให้ดาราได้ยิน ดาราเองก็ร้องไห้น้ำตาแตกเอามือปิดปากปากกลั้นสะอื้นตัวเองสุดฤทธิ์
“เธอจะไม่ให้ชั้นดูแลเธอแม้แต่ในฐานะเพื่อนเลยเหรอ”
“คำว่าเพื่อนสำหรับผมมันต้องใช้เวลามากกว่านี้”
“แต่ชั้นทนดูเธอเป็นแบบนี้ไม่ได้หรอก”
ดาราไม่สนใจว่ายงยุทธจะคิดยังไงเข้าไปนอนกอดยงยุทธจากทางด้านหลังให้ตัวแนบชิดที่สุดจนยงยุทธตกใจ
“ดารา”
“ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น...ชั้นอยากให้เธอหายหนาว”
ดารากอดยงยุทธแน่นพร้อมกับน้ำตาที่อาบแก้ม ยงยุทธขบกรามข่มอารมณ์เจ็บปวดแล้วกุมมือดาราที่โอบเขาไว้ ทั้งคู่นอนกอดกันอยู่ในถ้ำแสงสลัวๆ ใกล้กองไฟ
ที่คฤหาสน์ปราชญ์ คนใช้ตามคุณหญิงเข้ามาดูอาการปารมีที่นอนกระสับกระส่ายทรมาน
“ปวดหัว...ปวดหัวเหลือเกิน...คุณแม่ช่วยปาด้วย”
“ยัยปา...เป็นอะไร...ยัยปา”
“ปาปวดหัวค่ะ”
คุณหญิงหันไปถามคนใช้
“ยัยปาปวดหัวแล้วทำไมไม่ให้กินยา”
“เอ่อ...คุณประดับสั่งไว้ค่ะว่าต้องให้เขาเป็นคนดูแลเรื่องยาให้คุณปาเท่านั้น”
คุณหญิงคิ้วขมวดสงสัย ระหว่างนั้นปารมีเข้ามาเกาะแขนคุณหญิง
“คุณแม่คะ...ปาปวดหัว..ปาไม่ไหวแล้ว”
ปารมีอาเจียนออกมาใส่เสื้อผ้าของคุณหญิงเลอะเทอะเปรอะไปทั้งชุด
“ว๊ายยยยย...ยัยปา...อี๋...” คุณหญิงผลักลูกสาวไปให้คนใช้ทันที “ดูสิ...ชั้นเลอะเทอะไปหมดแล้ว จัดการยัยปาให้ชั้นด้วย”
คุณหญิงรีบออกไปทันทีโดยไม่สนใจว่าลูกสาวจะเป็นยังไง
ประดับขับรถมาจอดที่หน้าคฤหาสน์ปราชญ์ ที่ห้องโถงประดับกับเบิ้มเดินเข้ามาคุณหญิงที่เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วรีบเข้ามาอย่างดีใจ
“กลับมาแล้วเหรอประดับ ชั้นคิดถึงเธอจัง ทำไมถึงได้ไปนานกว่าทุกครั้งเลยล่ะ”
“งานที่ท่านสั่งผมไว้มีปัญหานิดหน่อยครับ”
“แล้วเธอจัดการเรียบร้อยแล้วใช่มั้ย”
“ครับ”
“ถ้างั้น...ออกไปข้างนอกกับชั้นหน่อยสิ คืนนี้ชั้นมีงานเลี้ยงแต่ชั้นอยากไปค้างข้างนอก”
คุณหญิงพูดไปก็เล่นหูเล่นตากับประดับแต่กลับถูกประดับปัดมือ
“ไม่ได้หรอกครับ อีกเดี๋ยวท่านก็จะกลับมาแล้ว ผมต้องนำของที่ท่านสั่งไว้ไปให้ท่าน”
“โอ๊ย...ชั้นจะบ้าตาย ชั้นเบื่อบ้านนี้เต็มทนแล้ว ยัยปาก็ไม่รู้เป็นโรคบ้าอะไรถึงไม่หายสักที เมื่อกี้นี่ก็อาเจียนใส่ชั้นจนเลอะเทอะไปหมด ชั้นว่าชั้นจะเอายัยปากลับไปอยู่โรงพยาบาล”
