xs
xsm
sm
md
lg

ดอกโศก ตอนที่ 7

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ดอกโศก ตอนที่ 7

เวลาจวนใกล้ค่ำแล้ว อัศนัยดูนาฬิกาเริ่มรู้สึกหงุดหงิดกับการรอคอย จู่ๆ ก็ลุกพรวดขึ้นอย่างแรง

คุณนายประดับสังเกตเห็น จึงเดินออกไปเรียก “คุณอัศนัย”
“ดอกโศกคงไม่มา ผมกลับล่ะครับ รบกวนนานแล้ว”
“คุณโกรธดอกโศกหรือ”
อัศนัยอึ้งไปชั่วอึดใจ “ดอกโศกมีเบอร์โทรศัพท์ผม
“อย่าโกรธเลยค่ะ เขาคงจำเป็นจริงๆ ถึงมาไม่ได้ คุณนัย ดอกโศกเป็นเด็กที่ไม่เคยทำอะไรตามใจตัวเอง ถ้าต้องทำอะไรผิดไปจากที่เคยทำทุกวัน นั่นแสดงว่ามีคนอื่นบังคับให้ทำ”
“ข้อนั้นผมทราบครับแต่ทำไมผมต้องคอยสองชั่วโมง ผมไม่ได้หมายความว่านัดกับผมแล้วเป็นตายก็ต้องมา แต่ผมไม่ควรต้องคอยโดยไม่รู้อะไรเลยสองชั่วโมง”
“ฉันเชื่อว่า ถ้าดอกโศกทำได้เขาจะไม่ปล่อยให้คุณคอยเลยซักนาทีเดียว”
อัศนัยจ้องหน้าคุณนายนิ่งอยู่สักครู่ “คุณนายครับ ผมคอยสองชั่วโมงกับสิบนาทีครับ ดอกโศกคงไม่ได้เข้าป่าที่ไม่มีโทรศัพท์นะครับ”
คุณนายทำท่าจะพูด เสียงโทรศัพท์อัศนัยดังขึ้นพอดี
อัศนัย จ้องมองโทรศัพท์ในมือ ดูเบอร์ แล้วขมวดคิ้ว
“คุณไม่รับหรือคะ”
“ผมไม่ทราบว่าเป็นใคร โทรศัพท์บ้านครับ ไม่ใช่บ้านคุณตา”
“ก็รับสิคะ ทำไมฉันเห็นหลายคนไม่รับโทรศัพท์เพราะไม่รู้จักเบอร์ เพราะอะไรก็ไม่รู้”
อัศนัยกดรับสาย “ฮัลโหล....ดอกโศก อยู่ที่ไหน”

ดอกโศกโทร.จากตู้โทรศัพท์สาธารณะหน้าโรงพยาบาล
“โรงพยาบาลค่ะ”
“โรงพยาบาล!”
อัศนัยอุทานเสียงดังคุณนายประดับก็ได้ยิน “ตายจริง”
“โรงพยาบาลอะไร....ทำไม ไม่สบายหรือดอกโศก”
“เปล่าค่ะ ดอกโศกไม่ได้เป็นอะไร”
“ใครเป็น”
“ป้อมค่ะ”
อัศนัยหน้านิ่งเฉยขึ้นมานิด “เป็นอะไร”
“ป้อมโดนซ้อมค่ะ”
“เป็นอะไรมากรึเปล่า”
“มากค่ะ โดนซ้อมหนัก”
“ใครซ้อม”
“ไม่ทราบค่ะ คงเป็น...”
“ทำไมเพิ่งโทร.” อัศนัยถามต่อ ไม่รอฟังเรื่องป้อม
“คะ”
“ถามว่าทำไมเพิ่งโทร.”
“ก็....เพิ่งเสร็จนี่คะ”

ไม่นานหลังจากนั้นอัศนัยก็พาตัวเองมาอยู่ที่โรงพยาบาล และกำลังยืนพูดคุยเบาๆ กับดอกโศก สมปองยืนคอยอยู่ห่างๆ
“เมื่อกี้บอกเพิ่งเสร็จ ทำไม ต้องไปช่วยหมอทำแผลเหรอ” อัศนัยประชด
“เปล่านี่คะ ไม่ได้ช่วยไป เอ๊ะ ทำไมคุณนัยถามอย่างนี้” ดอกโศกฉุกคิด ติดใจคำพูดเมื่อครู่
“ไม่รู้ก็เห็นกว่าจะโทร.บอก” อารมณ์ประชดยังมีเจืออยู่ในเนื้อเสียง
“ค่ะ...ขอโทษค่ะ” ดอกโศกพนมมือไหว้ “ที่ให้คุณนัยคอย ดอกโศกมัวแต่เป็นห่วงป้อม เพราะป้อมเขาเจ็บหนัก ความจริงควรจะโทร.ถึงคุณนัยก่อน ขอโทษอีกทีนะคะ
อัศนัยมองตอบด้วยนัยน์ตาเฉยเมย “คนเจ็บหนักทำยังไงก็ไม่ช่วยให้หายเจ็บ แต่คนคอยแค่โทร.บอกเสียเวลานาทีเดียว ก็จะได้ไม่ต้องคอย”
ดอกโศกฟังแล้วยิ่งใจสั่น พะวงเรื่องป้อม หลบตา พนมมือไหว้ นิ่งอยู่ พูดไม่ออก
จังหวะนั้นสมปองยืนมองเหตุการณ์อยู่แต่ไกล
อัศนัยอ่อนลงแล้ว อึกอักอยู่สักครู่ จึงถือโอกาสสอน “ทีหลังจำไว้ ไม่ใช่บางคนเท่านั้นที่จะเป็นเรื่องใหญ่อีกคนเป็นเรื่องเล็ก”
ดอกโศกยังคงก้มหน้านิ่ง
อัศนัยหันไปทางสมปอง “ปอง....กลับรึยัง”

สามคนเดินออกมาที่หน้าตึกผู้ป่วยนอกแห่งนั้น
“โทรศัพท์ฉันตังค์หมด” สมปองบอกกลายๆ ถึงเหตุผลที่ดอกโศกไม่ได้โทร.บอก “เขาเลยไม่ได้โทร.”
อัศนัยหันไปจ้องสมปองนิ่งๆ สมปองจ๋อย ทำสีหน้าไม่ถูก อาการน่าขำ
“คุณนัยไปส่งไอ้โศกรึเปล่า”
“ฉันคิดว่า...เรื่องนี้อย่าให้คุณตารู้จะดีกว่ามันจะยุ่งกันไปใหญ่ ป้อมไม่เป็นอะไรมากแล้วนี่” อัศนัยว่า
“อ้าว ไอ้โศกมันจะบอกว่าไปไหนมากลับจนค่ำ” สมปองท้วง
“ปองไปส่งนะ...บอกว่าดอกโศกไปหายาย” อัศนัยแนะวิธี
“ไม่ได้ขออนุญาตเขา เดี๋ยวไอ้โศกก็โดนตื้บน่ะสิคุณนัย” สมปองยังกังวลไม่วาย
“อุ๊รู้ว่าหนูจะไปบ้านคุณนายประดับค่ะน้าปอง หนูบอกเขา” ดอกโศกบอก
“งั้นก็บอกไปบ้านคุณนายประดับแล้วกัน” อัศนัยสรุป

