xs
xsm
sm
md
lg

กระบือบาล ตอนที่ 15

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


กระบือบาล ตอนที่ 15

เวลาผ่านไป สุบิน ภิรมย์ และสมหญิง รับรู้ข่าวร้าย พากันยืนอออยู่นอกคอกควายรวมทั้งคนงานอื่นๆ ที่จับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์เรื่องดังกล่าว สมหญิงนั้นร้องไห้ฟูมฟายอยู่กับภิรมย์

“ฮือๆ...บุเรงนอง...สมปอง...อ้อยอิ่ง...พวกแกไม่น่ามาตายเลย”
ภิรมย์น้ำตาซึม “แกอย่าร้องซิวะ...ฉันจะกลั้นไม่อยู่แล้วนะ”
บรรยากาศเต็มไปด้วยความเศร้า สุบินยืนหน้าเครียด ภิรมย์หันมาเอาเรื่องสุบิน
“เมื่อคืนคุณทำอะไร”
“เปล่า...ฉันไม่ได้ทำอะไร”
“แต่คุณเป็นคนสุดท้ายที่อยู่ในคอกควาย”
สุบินนิ่งงันไปจำนนต่อเหตุผล ภิรมย์กับสมหญิงกำลังคาดคั้นกับสุบิน ระหว่างนั้นเกริกไกรเดินออกมาจากคอก สมหญิงเห็นก็รีบวิ่งเข้าไปหา
“หมอ ! เป็นไงคะ...พวกมันเป็นอะไรตาย”
ภิรมย์วางมือจากสุบิน รีบวิ่งเข้าไปหาเช่นกัน
“โดนวางยา”
สุบินอึ้ง “วางยา”
ทันใดนั้นภิรมย์ก็หันกลับมากระชากคอเสื้อของสุบิน
“แก”
“เดี๋ยว..! ไม่ใช่ฝีมือของคุณสุบิน” เกริกไกรชูหญ้าสดในมือให้ดู “หญ้าพวกนี้ไม่ใช่หญ้าในสถานีของเรา”
ทุกคนได้ยินอย่างนั้นก็อึ้งกันไป
เกริกไกรพยักหน้า มองหาใจเด็ด “ไอ้เด็ดละ”

ใจเด็ดกำลังเดินตรวจดูที่พุ่มไม้ข้างคอกควาย ใจเด็ดเห็นก้นบุหรี่จำนวนหนึ่งตรงพุ่มไม้ พร้อมกับเศษหญ้าอีกจำนวนหนึ่ง ใจเด็ดหยิบมันขึ้นมาดู จากนั้นจึงไล่สายตาไปตามพื้นใกล้ๆ แล้วพบกับซองยาที่ถูกฉีกแล้วทิ้งเอาไว้
ระหว่างนั้นเสียงเกริกไกรดังขึ้น “ไอ้เด็ด”
เกริกไกรเดินตรงมาที่ใจเด็ด “ฉันตรวจศพพวกมันแล้ว”
“มีคนเข้ามาวางยาเบื่อพวกมัน” ใจเด็ดบอก
“ใช่...แกคิดว่าเป็นฝีมือใคร”
ใจเด็ดมองไปที่ร่องรอยต่างๆ ที่เห็น กำหมัดแน่นด้วยความโกรธ
“จะมีใคร...ถ้าไม่ใช่ไอ้พวกคาบาตี้”
ใจเด็ดเดินหุนหันออกไป
“ไอ้เด็ด...ไอ้เด็ด” เกริกไกรรีบเดินตามออกไป

เวลาเดียวกันชิดชัยกับลูกน้องเดินหน้าแช่มเข้ามาที่หน้าบริษัท
“พี่ได้ยินเสียงร้องพวกมันเมื่อคืนมั้ย...ช่างไพเราะเสนาะเพราะพริ้งจริงๆ พี่ว่ามั้ย” ลูกน้องสอพลอทันที
“ไอ้โรคจิต...ฉันนี่ฟังแล้วขนลุกยังไงไม่รู้...เฮ้อ...แต่มันก็ทำให้ฉันนึกถึงพี่ตูนนะ”
“พี่ตูนไหนพี่” ลูกน้องดันไม่เก็ต
ชิดชัยทำท่าตูน บอร์ดี้สแลมครวญเพลงฮิตออกมา “ชีวิตแค่โดนทำร้าย...แต่ที่สุดแล้วต้องไม่โดนทำลาย”
ขณะที่ชิดชัยกับลูกน้องพากันหัวเราะเอิ้กอ้ากอยู่นั้นรถของใจเด็ดก็พุ่งเข้ามาทำท่าจะชนชิดชัยกับลูกน้อง
“เฮ้ย”
ใจเด็ดเบรกเอี้ยดด แล้วเปิดประตูลงมา ชิดชัยกับลูกน้องที่ก้นจ้ำเบ้ากับพื้นพอเห็นใจเด็ดก็ตกใจรีบคลานหนี
ใจเด็ดเข้ามากระชากคอเสื้อชิดชัยขึ้นมา “จะไปไหน...ห๊ะ”
สรนุชกับอรอนงค์วิ่งออกมาจากออฟฟิศเพราะได้ยินเสียงรถเบรกดังสนั่น
“เสียงอะไร”
สรนุชอึ้งไปเมื่อเห็นใจเด็ดกำลังกระชากคอชิดชัยอยู่
ชิดชัยฉวยจังหวะนั้นรีบสะบัดตัวหลุดแล้วรีบวิ่งเข้ามาหลบหลังสรนุช
“คุณนุช! คุณนุชช่วยผมด้วยครับ”
“นี่มันเรื่องอะไร..!”
“ผมต่างหากที่ต้องถามคุณ...คุณฆ่าควายผมทำไม”
สรนุชกับอรอนงค์ได้ยินอย่างนั้นก็ช็อคคำรบสอง !!!

ด้านโชคชัยกำลังออกตรวจพื้นที่ละแวกนั้น โชคชัยกำลังจะออกเดินไปแต่ด้วยความรีบจึงไม่ทันเห็นว่าเกริกไกรขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามา เกริกไกรเบรกมอเตอร์ไซค์ เอี๊ยดดดด! ก่อนที่จะชนโชคชัย
“เจอนายกก็ดีแล้วครับ”
“เกิดอะไรขึ้นเหรอหมอ”
เกริกไกรหน้าเครียด โชคชัยนิ่วหน้าสงสัย

บรรยากาศที่หน้าบริษัทคาบาตี้กำลังมาคุสุดๆ ใจเด็ดจ้องมองสรนุชด้วยความโกรธและแค้น
“คุณทำได้ยังไง! คุณฆ่าพวกมันได้ยังไง”
สรนุชยังอึ้งและช็อคอยู่ “ฉัน...ฉันไม่ได้ทำ...ฉันจะฆ่าพวกมันทำไม”
“เพราะคุณจะแก้แค้นที่รถไถคุณโดนเผาไง"
ชิดชัยเห็นว่าพวกตนเยอะกว่าจึงเดินออกมาจากหลังสรนุชพร้อมพูดออกมา “หรือไม่จริง”
ใจเด็ดหันมาสบตากร้าวใส่ชิดชัย ชิดชัยกับลูกน้องถึงกับก้มหน้างุดทันที ระหว่างนั้นณวัตเข้ามาถึงพอเห็นใจเด็ดยืนอยู่ก็ปราดเข้ามาทันที
“แกมาทำอะไรที่นี่วะไอ้เด็กเลี้ยงควาย”
ณวัตตรงเข้ามาผลักอกใจเด็ด ใจเด็ดมองณวัตนิ่งไม่ตอบโต้
“ไอ้นี่มันบอกว่าพวกเราไปฆ่าควายมันนะครับคุณวัต”
“อ้าว...แกมีหลักฐานหรือไง ถึงได้คิดว่าเป็นฝีมือพวกเรา”
“ถึงไม่มี...แต่ใครก็รู้ว่าพวกแกเป็นคนเดียวในหนองระบือที่เกลียดควาย”
“เรื่องนั้นฉันไม่เถียง...แต่เอาอย่างนี้นะ...ฉันจะให้เงินแก...แล้วไปไกลๆ ซะ”
ณวัตหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาก่อนจะหยิบเงินจำนวนหนึ่งให้ ใจเด็ดมองเงินก็ยิ่งโกรธจัด
สรนุชเห็นอย่างนั้นก็ไม่พอใจ
“ทำอะไรน่ะวัต”
“อยู่นิ่งๆ น่านุช...ไอ้นี่มันอาจจะฆ่าควายมันเองแล้วเอามาขู่พวกเราเพื่อเอาเงิน” หันมาทางใจเด็ด “เอ้า...นี่ไงเงิน...” ณวัตไม่รู้ว่า ความโกรธในใจของใจเด็ดกำลังจะระเบิด “เอาน่า...ถือว่าฉันช่วยงานศพไอ้ควายพวกนั้นก็แล้วกัน”
ทันใดนั้นใจเด็ดก็ต่อยเปรี้ยง! เข้าที่ใบหน้าณวัตเต็มหน้า ทุกคนตกใจ ชิดชัยเห็นก็รีบทำหน้าที่องครักษ์พิทักษ์นาย รีบเข้ามาช่วยณวัตโดยมีลูกน้องเข้ามาช่วยรุม สรนุชกับอรอนงค์ตกใจ
“หยุด ! หยุดเดี๋ยวนี้”
ณวัตลุกขึ้นในสภาพเลือดกบปากทำท่าจะเดินออกไป สรนุชหันไปมอง
“วัตจะไปไหน”
ณวัตสะบัดแขนสรนุชออกก่อนจะเดินตรงไปที่รถ สรนุชหันไปแยกชิดชัยกับลูกน้องที่กำลังรุมทำร้ายใจเด็ดอยู่
“ฉันบอกให้หยุดไง”
“ถ้าไม่หยุดจะแจ้งตำรวจนะ” อรอนงค์ร้องบอก
ทันใดนั้นเสียงปืนก็ดังขึ้น เปรี้ยง!!! ทุกคนถึงกับชะงักไป แล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นณวัตยืนถือปืนอยู่
“วัต! จะทำอะไร...เก็บปืนเดี๋ยวนี้นะ” สรนุชร้องลั่น
ณวัตไม่สนใจอะไรแล้ว เดินถือปืนเข้ามาหาใจเด็ด
“เอาซิ...เก่งนี่...ทำไมไม่เก่งต่อละ”
ใจเด็ดยืนนิ่งสบตาณวัตไม่กลัว
“ว่าไง...เงียบทำไม...ฉันไม่เข้าใจจริงๆ กับไอ้แค่ควายหน้าโง่พวกนั้น ทำไมทำเหมือนจะเป็นจะตาย...ถ้ามันลำบากมาก...ฉันให้แกตายตามพวกมันไปดีมั้ย”
ณวัตเดินถือปืนเข้ามาใกล้มากยิ่งขึ้น ท่ามกลางเสียงร้องห้ามของสรนุชและอรอนงค์
จังหวะนั้นใจเด็ดก็ปัดมือณวัตออกเต็มแรงจนปืนหล่นกลิ้งออกไป ณวัตจะพุ่งเข้าไปหยิบปืนแต่ก็ถูกใจเด็ดดึงตัวไว้ก่อนจะต่อยณวัต ชิดชัยกับลูกน้องเข้ามารุม
ใจเด็ดโดนชิดชัยกับลูกน้องต่อยจนเซล้มไป แต่แล้วทุกคนก็ต้องอึ้งไปเมื่อใจเด็ดล้มไปตรงที่ปืนหล่นอยู่พอดี
ใจเด็ดคว้าปืนขึ้นมาก่อนจะเล็งจ้องไปที่ณวัต ชิดชัยและลูกน้อง
ขณะที่อรอนงค์กลัวจนน้ำตาไหล
“เฮ้ย” ณวัตตกใจสุดชีวิต
ระหว่างนั้นเกริกไกรกับโชคชัยวิ่งเข้ามาหาใจเด็ด
“ไอ้เด็ด..! อย่าทำอะไรบ้าๆ นะ”
“ใจเด็ด...ทิ้งปืนซะ”
“ทิ้งปืนเหรอนายก..? ถ้าผมทำอย่างนั้น...แล้วควายของผมละ...ชีวิตของพวกมันไม่มีค่าใช่มั้ย”
ว่าแล้วใจเด็ดก็วาดปืนไปที่กลุ่มณวัตและพวกคาบาตี้ ทุกคนก้มหมอบด้วยความกลัว เหลือเพียงสรนุชที่ยืนนิ่งอยู่ไม่หนีไปไหน
โชคชัยเห็นใจเด็ดวาดปืนขึ้น โชคชัยตัดสินใจควักปืนตัวเองออกมาเหมือนกัน
“ใจเด็ด...ทิ้งปืน...อย่าบังคับให้ฉันต้องทำอย่างนี้”
ใจเด็ดหันมามอง แต่ไม่สนใจ
“ไอ้เด็ด...ทิ้งปืนซิวะ” เกริกไกรร้องห้ามเพื่อน
สถานการณ์ตึงเครียดมากยิ่งขึ้น
สรนุชกับใจเด็ดสบตากัน
“พาฉันไป”
ทุกคนงงว่าสรนุชพูดอะไร
“นุช...แกพูดอะไร...แกจะไปไหน” อรอนงค์ฉงนหนัก
สรนุชพูดขณะที่ยังสบตาใจเด็ด “ถ้านายคิดว่าฉันเป็นคนทำ...ก็ปล่อยคนอื่นไป...ฉันจะไปอยู่ที่สถานีกับนาย”
“จะบ้าไปใหญ่แล้วนุช” ณวัตโวยวาย
“คุณนุชอย่าทำอย่างนี้เลยครับ” โชคชัยห้ามเช่นกัน
สรนุชไม่สนใจคำพูดคนอื่น ตายังจ้องมองอยู่ที่ใจเด็ด
“ฉันอยากพิสูจน์ว่าฉันไม่ได้เป็นคนที่ฆ่าควายพวกนั้น”
ใจเด็ดกับสรนุชมองตากัน ทิฐินำชีวิตต่างคนต่างเชื่อว่าตัวเองถูก

ข่าวเรื่องควายถูกฆ่ากระจายออกไปอย่างรวดเร็ว ชาวบ้านกำลังมุงอยู่ที่หน้าสถานี สุบิน ภิรมย์และสมหญิงกำลังช่วยกันพูดกับชาวบ้าน
“ไม่มีอะไรนะครับ...กลับบ้านเถอะครับ...ควายตายมันน่าดูตรงไหน” สุบิน
“เอ้า...ควายมันก็เหมือนพี่น้องเรา...ก็พวกคุณสอนเองไม่ใช่เหรอ...ตอนนี้มันตาย...เราก็อยากเห็นหน้ามันครั้งสุดท้าย...ใช่มั้ย” ชาวบ้านคนหนึ่งว่า
ชาวบ้านที่ต่างออกันหน้าประตูต่างก็ส่งเสียงเฮตามทันที
ระหว่างนั้นปองศักดิ์ขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามาจอด แล้วตรงเข้ามาสมทบกับชาวบ้านพร้อมกับกล้องคู่ใจ
ปองศักดิ์รีบกดถ่ายรูปการชุมนุมของชาวบ้านเป็นการใหญ่
“โอ๊ย...บอกว่าเข้าไม่ได้ก็เข้าไม่ได้ซิ...จะดันทำไมเนี่ย” สมหญิงโวย
สุบินเห็นอย่างนั้น ก็คิดบางอย่างขึ้นมาได้
“เอ้า...ปล่อยให้เข้ามาเลย”
ภิรมย์ไม่เห็นด้วยเท่าไหร่ “จะดีเหรอครับคุณสุบิน”
สุบินแกล้งทำเป็นพูดดังๆ ให้ชาวบ้านได้ยิน
“ไม่เป็นไร...ก็เราเตือนเขาแล้ว...ถ้าเกิดพวกเขาติดเชื้อไปก็ไม่เกี่ยวกับพวกเรา”
ชาวบ้านที่ได้ยินอย่างนั้นก็ถึงกับชะงักไป
“ติดเชื้ออะไรเหรอพ่อหนุ่ม” ชาวบ้านอีกคนสงสัย
“ก็เชื้อบ้ากลายพันธุ์ไง...เคยดูในหนังมั้ยที่คนมันกลายเป็นผีดิบน่ะ...เอ้า...ถ้าใครอยากเข้าก็เชิญ” สุบินบอก
ชาวบ้านต่างก็มองหน้ากันเลิ่กลั่กก่อนจะค่อยๆแยกย้ายสลายโต๋กันไป
สมหญิงกับภิรมย์เข้ามาชมสุบิน
“คุณสุบินนี่เก่งจริงๆ นะคะ...ทำให้พวกชาวบ้านกลับบ้านได้”
“คนเรา...ทีพูดเรื่องจริงละไม่เชื่อ...ทีโกหกละ...เชื่อกันจริง”
ในขณะที่สุบินกำลังจะเดินเข้าสถานี ปองศักดิ์ก็เรียกเอาไว้
“โทษนะครับ”
สุบินหันมาก็เห็นปองศักดิ์ โดยที่ปองศักดิ์กำลังจะเตรียมจดเลยไม่เห็นสุบิน
“ในนั้นมีผีดิบจริงเหรอครับ”
สุบินมองปองศักดิ์ เริ่มคุ้นหน้าก่อนจะนึกออก
“ไอ้ปอง...ปองศักดิ์ใช่มั้ย”
ปองศักดิ์มองหน้าสุบินอุทานออกมาอย่างดีใจ “พี่บิน...”
สมหญิงกับภิรมย์มองสุบินกับปองศักดิ์ที่กลายเป็นคนรู้จักกันซะงั้น
“มาทำอะไรที่นี่วะ” สุบินถาม
“ผมต่างหากที่ต้องถามพี่...พี่มาทำอะไรที่นี่”
“หาข้อมูลเขียนบท”
“บท..? บทพี่มีควายด้วยเหรอ”
“ทั้งเรื่อง”
“เออพี่...แล้วตกลงว่าที่ตายในสถานีน่ะควายหรือผีดิบ”
สุบินหัวเราะก่อนจะหันไปแนะนำตัวให้กับสมหญิงและภิรมย์
“นี่ไอ้ปอง...เป็นรุ่นน้องที่มหาวิทยาลัย...ไอ้นี่มันเชื่อคนง่าย...ไม่รู้เป็นนักข่าวได้ไง...ไม่มีหรอกผีดิบน่ะ...มีแต่ควายที่ตาย”
“ถึงว่า...ไอ้ผมก็ได้ยินมาว่าควายตายทั้งสถานี...เอ่อ...แล้วมันตายเพราะอะไรเหรอพี่”
สุบินหน้าเครียดลงจนปองศักดิ์รู้สึกว่าต้องได้อะไรดีๆ

