ดอกโศก ตอนที่ 9
อัศนัยขับรถมาจอดรถที่หน้าโรงเรียน แล้วโน้มตัวไปแกะที่รัดเข็มขัดนิรภัยให้ดอกโศก จังหวะนั้นดอกโศกจ้องมองอัศนัยด้วยสายตาลึกซึ้งยิ่ง ดอกโศกไหว้ขอบคุณแล้วรีบเปลี่ยนสายตา
“อย่าลืมพรุ่งนี้” อัศนัยย้ำ
“จะมาถึงหรือคะ”
อัศนัยมองด้วยสายตาอ่อนโยน ดอกโศกมองสบตา
สองคนต่างนิ่งงันกันไปสักครู่ อัศนัยกลบเกลื่อนด้วยการพูดเสียงดังขึ้น
อัศนัยตบหัว “ตั้งใจเรียน เรียนเก่งดีกว่าเรียนไม่เก่งนะ”
ดอกโศกยิ้มจนตาหยี “ความรู้ใหม่”
อัศนัยหัวเราะ เอื้อมมือมาเปิดประตูให้
จังหวะนั้นดอกโศก จ้องมองอีก ใบหน้าอัศนัยใกล้เหลือเกิน อยู่แค่เอื้อมตรงนี้เอง
ประตูเปิดออก ดอกโศกลงมา แล้วชะงัก เห็นเพ็ฯตระการยืนอยู่ไกลๆ มองจ้องมา
รถอัศนัยแล่นออกไป ดอกโศกเดินช้าๆ ไปหาอุ๊ อัศนัยไม่เห็น
“ไหนบอกว่าไม่ได้นัดกัน” อุ๊ถามเสียงเข้ม แต่เบา
“ฉันพูดจริง”
“ไม่จริง” อุ๊ตวาดเสียงหายไปในคอ “คนอย่างเธอมันน้ำนิ่งไหลลึก ทำเป็นสงบเสงี่ยมที่แท้เจ้าเล่ห์...เจ้ามารยา เหมือนยายเธอที่เจ้ามารยายั่วยวนคุณตาฉัน”
ดอกโศกตะลึง ฟังอย่างสงบ
“ฉันเกลียดเธอ เธอตัวมารเหมือนที่ยายเธอน่ะเป็นตัวมารของคุณยายฉันต่อไปนี้อย่าหวังจะอยู่สุขสบาย ฉันจะทำทุกอย่างให้เธออยู่แบบไม่มีความสุข ให้ทุกข์ทรมานที่สุดจนเธอทนไม่ได้เลย...คอยดู”
อุ๊ประกาศสงครามชัด ดอกโศกจ้องมองอุ๊ สายตาเข้มขึ้นแต่ไม่โต้ตอบอะไร
“อย่าหวังจะมีความสุขทนได้ทนไป”
เย็นวันนั้นดอกโศก ขึ้นไปทำความสะอาดห้องนอนเพ็ญตระการ จะอดทนอย่างที่สุด วันสุดท้ายแล้ว ดอกโศกนึกในใจ
ดอกโศกทำความสะอาดไปเรื่อย แต่อุ๊กำลังอาละวาดให้ห้องสกปรก เหวี่ยงโน่นนี่นั่น เทน้ำ เทน้ำหวานลงพื้น สีหน้ายิ้มหยันด้วยความสะใจ
ดอกโศก ยืนมองแบบอ่อนใจ แต่ก็ทำต่อไปเรื่อยๆ จังหวะหนึ่ง อุ๊ขยับผ้าคลุมเตียง แยกออกมากอง เหวี่ยงหมอนไปอีกทางหนึ่ง
“ฉันทำแล้ว” ดอกโศกบอก
“ทำแล้วเหรอ ทำไมมันยังยุ่งอยู่ล่ะ...เธอทำยังไง”
“ไม่เป็นไรเดี๋ยวฉันทำใหม่”
“เธอจะไม่ทำใหม่ได้ไง...” อุ๊โยนของไปพูดไป “ฮะ จะไม่ทำได้ไง” โยนอีกชิ้น “เธอก็ต้องทำ เฮอะ...ต้องทำสิ”
ระหว่างนั้นเฉลยโผล่เข้ามา ของบางอย่างโดนตัวเข้าจังๆ
“คุณอุ๊...อะไรคะนี่”
“ไปให้พ้น...” อุ๊ตวาด ปาอะไรไปอีกอย่างใส่ “ไป๊”
“คุณอุ๊ทำอะไรเนี่ย คุณอภิรมย์เขาทำเสร็จหมดแล้ว เหลยเห็น” เฉลยว่า
“งั้นเหรอ...เห็นเหรอ....ก็ฉันทำให้เห็นจะไม่เห็นได้ไง”
อุ๊อาละวาดสุดขีด ดอกโศกยืนมองนิ่งๆ
“พอเถอะคุณอุ๊” เฉลยบอก
“ไป” อุ๊ชี้มือไปทางประตู “แกไปจากห้องฉันเดี๋ยวนี้”
ดอกโศกมองเฉลยเป็นเชิงบอกให้ไป เฉลยออกไป
“เธอออกไปด้วยอุ๊” ดอกโศกบอก
“ทำไมนี่มันห้องฉัน”
“ฉันจะทำได้ยังไงถ้าเธอยังอยู่”
“เธอต้องทำตอนที่ฉันยังอยู่”
ดอกโศกมองจ้องเพ็ญตระการนิ่งๆ
“ทำไป....ทำ.....เข้าใจมั้ย ทำ” อุ๊เดินเข้ามาผลักตัว
ดอกโศกยืนหน้าอดกลั้นอยู่สักครู่ แล้วตั้งตนทำงานต่อ อุ๊ยังอาละวาดโยนโน่นนี่
“พอเถอะอุ๊ อย่างนี้ทั้งคืนก็ไม่เสร็จ” ดอกโศกว่า
“ไม่ต้องเสร็จ...ทำไปจนกว่าแกจะตาย” อุ๊พูดเน้นเสียงตรงคำว่าแก...เปลี่ยนสรรพนามเรียกดอกโศกอย่างเหยียดหยามด้วยประโยคนี้
ดอกโศกอึ้ง หยุดกึก สองคนจ้องหน้ากัน
สีหน้าดอกโศกหมองลง..หมองลง แล้วจึงหันหลังให้อุ๊ รู้สึกเศร้ามากจนน้ำตาคลอ อุ๊มองไม่ละสายตาทั้งเกลียดและทั้งไม่สบายใจ
ระหว่างนั้นเฉลยเดินเข้ามาพอดี “คุณอุ๊ ท่านให้หา”
อุ๊ นิ่งงันไปอึดใจหนึ่ง แล้วปรี๊ดแตกทันทีปราดเข้าหาเฉลย
“แกไปฟ้องคุณตาใช่มั้ย เหลย นี่แน่ะ” โผเข้ามาผลักตัวเฉลยไปมา “แกคนปากบอนแกคิดว่าคุณตาจะว่าชั้นเหรอ ฮะ...จะบอกให้ไม่มีวัน คอยไปเถอะ...ใช่มั้ยแกฟ้องใช่มั้ย”
“ใช่ค่ะ” เฉลยบอก
อุ๊ เงื้อมือสุดมือกำลังจะฟาดลงมา ดอกโศกจับมือทันที อุ๊ หันไปแล้วสะบัดออกโดยแรง แต่ไม่หลุด ดอกโศกยังจับอย่างแน่นเหนียว
“ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้” อุ๊ตวาด
“ถึงเขาจะเป็นคนใช้แต่เขาเป็นผู้ใหญ่”
“ปล่อย...ปล้อย...ปล่อยเดี๋ยวนี้ แก...” อุ๊อาละวาด ทั้งสะบัดทั้งฟาดฟันอย่างรุนแรง “ปล่อยฉันนะ อย่ามาจับฉัน มือสกปรก ฉันเกลียดแก”
ดอกโศกปล่อยแบบเหวี่ยงตัวอุ๊ไปด้วย อุ๊ถลาไปนั่งกองกับพื้น
“คิดให้ดีๆ ว่าทำถูกรึเปล่า” ดอกโศกเดินไปอย่างรวดเร็ว
อุ๊ เจ็บใจแค้นใจจนน้ำตาคลอ ส่งเสียงสะอื้นออกมาแรงๆ
เฉลย ยืนมองเฉยๆ สักครู่ อุ๊จะลุก เฉลยเข้ามาช่วย แต่อุ๊ตวาดสุดเสียง
“อย่ามายุ่งกะชั้น แกอีนกสองหัว”
เฉลยถอยไป “ท่านรอคุณอยู่” เฉลยเดินหนีไป
อุ๊ สะอึกสะอื้น ร้องไห้แล้วซมซานออกไป
อุ๊เดินหน้าตั้งมาที่สนามหน้าบ้าน สีหน้าแค้นใจฝังอยู่จนเต็มหัวใจ “แก...” กัดฟันพูดในคอ “อีดอกโศก อีตัวมาร...”