ในห้องโถงกลางบ้านรัตนชาติพัลลภ คืนนั้น ดอกโศกกลับก็ถูกเพ็ญพักตร์ ถามคาดคั้น มี เพ็ญตระการ กับ ตระกูล อยู่ในเหตุการณ์ด้วย
ดอกโศกหน้านิ่งแต่ใจสั่นอยู่ข้างใน
“ว่าไงล่ะแม่อภิรมย์ฤดี ฉันถามว่าไปไหนมา”
เพ็ญพักตร์ถามซ้ำ ขณะที่ตระกูลนั่งพลิกดูเอกสารหลายแผ่นไปมา ส่วนอุ๊นั่งหันหลังให้ ยิ้มหยันบางๆ ในหน้า
“ถามทำไมไม่ตอบ”
คราวนี้ดอกโศกตอบทันควัน ฮึดสู้ “ไปบ้านคุณนาย....” แล้วหยุดค้างชะงักคำแค่นั้น
เพ็ญพักตร์เจตนาไม่ฟังดอกโศก หันมาวางอำนาจเอาเรื่องสามี “นี่คุณ พลิกกระดาษอยู่ได้..หนวกหู ฉันกำลังถามแม่ดอกโศกไม่ได้ยินเหรอ”
“เสียงดังขนาดนั้นมีหูเดียวผมยังได้ยินชัดเจนเลย” ตระกูลทำทีหัวเราะทำเป็นเย้าแหย่
“ไม่ตลก”
ตระกูล หน้าขรึมนิ่วเฉยขึ้นมาฉับพลัน อุ๊มองหน้าพ่ออย่างเห็นใจ ก่อนจะเอามือข้างหนึ่งสอดประสานกับมือพ่อ
“นี่แม่ดอกโศกตอบมาเร็วๆ จะได้ไปให้พ้นๆ หน้าฉันเสียที แกไปไหนมา...ฮะ?”
“บ้านคุณนายประดับค่ะ”
“บ้านใครนะ พูดดังๆ ฉันไม่ได้ยิน”
“บ้าน...เอ้อ คุณนายประดับค่ะ”
“ไปหาใคร” เพ็ญพักตร์ยังไม่บรรลุคำตอบที่อยากฟัง
“หา...คุณนาย” ดอกโศกบอก
สีหน้าเพ็ญพักตร์ออกอาการเยาะหยัน “งั้นฉันถามใหม่ คู่รักแกมีเรื่องอะไร น้าแกถึงรีบมาตามแกถึงโรงเรียน”
ดอกโศกตกใจ แล้วเหลียวขวับไปมองอุ๊ทันควัน
อุ๊วาดสีหน้าเย้ยหยันแบบมีชั้นเชิง คือ จ้องมองนิ่งๆ ใช้สายตาหยาม ดอกโศกใจสั่น
“ฉันถาม...ตอบมาเดี๋ยวนี้คู่รักแกเขามีเรื่องอะไร ทำไมแกต้องโกหกฉันว่าไปบ้านคุณนายอะไรของแก...ฮะ ตอบมาเดี๋ยวนี้ถ้าไม่อยากให้เรื่องถึงคุณพ่อ”
ระหว่างเพ็ญพักตร์กำลังซักไซ้เสียงดัง ตระกูลเดินลุกออกไปเลย

ตระกูลเดินออกมาที่หน้าตึก ยืนคุยโทรศัพท์ สวัสดีครับคุณปรียากมล....ผมขอคำตอบเรื่องดินเนอร์วันนี้ครับ” ฟังปลายสาย สีหน้าสลดลง “ครับ ไม่เป็นไร โอกาสหน้าหวังว่าคงไม่ปฏิเสธไม่ตรีของผมนะครับ”
ขณะรอฟังปรียากมล ตระกูลทอดสายตามองไป เห็นรถอัศนัยแล่นเข้ามา

ปรียากมลอยู่ที่คอนโด กำลังคุยโทรศัพท์กับตระกูล
“แน่นอนคุณตระกูล...กู๊ดไนท์ค่ะ” พอวางหูแล้วกดโทร.ออกทันที
ตระกูลหันไปทักอัศนัยที่ลงจากรถมาแล้ว “คุณอัศนัย ไปไหนมา”พลางเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋า
ระหว่างนั้นเสียงโทรศัพท์อัศนัยดังขึ้น
อัศนัยยกมือไหว้ “มาที่นี่โดยตรงเลยครับ” ทำทีขอตัวรับโทรศัพท์ “ขอโทษนะครับ...ฮัลโหล ปรียากมล...มีอะไรเหรอ”
ตระกูลได้ยินเต็มสองหู สีหน้าไม่ดี
“ฉันหิวข้าว ไปทานข้าวกันนะอัศนัย” ปรียากมลว่า
“ขอโทษทีผมไปไม่ได้ ทำไม...” อัศนัยปฏิเสธ
“ฉันไม่มีเพื่อนทานด้วย ไม่อยากทานคนเดียว”
อัศนัยลดเสียงลง “ปรียากมลอย่างคุณจะหาใครทานข้าวด้วยกี่คนก็ได้ เอาไว้วันหลังนะ วันนี้ผมขอโทษ...เท่านั้นนะครับ” อัศนัยกดปิดสายทันที
ตระกูลฟัง สีหน้าเครียดมากยิ่งขึ้น
“ไม่มีใครอยู่กันหรือครับ” อัศนัยถาม สายตามองผ่านเข้าไปข้างใน รู้สึกเป็นห่วงดอกโศกครามครัน

ส่วนดอกโศกที่อัศนัยห่วงใย ถูกเพ็ญพักตร์จับแขนให้ลุกขึ้น “ผู้ร้ายปากแข็ง ไปหาคุณพ่อเดี๋ยวนี้ ให้ท่านตัดสินแล้วกัน”
เพ็ญพักตร์ลากตัวดอกโศกเดินไป ต่อหน้าต่อตาอัศนัยที่เข้ามาพอดี และได้ยินคำพูดทั้งหมด
ส่วนเพ็ญพักตร์พาดอกโศกออกไปทันที โดยไม่เห็นอัศนัย
อัศนัยเป็นห่วงเหลือเกิน ทำได้แต่มองตาม
ขณะที่ดอกโศกถูกลากออกไป เหลียวมาเห็นอัศนัยพอดี สีหน้าละห้อยมาก
“อุ๊คุยกับอานัยก่อนนะลูก” ตระกูลเดินกลับเข้ามาในห้องพูดหน้าขุ่นอารมณ์ไม่ดีเรื่องปรียากมลปฏิเสธ “ขอโทษนะคุณอัศนัย” เดินออกไปทันที
อัศนัยว้าวุ่นหนัก แต่พยายามระงับไว้ นัยน์ตามองไปทางประตู
“อานัยมีธุระกับคุณแม่หรือคะ” เพ็ญตระการพูดจาเรียบร้อย ยังไม่มีทีท่าชัดเจนนักว่าชอบอัศนัย
“อ๋อ เปล่าอาแวะมาเยี่ยม”
“เยี่ยมอุ๊ด้วยเหรือเปล่าคะ”
“ด้วยสิ...อุ๊เป็นยังไงบ้าง อีกสองปีเอนทร๊านซ์แล้วใช่มั้ย”
“อานัยจำแม่น...ค่ะ อีก 2 ปี” อุ๊ว่ายิ้มๆ
“จะเข้าที่ไหน”
“ยังไม่ตัดสินใจแน่นอนเลยค่ะ ต้องประเมินตัวเองก่อน อุ๊เรียนไม่เก่ง”
“ดอกโศกเขาก็เอนท์พร้อมอุ๊ใช่มั้ย”
“ใช่ค่ะ พร้อมกัน”
“น่าจะเข้าที่เดียวกัน จะได้ไปมหาวิทยาลัยพร้อมกัน...ไม่เปลือง” อัศนัยถามเพื่อหยั่งเชิง
“เขาเรียนเก่งเลือกที่ไหนก็ได้” น้ำเสียงอุ๊ ธรรมดาเรื่อยๆ ไม่มีพิรุธ “เรื่องเรียนไม่ต้องห่วง ห่วงเรื่องอื่นมากกว่าค่ะอานัย”
“เรื่องอะไรเหรออุ๊” อัศนัยข่มอารมณ์ ทำเสียงเรียบเรื่อย เหมือนไม่สนใจ หยิบหนังสือมาอ่าน
“เขาชอบพูดปด วันนี้ไปหาแฟนแล้วปดว่าไปหาคุณนายเพื่อนบ้านเก่าเขาค่ะ คุณแม่พาไปให้คุณตาลงโทษอยู่”
“เอ้า คุณแม่ทราบได้ไง”
“ไม่ทราบค่ะ” ยิ้มอย่างบริสุทธิ์ใจ มองหน้าอัศนัย “คนมีแฟนเค้าก็ต้องมีพฤติกรรมปกปิดบางอย่าง อุ๊บอกคุณแม่อย่ายุ่งกับชีวิตเค้า แต่คุณแม่คงเห็นว่าเป็นหลาน เราจะเสียชื่อ”
“เค้าเป็นแฟนกันจริงเหรอ” อัศนัยแกล้งถาม
“ชัวร์ค่ะอานัย”