ไม่นานต่อมารถโชคชัยเข้ามาจอดที่สถานี สรนุชก้าวลงมา เดินตรงดิ่งเข้าไปที่สำนักงาน โชคชัยรีบลงจากรถห้ามสรนุชไว้
“คุณนุช...คุณนุช”
โชคชัยเข้ามาขวางสรนุชไว้
“คุณนุชไม่จำเป็นต้องทำอย่างนี้ก็ได้นะครับ...ใจเด็ดเองก็ยอมให้เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่บ้านเมืองแล้ว”
“แต่ฉันอยากแสดงความบริสุทธิ์ใจ”
“ผมกลัวว่าถ้าเกิดใจเด็ดเขาโกรธขึ้นมาอีก...ผมกลัวว่าคุณนุชจะไม่ปลอดภัย”
สรนุชนิ่งไปคิดตามโชคชัย
“ขอบคุณคุณโชคชัยมากนะคะที่เป็นห่วง...แต่ฉันตัดสินใจแล้วค่ะ”
สรนุชยืนยันในความตั้งใจก่อนจะเดินออกไป โชคชัยมองตามด้วยความเป็นห่วง

ด้านใจเด็ดและทุกคนกำลังช่วยกันตักดินใส่หลุมขนาดใหญ่ สุบินเหนื่อยแทบขาดใจจึงหันไปถามเกริกไกร
“หมอ...หลุมใหญ่ขนาดนี้ทำไมไม่ใช้รถตักละครับ”
เกริกไกรชะงักมือ หันมองไปที่ใจเด็ดที่กำลังตักดินโยนลงไปในบ่อโดยไม่หยุดพัก
“ใจเด็ดบอกว่า นี่คือสิ่งสุดท้ายที่เราจะทำให้ควายพวกนี้ได้”
สุบินพยักหน้าเข้าใจ กำลังจะช่วยตักดินต่อ ระหว่างนั้นสุบินหันไปเห็นสรนุชกับโชคชัยเดินมาแต่ไกล
สุบินเผลออุทาน “นุช”
ทุกคนหันไปตามเสียงที่สุบิน ใจเด็ดเองก็เช่นกัน พอเห็นสรนุชกับโชคชัยเดินเข้ามา ใจเด็ดก็โยนพลั่วลงแล้วเดินเข้าไปหาทันที

สรนุชเดินเห็นทุ่งโล่งตรงหน้าถึงกับชะงัก ยิ่งเมื่อเห็นหลุมขนาดใหญ่บึ้มก็นึกรู้ทันทีว่ามีควายจำนวนมากมายเท่าไหร่อยู่ใต้นั้น สรนุชถึงกับเอามือปิดปากด้วยความสะเทือนใจ
ใจเด็ดเดินตรงดิ่งเข้ามาหาสรนุช โชคชัยเตรียมพร้อมหากใจเด็ดจะทำอะไรสรนุช
“ใครให้คุณมาเหยียบที่นี่”
“ฉันบอกแล้วไงว่า ฉันจะให้นายควบคุมตัวฉันเอาไว้ระหว่างที่ทางตำรวจสืบหาความจริง”
ใจเด็ดตะเพิดส่ง “กลับไปซะ”
“อะไรนะ”
“ใจเด็ด...คุณนุชเขาอยากแสดงความบริสุทธิ์ใจ” โชคชัยพยายามจะเคลียร์
“ไม่จำเป็น...นายกรู้มั้ยว่าทำไมผมถึงไม่เผาควายพวกนั้น...เพราะผมอยากจับไอ้คนที่ทำกับพวกมัน...ให้มาคุกเข่าขอโทษหน้าศพควายของผม”
พูดถึงตรงนี้ใจเด็ดหันมามองหน้าสรนุชอย่างแค้นเคือง
“เพราะฉะนั้น...คุณจะอยู่ที่นี่หรือไม่อยู่ก็ไม่มีประโยชน์....เพราะถ้าผมรู้ความจริงว่าคุณเป็นคนทำ...ต่อให้คุณอยู่ที่ไหน...ผมก็จะตามล่าคุณมาชดใช้ในสิ่งที่คุณทำ”
ใจเด็ดพูดจบก็หันหลังเดินจากไป สรนุชทั้งอึ้งทั้งช็อคที่ได้ยินคำพูดรุนแรงจากใจเด็ด

สรนุชเดินซึมกลับมาที่รถ โชคชัยเห็นอาการของสรนุชก็อยากจะปลอบ โชคชัยกำลังจะเอื้อมมือไปจับมือของสรนุช แต่แล้วเสียงของสุบินก็ดังขึ้น
“นุช”
โชคชัยชะงักมือเสียจังหวะ สรนุชหันมาก็เห็นสุบินวิ่งเข้ามา
“แกมาทำไม...จะมาด่าฉันอะไรอีก”
สุบินอึ้ง “นุช”
“เอาซิ...ตอนนี้ฉันมันเป็นฆาตกรไปแล้วนี่...แกจะด่าจะว่าอะไรก็เชิญ...หรือจะเอาฉันไปฆ่าให้ตายก็ได้...เอาเลย”
สรนุชน้ำตาคลอ ร้องไห้ออกมาด้วยความอัดอั้น สุบินเข้าใจ
“ฉันไม่ได้คิดว่าแกเป็นคนทำ...ที่ฉันตามแกมา...เพราะฉันอยากให้แกเข้าใจคุณใจเด็ด”
“แกอยากให้ฉันเข้าใจเขา...แล้วเขาเคยเข้าใจฉันบ้างมั้ย...ฉันอยู่ของฉันดีๆ...ฉันไม่ได้ทำอะไร...อยู่ๆ ก็มาบอกว่าฉันทำโน่นทำนี่”
“นุช...คุณใจเด็ดเขาเพิ่งเสียควายที่เขารักไปทั้งสถานีนะ ตอนนี้ฉันว่าแกกลับไปก่อนเถอะ...ถ้าคุณใจเด็ดเขาเย็นลงแล้ว ฉันจะรีบบอกแก” สุบินหันมาทางโชคชัย “ผมฝากดูแลนุชด้วยนะครับ”
“ไม่ต้องห่วงครับ”
สุบินมองสรนุชด้วยความเห็นใจ ก่อนจะรีบเดินกลับเข้าไป สรนุชน้ำตาเอ่อแล้ว
“คุณนุชครับ”
“คุณโชคชัยกลับไปก่อนเถอะค่ะ...ฉันจะหาทางกลับออฟฟิศเอง” สรนุชบอกเสียงซีเรียส
“แต่ว่า...”
“ขอฉันอยู่คนเดียวนะคะ”
โชคชัยอึ้งไปรู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนเกินขึ้นมาทันที
โชคชัยรับคำเศร้าๆ “ครับ”
โชคชัยเดินซึมออกไปปล่อยให้สรนุชอยู่คนเดียวอย่างที่ขอ

อรอนงค์เดินกระวนกระวายอยู่ในออฟฟิศ ระหว่างนั้นสรนุชเดินซึมกลับเข้ามา อรอนงค์เห็นเข้าก็ดีใจ
“นุช..! คุณใจเด็ดเขาไม่ได้ทำอะไรเธอใช่มั้ย”
สรนุชพยักหน้าเศร้าๆ ขณะมองไปรอบๆ “แล้วทำไมหายไปไหนกันหมด”
“ทุกคนเขากลัวว่าคุณใจเด็ดจะย้อนกลับมาอีก...ฉันก็เลยให้ทุกคนกลับไปก่อน”
“ดีแล้ว”
“นุช...ฉันไปคุยกับหมอเกริกไกรให้เอามั้ย...ว่าเราไม่ได้เป็นคนฆ่าควายพวกนั้น”
“ไม่ต้องหรอก...พูดไปก็ไม่มีประโยชน์”
อรอนงค์มองเพื่อนด้วยความเห็นใจ “แต่มันก็น่าแปลกนะ”
สรนุชอยากรู้ “อะไร”
“แกไม่สงสัยบ้างเหรอ ตั้งแต่ที่เราสงสัยคุณใจเด็ดว่าเป็นคนปาขี้ควายใส่เรา แต่เขาก็บอกว่าไม่ได้ทำ...แล้วจู่ๆ คุณเจนก็โดนรถชน...คุณใจเด็ดก็เข้าใจว่าเป็นฝีมือเรา แล้วยังเรื่องรถไถโดนเผา แล้วก็เรื่องควายตายนี่อีก นุช...แกคิดเหมือนฉันมั้ย”
สรนุชมองอรอนงค์เหมือนต้องการความคิดเห็น
“อาจจะมีมือที่สาม ที่สร้างเรื่องใส่ร้ายทั้งเราแล้วก็พวกคุณใจเด็ด” อรอนงค์ว่า
สรนุชเริ่มสงสัยขึ้นมาเหมือนกัน

ณวัตกำลังโม้เรื่องที่ว่าตัวเองเป็นฮีโร่เมื่อเช้าเป็นตุเป็นตะ ให้ชาญณรงค์กับสมคิดฟัง
“คือ...ผมน่ะ จ้องไอ้เด็กเลี้ยงควายนั่นไม่กระพริบตาอยู่แล้ว...พอมันชักปืนออกมา...ก็ผมก็นี่เลย...เตะผัวะเข้าไปที่มือของมัน”
ชาญณรงค์กับสมคิดฟังด้วยความระทึกตาม
“โอ้โห...นอกจากหล่อ...รวย...แล้วยังเป็นมวยอีกด้วยนะคุณวัตเนี่ย” ชาญณรงค์อวยสุดขีด
“แล้ว...ยังไงต่อครับ...คุณวัตจัดการไอ้ใจเด็ดมันยังไงครับ” สมคิดซัก
“ก็นี่ไง...พอปืนมันหล่นใช่มั้ย...ผมก็เตะเข้าไปที่ท้อง...พอตัวมันงอ...ผมก็เสยเข้าคางอย่างนี้เลย
-ระหว่างนั้นเสียงช่อผกาดังสวนขึ้น”
ช่อผกาท้วงขึ้นมา “คุณวัตไม่ใช่เอาแต่หลบหลังยัยสรนุชนั่นหรอกเหรอ”
ณวัตชะงักกึก ชาญณรงค์หันไปว่าที่ช่อผกาขัดจังหวะ
“อะไร...คุณวัตเขาก็บอกอยู่นี่ไงว่าเขาจัดการไอ้ใจเด็ดยังไง”
“แต่ที่ผกาได้ยินมา...เขาว่าคุณวัตเอาแต่หลบหลังผู้หญิงนะพ่อ” ช่อผกาเย้ย
“เอ่อ...สงสัย...ไอ้เด็กเลี้ยงควายนั่นมันจะไปบอกชาวบ้านอย่างนั้น เพราะกลัวหน้าแตกน่ะครับ” ณวัตแก้ตัว
“ฉันก็ว่าอย่างนั้นแหละ...แต่แค่ควายมันตาย...ฉันก็สะใจพอแล้ว”
ช่อผกาได้ยินก็ตกใจ รีบถาม “อะไรนะพ่อ...พ่อว่าควายใครตายนะ”
สมคิดประชดส่ง “เอ...ผู้สื่อข่าวประจำตำบลอย่างคุณหนูไม่น่าจะพลาดข่าวนี้นะครับ”
“นี่แกไม่รู้เหรอว่าควายไอ้ใจเด็ดตายทั้งสถานี” ชาญณรงค์บอกอย่างหมั่นไส้
“ว่าไงนะพ่อ” ช่อผกาชะงัก แล้วทันใดนั้นช่อผกาก็กรี๊ดออกมา “อ๊าย....”
ชาญณรงค์ ณวัต รวมทั้งสมคิดต่างก็ตกใจที่อยู่ๆ ช่อผกาก็ร้องกรี๊ดออกมา
“อะไรวะ...อย่าบอกนะว่าแกเสียใจที่ควายไอ้เด็ดมันตาย”
“ใครบอกละพ่อ...ดีใจต่างหาก...ต่อไปนี้พี่เด็ดจะได้มองฉันซะที...” เริ่มจะคิดแผนได้ “งั้นเดี๋ยวฉันมานะพ่อ”
ช่อผการีบวิ่งจู๊ด หนีขึ้นบ้านไป ชาญณรงค์ส่ายหน้าอย่างเซ็งๆ
“หือ...นังลูกคนนี้...ใฝ่สูงเหมือนใครวะ” หันมาทางณวัต “แต่พอเป็นอย่างนี้...ผมว่าเราชะลอเรื่องการซื้อที่เอาไว้ก่อนดีมั้ย”
ณวัตสงสัย “ทำไมละครับ”
“เอ้า...ไอ้ใจเด็ดมันต้องสงสัยผมกับคุณวัตแน่ๆ...รับรองว่าไอ้บ้านั่นมันต้องจับตามองเราไม่กระพริบตา” ชาญณรงค์ออกความเห็น
“แต่ผมกลับไม่คิดอย่างนั้น” ชาญณรงค์แปลกใจ ณวัตร่ายต่อ “ผมกลับมองว่า...ตอนนี้มันคงเหมือนคนบ้าที่ต้องการหาตัวคนทำ จนไม่มีเวลามาสนใจเราต่างหาก”
ชาญณรงค์คิดตาม “ก็อาจจะเป็นได้”
“แต่ถึงมันจะมายุ่งวุ่นวาย ผมก็ไม่สน ผมต้องการที่อีกสองแปลงให้เร็วที่สุด”
ณวัตพูดพร้อมกับผุดยิ้มร้ายเจ้าเล่ห์ออกมา

ส่วนใจเด็ดยังคงนั่งอยู่ตรงสุสานควายอย่างเศร้าซึม ระหว่างนั้นช่อผกาซึ่งหอบกระเป๋าเสื้อกำลังจะตรงไปสำนักงานเหลือบมาเห็นพอดี
“พี่เด็ด” ช่อผการีบเข้ามาหาแล้วลงนั่งข้างใจเด็ด
“ว่าไงผกา”
“ผกาได้ข่าวเรื่องควายแล้วจ้ะ...จริงเหรอพี่เด็ดที่ควายตายหมดเลยน่ะ”
ใจเด็ดพยักหน้าเศร้าๆ
ช่อผกาเผลอร้องออกมาด้วยความดีใจ “เยส” ใจเด็ดอึ้งหันมองช่อผกา จนช่อผกาต้องรีบเปลี่ยนคำพูดใหม่ “แย่...แย่จริงๆ ใครมันใจร้ายขนาดนี้”
“แล้วผกาเอากระเป๋าเสื้อผ้ามาทำไม”
“ก็จะมาให้พี่เด็ดเลี้ยงผกาแทนควายไงจ้ะ”
ช่อผกาฉอเลาะยิ้มหน้าระรื่น โดยไม่รู้ว่ากลับยิ่งทำให้อารมณ์ใจเด็ดพุ่งปรี๊ด
“ผกา...พี่ไม่ตลกด้วยนะ”
“เอ่อ...” ช่อผกาเหวอไปเลย
“ผกากลับไปก่อน...พี่อยากอยู่คนเดียว”
จู่ๆ ช่อผกาก็เบ้ปาก ก่อนจะทำเป็นร้องไห้โฮ
“ฮือๆๆ...ผการู้ว่าพี่เด็ดกำลังเศร้าก็เลยอยากทำให้พี่เด็ดหัวเราะ...ใครๆ ก็ไม่รักผกา” ช่อผกาพิลาปรำพัน
“ผกา...กลับบ้านไปก่อนนะ”
“ไม่...ผกาไม่อยากกลับบ้าน...ผกาอยู่ก็เหมือนไม่อยู่” ใจเด็ดเริ่มสงสัย “วันๆ พ่อเอาแต่คุยกับไอ้ลูกชายของคาบาตี้...แล้วก็พากันไปข้างนอก”
ใจเด็ดได้ยินอย่างนั้นก็สังหรณ์ใจขึ้นมา
“แล้วผการู้มั้ยว่าพ่อผกาออกไปทำอะไรกัน”
“ไม่รู้เหมือนกันค่ะ...กว่าจะกลับก็มืดค่ำ...จนตอนนี้เหมือนพ่อลูกกันไปแล้ว” ช่อผกาว่า
ใจเด็ดนิ่งคิด “ผกา...พี่อยากให้ผกาช่วยพี่หน่อยได้มั้ย”
ช่อผกาดี๊ด๊า ดีใจสุดๆ ”ค่ะ...ผกายินดีมาอยู่ที่นี่ค่ะ”
“ผกา...พี่อยากให้ผกาคอยจับตาดูพ่อผกาได้มั้ย”
ช่อผกางงงวย “ทำไมเหรอคะ”
“ตอนนี้พี่ยังบอกผกาไม่ได้...แต่ถ้าเมื่อไหร่พ่อผกาออกไปข้างนอกกับไอ้ณวัต...ผการีบบอกพี่ทันทีได้มั้ย”

ช่อผกาทำหน้าสงสัยว่าใจเด็ดให้ทำอย่างนั้นทำไม ขณะที่ใจเด็ดรู้สึกว่าณวัตจะพาตนไปถึงต้นเหตุของทุกปัญหา!

