ดอกโศก ตอนที่ 15
กลายเป็นว่าสมาชิกครอบครัวรัตนชาติพัลลภ รวมทั้งบริวารต่างเป็นห่วงมารวมกันอยู่พร้อมหน้า หลังรู้ข่าวทายาทคนโตของนายพลสุดเขตผู้ล่วงลับตกบันได
เพ็ญพักตร์เดินเขยกๆ อยู่ต่อหน้าทุกคน ลองทดสอบว่าตัวเองเป็นอะไรมากหรือเปล่า เพราะรู้สึกว่าที่แขนก็เจ็บด้วย
อุ๊ โอ๋ อ้น อยู่พร้อมแล้ว จิ๋วแม่ครัวอยู่หมดแล้ว
พจน์ วิ่งเข้ามาเร็วรี่ สมตามเข้ามาด้วย“สมไปตามคุณพจน์เหรอ” เพ็ญพักตร์นั่งลง “นี่มันอะไรกัน ทำไมต้องบอกคนไปทั่วโลกอย่างนี้ ไม่ได้เป็นอะไรมาก” พอพูดขาดคำก็ทรุดฮวบลงไปเพราะขาที่เจ็บมากจนไม่มีแรง
“ว้าย....” สุดสวยวิ่งเข้ามาจากข้างนอก “พี่เพ็ญ...พี่เพ็ญตกกะไดเหรอ”
เฉลยวิ่งตามสุดสวยเข้ามาไปตามมานั่นเอง
“อุ๊...อุ๊ตกด้วยหรือเปล่า”
“โธ่น้าสวย เปล่าค่ะใครจะตกมาพร้อมกัน”
“ก็เหลยบอกว่าทะเลาะกัน คิดว่าตกมาด้วยกัน เจ็บมั้ยพี่เพ็ญ เจ็บตรงไหน...ไหน...ตรงไหน” สุดสวยจะดูให้ได้
“อย่า...อย่า สุดสวยเรียกหมอมาเถอะ สุดสวยอย่าจับแรง”
“ไปโรงพยาบาลไม่ดีกว่าเหรอพี่เพ็ญ เอ็กซเรย์เถอะมีกระดูกร้าว...หรืออาจจะหัก” พจน์แนะนำ
“ไม่ ฉันรู้ ไม่มีหักหรือร้าว” เพ็ญพักตร์จับขาอยู่ไปมา “ฉันเจ็บตามตัวตามแขนเนี่ย อยากได้ยาเท่านั้นไม่ต้องไปโรงพยาบาล คงเป็นกล้ามเนื้อที่...อาจจะ” ทำขาลองบิดไปมา “กระแทกแรง”
“ไม่จริงหรอกพี่เพ็ญ เมื่อกี้พี่เพ็ญล้มไปเลย เนี้ย..ตรงนี้ตอนที่ชั้นเข้ามา” สุดสวยว่า
“มันวูบๆ นิดๆ เท่านั้น ไหนใครมาพาไปห้องที...สมชั้นว่าแกไปรับหมอเม มาเลยดีกว่า อ้อ...พจน์แน่ะโทรไปซิว่าหมอว่างรึเปล่า”
เวลาเดียวกัน ตระกูลเคาะประตูห้องเรียกปรียากมลอย่างห่วงใย
“คุณ...ปรียากมล คุณเป็นยังไงบ้างเงียบ”
เห็นยังเงียบ น้ำเสียงตระกูลร้อนรุ่มเป็นห่วงมากขึ้น
“คุณ....เปิดประตูเถอะ เป็นอะไรมากรึเปล่า อย่าเงียบอย่างนี้”
ปรียากมลเปิดออกมา สภาพหัวยุ่ง น้ำตาเป็นคราบ เปิดมาแล้วตัวเซซวนเหมือนคนไม่มีแรง
“ปรียากมล” ตระกูลรีบเข้าไปประคองแนบชิด
หมอเม นายแพทย์หนุ่มใหญ่อายุประมาณ 35 ปี เป็นศัลยแพทย์กระดูก หน้าตาสงบเรียบร้อย ใส่แว่นตา กำลังตรวจด้วยกรรมวิธีของหมอ ถามเพ็ญพักตร์เสียงเบาๆ ไปด้วยขณะที่ตรวจ “เจ็บมั้ย” เพ็ญพักตร์ตอบทำนอง “ขัดๆ ไม่เจ็บ”
ครู่ต่อมาหมอเมก็พันแผลบริเวณข้อเท้าให้เพ็ญพักตร์จนเรียบร้อย ยึดไว้ด้วยที่ยึด
“ผมคิดว่าไม่มีอะไรหักหรือร้าว ไม่อย่างนั้นคุณเพ็ญพักตร์จะปวดจนทนไม่ได้ อย่างนี้คงเป็น...” หมอเมอธิบายอาการด้วยศัพท์ทางการแพทย์ต่อให้เพ็ญพักตร์ฟังจนจบ
“กี่วันครับที่ต้องพันผ้า” พจน์ถาม
สุดสวยมานั่งใกล้ๆ ยิ้มแย้มกับหมอ “หลายวันเหรอคะหมอ ใช่มั้ยหมอเม หลายวันใช่มั้ยคะ”
สุดสวยถามด้วยความเป็นห่วงเพ็ญพักตร์จริงๆ แต่ท่าทียิ้มแย้มเกินเหตุกับหมอ
“ดูอาการก่อนครับ ผมจะมาอีกทีอีกซักสามวัน ผมเตรียมยามาแล้วเดี๋ยว” มองไปที่อ้น “อ้นตามอาหมอไปเอายา อาหมอจะอธิบายด้วยว่าทานยังไง”
“ครับ....อาหมอ”
ครู่ต่อมาอ้นถือถุงยาเดินกลับมา อุ๊กับโอ๋สองคนนั่งหน้าตึก
“ยาถุงเบ้อเร่อเลย” อ้นเอ่ยขึ้น
“อ้น...” อุ๊เรียกไว้ขณะอ้นเดินเข้ามาถึงแล้ว “รู้มั้ยว่าพ่อชั้นมีเมียน้อย”
โอ๋อ้าปากค้าง “จริงเหรอพี่อุ๊”
“เรื่องอย่างนี้หลอกกันได้เหรอ”
อ้นดูจะเข้าใจปรุโปร่ง “ลุงตระกูลไม่อยู่บ้านแล้วใช่มั้ย”
“ฮื่อ” อุ๊บอก ความเสียใจสะท้านขึ้นมาอีก ซบหน้าร้องไห้กับเข่าตนจนตัวโยน
โอ๋ตาแดงๆ ตามไปด้วย คิดถึงตัวเองเสียพ่อไป
อ้นโอบไหล่น้องโอ๋ไว้ รู้ว่าเพราะอะไรปลอบ “ไม่ร้องนะโอ๋”
แต่เอาไม่อยู่ เพราะโอ๋ปล่อยของเลยทันที น้ำตาไหลพราก
“เฮ้ย ไม่ให้ร้องนะ ไม่ใช่ให้ร้อง” เกย์วันทีนผมทองเกาหัว “งงใช่มั้ยชั้นก็งง” บ่นพึมพำ “หมายความว่าอย่าร้องไห้เท่านั้นแหละ เฮ้อ”
“พี่อุ๊ตัวเองยังดียังมีแม่ โอ๋สิ...โอ๋ไม่มีทั้งแม่...” โอ๋สะอึกสะอื้นหนักขึ้น “ทั้งพ่อ”
สามคนนิ่งไปด้วยความสะเทือนใจ อุ๊กับโอ๋สะอื้น ก้มหน้าก้มตาไม่อยากให้คนเห็น....อาย
จู่ๆ อ้นก็ปิ๊งไอเดีย “พี่อุ๊โทรเรียกลุงตระกูลมาสิ บอกเลยว่าป้าเพ็ญตกกะได”
คำพูดโดนใจกระแทกเข้าหน้าเพ็ญตระการเต็มแรง มองเห็นหนทางแล้ว
เวลาเดียวกันปรียากมลมีสีหน้าจริงจังขณะพูดขึ้น “ฉันมีสองเรื่องจะบอกคุณ”
ตระกูลถามอยากให้ปรียากมลผ่อนคลาย “โอเค แต่จะให้ฟังแบบไหน ฟังเฉยๆ หรือฟังแล้วปลอบด้วย”
“อย่าพูดเล่น เรื่องแรกคือ ฉันรักอัศนัยไม่ได้รักคุณ”
ตระกูลนิ่งงันไป สีหน้าเจ็บปวดลึก...เจ็บจริงๆ
“ขอโทษนะคุณตระกูล” ปรียากมลรับรู้ความรู้สึกนั้น
“เรื่องที่สองล่ะ”
“เรื่องที่สองก็คือดอกโศกน่ะเป็น....”