สุดเขตมองเห็นแต่ไกล สีหน้าเพ่งมองหลาน พินิจ พิจารณา เห็นอาการสีหน้านายพลชราเครียดจัด
อุ๊มายืนตรงหน้า นัยน์ตาตก กัดฟันแน่น สะอื้นนิดๆ สุดเขตเดินเข้าหากอดไว้เต็มอ้อมแขน
“คุณตา” อุ๊สะอื้นเต็มแรง
“พาตาเดินออกกำลังหน่อยนะลูก”
อุ๊ กอดคุณตาแน่น เดินไปกับคุณตา ท่าทีอุ๊ยังหมองๆ คุณตารู้ใจหลานดี
สองตาหลานมานั่งที่เก้าอี้ตัวหนึ่ง สุดเขตโอบไหล่หลานไว้ ตบเบาๆอย่างปลอบโยน
“คุณตาขา...คุณตาไม่ว่าอุ๊ใช่มั้ยคะ”
“ถ้าตาไม่รัก ตาจะไม่ว่าอะไรเลย”
“คุณตา...” อุ๊เสียงแผ่วลงไป “ทำไมคะ”
“เพระอุ๊ผิด”
อุ๊นิ่งงันรู้ตัวดี
“รู้ตัวใช่มั้ยว่าผิด ทุกสิ่งที่อุ๊ทำมันไม่ถูกต้องเลย ตารู้ว่าอุ๊ไม่ชอบเขาแต่ไม่น่าจะทำกับเขาถึงอย่างนั้น”
“เหลยฟ้องว่าไงมั่งคะ” เพ็ญตระการไม่รู้สำนึก
“อุ๊” สุดเขตเสียงเข้มขึ้น “เราทำยังไงเขาก็บอกตาอย่างนั้น ก่อนทำทำไมไม่คิด”
อุ๊กัดฟันแน่น
“เห็นมั้ยว่าในที่สุดใจเราก็ร้อนเสียเอง ร้อนเพราะเกลียด เพราะโกรธเขา ดับไฟในใจเสียเถอะลูก ตาหวังว่าอุ๊จะไม่ทำผิดอีก” สุดเขตสั่งสอนหลานสาว
“คุณตาเกลียดอุ๊แล้วใช่มั้ยคะ”
“ตารักอุ๊ยังก็ยังรักอย่างนั้นไม่เปลี่ยนแปลง รักอุ๊ตั้งแต่วันแรกที่ตาเห็นหนู...อุ๊เพิ่งเกิดได้วันเดียว มองอุ๊คิดในใจว่านี่คือเลือดเนื้อเชื้อไขของตา”
อุ๊สะอื้นแรงๆ
ห้องคุณตา เป็นทั้งห้องสมุดและห้องทำงาน
ขึ้นภาพอุ๊ เด็กทารก เด็กโตขึ้นหน่อย จนเป็นสาว อยู่ในอัลบั้ม
คุณตา มองจ้องหลาน อุ๊มองรูปภาพทุกรูป
“ดอกโศกเขาก็เลือดเนื้อเชื้อไขของคุณตา”
สุดเขตตอบเร็วเหมือนเตรียมคำตอบไว้แล้ว “ใช่ แต่ตาไม่มีวันรักดอกโศกเท่าอุ๊”
“จริงหรือคะ คุณตา”
“จริง อุ๊เป็นหลานของตาตั้งแต่วันแรกที่หนูเกิดจนถึงวันนี้ ดอกโศกเขาเพิ่งมาเป็นหลานตาตอนเขาโตแล้ว”
อุ๊ฟังอย่างตั้งใจ แต่สายตาลึกๆ ยังคลางแคลง
“ความรักต้องใกล้ชิด ความใกล้ชิดต้องการเวลา จำไว้นะลูก”
แต่แล้วเพ็ญพักตร์ กับบอกสิ่งที่ตรงข้ามกับที่สุดเขตพูดเมื่อครู่
“อุ๊ไม่เชื่อคุณตาหรอก คุณแม่เชื่อมั้ยคะ”
“ไม่...แม่ไม่มีวันเชื่อ คุณตากำลังหลงมัน แรกๆ ก็สงสาร ต่อมาก็รักมันจริงๆ แม่เชื่อว่าคุณตารักมันมากกว่าอุ๊”
อุ๊สีหน้าบิดเบี้ยว ใจร้อนรุ่มเพราะความอิจฉาล้นอก “แล้วอุ๊จะทำยังไงล่ะคุณแม่”
“จะทำอะไรกับคุณตาได้ล่ะลูก” เพ็ญพักตร์ทำเป็นพูดเรื่อยๆ เหมือนไม่สนใจ
“ไม่ได้ค่ะ”
สีหน้าอุ๊ โกรธ ลึกๆ ในใจคั่งแค้นหนัก
“คุณแม่เล่าเรื่องยายมันแม่มันให้อุ๊ฟังอีกครั้งสิคะ”
ในห้องเรียนวันต่อมา ทั้งห้องคอยครูที่ยังไม่เข้า มีเล่นกัน คุยกัน หัวเราะต่อกระซิก
ดอกโศก กำลังดูหนังสือและคุยกับเจนนิเฟอร์ เพ็ญตระการเดินเข้ามา ก๊วนเพื่อนตาม มายืนหน้าห้อง มองจ้องมายังดอกโศก
เพื่อนคนอื่นไม่เห็น ดอกโศกก็ไม่เห็น
“ดอกโศก” อุ๊พูดขึ้นเสียงดัง
เพื่อนๆ หันมามองเป็นตาเดียว เสียงกระซิบถามกันว่าเรียกใคร ดอกโศกจ้องมองหน้าอุ๊
“เค้าชื่อดอกโศก อภิรมย์ฤดีนั่นคุณตาฉันมาตั้งให้ทีหลัง อ้อ ความจริงก็เป็นคุณตาเค้าด้วย เพราะยายเค้าเป็นเมียน้อยคุณตาฉัน เป็นคนใช้ในบ้าน แล้วเขยิบฐานะเป็นเมียน้อยหรือสมัยนั้นเขาเรียกว่า นางบำเรอ” เพ็ญตระการแฉข้อมูลที่ฟังมาจากแม่เมื่อคืน
เพื่อนๆ งง
อุ๊เสียงเหมือนพูดเรื่องธรรมดา “ต่อมายายเค้าก็ทนไม่ได้ เพราะคุณตาแก่แล้วเลยไปมีชู้ออกจากบ้านไปอยู่กับชู้ เอาแม่เค้าไปด้วย ตอนนั้นแม่เค้าอายุ 2 ขวบ”
“เพ็ญตระการ....พูดทำไมเนี่ย” เจนนิเฟอร์ฉุน
“หยุด” อุ๊ตวาด “อย่ายุ่ง นี่มันเรื่องพี่น้อง”
“อ๋อ ยอมรับแล้วเหรอว่าเป็นพี่น้อง” เจนนิเฟอร์เยาะ
“มันก็ต้องเป็นช่วยไม่ได้ แล้วต่อจากนั้นเธอเล่าต่อได้มั้ยดอกโศกว่าแม่เธอเค้าเหลวแหลกยังไงถึงมีลูกตั้งแต่อายุ 16 หน้าตาเป็นฝรั่งแบบเนี้ย”
ดอกโศกจ้องมองอุ๊นิ่งๆ แบบกำลังระงับอารมณ์เต็มที่ น้ำตาเริ่มคลอ
เจนนิเฟอร์ทนไม่ไหว ปราดออกไปหาอุ๊ “ทุเรศ...พูดจาทุเรศ”
“แล้วเธอจะทำอะไรๆ ที่มันทุเรศกว่าล่ะ จะตบชั้นเหรอ” อุ๊ยั่ว
“เสียมือ หน้าเธอมันสกปรกกว่ามือชั้น ชั้นจะไปบอกมาแมร์” เจนนิเฟอร์เดินออกไป
“อย่าให้มันไป” อุ๊กร้าวพูดเสียงประกาศิต
เพื่อนอุ๊สองคนรวบตัวเจนนิเฟอร์ไว้ทันที เจนนิเฟอร์ดิ้นรน
“ว่าไง ดอกโศก ชีวิตเธอเนี้ยมันโศกจริงนะ ไม่งั้นยายเธอคงไม่ตั้งชื่อเธอแบบนั้น..ใช่มั้ย บอกความจริงเพื่อนมาเถอะ เราจะได้รู้กันไว้ไม่ต้องสงสัยกันอีกว่า เธอเป็นญาติของชั้นยังไง”
ดอกโศกน้ำตารินไหลออกมาทันที พูดอะไรไม่ออก
ริมน้ำเย็นวันนั้น ดอกโศกนั่งมองสายน้ำ สีหน้าเศร้าหมอง นัยน์ตาแดง จมูกแดงเพราะร้องไห้อย่างหนัก ระหว่างนั้นเสียงเพ็ญตระการยังดังก้องอยู่ในความคิด ทั้งเรื่องยายมีชู้ และเรื่องแม่ที่ยายเล่า
“ยายเป็นเมียน้อยคุณตาฉัน...คุณตาแก่เลยไปมีชู้...มีลูกตั้งแต่อายุ 16...ชีวิตเธอมันโศกจริงๆ ถึงมีลูกตั้งแต่อายุ 16”
เสียงนั้นดังก้องอยู่ในหูซ้อนทาบทับกันซ้ำไปซ้ำมา
นายพลสุดเขตมองออกไปหน้าต่าง เห็นดอกโศกอยู่ในกรอบสายตาคู่นั้น
“ให้ไปเรียกมามั้ยคะ ท่าน” เฉลยที่อยู่ด้วย ออกความเห็น
“ไม่ต้อง”
“คงโดนคุณอุ๊ทำอะไรซักอย่างที่โรงเรียน” เฉลยว่า
“คงใช่”
“ท่านไม่ปลอบ...” เฉลยแนะ
“บอกว่าไม่ต้องไงเหลยเอ๊ย” น้ำเสียงรำคาญ
“โธ่ ท่าน...” เฉลยครวญ
“มีเวลาอีกเยอะที่จะปลอบกัน” สีหน้าครุ่นคิด พึมพำเบาๆ “หลานชั้น มันแข็งแรงพอ..ฉันเชื่อ” พึมพำกับตัวเอง “อีนังยายมันแข็งขนาดไหนไม่มีใครรู้เท่าฉัน”
ห้องนอนดอกโศก คืนนั้น
ดอกโศกร้องไห้ สะอึกสะอื้น ขณะพูดโทรศัพท์กับอัศนัย
“ไม่...ไม่เป็นไรค่ะ คุณนัยไม่ต้องห่วง ดอกโศกทนได้..ทนได้จริงๆ ค่ะ เท่านี้ก่อนนะคะ” พูดไปร้องไห้มากขึ้น
เฉลยยืนมองสีหน้าเรียบๆ
ในห้องรับแขก อัศนัยคุยโทรศัพท์อยู่กับดอกโศก
“ดอกโศก อย่าเพิ่งวาง บอกคุณนัยมาเดี๋ยวนี้นะว่าร้องไห้ทำไม..ใครทำอะไร เดี๋ยวสิดอกโศก คุณนัยจะไปรับนะ พรุ่งนี้เช้า...” อัศนัยหงุดหงิดทางโน้นวางหูแล้ว “ดอกโศก”
ปรียากมลทำทีเป็นอ่านหนังสือ แต่ลอบฟังอยู่
อัศนัยไม่สบายใจเลย เดินมากระแทกตัวนั่ง หน้าขมวดมุ่นอยู่
ปรียากมลเข้ามาใกล้ๆ กอดเอวจากด้านหลัง แนบหน้ากับแผ่นหลัง..เงียบสักครู่แสดงด้วยกิริยาว่าเป็นห่วง “อัศนัย”
อัศนัยขยับตัวนิดหนึ่ง หันมา
“คุณห่วงเด็กคนนี้มากเกินไปแล้วนะ” ปรียากมลเอ่ยขึ้น
“คุณอยากพูดอะไร ฟังผมนะ ผมเห็นเด็กคนนี้มาตั้งแต่เขายังเด็ก ชีวิตน่าสงสาร...ผมสงสาร”
“น่าสงสารยังไง”
สีหน้าอัศนัย เหมือนจะบอก แต่กลับเปลี่ยนใจ
“เอาเถอะ...คุณอย่ารู้เลย ผมบอกได้แค่ว่าไม่มีใครที่ผมจะห่วงเท่าดอกโศก”
ปรียากมลหน้าเครียด
ขณะที่สุดเขตอยู่ในห้อง เฉลยเข้ามาบอกเรื่องดอกโศก
“ท่านคะ...ร้องไห้ใหญ่เลยค่ะ”
“เออ...แกไปเรียกเขามาหาฉัน”
เฉลยดีใจหยิบผ้าคลุมส่งให้ บอกว่า “อากาศเย็น” แล้วรีบออกไป สุดเขตคลุมผ้า
ระหว่างนั้นเสียงสุดสวยเรียกขึ้น “คุณพ่อขา”