อ่านต่อหน้า 2




กระบือบาล ตอนที่ 15 (ต่อ)

คืนนั้นลูกน้องชิดชัยยืนกระวนกระวาย อยู่ตรงบริเวณที่เปลี่ยวแห่งหนึ่ง ชิดชัยยืนดูนาฬิกาข้อมือ ก่อนจะหันมาถามลูกน้อง

“เป็นไรวะ”
“พี่...ทำไมเราไม่นัดกันที่คนเยอะละ”
“อยากให้คนเขารู้กันทั้งตำบลหรือไงว่าเราจะทำอะไร...ห๊ะ” ชิดชัยเซ็ง
ลูกน้องไม่วางใจมองไปรอบๆ บ่นต่อ “แล้วถ้าไอ้ใจเด็ดมันตามมาจัดการเราตรงนี้ละพี่...ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง...กว่าจะมีคนมาพบศพเรา...ต้องเป็นเดือนแน่เลย”
ชิดชัยชักหมั่นไส้ “หือ...เดี๋ยวก็ทำให้เป็นศพจริงๆหรอกไอ้นี่...มันจะมาทำอะไรเรา...โน่นคนที่มันโกรธคือยัยสรนุช...โน่น”
ระหว่างนั้นณวัตเดินเข้ามา
“คุณวัต! เรียกพวกเรามามีอะไรให้ทำอีกเหรอครับ”
“ตอนนี้พวกแกเงียบๆ ไว้ก่อน” ณวัตหยิบซองเงินส่งให้ “เอาไปแบ่งกัน”
ชิดชัยรับมาเปิดออกดูแล้วตาโตเมื่อเห็นเงินจำนวนหนึ่ง มากเอาการ
“แล้วเรื่องที่ฉันให้ไปทำ...เป็นยังไง”
“เรียบร้อยแล้วครับ...รับรองว่าคราวนี้ไอ้ใจเด็ดไม่รอดแน่”
ณวัตยิ้มร้าย ใบหน้าเหี้ยมเกรียมอย่างเห็นชัด
สามวายร้ายไม่รู้ว่าที่มุมมืดมุมหนึ่ง ใจเด็ดยืนแอบมองมาที่ทั้งสาม เห็นการกระทำทุกอย่างก็คิดว่าสิ่งที่เขาคิดนั้นมีเค้าลาง

ชิดชัยกับลูกน้องเดินกลับกันผ่านซอยเปลี่ยว
“ได้เงินง่ายอย่างนี้...ฉันว่าเราลาออกจากงานแล้วมาทำเรื่องชั่วๆ กันดีมั้ย”
ชิดชัยสงสัยที่ลูกน้องไม่ยอมตอบ จึงหันไปดูแล้วก็เห็นลูกน้องมองเลิกลัก
“เป็นไร...ยังคิดว่าไอ้ใจเด็ดจะตามมาเช็คบิลหรือไง”
“โห...พี่...ก็เราทำซะขนาดนั้น”
“คิดมากน่า...ไป...ฉันเลี้ยงเหล้าเอง” ชิดชัยชวน
“เอ่อ...ผมผ่านดีกว่าพี่...ผมอยากรีบกลับบ้าน” ลูกน้องว่า
“เฮ้อ...ไอ้นี่...ตอนแรกก็เป็นกุ้งกลัวจนขี้ขึ้นสมอง...ตอนนี้กลายเป็นเต่าอยากกลับไปอยู่กระดองที่บ้าน...เอ้า...เชิญ...เชิญกลับไปมุดหัวเลยไป”
ชิดชัยด่าส่งแล้วจะเดินไปอีกทาง
“อ้าว...พี่จะไปไหน”
“ก็ร้านเหล้ามันอยู่ทางนี้...แกอยากกลับบ้านก็ไป”
ชิดชัยพูดเสร็จก็เดินออกไป ลูกน้องจะเรียกไว้แต่ไม่ทัน พอลูกน้องเดินไปได้สี่ห้าก้าวก็หยุด
“จะว่าไปก็เปรี้ยวปากเหมือนกันเว้ย” คิดปลอบใจตัวเอง “คงไม่มีอะไรหรอกน่า”
ลูกน้องหันกลับแล้วก็เห็นเงาใครคนหนึ่งเหมือนเดินตามมา
“โหพี่...นึกแล้วว่าพี่ต้องกลับมาง้อผม”
แต่ลูกน้องก็ถึงกับเย็นสันหลังวาบขึ้นมา เมื่อใครคนนั้นเดินออกมาจากเงามืด แล้วเห็นว่าเป็นใจเด็ดนั่นเอง
“เฮ้ย” ลูกน้องถอยกรูด ตาจับจ้องไปที่ใจเด็ดให้แน่ใจว่าไม่ใช่ภาพหลอน
“ชิบ” ลูกน้องชิดชัยก็หันหลังวิ่งโกยอ้าวหนีไปทันที

ลูกน้องชิดชัยวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาในซอยเปลี่ยวอีกซอย ชะโงกหน้าไปดูแล้วก็ไม่เห็นใจเด็ดตามมา ลูกน้องถอนหายใจโล่งอก
แต่ทันทีที่มันหันจะเดินไปต่อ ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นเกริกไกรยืนอยู่
“ตกใจอะไร”
ยังไม่ทันที่ลูกน้องชิดชัยจะพูดอะไร เกริกไกรก็โปะผ้าเช็ดหน้าที่มียาสลบใส่ทันที มันค่อยๆ ตาปรือแล้วล้มลง

ไม่นานต่อมา ลูกน้องชิดชัยถูกมัดกับต้นไม้ยังไม่ฟื้นจากยาสลบ ระหว่างนั้นมีมือหนึ่งเข้ามาตบที่หน้าเรียกสติ
ลูกน้องชิดชัยค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้น แล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นใจเด็ดกับเกริกไกรยืนอยู่
“เฮ้ย”
ใจเด็ดเข้ามาหาลูกน้องชิดชัยทันที “ไอ้ณวัตมันให้เงินแกค่าอะไร”
“เงิน..? เงินอะไรผมไม่รู้เรื่อง”
เกริกไกรโชว์ปึกเงินให้ดู “งั้นเงินนี่ก็ไม่ใช่ของแกใช่มั้ย...ฉันจะได้เอา”
ลูกน้องเห็นก็จำได้ “เฮ้ย ! เอาเงินฉันมานะไอ้บ้า”
“ไหนบอกว่าไม่รู้เรื่องไง...บอกมาว่ามันเป็นเงินค่าอะไร”
“ผมไม่รู้”
ใจเด็ดหันไปหาเกริกไกรอย่างรู้กัน เกริกไกรหยิบขวดแก้วข้างในมีน้ำใสๆ ออกมา
“รู้มั้ยนี่อะไร” ลูกน้องชิดชัยส่ายหน้า “น้ำกรด! ถ้าแกไม่บอกว่ามันเป็นเงินค่าอะไร...ฉันจะทำให้ญาติพี่น้องจับหน้าแกไม่ได้อีกเลย”
ลูกน้องกลัวโครตๆ “ไม่...ไม่”
“งั้นก็บอกมา” ใจเด็ดบอก
“ไม่”
ทันใดนั้นเกริกไกรก็สาดน้ำในขวดแก้วใส่หน้าลูกน้องชิดชัย
ลูกน้องชิดชัยตกใจมาก เลยโพล่งออกมาหมด “เป็นค่าเหนื่อยที่พวกเราไปฆ่าควาย” ใจเด็ดสุดอึ้ง “เละ...เละแล้วหน้าฉัน” แต่แล้วมันก็ต้องแปลกใจเพราะว่าไม่แสบหน้าสักนิด “ทำไมไม่แสบ”
ใจเด็ดเข้ามากระชากคอ “ใคร...ให้แกทำ” ลูกน้องชิดชัยนิ่งงัน เพราะหลุดปากไปแล้ว “บอกมา...เมื่อกี้เป็นน้ำเปล่า..แต่ถ้าแกไม่บอกว่าใครใช้ให้แกทำ...แกได้เจอของจริงแน่”
ลูกน้องชิดชัยมองหน้าใจเด็ด กลัวจับหัวใจเพราะใจเด็ดกำลังโกรธสุดๆ

ที่โรงแรมที่พักของสรนุช มีเสียงเคาะประตูดังเข้ามาจากหน้าห้อง สรนุชเปิดประตูออกมาพร้อมกับอรอนงค์
“อะไรกัน...เคาะเบาๆ ไม่เป็นหรือไง”
แล้วสรนุชก็ต้องอึ้งไปเมื่อเห็นใจเด็ดยืนอยู่กับเกริกไกร ใจเด็ดผลักลูกน้องกับพื้น
“ฆาตกร”
“คุณนุช...คุณอร...ช่วยผมด้วยครับ”
ลูกน้องชิดชัยรีบวิ่งเข้ามาหลบหลังสรนุชกับอรอนงค์
“เดี๋ยวก่อนค่ะ...มีเรื่องอะไรคะคุณใจเด็ด” อรอนงค์ถาม
”พนักงานคุณสารภาพแล้วว่าเป็นคนฆ่าควายที่สถานี” เกริกไกรบอก
สรนุชกับอรอนงค์ได้ยินอย่างนั้นก็แทบไม่เชื่อหูตัวเอง
“ว่าไงนะ!” สรนุชหันมาทางคู่หูชิดชัย “นายทำจริงเหรอ”
“เปล่าครับ...ผมไม่ได้ทำ” ลูกน้องชิดชัยกลับคำซะงั้น
“อะไรนะ...เมื่อกี้แกบอกว่าแกเป็นคนทำ” ใจเด็ดโมโหมาก
“ก็แกใช้น้ำกรดมาขู่ฉันนี่หว่า”
สรนุชได้ยินอย่างนั้นก็ต้องทำตัวเป็นกลาง ระหว่างนั้นณวัตเดินออกจากลิฟต์ กำลังตรงเข้ามาที่ห้อง ณวัตชะงักหยุดทันทีเมื่อเห็นว่าเกิดเรื่องขึ้น
“ถ้านายใช้วิธีข่มขู่...ฉันคงยอมรับไม่ได้ว่าพนักงานของฉันเป็นคนทำ”
“งั้นเหรอ...แล้วถ้าผมบอกว่าผมเห็นแฟนคุณให้เงินไอ้หมอนี่ละ”
ณวัตได้ยินอย่างนั้นก็คิดไตร่ตรองอยู่อึดใจ ก่อนจะรีบเดินออกไปจากตรงนั้นทันที
อรอนงค์ซักไซ้ลูกน้องชิดชัย “ว่าไง...คุณณวัตให้เงินนายเหรอ”
“ใช่ครับ...ผมไม่มีเงินจ่ายค่าเทอมให้ลูก...ก็เลยขอยืมเงินคุณณวัตน่ะครับ”
“โกหก”
ใจเด็ดสุดจะทนปรี่เข้าไปจะเอาเรื่อง เกริกไกรต้องรีบดึงเอาไว้ ขณะที่สรนุชกับอรอนงค์ก็ต้องรีบเอาตัวบังช่วยลูกน้องเอาไว้
“ปล่อยฉันซิวะไอ้หมอ...ปล่อย...ฉันจะทำให้มันพูดความจริงเอง”
“มากับฉัน”
เกริกไกรพยายามดึงใจเด็ดที่กำลังอาละวาดออกไป สรนุชกับอรอนงค์มองตามสีหน้าเครียดขึ้นมาทันที ก่อนที่สรนุชจะหันมองลูกน้องที่ก้มหน้างุดไม่กล้าสบตา

เกริกไกรลากใจเด็ดออกมาที่หน้าโรงแรม
“แกดึงฉันออกมาทำไม...ฉันจะฆ่ามัน”
ใจเด็ดจะเดินเข้าไปใหม่ เกริกไกรต้องรีบเข้ามาขวาง “ไอ้เด็ด...ใจเย็นๆ ซิวะ”
“ฉันเย็นมามากพอแล้ว...”
“ไอ้เด็ด..บางทีคุณนุชอาจไม่รู้เรื่องนี้ก็ได้นะเว้ย”
“หมายความว่าไง...นี่แกเข้าข้างพวกนั้นเหรอ”
“ฉันไม่ได้เข้าข้าง...แต่แกลองคิดดีๆซิ...ว่าคนที่เอาเงินให้ไอ้หมอนั่นคือแฟนคุณนุช...ถ้าไม่ใช่ฝีมือคุณนุช...แต่เป็นไอ้หมาวัดนั่นละ”
ใจเด็ดได้ยินอย่างนั้นก็ฉุกคิดขึ้นมาทันที

เช้าวันรุ่งขึ้น ณวัตค่อยๆ เปิดประตูออกมาจากห้องก่อนจะมองซ้ายมองขวา พอเห็นว่าทางโล่งณวัตก็รีบเดินไปที่ลิฟต์ทันที
ณวัตเลี้ยวพ้นมุมที่ประตูลิฟต์ก็ต้องตกใจ เมื่อเห็นสรนุชยืนรออยู่
“จะไปไหนเหรอคะ”
“เอ่อ...ก็ไปทำงานซิ...นุชถามอะไรแปลกๆ”
“แล้วเมื่อคืนวัตไปไหนมา”
ณวัตหลบตาแล้วทำเป็นคิด “ไปไหน...? ไม่ได้ไปไหนนี่...วัตก็อยู่ห้องทั้งคืน”
“เหรอคะ...แต่นุชเคาะเท่าไหร่ทำไมวัตไม่เห็นตอบ”
ณวัตทำเป็นหงุดหงิดกลบเกลื่อน “นี่มันเรื่องอะไรนุช...มาถามวัตอย่างนี้ทำไม...วัตไม่ใช่ผู้ต้องหาของนุชนะ”
ณวัตทำเป็นหงุดหงิดแล้วเดินไปกดลิฟต์
“วัตเป็นคนสั่งฆ่าควายพวกนั้นหรือเปล่า” สรนุชถามเสียงกร้าว
ณวัตเล่นละครทำเป็นอึ้ง “อะไรนะ...นุชคิดว่าวัตเป็นคนบงการเหรอ...วัตว่านุชคงจะฟังไอ้เด็กเลี้ยงควายจินตนาการสูงนั่นมากไปหน่อย”
“วัตแต่ตอบมา...ว่า...วัตเป็นคนสั่งหรือเปล่า”
ณวัตสบตาแสดงความจริงใจ “เปล่า”
ระหว่างนั้นลิฟต์มาพอดี พอประตูลิฟต์เปิดออก อรอนงค์ก้าวออกมาพร้อมกับหนังสือพิมพ์ในมือ
ณวัตเดินสวนอรอนงค์เข้าไปในลิฟต์ทันที อรอนงค์งงว่าเกิดอะไรขึ้น
“มีอะไรเหรอนุช”
“เปล่าหรอก...แล้วแกไปไหนมา”
“ก็ลงไปทานอาหารเช้าไง” อรอนงค์นึกขึ้นได้ “เออนุช...แกดูนี่ซิ”
“อะไร”
“แกอ่านดูแล้วกัน”
อรอนงค์ส่งหนังสือพิมพ์ให้ สรนุชรับมาอ่านทันที

สุบินทิ้งหนังสือพิมพ์ที่ลงข่าวเรื่องเดียวกันลงอย่างขัดใจ
“ไอ้บ้าปองศักดิ์...เขียนข่าวอย่างนี้ได้ยังไง”
ใจเด็ดไม่ได้รู้สึกอะไร ขณะที่ภิรมย์กับสมหญิงต่างสงสัย เข้าไปอ่านหนังสือพิมพ์ต่อ
“เดี๋ยวผมจะโทรไปบอกให้รุ่นน้องผมแก้ข่าวให้นะครับคุณใจเด็ด...ผมอุตส่าห์บอกแล้วว่าควายโดนวางยา...ไม่ใช่ความบกพร่องของคุณใจเด็ด”
“ไม่ต้องหรอกครับ...ที่เขาเขียนน่ะถูกแล้ว” ใจเด็ดยังสะเทือนใจไม่หาย “ถ้าเราเข้มงวดเรื่องเวรยามมากกว่านี้...พวกมันก็เข้ามาวางยาไม่ได้”
สุบินได้ยินอย่างนั้นก็รู้สึกผิด “เอ่อ...ผมขอโทษครับ...ถ้าคืนนั้นผมรอบคอบกว่านี้...”
“ไม่ใช่ความผิดคุณสุบินหรอก...ถ้าจะผิดก็ผิดด้วยกันทั้งหมด” เกริกไกรหันมาทางใจเด็ด “ไอ้เด็ด...แล้วแกจะบอกกับทางจังหวัดยังไง”
ใจเด็ดนิ่งไปเพราะเขาเองก็ไม่รู้จะบอกยังไงเช่นกัน ระหว่างนั้นเสียงช่อผกาดังแจ๋นเข้ามา
“พี่เด็ด...พี่เด็ดจ๋า” ช่อผกาเดินเข้ามาเห็นกระบือบาลอยู่กันพร้อมหน้า “โห...นั่งกันหน้าเครียด...เป็นไรกันหรือเปล่า”
“ไม่ได้เป็นไรหรอกค่ะ...แค่รำคาญเสียงนกเสียงผกาแถวนี้น่ะค่ะ” สมหญิงประชด
“แกว่าอะไรนะ...เสียงนกเสียงผกาเหรอ”
“เปล่า...สมหญิงพูดว่าเสียงนกเสียงกาค่ะ”
ใจเด็ดถามตัดบท “มีอะไรหรือเปล่าผกา”
“อ้าว...ก็พี่เด็ดให้ผกาคอยจับตาดูพ่อกับคุณณวัตเขาไม่ใช่เหรอคะ”
ใจเด็ดได้ยินอย่างนั้นก็สนใจขึ้นมาทันที
“ทำไมเหรอ”
“ก็ผกาเห็นวันนี้คุณณวัตพาใครไม่รู้มาหาพ่อ...แล้วก็พากันออกไปด้วยกัน”
“แล้วผการู้มั้ยว่าเขาไปไหนกัน”
“เห็นบอกว่าจะไปที่นาที่เพิ่งยึดมาน่ะค่ะ”
“ที่นายายนุ้ยเหรอ” เกริกไกรถาม
ใจเด็ดเอ่ยขึ้น “ผกาไปกับพี่”
“ไอ้เด็ดแกจะไปไหน...ถ้าแกมีเรื่องอีก...ทางจังหวัดเขาไม่เอาแกไว้แน่”
“แต่ฉันต้องทำ...ฉันต้องหาความจริงมาลบล้างความผิดที่พวกมันใส่ร้ายฉัน”
ใจเด็ดกับช่อผการีบออกไป เกริกไกรพยายามจะห้ามแต่ไม่ทัน ทั้งหมดเป็นห่วงใจเด็ดกลัวว่าจะเกิดเรื่องขึ้นมาอีก
บริเวณที่นายายนุ้ย ชาญณรงค์ ณวัตและวิศวกรกำลังดูแปลนแผงผังโรงงานกับที่นายายนุ้ย
“เอ...ที่ผมดูจากแปลนแล้ว...ผมว่าขนาดที่ดินมันเล็กไปนะครับ” วิศวกรออกความเห็น
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง...รออีกวันสองวัน...รับรองว่าผมมีที่มากกว่าที่คุณต้องการอีก...ใช่มั้ยผู้พัน”
“แน่นอน...คนที่เขาเรียกผมว่าผู้พันเทวดา...สามารถเนรมิตทุกอย่างได้” ชาญณรงค์คุยโอ่
ระหว่างนั้นรถของใจเด็ดพุ่งเข้ามา ทั้งสามมองไปด้วยความสงสัย ช่อผกาลงมาจากรถ ใจเด็ดตามลงมา
“เห็นมั้ยคะพี่เด็ด...นี่ไง”
“นังผกา...พามันมาทำไม”
ใจเด็ดมองไปที่วิศวกรที่ถือแบบแปลนก็สงสัย “พวกแกต้องกำลังจะทำอะไร”
“ฉันจะทำอะไรกับที่นาของฉัน แล้วมันหนักหัวแกตรงไหน ห๊ะไอ้ใจเด็ด”
ณวัตเห็นท่าทางไม่ดีและไม่อยากให้ใจเด็ดรู้อะไรมาก จึงหันไปบอกกับวิศวกร
“ผมว่าเรากลับก่อนดีกว่า...ให้ผู้พันแกจัดการเรื่องที่นี่เอง”
วิศวกรพยักหน้ากลัวๆ เหมือนกัน วิศวกรถือแบบแปลนกำลังจะตรงไปที่รถ ใจเด็ดเข้ามาขวาง
“แปลนอะไร”
“เอ่อ...”
ใจเด็ดไม่รอให้วิศวกรตอบก็ดึงแบบแปลนไปดูทันที ณวัตตกใจรีบเข้ามา
“ทำบ้าอะไรวะ”
ณวัตโผเข้ามาแล้วต่อยใจเด็ดเข้าให้ ใจเด็ดเซถลาล้มลง ณวัตรีบหยิบแปลนขึ้นมา ช่อผการ้องออกมาด้วยความตกใจ
ใจเด็ดพุ่งเข้ามาก่อนจะต่อยณวัตคืน ทั้งสองตะลุมบอนกันไปมา ช่อผกาส่งเสียงเชียร์ใจเด็ด