ปรียากมลจะบอกว่าดอกโศกเป็นลูกสาวตน เสียงโทรศัพท์ตระกูลดังขัดขึ้นก่อน
ตระกูลรับสาย กดเสียงไมค์ในเครื่องฟังไม่ได้ยกขึ้นรับ “ฮัลโหล”
“คุณพ่อคุณแม่ตกกะได”
เสียงอุ๊ดังก้องห้อง เหมือนคนกำลังร้องไห้ไปด้วย
ปรียากมลเปิดประตู ตระกูลวิ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว ปรียากมลจับแขนคว้าหมับ ปรียากมลหน้าหมองนิดๆ “คุณเองก็ยังรักคุณเพ็ญพักตร์เค้านี่”
ตระกูลสีหน้าเครียดจัด พูดเสียงกังวานจริงจังมาก “ผมรักคุณปรียากมล คุณก็รู้อย่าพูดเป็นอื่นเลย”
ตระกูลเดินไปอย่างรวดเร็ว
อุ๊ อ้น และโอ๋ สามคนยังนั่งกระจ๊องหง่อง อยู่ที่บันไดตึก
มีเสียงแตรรถดังที่หน้าประตูใหญ่ อุ๊ลุกพรวด มองไปเห็นคนเปิดประตูวิ่งผ่านไป
อุ๊ ยืนหันหลัง ตัวสั่น ใจสั่น อ้นถาม โอ๋ถามพร้อมกัน “เป็นอะไร”
เสียงรถแล่นมาจอด มีเสียงปิดประตูรถ
อุ๊หันไป “คุณพ่อ” โผเข้ากอดตระกูลอย่างแรง สะอึกสะอื้นออกมา “ทำไมทิ้งอุ๊ไป..อุ๊คิดถึงคุณพ่อ...ทิ้งอุ๊ไปทำไม”
ตระกูลกอดปลอบโยน นัยน์ตาแดงๆ เหมือนกัน โอ๋นั้นจ้องสองพ่อลูกแล้วร้องไห้อ้นปลอบโยน
ภายในห้องรับแขกบ้านอัศนัย ทีวีเปิดอยู่เป็นรายการข่าวค่ำ
อัศนัยกับดอกโศกนั่งอยู่ห่างกันพอสมควร ดอกโศกกำลังอ่านหนังสือ
อัศนัยชำเลืองมองดอกโศกตลอดเวลา แล้วตัดสินใจเรียก “ดอกโศก”
“คะ” ดอกโศกเหลียวมอง
“มานั่งใกล้ๆ ดีกว่า”
ดอกโศกแย้ง “ทำไมคะนั่งนี่ดีแล้ว”
“คิดถึง” อัศนัยยิ้มในตา
ดอกโศกกำลังเปิดหนังสือหยุดชะงักทันที
อัศนัยน์ตามองทีวี ปากพร่ำ “คิดถึง...คิดถึง...คิดถึง...นั่งซะไกล”
ดอกโศก ก้มลงอ่านหนังสือต่อ แต่หน้ายิ้มพราย
“เอ้อ...” อัศนัยนึกบางอย่างออก “ฟังเพลงนี้ดีกว่า คุณนัยเปิดให้ฟัง”
ดอกโศกท้วง “น่าจะกลับได้แล้วนะคะ”
“เดี๋ยว...ฟังก่อน”
อัศนัยเปิดแผ่นเสียง เสียงเพลงดอกโศก ของเพ็ญศรี พุ่มชูศรี แว่วหวาน ดอกโศกนิ่งฟัง รู้สึกว่าเพราะ
อัศนัยอธิบายค่อยๆ “เพลงเก่ามากคนร้องชื่อนี้ไง”
ดอกโศกบอกเบาๆ “เพ็ญศรี”
อัศนัยต่อให้ “พุ่มชูศรี”
“ดอกโศกรู้จักเพลงนี้ค่ะ ยายเคยร้องให้ฟัง”
“รู้จักหน้าเขามั้ย”
“ไม่รู้จักค่ะ” มองปกแผ่นเสียงแล้วบอก “สวย”
อัศนัยมองจ้องดอกโศก “ใช่...สวย”
“คนสมัยก่อนสวยธรรมชาติ ดูสิคะไม่มีศัลยกรรมเลย”
“คนสมัยนี้ก็สวยธรรมชาติ”
ดอกโศกสะดุดหูทันที...นิ่งครู่หนึ่งหันกลับมา อัศนัยโผล่หน้ามา แก้มชนจมูกพอดี
อัศนัยสูดความหอมเต็มปอด “ชื่นใจ...อย่าโกรธคุณนัยนะคนดี”
“ไม่โกรธค่ะ รู้อยู่แล้ว”
“ว่า...”
“ว่า ถ้าหันไปก็โดน...อย่างนี้”
อัศนัยหัวเราะชอบใจมาก ขยี้จมูกถามเบาๆ แล้วถาม “ทำไม...ฮึ”
“ก็เพราะ....” ดอกโศกทอดเสียงค้างไว้
อัศนัยคาดคั้น “เพราะอะไร”
“เพราะรู้ว่าคุณนัยอยากให้หัน”
อัศนัยขำอีก “ทีอย่างนี้ล่ะไม่ดื้อ” พึมพำเบาๆ
ดอกโศกนิ่งไปอึดใจ พยายามไม่ตอบโต้ต่อความ แต่ไม่สำเร็จ จึงหันมาหยิกเบาๆ ที่แขน ตาก็มองตา
“ไม่เจ็บ” อัศนัยบอก
ดอกโศกหยิกแรงมากขึ้น
อัศนัยยั่ว “เก๊าะ...ยังไม่เจ็บ แต่แรงกว่านี้มีจูบ”
ดอกโศกลงแรงเพิ่มขึ้นอีก
“ฮั่นแน่...” อัศนัยชี้หน้า “อยากให้คุณนัย...”
ดอกโศกปล่อยมือ “กลับบ้านเถอะค่ะ ป่านนี้ยายคอยแล้ว กี่ทุ่ม” ดูนาฬิกาสวยๆ ของตัวเอง “ตายแล้ว” รีบขยับตัว
อัศนัยคว้าแขนให้ลงมานั่งตัก กอดไว้ทั้งตัว ทำเสียงอืออาอ้อนไม่อยากให้กลับ “กลับแล้วคิดถึง”
ดอกโศกเอี้ยวตัวกอดไปรอบคออัศนัย แล้วก้มลงจูบที่แก้มเบาๆ
สองคนต่างมีสีหน้าที่ซาบซึ้ง ดอกโศกถอนริมฝีปากออก สองมืออัศนัยประคองหน้าดอกโศกไว้
ตามองตา ใกล้กันที่สุด
“ไม่ว่าคุณนัยจะเคยรักใครมาก็ตาม ดอกโศกเป็นคนสุดท้าย ไม่มีวันรักใครอีกจนตาย” อัศนัยให้คำมั่น
ดอกโศกสีหน้าอ่อนละมุนละไมมาก เอ่ยขึ้น “น่าเสียดาย”
อัศนัยมอง นึกสงสัย “เสียดายอะไร”
“เสียดายที่ไม่เหมือนคุณนัย เพราะดอกโศกจะมีรักแรก...แล้วก็รักสุดท้าย...กับคนๆ เดียว”
อัศนัยคิดนิดหนึ่ง แล้วอ้าปากหัวเราะเสียงดัง ชอบใจเป็นที่สุด
สองแม่ลูกช่วยกันล้างแก้วเช็ดแก้ว อยู่ที่แพนทรี ได้ยินเสียงหัวเราะของอัศนัยดังก้องมา
สองแม่ลูกหยุดทำงาน...ฟัง อย่างสนใจ
“โห...หัวเราะยังกะวิทยุ...อะไรนะแม่ที่แม่ชอบพูด” หมื่นถาม
“แปดหลอด...วิทยุแปดหลอด” หม่อนบอก
หมื่นสงสัยไม่วาย “ทำไมต้องแปด”
หม่อนบอกส่งๆ “เพราะมันไม่ได้เจ็ดหรือเก้า”
หมื่นมองหน้า “แม่.....มุขเหรอ”
“เปล่า...ถ่านไฟฉายไม่ใช่มุขหรอก มุขอะไรของแกไอ้หมื่น” หม่อนว่า
“อะไรถ่านไฟฉาย เอ๊อ...แม่พูดอะไรสับสนป๊ะ”
“ถ่านที่ใส่วิทยุไงวะ ใส่แปดก้อนเสียงมันเลยดัง” หม่อนบอกเสียงดัง
“อ้าว..ของจริงเหรอเนี่ย อุ๊ยนึกว่าส่งมุข..เฮ้ย เสียงหัวเราะเงียบไปแล้ว...สงสัย” หมื่นพูดพลางยิ้มกริ่ม
ระหว่างนั้นอัศนัยพาดอกโศกมาทางด้านหลัง สองแม่ลูกเม้าท์เพลิน ยังไม่เห็น
“สงสัยอะไร” หม่อนซัก
“สงสัยว่ากำลัง....” หมื่นจัดเต็ม ราวกับผู้เชี่ยวชาญ ทำเสียง ออกอาการ จบด้วยการเอานิ้วชี้สองข้างมาชนกัน “อ้าวแม่ไปไหนล่ะ”
หม่อนเห็นอัศนัยกับดอกโศกแล้ว เดินไปเลย หน้าตาเฉย
“แม่...อะไรวะ ไม่อยากรู้เหรอว่าสงสัยอะไร”
“อยากรู้สิ” เสียงอัศนัยถามขึ้น
“อยากรู้ก็...” รู้แล้วว่าที่แม่ไปเพราะเห็นอัศนัยอยู่ด้านหลัง เสียงอ่อยลง “ก็มาสิ...แฮ่ะ..แฮ่ะ จะบอกให้” หมื่นค่อยๆ หันมาเผชิญหน้า
“ทะลึ่งนะแก”
“เปล่าทะลึ่ง”
“แล้วอะไร”
“เอ้อ...” หมื่นอึกอัก
“ว่าไง” อัศนัยคาดคั้น
“ก็....คือว่า”
“สงสัยว่าหนูจะกลับหรือยัง มาตั้งนานแล้ว.....ใช่มั้ย น้าหมื่น” ดอกโศกช่วยหาทางออกให้
“ครับ” หมื่นรับเสียงดังฟังชัด
“ไอ้สิบพันไป เอารถออกฉันจะไปส่งดอกโศก”
“คันใหญ่นะครับ หมื่นขับเอง คุณนัยนั่งหลังจะได้....” หมื่นต่อคำ
“วอนรึแก”
“ครับ...ไม่วอนครับ” หมื่นวิ่งจู๊ดหายแวบไปทันที
หม่อนคอยอยู่ที่หน้าตึก สองคนเดินเคียงกันออกมา ดอกโศกไหว้ลาหม่อน
“คุณหนู.....” หม่อนโผเข้าเข้าไปกอด ตื้นตันนัก มองหน้าดอกโศกอย่างซาบซึ้ง “ดีใจจริงๆ นะคะ บ้านนี้จะคึกคัก...มีเสียงเด็กร้องเดี๋ยวป้าเลี้ยงให้”
ดอกโศกซึ่งยิ้มรับหม่อนแต่แรก พอฟังคำแม่บ้านผู้อารีถึงกับหน้าเหวอเลย อัศนัยเหล่หม่อน แต่ดูจะไม่เป็นผล
“ป้าจะคอยอีกซัก 5 - 6 ปี ก็คอยได้” ทำเสียงกระซิบกระซาบอีก “ไม่ต้องกลัวคนอื่นนะคะ ป้าจะคอยกันท่าให้ รับรองไม่เคยหรอกค่ะ คุณนัยของป้า” ลดเสียงเบาลง “ยังบริสุทธิ์ค่ะ”
อัศนัยอยู่ใกล้ได้ยิน รีบปราม “ป้าหม่อน”
“คะ” หม่อนทำหน้าเป็น
“ผมรับรองตัวเองได้ ไม่ต้องลำบากหรอกป้า” อัศนัยว่ายิ้มๆ
“ค้า......ยังกะน่าเชื่อนักนี่ ถ้าไม่มีป้าน่ะ”
“ถ้าไม่มีป้าหนูก็ไม่เชื่อค่ะ ลานะคะ” ดอกโศกไหว้อีกที
“เป็นอย่างนั้นไป” อัศนัยเย้า
สามคนหัวเราะกันเบาๆ หม่อนนั้นถูกใจนัก สีหน้าเบิกบานมาก
คืนนั้น ขณะที่เพ็ญพักตร์นอนลืมตามองเพดานเหมือนคิดอะไรอยู่ สุดสวยเข้ามาแล้วเอ่ยขึ้น
“พี่เพ็ญ ตระกูลเขามานะ”
สีหน้าเพ็ญพักตร์ดีใจแวบหนึ่ง แล้วกลับเป็นอย่างเดิม
“มาตั้งนานแล้ว อยู่ข้างล่าง คงแบบว่าอายพี่เพ็ญไม่กล้าขึ้นมา” สุดสวยว่าต่อ
เพ็ญพักตร์แปลกใจนิดๆ “อายเรื่องอะไร”
สุดสวยบอกหน้าเฉย “อ้าว ตัวไปมีเมียน้อยไม่อายเหรอ”
เพ็ญพักตร์อึ้ง “เอ้ะ รู้ได้ไง”
“รู้สิ จริงป๊ะล่ะ”
เพ็ญพักตร์ พลิกตัวหันหลังให้ โบกมือให้น้องสาวไปได้
“ไล่เหรอพี่เพ็ญ”
“ไม่ต้องเฝ้าพี่จะหลับล่ะ ขอบใจนะสุดสวย”
“โอเค ไปนะพี่เพ็ญ พรุ่งนี้ก็หายเจ็บแล้วล่ะ พี่เพ็ญน่ะอึดจะตาย” สุดสวยบอกแล้วเดินออกไป
ฟังแล้วเพ็ญพักตร์ เบ้หน้าใส่วาจานั้น แล้วกลับมาเศร้าตามเดิม
มือตระกูลแตะที่แขนเบาๆ เพ็ญพักตร์หันขวับมาทันที
“คุณเพ็ญ”
“มาทำไม” น้ำเสียงเพ็ญพักตร์ฉุน
“เป็นไงมั่ง ทำไมคุณเดินไม่ระวัง...หมอเมว่าไงบ้าง”
“ไม่เป็นไรมากเค้าให้ยาไว้แล้ว”
“อุ๊ตกใจมาก”
เพ็ญพักตร์อึ้ง คาดไม่ถึง “อุ๊โทร.ไปบอกเหรอ”
“ครับ ลูกตกใจเป็นห่วงคุณ ผมก็ไม่อยู่แกก็เลย...”