“สุดสวย..ทำไมลูก”
“ลูกไอมาก...เจ็บคอด้วย คุณพ่อจะไปไหนลูกจะทานยาค่ะ”
“เดี๋ยวพ่อหยิบให้...มานั่งก่อนนะลูก เอ้า นั่งตรงนี้เอาผ้านี่ห่มไว้ก่อนนะ”
ดอกโศกเดินมาพอดี มองเข้าไปในห้อง เห็นภาพที่คุณตากำลังส่งยาให้สุดสวยกิน สุดสวยทานยาแล้วอ้าแขนให้คุณตากอด คุณตากอดปลอบประโลม สุดสวยซุกตัวในอ้อมแขนพ่อ หลับตาอย่างสุขใจ
ดอกโศกจ้องมองภาพแห่งความอบอุ่นนั้น จนรู้สึกสะท้อนใจ จึงค่อยๆ ถดตัวถอยออกมา
เวลาเดียวกันเพ็ญพักตร์ตรวจลายเซรามิกอยู่ในห้อง ในขณะที่ตระกูลเข้ามานวดบ่าให้
“จะขออะไร”
ตระกูลชะงักมือ สีหน้าตึง “คุณเพ็ญ”
เพ็ญพักตร์ ลุกขึ้นยืน หันขวับมา “ฉันรู้สันดานคนอย่างคุณ ไอ้กิริยาอย่างนี้ คือ อยาก...อยากได้อะไรอีกล่ะ...รถคันใหม่รึ”
“อย่าดูถูกผมมากนักเลย”
“เพราะฉันไม่เคยดูผิดไง...ใช่มั้ยล่ะ บอกมาสิ”
ตระกูล นิ่งไปนาน...มีศักดิ์ศรี แต่ครั้นไตร่ตรองแล้วเห็นแก่ได้มากกว่า “คุณเพ็ญ” เสียงเบาลง
“นั่นไง...” เพ็ญพักตร์หัวเราะเยาะ “ฉันดูถูกมั้ยล่ะ”
“ถ้าคุณไม่เชื่อความรักของผม...ก็โอเค ไม่ต้องพูดกันก็ได้” ตระกูลทำท่าจะเดินออกไป
“ให้ใคร..........เท่าไหร่”
“ผม...เสียม้า...ห้าแสน”
เพ็ญพักตร์ยิ้มหยัน “ฉันเซ็นเช็คไว้ให้คุณแล้วอยู่ในลิ้นชัก ไปกรอกเงินเอง..เช็คเงินสด ไม่ออกอยากเขียนชื่อคุณจะได้ไม่อายตัวเองว่าฉันซื้อคุณไว้เป็นผัว”
ตระกูลถอนหายใจ...นิ่งอึ้งไป “ไม่เป็นไร...คุณซื้อจริงๆ แต่เชื่อผมเถอะ...ว่าคุณซื้อได้เพราะว่า ผมรักคุณ” ตระกูลพูดพลางเข้ามากอดรัด
เมื่อสมใจแล้วตระกูลเปิดประตูออกมา เห็นอุ๊ยืนสีหน้าไม่ดีอยู่ตรงหน้า..รู้ว่าลูกได้ยิน
“คุณพ่อ”
ตระกูลอึ้ง “ได้ยินเหรอลูก”
อุ๊พยักหน้า “ค่ะ ...คุณพ่อเป็นจริงมั้ย...เป็นจริงมั้ยคะ”
“อะไรหรือลูก”
“ที่คุณแม่พูด..” อุ๊สะอื้นเฮือกแรงๆ ร่างสั่นสะท้าน “คุณพ่อ..ไม่ใช่ใช่มั้ยคะ”
ตระกูลนิ่งอึ้งพูดไม่ออก
“คุณพ่อ..” เพ็ญตระการร้องไห้ออกมาเต็มแรง “...คุณพ่อ ทำไม...ทำไมเป็นอย่างนี้ อุ๊ไม่เชื่อ....ไม่เชื่อ”
ขณะที่อุ๊พูดอยู่ ตระกูลตั้งสติรีบเข้าไปจับไหล่ “ฟังพ่อก่อน...ฟังพ่อ”
“ไม่...อุ๊ไม่ฟัง”
ตระกูลกอดลูกสาวเข้ามาเต็มแรง กอดให้รู้สึกตัว กอดให้เงียบ อุ๊สะอื้นจนตัวโยน แล้วค่อยๆ เงียบลง
เพ็ญพักตร์ยืนฟังอยู่ที่ประตู เสียใจลึกๆ ในหน้า
“อุ๊จะไปหาคุณตา” เพ็ญตระการเดินไปอย่างเร็ว
“อุ๊...อย่านะลูก”
เพ็ญพักตร์เปิดประตูออกมา หน้าเครียดจัด “ฉันนึกอยู่แล้วว่าต้องเป็นอย่างนี้ซักวัน เพราะคุณ...คุณเป็นพ่อที่ไม่ทำให้ลูกภูมิใจเลย” เพ็ญพักตร์ตามลูกสาวไป
ตระกูลฮึดฮัดหยิบโทรศัพท์กดโทร. ขณะเดินออกไป
“พี่เอง...กำลังจะไปหานะ...ทำไมน่ะหรือก็จะเอาเงินไปให้ไง...จะเอารถใหม่ไม่ใช่เหรอ....” น้ำเสียงหงุดหงิดใส่ปลายสาย
ดอกโศกยืนพิงฝาหน้าเศร้าอยู่ที่หน้าห้อง หันไปดูอีกที เห็นคุณตา ประคองสุดสวยที่หลับคอเอียงๆ ลงนอน
ดอกโศกจ้องมองนิ่งงัน แล้วหันหลังกลับอย่างเร็ว ชนกับอุ๊ จนเซไปทั้งคู่
“บ้าเหรอ เดินไม่เห็นคนรึไง” อุ๊แว้ดใส่
“ขอโทษ”
อุ๊พาลต่อ “ไม่ต้องขอโทษ...ไป๊ ไปให้พ้นหน้า”
“ไม่ต้องไล่หรอก จะไปเดี๋ยวนี้”
“ก็ไปสิ...ไปเร็วๆ มายืนขวางชั้นทำไม” ผลักอีก 2-3 ที “ไป๊...ไป...ไป”
คุณตาเดินออกมา “มีอะไรกันเสียงดัง”
อุ๊รีบโผเข้าไปหาคุณตา “คุณตา”
คุณตามองตามดอกโศกที่เดินก้มหน้างุดๆ ไป
“คุณตา อุ๊มีเรื่องจะเรียนคุณตา” อุ๊ส่งเสียงสะอื้นขึ้นมาอีก
ระหว่างนั้นเพ็ญพักตร์เดินมาเร็วรี่ “อุ๊ “ หันไปมองจ้องดอกโศก “มาอยู่ตรงนี้ทำไม”
“เปล่าค่ะ” ดอกโศกเดินไปแล้วหันไปดู
เห็นเพ็ญพักตร์พูดอะไรบางอย่างกับอุ๊ แต่อุ๊ไม่อยากฟัง เพ็ญพักตร์กอดอุ๊ไว้
ดอกโศกมอง สายตาหมองๆ ยืนแอบๆ อยู่
“อุ๊ กลับห้องกับแม่นะลูก”
“อุ๊จะบอกคุณตา” อุ๊ไม่ฟังที่แม่บอก
“แม่บอกให้กลับ...เชื่อแม่นะลูก”
อุ๊ นิ่ง เพ็ญพักตร์พาลูกกลับไป
จังหวะที่สุดเขตจะกลับเข้าห้อง เห็นดอกโศกอยู่ไม่ไกลจึงเรียก “มาหาตาซิ”
ดอกโศกเดินเข้าไปหา พนมมือไหว้
คุณตามองหลานที่ยืนจ๋องอยู่ตรงหน้า ท่าทางน่าสงสาร ใจอ่อน เข้ามาใกล้ ตบหัวเบาๆ 2-3 ที มองตาดอกโศกที่มองขลาดๆ
“อภิรมย์ฤดีตาขอให้เจ้าอดทน หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า พยายามไม่ให้เกิดเรื่อง ตารู้ว่าเจ้าไม่หาเรื่องใครก่อน เมื่อมีเรื่องมาถึงเจ้าหลบเสีย....หลบให้พ้น”
เสียงสุดสวยร้องหาพ่อดังลั่น “คุณพ่อ....คุณพ่ออยู่ไหน”
“พ่ออยู่นี่” สุดเขตหันหลังกลับไปอย่างรวดเร็ว
ดอกโศกยืนเคว้งอยู่...อย่างเดียวดาย
ตระกูลอยู่ที่คอนโดกับเมียน้อยนางนั้น ตระกูลวางเช็ค เมียน้อยคุกเข่าข้างเตียงกราบลงที่เข่าอย่างซาบซึ้ง
ตระกูลตบหัวเบาๆ “พี่อารมณ์ไม่ดี...ขอโทษนะ”
“พี่ใจดีที่สุด ขอให้พี่รวยๆ ค่ะ”
ตระกูลผุดสีหน้ายิ้มหยันตัวเอง
รุ่งเช้า อัศนัยนั่งมองประตูบ้านรัตนชาติพัลลภ อยู่ในรถ คอยดอกโศก
“ถามอีกครั้งได้มั้ยถ้าไม่รบกวนจิตใจคุณมากเกินไป” ปรียากมลพยายามจัดระเบียบอารมณ์ก่อนถาม
“ผมรู้ว่าคุณจะถามอะไร อย่าถามดีกว่า”
ปรียากมลสวนคำทันที “ทำไมคุณถึงวุ่นวายกับแม่ดอกโศกนี่เหลือเกิน”
อัศนัยนิ่ง ไม่ตอบ
“อัศนัย”
อัศนัยพยายามพูดดีด้วย “ปรียากมล คุณคือคุณ ดอกโศกคือดอกโศก คนละสถานะไม่เกี่ยวข้องกันเลย”
“ถ้าคุณจะให้เขาเป็นมากกว่าดอกโศกล่ะ” ปรียากมลอดคิดมากไม่ได้
“คุณหมายความว่ายังไง”
“คุณไม่โง่...เข้าใจแล้ว” ปรียากมล
“ผมไม่โง่ แต่ผมไม่มีจิตใจอกุศล”
“แน่นะ?”
ดอกโศกออกประตูมาพอดี รีบเดินมาหาอัศนัย ชะงักเมื่อเห็นปรียากมลอยู่ด้วย
“ดอกโศก” ปรียากมลเอ่ยทัก
ดอกโศกไหว้สองคน
ปรียากมลพูดต่อ “เรามารับไปโรงเรียน ขึ้นรถสิจ๊ะ”
“ค่ะ” ดอกโศกขึ้นรถเงียบๆ นิ่งฟังสองคนแย้งกันไปมา
“รีบกันแทบตาย ฉันยังไม่ทานอาหารเช้าเลย อัศนัยคุณเร่งฉันหายใจหายคอไม่ทัน”
“ผมบอกคุณแล้วไงว่าเราต้องรีบมารับดอกโศก”
“แหม...ก็ฉันตื่นสายไปหน่อย คุณไม่ปลุก”
ดอกโศกฟังคำพูดที่มีความหมายส่อไปทางนั้นอย่างสะท้อนใจ ยิ่งเมื่อมองเห็นปรียากมลแตะแขนอัศนัยอย่างสนิทสนม เอียงตัวเข้าไปใกล้ชิด
“เอ้า...ไป ซะที ดาร์ลิ่ง”
อัศนัยหันมาสบตาดอกโศกเต็มๆ สายตาเป็นห่วงมาก “ดอกโศก”
“คะ”
“เย็นนี้คุณนัยจะมารับ แล้วต้องเล่าให้คุณนัยฟังนะเรื่องเมื่อคืน”
เห็นอัศนัยพิรี้พิไร สีหน้าปรียากมลไม่ดีแล้ว
สุดเขตเรียกเฉลยมาพบในห้องทำงาน
“เหลย วันนี้ตามปกรณ์ให้ฉันด้วย”
เฉลยมีสีหน้าตื่นเต้น รู้ทันทีว่าเรื่องอะไร “ค่ะ ท่าน...ท่านจะ....จริงหรือคะ”
“ไม่ต้องตื่นเต้นขนาดนั้นเดี๋ยวก็หัวใจวายตายหรอกยายเหลย ฉันแค่จะเปลี่ยนอะไรนิดหน่อย”
ระหว่างนั้นสุดสวยวิ่งเข้ามา “คุณพ่ออออออ....ลูกมีเรื่องจะถามค่ะ”
“อะไรลูกพ่อ”
“ลูกจะถามอีกทีว่าคนชื่อดอกโศก เค้าดีมั้ยคะ” สุดสวยถามพาซื่อ
“เค้าเหมือนลูก”
สุดสวยฉงนนัก “เหมือนลูก?”