“ไม่ได้นะครับคุณหญิง ถ้าเอาไปไว้โรงพยาบาล ข่าวเรื่องคุณปาเคยไปทำแท้งมาต้องหลุดออกไปทำลายชื่อเสียงท่านแน่ เดี๋ยวผมจะไปดูแลคุณปาให้ คุณหญิงไม่ต้องห่วง”
ประดับหันไปพยักหน้ากับเบิ้มแล้วพากันเดินเข้าไป คุณหญิงหันมากอดอกหัวเสีย
“โอ๊ย...เสียอารมณ์”
ประดับพยายามจะป้อนยาพิษที่ผสมในยาปกติให้ปารมีดื่ม แต่ปารมีปฏิเสธ
“ไม่ค่ะ...ปาไม่อยากกินยาแล้ว กินไปก็ไม่เห็นจะหาย มีแต่ทรุดลงทุกวัน”
“ที่คุณปาอาการไม่ดีขึ้นเพราะคุณปาไม่ยอมนอนพักผ่อน”
“ปานอนพักอยู่แต่ในห้องอย่างที่พี่ประดับสั่งแล้วนะ”
“คุณปา...อย่าโกหกผม ผมสั่งให้คนใช้ดูคุณปาอยู่นะครับ”
“อ๋อ...มิน่าล่ะถึงได้มายืนเกะกะอยู่หน้าห้องปาทั้งวัน ปาเบื่อนะคะพี่ จะให้นอนเป็นผักเน่าอยู่แบบนี้ ปาไม่เอาหรอก”
“พอเถอะครับคุณปา ไม่ใช่เพราะนิสัยเอาแต่ใจตัวเองแบบนี้ของคุณเหรอ ถึงเกือบทำให้คุณปาเกือบตาย” ประดับขึ้นเสียง ปารมีถึงกับอึ้ง
“พี่ประดับ”
ประดับจับแขนปารมีมาบีบแรง
“ทานยาตามที่ผมสั่ง แล้วก็นอนพักซะ ถ้าคุณปายังรักผมก็อย่าทำให้ผมต้องลำบากใจไปมากกว่านี้”
ประดับต้องออกแรงบังคับทำให้ปารมีตกใจกลัวจนยอมกินยาตามที่ประดับสั่ง
ประดับเดินออกมาจากห้องปารมีอย่างหัวเสียเจอเบิ้มที่รออยู่
“ท่าทางคุณปาจะไม่ค่อยยอมให้คุณประดับวางยาแล้วนะครับ แบบนี้ผมว่าหาทางจัดการไปเลยดีกว่า”
“ไม่ได้...ถ้าคุณปาเกิดเป็นอะไรไปตอนนี้จะยิ่งวุ่นวาย ยังไงชั้นก็ต้องวางยาให้มันอยู่ในความควบคุมของชั้นไปก่อน”
ระหว่างนั้นคุณหญิงตามเข้ามา
“ประดับ...ยัยปาเป็นยังไงบ้าง”
“ผมให้ทานยาแล้วก็นอนพักแล้วครับ”
“เรื่องทานยาต่อไปให้คนใช้มันจัดการก็ได้ เธอจะได้ไม่ต้องมาวุ่นวายกับยัยให้เสียเวลา”
“ไม่ได้หรอกครับคุณหญิง ก็รู้อยู่ว่าคุณปาไม่ยอมใครมีแต่ผมที่พูดไปแล้วเธอจะยอม”
คุณหญิงหรี่ตามองประดับอย่างสงสัย
“ชั้นชักอยากจะรู้แล้วสิว่าเธอมีกลเม็ดเด็ดอะไรถึงทำให้ลูกสาวชั้นยอมฟังเธอคนเดียว”
“ผมไม่ได้มีกลเม็ดอะไรหรอกครับ คุณปาเธอเป็นวัยรุ่นเอาแต่ใจตัวเอง การพุดคุยกับพ่อ แม่ก็เลยไม่เหมือนคุยกับคนอื่น” คุณหญิงฟังคำพูดของประดับแล้วก็ยังไม่หายสงสัย “ผมขอตัวนะครับ...ผมต้องไปจัดการธุระให้ท่าน”
ประดับเดินออกไปพร้อมกับเบิ้ม คุณหญิงมองตามแววตามีความระแวงอยู่ลึกๆ