ตระกูลพูดไม่ทันจบ เพ็ญพักตร์สวนคำทันที “โทร.บอกให้คุณกลับมาอยู่ที่นี่
ตระกูลนิ่งไป
“คุณจะไม่มาก็ได้ตามสบาย ถ้าอยู่กับทางนั้นมีความสุขก็อยู่ไป ฉันทำใจได้แล้ว”
ตระกูลนิ่งอึ้ง คิดถึงวาจาเสียแทงใจของปรียากมลขึ้นมา “ฉันรักอัศนัยไม่ได้รักคุณ”
ตระกูลบอกออกไป “ผมจะกลับมา..... สงสารลูก”
เพ็ญพักตร์มองเพดานแน่วแน่ สีหน้าบ่งบอกว่ารู้...รู้ว่าตระกูลกลับมาเพราะเงิน
“คืนนี้ผมจะกลับไปก่อน พรุ่งนี้เช้าผมจะไปพบหมอเมแล้วถึงจะมานี่” แตะแขนเบาๆ“ไปนะคุณเพ็ญ” แล้วเดินไป
“ฉันจะทำเรื่องบัตรเครดิตให้คุณใหม่” ตระกูลยืนนิ่ง “บัตรเสริมของคุณฉันยกเลิกไปแล้ว”
เพ็ญพักตร์พูดออกไปด้วยสีหน้าเจ็บปวด
ตระกูลก็เจ็บช้ำเหมือนกัน ไม่มีทางเลือก เดินออกไป
อ่านต่อหน้า 2 พรุ่งนี้ เวลา 9.30 น.
ดอกโศก ตอนที่ 15 (ต่อ)
เพ็ญตระการยืนคอยอย่างกระวนกระวายอยู่ที่เชิงบันไดด้านล่าง ตระกูลลงบันไดมาช้าๆ ก้มหน้าครุ่นคิด อุ๊มองลุ้นด้วยใจระทึกมาก
“อุ๊” ตระกูลเงยหน้ามองลูกสาวคนเดียว
“คุณพ่อ...” อุ๊จ้อง สายตาเป็นคำถาม
“พ่อจะกลับบ้านพรุ่งนี้”
อุ๊ปากสั่นตื้นตันขึ้นมาเต็มหน้า ยิ้มทั้งน้ำตาเต็มตา สะอื้นฮักๆ โผเข้ากอดพ่อเอาไว้แน่น
ตระกูลกอดลูก ถอนใจยาว
อุ๊เดินมายังมีน้ำตา เอามือป้าย ลวกๆ
โอ๋ ลุ้นๆ อ้นถามออกมาถามเบาๆ “เป็นไงพี่อุ๊ ลุงตระกูลว่าไง”
“พรุ่งนี้พ่อจะกลับบ้าน”
สองคนไชโย เข้าไปกอดอุ๊ดีใจไปด้วย
“ดีใจจัง แต่ตอนเนี้ยเหลือแต่โอ๋คนเดียว ไม่มีพ่อแม่ ย่าก็ไม่มีปู่ก็ตายตามพ่อไป” โอครวญคร่ำ
“เฮ้ย ไอ้โอ๋ แกยังมีชั้นนะเว๊ย” เกย์ผมทองรีบปลอบ
“มีพี่ชายกะเค้าคนหนึ่ง ก็กลายเป็นพี่สาวซะงั้น” โอ๋เย้าขำๆ
“เอ๊า ไม่ดีเหรอ อีกหน่อยชั้นแต่งตัวสวยเป็นเพื่อนแก” อ้นสัพยอก
สุดสวยโผล่มาจากไหนไม่รู้ได้ยินว่าแต่งตัวสวยรีบขอแจม
“แต่งตัวสวยเหรอ น้าแต่งด้วยนะ แต่งด้วย แต่งด้วย”
เท่านั้นวงแตกทันควัน สามอ. โอ๋ อ้น และอุ๊ ฉากหลบสลายโต๋ทันที
“อย่า....หยุด อย่าเพิ่งไป ฟังชั้นก่อนทั้งสามคน ไม่งั้นชั้นจะกรี๊ดให้แก้วหูแตกเลย” สุดสวยขู่
ได้ผล สามคนหยุดฟัง
“อุ๊....ว่าไงพ่อกะแม่” สุดสวยถามเป็นงานเป็นการ
“คุณพ่อกลับพรุ่งนี้ค่ะ”
“จริงอ่ะ จริงนะ....จริงๆ นะ”
อุ๊พยักหน้า สุดสวยหัวเราะ ดีใจ กอดอุ๊ ร้องว่า “ดีใจ ดีใจ ดีใจ” อยู่อย่างนั้น
อัศนัยพาดอกโศกเดินมา ตามทางเดินเข้าบ้านสมใจ
“อยากจูงมือ” อัศนัยอ้อน
ดอกโศกรีบชักมือหนี
“รู้แล้วน่าว่าไม่ได้”
“ส่งแค่นี้เถอะค่ะคุณนัย” ดอกโศกบอก
“ไม่ได้ ต้องส่งให้ถึงมือยาย”
ใกล้ๆ หน้าบ้านแล้ว สองคนชะงัก
เสียงสมใจร้องเพลงดอกโศก “ไอ้ดอกโศกเจ้าโศกใจไฉนกัน หรือทุกๆ วันเจ้าครวญ”
“เอ๊ะ เสียงยายร้องเพลง....เพลงนั่นไงคะคุณนัย”
สมใจร้องไปเรื่อยๆ
อัศนัยร้องต่ออีกประโยคหนึ่งเบาๆ “ลมรำเพยยังเคยโชยกลิ่น”
ดอกโศกมองจ้องหน้า ขำๆ
อัศนัยรีบออกตัว “ร้องเป๊น....ฟังทุกวัน”
สมหวังอาบน้ำที่บริเวณตุ่มน้ำนอกบ้าน สมหมายนั่งอยู่ด้วย เสียงเพลงดังมาแว่วๆ
“แม่เอ็ง...มีฟามสุขเหลือเกิ๊น ร้องเพลงอยู่นั่นแหละ” สมหวังยิ้มๆ
“พูดก็พูดนะพ่อ แต่ชั้นเห็นหน้าแม่แกเศร้าๆ มาหลายวันแล้ว” สมหมายตั้งข้อสังเกต
“เศร้าอาไร้ ยายแหม่มมาทีไรเงินเต็มกระเป๋า” สมหวังว่า
“พ่อ คนเราถึงคราวเศร้า เงินต่อให้ล้นกระเป๋ามันก็ช่วยไม่ได้” สมหมายบอก
สมหวังหยุดตักน้ำอาบ “บ๊ะ...คมเว๊ย เอามาจากไหนไอ้หมาย”
“ดูละครวันก่อน” สมหมายว่า
“ละคร...ช่องอะไร”
สมหมายพูดเสียงแว่วๆ “ช่อง 5”
ยายสมใจร้องเพลงต่ออีกสองประโยคจบ นั่งหันหลังให้ปอง จัดเสื้อผ้า
สมปองนอนฟัง หยอดขึ้นมา “สุดยอด สาวอีกนิดเป็นนักร้องได้”
สมปองไม่รู้สักนิดว่าใบหน้าแม่ยามนี้ น้ำตาเต็มหน้า!