เรื่องจบที่โรงพัก ณวัตหน้าตาบวมปูดนั่งให้การกับตำรวจ ส่วนใจเด็ดนั่งถัดออกไป
“คุณตำรวจต้องจัดการให้ผม...เห็นมั้ยว่ามันทำอะไร” ณวัตฟ้องใหญ่
“ที่ทำน่ะมันยังน้อยไป” ใจเด็ดสวนออกมา
ณวัตรีบฟ้อง “เห็นมั้ย...ได้ยินมั้ย...เอาซิ...จับเลย...สอบสวนอะไรอีก”
ช่อผกาจะเอ่ยปากช่วยใจเด็ด แต่ชาญณรงค์ดึงเอาไว้
ระหว่างนั้นสรนุชวิ่งเข้ามา “วัต...เกิดอะไรขึ้น”
ณวัตหันมา สรนุชอึ้งไปเมื่อเห็นสภาพณวัตหน้าตาเละตุ้มเปะ
“นุช...เห็นมั้ยว่าไอ้เด็กเลี้ยงของนุชมันทำอะไรวัต”
สรนุชมองใจเด็ดอึ้งๆ ใจเด็ดยามนี้เหมือนคนที่เธอไม่เคยรู้จัก
ช่อผกาเหลืออดเลยโพล่งขึ้น “นี่...คนที่เริ่มก่อนคือนายต่างหาก...นายต่อยพี่เด็ดก่อน”
ชาญณรงค์ตวาด “นังผกา...แกหุบปากเลย”
ตำรวจได้ยินอย่างนั้นชักไม่แน่ใจ “ตกลงใครเป็นฝ่ายเริ่มก่อนกันแน่ครับ”
ชาญณรงค์ชี้ไปที่ใจเด็ด ส่วนช่อผกาชี้ไปที่ณวัต
“ในเมื่อต่างคนต่างก็ไม่ยอมรับ...งั้นก็ต่างคนต่างปรับก็แล้วกัน...งั้นหัวหน้าใจเด็ดเชิญทางนี้ดีกว่าครับ”
ใจเด็ดลุกขึ้นแล้วหันมองสรนุช ใจเด็ดเดินเข้ามาหาสรนุช ทุกคนงงว่าใจเด็ดจะทำอะไร
“คุณต้องการที่นาของชาวบ้านไปทำอะไร”
“ที่นาอะไร..?” สรนุชงง
ณวัตรีบแถเข้ามา “นุช...อย่าไปฟังมัน”
“ถ้าคุณคิดจะฮุบที่นาของชาวบ้านไปทำอะไรละก็...ผมจะต่อสู้กับคุณให้ถึงที่สุด”
ใจเด็ดพูดจบก็เดินตามตำรวจออกไป พอใจเด็ดไปแล้วณวัตจึงค่อยทำเก่ง
“ไอ้บ้านี่...พูดอย่างนี้เดี๋ยวก็โดนอีกข้อหาหรอก”
ณวัตหันมาแล้วก็ต้องชะงักเมื่อสรนุชมองมาที่เขาเหมือนเต็มไปด้วยคำถาม

สุบิน ภิรมย์ และสมหญิงนั่งกระวนกระวายอยู่ที่หน้าสำนักงาน
“หัวหน้าอย่าเพิ่งกลับมาตอนนี้เลย”
ขาดคำสมหญิง ใจเด็ดก็โผล่เข้ามา
“คุณใจเด็ด” สุบินอุทาน
ใจเด็ดแปลกใจ “ทุกคนมานั่งทำอะไรตรงนี้”
ทุกคนเงียบลงไม่กล้าบอกใจเด็ด
“ฉันถามว่าเกิดอะไรขึ้น”
ระหว่างนั้นเกริกไกรเปิดประตูออกมาจากสำนักงาน
ใจเด็ดเข้าไปถาม “หมอ...มีอะไร”
เกริกไกรตกใจ “ไอ้เด็ด”
ยังไม่ทันที่เกริกไกรจะตอบ หัวหน้าของใจเด็ดจากปศุสัตว์สุรินทร์ก็เดินตามเกริกไกรออกมา ใจเด็ดเห็นก็อึ้งไป
“กลับมาพอดี” หัวหน้าทัก
“คงจะมาเรื่องควายที่ตายใช่มั้ยครับ”
“นั่นก็ส่วนนึง...ฉันสอบปากคำทุกคนแล้ว” หัวหน้าบอก
“ท่านครับ...ให้เวลาผมอีกหน่อย...ตอนนี้ผมรู้ตัวคนทำแล้ว”
“เกิดเรื่องใหญ่โตขนาดนี้คุณยังกล้าขอโอกาสกับผมอีกเหรอ...รู้มั้ยว่าควายที่ตายมันเป็นทรัพย์สินของราชการ...แล้วคนที่ทำให้เกิดความเสียหายอย่างนี้...คุณเองก็น่าจะรู้ว่าต้องรับโทษยังไง”
เกริกไกรแก้แทน “แต่มันไม่ใช่ความผิดพวกเรานะครับท่าน”
“พวกคุณใช้อำนาจในทางมิชอบ...เอาเวลาราชการไปข่มขู่ชาวบ้าน...ถ้าพวกคุณไม่ทำตัวเป็นผู้มีอิทธิพลในพื้นที่...ก็คงมีเวลาดูแลควาย...แล้วพวกมันก็ไม่ต้องมาตายอย่างนี้”
“ใครร้องเรียนท่านอย่างนั้นครับ” เกริกไกรอึ้ง ก่อนจะถามขึ้น
“ใครก็ไม่สำคัญ...รู้แค่ว่าเขาเดือดร้อนจากการกระทำของพวกคุณก็แล้วกัน...ใจเด็ด” ใจเด็ดสบตาหัวหน้า รอฟัง “ฉันขอให้นายออกจากพื้นที่หนองระบือภายในยี่สิบสี่ชั่วโมง...แล้วไปรายงานตัวกับคณะกรรมการสอบสวนที่กรุงเทพฯ”
ใจเด็ดได้ยินอย่างนั้นก็ถึงกับช็อคคาที่

ส่วนณวัตเดินลงมาจากโรงพัก โดยมีสรนุชเดินตามมาห่างๆ
“เสียเวลาจริงๆ...” ณวัตรู้สึกเจ็บปาก “อูย..! นุช...จะกลับกับวัตมั้ย”
สรนุชคาใจเรื่องที่นาชาวบ้านไม่หาย “วัตซื้อที่นาของชาวบ้านเหรอ”
ณวัตชะงักไป “อะไร...อย่าบอกนะว่านุชเชื่อที่มันพูด...ไม่อยากจะเชื่อจริงๆ”
“แล้วถ้าเขาไม่ไปรู้ไปเห็นอะไรมา...เขาจะพูดอย่างนั้นเหรอ”
“ทำไม...ไอ้เด็กเลี้ยงควายนั่นมันอาจจะเสียใจที่ควายมันตายจนประสาทหลอน...จับเรื่องนั่นมาชนเรื่องนี้ก็ได้...คุณกลับเองก็แล้วกัน”
ณวัตแกล้งโมโหกลบเกลื่อน แล้วขึ้นรถปิดประตูแล้วขับออกไปอย่างหงุดหงิด สรนุชยังคาใจอยู่

ด้านใจเด็ดกำลังเก็บเสื้อผ้าข้าวของที่จำเป็นใส่ลงเป้ ใจเด็ดหันไปเปิดตู้ดูอีกครั้งก่อนจะเห็นเสื้อของสรนุชแขวนอยู่
ใจเด็ดมองด้วยจิตใจอันแสนบอบช้ำ...ก่อนจะปิดประตูเสื้อผ้า ทิ้งมันไว้อย่างนั้น

ใจเด็ดกำลังร่ำลาเหล่ากระบือบาลทุกคนที่หน้าสถานี สุบินรู้สึกใจหวิวๆ สมหญิงยืนอยู่ถัดไป ภิรมย์ช่วยถือกระเป๋าเสื้อผ้าของใจเด็ดอยู่ข้างๆ
“ไม่ต้องห่วงที่นี่นะครับ...ผมกับทุกคนจะช่วยกันดูแลเอง” สุบินรับปาก
“แล้วไอ้หมอไปไหน”
ทุกคนเพิ่งนึกได้เมื่อใจเด็ดถามถึง
“นั่นซิครับ...หัวหน้าจะไปแล้ว...ไปอยู่ไหนเนี่ย” ภิรมย์บ่น
“หมอเขาคงไม่ชอบการจากลามั้งครับ” สุบินว่า
“ผมไม่ได้ไปแล้วไปเลยซะหน่อย...ทุกคนไม่ต้องห่วง...ฉันไปต่อสู้เพื่อทวงความยุติธรรมให้ทุกคน”
ทุกคนเศร้าลงนิ่งงันไป ทำให้ใจเด็ดพลอยเศร้าไปด้วย
“เข้มแข็งไว้นะทุกคน...แล้วฉันจะรีบกลับมา”
สมหญิงสุดกลั้น สะอื้นไห้ไม่อายใคร
“พวกเราไม่ไหวจริงๆ ใช่มั้ยหัวหน้า หัวหน้าเจอเรื่องร้ายๆ มากมาย ยังต้องมาให้กำลังใจพวกเราอีก”
“อย่าคิดอย่างนั้นซิสมหญิง...พวกเราคือกระบือบาล...ถ้าพวกเราอ่อนแอ...แล้วควายจะพึ่งใครละ...เข้มแข็งไว้นะทุกคน...แล้วฉันจะรีบกลับ”
สมหญิงโผเข้ากอดใจเด็ดร้องไห้ฟูมฟายออกมา ภิรมย์เองก็ทนไม่ไหววิ่งเข้ามากอดเหมือนกัน ใจเด็ดพยายามปลอบ ก่อนจะมองไปที่สุบินเหมือนเป็นเชิงบอก เขาฝากทุกอย่างที่นี่ด้วย

อรอนงค์นั่งทำงานอยู่ในบริษัท ระหว่างนั้นสรนุชเดินเข้ามาก่อนจะลงนั่งครุ่นคิด
“นุช...เป็นไง...เอ่อ” อรอนงค์ไม่อยากเอ่ยชื่อ รู้สึกยังไงไม่รู้ “เอ่อ...คุณวัตเขาเป็นไร”
“จะมีอะไร....ก็มีเรื่องกับนายใจเด็ดนั่นแหละ”
ชิดชัยแอบฟังผ่านผนังกั้น
“อร...แกได้ยินข่าวที่ชาวบ้านถูกยึดที่นาบ้างหรือเปล่า”
“อืม...เห็นหมอเกริกไกรก็พูดๆ อยู่เหมือนกันนะ...บอกว่าชาวบ้านโดนผู้พันแกยึดที่นาไปหลายแปลงแล้ว...ทำไมเหรอแก”
สรนุชนิ่งไป ชิดชัยที่แอบฟังก็รีบเก็บข้อมูล
ระหว่างนั้นเกริกไกรวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา ชิดชัยเห็นก็ตกใจ
“อ้าวเฮ้ย...ไอ้หมอควาย...ใครให้แกเข้ามาวะ”
สรนุชกับอรอนงค์ได้ยินที่ชิดชัยโวยวายก็ออกมาดู เกริกไกรหันไปเห็นสรนุชกับอรอนงค์ก็รีบเข้ามาหาโดยไม่สนใจชิดชัย
“เร็วครับคุณนุช...รีบตามไอ้เด็ดไปเร็ว”
สรนุชตกใจ “เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ”
“ไอ้เด็ดมันจะไปจากหนองระบือแล้ว”
สรนุชอึ้ง ตกตะลึง “อะไรนะ”
“ทำไมคะหมอ...มีอะไรคะ”
“ก็เรื่องควายตายไงครับ...ไอ้เด็ดมันโดนลงโทษทางวินัยอย่างรุนแรง...ให้ออกจากหนองระบือภายในยี่สิบสี่ชั่วโมง...ไปครับคุณนุช...เดี๋ยวไม่ทัน”
สรนุชนิ่งไปอย่างลังเล จนอรอนงค์ต้องช่วยเร้าอีกคน
“ไปซินุช...รีบไปตามคุณใจเด็ดไป”
สรนุชพยักหน้าก่อนจะรีบวิ่งออกจากออฟฟิศไป เกริกไกรกับอรอนงค์มองตามลุ้นๆ ขอให้สรนุชไปทัน
ชิดชัยแอบเก็บข้อมูลเรื่องที่ใจเด็ดโดนย้ายด่วน

ที่บ้านชาญณรงค์ ณวัตกำลังซดไวน์แก้เครียด มีชาญณรงค์นั่งอยู่ด้วย
“ผมว่า...เราพักๆเรื่องนี้เอาไว้ก่อนดีมั้ยครับ”
“ไม่...ผมต้องการเดินหน้าเต็มตัว...ผมอยากให้เด็กเลี้ยงควายนั่นมันแพ้อย่างหมดรูป” ณวัตหมายมาด
“เอ่อ..ก่อนที่คุณวัตจะพูดอะไรต่อ..ผมขอขัดจังหวะซักครู่นะครับ” ณวัตแปลกใจ “นังผกา”
ชาญณรงค์เรียกออกมา แล้วหันมองไปทางด้านพุ่มไม้ แต่ก็ไม่มีอะไรเคลื่อนไหว
ชาญณรงค์พูดเสียงดัง “นังผกา! จะออกมามั้ย”
แล้วช่อผกาก็โผล่ออกมาจากพุ่มไม้ในสภาพพรางตัวอยู่ “พ่ออ่ะ”
“แกจะมาแอบฟังเพื่อไปบอกไอ้เด็ดมันใช่มั้ย”
“ถ้าใช่แล้วทำไมละพ่อ”
“งั้นแกขึ้นไปเลย...ขึ้นบ้านไปเลยไป...ไป...ฉันบอกให้ไปไง”
ช่อผกาหน้างอเดินตุ้บป่องกำลังจะเข้าบ้าน
ชาญณรงค์หันมา “ต่อได้เลยครับคุณวัต”
ณวัตยังไม่ทันจะพูดต่อ จู่ๆ ชิดชัยก็วิ่งหน้าตื่นเข้ามา
“คุณวัต...คุณวัต”
ช่อผกาที่กำลังจะเดินเข้าบ้าน พอเห็นชิดชัยก็ชะงักรีบหาที่ซ่อนแอบฟัง
“มีอะไร”
“ไอ้ใจเด็ด...ไอ้ใจเด็ดมันถูกเฉดหัวออกไปจากหนองระบือแล้วครับ” ชิดชัยรายงาน
ช่อผกาได้ยินก็ถึงกับอ้าปากหวอ
“ให้มันได้อย่างนี้ซิวะ..!”
ณวัต ชาญณรงค์ และชิดชัยต่างไชโยโห่ร้องด้วยความดีใจ
จู่ๆ ช่อผกาก็ร้องกรี๊ดลั่นบ้าน “อ๊าย...” แล้ววิ่งพรวดออกมา
ชาญณรงค์รีบเข้ามาขวาง “จะไปไหนนังผกา”
“ปล่อยผกานะพ่อ...ผกาจะไปหาพี่เด็ด”
“โอ๊ย...อย่าตามไปเลยครับ...ตอนนี้ไปไหนต่อไหนแล้ว” ชิดชัยเยาะ
“พี่เด็ด” ช่อผกาใจหาย
ช่อผกาจะวิ่งออกจากบ้าน ชาญณรงค์รีบเข้ามารวบตัวเอาไว้ ช่อผกาดิ้นพล่านจนวุ่นวายไปทั้งบ้าน

ใจเด็ดขับรถออกมาจากสถานี มองกระจกหลังเห็นทุกคนยืนส่งโบกมือให้ที่หน้าสถานี
“รีบกลับมานะครับ” ภิรมย์ว่า
“เข้มแข็งนะคะหัวหน้า” สมหญิงบอก
ใจเด็ดใจหายขบกรามแน่นจนเป็นสัน หักห้ามน้ำตาลูกผู้ชายไม่ให้รินไหล

สรนุชขับรถมาตามทางมองไปข้างหน้าก่อนจะเห็นทางลัดเล็กๆ สรนุชรีบเลี้ยวตัดเข้าทางนั้นทันที
ใจเด็ดขับรถมาตามทางนี้เช่นกัน...กำลังมุ่งหน้าออกจากหนองระบือเข้าสู่กรุงเทพฯ

สรนุชขับรถมาถึงบริเวณทางตัด เบรกดังเอี๊ยด! สรนุชก้าวลงจากรถมายืนมอง แต่ไม่เห็นรถใจเด็ด สรนุชใจเสีย...นึกในใจ หรือว่าเขาจะไปแล้ว
จังหวะนั้นสรนุชหันไปเห็นรถของใจเด็ดขับมาแต่ไกลที่ถนนอีกเส้น สีหน้าของสรนุชมีความหวังขึ้นมาทันที
สรนุชเหลียวมองทิศทางแล้วเห็นว่าต้องขับรถย้อนกลับไป จึงตัดสินใจวิ่งลงแปลงนาเพื่อจะข้ามไปยังถนนอีกเส้น สรนุชวิ่งล้มซมซานจนเนื้อตัวเปรอะเลอะดิน ก่อนจะรีบปีนขึ้นมาบนคันนาที่ถนนอีกเส้น
ภายในรถ ใจเด็ดขับรถใกล้เข้ามา มองเห็นสรนุชยืนหอบรออยู่แต่ไกล สรนุชพยายามกระโดดโบกมือเรียกให้จอด
“นี่...จอด...จอดก่อน...ฉันอยากคุยกับนาย”
ใจเด็ดมองเห็นสรนุช ถอนเท้าออกจากคันเร่งเหมือนจะเหยียบเบรก แต่แล้วใจเด็ดกลับกดเท้าลงไปที่คันเร่งหนักกว่าเดิม
สรนุชอึ้งเมื่อรถใจเด็ดพุ่งผ่านหน้าเธอไปอย่างรวดเร็ว ร่างสรนุชซวนเซมองรถใจเด็ดที่ค่อยๆ ขับห่างออกไป ๆ จนลับสายตา

สรนุชยืนอึ้งตัวชาอยู่กับที่

อ่านต่อหน้า 3 พรุ่งนี้




กระบือบาล ตอนที่ 15 (ต่อ) 

เวลาต่อมาที่ริมน้ำสวยแห่งนั้น...สรนุชนั่งซึมใบหน้าเศร้าหมอง สะท้อนใจไม่หายกับภาพที่ใจเด็ดขับรถผ่านเธอไปโดยไม่สนใจหันมามอง ระหว่างนั้นมีใครคนหนึ่งเดินเข้าตรงที่สรนุชนั่งอยู่