“ใช่ เค้าดีเหมือนลูกพ่อจ้ะลูก”
เย็นวันนั้น สุดเขตตามตัวปกรณ์ ทนายความประจำตระกูล อายุประมาณ 40 ปีมาพบ เฉลยพาปกรณ์มาพบสุดเขตที่หน้าตึก
ปกรณ์นั่งสงบเสงี่ยมอยู่ต่อหน้าสุดเขตแล้ว
“ปกรณ์”
“ครับท่าน”
“ที่เรียกมา เพราะมีเรื่องด่วนให้ทำ อยากรู้ว่าทำได้มั้ย”
เพ็ญพักตร์ยืนอยู่บนบ้าน มองลงไปในสนามเห็นทนายปกรณ์อยู่กับผู้เป็นพ่อคุยกันอยู่ สีหน้าสงสัยมากๆ
ยิ่งเมื่อเห็นปกรณ์โน้มตัวเข้าไปฟัง...แล้วจดตามในขณะที่สุดเขต พูด...พูด ปกรณ์จดยิก...จดเสร็จ คุณตาพูดต่อ ปกรณ์โต้ตอบบ้าง เพ็ญพักตร์ยังคงจ้องอยู่
“ฉันอยากให้เป็นความลับ” สุดเขตพูดเสียงแผ่วเบา
“ครับ ท่าน” ทนายปกรณ์รับคำ
สุดเขตพูดเสียงเข้ม ในประโยคต่อมา
“ฉันจะเปลี่ยนพินัยกรรม”
อ่านต่อหน้า 2
ดอกโศก ตอนที่ 9 (ต่อ)
บ่ายวันนั้นอัศนัยอยู่ที่ทำงานกำลังพลิกดูเอกสาร เป็นดีไซน์ลวดลายเซรามิกที่ถูกเลือกแล้ว
“ตกลงเราจะใช้ชื่อนี้ตามที่ประชุมเลือกไว้ ใครนะเจ้าของชื่อ” อัศนัยเงยหน้าขึ้นมาถาม
“เต้ยค่ะคุณนัย” เต้ย...หนึ่งในทีมนักออกแบบบอก
“โอเค ผมรู้ว่าเต้ยคงมีไอเดียโลโก้โรงงานใหม่แล้ว แต่วินก็ลองทำมานะ ถ้าของวินเขาโดนมากกว่าเต้ยโอมั้ย”
“โอค่ะคุณนัย วินเขารู้อยู่แล้วค่ะ”
“วิน...” อัศนัยหันไปทางวิน ทีมออกแบบ
“ครับคุณนัย ผมคิดแบบไว้คร่าวๆ แล้วครับ คุณนัยจะให้ทางมั้ยครับ”
“ไม่....เปิดฟรีทั้งสองคนทำมาให้เต็มที่ งานเซรามิกต้อง Create มากกว่างานเบญจรงค์เพราะไม่มีกรอบไม่มีรูปแบบ..ใช่มั้ย งานเบญจรงค์เราปรับแต่ยังต้องคงลายโบราณไว้ด้วยแต่เซรามิกมันฟรีกว่า”
“ครับ....หลักๆ ก็ดอกไม้ ใบไม้”
“คุณเพ็ญจะช่วยดูลายอย่างเดิมใช่มั้ยคะคุณนัย” เต้ยหมายถึงเพ็ญพักตร์
“ใช่ โอเค...สองคนไปทำงานต่อเถอะ”
ทั้งสองคนเดินออกไป อัศนัยลุกขึ้น หยิบกุญแจรถ
“ผมจะกลับเลยนะครับพี่บุรี”
“เชิญครับ”
“วันนี้วันสุดท้ายแล้ว ที่ผมจะกลับก่อนงานเลิก ขอโทษนะครับพี่บุรี”
เย็นวันเดียวกันนั้นอัศนัยจูงมือดอกโศกที่อยู่ในชุดนักเรียน เดินเข้ามาที่หน้าตึก
หม่อนรออยู่แล้ว ทักทายด้วยความคิดถึง “มาแล้ว...คุณหนู ไม่มานานจังป้าคิดถึงค่ะ”
ดอกโศกพนมมือไหว้แม่บ้านผู้อารี “หนูก็คิดถึงป้าหม่อนค่ะ”
“มา.....ล้างหน้าล้างตาก่อนทานขนม ป้าเตรียมไว้เยอะแยะ อยู่นานๆ นะคะวันนี้” หม่อนเชื้อชวน
อัศนัยถามย้ำขึ้น...เขาอยากรู้เช่นกัน “ดอกโศก ขออนุญาตคุณตาแล้วนะ”
“ขอแล้วค่ะ บอกว่าคุณนัยจะไปส่งค่ำหน่อย”
หมื่นเข้ามาอย่างไว “จัดฉากเสร็จแล้วแม่”
“ดีมาก...สวยแน่?” หม่อนถามลูกชายจอมทะเล้น
“แน่....ชัวร์....รับรอง”
อัศนัยสงสัย “ฉากอะไร”
ฉากที่หมื่นว่า เป็นฉากในสวนที่ถูกจัดแต่งอย่างสวยงาม มีดอกไม้ห้อยระย้าย้อยระโยงระยางอยู่ตามมุมสวน โต๊ะถูกปูทับด้วยผ้าผืนสวย เครื่องโต๊ะกระจุ๋มกระจิ๋มลวดลายดอกไม้สวยหวาน สดใสรับกันไปหมด
อาหารการกิน ขนม ทุกอย่างก็สวยงามเข้ากัน ขนมคัพเค้กน่ารักวางเรียบร้อย น่าทาน
หมื่นวางของชิ้นสุดท้ายลงคือ กาน้ำชาร้อนๆ
ดอกโศกหน้าชื่น มองทุกอย่างตรงหน้าอย่างประทับใจ
“เป็นไงคะ” หม่อนถาม
“ป้าหม่อนขา....สวยจังค่ะจะมีแขกพิเศษเหรอคะ”
“คนนี้แหละค่ะ คุณหนูป้านี้แหละค่ะแขกพิเศษ นั่ง..นั่งตรงนี้” หม่อนจับดอกโศกลงนั่งที่เก้าอี้
“หนูเหรอคะป้าหม่อน” ถาม...ไม่อยากเชื่อ
“ใช่ค่ะ” หม่อนว่าพร้อมรอยยิ้ม
หมื่นบอกออกมาพร้อมกันกับแม่ “ใช่ครับ คุณหนูแขกพิเศษของแม่มีคนเดียวในโลกนี้”
ดอกโศกไหว้ หัวเราะดีใจน่ารัก “ขอบคุณค่ะ”
อัศนัยเหล่มอง “แกล่ะหมื่น”
“ของหมื่นพิเศษยกกำลังสอง” หมื่นไถลไปได้อีก
ดอกโศกหัวเราะมากขึ้น
“พิเศษยกกำลังสามก็มีนะครับ” หมื่นว่า
ดอกโศกฉงน “ใครเหรอ?”
หมื่น หม่อน หัวเราะพร้อมกัน พยักเพยิดไปทางเจ้านาย แต่ไม่เล่นกับอัศนัย ยังเกรงอยู่บ้าง
“ดอกโศกนั่งเถอะ ทานขนมเสร็จ เล่าให้คุณนัยฟังว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อคืน” อัศนัยตัดบท
กลับจากโรงเรียนถึงบ้าน อุ๊วิ่งขึ้นบันไดอย่างรวดเร็ว เพ็ญพักตร์เดินลงมาพอดี สีหน้าฉงนในอาการลูกสาว
“เป็นอะไรอุ๊”
“อานัยไปรับแม่นั่นค่ะ คุณแม่”
“แล้วเป็นยังไงล่ะลูก”
อุ๊ พิงราวบันได ก้มหน้านิ่งอยู่สักครู่ เงยหน้ามองแม่ตรงๆ
“อุ๊....หนูชอบเขาเหรอลูก” เพ็ญพักตร์นึกรู้ทันที
อุ๊พยักหน้านิดๆ สีหน้าหมอง “แต่เค้าไม่ชอบอุ๊หรอกค่ะ เค้าชอบดอกโศก”
“เขาผูกพันกับมันตั้งแต่มันเป็นเด็ก แต่เค้าอาจไม่ได้รักมันหรอก เขาก็เห็นมันเป็นเด็กอยู่นั่นแหละ”
สีหน้าเพ็ญตระการไม่ดีขึ้น
“ไม่เป็นไรลูกยังมีเวลาอีกนาน หนูยังไม่โต..อย่าเพิ่งคิดเรื่องอย่างนี้ รอก่อนถึงเวลา ถึงอายุแล้วค่อยคิด..” เพ็ญพักตร์โอบลูกสาวพาเดินขึ้นบันได “รักใครสักคนไม่แปลกหรอกลูกเพราะความรักเป็นสิ่งสวยงามนะลูก”
สองแม่ลูกเดินเคียงกันไป มีเสียงอุ๊ ดังแว่วๆ มา
“อายุเท่าอุ๊มีความรักไม่ได้เหรอคุณแม่...ทำไมคะ”
ส่วนที่บ้านอัศนัยเวลานั้น อัศนัยตักขนมให้ดอกโศก สองคนทานขนม บรรยากาศสวยงาม รื่นรมย์
ความสุขนานๆในชีวิตดอกโศก ฉาบไปทั่วบริเวณ ดอกโศกเล่าเรื่องอุ๊ให้อัศนัยฟัง อัศนัยฟังตั้งใจ
ดอกโศกเล่าถึงประโยคสุดท้ายพอดี
“จบแล้วค่ะ”
“โกรธอุ๊มากมั้ย” อัศนัยถาม
“เป็นบางเวลา อุ๊แกล้งมากๆ ดอกโศกโกรธ แต่พอผ่านไปแล้วก็หายค่ะ”
“ทั้งอุ๊ทั้งสุดสวยเขาแกล้งดอกโศกอยู่เรื่อยๆ ตั้งแต่ดอกโศกเป็นเด็ก ไม่โกรธไม่เกลียดสะสมมาถึงเดี๋ยวนี้เหรอ” อัศนัยนึกสงสัย
“ถ้าดอกโศกโกรธเกลียดสะสมมาถึงเดี๋ยวนี้ดอกโศกคงเป็นบ้า....วันนี้คุณนัยต้องไปเยี่ยมที่โรงพยาบาลแล้วค่ะ”
เจอแบบนี้อัศนัยหัวเราะเสียงดังมาก กระทั่งนกที่เกาะกิ่งไม้อยู่บินพรูหนีไป
ดอกโศกเย้า “เสียงดัง...นกบินไปแล้วเห็นมั้ยคะ”
“เดี๋ยวก็มา”
“ไม่มาหรอก”
“ทำไมไม่มา ที่นี่เป็นบ้านเดี๋ยวเขาก็กลับมา” อัศนัยบอก
ได้ยินคำว่าบ้าน...ดอกโศกก้มหน้านิ่งไปครู่ เงยหน้าสบตาอัศนัย มีน้ำตาจางๆ แล้วรีบปั้นหน้ายิ้มหัวเราะกลบเกลื่อน
อัศนัยใจหายวูบ รู้ว่าดอกโศกเป็นอะไร
“ดอกโศก...สัญญากับคุณนัยว่าถ้า....วันหนึ่ง ดอกโศกไม่ได้อยู่บ้านคุณตาแล้ว ดอกโศกจะมาอยู่กับคุณนัย...อยู่ที่นี่”
“คุณนัยจะให้ดอกโศกเรียกที่นี่ว่าบ้านเหรอคะ”
ฟังที่ย้อนถามมา อัศนัยรู้สึกสงสารดอกโศกมาก อัศนัยลุกขึ้นส่งมือให้ดอกโศกคิดอยู่อึดใจ ก่อนจะวางมือลงที่มืออัศนัย อัศนัยจูงพาเดินไป...ช้าๆ
อัศนัยพูดเสียงหนักแน่น “ใช่...ที่นี่เป็นบ้านดอกโศก จำไม่ได้เหรอ ดอกโศกวิ่งเล่นตรงนี้ตั้งแต่อายุเท่าไหร่เอ่ย”
เสียงหัวเราะของเด็กหญิงดอกโศกดังแว่วๆ มา พร้อมภาพอดีตแสนสุขครั้งยังเด็กผุดขึ้นมาในความคิดทั้งคู่
ดอกโศกวิ่งไล่หมื่น หมื่นวิ่งหนี แต่แกล้งให้จับได้ ดอกโศกจับได้ เอากิ่งไม้ตีไล่หมื่น หมื่นวิ่งหนีต่อไป
หม่อนยืนโหวกเหวกอยู่ข้างสนาม บอกให้หยุดเล่นได้แล้ว
ดอกโศกวิ่งตามหมื่นต่อ หัวเราะร่าเต็มใบหน้า แล้ววิ่งพรวดไปที่อัศนัยกระโจนเข้าหา อัศนัยรับไว้ในอ้อมกอด ดอกโศกหัวเราะร่ากับอัศนัย จังหวะหนึ่งถูกอัศนัยจับเหวี่ยงไปมา
อัศนัยส่งแก้วน้ำให้ ดอกโศกดูดน้ำจากหลอดเต็มแรงกระหาย เสียงดังอึ้ก....อึ๊ก แล้วหยุดอ้าปากหายใจแรงๆ เหนื่อย เสียงหมื่นเรียก ดอกโศกออกวิ่งต่อไปอย่างร่าเริง
สองคนเดินมาเงียบๆ ในบรรยากาศสงบ สวนสวยเขียวชอุ่ม ดอกโศกชำเลืองดูอัศนัย เห็นอัศนัยหน้าตาเป็นสุขใจ ดอกโศกเริ่มหวั่นไหว
อัศนัยเหลียวมาสบตา ดอกโศกหลบวูบ อัศนัยยิ้มเอ็นดู
“ต้นจำปี....” ดอกโศกทำท่าสูดดมกลิ่น “หอม”
“จำได้มั้ยที่ต้นจำปีเนี่ย”
ภาพในอดีตผุดขึ้นมาในความคิดสองคน ครั้งนั้นดอกโศกป่ายปีนอยู่บนต้นจำปี หม่อนชี้ให้เก็บดอกนั้น ดอกนี้ หมื่นอยู่บนต้นแล้วช่วยอยู่ด้วยคอยดูแลดอกโศก
ดอกโศกปีนป่ายเก็บจำปีใส่ถุงผ้าที่ผูกไว้ที่เอวอย่างสนุก จังหวะหนึ่งทำท่าแกล้งตก หม่อนร้องกรี๊ดกร๊าด กำชับให้หมื่นคอยดู
หมื่นละล้าละลังตัวเองก็จะตกไปด้วยแล้ว
อัศนัยร้องบอก “ดอกโศก...ลงได้แล้ว”
ดอกโศกไม่ยอม “ยัง”
อัศนัยหันไปสั่งบ่าวทะเล้น “ไอ้หมื่น...เอาลงมาเดี๋ยวนี้”
“ไม่ลง” ดอกโศกบอกคำเดิม
“ดอกโศก...ลง” อัศนัยสั่ง
ดอกโศกไม่ยอม “ไม่...”