“จัดอะไรเหรอแม่ จัดอยู่ตั้งนาน” สมปองนึกสงสัย
สมใจเงียบ ตัวสั่นนิดๆ
สมปองผวาเข้าไปหา “แม่...ร้องไห้ทำไม” เสียงถามเบาๆ เห็นแม่ร้องจริงจัง “เป็นอะไรแม่”
สมใจเอ่ยขึ้นทั้งน้ำตา “ดูสิ เสื้อไอ้โศก ตั้งแต่มันเล็กๆ”
“ยังเก็บไว้ทำไม เก่าจะขาด”
“แม่มันส่งมาให้” ก้มมองดูเสื้อหลาน น้ำตาหยด
“อะไร....ส่งมาตอนไหน”
“มันเอาไอ้โศกมาทิ้งไว้แล้วมันกลับไป เสื้อผ้าพวกนี้ มันส่งไปรษณีย์มา”
“ไปนึกถึงมันทำไม เห็นแม่แล้วไม่ทักเนี่ย ทุเรศจริงๆ เลย อย่าให้ชั้นเจอนะ พ่อด่ายับ” สมปองของขึ้นนิดๆ
สมใจมองเหล่
“แม่ด่ายับ” สมปองว่า
สมใจเอ่ยขึ้น “เขาเปลี่ยนชื่อแล้วนะปอง”
“ไม่อยากรู้หรอก.....เปลี่ยนเป็นอะไรล่ะ”
สมใจเหล่อีกนิดๆ
“เอ๊า...พูดหยั่งเงียะ แปลว่าอยากบอก...ก็บอกไปซี้” สมปองหงุดหงิด ตั้งท่ารอฟังง
สมใจกลั้นหายใจ แล้วบอกเสียงแผ่วเบาแต่ชัดเจน “ปรียากมล” พร้อมกับมองจ้องหน้าสมปอง
“เออ...ยาวเชียวแต่เพราะกว่าสุดจิตต์” แล้วสมปองก็คิดออกว่าเป็นชื่อแฟนเก่าอัศนัย “อะไรนะแม่” เสียงเบาๆ ไม่ดัง กลัวได้ยินกันทั้งบ้าน “ชื่ออะไรนะ”
สมใจมอง บอกด้วยสายตาว่าชื่อนั้นแหละ
สมปองแทบช็อค “จริงเหรอแม่...จริงอ่ะ...โอย ใจสั่นหมดแล้วอีปอง”
สมใจยังมีกะใจขำ “ไม่ใช่ไอ้ปองเรอะ”
สมปองวุ่นวายใจไปหมด “แม่...ไม่ขำนะ ไอ้โศกทำไงเนี่ย...โอ๊ย อกอีปองจะแตก”
อัศนัยอยู่หน้าบ้านแล้วกับดอกโศก
“เพลงจบแล้ว...ฟังต่อมั้ย”
ดอกโศกอำขำๆ “คุณนัยร้องไม่เพราะ”
“โอเค ตอนนี้ไม่ฟังก็ได้ เพราะต่อไปต้องฟังตลอดชีวิต”
“ต้องไปหาหมอ” แซวอีก
อัศนัยไม่เก็ท “ทำไม”
“รักษาหู”
อัศนัยหัวเราะขำอีก “ใครจะคิดว่าคนชื่อดอกโศก จะทำให้คุณนัยหัวเราะตั้งหลายครั้งในวันเดียว”
“ก็ไม่ต้องคิด” ดอกโศกพูดแล้วมองหน้าอัศนัย
อัศนัยงง มองกลับเป็นคำถาม
“ก็แค่หัวเราะ”
อัศนัยหัวเราะอีก เสียงดังพอสมควร
เสียงตาสมหวังร้องถาม “เฮ้ย ใครมาหัวเราะเสียงดังแถวนี้วะ”
อัศนัยหยุดกึก ดอกโศกยิ้มขำอัศนัย แล้วพนมมือลา
อัศนัยแตะมือเบาๆ อ้อนอีก “อยากจูบ...แต่มันไม่ได้...ใช่มั้ย”
“ขับรถดีๆ นะคะ”
อัศนัยส่งถุงของกินให้ “ฝากให้ยาย”
“ยายคงได้ทานหรอกค่ะ”
จริงอย่างที่ดอกโศกบอกอัศนัย สมหวังรื้อของจากถุง เป็นพวกเครื่องกระป๋อง ยาวิตามิน สมหมายช่วยอยู่ด้วย สมหวังตีมือเป็นระยะที่หมายเอื้อมหยิบก่อน
ดอกโศกหยิบเสื้อผ้าจะไปอาบน้ำ หยิบผ้าเช็ดตัว “เดี๋ยวหนูกางมุ้งให้นะน้าปอง” ดอกโศกเดินออกไป
สมใจกับสมปองสีหน้าอึดอัด สงสารดอกโศกจับใจทั้งคู่
สมใจกระซิบสมปอง “พรุ่งนี้แกลางานไปกะแม่”
“ไปไหน” สมปองงง
สมใจมองหน้า ตอบด้วยสีหน้า
สมปองนึกรู้ทันที “จะไปหามันที่ไหน”
วันรุ่งขึ้น สองคนยืนตรงหน้าตู้โทรศัพท์สาธาธรณะ มองหน้ากัน
หมื่นหยิบกุญแจรถ หอบเอกสารพะรุงพะรังเดินออกไปที่รถ
อัศนัย ดื่มกาแฟอึกสุดท้าย เดินตาม หม่อนมาเก็บโต๊ะ มีเสียงโทรศัพท์ดัง หม่อนยกหูรับ
“ฮัลโหล....บ้านคุณอัศนัยค่ะ”
เป็นสมปองนั่นเอง “ขอพูดคุณปรียากมลหน่อยค่ะ”
“เค้าไม่ได้อยู่นี่หรอกคุณ...เท่านี้นะ” หม่อนจะรีบวาง
สมปองเรียกไว้ “เดี๋ยว....เค้าให้เบอร์เนี่ย...” สมปองห้าวขัดใจ จนสมใจต้องกระตุกตัวให้พูดจาดีๆ “เบอร์นี้นี่คะ” เสียงอ่อนหวานขึ้น
“มีอะไรเหรอ”
“ต้องพบตัว” สมปองเสียงอย่างเข้ม
หม่อนตาโต “ทำไม เค้าทำอะไรคุณเหรอ”
เข้าทางสมปองแล้ว “ทำ....ทำไม่ดีมากๆเลย เค้าอยู่ที่ไหน...จะอัดให้น่วมเลย”
“ทำไม่ดียังไง เล่าก่อน” หม่อนซัก อยากรู้
“พบตัวเค้าก่อน สัญญาเลยว่าจะโทร.มาเล่าให้ฟัง”
“จริงนะ คอนโดเค้าชื่อ....” หม่อนรีบบอกชื่อคอนโด พร้อมที่อยู่
ไม่นานหลังจากนั้น สองคนแม่ลูกพาตัวเองมายืนอยู่หน้าคอนโดปรียากมล แหงนดูป้ายชื่อว่ามาถูกแน่ แล้วหันมามองหน้ากัน
“แม่จะพูดอะไรกับมัน” สมปองถาม
สมใจเหลียวขวับ ชักสีหน้า “มัน....มัน เขาเป็นพี่นะ”
“นั่นแหละ แม่จะพูดอะไรกับเค้า”
ปรียากมลซึ่งยังไม่แต่งหน้า แต่งชุดอยู่กับบ้านง่ายๆ เปิดประตู แล้วต้องตกใจ เห็นสมใจกับสมปอง ยืนอยู่ ตรงหน้า ต่างคนต่างจ้องกัน
“ไหนแม่บอกว่าเค้าสวยขึ้น นี่ก็หน้าเหมือนเมื่อก่อนเลย”
“ก็เค้ายังไม่แต่ง” สมใจกระซิบ
“จำชั้นได้มั้ยพี่จิตต์ ชั้นสม...” สมปองอ้าปากค้างพูดยังไม่ทันจบ ปรียากมลขัดขึ้นก่อน
“จำได้...เข้ามา”
“สมปองนะ” สมปองยังอุตส่าห์ย้ำบอกให้จบ ก่อนเดินตามเข้ามา
“นั่ง....” ปรียากมลเห็นสองคนหน้าเหวอ “นั่งก่อน...คอยซักกะเดี๋ยว” เดินเข้าไปในห้องนอน
“ให้เรานั่งทำไมแม่”
สมใจเหล่ “จะรู้มั้ย”
“นึกว่ารู้น่ะสิ” สมปองเหล่ตอบ
สองคนนั่งคอยอยู่ สมปองน่ะแทบจะนอนแล้ว สมใจลงไปนั่งชันเข่ากับพื้น
“แม่....นั่งข้างบน เอ๊อ ไปนั่งกระจ๊องหง่องกับพื้นทำไม”
สมใจขยับท่านั่งให้เรียบร้อยขึ้น “อย่ายุ่งกะชั้นเลยแก นังปอง”
“เอ๊า.....ไม่ยุ่งกะแม่ให้ยุ่งก๊ะใคร...อยู่กันสองคน”
“จุ๊ยะ....รู้งี้กูไม่เอามาด้วยก็ดี” สมใจจุ๊ปากอย่างหมั่นไส้
“อยากมาเหลือเกิ๊น” สมปองสวนขำๆ
“แกนั่งดีๆ เก้าอี้เค้าเปื้อนหมด” สมใจบอก
“โอ๊ย....จะกลัวเก้าอี้เปื้อนทำไม ตัวมันน่ะเปื้อนซะไม่รู้ไงไม่กลัวเรอะ” สมปองหยุดกึกเหลียวมองไป
เห็นปรียากมล ซึ่งยามนี้เสื้อผ้าหน้าผมจัดเต็มแล้ว ยืนชะงักนิ่ง ผุดสีหน้าสะเทือนใจให้เห็นแวบๆ แล้วเปลี่ยนเป็นหน้าธรรมดา
สมปองกับสมใจขยับตัว สมใจขึ้นไปนั่งหมิ่นๆ บนเก้าอี้
“นั่งให้สบายแม่”
“สบายแล้ว”
“นั่งเข้าไปให้เต็มๆ ก้น เดี๋ยวก็ปวดหลังหรอก”
สมใจขยับเข้าไป สมปองขึ้นไปนั่งขัดสมาธิเลย
ปรียากมลไหว้ “สวัสดีแม่”
สมปองเหน็บ “โห...ไม่ไหว้พรุ่งนี้เลยล่ะ”
ปรียากมลสวนกลับ “แกก็ควรไหว้ชั้นเพราะชั้นเป็นพี่แก”
“ก็ได้” สมปองไหว้เหมือนว่าตัวเองเพิ่งมาถึง
ปรียากมลมองนัยน์ตาคมกริบ สมปองจ๋อย ท่าทางน่าขำ
“ไม่ได้พบกันกี่ปีแม่”
สมใจตอบทันควัน “ตั้งแต่...ลูกแก 7 เดือน จนเดี๋ยวนี้สิบเจ็ดปีหกเดือนสิบสามวัน” สีหน้าสมใจ ทั้งเข้ม ทั้งเจ็บลึก ทั้งเสียใจ จ้องหน้าปรียากมลแน่วนิ่ง “ลูกสาวแก ดอกโศก อายุสิบแปดปีหนึ่งเดือนสิบสามวัน ไม่เคยเห็นหน้าแม่เลย”
“พ่อด้วย”
ขาดคำสมปอง ห้องทั้งห้องเงียบกริบ
ปรียากมล ความรู้สึกดันขึ้นมาเต็มแรงจนแน่นไปหมดทั้งใจ ตัวสะท้าน น้ำตาเอ่อขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
แม่ลูกจ้องกันมองเข้าไปให้ถึงหัวใจ
สมใจเองก็น้ำตาคลอๆ