“มาอยู่นี่เอง” เป็นสุบินนั่นเอง
สรนุชหันมาก็แปลกใจที่เห็นสุบิน “บิน...แกตามหาฉันเหรอ”
สรนุชคิดว่าสุบินเป็นห่วง แต่สุบินกลับพูดสิ่งที่สรนุชคาดไม่ถึง และกลายเป็นการทะเลาะขึ้นมา
“ใช่...กลิ่นของคนที่ชอบเอาชนะโดยไม่สนใจวิธีอย่างแกมันลอยอบอวลไปทั้งหนองระบือแล้ว”
“แกพูดอะไรของแก”
“อย่าทำเป็นไม่รู้เรื่อง...ที่คุณใจเด็ดเขาโดนสอบสวนเพราะแกร้องเรียนไปใช่มั้ย”
“แกจะบ้าเหรอไอ้บิน...ฉันยังไม่รู้เรื่องเลย...ถ้าหมอเขาไม่มาบอกฉันก็ไม่รู้ว่าเขาโดนอะไร”
“ถ้าไม่ใช่แกแล้วจะเป็นใคร”
“บิน...แกคิดว่าเพื่อนแกคนนี้จะทำอย่างนั้นเหรอ...แกรู้จักฉันมากี่ปี...แกยังไม่รู้จักฉันอีกเหรอ”
“ฉันเคยคิดว่าฉันรู้จักแกดี...รู้จักแกดีกว่าอรซะอีก...แต่เปล่าเลย...ตั้งแต่แกมาอยู่ที่หนองระบือ...แกเหมือนใครก็ไม่รู้ที่ฉันไม่เคยรู้จัก...แกทำได้ทุกอย่างเพื่อชัยชนะ...แกทำได้ทุกอย่างเพื่อที่จะเหยียบอีกฝ่ายให้จมดิน”
สรนุชมองจ้องหน้าสุบินด้วยความเสียใจ ไม่คิดว่าสุบินจะมองเธออย่างนั้น
สรนุช นึกไปถึงตอนที่ใจเด็ดขับรถผ่าน จนระเบิดอารมณ์ออกมา “พอ...พอได้แล้ว”
สรนุชรับแรงกดดันไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ผลักสุบินเซออกไป สุบินมองสรนุชไม่อยากจะเชื่อเหมือนกัน
“ได้...แกอยากให้ฉันพอใช่มั้ย...ก็ดี...ฉันว่าความเป็นเพื่อนของเราพอกันแค่นี้ดีกว่า”
สุบินพูดจบก็เดินออกไป สรนุชถึงกับทรุดล้มลงอย่างหมดแรง ไม่เหลือเค้าสาวแกร่งผู้เข้มแข็ง
สรนุชร้องไห้ออกมาด้วยความเสียใจ ที่ต้องเสียทั้งใจเด็ดแล้วก็เพื่อนอย่างสุบิน

คืนนั้นภายในร้านอาหารหรู ที่โรงแรมกลางกรุงเทพฯ สมพล นัดกับกัมปนาท เลขารัฐมนตรี
สมพละกำลังต้อนรับเลขารัฐมนตรีอย่างพินิบพิเทา สมพลยื่นเอกสารบางอย่างให้กับกัมปนาท
กัมปนาทเปิดอ่าน “แจกรถไถฟรีสำหรับเกษตกร”
“ถูกต้องครับ...ผมว่าถ้าลองใช้นโยบายผม...ผมรับรองว่าท่านรัฐมนตรีจะต้องได้ฐานเสียงจากพวกชาวไร่ชาวนาอีกเยอะ...ยุคสมัยนี้มันต้องชนะกันด้วยประชานิยมไม่ใช่เหรอครับ” สมพลว่า
“ผมมันก็แค่เลขารัฐมนตรี...ไม่มีอำนาจการตัดสินใจหรอกครับ” กัมปนาทออกตัว
“แต่ก็เสนอได้นี่” เห็นกัมปนาทดูหนักใจสมพลรุกต่อ “ผมไม่ได้คิดอะไรมาก...ก็แค่คิดต้นทุนเท่านั้น...ส่วนท่านจะไปบวกเพิ่มจากงบประมาณเท่าไหร่...ก็แล้วแต่ท่านเลย”
กัมปนาทพอได้ยินส่วนต่างก็ทำอ้อมแอ้มทันที “เดี๋ยวผมจะลองเสนอท่านดูแล้วกัน”
สมพลพอเห็นกัมปนาทเริ่มอ่อนก็ตามน้ำทันที
“ผมได้ข่าวเรื่องที่ควายเป็นพันตัวตายที่สถานีที่หนองระบือ จริงเหรอครับ”
“ใช่ครับ...ตอนนี้ยังไม่ค่อยเป็นข่าวเท่าไหร่...แต่ถ้าเกิดสื่อสนใจเล่นขึ้นมาก็น่าหนักใจเหมือนกัน”
“แล้วทำไมไม่ยุบสถานีนั่นไปเลยละครับ” กัมปนาทสนใจขึ้นมา “คือผมว่า...ถ้าเรายุบสถานีไปแล้วก็เอาเงินอุดปากพวกนักข่าวนิดหน่อย...เดี๋ยวเรื่องมันก็เงียบไปเอง”
กัมปนาทคิดตาม
สมพลรีบกล่อม “ผมว่ามันเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้ว...ถ้าคุณกัมปนาทจะไปเสนอท่านรัฐมนตรี...ผมยินดียกเครดิตความคิดนี้ให้คุณเลย”
กัมปนาทมองสมพล สมพลแสร้งยิ้มให้อย่างจริงใจ

ณวัตกำลังเดินกลับเข้ามาโรงแรมในหนองระบือ หลังจากจอดรถ และกำลังคุยโทรศัพท์กับสมพล
“ไม่ต้องห่วงครับพ่อ...ตอนนี้ผมเดินหน้าเต็มตัวแล้วครับ”
สมพลเองกำลังนั่งจิบไวน์คนเดียวอารมณ์ดี
“ดี...เพราะพ่อคุยกับเลขาท่านรัฐมนตรีแล้ว ให้ยุบไปสถานีควายนั่นไปซะ...อยู่ไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น...มีแต่จะสร้างปัญหาเปล่าๆ”
ณวัตยิ้มดีใจ “ได้ครับ...แล้วผมจะรีบหาที่ให้เร็วที่สุด”
“เร็วเท่าไหร่ยิ่งดี...เพราะถ้าไอ้นโยบายแจกรถไถฟรีมันผ่านละก็...คราวนี้ละ...คงได้ขยายโรงงานไปอีกหลายตำบล”
ณวัตยิ้มร้ายออกมา ระหว่างนั้นณวัตเหมือนเห็นอะไรบางอย่าง
“แค่นี้ก่อนนะครับพ่อ”
ณวัตวางสายจากสมพล เพ่งมองไปข้างหน้า เห็นเกริกไกรมาส่งอรอนงค์นั่นเอง

เกริกไกรเดินมาส่งอรอนงค์ตรงล็อบบี้โรงแรม
“ขอบคุณนะคะ...ทั้งเรื่องที่มาส่ง...แล้วก็เรื่องคุณใจเด็ด”
“ไม่เป็นไรครับ...ผมเองก็อยากให้สองคนนั่นเขาคุยกันซะที...ผมไม่อยากให้ไอ้เด็ดมันเข้ากรุงเทพฯไปด้วยความเข้าใจผิดๆ”
อรอนงค์ทอดถอนใจ “เฮ้อ...แต่ก็ไม่รู้นะคะว่านุชจะได้คุยกับคุณใจเด็ดหรือเปล่า...แล้วคุณใจเด็ดไม่อยู่อย่างนี้...ใครจะดูแลสถานีล่ะคะ”
“ก็ช่วยๆ กันน่ะครับ...พวกกระบือบาลสามารถทำได้ทุกอย่างอยู่แล้ว...ต่อให้พวกเราตายไป...ก็จะมีกระบือบาลรุ่นใหม่เกิดขึ้นมา”
อรอนงค์ยิ้มให้เกริกไกร
“หมอคะ” อรอนงค์นึกถึงเรื่องณวัต “ฉันอยากกลับไปอยู่ที่สถานีเหมือนเมื่อก่อนน่ะค่ะ”
เกริกไกรแปลกใจ
“เอ่อ...ไม่มีอะไรค่ะ...งั้นอรไปก่อนนะคะ”
อรอนงค์ยิ้มให้ก่อนจะเดินออกไป เกริกไกรมองตามด้วยความสงสัยและเป็นห่วง

อรอนงค์เดินเข้าไปในลิฟท์กดชั้นและกดปิด ขณะที่ประตูลิฟต์กำลังจะเลื่อนปิด ระหว่างนั้นเห็นมือใครคนหนึ่งยื่นเข้ามายั้งประตูเอาไว้
อรอนงค์คิดว่าเป็นเกริกไกร “หมอ”
พอประตูเปิดออก อรอนงค์ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่าเป็นณวัต
“คุณวัต”
“ไงจ๊ะ”
ณวัตเดินเข้ามาในลิฟต์ อรอนงค์จะพุ่งออกไป
“จะไปไหน”
ณวัตดึงอรอนงค์กลับเข้ามาก่อนจะรีบกดลิฟต์ทันที แล้วดึงร่างอรอนงค์เข้ามากอด
“อย่าดิ้นซิ...เอาละ...ฉันจะพูดกับเธอตรงๆเลยแล้วกัน...มาเป็นกิ๊กฉันมั้ย”
“คุณวัต..! คุณวัตรู้มั้ยคะว่าพูดอะไรออกมา”
“รู้ซิ...ที่ฉันทำแบบนี้เพราะฉันสงสารเธอนะ...ฉันไม่อยากเห็นเธอต้องจมปลักกับไอ้หมอรักษาควายอย่างนั้น”
ณวัตจับหน้าอรอนงค์ให้หันมา
“คิดดูซิ...ถ้าเธอยอม...ฉันอาจจะหาตำแหน่งที่มันดีกว่าไอ้พนักงานบัญชีต๊อกต๋อยอย่างนี้”
“แต่...แต่อรชอบตัวเลข...อรไม่อยากทำอย่างอื่นค่ะ”
“แน่ใจเหรอ...บางทีไอ้อย่างอื่นน่ะ...อาจจะสนุกกว่าตัวเลขที่เธอชอบก็ได้นะ”
ณวัตพยายามจะปล้ำอรอนงค์ จนอรอนงค์ร้องโวยวายด้วยความตกใจ
ระหว่างนั้นเสียงลิฟต์ดังเมื่อถึงชั้นที่อรอนงค์กดพอดี ทำให้ณวัตเสียจังหวะ อรอนงค์สะบัดตัวหลุดจากการกอดรัดของณวัต รีบวิ่งออกไปทันทีที่ประตูลิฟต์เปิด
ณวัตมองตาม ยิ้มร้ายออกมา
“แหม...ยากๆ อย่างนี้ซิถึงจะเร้าใจ”

อรอนงค์รีบเปิดประตูเข้ามาในห้องแล้วรีบเปิดไฟทันที แต่แล้วอรอนงค์ก็ต้องตกใจอีกเมื่อเห็นสรนุชนอนคว่ำหน้าอยู่บนเตียง
“ว้าย”
สรนุชพลิกตัวหันมา ในสภาพตาปรือจวนหลับแล้ว “เป็นไรอร”
อรอนงค์รีบเข้ามาบอกกับสรนุช
“นุช...ช่วยฉันด้วย...เอ่อ” ไม่อยากบอก แต่ต้องบอก “คุณวัต...คุณวัตเขาจะปล้ำฉัน...ฉันไม่อยากบอกแกเพราะกลัวแกจะคิดมาก...แกต้องช่วยฉันนะ”
อรอนงค์พูดแล้วสะอื้นร่ำไห้ออกมาอย่างเหลืออด แต่ก็ต้องแปลกใจเมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบรับใดๆ อรอนงค์หันมองไปก็เห็นสรนุชหลับไม่ได้สติแล้ว
“อ้าว...นุช...นุช...แกเป็นไร”
อรอนงค์เหลือบไปเห็นที่หัวเตียงก็เห็นกระปุกยา จึงหยิบมาดู
“ยานอนหลับ!” อรอนงค์มองสรนุชอย่างเห็นใจ “แกคงเครียดมากใช่มั้ย”
อรอนงค์ลำบากใจไม่รู้จะทำยังไง

หทัยอยู่ในห้องนอน กำลังกราบหมอนไหว้พระ
“สิ่งศักดิ์สิทธิทั้งหลายในสากลโลก...ลูกขอถวายบุญกุศลของลูกตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน...ขอให้ครอบครัวของลูก...ได้กลับมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาพ่อแม่ลูกด้วยเทอญ”
หทัยก้มกราบหมอนก่อนจะลืมตาขึ้นด้วยแววตาเศร้าสร้อย ระหว่างนั้นเสียงมือถือของหทัยดังขึ้น
หทัยหยิบมือถือมาดูแล้วก็ต้องแปลกใจ
“ใครนะ” รับสาย “สวัสดีค่ะ” นิ่งฟัง แล้วตกใจ “ใจเด็ด...ใจเด็ดลูกแม่”

ใจเด็ดอยู่ในตู้โทรศัพท์สาธารณะ มองไปที่หลังคาบ้านตัวเอง ใบหน้าหมอง
“แม่สบายดีนะครับ”
หทัยได้ยินเสียงใจเด็ดก็แปลกใจ
“ใจเด็ด...ทำไมเสียงลูกถึงได้เศร้าแบบนั้น...มีอะไร...ลูกเป็นอะไรหรือเปล่า”
“ผมไม่เป็นไรครับ...ผมแค่อยากโทรมาบอกว่า...ผมคิดถึงแม่ครับ”
“แม่ก็คิดถึงลูก” แล้วนึกขึ้นได้ “เบอร์ที่ลูกโทรมามันเป็นเบอร์ศูนย์สองนี่...ใจเด็ด...ลูกอยู่กรุงเทพฯใช่มั้ย”
“เอ่อ...”
“ลูกอยู่ไหน...บอกแม่มา...แม่จะให้ใจเพชรไปรับลูก”
“อย่าเลยครับแม่...ผมแค่เข้ามาทำธุระที่กรุงเทพฯนิดหน่อยน่ะครับ”
“แล้วลูกมาหาแม่ไม่ได้เหรอ...หรือว่าลูกเกลียดแม่แล้ว...ลูกไม่รักแม่แล้วใช่มั้ยใจเด็ด”
หทัยพูดแล้วก็รู้สึกเจ็บหน้าอกหายใจไม่ออกขึ้นมา
“ไม่ใช่อย่างนั้นน่ะครับแม่...แต่ผมมีความจำเป็นจริงๆ”
ทันใดนั้นหทัยก็ล้มลงกับพื้น เป็นจังหวะเดียวกับที่ใจจอมเปิดประตูเข้ามา
“คุยกับใค...” ใจจอมเห็นหทัยล้มลงกับพื้นก็ตกใจแทบช็อค “หทัย...หทัย ! ใครอยู่ข้างนอก...รีบเข้ามานี่เร็ว”
โทรศัพท์มือถือของหทัยหล่นกับพื้นแต่ยังไม่ได้วางสาย
ใจเด็ดได้ยินเสียงเอะอะโวยวายทางปลายสายก็ตกใจ
“แม่...แม่...แม่เป็นไรครับ”
ใจเด็ดใจคอไม่ดีรีบวิ่งออกไปที่บ้านทันที

ใจเพชรกำลังเดินกลับเข้าบ้าน เขาเพิ่งกลับมาจากทำงาน ระหว่างนั้นเสียงของใจเด็ดดังขึ้น
“พี่เพชร”
ใจเพชรหันมาแล้วก็ต้องตกใจกึ่งแปลกใจเมื่อเห็นใจเด็ด
“ใจเด็ด! แกมาได้ยังไง”
“แม่...แม่อยู่ไหนพี่”
“ทำไม...เกิดอะไรขึ้น”
ใจเด็ดมองไปชั้นบนก่อนจะรีบวิ่งขึ้นไปทันที ใจเพชรสงสัยรีบวิ่งตามใจเด็ดไปเช่นกัน

ใจจอมกำลังใช้ยาพ่นแก้หืดหอบให้กับหทัย “ดีขึ้นมั้ย”
หทัยพยักหน้า “คุณคะ...เมื่อกี้ใจเด็ดโทร.มาค่ะ”
“อะไรนะ”
ระหว่างนั้นใจเด็ดเปิดประตูเข้ามา
“แม่”
ใจจอมกับหทัยหันไปมองใจเด็ด ใจเพชรเดินตามเข้ามา ใจเด็ดรีบโผเข้าไปกอดแม่อย่างห่วงใย
“แม่เป็นไรมั้ยครับ”
“ไม่เป็นไรแล้วลูก...แม่จะเป็นไรก่อนจะเจอลูกได้ยังไง”
ใจจอมเห็นภาพนั้นก็ลุกเดินออกไปอย่างไม่พอใจ ใจเด็ดมองตาม หทัยรู้ว่าใจเด็ดคิดอะไร
“ปล่อยพ่อเขาไปเถอะลูก...ไหนมาให้แม่ดูใกล้ๆ หน่อยซิ”
หทัยค่อยเอื้อมไปลูบไล้ตามใบหน้าอย่างอ่อนโยน “ลูกผอมไปมากนะ”
“ใจเด็ด...แกมากรุงเทพฯทำไม...หรือว่าแค่เข้ามาเยี่ยมแม่”
ใจเด็ดนิ่งไปอึดใจ ก่อนจะตัดสินใจบอก
“ผมถูกสั่งให้มารายงานตัวที่กรุงเทพฯ”
“เกิดอะไรขึ้น! เล่าให้แม่ฟังซิ”
ใจเด็ดนิ่งไป ทั้งหทัยและใจเพชรต่างอยากรู้เรื่องที่เกิดขึ้น

ใจจอมนั่งซดไวน์ดับอารมณ์ เห็นใจเพชรนั่งหน้าเครียดอยู่ข้างๆ หลังเล่าเรื่องใจเด็ดจบ
“ตายหมดสถานีเลยเหรอ...หึ...ดีแล้ว...คราวนี้มันจะได้รู้ตัวซะที”
“ผมรู้ว่าพ่ออยากให้ใจเด็ดกลับมาอยู่บ้านก็จริง...แต่ผมไม่อยากให้พ่อแช่งควายพวกนั้นให้ตาย”
“ทำไม...ไอ้ใจเด็ดมันจะได้รู้ตัวซะทีว่ามันไม่ใช่เด็กเลี้ยงควาย”
ระหว่างนั้นเสียงใจเด็ดดังแทรกขึ้นมา “พ่อเอาอะไรมาตัดสินผมเหรอครับ”
ใจจอมกับใจเพชรหันไปมองใจเด็ดที่เดินลงมาจากชั้นบน
“แม่นอนแล้วเหรอ” ใจเพชรถาม
ใจเด็ดพยักหน้า
“อยากรู้ใช่มั้ยว่าฉันเอาอะไรมาตัดสิน...ก็ไอ้ศพควายเป็นพันตัวที่แกดูแลมันไม่ได้ไง” ใจจอมเยาะ
ใจเด็ดได้ยินอย่างนั้นก็เหมือนถูกกระตุกต่อมสำนึกตัวเอง ใจเพชรรีบเข้ามาห้ามพ่อ
“พ่อครับ...แม่เพิ่งนอนนะครับ”
ใจจอมได้ยอมลงนั่งอย่างหงุดหงิด ใจเด็ดหันหลังจะแบกเป้ออกจากบ้าน
ใจเพชรเดินเข้ามาขวาง “แกจะไปไหน...ทำไมไม่นอนนี่ละ”
ใจเด็ดมองใจจอมที่หน้าง้ำอยู่ ก่อนจะเอ่ยออกมา “อย่าดีกว่าครับ”
ใจเด็ดจะไปให้ได้ แต่ใจเพชรรั้งเอาไว้อีก
“ใจเด็ด...นอนนี่เถอะ...แกไม่เห็นเหรอว่าแค่แม่เห็นแกยังดีใจขนาดนี้...แล้วถ้าแม่ตื่นมาแล้วไม่เห็นแก...ฉันกลัวว่าแม่จะเป็นอะไรไปอีก”
ใจเด็ดนิ่งไปรู้สึกเป็นห่วงหทัย