“คุณหนู...ลงครับ”
หมื่นเดินเข้ามาหาดอกโศกหนี กิ่งไม้ที่ยืนอยู่หัก ทั้งคนทั้งกิ่งไม้ลอยคว้างลงมาเบื้องล่าง อัศนัยตกใจวิ่งเข้าไปรับแต่ไม่ทัน ดอกโศกตกถึงพื้นก่อน
อัศนัย หม่อนและหมื่น เรียกชื่อ “ดอกโศก” / “คุณหนู” เสียงหลง
อัศนัยติดดอกจำปีที่ผมดอกโศก แล้วปล่อยให้ตกมาเคลียแก้ม
“ดีว่าตกบนพื้นนุ่มๆ จำได้รึเปล่า”
“จำได้แต่พี่หมื่นโดนดุใหญ่เลย”
สองคนนึกถึงเหตุการณ์ในอดีต ขึ้นมาพร้อมกัน
วันนั้นอัศนัยอุ้มเด็กหญิงดอกโศกเดินพรวดๆ กลับเข้าตึก ปากก็เอ็ดหมื่นเสียงดัง
“ไอ้หมื่นให้ดูแค่นี้แกดูยังไงวะ บอกแล้วให้คอยระวังๆ ฮะ แก...มานี่จะไปไหน ขอซักทีเหอะ”
ดอกโศกร้องไห้จ้า ช่วยหมื่นให้อัศนัยละมาสนใจตัวเอง
ดอกโศกและอัศนัยดึงตัวเองกลับมา
“จำไม่ได้...จำได้แต่วันนั้นเด็กหญิงดอกโศกร้องไห้ดังลั่นเป็นครั้งแรกที่เห็นร้องเสียงดังทุกทีร้องเงียบๆ”
“ไม่งั้นพี่หมื่นโดนเตะ” ดอกโศกพูดขึ้นมาลอยๆ
“อ๋อ...อย่างนี้นี่เอง” อัศนัยหัวเราะเสียงดัง จับจมูกดอกโศกบิดเบาๆ
“ม่ายเอาค่ะ” ดอกโศกเบนหัวหนี “….บีบเงี้ย...แบนหมด”
อัศนัยเหนี่ยวคอดอกโศกมากอดไว้หลวมๆ พากันเดินไป
“อย่างนี้ยังจะไม่คิดว่าบ้านนี้เป็นบ้านของดอกโศกอีกหรือ” อัศนัยถามขึ้น
“คิดไม่ได้ค่ะ”
“ทำไม”
“เพราะ.......คนที่คิดมีแล้ว” ดอกโศกตอบเสียงแผ่ว ในใจหมายถึงปรียากมลนั่นเอง
ระหว่างนั้นปรียากมล เลี้ยวรถเข้ามาจอดที่หน้าตึกอย่างแรง ใบหน้าสวยที่ใส่แว่นดำใหญ่ เหลียวมองหา เหมือนจะเห็นอัศนัยแล้ว
อัศนัยยืนคุยอยู่กับดอกโศกที่เดิม
“ไม่มี” อัศนัยปฏิเสธ
ดอกโศกบ่นอุบอิบ ไม่เชื่อ “ไม่จริงค่ะ”
“อ้อ....เดี๋ยวนี้พูดไม่เชื่อแล้วเหรอ”
“ก็มีนี่”
“มีก็คือคนนี้ คนที่คุณนัยห่วงใยตลอดมา คนที่คุณนัยอยากให้ยิ้ม...อยากให้หัวเราะ...อยากให้มีความสุข ไม่อยากเห็นน้ำตาไม่อยากเห็นร้องไห้อีกเลย”
ดอกโศกน้ำตาคลอเต็มตา
อัศนัยแตะเชยคางขึ้น “คนที่จะคิดได้ว่าบ้านนี้เป็นบ้านของใครมีคนเดียว”
น้ำตาดอกโศกจวนเจียนจะหยดออกมาแล้ว
“อัศนัย”
อัศนัยเหลียวไปมอง ปรียากมลเดินเร็วรี่ ตรงเข้ากอด จูบแก้มอัศนัยตามปกติ แต่ครั้งนี้จงใจ โดยมีดอกโศกอยู่ระหว่างกลาง
ปรียากมลจูบแล้วนิ่งอยู่อึดใจ อัศนัยมองไปที่ดอกโศก เป็นจังหวะเดียวที่น้ำตารินไหลหยดลงพอดี สองหัวใจสบตากันเต็มๆ
สายตาดอกโศก บ่งบอกความรู้สึกในหัวใจออกมาเต็มๆ อัศนัยใจหาย รับสารนั้นเต็มที่
ปรียากมลหันมา “อ้าว ดอกโศก เป็นอะไรจ๊ะร้องไห้ทำไม”
ดอกโศกไหว้ “เปล่าค่ะ”
“อัศนัยทำอะไร...พูดให้เสียใจเหรอ ดูสิ...” ปรียากมลหยิบทิชชูส่งให้ดอกโศก “เช็ดน้ำตาซะ” ก่อนจะหันไปหยิกแขนอัศนัยเบาๆ “ไหนว่ารัก ‘เหมือนลูกเหมือนหลาน’ มาทำให้น้ำตาไหลได้ไง”
ปรียากมลจงใจเน้นคำเตือนดอกโศกในที
ดอกโศกค่อยๆ ถอยห่างออกมา เสียงอัศนัยยังคงโต้ตอบกับปรียากมล ดังแว่วๆ ตามมา ดอกโศกเดินตรงไปข้างหน้า น้ำตาเต็มตา ใช้มือปาดอย่างแรงๆ
ดอกโศกใส่รองเท้านักเรียนอยู่หน้าตึก วางรองเท้าแตะที่ใส่เมื่อครู่ไว้ข้างๆ
“รอคุณนัยก่อนคุณหนู” หม่อนเอ่ยขึ้น
“หนูกลับเองได้ค่ะป้าหม่อน คุณนัยมีแขก”
หม่อนถอนหายใจแรงๆ ไม่พอใจปรียากมลเสียเลย “ไอ้หมื่น ไปเอารถมาพาคุณหนูไปส่ง”
“ทันทีแม่” หมื่นเตรียมเผ่น แต่ต้องชะงักกึก คาที่ เจออัศนัยเดินมาพอดี และกำลังมองมา
“จะไปไหน”
“ไปเอารถครับ”
“เอาไปไหน”
“ไปส่ง” หมื่นเริ่มจ๋อย รู้อารมณ์นายเป็นอย่างดี
อัศนัยคาดคั้น “ส่งใคร”
“ส่งคุณหนูครับ”
“ใครสั่ง”
“อา....” หมื่นทำท่าทางโล่งอก “ถามอย่างนี้ตอบได้เลยครับ แม่สั่งครับ” ก้าวพรวดออกไปเอารถทันที
อัศนัยมองมาทางหม่อน ตำหนินิดๆ หม่อนทำท่าเฉยๆ
“ดอกโศก....ไป..กลับบ้าน”
“ไป...ดอกโศก ฉันไปส่งเธอด้วยจะได้รู้จักคุณตาของเธอ” ปรียากมลตามมาบอกขึ้นอีกคน ให้รู้ว่าจะไปด้วย
ดอกโศกมองอัศนัย ละล้าละลัง
“ไปสิ...” อัศนัยหันไปพูดกับปรียากมล “ต่อจากนั้นคุณจะไปไหนนะปรียากมล”
ปรียากมลฉุน สีหน้าไม่สู้ดีแล้ว “ฉันบอกคุณแล้วแต่ไม่สำคัญหรอก”
ระหว่างนั้นหมื่นเอารถมาจอดให้ ส่วนหม่อนถือถุงใส่ขนมห่อเรียบร้อยส่งให้ดอกโศก ถุงใหญ่พอสมควร
เสียงหม่อนเอ่ยขึ้นเบาๆ “ฝากให้คุณตา”
“คุณนัยถือให้...เดินดีๆ” อัศนัยคว้ามาถือเอง จูงมือดอกโศกท่วงทีแบบสบายๆ พาไปที่รถเปิดประตูให้ส่งขึ้นรถ จังหวะนั้นชายกระโปรงดอกโศกห้อยลงมาข้างๆ อัศนัยก็ก้มลงจับขึ้นไปให้อย่างเรียบร้อย พลางตบหัวเบาๆ แล้วปิดประตู
“เอ้าคุณขึ้นรถสิครับ” อัศนัยหันกลับมาทางปรียากมลยืนอยู่
ตลอดเวลาปรียากมลมองจ้อง สายตาใคร่ครวญครุ่นคิด
“เปลี่ยนใจแล้ว...ฉันจะคอยคุณอยู่ที่นี่” ปรียากมลว่า
อัศนัยคิดอยู่อึดใจจึงบอก “โอเค” ก่อนจะเดินไปเปิดประตู พูดเสียงเบาๆ กับดอกโศก
อัศนัยเปิดประตูให้ดอกโศกขึ้นนั่งเคียงที่เบาะข้างหน้า
ปรียากมลจดจ้อง มองอากัปกิริยาของสองคน
เห็นในรถ อัศนัยขึ้นมาโน้มตัวไปใส่เข็มขัดให้ดอกโศก ขณะที่ดอกโศกเองก็กำลังจะหยิบรัดด้วยตัวเองอยู่แล้วไม่ใช่นั่งคอย ดอกโศกไหว้ขอบคุณ
ปรียากมลเห็นภาพนั้นหมดทุกอย่าง
“ทางผ่านโบสถ์คุณพ่อ คุณนัยพาแวะเยี่ยมคุณพ่อนะ”
อัศนัยบอกแล้วขับรถแล่นออกไป
ปรียากมลกดโทรศัพท์หาใครคนหนึ่งทันที
“คุณตระกูล....ทานเหล้าเป็นเพื่อนฉันได้ไหม?”