สมปองสูดน้ำมูก ร้องไห้เหมือนกัน “ห้องน้ำอยู่ไหน”
ปรียากมลชี้โดยไม่ละสายตาจากหน้าสมใจ สมปองเดินไปอย่างเร็ว
“ทำไมแกไม่กลับมาหาลูกมั่งเลย”
ปรียากมลไม่ตอบ ลุกขึ้นไปยืนที่หน้าต่าง เห็นจากด้านหลังว่าป้ายน้ำตา ตอนเดินไปผ่านกล่องทิชชูหยิบไปแผ่นหนึ่ง
ส่วนสมใจใช้มือป้ายน้ำตา
สมปองเดินออกมา สองมือปาดน้ำจากหน้า เสยผมขึ้นไปหลายๆ ทีแรงๆ เหมือนว่ากำลังสับสนใจอย่างหนัก แล้วรวบผมใหม่รัดหนังยาง ไปนั่งห่างออกไปหน่อย
ปรียากมลหันมา “ฉันไม่รักมัน” น้ำเสียงธรรมดา
สมใจกับสมปองนิ่งเงียบ
ปรียากมลกลับมานั่งที่เก่า “เพราะฉันเกลียดพ่อมัน” นั่งพิงพนักเต็มๆ นัยน์ตาจดจำ เล่าไปเรื่อยๆ “มันทิ้งฉันไปตั้งแต่ฉันท้องได้สองเดือน บอกว่าจะกลับมาแต่งงานไปขอเงินแม่ที่....ไหนซักแห่ง แล้วหายเงียบ ฉันไม่เอามันออกก็ดีเท่าไหร่อุตส่าห์อุ้มท้องมาจนคลอด ใครก็ไม่รู้หรอกว่าตัวคนเดียวอุ้มท้องไปทำงานจนถึงวันคลอด...มันลำบากแค่ไหน ฉันขึ้นแท็กซี่ไปโรงพยาบาล...คนเดียว คลอดเสร็จก็ต้องเลี้ยงมัน...กลางวันวิ่งกลับมาให้นม คนที่ไปฝากเขาเลี้ยงเขาก็ไม่ดูดำดูดีเพราะฉันไม่มีเงินให้ค่าจ้างเค้าแพงกว่านั้น”
“งานอะไร” สมปองสงสัย
“ขายของหน้าร้าน เจ้าของร้านเขาไม่พอใจ เพราะกลางวันลูกค้าเยอะ...ตอนท้องทำงานโรงงาน..ท้องโตสมัครงานที่ไหนเขาก็ไม่รับ” ปรียากมลเล่า
“ทำไมไม่กลับไปหาแม่” สมใจถาม
“จะให้ฉันอุ้มท้องไม่มีพ่อกลับไป แม่นั่นแหละจะด่าฉันเปิดเปิงเป็นคนแรก ผัวแม่เป็นคนที่สอง”
สมปองเหลียวขวับมามองหน้าปรียากมล
ปรียากมลจ้องคืน “อย่ามองชั้นอย่างนั้นปอง มันเป็นความจริงลองนึกดู แกก็โตแล้วตอนนั้น”
สมใจจดจ่ออยู่แต่เรื่องดอกโศก “ตอนนี้มันโตแล้ว...มันเป็นเด็กดี เด็กน่ารัก...สงสารมันเถอะนะสุดจิตต์”
ปรียากมลนิ่งไปอึดใจ นัยน์ตากล้าแข็ง และกร้าว “จะให้ฉันสงสารเรื่องอะไร”
“แกรู้แล้ว”
ปรียากมลสวนออกมาแทบจะทันที “ฉันมาก่อน”
สมใจอัดอั้นเหลือแสน อึ้งไป “แกไม่รักลูกเลยเหรอ”
“...ขนาดฉันอยู่กับแม่จนโต แม่รักฉันรึเปล่าล่ะ”
“โธ่เอ๊ย” สมใจครางเบาๆ พูดทำไม”
“เพราะแม่เกลียดพ่อแก่ๆ ของฉัน แต่กับพ่อของไอ้ปอง ไอ้หมายแม่รักเขา แม่ถึงรักลูกสองคนมากกว่าฉัน”
สมใจทำท่าจะพูดแย้ง ปรียากมลรู้ทัน
“แม่อย่าพูดเลยว่าไม่ใช่...มันเลยเวลานั้นมาแล้ว พูดไปก็ไม่ทำให้อะไรดีขึ้น”
“ไอ้โศกมันเป็นเด็กดีนะพี่จิตต์” สมปองเอ่ยขึ้น
“ฉันไม่ได้พูดว่าดอกโศกไม่ดี ฉันเชื่อว่าแม่กับแกเห็นเขามากกว่าฉัน...รู้ว่าเขาดียังไง แต่ฉันไม่รู้ ตอนนี้ฉันยังไม่รับรู้ด้วย”
สมปองไม่เข้าความคิดปรียากมล “อ้าว....ไหงงั้น”
“มันยังไม่ใช่เวลา แม่อย่าเพิ่งบอกเขาว่าฉันเป็นแม่ ตอนนี้ยังไม่มีใครรู้นอกจากเราสามคน”
“กูไม่เข้าใจเลยจริงๆ” สมใจพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ด้วยอารมณ์คับแค้นใจ “กูแก่แล้ว กูไม่เข้าใจทำไมแม่มัน ไม่เสียสละให้ลูกวะ...กูอยากจะตายไม่อยากรู้อยากเห็นเว้ย”
“ฉันด้วย...” สมปองว่า
“นังปองมึงไม่ต้องมาพลอยพยักกะกู” สมใจหันเป็นว่าลูกสาวมาดทอม หมายถึงอย่าทำเป็นลูกขุนพลอยพยัก
สมปองเกาหัวไม่เก็ท “เป็นไง”
“อีโง่ เป็นได้แต่เสือโบกหน้าปั๊มล่ะมึงน่ะ” สมใจเอ็ดอย่างมีอารมณ์
“ก็ได้....ไม่พูดแระ”
“แกเป็นแม่สุดจิตต์ อย่าลืมว่าแกเป็นแม่” สมใจหันมา พยายามบอกให้ลูกสาวตระหนัก
“ตอนนี้ดอกโศกเป็นเลือดก้อนหนึ่งของฉัน...เป็นแค่เลือดก้อนหนึ่งเข้าใจมั้ยแม่” ปรียากมลบอก รู้สึกแค่นั้นจริงๆ กับดอกโศก
สมใจของขึ้นอีก “ไม่เข้าใจโว้ย....กูไม่เข้าใจ....ไม่เข้าใจ” สมใจตะเบ็งเสียงใส่
ปรียากมลเองก็เริ่มมีอารมณ์แล้ว “มันเป็นแค่เลือดก้อนหนึ่ง ฉันเบ่งมันออกมา...ใช่ มันเป็นลูก ชั้นเป็นแม่ แต่มันแค่นั้น...เข้าใจมั้ย มันแค่นั้น” คำท้ายประโยคปรียากมลพูดเสียงดังมาก
“แค่ไหนล่ะโว้ย...แค่ไหน มึงเป็นแม่ มึงพูดได้ไงว่าแค่นั้น มึงเป็นแม่นะอีสุดจิตต์” สมใจลุกขึ้นยืน....โกรธตัวสั่นไปหมดแล้ว
ปรียากมลพูดตอกกลับด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบ “แค่ไหนเหรอ...แค่ที่แม่รู้สึกกับชั้นนั่นแหละ”
สมใจหยุดชะงัก
“จะเถียงมั้ยแม่ มันแค่ที่แม่รู้สึกกับชั้น นึกไม่ออกเหรอนั่งลง...บอกให้นั่งลงจะพูดให้ฟังว่าแม่ทำกับชั้นไว้แค่ไหน....ฟังให้ดีๆ”
สมใจพูดไม่ออก
อ่านต่อหน้า 3 พรุ่งนี้
เนื่องจากบทโทรทัศน์ "ดอกโศก" ตอนต่อจากนี้ อยู่ในระหว่างการปรับบท แก้ไขตามการถ่ายทำจริง การอัพขึ้นเว็บ จึงอาจไม่เป็นเวลา หากสร้างความขัดเคืองใจให้แฟนละครที่ติดตามอย่างต่อเนื่อง "ทีมละครออนไลน์" ขออภัย มา ณ ที่นี้
ดอกโศก ตอนที่ 15 (ต่อ)
ปรียากมลนึกถึงฉากชึวิตที่บ้านแม่ เมื่อเกือบ 30 ปีก่อนอย่างขื่นขม ลืมไม่ลงแม้สักฉาก
วันนั้นสมใจส่งเงินค่าขนมให้สุดจิตต์ในวัย 6 ขวบ เด็กหญิงสุดจิตต์ที่ไม่มีใครอบรม คว้าเงินไปจากมือแม่หมับ ตั้งท่าวิ่ง สมใจกำลังโม่แป้งทำขนม ตะโกนด่า
“มึงจะนึกมั่งได้มั้ยว่ากูเหนื่อยแค่ไหนกว่าจะได้ทีละบาท ฮะ อีสุดจิตต์ หนอยพอคว้าได้วิ่งเชียวนะมึง....ไหว้ผู้ใหญ่น่ะทำเป็นมั้ย”
อีกเหตุการณ์สมใจนั่งประจันหน้ากับสุดจิตต์ที่แต่งชุดนักเรียนชั้นประถม สมใจแว้ดใส่
“ค่าอะไรนะ ค่านม...นมอะไร โตจนป่านนี้จะกินนมไปทำไมอีก”
“ครูสั่ง” สุดจิตต์บอก
“ไม่ให้ ครูสั่งให้ครูออกสิวะ” สมใจบอก
“แค่ห้าบาท” เด็กหญิงสุดจิตต์ย้อน
“บาทเดียวก็ไม่ให้ ต้องเก็บไว้ให้ปองมัน มันเป็นน้องนะมึงสุดจิตต์ ฮึ..พ่อมันมาดูดำดูดีมั้ย ไอ้พวกเศรษฐีลูกมันทั้งคน”
อีกวันหนึ่งสมใจ ตี... ตี... ตี สุดจิตต์ ซึ่งอ้าปากร้องไห้จ้าสุดเสียง
“ริขโมยรึมึง สุดจิตต์” สมใจฟาดไปด่าไป
สุดจิตต์เถียง “หนูเปล่า...หนูไม่ได้เอาไป”
“เปล่า” สมใจฟาดขวับ “นี่แน่ะเปล่า เงินกูหายไปยี่สิบ...เอามานะอีสุดจิตต์”
“หนูไม่ได้เอาไปจริงๆ นะแม่” สุดจิตต์เถียงเสียงดังมาก ออกแนวก๋ากั่น กว่าทุกครั้ง
สมใจชี้หน้าด่า “ไม่จริง อีขี้ขโมย”
“หนูเปล่า....เปล่านี่โว๊ย”
สมใจปราดเข้ามา ตี..ตี สุดจิตต์แผดเสียงร้องสุดปาก เด็กหญิงสมปองอยู่ในบ้านได้ยิน
สมใจพุ่งเข้าไปในบ้านดูสมปอง “มาแล้วสมปอง แม่มาแล้ว” เหลียวขวับมาชี้หน้าตวาดสุดจิตต์ “รู้งี้ฆ่าให้ตายตั้งแต่อยู่ในท้องซะก็ดี มึงนะมึง”
อีกวันสุดจิตต์ร้องไห้เสียงดังมาก สมใจตะคอก “โอ๊ย...ร้องไห้ทำไม”