ในที่สุดใจเด็ดสะพายเป้เปิดประตูเข้ามาในห้องนอนที่เขาเคยนอนตั้งแต่เล็ก เห็นข้าวของเก่าๆ ของตนยังวางอยู่ครบที่เดิม...ลูกฟุตบอล รูปถ่าย ตุ๊กตาควาย
ใจเด็ดวางเป้ลง เดินไปมองที่หน้าต่าง อดนึกเป็นห่วงขึ้นมาว่าทุกคนที่สถานีจะเป็นยังไงบ้าง แล้วจู่ๆ ใจเด็ดก็ปวดหัวขึ้นมาอีก
“โอ๊ย”
ใจเด็ดเดินเซไปติดราวผ้าม่าน ใจเด็ดกำผ้าม่านแน่นด้วยความเจ็บปวด

ส่วนที่หนองระบือ หลังฉันอาหารเช้า หลวงพี่กำลังยกน้ำชาขึ้นจิบ พลางเอ่ยยกคำสอนขึ้นมาบทหนึ่ง
“องค์ตถาคตยังชนะมารด้วยความดี...อาตมาเชื่อว่า...โยมใจเด็ดเองก็ต้องชนะอุปสรรคครั้งนี้ด้วยความดีเช่นกัน”
โชคชัย สุบิน เกริกไกร ภิรมย์ และสมหญิงกำลังนั่งปรึกษาหลวงพี่เรื่องใจเด็ด
“แต่ไอ้มารตัวนี้...มันเล่นสกปรกมากนะครับหลวงพี่”
“แล้วเราจะเล่นสกปรกกลับไปเหรอ...ตอนนี้สิ่งเดียวที่โยมใจเด็ดจะชนะปัญหาที่เจออยู่ตอนนี้ได้ก็คือ...สติ” หลวงพี่บอก
“พวกเรามีสติ...แต่ไอ้ฝ่ายตรงข้ามมันมีสตางค์แล้วจะไปชนะมันยังไงคะหลวงพี่”
“แล้วพวกเราจะให้อาตมาทำยังไง...ที่พวกเรามานี่ก็เพื่อมาขอคำปรึกษาจากอาตมา...หรือพวกเราหวังว่า...อาตมาจะสะบัดจีวรแล้วเหาะขึ้นฟ้าลงไปปราบเหล่ามารเรอะ...นี่...อาตมาไม่ใช่ซุปเปอร์แมนนะโยม”
ระหว่างนั้นลูกศิษย์วัดคลานเข่าเข้ามาหาหลวงพี่
“หลวงพี่ครับ...พวกชาวบ้านมารวมตัวข้างหน้าน่ะครับ”
ทุกคนแปลกใจว่าเกิดอะไรขึ้น
กลุ่มชาวบ้านกำลังรวมตัวเดินมาที่หน้าศาลาการเปรียญ ระหว่างนั้นหลวงพี่เดินนำมาจากศาลาพร้อมกับพวกกระบือบาล
“เอ้าๆ...รวมตัวมากันทำไมเยอะแยะ”
“พวกเราจะมาเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับหัวหน้าใจเด็ดครับหลวงพี่” ชาวบ้านเอ่ยขึ้น
เหล่ากระบือบาลได้ยินอย่างนั้นก็หันมองหน้ากันด้วยความดีใจที่เห็นกำลังใจจากชาวบ้าน
“หลวงพี่คะ...หัวหน้าใจเด็ดจะได้กลับมาดูแลที่นี่อีกหรือเปล่าคะ” ชาวบ้านอีกคนถาม
“หลวงพี่ครับ...ผมว่าเราน่าจะพูดให้พวกชาวบ้านเขาสบายใจนะครับ”
หลวงพี่ได้ยินโชคชัยพูด ก็หันมามองชาวบ้านนิ่งไป ก่อนที่จะเอ่ยขึ้น
“อาตมาไม่รู้หรอกนะว่าโยมใจเด็ดจะได้กลับมาหรือเปล่า...ถ้าให้อาตมาบอก...อาตมาก็เหมือนกับพระใบ้หวยที่ให้ความหวังลมๆ แล้งๆ”
เหล่ากระบือบาลและชาวบ้านต่างเศร้าลง หลวงพี่สังเกตเห็น
“แต่อาตมาบอกได้อย่างเดียว...ตอนนี้สิ่งที่เราจะช่วยโยมใจเด็ดได้ก็คือ...เราต้องเข้มแข็ง...เราต้องไม่ยอมแพ้กับการรุกรานจากคนนอก...อาตมาเชื่อว่าตอนนี้โยมใจเด็ดเองก็กำลังต่อสู้ร่วมกับพวกเราเหมือนกัน” หลวงพี่กล่าว
ทุกคนได้ยินอย่างนั้นก็มีสีหน้าแช่มชื่น เข้มแข็งขึ้นมาทันควัน

ใจเด็ดที่เหล่ากระบือบาลและชาวบ้านห่วงใย กำลังยืนอยู่ต่อหน้าคณะกรรมการตรวจสอบวินัยข้าราชการ ที่กรมปศุสัตว์ ที่กรุงเทพฯ คณะกรรมการห้าคนนั่งอยู่เรียงรายอยู่ภายในห้อง กำลังสอบสวนอย่างเคร่งเครียด
“คุณเอาแต่พูดว่ามีคนวางยาเบื่อให้ควายกิน...แต่คุณก็ไม่มีหลักฐาน”
“แต่ควายทั้งสถานีพร้อมกันอย่างนี้...ท่านยังคิดว่าเป็นอย่างอื่นไปได้อีกเหรอครับ” ใจเด็ดย้อนเข้าให้จนกรรมการคนที่สองต้องเตือน
“คุณใจเด็ด...กรุณาควบคุมอารมณ์หน่อย...พวกเราใช้หลักฐานในการพิจารณา...ซึ่งหลักฐานที่เรามีอยู่ตอนนี้ก็คือ”
กรรมการคนนั้นหยิบรูปที่ใจเด็ดใช้ปืนข่มขู่ที่หน้าบริษัทคาบาตี้
“คุณใช้อาวุธปืนข่มขู่คนอื่น...”
“แต่พวกมันเป็นคนที่...”
กรรมการคนนั้นพูดสวนต่อ “คุณเคยถูกร้องเรียนหลายครั้งเรื่องการทำตัวเป็นผู้มีอิทธิพลในพื้นที่”
“ว่าไงนะครับ...”
จังหวะนั้นประธานกรรมการ คนที่นั่งตรงกลางก็พูดขึ้น
“ก่อนที่เราจะพิจารณาข้อเท็จจริงข้ออื่น...ผมอยากจะบอกคุณก่อนว่า...ถึงคุณพ้นผิด...แต่พวกเรากำลังตัดสินใจที่จะยุบสถานีแห่งนั้น”
เหมือนฟ้าผ่าลงกลางใจ ใจเด็ดแทบช็อคเมื่อได้ยินอย่างนั้น

สรนุชกับอรอนงค์เดินมาตามทาง อรอนงค์สีหน้าเครียดอยากจะบอกกับสรนุชเรื่องณวัต
“นุช”
สรนุชหันมา “อะไร”
อรอนงค์อึกอัก “เอ่อ...”
“มีอะไร...ก็พูดซิอร”
“วัต...วัตเขา” อรอนงค์จะพูดเรื่องถูกณวัตคุกคาม
“ทำไม...เธออยากไปวัดทำไม” สรนุชดันเข้าใจไปว่าเรื่องวัดวาซะงั้น
“ไม่ใช่...คือว่า”
ระหว่างนั้น สรนุชเกิดอาการวูบจนเซ
“เป็นไรนุช”
“ไม่เป็นไรหรอก...สงสัยฤทธิ์ยาเมื่อคืนมันยังอยู่น่ะ...ว่าไง...วัตเขาทำไม”
อรอนงค์อึกอัก พอสรนุชพูดเรื่องยาก็ไม่อยากเอาปัญหาให้สรนุชอีก “อ๋อ...คือ...ฉันอยากไปวัดทำบุญน่ะ...ไม่มีอะไรหรอก”
“อร...ฉันรู้ว่าแกอยากให้ฉันไปวัดให้สบายใจ...แต่ตอนนี้ฉันต้องขายรถไถให้ได้ก่อน” อรอนงค์พยักหน้าเข้าใจ “แกไม่สงสัยบ้างเหรอว่าชาวบ้านที่มาจองรถไถเรา...ทำไมอยู่ๆ ถึงเงียบหายไปหมด”
เป็นจังหวะเดียวกับที่สรนุชและอรอนงค์เดินพ้นมุมต้นไม้มาพอดี และได้ยินเสียงร้องโวยวายของยายช้อน
“ไม่...อย่าไล่ฉันเลย....แล้วฉันจะไปอยู่ที่ไหน”
สองสาวหันไปมองก็เห็นยายช้อนกำลังยื้อแย่งกันกับชายชุดดำกลุ่มหนึ่ง
สรนุชกับอรอนงค์รีบวิ่งเข้ามา
“มีอะไรยายช้อน”
“คุณขา...ช่วยอิฉันด้วย...พวกมันมายึดที่นาฉัน”
สรนุชเข้าไปโวยกับชายชุดดำ “นี่พวกคุณเป็นใคร...แล้วมาทำอย่างนี้ได้ยังไง”
“ทำไมจะทำไม่ได้...ก็ที่ตรงนี้มันเป็นของบริษัทคาบาตี้แล้ว” ชายชุดดำบอกอย่างไม่แคร์
สรนุชกับอรอนงค์ได้ยินก็อึ้งไป “อะไรนะ”


ที่บริเวณล็อบบี้โรงแรม ณวัตกำลังดูแบบแปลนโรงงานโดยมีวิศวกรนั่งอยู่ด้วยกัน
“ตอนนี้ก็เหลือแค่ได้ที่ดินมา...ผมก็พร้อมทำงานทันทีครับ”
“เรื่องนั้นผมรู้แล้ว...แต่ที่ผมเรียกมาคุย...เพราะมีอีกเรื่อง” วิศวกรมองหน้า เริ่มสงสัย “ผมอยากให้คุณเสนองบก่อสร้างเป็นสองเท่า”
วิศวกรรู้ทันที “แต่ว่า...”
“ไม่สนใจเหรอ...ลำพังเงินเดือนคุณมันจะเท่าไหร่...ผมว่าเรามาร่วมมือกันดีกว่าน่า” ณวัตยื่นข้อเสนอ
ระหว่างนั้นสรนุชเดินเข้ามาในโรงแรม เหลียวมองไปเห็นณวัตกำลังนั่งอยู่กับวิศวกรก็ตรงดิ่งเข้าไปหาทันที
“วัต...!”
ณวัตหันมาก็ตกใจเมื่อเห็นสรนุชยืนอยู่
“นุช” ณวัตรีบเก็บแปลนโรงงาน “ไม่ไปทำงานเหรอครับ”
สรนุชไม่สนใจดึงแปลนมาจากมือของณวัตที่ไม่ทันตั้งตัว
“นุช...อย่า”
สรนุชดูแปลนอยู่ชั่วอึดใจ ก็ปาลงพื้นด้วยความโมโห
“วัตมาที่นี่เพื่อมาซื้อที่ดินทำโรงงานเหรอ”
“ไหนๆ คุณก็รู้แล้ว...ก็...อย่างที่คุณเข้าใจนั่นแหละ”
“แล้วถ้าคุณซื้อที่ดินจากชาวบ้านหมดอย่างนี้...แล้วจะให้ฉันขายรถไถ” สรนุชอยากจะตอกหน้าด้วยคำแรงๆ...ทำซาก “ทำไม”
“คุณจะโมโหทำไม...ไม่ว่าการที่คุณขายรถไถ...หรือผมจะทำโรงงาน...เราต่างก็ทำเพื่อคาบาตี้เหมือนกัน”
สรนุชรู้สึกสับสน ทั้งกดดัน เก็บกด และเสียใจ
“ฉันน่าจะเชื่อที่ใจเด็ดเขาเตือนฉัน”
สรนุชพูดจบก็เดินออกไปอย่างเจ็บใจ ณวัตยิ้มเยาะไม่แยแส หันมาพูดกับวิศวกรต่อ
“เมื่อกี้เราคุยถึงตรงไหนแล้ว”

สรนุชเดินออกมาอย่างเจ็บใจ ระหว่างนั้นชิดชัยกับลูกน้องเดินหัวเราะเข้ามา
“ต่อไปถ้าโรงงานคาบาตี้ขึ้นแล้วละก็...สงสัยฉันคงต้องลาออกจากไอ้การขายรถไถแล้วละวะ”
ลูกน้องสงสัยไม่เก็ตอีกแล้ว “ทำไมละพี่”
“เอ้า...ก็คุณณวัตให้ฉันเป็นผู้จัดการโรงงานไงวะ...ฮ่าๆๆ”
ลูกน้องเล่นหัวไปตามน้ำ “ถ้าอย่างนั้น...ผมก็เป็นผู้ช่วยผู้จัดการ”
ชิดชัยกับลูกน้องหัวเราะเอิ้กอ้าก ก่อนจะมาสะดุดหยุดกึก เมื่อเห็นสรนุชยืนอยู่
“พวกนายก็รู้เรื่องโรงงานนั่นใช่มั้ย”
ลูกน้องก้มหน้างุดหน้าเจื่อนไป แต่ชิดชัยกลับชูคออย่างผยอง
“ใช่!” ลูกน้องงงที่เป็นชิดชัยไม่กลัวสรนุช แถมกล้าพูดเย้ยหยัน “หรือว่าคุณนุชเพิ่งรู้เหรอครับ แหม...ไม่น่าเชื่อนะครับว่าผู้จัดการสาขาย่อยอย่างคุณนุช จะไม่รู้อะไรเลย”
“นายชิดชัย” สรนุชปราม
“ทำไมครับ...จะไล่ผมออกเหรอครับ...คุณมีอำนาจไล่เหรอ ถามคุณวัตดูก่อนมั้ย ขอโทษนะครับ...ผมขอเข้าไปหาเจ้านายตัวจริงของผมก่อน...ฮ่าๆๆๆ”
ชิดชัยเดินหัวเราะร่าผ่านหน้าสรนุชเข้าไปในโรงแรม สรนุชโกรธสุดขีด

ค่ำวันนั้นบรรยากาศที่โต๊ะอาหารในบ้านกร่อยๆ ใจจอมกำลังนั่งทานข้าว แต่หทัยกับใจเพชรนั่งกระวนกระวายรอใจเด็ดอย่างจดจ่อ
ใจจอมเห็นอาการก็ฉุน จนรวบช้อนวาง “จะให้ฉันทานคนเดียวใช่มั้ย”
“ถ้าคุณหิวก็ทานก่อนเลยค่ะ...ฉันเป็นห่วงลูก...ไม่รู้ว่าผลจะออกมาเป็นยังไง”
ระหว่างนั้นใจเด็ดในชุดข้าราชการเดินเข้ามา
“เป็นไง...ใจเด็ด...ผลเป็นไง” ใจเพชรรีบถามน้องอย่างร้อนใจ
“ลูกแม่พ้นผิดใช่มั้ย”
ใจเด็ดนิ่งเงียบ จนใจจอมจึงพูดขึ้น
“มันทำหน้าอย่างนั้นยังไม่รู้อีกเหรอว่าผลเป็นไง”
หทัยอึ้งไป ทำท่าจะเป็นลม
“แม่” ใจเด็ดตกใจ
ใจเด็ดกับใจเพชรช่วยกันประคองหทัยมาลงนั่งในห้องรับแขก ใจจอมรู้สึกผิดเช่นกันที่ทำให้หทัยสะเทือนใจ
ใจเด็ดรีบพูดเพื่อให้แม่สบายใจ “คณะกรรมการต้องใช้เวลาพิจารณาครับ...”
หทัยโล่งอก “เขาไม่ได้บอกว่าลูกแม่ผิดซะหน่อย...แล้วทำไมต้องเศร้าด้วยละลูก”
ใจเด็ดพูดไม่ออกอยู่อึดใจ “สถานีของผมอาจจะโดนยุบครับ...เอ่อ...ผมไม่หิว...ขอตัวก่อนนะครับ”
ใจเด็ดเดินออกไป หทัยมองตามด้วยความเป็นห่วง
“คุณ...คุณไม่คิดจะช่วยลูกหน่อยเหรอ...คุณก็รู้ว่าสถานีนั่นเป็นสิ่งที่ลูกเรารักที่สุด”
ใจเพชรขอร้องพ่ออีกคน “นั่นซิครับพ่อ...พ่อเองก็รู้จักกับท่านรัฐมนตรี...ผมว่า...”
ใจจอมพูดเสียงกร้าวสวนขึ้น “แล้วเห็นกันมั้ยห๊ะ! เห็นมันขอร้องให้ฉันช่วยมันมั้ย”
หทัยเอื้อมมือไปจับมือใจจอมบีบเบาๆ “คุณรักทิฐิหรือรักลูกมากกว่ากันคะ”
ใจจอมนิ่งงันไป

ใจเด็ดออกมานั่งปล่อยอารมณ์ที่สวนหน้าบ้าน คิดไม่ตกว่าจะช่วยสถานีที่เขารักยังไง ระหว่างนั้นเสียงของใจจอมดังขึ้น

“แกจะถือดีกับฉันไปถึงไหน”
ใจเด็ดหันมาก็อึ้งเล็กน้อยเมื่อเห็นใจจอม “พ่อ”
“แกก็รู้ว่าฉันช่วยแกได้...ทำไมแกไม่คิดจะขอร้องฉันเลยหรือไง”
ใจเด็ดนิ่งไป “เพราะผมรู้ครับว่าพ่ออยากให้สถานีของผมโดนยุบอยู่แล้ว”
ใจจอมเดินเข้ามาแล้วจ้องหน้าใจเด็ด
“แล้วถ้าฉันช่วยไม่ให้สถานีแกโดนยุบได้ละ”
ใจเด็ดอึ้ง งง
“ไง...ถ้าฉันช่วยแก...แกจะตอบแทนฉันยังไง”
ใจเด็ดนิ่งไปกับข้อเสนอของพ่อ ก่อนจะไตร่ตรองทุกอย่างแล้วจึงพูดขึ้นว่า
“ผมจะกลับมาช่วยงานที่บ้าน”

ใจจอมได้ยินอย่างนั้นก็ชะงักไป เพราะไม่คิดว่าใจเด็ดจะพูดอย่างนี้ออกมา

อ่านต่อหน้า 4




กระบือบาล ตอนที่ 15 (ต่อ)

อรอนงค์เปิดประตูเข้ามาในห้องที่มืดสนิทก่อนจะเปิดไฟ อรอนงค์ตกใจเมื่อเห็นสรนุชนั่งอยู่ที่เตียง