จำเริญมาอาศัยนอนอยู่ในกุฏิอยู่กับพระลูกวัด จำเริญนอนที่หน้าห้องตรงระเบียงกุฏิระหว่างกำลังนอนเพลินๆ พลิกตัวมาก็ต้องตกใจเพราะเจอขุนเดชมายืนอยู่ใกล้ๆ จ้องมาที่จำเริญเขม็ง จำเริญจะร้องเสียงดังแต่ขุนเดชเข้ามาปิดปากแล้วขู่
“ถ้าเอ็งส่งเสียง...เอ็งจะไม่ได้เจอหน้าแม่เอ็งอีก”
จำเริญหน้าเสียพยักหน้ารับหงึกๆ
จำเริญถูกขุนเดชผลักเข้ามาหลังวัด จำเริญหัวทิ่มหัวตำคุกเข่าพนมมืออ้อนวอน
“อย่าฆ่าชั้นเลยนะพี่ขุนเดช...ชั้นกราบล่ะ”
“เอ็งมันคนใจบาป ทำชั่วแล้วคิดจะใช้ผ้าเหลืองปกป้องความชั่วตัวเอง”
“ชั้นผิดจริงๆ ชั้นสำนึกผิดแล้วนะจ๊ะพี่ขุนเดช ชั้นถึงตั้งใจจะมาไถ่บาปช่วยสืบสานพระพุทธศาสนา”
“คิดว่าข้าจะเชื่อคำพูดของเอ็งงั้นเหรอ”
ขุนเดชชักดาบดำอกจากฝัก จำเริญยิ่งตกใจกลัว
“ชั้นสาบานจริงๆ ว่าชั้นสำนึกผิดแล้ว ชั้นจะไม่ยุ่งกับพวกมันอีก แล้วชั้นก็จะปิดปากเงียบไม่บอกใครว่าพี่ขุนเดชเป็น...เป็นวีรบุรุษบาป”
“เอ็งจะพูดหรือไม่พูด มันก็ไม่ได้ช่วยทำให้บาปที่เอ็งทำไว้มันลดน้อยลงไปได้หรอก เพราะคนบาปถึงมีผ้าเหลืองห่มกาย มันก็ยังเป็นคนบาปวันยังค่ำ”
ขุนเดชควงดาบเหมือนพร้อมจะเป็นเพชรฆาตตัดสินความผิด จำเริญน้ำตาคลอเสียใจสำนึกผิด
“ถ้าวีรบรุษบาปเห็นว่าความผิดของชั้นควรจะต้องถูกตัดสินลงโทษ ชั้นก็พร้อมยอมรับการลงทัณฑ์ แต่ชั้นกราบขอร้องให้ชั้นได้ทำความดีเป็นครั้งสุดท้ายจะได้มั้ย” ขุนเดชหยุดมอง “ชั้นจะบอกพี่ว่าไอ้สัมฤทธิ์มันไปกบดานอยู่ที่ไหน และขอให้ชั้นได้บวชเพื่อให้แม่ได้เห็นชายผ้าเหลือง ให้ชั้นได้ทดแทนคุณแม่ก่อนตายเพียงเท่านี้ที่ชั้นอยากจะขอ”
จำเริญคลานเข่าเข้าไปกราบแทบเท้าขุนเดชอย่างอ้อนวอน ขุนเดชมองจำเริญแล้วเงื้อดาบขึ้นหน้าตาดุดัน จำเริญผงะตกใจ
เช้าวันรุ่งขึ้นที่ถ้ำศิลายงยุทธนอนกอดดาราอยู่ข้างกองไฟที่มอดดับ ยงยุทธรู้สึกตัวขึ้นมาก่อนในขณะที่ดารายังหลับอยู่ในอ้อมกอด อาการไข้ของยงยุทธลดลงแล้วจึงได้มองดารายามหลับด้วยความรักอย่างมากล้น
“คุณไม่ต้องดูแลผมแล้วล่ะดารา เพราะยิ่งผมปล่อยให้คุณใกล้ชิดผม ผมก็ยิ่งกลัวว่าผมจะใจอ่อน ยอมกลายเป็นผู้ชายเลวๆ ที่คิดแย่งคนรักของเพื่อน”
คำพูดที่ออกมาจากความรู้สึกยังทิ่มแทงตัวเองอยู่ เมื่อดาราใกล้จะรู้สึกตัวยงยุทธจึงขยับให้ดารานอนต่อแล้ว ค่อยๆ ลุกอย่างเงียบๆ กลัวเธอจะตื่น ระหว่างนั้นวีรบุรุษบาปเข้ามายืนมอง ยงยุทธหันไปจ้องเขม็ง