ส่วนดอกโศกนั่งอยู่ต่อหน้าคุณตาแล้ว มีเพ็ญพักตร์นั่งคอแข็งเยื้องออกไป
“ไหนเจ้าบอกว่าไม่ใช่คู่รักไง” สุดเขตถาม
“ไม่ใช่ค่ะ”
“ตาเชื่อเจ้าไม่ได้แล้วอภิรมย์ฤดี ไม่อย่างนั้นเจ้าก็ไม่พูดโกหก มันชัดเจนอยู่ในตัว”
“ไม่ใช่จริงๆ ค่ะคุณตา”
“หยุด ! อย่าทำให้ตาโมโห จะไม่ถามด้วยว่าเจ้าโกหกทำไม เจ้าโกหกไปแล้วแสดงว่าเจ้าปิดบังความสัมพันธ์กับคู่รักเจ้า หลักฐานชัดเจนอย่างนี้ไม่ต้องฟังอะไรอีก”
“คุณตา” ดอกโศกกลั้นสะอื้น
สุดเขตนิ่งไปสักครู่ นายพลชราพยายามสะกดความโกรธ
ดอกโศกก้มหน้านิ่ง
“จำไว้ฉันเกลียดที่สุดคือคนโกหก ถ้าจับได้อีกครั้งว่าโกหก...ก็อยู่กันไม่ได้”
เพ็ญพักตร์ยิ้มในหน้า
“เพ็ญพักตร์ พ่ออนุญาตให้เธอลงโทษอภิรมย์ฤดี...แต่อย่าเฆี่ยนตี” สุดเขตบอก
“ค่ะ คุณพ่อ”
สุดเขตพยักหน้ากับดอกโศก “ไปได้”
ดอกโศกยังมองสายตาวิงวอน
“ไปได้....ฉันไม่ชอบคนร่ำไร”
นั่นแหละดอกโศกจึงเดินซมซานออกไป
“เพ็ญพักตร์ลงโทษแต่ไม่ใช่ถึงกับต้องให้มันออกจากบ้านไป” สุดเขตสำทับ
เพ็ญพักตร์ขมวดคิ้ว จ้องหน้าผู้เป็นบิดา
สุดเขตชี้หน้า “เธอเป็นคนลั่นว่าจาว่าจะทำให้มันออกไปจากบ้านอีกครั้ง”
“ถ้าทำตัวเลวก็ไม่ควรอยู่ที่นี่ต่อไป” เพ็ญพักตร์แย้ง
“พ่อเป็นคนตัดสิน” สุดเขตสวนคำพูดออกมา
“คุณพ่อไม่เห็นแก่คุณแม่เลยหรือคะ?”
“มันเกี่ยวข้องกันยังไง ฉันยังไม่เข้าใจ”
“คุณพ่อไม่คิดเหรอว่ายายมันโกรธเกลียดคุณแม่ มันก็ต้องสอนหลานมันไว้ เพราะฉะนั้นเด็กคนนี้มันไม่ชอบพวกบ้านเรา...มันอยู่แต่ตัว ใจมันไม่อยู่ พูดอะไรมันก็ไม่เชื่อ มันไม่มีวันจะดีกับเรา”
ดอกโศกฟังอยู่ที่ประตู อัดอั้นตันใจเหลือเกิน หันหลังเดินกลับไป
นายพลสุดเขตส่ายหน้ามองเพ็ญพักตร์อย่างอ่อนใจ “ฉันไม่เชื่อ”
เพ็ญพักตร์สวนทันควัน “แต่ลูกเชื่อ คอยดูกันต่อไปแล้วกันค่ะ” แล้วหันหลังเดินออกไปทันที
เห็นกิริยาลูกสาวคนโต สีหน้าสุดเขตครุ่นคิดอย่างหนัก

เวลาเดียวกัน อัศนัยกับอุ๊เดินออกมาหน้าตึกด้วยกัน
“อานัยมาแป๊บเดียว”
“คุณพ่อคุณแม่อุ๊ยุ่ง อาไม่รบกวนดีกว่า”
“คุยกับอุ๊ก็ได้นี่คะ...หรือไม่ได้?”
อัศนัยหัวเราะเบาๆ “คุยไปตั้งหลายเรื่อง ไปดูหนังสือได้แล้วจ้ะ”
“เมื่อไหร่อานัยจะมาอีกคะ”
“ก็....วันที่อานัยมาไงจ๊ะ”
“อานัย...ไม่เอาดิอุ๊ถามจริงๆ” อุ๊ออกกิริยาน่ารัก “อานัยต้องตอบจริงๆค่ะ”
“ตอบจริงๆ ได้ไงก็ต้องแล้วแต่เหตุการณ์สิครับ” จังหวะนั้นเหลือบเห็นดอกโศกแวบเดียว เห็นดอกโศกวิ่งไปทางสระน้ำ
อัศนัยขยับตัว “อากลับนะครับ”
“อานัย...อะไรกันคะเนี่ย อยู่ๆก็จะ....”
“อามีธุระด่วน ขอโทษอุ๊ด้วย แล้วอาจะมาใหม่นะครับ”
อัศนัยวิ่งออกไปเลย อุ๊จึงสวัสดีค้างอยู่อย่างนั้น

อัศนัยขับรถผ่านหน้าเพ็ญตระการไป แม้จะแปลกใจแต่อุ๊ก็หันหลังเดินกลับเข้าบ้าน เจอะเพ็ญพักตร์เดินสวนออกมา
“ไปแล้วเหรอ”
“ค่ะ รีบไปมีธุระด่วน”
เพ็ญพักตร์ถามลูกสาว “คุยอะไรกันจ๊ะ” น้ำเสียงเรียบ ยังไม่มีความรู้สึกอยากผลักดันอุ๊ให้อัศนัย
“เรื่อยๆ ค่ะ คุณตาว่าไงคะคุณแม่”
“ให้แม่ลงโทษมัน”
“วาว!... เข้าล็อคคุณแม่” อุ๊ลิงโลด
“พูดอะไรระวังด้วย...” เพ็ญพักตร์ยิ้มเยือกเย็น “มันอยู่ที่นี่ไม่ได้ แม่ไม่ยอมให้มันอยู่แย่งชิงของของอุ๊หรอก” ประโยคนี้พูดเบาๆในคอ “แค่นี้ก็แบ่งกันแทบไม่เหลืออะไรแล้ว”

ดอกโศกนั่งหน้าเศร้าหมองอาการซบเซา น้ำตาอาบเต็มใบหน้าสวยนั้น ที่บริเวณสระน้ำ
อัศนัยเข้ามาเร็วๆ หยุดชะงัก มองจ้อง ภาพที่ดอกโศกกำลังสะอื้นเงียบๆ กับตัวเอง
“ดอกโศก”
ดอกโศกสะดุ้ง หันไป ทำท่าจะโผเข้าหา แต่ชะงักตัวไว้ “คุณนัย”
อัศนัย เช็ดน้ำตาให้อย่างอ่อนโยน เหมือนเมื่อครั้ง 10 ปีก่อนที่เช็ดน้ำตาให้เด็กหญิงดอกโศก
พร้อมกับปัดผมที่รุ่ยร่ายให้เข้าที่
“ขอบคุณค่ะ”
“อดทนนะเด็กดีของคุณนัย” น้ำเสียงอัศนัยปกติ ตั้งใจปลอบขวัญ
ดอกโศกสะอื้น
“ไม่พูดเรื่องวันนี้แล้วนะ พูดถึงพรุ่งนี้พูดถึงวันต่อๆไป สัญญากับคุณนัยว่าดอกโศกจะเข้มแข็งเหมือนต้นอโศกที่แข็งแรง ลมแรงแค่ไหนก็ต้องต้านให้ได้”
ดอกโศกมองจ้องหน้าอัศนัย ฟังอย่างตั้งใจ แม้น้ำตายังเต็มสองตา
“ยึดคุณตา...คุณตาเป็นตายังไงๆ ก็ต้องคุ้มครองดอกโศก”
“คุณตาโกรธมาก”
“เรื่อง...”
“ที่ดอกโศก...” สะอื้น “พูดปด”
“คุณตาทราบ?”
“ค่ะ”
อัศนัยอึ้ง
“คุณตาให้คุณป้าเพ็ญพักตร์ลงโทษ” ดอกโศกบอก
“วันนี้เราผิด....” อัศนัยพูดแล้วทอดถอนใจ
“ค่ะ...”
“คุณนัยขอโทษ”
“ไม่ต้องค่ะ คุณนัยคิดดีแล้ว”
“คิดดีแต่คิดผิด”
ดอกโศกส่ายหน้าน้อยๆ เป็นเชิงบอก ไม่ให้อัศนัยโทษตัวเอง
“เราจะไม่ทำผิดอย่างนี้อีก...นะ”
ดอกโศกพยักหน้านิดๆ
“ขึ้นบ้านเถอะ ตรงนี้น้ำค้างแรงเดี๋ยวจะไม่สบาย”
ดอกโศกไหว้ “ขอบคุณค่ะ”
อัศนัยจับมือที่พนมเบาๆ ดอกโศกหน้าโศกซึ้ง อัศนัยอ้าแขนออกนิดๆพยักหน้าจะปลอบขวัญ ดอกโศกโผเข้าสู่อ้อมแขน
อัศนัยกอดดอกโศกด้วยใจบริสุทธิ์ ลูบผมไปมา