หม่อนได้ยินเต็มสองหู
อ่านต่อหน้า 3 พรุ่งนี้
ดอกโศก ตอนที่ 9 (ต่อ)
อัศนัยกับดอกโศกเดินเข้าไปหาคุณพ่ออันโตนิโยในโบสถ์ ดอกโศกพนมมือไหว้คุณพ่ออย่างนอบน้อม คุณพ่อยิ้มแย้มชวนพูดคุย
ดอกโศกยิ้มแย้มอย่างน่ารัก พูดโต้ตอบ บางจังหวะถามไถ่ อัศนัยชำเลืองมองภาพนั้นด้วยสายตาลึกซึ้ง
จังหวะหนึ่งดอกโศกชำเลืองสายตามาทางอัศนัย แล้วค้อนนิดๆ แบบงอนๆ อัศนัยใจวูบ หวั่นไหว มีข้อความบางอย่างที่ต้องอ่านจากสายตาคู่นั้น
เวลาต่อมา สีหน้าอัศนัยนิ่งใจวูบหวั่นไหว นั่งอยู่ห่างออกไปหน่อย ส่วนดอกโศกก้มหน้าสวดมนต์
นิ้วมือของดอกโศกพนมมือไหว้พระ แปลกต่างสุดขั้วกับมือเรียวงามของอีกคน
เวลาเดียวกัน เธอคนนั้น ปรียากมลดื่มเหล้ารวดเดียว หมดแก้ว เริ่มเมาและยิ้มยวนใจมากขึ้น ตระกูลก็เมาเสน่ห์แล้วเช่นกัน จับมือปรียากมลแล้วดึงเข้ามาหาตัว ร่างปรียากมลปลิวเข้าหาตระกูล
ดอกโศกยังก้มหน้าสวดมนต์ อัศนัยก็ยังคงนั่งมองอยู่อย่างนั้น
ขณะที่ตระกูลพันพัวนัวเนียกับปรียากมล ที่ตอบสนองแบบเมาๆ
ดอกโศกสวดมนต์เสร็จสุดท้าย นมัสการแล้วลุกขึ้น อัศนัยที่ยืนพูดกับคุณพ่ออันโตนิโย ทำสัญญาณว่าอยู่ตรงนี้ ดอกโศกเดินมาหา
“กลับหรือยัง”
“ค่ะ...คุณพ่อคะ หนูขอโทษที่ไม่ค่อยมาหาคุณพ่อ”
“แอนเจล่า จะมีใครรู้เท่าพ่อว่าถึงตัวหนูไม่มา ใจหนูก็มาหาพ่อเสมอ”
สีหน้าดอกโซกบอกให้รู้ว่าซาบซึ้งนัก คุณพ่อส่งมือให้จูบ ดอกโศกคุกเข่าจูบ
“God bless you my dear angel” คุณพ่ออันโตนิโยอำนวยพร
ดอกโศกยืนแล้วไหว้คุณพ่อ “หนูลาค่ะ คุณพ่อ”
“ไม่มีใครทำร้ายหนูได้แอนเจล่า...พ่อมั่นใจ”
ดอกโศกเดินออกจากโบสถ์ อัศนัยจูงมือมา เพราะมีคนเดินสวนหลายคน
หนึ่งในนั้นคือ มิสซิสเบนส์ ที่เดินเข้ามา โดยมีเอ็ดดี้หลานชายจูงมาเหมือนกัน
ทั้งคู่สวนกัน เอ็ดดี้สะดุดหน่อย เพราะมัวแต่มองดอกโศก ร่างคะมำเกือบโดนตัวดอกโศก
เอ็ดดี้รีบขอโทษ “Oh…..excuse me”
ดอกโศก “it’s all right” ดอกโศกตอบ ยิ้มให้ด้วย
เอ็ดดี้จ้องเพลินไม่ขยับ
“I’m O.K.” ดอกโศกต้องบอกซ้ำ
“Thank you” เอ็ดดี้ยิ้มให้
มิสซิสเบนส์จับแขนเอ็ดดี้เป็นเชิงเตือนให้ไป แล้วยิ้มแจ่มใสส่งมาให้ดอกโศก
ดอกโศกยิ้มอ่อนหวานให้
สองคนเดินสวนไป อัศนัยจูงมือดอกโศกกระชากนิดๆ เพราะไม่พอใจเอ็ดดี้!
“คุณนัย...เป็นอะไรคะ” ดอกโศกฉงนกับท่าทีของอัศนัย
“ไม่อยากรีบกลับรึดอกโศก นี่มันเลทมากแล้วนะ”
ไม่นานหลังจากนั้นอัศนัยพาตัวเองและดอกโศก มาส่งที่บ้าน และอยู่ในห้องโถงบ้านรัตนชาติพัลลภแล้ว เฉลยอยู่ด้วย
เฉลยยิ้มให้ พลางพูดเสียงเบาๆ “ท่านอยู่ในห้องสมุด ให้ขอบคุณคุณที่พาคุณอภิรมย์มาส่ง”
“เรียนท่านว่า แล้วฉันจะมากราบท่านวันหลัง”
“ค่ะ” เฉลยเดินออกไป
อัศนัยหันมาทางดอกโศก สีหน้าขรึมเฉย จนดอกโศกรู้สึกสงสัย
“คุณนัยเป็นอะไรคะ โกรธใคร”
อัศนัยจ้องมองดอกโศกนิ่งๆ “ไม่ได้โกรธใคร...ไม่รู้จะโกรธใคร”
สองคนนิ่งกันอยู่สักครู่ จนดอกโศกใจสั่น จู่ๆ อัศนัยเดินไปอย่างรวดเร็วลับตาไป
“อานัย” อุ๊วิ่งลงบันไดมา “อานัยล่ะ” ถามดอกโศก
“ไปแล้ว” ดอกโศกบอก
อุ๊ตวาดแว๊ด “นั่นสิ...ไปไหน”
“ไม่ทราบ” บอกแล้วดอกโศกก็เดินไปทันที
“บ้า...” อุ๊ฉุนนัก
อุ๊รีบมาฟ้องเพ็ญพักตร์เรื่องดอกโศกกับอัศนัยทันที
“อานัยชอบมันคุณแม่” เพ็ญตระการมั่นใจ
“ไม่จริงหรอก เขายังไม่ชอบใครไม่ว่าเป็นมันหรือเป็นอุ๊...รออีกหน่อย” เพ็ญพักตร์ปลอบ
“เขามีแฟนหรือยังคะคุณแม่ คุณแม่ทราบมั้ย”
สีหน้าเพ็ญพักตร์ คิดถึงปรียากมลขึ้นมา แต่ไม่ยอมบอกอุ๊
“แม่คิดว่ายังไม่มี” เพ็ญพักตร์ลุกขึ้นจะออกจากห้อง
“คุณพ่อมาหรือยังคะคุณแม่” อุ๊ถาม
“ยัง...โทร.มาบอกว่าทำงานยังไม่เสร็จ”
ที่แท้ตระกูลกำลังเว้าวอนอยู่กับปรียากมล ไขว่คว้าจะเข้าพันพัว ปรียากมลพลิกตัวหนีด้วยชั้นเชิงขั้นเทพ
ตระกูลก็ไม่เบา รั้งร่างปรียากมลมาจนตกอยู่ในอ้อมกอด
“พอแล้ว...บอกว่าพอแล้ว ปล่อยสิ...บอกให้ปล่อย ตระกูลคุณฟังฉัน...ฉันบอก พอก็พอ” ตระกูลเตลิดแล้วอารมณ์ไม่ยอมฟัง สุดท้ายถูกปรียากมลตวาดอย่างแรง “พอ”
ตระกูลตกใจมาก แล้วเกิดอารมณ์ ถอยไปนั่งกระแทกตัวแรงๆ
“คุณกลับไปได้แล้ว...ไปเดี๋ยวนี้เลย” ปรียากมลชี้มือไล่
“ทำไมครับคุณปรียากมล...ทำไม ผมไม่เข้าใจ”
“คุณไม่เข้าใจหรือทำเป็นไม่เข้าใจกันแน่ คุณคิดว่าฉันจะทำอะไร...จะนอนกับคุณเหรอถ้าฉันจะ....น่ะนะ คุณไม่ต้องเสียแรงหรอก” ปรียากมลย้ำชัด
“แต่ว่า....” ตระกูลจะแย้ง
“พอ...ไม่ต้องพูดอีก นี่มันเกินสนุกแล้ว ถ้าคุณอยากจะสนุกต่อไปก็ที่อื่น คุณรู้ดีว่าที่ไหน”
ตระกูลถอนใจแรงๆ แต่ก็ลุกขึ้น
“หรือไม่ก็กลับบ้าน คุณมีคนอยู่ที่บ้านนะ อย่าลืม”
“พอได้แล้ว ผมจะไปเดี๋ยวนี้”
“ขอบคุณ”
ตระกูลออกไปอย่างรวดเร็ว ปรียากดโทรศัพท์ทันที
“ฮัลโหล อัศนัย...ฉันกำลังจะไปหานะ”
กลางดึกคืนนั้นปรียากมลเดินเข้ามาในห้องนอนอัศนัย
“มาแล้วเหรอ...ไม่ต้องปิดประตูหรอก”
“รู้แล้วน่า” ว่าพลางเดินเข้ามาจูงมือ “มานี่หน่อย”
“อะไร...จะอ่านหนังสือ” อัศนัยฉงน
“นอนกอดฉันหน่อย”
“เป็นอะไร”
“เอาเถอะ...มา”
“โอเค...ได้”
อัศนัยนอนลง ปรียากมลเข้าไปนอนกอด ซุกตัวเข้าไป
“เชื่อใจตัวเองขนาดนั้นเลยเหรอ”
“ฮื่อ”
“ทำไมเพราะคุณไม่รักฉันเหมือนที่เคยรักแล้วใช่มั้ย”
“เพราะผมตั้งใจว่าผมจะไม่มีวันให้สิ่งที่คุณอยากให้เกิดระหว่างคุณกับผม...เกิดขึ้นเป็นอันขาด”
ปรียากมลสัพยอก “คุณไม่ตายด้านแน่นะ”
อัศนัยหัวเราะเบาๆ “แน่” ตอบด้วยเสียงสูง มั่นใจมาก
“เชื่อได้” ปรียากมลเย้า
“เฮ้ย ได้สิ อีกนาน”
ปรียากมลหัวเราะขำ แล้วนิ่งไปสักครู่
“คุณไม่คิดจะแต่งงานกับฉันเหรอ” น้ำเสียงจริงจัง
“ยังไม่คิด”
“เพราะคุณยังรักฉันไม่มากพอ”
อัศนัยปรามอยู่ในที “ปรียากมล...คุณอย่าเร่งรัดสิเราไปช้าๆ ดีมั้ย ช้าๆ แต่มั่นคง”
“คุณคิดว่าคุณมั่นคงกับฉันหรือ”
เจอคำถามแทงใจนี้ อัศนัยนิ่งอึ้งมาก
“อัศนัย” ปรียากมลคาดคั้น อารมณ์โกรธมาเป็นริ้วๆแล้ว
“ไม่...ผมยังไม่คิดว่าผมจะมั่นคงกับคุณ”
ปรียากมลนิ่งไปอึดใจ ข่ม และพยายามปรับอารมณ์ แต่ไม่สำเร็จ กรี๊ดลั่นออกมา...แล้วเข้าโรมรัน