“นุช ! แกนั่งทำอะไรมืดๆ...ทำไมไม่เปิดไฟ”
“อร...แกว่าฉันโง่มั้ย”
อรอนงค์ได้ยินอย่างนั้นก็รู้ว่าสรนุชต้องมีอะไรจึงลงนั่งข้างๆ
“เป็นอะไร...มีอะไรเหรอ”
“แกรู้เรื่องที่วัตเขาทำหรือเปล่า”
อรอนงค์อึ้งที่สรนุชรู้แล้ว “นี่แกรู้เรื่องแล้วเหรอ”
อรอนงค์ตกใจรีบอธิบายให้สรนุชเข้าใจ
“นุช...ฉันไม่รู้เรื่องนะ...คุณวัตเขาลวนลามฉันเอง...ฉันพยายามจะบอกแกหลายที...แต่ฉันเห็นว่าแก...”
สรนุชอึ้ง “เมื่อกี้แกว่าอะไรนะ...วัตเขาลวนลามแกเหรอ”
อรอนงค์ได้ยินอย่างนั้นก็งง
“อ้าว...แล้วแกรู้เรื่องอะไรมา”
“ฉันถามว่าวัตเขาลวนลามแกงั้นเหรอ”
อรอนงค์พยักหน้าเศร้าๆ
สรนุชเหลืออดลุกพรวดออกจากห้องไป อรอนงค์รีบตามไป

มือสรนุชเคาะประตูห้องของณวัตโครมๆ ณวัตเปิดประตูออกมาแล้วงงเมื่อเห็นสรนุช
”มีอะไร...หรือว่าเข้าใจที่วัต...”
ณวัตยังพูดไม่ทันจบสรนุชก็เหวี่ยงหมัดเข้าเต็มหน้าณวัต จนณวัตหงายเก๋งลงไปกับพื้น
“เรื่องไรวะ”
“ยังมีหน้ามาถาม...ไอ้ชีกอ...ไอ้มักมากในกาม...กับผู้หญิงอื่นฉันไม่ว่า...แต่อย่ายุ่งกับอร”
สรนุชเข้าไปตีณวัตที่นอนอยู่ ณวัตเองก็ปัดป้องเป็นพัลวัน อรอนงค์ตามเข้ามาห้าม
“พอแล้วนุช...นุช”
สรนุชลุกขึ้นเห็นณวัตสะบักสะบอมหน้าแดง สรนุชสะบัดมืออรอนงค์ออกก่อนจะเดินเข้ามาหาณวัต
“นี่สำหรับที่แกทำกับอร” สรนุชตบหน้าณวัต เผียะ !
“แล้วนี่ก็สำหรับที่แกหลอกฉัน”
สรนุชตบหน้าณวัตอีกเผียะ! ก่อนที่สรนุชจะเดินตามอรอนงค์ออกไป


เช้าวันรุ่งขึ้น ใจจอมกับใจเพชรเดินมาที่รถ หทัยเดินตามมาส่ง
“คุณคะ...ไม่รอลูกหน่อยเหรอคะ”
ใจจอมหันมองไปในบ้าน
“ฉันมันโง่เองที่เชื่อคนอย่างมัน...ไปเถอะเพชร”
“พ่อครับ”
ใจจอมไม่สนใจเดินไปขึ้นรถที่คนขับรถเปิดประตูรอไว้อยู่ ระหว่างนั้นเสียงใจเด็ดดังขึ้น
“รอด้วยครับ”
ใจจอม หทัยและใจเพชรหันไปก็ตะลึงเมื่อเห็นใจเด็ดในชุดสูทหล่อเดินออกมาจากในบ้าน
หทัยกับใจเพชรมองหน้ากันด้วยความดีใจ ใจจอมมองใจเด็ดรู้สึกดีใจแต่ไม่แสดงออก ใจเด็ดหน้าตามุ่งมั่นมาก

ไม่นานต่อมา ภายในห้องประชุมของบริษัทใจจอมคอนสตรัคชั่น ใจเด็ดยืนเด่นเป็นสง่าอยู่ด้านหน้า ใจจอมเดินเข้ามา
“ผมอยากแนะนำให้ทุกคนรู้จักกับลูกชายคนเล็กของผม...ใจเด็ด”
ใจเด็ดยกมือสวัสดีทุกคน “ขอคำแนะนำด้วยนะครับ”
เหล่าผู้บริหารต่างตบมือต้อนรับ
ผู้บริหารคนหนึ่งแซวขึ้น “แหม...ตอนนี้คุณใจจอมก็คงสบายใจแล้วนะครับที่คุณใจเด็ดกลับมาช่วยงานแล้ว”
ใจจอมไม่วางใจลูกชายคนเล็กแอบเหน็บเอา “ไม่รู้ว่าจะสบายใจหรือหนักใจมากกว่ากัน”
ผู้บริหารอีกคนก็ว่า “อย่างน้อย...คุณใจจอมจะได้ไม่บ่นถึงคุณใจเด็ดให้พวกเราฟังอีกไงครับ”
ใจเด็ดหันไปมองพ่อ ใจจอมเขินๆ แต่ก็ทำเป็นดุกลบ
“พวกเธอชักจะพูดไร้สาระกันใหญ่แล้ว...เอ้า...คุยกันเองแล้วกันว่าจะอยากทำงานอะไร”
ใจจอมพูดจบก็เดินออกไปจากห้อง ใจเด็ดมองตามรู้ว่าใจจอมไม่ได้เกลียดเขาอย่างที่คิด
“คุณใจจอมแกบ่นถึงคุณใจเด็ดจริงๆ นะครับ...พวกเราไม่ได้พูดไร้สาระเลย...จริงมั้ย” ผู้บริหารที่เปิดประเด็นกล่าวย้ำกับใจเด็ด แล้วหันไปหากองหนุน
คณะผู้บริหารต่างส่งเสียงสนับสนุนจนทำให้ใจเด็ดรู้สึกอบอุ่น ใจเด็ดมองไปที่พี่ชายที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ
ใจเพชรยิ้มให้น้องคนเล็ก ใจเด็ดรู้ว่ารอยยิ้มนั้นแทนคำตอบทุกอย่าง

ออกจากห้องประชุมมา ใจจอมกลับมาที่ห้องตัวเองนั่งดูรูปอยู่ภายในห้อง ระหว่างนั้นเสียงเคาะประตูดังขึ้น
“เข้ามา”
ใจจอมชะงัก เมื่อเห็นเป็นใจเด็ดเปิดประตูเข้ามา ใจจอมรีบคว่ำรูปใจเด็ดเอาไว้
“ว่าไง...ตกลงว่าจะทำอะไร”
“บริหารครับ...พี่เพชรจะเป็นคนสอนให้” ใจเด็ดรู้สึกลำบากใจที่จะถาม “เอ่อ...แล้วเรื่อง”
“ฉันรู้แล้ว...แกไม่ต้องห่วง...ในเมื่อแกทำตามสัญญา...ฉันก็จะทำในสิ่งที่ฉันรับปากกับแกไว้เหมือนกัน”
ระหว่างนั้นเสียงมือถือของใจจอมดังขึ้น ใจจอมมองเบอร์ก่อนจะกดรับ
“สวัสดีครับท่าน...เป็นยังไงบ้างครับ”
ใจจอมเดินคุยมือถือออกไปจากห้องทำงาน ใจเด็ดมองตามรู้สึกสบายใจแล้ว
ใจเด็ดหันไปมองกรอบรูปที่เขาเห็นพ่อวางเอาไว้ จึงขยับเดินเข้าไปแล้วหยิบขึ้นมาดู แล้วเห็นว่าเป็นรูปครอบครัวพ่อแม่ลูกที่อยู่กันพร้อมหน้า
ใจเด็ดยิ้มน้อยๆ รู้สึกดีมากขึ้นอีก

ชาวบ้านรวมตัวกันประท้วงที่บริษัทคาบาตี้ สุรินทร์
“เอาที่นาของเราคืนมา...เอาที่นาของเราคืนมา”
ชิดชัยกับลูกน้องอยู่หลังประตูด้วยความตื่นตระหนก
“ลูกพี่...หนีเถอะ”
“ไอ้บ้า...จะหนียังไงเล่า...อยู่กันเต็มประตูอย่างนี้ไม่เห็นหรือไง”
ระหว่างนั้นสรนุชกับอรอนงค์เดินเข้ามาหน้าบริษัทพอดี
“อะไรน่ะอร”
สรนุชตั้งใจฟัง ก็ได้ยินที่สิ่งชาวบ้านมาประท้วง
“เอาที่นาของเราคืนมา...เอาที่นาของเราคืน”
ชิดชัยเห็นสรนุชก็มองเห็นทางรอดของตัวเองขึ้นมาทันที ชิดชัยรีบเปิดประตูออกมาแล้วบอกกับชาวบ้าน
“ฉันไม่รู้เรื่อง...ถ้าอยากเอาที่นาคืน...ไปถามคนโน่น...โน่นเจ้านายฉัน” ชิดชัยโบ้ย
ชาวบ้านหันไปมองสรนุชกับอรอนงค์ตามที่ชิดชัยชี้ ทันใดนั้นชาวบ้านก็เปลี่ยนเป้าหมายทันที
“อ๋อ...นังนี่น่ะเหรอ...พวกเรา...จัดการเลย”
ชาวบ้านต่างหันมาล้อมกรอบสรนุชกับอรอนงค์
“นุช...ทำไงดี”
สรนุชพยายามพูดประนีประนอม “เดี๋ยวก่อนนะคะ...คุยกันดีๆ ดีกว่าค่ะ...ฉันรู้เรื่องที่นาของทุกคนแล้ว”
“เห็นมั้ยมันบอกว่ามันรู้เห็นทุกอย่าง...นังนี่นั่นแหละตัวการ”
ชาวบ้านกำลังจะฮือรุมเข้าประชาทัณฑ์สรนุชกับอรอนงค์ แต่แล้วทันใดนั้นทุกคนก็ได้ยินเสียงแตรรถดังลั่น เป็นรถของโชคชัยที่ขับฝ่าฝูงชนเข้ามา
โชคชัยรีบลงจากรถเข้ามาหาสรนุชกับอรอนงค์
“ไม่เป็นไรนะครับ” สรนุชพยักหน้า โชคชัยหันไปหากลุ่มชาวบ้าน “ทุกคน...ใจเย็นก่อน...ฉันรู้เรื่องที่นาของทุกคนแล้ว...ฉันจะจัดการเรื่องนี้อย่างเป็นธรรมที่สุด”
“จัดการยังไง...พวกเราโดนยึดที่ไปอย่างไม่เป็นธรรม...ความยุติธรรมยังมีอยู่อีกเหรอ” ชาวบ้านตะโกนขึ้น
โชคชัยประเมินแล้วเห็นสถานการณ์เริ่มบานปลายเลยจำเป็นต้องเอ่ยขึ้นเพื่อระงับเหตุ
“ถ้าทุกคนคิดว่าคุณสรนุชเป็นตัวการ...งั้นผมจะจับคุณสรนุชไปที่โรงพัก” ชาวบ้านเริ่มส่งเสียงเห็นด้วย
สรนุชงงงวย “อะไรนะ...แต่ฉันไม่รู้เรื่องอะไรเลยนะ”
“คุณนุชอยู่เฉยๆครับ...เดี๋ยวผมจัดการเอง” โชคชัยพูดต่อกับชาวบ้าน “ว่าไง...ฉันจะพาคุณสองคนนี่ไปสอบสวน...ฉันรับรองด้วยเกรียติของนายกอบต.ที่นี่...ขอให้ทุกคนเชื่อใจได้” แล้วหันมาทางสรนุช “ไปกันเถอะครับ
โชคชัยรีบพาสรนุชกับอรอนงค์ขึ้นรถแล้วขับออกไป ชาวบ้านต่างโห่ร้องด้วยความดีใจ

รถของโชคชัยขับเข้ามาจอดที่ริมถนน สรนุชกับอรอนงค์ลงมาจากรถแล้วโวยกับโชคชัย
“คุณบอกกับชาวบ้านอย่างนั้นได้ยังไง...ฉันไม่ใช่คนที่ไปซื้อที่นาพวกเขานะ”
“แต่ถ้าผมไม่ทำอย่างนี้...คุณกับคุณอรต้องเป็นอันตรายแน่นอน”
อรอนงค์ที่ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวก็พยายามถาม
“อะไรคะ...ทำไมพวกชาวบ้านถึงได้คิดว่าเราเป็นคนยึดที่นาของพวกเขา”
สรนุชพ่นลมหายใจออกมาอย่างกลุ้มใจ
“ทั้งหมดเป็นแผนของวัต” ทุกคนสนใจสิ่งที่สรนุชพูด “เขามาที่นี่...ไม่ใช่เพราะมาช่วยฉันขายรถไถ...แต่เขามาซื้อที่เพื่อสร้างโรงงาน”
อรอนงค์ได้ยินอย่างนั้นก็อึ้งไป โชคชัยเครียดไปด้วย
“ฉันต้องทำยังไงคะ...คุณโชคชัย...ตอนนี้ฉันต้องทำยังไง”
“ผมว่าอย่างแรกที่คุณต้องตอบตัวเองให้ได้ก่อนว่า...คุณจะอยู่กับคาบาตี้ต่อไป...หรือว่าคุณจะอยู่ข้างชาวบ้าน”
สรนุชยืนอึ้ง ก่อนหันเดินช้าๆ ความคิดสับสนไปหมด

ทางด้านใจเด็ด ยืนล้วงกระเป๋าวางมาดเท่ มองออกไปเห็นยอดตึกในย่านธุรกิจศิวิไลต์ แต่ใจของเขากลับคิดไปถึงหนองระบือ
“อย่าเพิ่งยอมแพ้นะทุกคน...ฉันจะกลับไปให้เร็วที่สุด”

อรอนงค์ยืนรอเกริกไกรอยู่ริมน้ำ ไม่นานนักเกริกไกรก็มาถึง
“คุณอร”
อรอนงค์หันมาเห็นเกริกไกรก็รีบวิ่งเข้ามาหา
“บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่าครับ”
“ไม่ค่ะ...คุณโชคชัยมาช่วยอรกับนุชไว้ได้ทัน”
“ขอโทษนะครับที่ผมไม่ได้อยู่ข้างๆ คุณอร...แล้วคุณนุชละครับ...เป็นไรหรือเปล่า”
“ร่างกายน่ะไม่เป็นไรหรอกคะ...แต่จิตใจซิคะ”
“ทำไมครับ”
“หมอว่าคนที่โดนหลอกจะรู้สึกยังไงคะ”
เกริกไกรนิ่งไป คิดถึงใจเด็ดขึ้นมา
“ไอ้เด็ด...ถ้าแกจะทำยังไง”
“แล้วคุณใจเด็ดติดต่อมาหรือยังคะ”
เกริกไกรส่ายหน้า แล้วนึกบางอย่างขึ้นมาได้ “แต่ผมว่าเรายังมีโอกาส” อรอนงค์ประหลาดใจ “เราต้องพยายามขัดขวางไม่ให้พวกนั้นสร้างโรงงาน”

วันเดียวกันที่ บริษัทคาบาตี้ สำนักงานกรุงเทพฯ สมพละกำลังคุยโทรศัพท์เลขารัฐมนตรีอยู่ในห้องทำงาน
“อะไรนะครับ...มีคนจะมาขอพบท่านเพื่อไม่ให้ยุบไอ้สถานีควายนั่นเหรอครับ” สีหน้าครุ่นคิด ดูออกว่าเครียด “แล้วคุณกัมปนาทรู้มั้ยครับว่ามันเป็นใคร”
สมพลกังวลขึ้นมาเพราะคิดไม่ถึงว่าพวกกระบือบาลจะมีเส้นสาย

ใจจอมนั่งรอคนที่นัดไว้อยู่ในห้องอาหารหรูของโรงแรม ระหว่างนั้นเห็นบุญเลิศ ผู้ช่วยรมต. ก็เดินเข้ามา
“สวัสดีครับคุณใจจอม...ขอโทษทีที่ให้รอนานไปหน่อย”
ใจจอมหันมา ทั้งสองไหว้ซึ่งกันและกันก่อนที่ใจจอมจะเชิญให้บุญเลิศลงนั่ง
ใจจอมแปลกใจ “แล้วท่านละครับ”
“เอ่อ...พอดีท่านติดธุระด่วนน่ะครับ”
ใจจอมได้ยินอย่างนั้นก็รู้ได้ทันทีว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล
“เหรอครับ...แต่เท่าที่ผมรู้จัก...ถ้าท่านรับนัดใครแล้ว...ท่านจะไม่ผิดนัดนะ” ใจจอมดักคอ
“เอ่อ...ที่จริงแล้วมีคนกำลังวิ่งเต้นผ่านทางเลขาท่านให้ยุบสถานีนั่น” บุญเลิศบอกตามตรง
“อะไรนะ...คุณบุญเลิศ...ผมกับท่านก็เคยช่วยเหลือกันมาก่อน...ถ้าคุณบุญเลิศบอกว่าผมมีเรื่องร้อนใจ...ผมรับรองว่าท่านต้องให้ผมพบแน่นอน”
บุญเลิศมีสีหน้าหนักใจอย่างเห็นได้ชัด
“ไอ้สถานีนั่นมันมีอะไรเหรอครับ...หรือว่าคุณใจจอมเป็นอะไรกับคนที่สถานี”
“ลูกชายผมเป็นหัวหน้าสถานีนั่น...แล้วผมจะไม่ยอมให้ใครมารังแกลูกชายผมเด็ดขาด”
น้ำเสียงใจจอมแข็งกร้าวขึ้นมาทันที

ใจเด็ดรอฟังข่าวจากพ่อ เดินไปเดินมาอย่างกระวนกระวายในห้องรับแขก หทัยเห็นใจเด็ดร้อนใจก็พูดขึ้น
“ไม่ต้องหรอกลูก...พ่อเขาเป็นคนที่รับปากแล้วต้องทำให้ได้”
ใจเด็ดนิ่งไป แต่ยังไม่สบายใจจนกว่าจะได้รู้คำตอบ ระหว่างนั้นใจจอมกลับเข้ามาในบ้าน
ใจเด็ดก็รีบเข้าไปถามทันที
“เป็นไงมั้งครับ...ท่านว่าไง”
“อะไรของแกวะ...แทนที่จะถามว่าฉันเหนื่อยมั้ย” ใจเด็ดนิ่งไป ใจจอมบอกต่อ “วันนี้ท่านไม่ว่าง”
“ท่านไม่ว่าง..? ก็ไหนบอกว่านัดกับพ่อแล้วไง”
“เอ...คนเป็นรัฐมนตรีมันก็มีภารกิจด่วนอย่างนี้แหละ”
สีหน้าใจเด็ดเศร้าลง
“อะไรของแก...แค่นี้ทำหน้าเบื่อโลก...ตอนนี้หน้าที่แกคือไปสนใจศึกษางาน ไม่ต้องมาสนเรื่องนี้...ไว้เป็นหน้าที่ฉันเอง”
“แล้วถ้าท่านไม่ช่วยละครับ” ใจเด็ดกังวลไม่หาย
“บ๊ะ...ฉันรับปากแล้ว...ฉันก็จะช่วยแกให้ได้”
ว่าพลางใจจอมตบบ่าใจเด็ดให้ความมั่นใจ หทัยที่นั่งดูอยู่ตลอดก็อมยิ้มที่ครอบครัวกลมเกลียว ได้กลับมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันอีกครั้ง