ยงยุทธเดินออกมาที่หน้าถ้ำมองหาวีรบุรุษบาป
“อยู่ไหน...โผล่หัวออกมาสิวะ”
วีรบุรุษบาปก้าวเข้ามายืนข้างหลังพร้อมกับดาบดำที่ชักออกจ่อที่ยงยุทธในลักษณะขู่
“ท่าทางคุณจะดีขึ้นเยอะแล้วนะหมวด”
“ใช่ชั้นรอดตายได้ก็เพราะแก แต่ชั้นไม่อยากติดหนี้บุญคุณ ถ้าแกอยากทำเรื่องชั่วๆ ต่อไปโดยไม่ต้องกลัวว่าชั้นจะตามล่าแก ตอนนี้ก็คือโอกาสของแกแล้ว” ยงยุทธขยับเข้าไปใกล้ดาบจนจ่อคอหอย สองคนสบตากันไปมาอย่างกร้างแข็ง “เอาสิ...แกฆ่าชั้นเลย...ชั้นยอมตายซะดีกว่าต้องเสียศักดิ์ศรีให้โจร”
“ครั้งนี้ไม่ได้มีเรื่องของศักดิ์ศรีหรือบุญคุณมาเกี่ยวข้อง ผมช่วยหมวดก็เพราะหมวดคือคนเดียวที่ผมจะยอมให้จับ ผมถึงไม่ยอมให้หมวดตาย”
“ทำไมต้องเป็นชั้น”
“เพราะผมเชื่อว่าถ้าถึงวันที่วีรบุรุษบาปต้องปิดฉากไป หน้าที่ของทหารพระร่วง ผู้ปกปักรักษาสมบัติของชาติ จัดการพวกใจบาปด้วยหัวใจบริสุทธิ์ก็มีแต่หมวดเท่านั้น”
ยงยุทธชะงักไปเพราะแววตาของวีรบุรุษบาปจริงจังฝากความหวังไว้ที่เขา ระหว่างนั้นเสียงดาราดังอกมาจากถ้ำ
“ยงยุทธ...เธออยู่ไหน”
“ดารา”
“ถ้าหมวดดีขึ้นมากแล้วก็พาอาจารย์ดารากลับไปเถอะ ผู้หญิงคนนั้นเขารักหมวดมาก รักมากยิ่งกว่าชีวิตตัวเองด้วยซ้ำ”
“แกเข้าใจผิดแล้ว ดาราเขาไม่ได้รักชั้น...เขารักคนที่มีอุดมการณ์เดียวกับแกต่างหาก”
“หึๆๆ...หนังชีวิตมันต้องดูกันยาวๆ ครับ หมวดยงยุทธ”
“ยงยุทธ...ยงยุทธ”
ยงยุทธหันไปทางเสียงของดาราแต่พอหันกลับมาก็ไม่พบวีรบุรุษบาปแล้ว
“วีรบุรุษบาป...ชั้นยังคุยกับแกไม่จบ กลับมาสิเว้ย”
วีรบุรุษบาปจากไป ดาราตามออกมาพบกับยงยุทธ
“ยงยุทธ ออกมาทำอะไรข้างนอกนี่ หายดีแล้วเหรอ”
“ผมดีขึ้นมาแล้วดารา...ไอ้วีรบุรุษบาปมันไปแล้ว มันบอกให้ผมพาคุณกลับ”
ยงยุทธบอกดาราแล้วหันไปมองรอบๆ สีหน้ายังแปลกใจสงสัยกับคำพูดของวีรบุรุษบาปไม่หาย
จบตอน 29
ขุนเดช ตอน 30.1
สัมฤทธิ์เดินไปเดินมาอย่างหงุดหงิดหัวเสีย ครู่หนึ่งไอ้นะกลับเข้ามา
“ทำไมเอ็งกลับมาคนเดียววะ ก็ไหนไอ้จำเริญมันบอกจะไปลักพาตัวบัวทองมาให้ข้าไง”
“ไอ้จำเริญมันหักหลังลูกพี่แล้วน่ะสิ”
“ว่าไงนะ แล้วแกจะกลับมาทำไม ทำไมไม่ตามไปฆ่ามัน ฆ่าแม่มันให้ตายไปทั้งโคตรเลย”
“ชั้นไปที่บ้านมันมาแล้วพี่ มันคงรู้ตัวมันเลยพาแม่มันหนีไปอยู่ที่อื่น ส่วนมันก็ไปหลบอยู่ในวัดเตรียมตัวจะบวช”