“จะเอาตุ๊กตา...แบบนั้นน่ะ” สุดจิตต์ชี้โบ๊ชี้เบ๊ไปจะเอาๆ
สมใจฟาดเผียะ “แหกปากเข้าไป...ตุ๊กตามันคงลอยมาล่ะ”
สุดจิตต์เงียบเสียง...ปาดน้ำตา สะอื้นสองสามเฮือกเอ่ยขึ้น “แม่...เงียบแล้วเอาตุ๊กตาได้มั้ย”
“ฮะ..ใครจะมีเงินซื้อให้มึง ไปเอาจากไอ้พ่อเศรษฐีของมึง...ไป๊” สมใจหงุดหงิด กระแทกโน่นกระแทกนี่ บ่นงึมงำตามประสา “มันคงให้หร๊อก เจออีคุณหญิงหน้าเนื้อใจเสือล่ะมึงเอ๊ย”
อีกวันหนึ่งสุดจิตต์โตเป็นสาวแล้ว สมใจคุยอยู่กับสมหวัง...ทีนั่งหันหลังให้สุดจิตต์
“แกจะให้มันเรียนต่อเรอะ” สมหวังถาม
“โอ๊ย แกพูดเป็นบ้าไปได้ ใครจะมีเงินให้มันเรียน”
“เอ้า...ไปขอพ่อมันสิรวยไม่ใช่เรอะ” สมหวังเหน็บ
“อย่าไปหวัง...ไปให้อีคุณหญิงมันไล่ออกมาน่ะสิ มันแค่เลือดก้อนเดียวไอ้พ่อมันไม่รักใคร่ใยดีอะไรหรอก คิดดูชั้นออกมาตั้งตะนังสุดจิตต์สองขวบ จนเท่าไหร่...สิบกว่าปีไม่เห็นของพ่อมันซักกะบาท”
สุดจิตต์นั่งซุกอยู่ข้างซอกโอ่งอาบน้ำ กัดฟันแน่น สีหน้าเคียดแค้น
อีกฉากหนึ่งที่ปรียากมล จำได้ไม่เคยลืม วันนั้น สมปอง เริ่มโตมากแล้วผมถักเปีย อายุย่าง 10 ขวบ อ่อนกว่าสุดจิตต์ ประมาณ 5 ปี และสุดจิตต์วัย 15 เริ่มโตเป็นสาว ตัดผมม้าสั้น
สองคนกำลังทะเลาะกันเรื่องกวาดบ้านถูบ้าน
“เมื่อวานชั้นทำแล้ววันนี้พี่ทำ” สมปองโยนไม้กวาดใส่สุดจิตต์
“เรื่องแน่ะนังปอง ชั้นทำทั้งเสาร์ทั้งอาทิตย์แล้ว” รับมาแล้วโยนกลับ
“ไม่นับ วันก่อนชั้นก็ทำเสาร์อาทิตย์เหมือนกัน” สมปองโยนกลับ
“ไม่จริง หายกันไปแล้ว” สุดจิตต์โยนไม้กวดสวนเปรี้ยงกลับไปแรงๆ ไม้กวาดไปโดนสมหวัง ที่ก้าวเข้ามาพอดี
ผิดคาด สมหวังหยิบไม้กวาด ชี้หน้าสมปอง “เฮ้ย...ทำไปนังปอง” โยนตรงหน้าปอง “นังจิตต์ไปนวดกู” เดินหายเข้าห้องข้างใน
“ไม่...ฉันไม่ทำเอาไป” สมปองโยนไม้กวาดกลับมาอีก ด้ามไม้กวาดโดนขาสุดจิตต์เต็มๆ
“แกนังปอง” สุดจิตต์ปราดเข้าไปเงื้อง่าหมายจะตบ
สมปองทำท่าสู้ไม่กลัวสักนิด
สมใจตวาดลั่น “เฮ้ย หยุด มึงทำไปนังจิตต์มึงเป็นพี่เกี่ยงน้องยังงี้ได้ไง...ฮะ เดี๋ยวเหอะจะฟาดเข้าให้หรอก...กวาดแล้วถูด้วยให้สะอาดนะมึงวันๆมีแต่เที่ยว..เที่ยว...เที่ยว งานการไม่กระดิก อีสันหลังยาว ทำไปเดี๋ยวนี้”
สุดจิตต์แย้ง “พ่อให้ไปนวด”
สมใจหันมาอย่างช้าๆ นัยน์ตาวาววับ “ไม่ต้อง...” สายตาบ่งบอกอะไรบางอย่าง “ต่อไปนี้เอ็งไม่ต้องนวดพ่ออีก”
สายตาของสุดจิตต์ ที่มองแม่รู้กันในที ในวันนั้น ดึงปรียากมลกลับมาสู่ปัจจุบัน
ใบหน้าปรียากมลในยามนี้ เป็นใบหน้าเดียวกับใบหน้าสุดจิตต์เมื่อวันวาน จ้องหน้าแม่สีหน้าหยามหยัน บอกด้วยนัยน์ตาว่ามันคืออะไร
สมใจหน้าเสีย พูดไม่ออก สมปองเองก็หน้าเสียเหมือนกัน
“ฉันออกมาจากบ้านแล้วรู้มั้ยว่าฉันต้องไปเจออะไรมั่ง”
สมใจส่ายหน้า ขณะที่สมปองหน้าไม่ดี เริ่มเห็นใจ
“แน่สิ แม่ไม่เคยสนใจไม่ตามหาด้วย”
สมปองรีบท้วง “ตาม..แม่ตาม ไปตามที่โรงเรียนครูบอกว่าพี่ลาออก มีลายเซ็นต์แม่ด้วย พี่ปลอมลายมือแม่ใช่มั้ย”
ปรียากมล ตวาด “แกไม่ต้องยุ่งอีปอง แกมันลูกรักนี่ตอนนั้น กะไอ้หมายสองคน”
“ฉันพูดจริงนะแม่ไปตาม...” สมปองยังไม่ยอมหยุด
“หยุด...พอไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้ว”
สมใจเอ่ยขึ้น “สุดจิตต์”
“แม่อย่าเรียกชั้นอีก...เมื่อกี้ครั้งสุดท้าย ฉันไม่ได้ชื่อสุดจิตต์ ชื่อนี้ฉันฝังไปแล้ว ตัวสุดจิตต์ก็ตายแล้วเหมือนกัน”
ปรียากมลพูดจบกระแทกตัวนั่ง ชันเข่าขึ้นมาในกิริยาที่สุดจิตต์ชอบทำในสมัยนั้น
สองมือกุมหน้า ปิดบังไม่ให้ใครเห็นสีหน้าที่กดดันหนัก
สมใจอึ้ง พูดไม่ออกเหมือนกัน สมปองก็ตกอยู่ในอาการเดียวกัน
ครู่ต่อมาปรียากมลเปิดประตูให้แม่ให้น้อง
สองคนหน้าตาอยู่ในอามรณ์เดิมของใครของมัน ปรียากมลยื่นซองให้
“อะไร” สมใจถาม
“เงิน...ฉันให้ ห้าหมื่น แล้วจะให้อีก” สองแม่ลูกจ้องเงิน
สมปองไหว้ลวกๆ แล้วออกไปเลย ไม่สนใจ
สมใจผลักมือที่ถือซองไป...เบาๆ “แม่ยังไม่มีเรื่องใช้เงิน”
ปรียากมลนิ่งไป มองซองเงินนิ่งไปอึดใจหนึ่ง แล้วบอก “ตามใจ”
“สุด...เอ้อ ลูกแกมันน่าสงสาร” สมใจพูดมองจ้องหน้า
ปรียากมลฟังนิ่ง
“เขารักกันมานานแล้ว เสียสละให้ลูกเถอะนะ...ปรียากมล”
สมใจบอก สองแม่ลูกจ้องหน้ากัน อ่านใจซึ่งกันและกัน
ปรียากมลจับแขนแม่ออกแรงบีบแรงนิดๆ แล้วพาแม่ให้เดินออกไปพ้นประตู ตัวเองปิดประตู แล้วยืนพิงประตูอยู่อย่างนั้น มองเพดานห้อง น้ำตาไหลย้อนเข้าไปข้างในดวงตา
ขณะเดียวกันที่นอกประตู สมใจเซไปพิงฝา อ่านสายตาลูกสาวออกว่าไม่ยอมแน่ สมปองมองอยู่ไกลๆ
วันหนึ่ง เพ็ญพักตร์อยู่ภายในห้องนอน สีหน้าเพ็ญพักตร์ นิ่งสนิท รอคอย เจ็บลึกๆ ว่าต้องทำเพื่อลูก
เสียงเคาะประตูดังขึ้น....อึดใจเดียว ตระกูลเปิดประตูเข้ามา
เพ็ญพักตร์หน้าละมุนขึ้นนิดๆ
ตระกูลเข้ามายืนตรงหน้า แล้วคุกเข่า กอดเอว ซบหน้ากับตัก “คุณเพ็ญ”
สีหน้าเพ็ญพักตร์ คลายลง เหมือนปลงได้ แตะไหล่ตระกูลเบาๆ
“ขอบคุณครับ” ตระกูลลุกขึ้นจะนั่ง
เพ็ญพักตร์ลุกเดินออกไปอีกทางหนึ่งในห้อง ตระกูลเดินตาม
เพ็ญพักตร์หยิบบัตรเครดิต บัตรเสริมใบใหม่มาวาง “บัตรใบใหม่ ...อุ๊ล่ะ”
“อยู่ข้างล่าง...” สีหน้าตระกูลไม่ดีแล้ว
“ลูกดีใจมากมั้ย”
“มากครับ”
“อย่าทำให้ลูกเสียใจอีก....สัญญาได้มั้ยตระกูล”
“ครับ...คุณเพ็ญ”
“อย่าให้เป็นแค่คำพูด” เพ็ญพักตร์เสียงเข้ม
ตระกูลนิ่งอึ้ง
“จัดการเรื่องของคุณให้จบอย่าให้คาราคาซัง ฉันจะไม่พูดเรื่องที่ผ่านไปแล้ว”
เพ็ญพักตร์พูดเหมือนสั่ง ตระกูลมีสีหน้าที่เริ่มเซ็ง แต่เพ็ญพักตร์ไม่ทันเห็น
เพ็ญพักตร์เยาะขึ้นมาอีกคำ “ที่แล้วมาคิดว่าเป็นทาน”
คราวนี้ตระกูลหันขวับ “หมายความว่าไงคุณเพ็ญ ให้ทานผมเหรอ” เสียงตระกูลเริ่มดังขึ้น
เพ็ญพักตร์สวนออกมา “อย่าหาเรื่อง...ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้นฟังไม่รู้เหรอ”
อุ๊เคาะประตู แล้วเปิดเข้ามาอย่างรวดเร็ว สีหน้าไม่ดี
“คุณแม่ทะเลาะกับคุณพ่ออีกแล้ว ทำไมล่ะคะ” อุ๊หน้าเสีย
“เคยสอนว่าอย่าแอบฟังผู้ใหญ่พูดกัน...ไม่จำเลยเหรออุ๊” เพ็ญพักตร์อารมณ์เสียอีก
“ไม่ค่ะ ไม่อยากจำ” น้ำเสียงอุ๊เริ่มสั่น “อุ๊นึกแล้วว่าคุณแม่ต้องหาเรื่องคุณพ่อ คุณพ่ออุตส่าห์กลับมา”
เพ็ญพักตร์เยาะ “อุตส่าห์...อุตส่าห์เหรออุ๊” แล้วพยายามสะกดอารมณ์ “ฉันจะออกไปทำงานล่ะ ตระกูลวันนี้คุณเข้าโรงงานมั้ย”
ตระกูลอึกอักนิดหน่อย “ผม....”