“คุณนายประดับสอนว่าไงเวลามีทุกข์”

อ่านต่อหน้า 2





ดอกโศก ตอนที่ 7 (ต่อ)

ภายในห้องนอนคืนนั้น ดอกโศกนั่งสวดมนต์พนมมือทำปากขมุบขมิบ พอเสร็จก็ก้มลงกราบ 3 ครั้ง เหลียวกลับมาเห็นเฉลยกำลังวางนม 1 แก้ว และผลไม้จานเล็กๆ จานหนึ่งไว้ให้ แต่ไม่ยอมมองหน้าดอกโศก
“ขอบใจ”
ดอกโศกบอก เฉลยเดินออกไป

เฉลยถือถาดออกมาจากห้อง ปิดประตูหันมาแล้วต้องสะดุ้งเล็กๆ เห็นเพ็ญตระการยืนกอดอกจ้องมองอยู่ เฉลยไม่อยากมีเรื่องจึงเดินหลีกไปอีกทาง แต่ไม่เป็นผล
อุ๊ขวางไว้ “ใครสั่ง”
“ไม่มี....เหลยทำเอง”
“ทำไม”
“ไม่ทำไมหรอกค่ะ แค่นมแก้วหนึ่งผลไม้จานหนึ่ง”
“ไม่ได้ ต่อไปนี้ห้าม”
“คุณอุ๊ นิดหน่อยนะคะจะเป็นอะไรไป” เฉลยร้องขอ
“ฉันห้าม มันไม่ใช่เรื่องของกิน มันเรื่องที่ตัวแกเฉลย”
เฉลยเข้าใจ ถอนหายใจ ระอานัก “งั้นต่อไปให้จิ๋วเอามา”
“ก็ไม่ได้” เพ็ญตระการไม่ยอม
“โธ่เอ๋ย คุณอุ๊นี่มันเรื่องเล็กนะคะ คุณอุ๊ทำเรื่องใหญ่ๆ เถอะค่ะ”
“นี่แหละเรื่องใหญ่ของฉัน ถ้าแกไม่ฟังนะ เฉลย ชั้นเอาแกออกแน่”
“งั้นเหลยไม่ฟังคุณอุ๊ ไล่เหลยออกก็ตามใจ” เดินไปทันที
“เหลย...มานี่.....บอกให้มานี่”
แต่เฉลยเดินลับตัวไปแล้ว
เพ็ญตระการจ้องประตูห้องนอนดอกโศกอย่างเคียดแค้น

เวลานั้นเพ็ญพักตร์กำลังหลับตาพริ้ม ตระกูลนวดบ่าอยู่ไปมา เพ็ญพักตร์มีสีหน้าปลอดโปร่งรู้สึกเหมือนได้ปลดปล่อยอารมณ์ ในขณะที่สีหน้าตระกูลนั้นเบื่อหน่ายเต็มทน มีเสียงปรียากมลแว่วอยู่ในหัว
“ฉันไปไม่ได้ค่ะวันนี้รู้สึกไม่ค่อยสบาย โอกาสหน้านะคะ”
พร้อมๆ กับคำพูดอัศนัยที่พูดตอบโต้ทางโทรศัพท์ “ปรียากมล อย่างคุณจะหาใครทานข้าวด้วยกี่คนก็ได้ เอาไว้วันหลังนะ”
จังหวะนั้นตระกูลขยุ้มไหล่เพ็ญพักตร์อย่างแรง
“ตระกูล.....เป็นอะไร”
“ขอโทษครับ”
เพ็ญพักตร์จับมือตระกูลทันที ให้บีบเน้นน้ำหนัก ตระกูล เบื่อเหลือเกิน
พริบตานั้นเพ็ญพักตร์ลุกขึ้น หันหน้าไปหาตระกูล
อุ๊ เคาะประตูเสียงดังมาก เพ็ญพักตร์หยุดชะงัก
“คุณแม่ขา อุ๊ไม่ยอมนะคะ” อุ๊เดินเข้ามา “คุณแม่ต้องไล่เหลยออก ต้องให้ออกนะคะเพราะมันเกลียดอุ๊ค่ะ”

เวลาต่อมาตระกูลเดินลงบันได ในขณะที่สุดสวยเดินขึ้นมา วันนี้สุดสวยแต่งตัวล่อแหลมนิดหน่อย
“ตระกูลไปไหนเหรอ”
“งาน” ตระกูลบอกห้วนๆ
“งานอะไรดึกๆ”
“นี่เพิ่งสามทุ่ม”
“ไม่ดึกเหรอ” หน้าตายิ้มแย้ม ซื่อบริสุทธิ์ใจ
ตระกูลมองแล้วครึ้มใจดีเหมือนกัน “ไปมั้ย”
“อุ๊ย...ไปได้ด้วยเหรอ...ไปสิ บอกพี่เพ็ญก่อนนะ” สุดสวยตั้งท่าจะไป
ตระกูลคว้าแขนหมับร่างสุดสวยหันกลับมา ลำตัวผวาเข้าปะทะตระกูลเต็มแรง
ตระกูลรับรู้ถึงความนุ่มนวลของร่างกายสตรีที่ปะทะตัวอยู่ แต่สุดสวยไม่รู้เรื่องถอยออกไปอย่างรวดเร็ว
“เกือบตกกะได...ดึงชั้นแรงๆ ทำไม” สุดสวยมองตาคว่ำ

เวลาต่อมาตระกูลผู้เชื่อฟังและอยู่ในโอวาทของเพ็ญพักตร์ พาตัวเองมาอยู่ที่บริเวณหน้าห้องนั้นในคอนโดแห่งหนึ่ง ตระกูลกำลังเคาะประตูอย่างแรงๆ เมียน้อยตระกูลเปิดประตู นุ่งกระโจมอก อาบน้ำเพิ่งเสร็จ เมียน้อยตระกูลคนนี้ ไม่สวยจัด อายุประมาณ 23-24 ปี ท่าทางยอมอ่อนข้อ ไม่แต่งหน้ามาก ดูค่อนข้างเรียบร้อย

“ช้าจริง”
“อาบน้ำอยู่ค่ะ”
“เสร็จรึยัง”
“แล้วค่ะ”
“ดี” ลูบไหล่ไปมา แล้วรุนหลังเข้าห้องทันที
แต่แล้วโทรศัพท์ดังขึ้น ในจังหวะที่ประตูปิดลงนั้น ตระกูลกดรับ ด้วยแววตาและน้ำเสียงลิงโลด
“ฮัลโหล....ปรียากมล คุณหรือครับนั่น”

ไม่นานต่อมา ภายในคลับแห่งนั้น ปรียากมล เต้นระบำเพื่อปลดปล่อยอารมณ์ ตระกูล สีหน้าระรื่น ชื่นบานมาก วาดลวดลายสุดเหวี่ยง
สองคนลงนั่ง ตระกูลเบียดสนิทแนบส่งแก้วเหล้าให้กับมือปรียากมล
“พอ...ฉันดื่มไม่เกิน 3 แก้ว” ปรียากมลหอบเหนื่อย
“นี่ไงแก้วที่สาม” กระกูลบอก
“สี่” ปรียากมลว่า
“สาม”
“งั้นฉันก็จะดื่มไม่เกินสองแก้ว ดีมั้ย” ปรียากมลเปลี่ยนข้ออ้างใหม่
ตระกูลนั้นเพลินเพริดไปแล้ว หัวเราะอย่างชอบใจ จับจมูกปรียากมลสั่นเบาๆ “คุณน่ารักมาก”
ปรียากมลปัดมือ “อย่าทำอย่างนี้อีก”
“ผมขอโทษ แต่คุณน่ารักจริงๆ น่ารักที่สุดที่ผมเคยพบผู้หญิงมา”
“คุณเพ็ญพักตร์?”
“ไม่พูดถึง”
ปรียากมลหัวเราะกิ๊กชอบอกชอบใจ “โอเค น่ารักก็น่ารัก แต่คุณรักไม่ได้นะ”
“ใครห้าม”
“คนที่คุณไม่ให้พูดถึงไง” ปรียากมลถนัดนักเรื่องยอกย้อน

ในเวลาเดียวกัน เพ็ญตระการ กำลังตั้งข้อสังเกตเรื่องที่ผู้เป็นพ่อออกไปข้างนอกยามค่ำคืน อยู่กับแม่