สัมฤทธิ์เจ็บใจผลักไอ้นะจนกระเด็น
“โธ่เว้ย”
ไอ้เนมากรอกน้ำในลำธารใส่กระติกเสร็จแล้วกำลังจะกลับไปหาสัมฤทธิ์แต่ต้องชะงักกึกเมื่อเจอวีรบุรุษบาปยืนอยู่กลางลำธาร
“วีรบุรุษบาป”
ไอ้เนโยนกระติกน้ำทิ้งแล้วชักปืนออกมายิงใส่ทันที...เปรี้ยงๆๆๆ ไอ้เนสาดกระสุนใส่ไม่ยั้ง วีรบุรุษบาปกระโจนหลบไปตามต้นไม้ใช้เป็นที่กำบังกระสุนหลอกล่อให้ไอ้เนยิงจนกระสุนหมดลูกโม่ แล้วไปโผล่อีกทีข้างหลังไอ้เนอย่างรวดเร็ว
“ซะ…ซวยแล้วกู” ไอ้เนหน้าเสีย
สัมฤทธิ์กับไอ้นะ สัมฤทธิ์ชักปืนออกมาหน้าเหี้ยมเอาเรื่อง
“พี่จะทำอะไรน่ะพี่สัมฤทธิ์”
“ไอ้จำเริญมันกล้าหักหลังข้า...ข้าต้องไปสั่งสอนมัน”
“แต่พ่อกำนันบอกให้พี่กบดานรออยู่ที่นี่ พ่อกำนันกำลังหาทางช่วยพี่อยู่นะ”
“แต่ข้าไม่ชอบนั่งๆ นอนๆ รออยู่อย่างนี้ ถ้าไม่ได้กระทืบใครสักคนตะคริวมันจะกินข้าเว้ย”
สัมฤทธิ์จะออกไปแต่ชะงักเพราะเจอไอ้เนเดินเซหน้ายับเยินเลือดกบปาก
“พะ...พี่สัมฤทธิ์”
“ไอ้เน นี่เอ็งไปฟัดกับใครมาวะ”
ไอ้เนพูดไม่ออกเพราะเจ็บไปทั้งหน้าทั้งปากได้แต่ชี้มือไปข้างหลังให้เห็นวีรบุรุษบาปที่เข้ามายืนจังก้าจ้องเขม็ง
“ไอ้วีรบุรุษบาป”
“เปลี่ยนจากไปกระทืบคนอื่น เป็นโดนกระทืบซะเองจะช่วยให้เอ็งหายหงุดหงิดได้มั้ย ไอ้สัมฤทธิ์”
ขุนเดชชักดาบดำออกจากฝักแล้วควงอย่างน่ากลัว สัมฤทธิ์เริ่มเหวอผงะถอย
“ไอ้นะ...มันรู้ได้ไงวะว่าข้าหนีมาหลบอยู่ที่นี่”
“สงสัยจะเป็นไอ้จำเริญปากโป้ง เอาไงดีล่ะพี่”
“จะเอายังไงเหรอวะ ถามข้าอย่างนี้เอ็งอยากโดนกระทืบใช่มั้ย”
สัมฤทธิ์กระชากคอเสื้อไอ้นะแล้วผลักออกไปทางวีรบุรุษบาป
“จัดการมันสิเว้ย”
สัมฤทธิ์ปล่อยให้เป็นหน้าที่ลูกน้องแล้วชิงหนีเอาตัวรอด
“พี่สัมฤทธิ์”
วีรบุรุษบาปก้าวเข้ามา ไอ้นะต้องหันมาชักดาบพร้อมสู้
“เข้ามาเลย...วันนี้ข้าสู้ตาย”
สัมฤทธิ์วิ่งหนีมาที่ป่าหินคิดว่าคงจะรอดแต่ต้องชะงักหน้าเสีย เพราะเจอวีรบุรุษบาปยืนจังก้าอยู่บนโขดหินเหนือหัว
“หนีต่อไปสิไอ้สัมฤทธิ์ ถ้ายังเหลือแผ่นดินให้คนบาปอย่างเอ็งหนีได้อีก”
สัมฤทธิ์เจ็บใจชักปืนยิงใส่ทันที..เปรี้ยงๆๆๆ ขุนเดชกระโจนหลบจากโขดหินแล้วหายตัวไป
“เอ็งต่างหากเว้ยที่จะไม่มีแผ่นดินให้เหยียบ ข้า...ไอ้สัมฤทธิ์ลูกกำนันบุญ ไม่เคยกลัวฆาตกรกระจอกอย่างเอ็ง”