“ไปด้วยกันก็ดี” เพ็ญพักตร์มองหน้าตระกูลนิ่ง “ไปสิ” เพ็ญพักตร์หยิบกระเป๋าเดินออกไปปิดประตูลง
อุ๊กัดฟันแน่น
“อุ๊...ไม่เป็นไรหรอกลูก” ตระกูลปลอบได้เท่านั้น
“เป็น” อุ๊ระเบิดทันที “ทำไมไม่เป็น...เป็นอย่างนี้ ทุกครั้ง แล้วอีกไม่นานหรอกคุณพ่อก็ไม่อยู่อีก...ไม่นานคุณพ่อก็ไปอีก” อุ๊น้ำตาทะลักทะลาย “อุ๊เบื่อ..เบื่อคุณแม่ เบื่อบ้านนี้” สะอื้นฮักๆ “ถ้าคุณพ่อไปอีกครั้งต้องพาอุ๊ไปด้วย...สัญญานะคุณพ่อ...” อุ๊สะอื้นอยู่อย่างนั้น เป็นที่น่าเวทนามาก
ตระกูลกอดลูกปลอบ...นิ่ง เป็นเชิงบอก ไม่ร้องนะลูก พ่อไม่ไปไหน
“อย่าให้เป็นแค่คำพูดนะคุณพ่อ...” อุ๊รับรู้ ถอนสะอื้นตัวโยน
วันรุ่งขึ้นภายในสวนสวย บรรยากาศร่มครึ้ม เขียวชอุ่มด้วยพรรณไม้สวยงาม ดอกไม้ห้อยระย้าย้อย
ดอกโศกเดินมาแต่ไกล เหมือนนางไม้กำลังชมสวน เสื้อผ้าพลิ้วไหว จังหวะหนึ่งดอกโศกแหงนมองต้นไม้ มองนกคู่จู๋จี๋บนต้นไม้
อัศนัยเดินเข้ามาหา มองภาพตรงหน้าอย่างซาบซึ้งตรึงใจ แล้วจรดปลายเท้าเข้ามาใกล้มาก
ดอกโศกได้ยินฝีเท้าก็รู้แล้ว “ให้หันไปมั้ยคะ”
อัศนัยขำอีกแล้ว “โธ่เอ้ย อุตส่าห์ย่อง...หันหน่อยก็ดี” แล้วยื่นหน้าเข้ามา
ดอกโศกก้าวถอยไปสองก้าวแล้วหันมายิ้มกระจ่างตา พร้อมกับไหว้
“ขี้โกง” อัศนัยยิ้มๆ
“ขอบคุณค่ะ”
อัศนัยหัวเราะเสียงดัง เหลียวมองไปรอบๆ “สวนโรงแรมนี้สวยนะดอกโศกชอบเหรอจ๊ะ”
“ค่ะ...สวยดี คุณนัยเห็นต้นไม้แขวนๆ ที่ดอกโศกแขวนที่บ้านยายมั้ยคะ อุตส่าห์ซื้อนะนั่น...แพงจะตาย”
“อีกหน่อยเราแต่งงานดอกโศกไปอยู่บ้านคุณนัย คุณนัยจะพาไปซื้อแขวนให้รอบบ้านเลยนะ เอามั้ย” อัศนัยพูดพลางหยิบดอกลั่นทมที่ตกมาค้างอยู่บนต้นไม้เตี้ย มาเสียบผมให้ดอกโศก
“เอาค่ะ...ขอบคุณค่ะ”
“แต่...อีกตั้งนาน คอยตาละห้อยเลย” อัศนัยอ้อนสายตาละห้อย
ดอกโศกเห็นหัวเราะขำ “ไหน...เป็นไงคะไม่เคยเห็นคุณนัยทำตาละห้อยซักที”
“นี่ไง....แบบเนี้ย” อัศนัยถลาเข้ามาจนชิดหน้าดอกโศก
“ไม่เอาค่ะ เดี๋ยวคนเห็น...ไม่ค่ะ...อย่า คุณนัย” ดอกโศกเสียงดุ “คนเห็นจะว่าได้นะคะว่าหลานคุณย่าทำไมมา....เอ้อ”
“โอเค...โอเค คุณนัยจะอดใจไว้ ไป” อัศนัยสวนคำ พร้อมกับยื่นมือให้ “ไปหาคุณย่ามากัน”
ดอกโศกวางมือบนมืออัศนัย อัศนัยแตะริมฝีปากที่หลังมือเบาๆ เอ่ยขึ้น
“จำไว้นะ” น้ำเสียงอัศนัยจริงจังนัก “คุณนัยรักดอกโศกมาก ชีวิตนี้จะไม่มีวันยอมเสียดอกโศกให้ใครไม่ว่าหน้าไหนก็ตาม” อัศนัยพูดช้าๆ สายตาฉายชัดว่าหมายถึงภักดิ์ภูมิและเอ็ดดี้
ดอกโศกรับคำด้วยสายตา บอกเป็นนัยว่ามั่นคงเช่นกัน
“โอ้ย...ทำตาอย่างเนี๊ย อยากจูบอีกแล้ว” อัศนัยพูดโดยไม่มองหน้าดอกโศก ทำเป็นพูดกับฟ้ากับดิน
ดอกโศกฟังไม่จบ ดึงมืออัศนัยไปทันที
มิสซีสเบนส์ถือกระเป๋าของดอกโศกมาด้วย เอ่ยขึ้น
“We ‘re going to Hue Hin next week - เราจะไปหัวหินอาทิตย์หน้า”
พลางมองหน้าเอ็ดดี้ สายตาหญิงชรามีความหมายซ่อนอยู่
“Yes, I know.”
“แค่ทำให้แอนเจล่ารู้ว่าเอ็ดดี้จริงใจกับเขา”
“ครับ...” เอ็ดดี้ประคองคุณย่าออกจากห้อง เปิดประตู
“Love is beautiful , Eddie.” ย่าว่า
เอ็ดดี้กอดย่า จูบเบาๆ สไตล์ฝรั่ง เอ็ดดี้โอบตัวคุณย่าแบบประทับใจ
“I love you grandma.”
ยามนี้กิริยาอาการของหญิงชรา ไม่ได้ออกโรงเชียร์มากมาย ดูเหมือนจะคอยห้ามไม่ให้เอ็ดดี้แย่งดอกโศกจากอัศนัยด้วยซ้ำ แต่ก็คอยส่งสัญญาณ ให้เอ็ดดี้ทำดี อย่างจริงใจกับดอกโศก...เผื่อฟลุก
สองคนย่าหลานออกจากลิฟต์ มิสซีสเบนส์เอ่ยขึ้น
“Seen them? - เห็นเขาสองคนมั้ย”
“In the garden , Yes - ในสวนหรือครับ..เห็นครับ”
มิสซีสเบนส์พึมพำเบาๆ สีหน้าหนักใจ “Difficult really - ยากจริง”
เอ็ดดี้ยิ้มสู้เล็กๆ ขณะนั้นอัศนัยจูงมือดอกโศกเดินมาพอดี สี่คนเจอกัน
อัศนัยเห็นสายตาเอ็ดดี้มองดอกโศก ที่มีดอกลั่นทมติดผมอยู่
อัศนัย เหนี่ยวกระชับมือดอกโศกแน่นขึ้น แม้ว่าดอกโศกจะพยายามดึงออก แต่อัศนัยไม่ปล่อย
“Good morning...and good bye. I’ m sorry we have to go now - สวัสดี แล้วต้องลาเลยเพราะเราต้องรีบไป” มิสซีสเบนส์ทำเป็นยิ้มขำๆ
“ผมขออนุญาตไปส่งดอกโศกครับ”
“ส่งที่ไหน” มิสซีสเบนส์ย้อนถามอัศนัยหน้าตายิ้มแย้ม
“ที่ทำงานครับ”
“ไม่อนุญาต” มิสซีสเบนส์บอกยิ้มไปด้วย
อัศนัยหน้าเหวอเลย
“เราจะไปกันอยู่แล้ว ไปรถสองคันเปลืองน้ำมัน” หญิงชราตัดบท
อัศนัยแย้ง “แต่....”