ยามเช้าที่หนองระบือ สรนุชยืนอยู่ริมน้ำ กำลังปล่อยใจจากเรื่องหนักๆ ที่โถมเข้ามาในชีวิต ระหว่างนั้นอรอนงค์เดินเข้ามามองหา จนเห็นสรนุชยืนอยู่
“นุช...มาอยู่นี่เอง”
“ฉันไม่อยากไปทำงานแล้ว...มันเหมือนฉันเป็นไอ้โง่ที่ไม่รู้อะไรเลย”
“แต่วันนี้แกต้องไป” สรนุชทำหน้าสงสัย อรอนงค์บอกต่อ “คุณสมพลมาที่นี่”
สรนุชได้ยินอย่างนั้นชะงักไป

สมพลใส่แว่นกันแดดยืนอยู่ข้างคันนา กลางทุ่งนาผืนหนึ่งมีณวัตยืนอยู่ไม่ห่าง
“ผืนนี้น่ะเหรอ”
“ใช่ครับ...ตอนนี้ผมกำลังรวบที่ทั้งหมดให้เป็นผืนเดียวกัน”
สมพลตบบ่า “ไม่เสียแรงที่ฉันให้แกมาจัดการเรื่องนี้”
ระหว่างนั้นสรนุชขับรถเข้ามา รีบลงมาพร้อมกับอรอนงค์
“สวัสดีค่ะ...จะมาทำไมไม่บอกกันก่อนคะ”
“แหม...ฉันก็เพิ่งรู้นะว่ากรรมการผู้จัดการบริษัทอย่างฉันจะมาทีต้องแจ้งให้ผู้จัดการสาขาให้รู้ด้วย”
สรนุชกับอรอนงค์ชะงักไป รู้ได้ทันทีจากท่าทางของสมพลที่เปลี่ยนไป
“นั่นซิคะ...ก็ลืมไป...เพราะเดี๋ยวนี้ฉันก็แค่ได้ชื่อว่าเป็นผู้จัดการ...เรื่องอะไรที่มันเป็นความลับ...ก็คงแอบไปคุยกันลับหลัง”
อรอนงค์ดึงเอาไว้ “นุช”
“ไม่เป็นไร” สมพลยิ้มให้
“ทำไมไม่มีใครบอกฉันเรื่องโรงงานเลยคะ”
“ฉันว่ามันไม่เห็นจำเป็นนี่...หนูมานี่ก็เพื่อขายรถไถ”
“แต่ถ้าเราซื้อที่นาจากชาวบ้านมาหมดอย่างนี้ แล้วเราจะขายรถไถไปทำไมคะ”
“ตายจริง..! นี่ถ้าหนูไม่บอกฉันไม่รู้เลยนะเนี่ย...ในเมื่อเราขายรถไถไม่ได้แล้วทำยังไงดีละ”
สรนุชกับอรอนงค์พยายามข่มอารมณ์เอาไว้
“อ๋อ...ฉันนึกออกแล้ว...เธอสองคนก็กลับกรุงเทพฯไง” สมพลบอกหน้าตาเฉย
“อะไรนะคะ”
“ได้ยินชัดแล้วนี่นุช...พ่อฉันบอกให้เธอกับยัยหน้าจืดนี่กลับกรุงเทพฯซะ” ณวัตบอกแทนพ่อ
สรนุชยืนอึ้งรู้สึกโดนตบหัวอย่างแรง

เวลาเดียวกัน ปองศักดิ์ตักส้มตำเข้าปากก่อนจะตามด้วยข้าวเหนียวเคี้ยวตุ้ยๆ
“พี่...คิดว่าเลี้ยงส้มตำผมแค่นี้...จะทำให้ผมยอมทรยศต่อวิชาชีพผมหรือไง”
ที่แท้มีสุบินนั่งอยู่ด้วย “อ้าว...พูดอย่างนี้...อย่ากินเลย”
สุบินจะดึงออก แต่ปองศักดิ์รีบดึงเอาไว้
“อ้ะๆ...ถือว่าผมรับฟังรุ่นพี่ก็แล้วกัน”
“ฉันไม่ได้มาติดสินบนให้แกเขียนข่าวบิดเบือนซะหน่อย...ฉันให้แกเขียนข่าวให้มันตรงความจริงต่างหาก”
“อ้าว...แล้วที่ผมเขียนมันไม่จริงตรงไหน...ทั้งใช้อิทธิพลข่มขู่...ทั้งบกพร่องต่อหน้าที่จนทำให้ลูกน้องบาดเจ็บ...แล้วก็ทำให้ควายตาย”
“นั่นเป็นสิ่งที่แกได้ยินคนอื่นพูดต่างหาก”
สุบินนิ่งไป ก่อนจะหยิบกระดาษปึกใหญ่ส่งให้ปองศักดิ์
“ถ้าแกอยากรู้ตัวตนของคุณใจเด็ดจริงๆ...มันอยู่ในนี้หมดแล้ว”

สองสาวกลับโรงแรมทันที สรนุชยกเสื้อผ้าจากในตู้โยนลงบนเตียง อรอนงค์กำลังนั่งหน้าบึ้งโมโหอยู่เช่นกัน
“ทำได้ยังไง...พวกนั้นทำกับเราอย่างนี้ได้ยังไง”
สรนุชเก็บเสื้อผ้าต่อไม่พูดอะไร
“นุช...นี่แกไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอ”
อรอนงค์มองสรนุชด้วยความแปลกใจ ก่อนจะเห็นสรนุชสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง
อรอนงค์รู้ว่าสรนุชเสียใจมาก “นุช...”
“ฉันผิดเอง...ฉันทำลายทุกอย่าง...ฉันทำให้เขาต้องโดนสอบวินัย...ฉันทำให้ควายต้องตาย...ฉันทำให้ชาวบ้านไม่มีที่อยู่”
อรอนงค์อึ้งไม่รู้จะพูดปลอบยังไง
“ฉัน...ทั้งหมดเป็นเพราะฉัน”
ปราการความแข็งแกร่งที่สรนุชพยายามสร้างเป็นเกราะชีวิตตัวเองอยู่ตลอดก็ถึงขีดจำกัด สรนุชปล่อยโฮออกมา อรอนงค์โผเข้าไปกอดเพื่อน
ความห่วงใยและความหวังดีส่งทอดผ่านถึงกันและกัน

เกริกไกรยืนอยู่ริมน้ำรอคอยอรอนงค์ ระหว่างนั้นสรนุชกับอรอนงค์เดินเข้ามา
“หมอคะ”
เกริกไกรหันมาเห็นสรนุชกับอรอนงค์ก็รีบเดินเข้ามา
“คุณอร...เอ่อ...คุณนุชครับ...ทั้งหมดมันเป็นแผนของสองพ่อลูกนั่นจริงๆ เหรอครับ”
“ค่ะ...ฉันเคยคิดว่าฉันเก่งที่สุด...ฉลาดที่สุด...ที่ไหนได้”
สรนุชนิ่งไป เกริกไกรมองสรนุชอย่างเข้าใจ
“อย่าโทษตัวเองเลยครับคุณนุช...ถ้าใจเด็ดมันอยู่ด้วย...มันคงบอกกับคุณนุชให้สู้ต่อไป...ให้ถือว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นบทเรียน”
“หึ...บทเรียนราคาแพงที่ทำให้ฉันเสียทั้งเพื่อน...เสียทั้ง”
สรนุชนิ่งไปเมื่อจะพูดถึงใจเด็ด แล้วสรนุชก็ฝืนยิ้มออกมาให้เกริกไกร
“เดี๋ยวฉันไปรอที่รถนะ...หมอกับอรจะได้ลากัน”
สรนุชพูดเสร็จก็เดินซึมออกไป เกริกไกรกับอรอนงค์มองตามอย่างเห็นใจ
“คุณอรคงไม่กลับมาที่นี่อีกแล้วใช่มั้ยครับ”
“ตอนนี้ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปเร็วจนอรตั้งตัวไม่ทัน...หมอให้เวลาอรหน่อยนะคะ”
“ทำไมจะไม่ได้ละครับ...ในเมื่อผมมีเวลาอีกทั้งชีวิตที่จะรอคุณอร”
อรอนงค์มองเกริกไกรอย่างซาบซึ้งใจ เกริกไกรเอื้อมมือมาจับมืออรอนงค์ขึ้นมา
“ถึงทุกอย่างจะเปลี่ยนไปอย่างที่คุณว่า...แต่ผมอยากให้คุณอรจำไว้อย่างนะครับ...ว่าผู้ชายคนนี้...จะไม่มีวันเปลี่ยนไป”
อรอนงค์กับเกริกไกรยิ้มให้กัน อรอนงค์รู้สึกดีกับคำมั่นของเกริกไกร

เย็นวันนั้นรถของสรนุชขับมาตามทางบนถนนหลวง ภายในรถ...สรนุชนิ่งเงียบไม่รู้จะพูดอะไร อรอนงค์มองสรนุชเหมือนอยากจะพูดบางอย่าง
“แกจะพูดอะไร”
“เอ่อ...ถ้าเราถึงกรุงเทพฯแล้ว...แกจะไปช่วยคุณใจเด็ดหรือเปล่า”
สรนุชนิ่งไป สีหน้าครุ่นคิด
“ในเมื่อฉันเอาทุกอย่างไปจากเขา...ฉันก็สมควรที่จะต้องชดใช้ให้เขานี่”
“ดีแล้ว” แต่แล้วอรอนงค์ก็รู้สึกหนักใจ “เฮ้อ...แต่หมอเขาบอกว่า...ถึงเราไปช่วย...แต่เราก็ไม่หลักฐานอะไร...คุณวัตกับคุณสมพลวางแผนจนเราไม่รู้ว่าจะหาหลักฐานอะไรมัดตัวสองคนนั่น”
สรนุชคิดตาม แต่แล้วสรนุชก็เหมือนนึกบางอย่างขึ้นมาได้
“แต่ฉันว่าฉันมี”
อรอนงค์ทำหน้าสงสัยว่าสรนุชหมายถึงอะไร
สรนุชหักหัวรถกลับไปทางหนองระบืออีกครั้ง เสียงดังเอี๊ยดลั่นถนนสายนั้น!

ค่ำนั้นลูกน้องชิดชัยออกมาเป็นคนสุดท้ายอย่างอารมณ์ดี ลูกน้องชิดชัยหันไปล็อคประตูออฟฟิศ แต่ทันทีที่ลูกน้องชิดชัยหันมาก็ต้องตกใจเมื่อเห็นสรนุชกับอรอนงค์ยืนอยู่

ลูกน้องชิดชัยปฏิเสธเสียงแข็ง “ผมไม่รู้เรื่องจริงๆนะครับคุณนุช”
สรนุชกับอรอนงค์ยืนสอบสวนลูกน้องอยู่
“จริงเหรอ...ฉันจะให้โอกาสนายพูดอีกครั้ง...ว่านายเป็นคนทำเรื่องทั้งหมดใช่มั้ย”
“ไม่ใช่ครับ...ผมไม่รู้เรื่องจริงๆ”
“ได้” สรนุชหันไปพยักเพยิดกับอรอนงค์ “อร”
อรอนงค์ก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดหมายเลขอย่างรู้กัน
“จะโทร.ไปไหนครับ”
“สถานีตำรวจ”
“โธ่...นึกว่าที่ไหน...เชิญเลยครับ...ถ้ามีหลักฐานละก็...ผมยอมให้จับจริงๆ”
“เราไม่มีหลักฐาน...แต่เรามีคนบอกว่าเรื่องทั้งหมดเป็นฝีมือของนาย” อรอนงค์ว่า
“ใคร..ใครบอกว่าผมเป็นคนทำ”
สรนุชเดินเข้ามาจ้องหน้า “ลูกพี่นายไง”
ลูกน้องถึงกับอึ้งไป “ห๊า ! ลูกพี่ชิดชัยน่ะเหรอ”
“ถูกต้อง...นายนั่นสารภาพกับฉันหมดแล้วว่าทั้งหมดเป็นความคิดของนาย” สรนุชบอกเสียงเข้ม
ลูกน้องโกรธจนลืมตัว “ไม่จริง ! ลูกพี่ต่างหากที่สั่งให้ผมทำ...หนอย...คิดจะปิดปากกันง่ายๆอย่างนี้น่ะเหรอ”
สรนุชกับอรอนงค์ยิ้มให้กัน ที่ลูกน้องชิดชัยหลงกลยอมพูดออกมาแล้ว

รุ่งเช้าวันต่อมา สรยุทธกับคุณหญิงเลิศหล้านั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร
“คุณคะ...คุณได้ข่าวเรื่องที่ควายตายหรือยังคะ” เลิศหล้าถามขึ้น
“ทำไมเหรอคุณ”
“ก็เรื่องมันเกิดที่ยัยนุชทำงานน่ะซิคะ...ฉันไม่ค่อยสบายใจ...กลัวว่าลูกจะเป็นไร”
“ไม่มีอะไรหรอกคุณ...ยัยนุชขายรถไถ...จะไปเกี่ยวอะไรกับควาย”
เลิศหล้าเป็นกังวล ระหว่างนั้นเสียงของสรนุชดังแทรกขึ้น
“ข้าวต้มปลาอร่อยที่สุดในโลกมาแล้วค่ะ”
สรยุทธกับเลิศหล้าหันมาก็ต้องอึ้งไป เมื่อเห็นสรนุชยกข้าวต้มเข้ามาพร้อมกับเด็กรับใช้
“ยัยหนู”
สรนุชวางชามข้าวต้มก่อนจะสวมกอดคุณหญิงเลิศหล้า
“มาเมื่อไหร่...ทำไมแม่ไม่รู้เลย”
“เมื่อคืนค่ะ...หนูกลับมาดึกก็เลยไม่อยากปลุกคุณพ่อคุณแม่”
“บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าขับรถตอนกลางคืน...แล้วนี่กลับมาทำไม...ไง...อยู่ไม่ได้ละซิ” สรยุทธผู้เป็นพ่อเยาะ
“เปล่าคะ...หนูจะมาลาออก”
“อะไรลูก...เกิดอะไรขึ้น” เลิศหล้าฉงน
สรยุทธสีหน้าเปลี่ยน สรนุชจับสังเกตได้
“พ่อรู้เรื่องที่คาบาตี้จะสร้างโรงงานที่หนองระบือหรือเปล่าคะ”
สรยุทธอึกอัก ก่อนจะพยักหน้ารับ
“ทำไมเหรอลูก...เกิดอะไรขึ้น” เลิศหล้าสงสัย
“แล้วทำไมพ่อไม่ห้ามพวกเขาละคะ...พ่อรู้มั้ยว่าชาวบ้านกี่คนต้องโดนยึดที่เพื่อไอ้โรงงานบ้าบอนั่น”
ทันใดนั้นสรยุทธก็ตบโต๊ะดัง ปัง ! จนเลิศหล้ากับสรนุชตกใจ
“ฉันเป็นที่ปรึกษา...ส่วนแกก็เป็นผู้จัดการที่นั่น...แล้วจะสนใจอะไร”
“แต่พ่อคะ”
สรยุทธลุกขึ้นอารมณ์เสีย
“เป็นทหารต้องรู้หน้าที่...แกเองก็เหมือนกัน”
สรยุทธลุกเดินออกไปจากห้อง สรนุชหนักใจที่พูดกับพ่อไม่สำเร็จ

หทัยกำลังคุยกับดีไซเนอร์ ดูแบบเสื้อสูทแฟชั่นต่างๆ ที่ดีไซเนอร์นำเสนอ
ดีไซเนอร์เอ่ยขึ้น “แหม...คุณหทัยตัดสูทให้คุณใจเด็ดอย่างนี้...คุณใจเด็ดไม่เขินแย่เหรอคะ”
“นั่นน่ะซิ...ลูกคนนี้ยิ่งไม่ค่อยพูดอยู่ด้วย...แต่...เขาไม่ได้อยู่ที่นี่หลายปี...ฉันก็แค่อยากทำอะไรให้ลูกบ้าง”
ระหว่างนั้นเด็กรับใช้เข้ามาบอก
“คุณท่านคะ...มีคนมาขอพบคุณใจเด็ดค่ะ”
หทัยแปลกใจ “เขาบอกหรือเปล่าว่าเป็นใคร”
“เห็นบอกว่าเป็นเพื่อนน่ะค่ะ”
หทัยยิ่งแปลกใจ

สรนุชยืนรอที่หน้าประตูรั้ว ระหว่างนั้นเสียงหทัยดังขึ้น
“หนูเป็นเพื่อนใจเด็ดเหรอจ๊ะ”
สรนุชหันมาเห็นหทัย สรนุชยกมือสวัสดี
“คะ..”
“ใจเด็ดเขาไปทำงาน...หนูมีอะไรสำคัญมั้ย”
สรนุชได้ยินอย่างนั้นก็แปลกใจ “ทำงานเหรอคะ?”

สรนุชเดินเข้ามาภายในบริษัทใจจอมคอนสตรัคชั่น อึ้งไปเมื่อเห็นความใหญ่โตของสถานที่ สรนุชตรงเข้าไปที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์
“ฉันมาพบคุณใจเด็ดค่ะ”
“ให้บอกว่าจากไหนคะ” พนักงานถาม
“จาก...” แล้วสรนุชก็ชะงัก “เอาไงดี...ถ้าบอกว่าเป็นเราต้องไม่ยอมเจอแน่ๆ”
ระหว่างนั้นสรนุชมองไปที่หน้าลิฟต์ที่มีคนยืนออกันอยู่ เห็นคนทยอยเดินเข้าไปในลิฟต์จนเหลือใจเด็ดเพียงคนเดียว

สรนุชถึงกับอึ้ง เมื่อเห็นใจเด็ดในชุดสูทสุดเนี้ยบ ดูดีผิดไปเป็นคนละคนกับพ่อหนุ่มกระบือบาลที่เธอเคยรู้จัก

อ่านต่อตอนที่ 16



กระบือบาล ตอนที่ 13
กระบือบาล ตอนที่ 13
สรนุชกับอรอนงค์เดินออกมาจากออฟฟิศ สองสาวอยู่หน้าบริษัทคาบาตี้ กำลังจะกลับโรงแรมที่พัก “แกว่าเราติดกล้องวงจรปิดดีมั้ย” สรนุชปรารภ อรอนงค์ควานหากุญแจในกระเป๋าเพื่อล็อคประตู “ตรงไหน” “ก็ทั้งออฟฟิศน่ะแหละ...โดยเฉพาะด้านหน้านี่...เวลาที่พวกนั้นแอบมาปาขี้ควายจะได้มีหลักฐานไง” อรอนงค์ส่ายหน้า ก่อนจะหันไปล็อคประตูบริษัท ระหว่างนั้นสรนุชหันไปเห็นคนหาของป่า คนเดียวกับที่ใจเด็ดเห็น ขี่จักรยานเลี้ยวออกมาจากซอย สรนุชเพ่งมองด้วยความระวังตัวเต็มที่ แต่แล้วสรนุชก็ต้องอึ้งไปเมื่อเห็นชายคนนั้นใส่เสื้อแจ๊คเก็ตของเธอ
กำลังโหลดความคิดเห็น