สัมฤทธิ์ยิงใส่ไปมั่วๆ จนกระสุนหมด วีรบุรุษบาปโผล่เข้ามาข้างหลัง สัมฤทธิ์ชักดาบแล้วฟันไปข้างหลังทันที
วีรบุรุษบาปยกดาบดำขึ้มารับไว้ได้ทัน สัมฤทธิ์ออกแรงดันเต็มที่ทั้งคู่จรดๆ จ้องๆ กัน แต่วีรบุรุษบาปก็ออกแรง กระแทกกลับจนสัมฤทธิ์กระเด็นแล้วเปิดฉากฟันกันด้วยเชิงดาบแลกกันมันส์หยด
การต่อสู้ครั้งนี้ของสัมฤทธิ์เอาจริงเอาจังและหนักหน่วงมากกว่าครั้งก่อนๆ จนสามารถตอบโต้วีรบุรุษบาปผงะได้
“เป็นไงไอ้วีรบุรุษบาป...ตกใจเลยล่ะสิที่ข้าไม่ใช่ไอ้สัมฤทธิ์คนเดิมที่เอ็งเคยเล่นงาน” ขุนเดชหรี่ตามองจ้องเขม็ง
“เอ็งทำให้ข้าต้องเสียชื่อ อับอายพรรคพวก ข้าถึงต้องหันมาฝึกฝีมือเพื่อใช้ตัดหัวเอ็ง”
“หึๆๆ...ถ้าแกว่าฝึกมาแล้วแต่ยังได้แค่นี้ งั้นวันนี้แกก็ต้องกลายเป็นผีอยู่ในป่านี่แหละ”
ขุนเดชปักดาบดำลงพื้นแสดงให้เห็นว่าพร้อมจะใช้มือมือเปล่ารับมือสัมฤทธิ์ที่มีดาบอยู่ในมือ
“เข้ามาเลยสัมฤทธิ์”
“แกตายแน่ ไอ้วีรบุรุษบาป”
สัมฤทธิ์ร้องเสียงดังแล้ววิ่งเข้าฟาดฟันใส่ไม่ยั้ง แต่ทำอะไรขุนเดชไม่ได้ เพียงแค่ฉากหลบเพลงดาบของสัมฤทธิ์ก็ทำให้มันหน้าคะมำเอง สัมฤทธิ์เจ็บใจรีบลุกขึ้นแล้วจ้วงแทงแต่ถูกขุนเดชจับข้อมือไว้แน่น สัมฤทธิ์พยายามดึงมือออกแต่งสู้แรงไม่ได้
“ถึงเวลาที่เอ็งจะต้องได้รับกรรมที่เอ็งก่อแล้ว”
ขุนเดชศอกลงไปที่ท่อนแขนสัมฤทธิ์อย่างแรง สัมฤทธิ์ร้องลั่นเสียงหมือนกระดูกหัก ดาบหล่นพื้น สัมฤทธิ์เซร้องด้วยความเจ็บปวด
“อ๊ากกกกก ช่วยด้วย...ช่วยด้วย” ขุนเดชเดินเข้าหาดึงดาบดำที่ปักพื้นขึ้นมาจ้องเขม็ง สัมฤทธิ์คลานถอยเหมือนหมาจนตรอกร้องหงิงๆ “อย่า...อย่าทำชั้นเลย...ชั้นขอร้องล่ะ อโหสิให้ชั้นด้วย”
ขุนเดชไม่สนใจควงดาบแล้วเงื้อ
กำนันบุญกับลูกน้องเข้ามาพยุงไอ้นะกับไอ้เนให้ลูกขึ้น สภาพพวกมันสองคนเจ็บหนักแต่ยังไม่ตาย
“ใครเล่นงานพวกเอ็ง บอกมาเดี๋ยวนี้”
“วะ...วะวีรบุรุษ...บาปครับพ่อกำนัน”
“ว่าไงนะ...แล้วไอ้สัมฤทธิ์ล่ะ”
ไอ้นะไอ้เนไม่ทันตอบ เสียงร้องโหยหวนของสัมฤทธิ์ดังก้อง
“อ๊ากกกกกกก”
“ไอ้สัมฤทธิ์” กำนันบุญตกใจ
“โธ่พี่สัมฤทธิ์...คราวนี้คงไม่รอดแน่แล้วครับกำนัน”
“กำนันบุญโมโหเหวี่ยงไอ้นะกระเด็น”
“ลูกข้าต้องไม่ตาย ขอให้มันไปช่วยไอ้สัมฤทธิ์ได้ทันด้วยเถอะ”
กำนันบุญหน้าเครียด
จบตอนที่ 13
ติดตามอ่านขุนเดชตอนต่อไป พรุ่งนี้