“ทำไมคุณพ่อต้องทำงานกลางคืนด้วยคุณแม่” อุ๊ถาม สีหน้าฉงน
“นัดลูกค้าคุยธุรกิจนอกเวลาน่ะดีที่สุด”
“ดียังไงคะ”
“เอ้า...คุยไป กินไป ดื่มไป ตกลงกันง่ายน่ะสิ”
“อ๋อ...อ้อ คุณแม่....ตกลงคุณแม่จะทำโทษมันยังไงคะ ตอนเนี้ยมันกำลังจะแย่งเหลยไปจากเราด้วยค่ะ” วกเข้าเรื่องดอกโศกจนได้
“อุ๊ว่าไงล่ะลูก… .ทำโทษมันยังไงดี”

เช้าวันรุ่งขึ้น ดอกโศกแต่งตัวเสร็จแล้วอยู่ในห้อง คุยโทรศัพท์กับอัศนัย เสียงเฉลยเคาะประตู
“มีคนมาค่ะคุณนัย...ดอกโศกจะไปโรงเรียนนะคะ” ดอกโศกกดปิดเครื่อง แล้วซุกไว้ในกองเสื้อผ้าอย่างเคย
เฉลยเปิดประตูเข้ามา ดอกโศกหันไปมอง
“คุณเพ็ญพักตร์ให้คุณไปหา”
“ขอบใจ”
เฉลยจะออกไปอยู่แล้ว หันกลับมา “เขาสั่งให้ทำอะไร ทำได้ก็ควรทำๆ ไป อย่าดื้อกับเขา”
ดอกโศกจ้องเฉลย แปลกใจในคำพูดและท่าที
“ไม่มีใครตายเพราะทำงานหรอก” เฉลยออกไปทันที

เพ็ญพักตร์นั่งคอยกับอุ๊แล้วที่ห้องโถงกลาง สีหน้าเตรียมพร้อมทั้งคู่ เสียงเพ็ญพักตร์กับเพ็ญตระการดังขึ้น เสียงดังพอกัน
“ว่าไงอุ๊ แต่เฆี่ยนตีน่ะไม่ได้แน่นอน”
“ให้มันทำงานหนัก หนักมากๆ แบบคนใช้เลยคุณแม่” อุ๊ปิ๊งไอเดีย
“ไม่ได้หรอกนั่นมันเป็นวิธีโบราณเลยลูก สมัยนี้ไม่มีแล้วแบบซินเดอเรลล่าน่ะ” เพ็ญพักตร์ไม่เห็นงาม
ระหว่างนั้นดอกโศกเดินเข้ามา
“ไม่อย่างนั้นคุณแม่จะลงโทษมันยังไงล่ะคะ” อุ๊ร้อนใจ
“แม่กำลังคิดอยู่”
“โธ่คุณแม่ ตีมันไม่ได้ก็มีอย่างที่อุ๊บอกนี่แหล่ะค่ะ”
ดอกโศกเดินเข้ามา ท่าทางสงบเสงี่ยมเจียมตัว สองคนแม่ลูกจ้องหน้า สายตาเยาะหยัน เหยียดหยามลึกๆ ในสีหน้า ดอกโศกนั่งเก้าอี้ คอยฟัง
“นี่แม่ดอกโศก ก่อนอื่นฉันต้องบอกแกนะว่า ฉันไม่ชอบกิริยาเฉยชาแบบนี้ของแก ฉันเป็นป้านะ เคารพกันมั่ง”
เจอดอกแรก...ดอกโศกลอบถอนใจ
“กิริยาจองหองยายแกไม่อบรมสั่งสอนมั่งรึไง”
ดอกโศกยังนิ่งอยู่
“อุ๊ บอกเขาไปอุ๊จะทำโทษเขายังไง” เพ็ญพักตร์หันไปทางลูกสาว
ดอกโศกทักท้วงทันที “แต่คุณตาให้คุณป้าลงโทษ...”
“แต่ฉันสั่งให้อุ๊ลงโทษแกแทนฉัน” เพ็ญพักตร์สวนตอบทันควัน
“มีปัญหาอะไร....ฮึ....บอกมาสิขัดข้องตรงไหนในเมื่อคุณแม่รับคำสั่งคุณตา ก็เหมือนคำสั่งคุณแม่แล้วเธอจะมีปัญหาอะไร” อุ๊เยาะ
“ไม่มีปัญหาอะไร” ดอกโศกบอกเสียงเบา
“บทลงโทษอย่างแรกเธอไปโรงเรียนเอง ไม่ให้ขึ้นรถไปกับฉันเป็นเวลา 7 วัน”
“ทำไมถึงลงโทษแบบนี้คะคุณป้า” ดอกโศกถามเพ็ญพักตร์
“นี่ พูดกับชั้น คุณแม่ชั้นไม่พูดกับเธอจำไว้ เหตุผลน่ะเหรอ เหตุผลคือ....ท่านรังเกียจเธอ”
ดอกโศกขยับตัว
“เดี๋ยวจะไปไหน” เพ็ญพักตร์เรียกไว้
“ถ้าหนูต้องไปรถเมล์ หนูควรรีบไปค่ะ”
เพ็ญพักตร์พึมพำเบาๆ “จองหอง”
“เดี๋ยว ยังไปไม่ได้ บทลงโทษต่อไปก็คือ....” เสียงอุ๊ร้องบอก

เวลาต่อมาดอกโศกนั่งอยู่บนรถเมล์ สีหน้านิ่งสงบ

นายสมขับรถมาจอดที่หน้าโรงเรียน เพ็ญตระการก้าวลง พร้อมกับโบกมือให้เพื่อนๆ เดินเข้าไปหา
“ดูอะไรกัน”
อุ๊ทอดมองไปตามสายตาเพื่อน เห็นดอกโศกกำลังลงรถเมล์ป้ายหน้าโรงเรียน
“สงสัยอะไร” อุ๊ถามอีก
“ทำไมเค้าไม่มากับเธอฮึอุ๊” เพื่อนถาม
“คุณตาสั่ง” อุ๊ว่า
“จริงเหรอ”
“จริงดิ เพราะมันน่ะโกหกคุณตา โกหกคำโตเลยล่ะ”
ดอกโศกเดินผ่าน สีหน้าเฉยชา อุ๊และกลุ่ม ยืนอยู่
“นี่...วันนี้รีบกลับบ้านนะงานรออยู่” อุ๊หัวเราะชอบใจนัก

เลิกเรียนวันนั้นที่บริเวณหน้าโรงเรียน รถที่นายสมขับมาจอดรออยู่ ประตูเปิดอยู่ เพ็ญตระการ เดินมา แล้วโบกมือบ๋ายบาย กับเพื่อน แต่พอขึ้นรถมาบนรถก็ต้องตกใจ เมื่อเห็นดอกโศกนั่งอยู่เรียบร้อย
“ลงไป.....ลงไปเดี๋ยวนี้”
ดอกโศกเฉย สีหน้านิ่งสนิท
“ฉันบอกให้ลงไปไม่ได้ยินรึไง”
“ฉันจะนั่งรถคันนี้กลับบ้านเหมือนทุกวัน”
“ไม่ได้”
“ได้” ดอกโศกบอก
“ฉันบอกว่าไม่ได้ จะให้คุณตาสั่ง คุณตาเป็นคนบอกให้ชั้นดูแลลงโทษเธอแทนคุณตา”
“เธอก็ทำแล้วไง”
“งั้นก็ลงไปสิ”
“เมื่อเช้าเธอบอกแค่ไม่ให้ฉันมาโรงเรียนกับเธอ เธอไม่ได้พูดถึงขากลับ ฉันนั่งรถคันนี้กลับบ้านเป็นประจำ ฉันก็นั่งตามปกติ”
อุ๊นิ่งอึ้ง
ดอกโศกมองสีหน้าเป็นคำถาม “มีปัญหาอะไรอีกมั้ย”
“สม” อุ๊กหันไปเอาเรื่องนายสม
“คุณอุ๊ ผมจอดรถเปิดประตูคอยคุณอุ๊ครับ เค้ามาเมื่อไหร่ไม่ทันเห็นเลยครับ”
“ฉันจะให้คุณแม่ไล่แกออก”
“โธ่ คุณอุ๊ เห็นใจหน่อยเถอะครับ”

เมื่อมาถึงบ้านรัตนชาติพัลลภ นายสมจอดรถรีบลงมาเปิดประตูให้ ดอกโศกลงก่อน
“จำได้มั้ยว่าต้องทำงานอะไรมั่ง” อุ๊เอ่ยขึ้น
ดอกโศก มองหน้าอุ๊นิ่งๆ อยู่ชั่วอึดใจ แล้วเดินหนีไป

“อีบ้า” อุ๊ด่าไล่ตามหลัง

อ่านต่อหน้า 3 เวลา 17.00 น.