ทั้งทุบทั้งตี แรงๆ ด้วยความอัดอั้น ไม่มีเสียง เห็นแต่หน้าที่แสดงอารมณ์แรงๆ เพราะแต่ละคำถามได้คำตอบ
ที่ชวนเฮิร์ทมากขึ้นเรื่อยๆ
อัศนัยรู้ดีถึงอารมณ์ พยายามปัดป้องและพยายามทำให้สงบ สุดท้ายกอดเอาไว้ทั้งตัว
ปรียากมล ร้องไห้ออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ อัศนัยกอดปลอบโยน
“คุณต้องรู้จักคอย คุณมีบทเรียนจากการไม่คอยแล้วนี่”
สุดเขตนอนเอียงคอ..หลับ ลักษณะเหมือนผลอยหลับ มีหนังสือวางอยู่บนอก ตระกูล กลับถึงบ้าน เดินเข้า ชะงัก เพ่งมอง แล้วค่อยๆ ถอยแอบในเงามืด มองจ้องด้วยสายตาลึกล้ำมาก โหดอยู่ภายในใจลึกๆ ว่าอยากให้สุดเขตตายๆ เสียที
วันรุ่งขึ้นสุดเขตอ่านพินัยกรรมฉบับเก่าอย่างเงียบๆ ทนายปกรณ์นั่งคอยฟัง สองคนอยู่ในห้องทำงานของสุดเขต
“ไม่มีสมบัติอะไรเลยก็ดีนะ ไม่ต้องคิดมากว่าจะให้อะไรใครมั่งจะได้พอใจทุกคน”
“ครับ”
“รู้ใช่มั้ยว่าฉันมีหลานสาวมาอยู่ด้วยอีกคนหนึ่ง”
“ทราบครับ”
“ฉันจะแบ่งอะไรให้หลานคนนี้ได้มั่งเนี่ย...” สุดเขตมองหน้าปกรณ์ “พอสมควรไม่ให้มากหรอกเขาเพิ่งมาอยู่ยังไงๆ ก็ได้ไม่เท่าคนที่อยู่ก่อน” สุดเขตปรารภ ปรึกษากลายๆ
เฉลยจัดยาอยู่ สุดเขตเดินเข้ามา
“ทีหลังท่านอย่าลืมทานยา” เฉลยบ่น
“รู้แล้วน่า” สุดเขตหงุดหงิดนิดๆ
“รู้แล้วหรือคะ แล้วนี่อะไร” เฉลยวางถ้วยใส่ยา มียาอยู่ 5-6 เม็ด
“อย่าบ่น...เอามาจะกินเดี๋ยวนี้”
เฉลยบ่นต่อ “ช้าไปเกือบชั่วโมง”
คุณตากินยา นิ่วหน้านิดๆ...นิดเดียวเท่านั้น…รู้สึกเจ็บหัวใจจี๊ดขึ้นมา
เฉลยก็บ่นเบาๆ ไปเรื่อยๆ
“เมื่อคืนก็ไปนั่งหลับที่ห้องรับแขกเป็นชั่วโมง”
“จะบ้าเหรอยายเหลย ฉันงีบไปแค่ห้านาที” เฉลยเหล่ สุดเขตจึงพูดต่อ “นานกว่านั้นก็ไม่เกินสิบนาที”
ดอกโศกเคาะประตูเบาๆ เปิดเข้ามาถือพวงมาลับดอกมะลิมาด้วย 2 พวง เอามาวางใส่พานที่วางอยู่ เหมือนเคยทำทุกวัน 1 พวง ยิ้มนิดๆ ให้กับคุณตา ตั้งท่าจะไป
“อ้าว ไม่ได้ให้ตาทั้งสองพวงเหรอเจ้า”
“ของคนอื่นค่ะ” ดอกโศกเดินออกไป
“เหลย แกไปดูซิอีกพวงให้ใคร”
”ไม่ต้องไปดูหรอกค่ะ” เฉลยรู้แต่ไม่บอก
“รู้ดียายเหลย...ให้ใคร” สุดเขตถาม
ดอกโศกวางพวงมาลัยบนโต๊ะในห้องสุดสวย โดยไม่เห็นสุดสวยที่ยืนแอบมอง พอดอกโศกเดินออกไป สุดสวย เข้ามาหยิบพวงมาลัยดูอย่างสงสัย
ครู่ต่อมาสุดสวยอิงแอบอยู่กับผู้เป็นบิดาอยู่ในห้อง ใกล้ๆ มีพวงมาลัย 2 พวงวางอยู่
“ไปสวดมนต์กับพ่อนะลูก”
“ไปค่ะ...ไป...ไป”
“หยิบพวงมาลัยมาด้วยสิลูก” สุดเขตบอก
“ลูกอยากทำพวงมาลัยแบบนี้มั่งคุณพ่อ...สวยนะคะ ซ๊วย...สวย” สุดสวยชูพวงมาลัยขึ้นดู เอียงคอ ยิ้มแย้มแบบเว่อร์เล็กๆ
สุดสวยหัดร้อยมาลัยอยู่ที่สนาม โดยมีดอกโศกคอยสอนให้
“ทำไมทำเป็น”
“เรียนที่โรงเรียนค่ะ” ดอกโศกบอกยิ้มๆ
สุดสวย นิ่งไป ดอกโศกถามพาซื่อ
“น้าสวยไม่เคยเรียนที่โรงเรียนหรือคะ?”
สุดสวยนิ่งอยู่ชั่วอึดใจ แล้วร้องกรี๊ดออกมา ปาพวงมาลัยไปสุดแรงเกิด ปัดทุกอย่างตรงนั้นตกเกลื่อนกลาด
“น้าสวย...น้าสวยขา” ดอกโศกเรียก
“ว่าชั้นไม่ไปโรงเรียนเหรอแก แกว่าชั้น...ว่าชั้น คุณพ่อ”
ดอกโศกเข้ากั้นไว้ ใช้แรงใจทั้งหมดส่งไปให้ “หนูไม่ได้ว่าค่ะ..น้าสวย ร้อยต่อนะคะน้าสวยต้องทำได้แน่เลยค่ะ น้าสวยเก่งออก....น้าสวยต้องทำได้สวยเหมือนเสื้อตัวเนี้ย น้าสวยซื้อเองใช่มั้ยคะ สวยมากเลยค่ะ”
“ว่าชั้นอีกแล้ว ไม่เชื่อ...ว่าเสื้อชั้นไม่สวยใช่มั้ย ว่าใช่มั้ยนี่แน่ะ” สุดสวยเข้าโรมรันทันที เหวี่ยงจนร่างดอกโศกล้มซ้ายล้มขว้าไปมา สุดท้ายยกกำปั้นสูงแล้วฟาดลงสุดแรงเกิด ดอกโศกคว่ำลงไปทันที
จากนั้นสุดสวยร้องกรี๊ดแล้ววิ่งออกไป สวนกับเฉลยที่วิ่งเข้ามา ตกใจมากอุทานเสียงดังออกมา
“คุณอภิรมย์”
ดอกโศกนอนอยู่ในห้อง ท่าทางยังเจ็บๆ งงๆ ปวดหัวหน่อยๆ ระหว่างนั้นสุดเขตเปิดประตูเข้ามา ดอกโศกไหว้ คุณตานิ่งอยู่สักครู่
“ตามาขอโทษแทนน้าสุดสวย”
สุดสวยหลับสนิทแล้วอยู่ในห้องสุดเขต ท่าทางน่าสงสาร น้ำตายังเป็นคราบ เฉลยคอยห่มผ้าให้ แล้วใช้รีโมทลดความเย็นของแอร์
“เป็นไง” เพ็ญพักตร์เดินเข้ามา “เหลย จะฆ่ากันตายเหรอวันนี้”
เฉลยนั้นไม่อยากพูดด้วย “ไม่หรอกค่ะ”
“ไม่อะไร แกพูดอะไรคิดซะก่อนนะเหลย จะปกป้องใครฮะ เห็นๆ กันอยู่ว่าเป็นยังไงทำไมท่านสั่งไม่ให้บอกใครเหรอ” เพ็ญพักตร์ด่าเฉลย
“เปล่าค่ะ”
“เปล่า...แล้วไง แล้วแกอมอะไรอยู่ฮะ นังเหลย...” เพ็ญพักตร์มองเขม้น เห็นเฉลยไม่ตอบ “อมอะไรอยู่ไหนพูดมา”
“คุณสุดสวยโมโห...” เฉลยตั้งท่าเล่า
“นังดอกโศกก็เลยเกือบตาย...ดี อ้อ...โมโหเหรอ คุณสุดสวย โมโหเหรอ ไม่ใช่เพราะจิตผิดปกติเหรอ” เพ็ญพักตร์เยาะหยัน
“คุณเพ็ญคะ เธอเป็นน้องคุณนะคะ” เฉลยอดไม่ได้ เตือนสติ
“ใครเถียงแกล่ะ เรื่องจริงไม่ต้องเถียง น้องชั้นเป็นบ้าแกไม่ต้องปกปิด เค้ารู้กันทั่วแล้ว”
เพ็ญพักตร์นั้นคิดว่าสุดสวยหลับแล้ว ไม่เจตนาพูดทำร้ายน้อง ทำกิริยาพูดไปดูไปว่าสุดสวยจะได้ยินหรือเปล่าด้วย
จู่ๆ สุดสวยลุกขึ้นแล้วกรี๊ด...กรี๊ด...กรี๊ด ลั่นบ้าน กรี๊ดกับตัวเองเพราะเสียใจ เพ็ญพักตร์ตกใจแทบตาย
“น้าเขาเป็นโรคประสาทชนิดหนึ่ง อาการเขา คือ....ตามที่หมอสรุปจากที่รักษากันมาคือเขาจะทำอะไรมากกว่าปกติ อย่างดีใจ เสียใจ ร้องไห้เหมือนกำลังเล่นละคร เพราะเขาเรียกร้องความสนใจ”
ดอกโศกฟังอย่างสนใจ
“เขาไม่ได้แกล้งทำแต่เพราะเขาป่วย คนเป็นโรคนี้เพราะขาดความรัก ในช่วงเวลาที่เขาต้องการมาก คือ ตอนที่เขาเป็นเด็ก” สายตาสุดเขตจดจำรำลึกเรื่องเก่าก่อน “มันเป็นความผิดของตาด้วย สุดสวยเป็นลูกคนสุดท้องสมควรที่พ่อแม่จะรักเขาให้มากกว่านี้ แต่ตอนนั้นตากับคุณหญิงมีปัญหากันมาก ถ้าเป็นสมัยนี้เขาก็เรียกกันว่าพ่อแม่ทำร้ายลูก”
ดอกโศกเห็นใจมาก เอื้อมมือไปแตะมือคุณตาแผ่วเบา ปลอบได้เท่านี้...เท่าที่ทำได้
“หมอเรียกคนที่เป็นแบบนี้ว่า บุคลิกภาพแบบฮิสทีเรีย”
ดอกโศกนัยน์ตาเบิกกว้าง ตกใจเล็กๆ
“ตาไม่เคยใช้คำนี้บอกใคร บอกเจ้าไว้จะได้เข้าใจว่าฮิสทีเรียไม่ใช่เรื่องความต้องการทางเพศอย่างที่เจ้าเคยรู้...ไม่ใช่เลย เข้าใจผิดกันไปทั้งนั้น แต่เพราะคนป่วยโรคนี้จะแสดงออกโอเว่อร์เกินจริงอย่างเขาหัวเราะ ยิ้มแย้ม ชายหูชายตามากเกินปกติ พวกผู้ชายเห็นเข้าก็เลยใช้ประโยชน์ตรงนั้น ก็เลยไปสรุปว่าฮิสทีเรียเป็นพวกชอบผู้ชาย”