“คุณไม่ต้องไปทำงานหรือคะ? เชิญได้เลย” มิสซีสเบนส์ดูนาฬิกา “สายแล้ว”
“รถมารับแล้วครับแกรนด์มา..เชิญทางนี้ แอนเจล่า เอาอะไรบนห้องอีกไหมครับ” เอ็ดดี้ผสมโรง
ดอกโศกเหลือบมองอัศนัย กระตุกมือนิดๆ “มี....เอ้อ กระเป๋า”
อัศนัยจำต้องปล่อยมือดอกโศก สายตาเครียดเล็กๆ
“ผมพาขึ้นไป” เอ็ดดี้รีบบอก
“เอ่อ...” ดอกโศกอึกอัก
“เชิญครับแอนเจล่า” เอ็ดดี้แตะหลังเบาๆ กิริยาสุภาพ
“ค่ะ” ดอกโศกรับหน้าไม่ดีเลย
“Good bye” เอ็ดดี้บอกลา พร้อมยื่นมือให้อัศนัยจับ
อัศนัยลังเลกระพริบตา แล้วจับมือ “Bye” โค้งให้น้อยๆ “เย็นนี้ผมขออนุญาตรับดอกโศกเองนะครับ
มิสซิสเบนส์ขยับจะพูด
“ขอบคุณครับ...” อัศนัยรีบขัดออกมาก่อน จับมือดอกโศก เขย่าเล่นๆ “คอยผมนะเย็นวันนี้ผมจะมารับ”
อัศนัยเดินไปทันที มิสซีสเบนส์หน้าเฉยลง รู้แล้วว่าต้องต่อสู้หนักกับผู้ชายคนนี้
จู่ฉัตรทองถามขึ้นมาต่อหน้าภักดิ์ภูมิ “ทำไมพี่ภูมิยังไม่ให้เขาไปนั่งห้องพี่ใจเอื้ออีกคะ”
“เขาเป็นเลขาส่วนตัวของพี่ เขานั่งในห้องนี้ดีแล้วฉัตร”
“พี่ภูมิ ฉัตรขอร้อง เห็นแก่ฉัตรได้มั้ยคะ...ฉัตรไม่อยากให้เขานั่งตรงนี้”
“ฉัตรก็รู้ว่าแค่ที่นั่งมันไม่ได้ห้ามสิ่งที่จะเกิดได้...ถ้ามันจะเกิด” น้ำเสียงภักดิ์ภูมิเริ่มขุ่นมัวนิดๆ
“พี่ภูมิ” ฉัตรทองหน้างอหงุดหงิด ที่ถูกขัดใจ
ใจเอื้อเคาะประตู แล้วเปิดเข้ามา
“อะไรครับพี่ใจเอื้อ”
ใจเอื้อถือแฟ้มงานมาวางบนโต๊ะ “มีจดหมายตอบจากผู้ว่า ททท. ค่ะ ที่จะให้มา Speech เรื่อง AEC ท่านตอบตกลงค่ะ”
“ขอบคุณครับ พี่ใจเอื้อ”
ใจเอื้อออกไปแล้ว ฉัตรทองมีเวลายืนตรึกตรองคำพูดเมื่อครู่อยู่ แล้วปราดเข้ามา
“พี่ภูมิ...” มองภักดิ์ภูมิน้ำตาคลอๆ “อะไรจะเกิดคะ พี่ภูมิพูดอย่างนี้หมายความว่ายังไง
“พี่หมายความว่าฉัตรอย่าแคร์เรื่องเก้าอี้นั่งเลย”
“พี่ภูมิให้ฉัตรแคร์เรื่องอะไร” ฉัตรทองถามเสียงเรียบเบา มองหน้านิ่งสายตาเจ็บปวด บอกความรู้สึก “เก้าอี้ตัวเดียวสำหรับฉัตรมันหมายถึงทุกอย่าง” อารมณ์หึงหวงเริ่มมาแล้ว “ฉัตรไม่โง่นะพี่ภูมิ คิดว่าฉัตรโง่เหรอคะ”
“ฉัตรไปกันใหญ่แล้ว”
“พี่ภูมินั่นแหละไปใหญ่...พี่ภูมิเปิดจนหมดอย่างนี้จะให้ฉัตรทำยังไง” เสียงฉัตรทองเริ่มดัง และเริ่มจะทนไม่ไหว “ให้ฉัตรนิ่งเฉยให้แม่คนนี้เอาพี่ภูมิไปจากฉัตรงั้นเหรอ ฉัตรไม่เอาเรื่องกับมันดีเท่าไหร่แล้ว”
“ฉัตร” ภักดิ์ภูมิเสียงหนัก “พอ...มากเกินไปแล้ว พี่เป็นสิ่งของที่ใครจะมาหยิบไปงั้นเหรอ...อย่าใส่ร้ายเขาเกินไป เขามีแฟนแล้วฉัตรก็เห็น”
“เห็น...ฉัตรเห็น มีแต่พี่ภูมิเท่านั้นที่ไม่เห็น” ฉัตรทองหันหลังจะเดินออกไป
ระหว่างนั้นมีเสียงเคาะประตู มิสซีสเบนส์เปิดเข้ามา ดอกโศก และเอ็ดดี้เดินตามมา
“มอร์นิ่งค่ะ ฉันพาแอนเจล่ามาส่ง” มองหน้าสองคนเห็นหน้าเครียดหนัก “Oh….sorry”
“เชิญครับมิสซิสเบนส์ ผมก็กำลังจะพาฉัตรทองไปเรียน เชิญพักห้องนี้ก่อนนะครับ...” ภักด์ภูมิหันมาทางดอกโศก “แอนเจล่า ผมมีเรื่องต้องแปลเป็นภาษาอังกฤษ...ช่วยผมหน่อยนะครับ” มองจ้องนัยน์ตาดอกโศกบอกอารมณ์ชัดเจน
“ค่ะ” ดอกโศกรับคำ
ฉัตรทองมองภักดิ์ภูมิเห็นนัยน์ตานั้นแล้วหน้าเข้มขึ้นทันที
“สวัสดีค่ะ ทุกคน” ฉัตรทองเดินไปกับภักดิ์ภูมิ
ทุกคนนิ่งไป
“ย่าจะไปเยี่ยมเพื่อนเขาพักอยู่ที่นี่ เอ็ดดี้อยู่ช่วยแอนเจล่าแปลเอกสารนะ” มิสซีสเบนส์ขอตัว
“ครับย่า”
มิสซีสเบนส์ออกไป เห็นสีหน้าหญิงชรายิ้มบางๆ ว่าสมใจ
“แอนเจล่า มาเร็ว คุณอ่านภาษาไทยผมจะแปลเป็นอังกฤษนะพิมพ์ให้ด้วยเอ้า...เสร็จแล้วไปดูหนังกัน” เอ็ดดี้วางโปรแกรมเสร็จสรรพ
ดอกโศกยิ้มขำ “ฉันไม่อยากถูกตัดเงินเดือน”
“ไม่...ไม่ผมการันตีเขาไม่ตัดเงินเดือน มีแต่เพิ่มขึ้นแน่นอน” เอ็ดดี้ว่า
“งั้นฉันไปดูหนังไม่ได้แล้วล่ะค่ะ อยากได้เงินเพิ่ม” ดอกโศกสัพยอก
เอ็ดดี้คิดทวนคำพูดอยู่อึดใจ แล้วหัวเราะชอบใจ “Oh…ผมชอบคุณจังคุณมี...เขาเรียกอะไรนะ Sense of Humor” ดีดนิ้วเปาะ “อารมณ์ขัน”
“อารมณ์ขัน” ดอกโศกเองก็พูดออกมาแทบจะพร้อมๆ กัน
“That ‘s it - นั่นแหละ” เอ็ดดี้ยิ้มจ้องหน้าดอกโศกถาม “ตกลงนี่คือวิธี say no ของคุณใช่ไหมแอนเจล่า”
ดอกโศกตอบยิ้มๆ “Sure”
“อา...” เอ็ดดี้ทำท่าล้ม...เหมือนคนหมดหวัง แล้วเย้าขำๆ “Pity me - สงสารตัวเองจังเลย”
ใจเอื้อเคาะประตู เดินเข้ามาเลย แจ้งคิวนัดกับดอกโศก “คุณแอนเจล่า วันนี้คุณภักดิ์ภูมิมี lunch กับมิสซิสทาเคยาชิ กงสุลญี่ปุ่นที่ห้องอาหารของเราคุณแอนเจล่าต้องไปด้วยค่ะ”
เมื่อถึงเวลานัด ภักดิ์ภูมิ กับดอกโศกเดินเคียงกันมาในห้องอาหาร เจอท่านกงสุลญี่ปุ่นรออยู่แล้ว พร้อมผู้ติดตามอีก 2 คน ทั้งสามเดินเข้ามาทักทายกัน ผู้ติดตามเดินฉากออกไป
ภักดิ์ภูมิแนะนำดอกโศก กงสุลญี่ปุ่นโค้งแล้วจับมือ แล้วโค้งอีก ทักทายตามธรรมเนียมของชาวญี่ปุ่น
ทั้งหมดนั่งโต๊ะคุยกัน กงสุลพูดคุยอยู่กับภักดิ์ภูมิ แล้วหันมาพูดกับดอกโศกท่าทางสุภาพ นัยน์ตาชื่นชมความงาม
ไม่นานหลังจากนั้น ทั้งสามคนร่ำลากันไปกันหมดแล้ว
จู่ๆ ภักดิ์ภูมิเอ่ยขึ้น “ผมยังไม่อยากเข้าออฟฟิศ”
“ค่ะ เชิญค่ะคุณภักดิ์ภูมิ แอนเจล่าจะแปลหนังสือต่อ”
ภักดิ์ภูมิแตะแขนเบาๆ “ผมอยากไปหาขนมอร่อยทาน แอนเจล่าไปกับผมหน่อยนะครับ”
ดอกโศกอ้ำอึ้ง สีหน้าลำบากใจนิดๆ “เอ่อ...แอนเจล่านัดให้คุณอัศนัยมารับบ่ายสามนะคะ จะไปโรงงานคุณอัศนัยค่ะ” ดอกโศกรู้ท่าทีของภักดิ์ภูมิ พยายามบอกทางอ้อมว่ามีแฟนแล้วนะ
“ผมจะพากลับมาบ่ายสองห้าสิบนาทีตรง...รับรอง เชิญ...”
ภักดิ์ภูมิไม่ยอมแตะหลังดอกโศกด้วยกิริยาสุภาพเป็นเชิงขอร้องให้เดินไป
เอ็ดดี้เดินออกมามองตาม
อ่านต่อตอนที่ 16 พรุ่งนี้ เวลา 9.30 น.