ดอกโศก ตอนที่ 7 (ต่อ)

ดอกโศกเริ่มทำความสะอาดห้องนอนเพ็ญตระการ กำลังกวาดพื้นอยู่ เจ้าของห้องเดินเข้ามา แล้วเอาขี้ผงโปรยปรายต่อหน้า ก่อนจะทำข้าวของที่วางอยู่บนชั้นบนตู้ให้ล้ม พร้อมกับกระชากที่นอนที่ทำเรียบร้อยแล้วให้ยุ่งเหยิงเข้าไว้

จากนั้นก็เดินเข้าไปในห้องน้ำ ฉีดน้ำจนเลอะ เอาแป้งโรยห้องน้ำจนเปื้อนเปรอะไปหมด
อุ๊ออกมาสั่ง “ทำห้องน้ำด้วย”
“ไม่”
“ทำ”
“เธอบอกให้ทำความสะอาดห้องเธอเท่านั้น”
“แต่ห้องน้ำเป็นส่วนหนึ่งของห้องชั้น มันสกปรก เธอต้องทำด้วย”
ดอกโศกนิ่งไป
“จะทำหรือไม่ทำ” อุ๊คาดคั้นเอาเรื่อง
ดอกโศกทำงานต่อไม่ยอมตอบ
“ฉันถามว่าจะทำหรือไม่ทำ”
“เธอก็คอยดูสิ”
“ฉันรู้ว่าเธอต้องทำ งานแค่นี้สำหรับเธอมันจิ๊บจ๊อย ง่ายกว่าขายหนังสือพิมพ์ข้างถนนตั้งเยอะ...ใช่มั้ย”
ดอกโศกไม่ตอบใช้ม็อบถูพื้นก้มหน้าก้มตาถูห้องอุ๊ต่อ
“ฉันทำโทษเธอแบบนี้ไม่ชอบเหรอ มันก็เหมาะสมดีแล้วนี่ เธอเกิดมาก็ต้องทำงานแบบนี้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ หรือว่าจากสลัมมาอยู่ตึกเกิดจะทำไม่เป็นขึ้นมา”
“ฉันกำลังทำอยู่นี่ไง”
“อย่ามาเถียงชั้น...ทำไป ฟังอย่างเดียว”
ดอกโศกมองหน้า
“ไม่ต้องมามองหน้าด้วย ก้มหน้าทำไป”
“เธอนี่ประหลาดจริง” ดอกโศกว่าขึ้นมา น้ำเสียงเรียบ
อุ๊ปราดเข้ามา เงื้อมือหมายจะตี
ดอกโศกมองหน้า “คุณตาไม่ให้ตี”
อุ๊ชะงัก
ประตูห้องเพ็ญตระการเปิดอยู่แล้ว ระหว่างนั้นสุดสวยเดินผ่านมาเห็น เดินเข้ามาดู
“ทำอะไรกันอยู่”
“น้าสวย”
“ทำอะไรน่ะ ทำไมต้องให้มันมาถูห้องเธอยัยอุ๊” สุดสวยปแลกใจ
“คุณตาสั่ง” อุ๊บอก
“จริงเหรอ....สมน้ำหน้า มันทำอะไรผิด” สุดสวยเยาะ
“เขาว่าน้าสวยอีกแล้ว” อุ๊นึกบางอย่างขึ้นมา โดยฉับพลัน
“อะไรนะ...ว่า ว่าไง” สุดสวยของขึ้นแล้ว
ดอกโศกทำหน้าเบื่อหน่าย
“ว่าน้าสวยน่ะไม่เห็นสวยเลยชื่อสุดสวยได้ไง”
ดอกโศกมองอุ๊ ประหลาดใจมาก “อุ๊”
“น้าสวยอย่างนี้น้าสวยยอมเหรอ” อุ๊ใส่ไคล้ต่อ
“เรื่องอะไรจะยอม”
“หนูไม่เคยพูด...”
ขาดคำฝ่ามือของสุดสวยตบทันทีฉาดใหญ่ ใบหน้าดอกโศกสะบัดไปตามแรง น้ำตาไหลรินออกมาทันที ดอกโศกรู้สึกเจ็บมาก แก้มแดงเห็นเป็นรอยนิ้วทันตา
“โกหก” สุดสวยตวาดซ้ำ
“หนูไม่ได้โกหก....ไม่เคยว่าน้าสวยเลยค่ะ” ดอกโศกบอก
“ไม่เชื่อ แกว่าชั้นมาตลอด ขอชั้นตบแกอีกทีเถอะ”
“เอาเลยน้าสวย” อุ๊ยุส่ง
สุดสวยกราดเข้ามา ดอกโศกปัดป้อง สุดสวยแรงมากแบบคนไม่ปกติ
ผลักจนร่างดอกโศกกระเด็น หัวเหนือขมับซ้ายกระแทกโต๊ะ เลือดไหลย้อย
ดอกโศกนั่งงงงัน ก้มหน้ามองเห็น เลือดหยดลงมาที่กางเกง สุดสวยจ้องเขม็งตกใจมากที่เห็นเลือด ร้องวี๊ด..วี๊ด หันหลังกลับวิ่งออกไป
“น้าสวย...”
ดอกโศกยันตัวลุกขึ้น ไม่พูดอะไรเดินไปหยิบทิชชูมาเช็ดเลือด กดๆ ปิดปากแผลไว้ให้เลือดหยุดไหล
อุ๊ยืนขวาง ทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน ดอกโศกหยิบม็อบมาถูกต่อ....ถู.....ถู มาถึงที่อุ๊ยืนอยู่
สองคนจ้องหน้ากัน สายตาดอกโศกเย็นเฉียบ อุ๊ ถดตัวถอยไปจากตรงนั้น ก่อนจะออกไปจากห้อง
ดอกโศกถูบ้านต่อ เมื่อถูเสร็จก็จัดข้าวของบนโต๊ะ จังหวะหนึ่งเอามือกดกระดาษปิดแผลให้แน่นขึ้น
จากนั้นดอกโศกจึงหันมาทำเตียง และทำความสะอาดห้องน้ำ

เวลาต่อมาเฉลยใส่ยาพลาง ปากพร่ำบ่นพลาง “นี่มันมากเกินไปแล้ว...มากเกินไปแล้ว” ปิดปลาสเตอร์ให้ที่แผล
ดอกโศก นัยน์ตาแดงช้ำ
เฉลยส่งยา พร้อมกับส่งแก้วน้ำให้ “ทานยาแล้วนอนซะคุณอภิรมย์”

เวลาเดียวกันเพ็ญพักตร์คุยโทรศัพท์มือถือกับตระกูลอยู่ในห้อง “นัดลูกค้าคนเดิมเหรอตระกูล...อย่าดึกเกินไปแล้วกัน กลับดึกมาหลายคืนแล้วนะ” ปิดโทรศัพท์แล้วหันมาหาอุ๊ “ไม่ต้องกลัว น้าสวยทำไม่ใช่อุ๊ คุณตาไม่ว่าอะไรหรอก....ก็ดีเพราะเราจะทำเองไม่ได้ น้าสวยช่วยทำให้”
“คุณพ่อกลับดึกเหรอคะคุณแม่”
อุ๊ถามเรื่องพ่อเพ็ญพักตร์พยักหน้า
“ลูกค้าอะไรทำไมต้องเจรจาธุรกิจดึกๆ ล่ะคะ ผู้หญิงหรือผู้ชายคะคุณแม่”
“ผู้ชาย ทำไมสงสัยอะไร คุณพ่อไม่ทำนอกกรอบหรอก”
น้ำเสียงของเพ็ญพักตร์มั่นใจมาก