ดอกโศก พยักหน้านิดๆ เข้าใจที่คุณตาอธิบาย
“ตารู้ว่าถ้าบอกใครๆ ทุกคนจะเข้าใจผิด ให้สุดสวยเป็นบ้ายังดีกว่าให้เขาเป็นฮิสทีเรีย” สุดเขตถอนหายใจยาว “ความจริงมันก็เกือบเหมือนกัน” พูดจบแล้วลุกขึ้น เอามือตบหัวดอกโศกเบาๆ “ยังปวดหัวอยู่มั้ย”
“ไม่แล้วค่ะคุณตา” ดอกโศกบอกเสียงหนักแน่น “คุณตาไม่ต้องห่วงหนูค่ะ หนูไม่เป็นไร” บอกย้ำด้วยสายตามุ่งมั่นมาก
สุดเขตเห็นแล้วสะท้อนใจเล็กน้อย แต่ข่มลงด้วยเป็นผู้ใหญ่ ตบหัวหลานอีกที...แล้วเดินออกไป
เพ็ญพักตร์นัดน้องชาย พจน์กับพฤกษ์ มาหารือเรื่องพินัยกรรม
“ชั้นว่าคุณพ่อต้องเรียกปกรณ์มาให้แก้พินัยกรรม”
สองคนหน้าไม่ได้โวยวาย แต่มองพี่สาวแบบเป็นคำถาม
“ปกรณ์มาสองวันแล้ว พฤกษ์...ว่าไง”
“เหตุผล...ทำไมต้องแก้” พฤกษ์ยังงงๆ
“เดาไม่ออกเหรอ...เดาสิ เรามีใครมาเพิ่มมั่ง”
สองคนร้อง “อ๋อ” พร้อมกัน
“เอ...อย่างนี้ไม่เข้าท่าแล้วนะ” พฤกษ์ว่า
“ผมว่าจะเดือดร้อนทำไมในเมื่อพินัยกรรมเก่าเราก็ไม่รู้ว่าคุณพ่อเขียนว่าไง บางคนอาจจะได้มากกว่าก็ได้ ถ้าเปลี่ยนใหม่เนี่ย...” พจน์พูดไม่ทันจบประโยค
เพ็ญพักตร์สวนออกมา “ก็ในเมื่อบางส่วนถูก share ไป จะมีใครได้มากกว่า”
“ก็ไม่แน่” พจน์ลุกขึ้นเหมือนจะขอตัว “ตัวผมไม่ติดใจอะไร”
พฤกษ์กับเพ็ญพักตร์ สีหน้าไม่พอใจ
“ถ้าเราไม่กำหนดความอยากไว้ล่วงหน้า อะไรก็ตามที่จะมาก็ถือเป็นโชคดีทั้งนั้น...ระงับความอยากไว้นะครับพี่ทั้งสอง” พจน์เดินออกไปทันที
“ไอ้บ้า พูดจากวนประสาท....พฤกษ์ เราต้องช่วยกันนะ”
“เต็มที่ครับพี่เพ็ญ เอาไงเอากัน” พฤกษ์เห็นงาม
มีหรือเพ็ญพักตร์จะยอมให้ความสงสัยค้างคา จึงนัดน้องชายอีกสองคนมาถามไถ่กับผู้เป็นพ่อ ในอีกวันถัดมา
เพ็ญพักตร์ กับพฤกษ์ มาถึงก่อน
“ทำไมล่ะ เดือดร้อนอะไรกันนักหนาเรื่องพินัยกรรม” สุดเขตจ้องหน้าลูกสองคนสลับกัน ถามด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย
“เราแค่อยากรู้ค่ะถึงเรียนถามคุณพ่อเพราะเท่าที่ทราบคุณพ่อทำไว้เรียบร้อยแล้วทำไมถึงเปลี่ยนแปลง” เพ็ญพักตร์รีบออกตัว
“รู้กันได้ไงว่าฉันเปลี่ยนล่ะ” สุดเขตย้อนถาม
“เราคิดว่าใช่ครับเห็นคุณปกรณ์มา” พฤกษ์ว่า
“ก็เลยคิดกันว่าฉันควรจะตายเสียที” สุดเขตแดกดันลูกๆ
“คุณพ่อไม่น่าพูดกับเราอย่างนั้นเลยค่ะ”
“ก็ฉันสงสัย ฉันก็ถามเหมือนเธอสองคนสงสัยก็ถาม เอ้า พจน์” สุดเขตหันไปเห็นพจน์เดินเข้ามา “สงสัยกะเค้ารึเปล่าล่ะ”
“ไม่สงสัยครับคุณพ่อ เรื่องพินัยกรรมใช่มั้ยครับ”
เพ็ญพักตร์ นั่งหน้าเฉย พฤกษ์เสมองไปทางอื่น
“เอาล่ะ...ถึงฉันจะสงสัยว่าทำไมมีบางคนสงสัย บางคนไม่สงสัย ทั้งๆ ที่เป็นลูกเหมือนกันแต่ฉันก็ไม่ถามล่ะ จะตอบให้แล้วกันว่า ใช่...ฉันจะเปลี่ยนพินัยกรรมบางส่วน และก็จะบอกไว้ตรงนี้ว่า เป็นส่วนเล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับที่พวกเธอจะได้”
เพ็ญพักตร์ถามสวนออกมาทันที ในความหมายเจาะจงถึงดอกโศกชัดเจน “และถ้าเทียบกับชั้นหลานด้วยกันล่ะคะ”
“ลูก 4 คน จะได้เท่าๆ กัน” สุดเขตตอบลอยๆ “ฉันตอบแค่นี้”
เพ็ญพักตร์เดินนำทุกคนออกมา พฤกษ์สีหน้าไม่พอใจไปด้วย ส่วนพจน์เฉยๆ สามพี่น้องยืนคุยกันที่ประตูห้องนั่นเอง
“จะให้เข้าใจว่าไงเนี่ย พูดแค่นี้แล้วบอกจบให้ไปคิดต่อว่าไง” เพ็ญพักตร์โวยวาย
“เราน่าจะอยู่ถามให้คุณพ่อตอบให้เคลียร์” พฤกษ์ว่า
“ถามเซ้าซี้ทำไม พี่สองคนเข้าใจแล้วล่ะผมว่า ลูกได้เท่ากันหลานก็ได้เท่ากัน..จบ ยุติธรรมแล้วล่ะ” พจน์บอก
เพ็ญพักตร์ตวาดพจน์ “แกจะบ้าเหรอพจน์ ชั้นไม่เห็นว่ายุติธรรมตรงไหน เท่ากันได้ไงหลานที่เห็นมาแต่อ้อนแต่ออกกับหลานที่อยู่ๆ โผล่มาจากที่ไหนก็ไม่รู้...จะว่าไปหลานจริงรึเปล่าก็ไม่รู้เหมือนกัน”
“ครับ พี่เพ็ญ และเราก็ไม่มีทางรู้ด้วยครับ” พจน์ว่าแล้วก้มหัวให้ ก่อนจะเดินไปเลย
“ทำอะไรไม่ได้หรอกพี่เพ็ญ...ทำใจอย่างเดียว แล้วก็รู้” พฤกษ์ก้มหัวให้พี่สาวแล้วเดินออกไป
เพ็ญพักตร์คำรามอยู่ในลำคอ “นังดอกโศก ฉันเกลียดแกที่สุด”
พฤกษ์ยังเดินไม่พ้นหันมาได้ยิน
พฤกษ์เดินลงมาเจอพจน์ที่คอยอยู่แล้วที่หน้าตึก
“พี่เพ็ญเกลียดเด็กคนนั้นจริงจัง” พฤกษ์ว่า
“พี่พฤกษ์ห่วงว่าโอ๋จะได้น้อยลงเหรอครับ” พจน์แซว
พฤกษ์นิ่งตรึกตรอง “ก็ไม่เชิง แต่...” ค้างคำพูดไว้แค่นั้น
สองคนออกเดินมาพร้อมๆ กัน
“ไม่ต้องคิดถึงดอกโศก คิดแค่สมบัติท่าน มันเป็นสิทธิ์ของท่าน ถ้าอยากให้ลูกเราได้อะไรเป็นพ่อแม่มีหน้าที่หาให้ อย่าหวังจากคนอื่น” พจน์เตือนสติ
“ก็เนี่ยไง...พี่เพ็ญเขากำลังหาให้ยายอุ๊ไง” พฤกษ์ว่า
วันต่อมาขณะที่เพ็ญพักตร์ลงบันไดมา เห็นพ่อกับทนายปกรณ์ คุยกันอยู่ในห้องโถงท่าทางเคร่งเครียด เพ็ญพักตร์ชะงักเพ่งดู
ครู่ต่อมาสองคนหายเข้าไปในห้องทำงาน และสุดเขตส่งกระดาษยื่นให้ปกรณ์ พร้อมกับพูดสำทับ
“รายการทรัพย์สินของคุณหญิง เครื่องเพชร เครื่องทองทั้งหมดที่ฉันยังเก็บอยู่ มีเปลี่ยนแปลงนิดหน่อยทำเครื่องหมายไว้ว่าให้ใครให้ใคร”
ไม่นานหลังจากนั้น นายพลสุดเขตเดินไปอย่างช้าๆ โดยมีทนายปกรณ์เดินตาม
“รายการที่ให้ลูก 4 คนเหมือนเดิมทุกอย่าง ส่วนของหลานฉันไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรมาก ข้อที่จะให้คุณเพิ่มในพินัยกรรมก็คือ ให้อภิรมย์ฤดี อยู่ในบ้านหลังนี้ได้ตลอดไปจนกว่าเขาจะแสดงเจตจำนงว่าจะไม่อยู่ด้วยตัวเขาเอง เงินสดให้เท่าๆ กับหลานคนอื่น...5 ล้านใช้มั้ย” สุดเขตทบทวน
“ครับ”
“เงินค่าเล่าเรียนสูงที่สุดที่เขาต้องการ กับเงินค่ารักษาพยาบาลจนกว่าจะเรียนจบ เบิกจากกองกลางเหมือนหลานคนอื่น เว้นแต่ที่ดินที่ให้หลานแต่ละแปลงก็...” พูดถึงตรงนี้นายพลอึ้งไปหน่อย “ไม่มีให้อภิรมย์ฤดีไม่เป็นไร” พูดเบาๆ กับตัวเอง
“ในรายการทรัพย์สินไม่มีชื่อคุณอภิรมย์ฤดีเหมือนกัน” ปกรณ์ทบทวน
“ไม่มี....ของๆ คุณหญิงต้องให้เฉพาะลูกหลานของคุณหญิง” สุดเขตย้ำ
“ครับ...ผมเข้าใจ”
“คุณไปร่างมา....งานวันเกิดฉันที่จะถึงนี้ฉันจะเซ็นชื่อ”
“ครับ” ทนายปกรณ์รับคำ
แล้วจากนั้นสองคนก็เดินไปด้วยกัน
อ่านต่อตอนที่ 10