เวลาต่อมาภายในห้องรับแขก ที่คอนโดปรียากมล ตระกูลอยู่ที่นั่นกับเจ้าของห้อง
ทั้งคู่ดื่มเหล้ากัน คุยหัวเราะกัน ตระกูลฉุดมือปรียากมล ลุกขึ้นเต้นรำ ท่วงทำนองเพลงช้าๆ ตระกูลเริ่มรุกเข้าไป เห็นจากด้านหลังว่า ได้จูบ 1 ที ก่อนที่ร่างตระกูลจะถูกผลักให้นั่งลง
ปรียากมล เดินห่างไปที่วิทยุ กดปิด หันกลับมา ตระกูลประชิดตัวอยู่ด้านหลัง
“พอแล้ว”
“อะไรนะ” ตระกูลประหลาดใจ
“กลับบ้านคุณได้แล้ว”
“ทำไมล่ะ คุณไม่ได้....” ตระกูลจะพูดต่อ ปรียากมลสวนขึ้นก่อน
“ไม่...คุณเข้าใจผิดแล้ว ฉันยอมให้คุณมาบ้านฉันก็คือมาคุยกัน ดื่มกันนิดหน่อยก็เท่านั้น”
“แต่เมื่อกี้คุณยอมให้ผม...”
“จูบ โธ่เอ๋ย....คุณตระกูลจูบเดียวเท่านั้น” ปรียากมลบอก
“เท่านั้น แต่มันไม่ได้หมายความว่าเราอาจจะ...”
“ไม่อย่างเด็ดขาด คุณมีภรรยาแล้วนะอย่าลืม”
“แต่ผมรักคุณนะปรียากมล” ตระกูลบอกความรู้สึก
“คุณไม่รักภรรยาคุณแล้วเหรอ”
“ไม่....เราอยู่กันเพื่อลูก”
“ตามสูตร” ปรียากมลหัวเราะเบาๆ
“ไม่...ไม่มีสูตรอะไร เราไม่ได้รักกันแล้ว ผมจะมีใครก็ได้” ตระกูลหว่านล้อม
“คุณคิดว่าฉันจะยอมเป็นเมียน้อยคุณหรือจะพูดว่าเป็นเมียเก็บของคุณงั้นเหรอ”
“ไม่ใช่ ปรียากมล ถ้าเรา...รักกันจริงๆ ผมอาจจะหย่า”
“คุณเพ็ญพักตร์เธอยอมก็ดีสิ เธอหวงคุณเหมือนจงอางหวงไข่ แล้วเธอก็เกลียดฉันยังกะอะไรดี”
“ตอนนี้มีเราสองคนเท่านั้นนะครับ” ตระกูลหยอดหวานใส่
ปรียากมลฟังแล้วหัวเราะชอบใจ “แต่คุณกำลังจะทำให้เป็นเราสามคน”
“โธ่ ปรียากมลครับ” ตระกูลเว้าวอน
“กลับบ้านได้แล้วค่ะ....ฉันง่วงแล้ว”
“ก็ไปนอนด้วยกัน” ตระกูลยังคิดว่า...มีหวัง
“นี่....ฉันเริ่มแปลกใจแล้วนะที่คุณพูดไม่รู้เรื่อง”
ตระกูลนิ่งงัน
ปรียากมลหยิบกุญแจรถมาส่งให้ “ขับรถดีๆ คุณเมานิดหน่อยแล้วนะ”
“ผมไม่เมาเหล้า...ผมเมารัก”
“อีกแล้ว.....คิดว่าเก๋เหรอ รู้มั้ยมันเชยมาก โบราณมาก ไป...เร็วๆ ก่อนที่ฉันจะหมดความอดทน”
ไม่ไล่ก็เหมือนไล่ ปรียากมลเปิดประตู ตระกูลเดินผ่านออกไป ปรียากมลปิดประตู

ไม่นานหลังจากนั้น บานประตูห้องปิดลง เห็นตระกูลเดินเข้ามา มองเพ็ญพักตร์ที่หลับแล้ว หน้าไม่แต่งดูซีดเซียว อ้าปากนิดๆ
ตระกูลถอนหายใจ วางกุญแจรถที่หน้าโต๊ะเครื่องสำอาง มองบนโต๊ะ มีกระปุกเครื่องสำอางวางอยู่เต็มไปหมด
ตระกูลหยิบมากระปุกหนึ่งเอาขึ้นมาดู แล้ววางลงแรงๆ ด้วยโทสะ
“มาแล้วเหรอ” เพ็ญพักตร์ถามเสียงอู้อี้
ตระกูลฉวยผ้าเช็ดตัว เดินหนีเข้าห้องน้ำเร็วรี่ แล้วปิดประตู

คืนเดียวกันนั้น อัศนัยยังง่วนอยู่ในห้องวาดรูป อัศนัยปาดสี วาดภาพดอกโศกในวันที่พบริมสระน้ำกิริยาเศร้าสร้อย
ภาพดอกโศกในห้องที่อัศนัยวาด ไม่ใช่ภาพ portrait ทุกรูป อัศนัยวาดอิริยาบถต่างๆ ของดอกโศกที่อัศนัยจารจำ ที่เหมือนกันคือภาพส่วนใหญ่นั้นอยู่ในอารมณ์เศร้าหมอง มีไม่กี่รูปที่ร่าเริงยิ้มแย้มบ้าง บางรูปเห็นหน้านิดหน่อย เสี้ยวเดียวก็รู้ว่าคือ ดอกโศก
“คุณนัย” เสียงหมื่นเรียก
อัศนัยเสร็จพอดีกำลังเช็ดมือ “อะไรวะ” ถามโดยไม่หันไปมอง
“กาแฟมั้ยครับ”
“ถามทำไม....ไม่ต้องถาม”
หมื่นวางกาแฟ “คุณนัยใครน่ะ”
“ไอ้หมื่น จะหมื่นมากไปแล้วนะ ก็เห็นๆ ว่าใคร” อัศนัยชักฉุน
“ใครล่ะครับ” หมื่นยังทะลึ่งทะเล้นต่อ
“ไอ้...”
“อ๋อ....ไม่ใช่ เนี่ย...รู้ว่าเป็นคุณหนูดอกโศก แต่ที่คุณนัยโทร.แล้วโทร.อีกเมื่อหัวค่ำคุณนัยโทร.หาใครเหรอครับ”
“อ๋อ.....” อัศนัยเงียบไป
“เค้าไม่รับสายโทร.หาเค้าทำมั้ยเสียฟอร์มหมด” หมื่นแนะ
“เออ ออกไปได้แล้วไอ้คนมีฟอร์ม”
“จริงดิคุณนัย อย่างคุณนัยผู้หญิงคนไหนเมินก็โง่ตายล่ะ” หมื่นว่า
“เออ หมื่น แกอยู่กะฉันมานานเท่าไหร่แล้ว” จู่ๆ อัศนัยก็ถามอย่างนี้
“สิบแปดปี ตั้งแต่คุณนัยอายุสิบสาม หมื่นอายุ 8 ขวบ” หมื่นจำแม่น
“นี่แกอายุยี่สิบหกแล้วเหรอเนี้ย”
“ครับผม”
“ทำไมยังทำตัววัยรุ่น น่าเกลียดจริงๆ” ที่แท้อัศนัยหลอกด่า
“อ้าว!”
“เออ....ฉันปรึกษาอะไรหน่อย ถือกาแฟตามฉันมา”

อัศนัยเดินเข้ามาในห้องรับแขก ปรารภขึ้นกับหมื่น ขณะกำลังนั่งลง
“แกว่าฉันควรแต่งงานหรือยัง”
“ฮ้า...” หมื่นตกใจ ถาดกาแฟแทบหลุดมือ
“ท่าจะบ้า” อัศนัยว่า
“ไม่บ้า แต่หูไม่ค่อยดี ถามใหม่ครับคุณนัย”
อัศนัยนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง “เอาล่ะ ถามจริงจังฉันควรมีครอบครัวหรือยัง”
“คุณนัยเกลียดหมื่นแล้วหรือครับ ถึงจะไม่ให้หมื่นดูแล” หมื่นว่าไปนั่น ทำทีเป็นจ๋อย
อัศนัยโคลงหัวหมื่น “นึกแล้ว” แล้วลุกขึ้น “ไป...ไปนอนได้แล้ว”
ระหว่างนั้นป้าหม่อนเดินเข้าในห้อง ถามทันที
“คุณนัย ไอ้หมื่นบอกว่าคุณนัยโทร.หาแฟนแต่เค้าไม่รับสาย คุณนัยเลยหงุดหงิด จริงเหรอ”
อัศนัยได้ยินที่ป้าหม่อนบอก เขกหัวหมื่นไปหนึ่งโป๊ก หมื่นหลบไม่ทัน ร้องเสียงดัง
“โอ๊ย”
“โทร.ถึงดอกโศก” อัศนัยบอก
“เป็นอะไรคะ...” หม่อนรู้สึกเป็นห่วงขึ้นมา
“ก็ไม่รู้ไง เขาไม่รับโทรศัพท์”
“อยู่บ้านยาย หรือบ้านคุณตาคะคุณนัย” หม่อนถาม
“บ้านคุณตาน่ะสิถึงเป็นห่วง บ้านนั้นแต่ละคน...” อัศนัยชะงักค้างคำพูดไว้เท่านั้น
“ไม่รับโทรศัพท์ถือว่าไม่ปกติหรือคะ” หม่อนสงสัย
แน่นอน...อัศนัยคิด หน้าเครียดฉับพลัน
“โธ่เอ๊ย น่าสงสารเสียจริง ทำไมอาภัพอย่างนี้หนอ ทำไมไม่อยู่กะยายแล้วล่ะคะ” หม่อนพิลาปรำพัน สงสารดอกโศกจับจิต
“นั่นสิ...”

เช้าวันต่อมาสมปองขับรถตุ๊กตุ๊กปราดเข้าจอดเทียบประตูหน้าโรงเรียน ดอกโศกลงแล้วไหว้ขอบคุณ หัวยังปิดปลาสเตอร์อยู่
“เจ็บมั้ยแผลน่ะ” สมปองถาม
ดอกโศกพยักหน้านิดๆ แทนำตอบ
“เย็นนี้มารับนะไอ้โศก”
“ไม่ต้อง...”
ดอกโศกบอก แต่สมปองขับรถแล่นออกไปแล้ว

อัศนัยอยู่ในห้องทำงานอัศนัย คุยเรื่องงานอยู่กับบุรี มีเลขา หญิงวัยกลางคนใส่แว่น ท่าทางขยันขันแข็ง นั่งทำงานอยู่

“อาบุรีผมจะประกวดตั้งชื่อโรงงานเซรามิกใหม่นะครับบอกพนักงานทุกคนรางวัลให้....ห้าพันแล้วกัน เงินผมนะครับ ไม่ใช่เงินบริษัท”
“คุณนัยจะขึ้นเชียงใหม่มั้ยครับ” บุรีถาม
“ขึ้น...อีกซักสองสามอาทิตย์คงต้องขึ้นไป ไปกันมั้ยครับพี่บุรี”
“ไปไม่ได้เลยคุณนัย ผมจะขึ้นลายชุดใหม่ ต้องคุมดีๆ ไม่งั้นลูกค้าโวยแน่”
ปรียากมลเดินตัวปลิวปรี่เข้ามาเร็วๆ ไหว้บุรี “สวัสดีค่ะพี่บุรี”
“ครับ” บุรีรับไหว้ “ผมไปก่อนนะครับ” เดินออกไปจากห้อง
“อัศนัย เวลาคุณประชุมผู้ถือหุ้นฉันต้องเข้าด้วยมั้ย”
“หุ้นคุณมีแค่สิบเปอร์เซ็นต์ไม่เข้าก็ได้”
“แต่วันหนึ่ง....” ปรียากมลขยับเข้ามาใกล้ “เราจะเป็นหุ้นส่วนชีวิตกัน...นะ”
อัศนัยพยักหน้าสัพยอก “โอเค”
ปรียากมลฟาดแรงๆ หมั่นไส้เอามากๆ “เกลียด”
“อ้าว วันก่อนบอกรัก” ขณะพูดตอบ โต้ อัศนัยทำงานไปด้วยตลอดเวลา
“ก็รักน่ะสิ” ปรียากมลโผเข้าหา

ที่หน้าห้องสมปองเคาะประตู แล้วเปิดเข้ามาทันที เห็นภาพนั้น ชะงัก ยืนตาโต อ้าปากค้าง
“ปอง....เป็นอะไร”
“เปล่าฮะ เข้าได้มั้ยคุณนัย” สมปองถาม
“อ้าว ก็เข้ามาแล้ว” อัศนัยว่า
“จะมาบอกเรื่องไอ้โศก ไม่รู้ใครตีหัวมัน แตกเว่อร์เลย”

ไม่นานต่อมาสมปองขับตุ๊กตุ๊ก ไปอย่างรวดเร็ว อัศนัยมองตาม นึกถึงคำพูดสมปอง
“เมื่อเช้าฉันเห็นมันเดินโซเซอยู่ข้างถนนจะไปขึ้นรถเมล์ไปโรงเรียน เลยรับมันไปส่งเมื่อกี้ก็ไปรับที่โรงเรียนเวลานี้มันแจ้นไปหาไอ้ป้อม”
อัศนัยหน้าขรึมลงมาก นึกถึงคำพูดสมปองขึ้นมาอีก
“แต่ก็ดีไปถึงโรงพยาบาลจะได้ทำแผลหัวแตกด้วย”

เฉลยตัดสินใจเล่าเรื่องราวให้สุดเขตฟัง พอฟังแล้วสุดเขตมีสีหน้าตรึกตรองบางอย่าง เครียดหนัก

ดอกโศกมาเยี่ยมป้อม ระหว่างนั้นป้อมพูดแล้วจับมือดอกโศกซาบซึ้งใจ
“ขอบใจนะโศก”
“มันเรื่องอะไร ฮึ ป้อมบอกมาซิ” ดอกโศกถาม อยากรู้เรื่องราว
“โศก....”
“ไหนบอกซิ...เร็ว ก่อนจะโกรธจนไม่อยากพูดด้วย
“บอกอะไร”
“ทำอะไรมันถึงมาซ้อมแก พวกนั้นเป็นใคร”
“เป็น.....พวกๆกัน”
“พวกเดียวกันแล้วซ้อมกันทำไม” ดอกโศกคาดคั้น
“เข้าใจผิดนิดหน่อย”
“ป้อม แกคิดว่าฉันโง่เหรอ” ดอกโศกกระซิบดุใกล้ๆ “คิดว่าฉันไม่มีสมองเหรอ ถึงจะเชื่อแกถ้าแกไม่บอกฉันเรื่องจริงนะฉันจะเลิกพูดกะแกไปอีก 2 ปี”
“อะไรกันตั้งสองปีเชียวเหรอโศก” ป้อมโวย
“อย่าต่อรอง บอกฉันมาเดี๋ยวนี้”
อัศนัยจ้องมองที่ประตู เห็นภาพจากด้านหลังว่าดอกโศกพูดใกล้ๆ ใบหน้าป้อม

อัศนัย คุยกับดอกโศกที่นอกห้องพักผู้ป่วย
“ทำไมป้อมย้ายไปอยู่ห้องพิเศษก็ไม่ทราบค่ะ” ดอกโศกยังไม่รู้เรื่อง
“คุณนัยจัดการให้เอง”
“แพง” ดอกโศกว่า
“ไม่เป็นไร”
“ไม่ค่ะ คุณนัยไม่ต้องจ่าย ดอกโศกจะขอเงินยาย”
“ทำไมให้คุณนัยจ่ายไม่ได้หรือ หรือว่า...”
“ทำไมคะ”
“ไม่ให้คุณนัยยุ่งเรื่องของป้อมใช่มั้ย”
“คราวที่แล้วที่จะขอเงินคุณนัย ก็เรื่องของป้อม”
อัศนัยอึ้ง รู้สึกผิดขึ้นมาอีกแล้ว
“ยายคงอยากจ่ายให้ เพราะยายรักแม่ของป้อมค่ะ คุณนัยให้ยายจ่ายเถอะนะคะ”
“ดอกโศก” อัศนัยแตะแผลเบาๆ “ใครทำ”
ดอกโศกกัดปากแน่น อัศนัยถามซ้ำ
“ใครทำเหรอดอกโศก”
“น้าสวยค่ะ”
“ทำยังไง”
“เขาผลักค่ะ”
“ทำไมเขาถึงผลัก”
“เรื่องมันเยอะแยะ คุณนัยอย่าทราบเลยนะคะ”
“เจ็บมากมั้ย”
“ตอนนี้ไม่เจ็บแล้วค่ะ”
“แน่ใจนะว่าแผลไม่ต้องเย็บ”
“แน่ใจค่ะ เมื่อกี้พี่พยาบาลดูแล้ว ใส่ยาให้ด้วย แล้วยังให้ยาไปทาน”
“ดอกโศก....ไหวมั้ย” น้ำเสียงอ่อนโยน คลื่นความห่วงใยเจืออยู่เต็ม
“ไหวค่ะ”
“อย่าหลอกคุณนัย อย่าหลอกตัวเอง”
ดอกโศกก้มหน้านิ่ง
“กลับไปอยู่กับยายมั้ย คุณนัยพูดกับคุณตาให้”
“ไม่ได้หรอกค่ะคุณนัย ไม่เป็นไร ดอกโศกจะอดทนไม่อย่างนั้นก็ต้องเร่ไปร่อนมาเหมือน.....เหมือน”
“เหมือนอะไร” อัศนัยคาดคั้น
“เหมือนคนที่ไม่มีใครต้องการ”

น้ำคำ สำเนียงรันทดท้อเหลือแสนนั้น ทำเอาอัศนัยใจหายวูบ สงสารจับจิต

อ่านต่อตอนที่ 8 พรุ่งนี้




กำลังโหลดความคิดเห็น