ดอกโศก ตอนที่ 2
เป็นอันว่าในคืนนั้นดอกโศกต้องมานอนเป็นเพื่อนอุ๊ที่อ้างว่ากลัวผี และเวลานี้ดอกโศกกำลังปูที่นอนหน้าเตียงอุ๊ ซึ่งเป็นเตียงคิงไซส์ ใหญ่บึ้ม
“เสร็จรึยัง” อุ๊ถาม
“ทำไมเธอไม่ให้ฉันนอนบนเตียงกับเธอ” ดอกโศกถามพาซื่อ
“อะไรนะ” อุ๊ ชักสีหน้า หงุดหงิดขึ้นมาทันที
“เตียงใหญ่เบ้อเริ่มเบ้อเทิ่ม ฉันนอนด้วยยังมีที่เหลือ” ดอกโศกว่าต่อ
“เธอ...จะมานอนบนเตียงกับฉัน” อุ๊ถามขึ้นช้าๆ
“ใช่สิ ทำไมฉันต้องนอนหน้าเตียงล่ะ”
“งั้นบอกซิ ทำไมฉันต้องให้เธอมานอนบนเตียง” อุ๊ย้อนถามอีก
ดอกโศกฟังแล้วมีสีหน้าพิศวง แต่จริงใจไม่แสแสร้ง “เธอชวนฉันมานอนห้องเธอ”
“ทำไมต้องให้นอนบนเตียง” อุ๊คาดคั้นจะเอาคำตอบให้ได้
“ก็เธอชวนฉันมานอนกับเธอ” ดอกโศกบอกคำเดิม
อุ๊เริ่มเสียงดัง แบบทนไม่ไหวแล้ว “แล้วทำไมฉันต้องให้เธอนอนบนเตียงด้วย”
ดอกโศกไม่ตอบ แต่เปลี่ยนคำถามใหม่ “ทำไมเธอให้ฉันนอนหน้าเตียงล่ะ”
อุ๊เบื่อหน่ายเหลือเกิน คิดในใจอย่างหงุดหงิด ช่างถามคำถามโง่จริงๆ “เฮ้อ...ขี้เกียจพูดแล้ว”
ดอกโศกมองอุ๊อย่างแปลกใจ
“มองอะไร อู๊ย...เบื่อแล้ว เธอไปหยิบขวดครีมบนโต๊ะให้หน่อย” อุ๊เริ่มจิกหัวใช้
ดอกโศกมองอุ๊อย่างแปลกใจ ทำไมไม่ไปหยิบเอง
“มองอะไร บอกให้ไปหยิบครีม”
“ทำไมเธอไม่ไปหยิบเองล่ะ”
อุ๊เสียงเข้มอีกแล้ว เริ่มจะมีอารมณ์ “ฉันสั่งให้เธอไปหยิบ ก็ไปซิ”
“ไม่” ดอกโศกยืนกราน
“เอ๊ะ เธอไปหยิบเดี๋ยวนี้นะ”
“ไม่ไป”
“ฉันบอกให้ไป” อุ๊ผลักร่างดอกโศกอย่างแรง
“ทำไมต้องผลักล่ะ” ดอกโศกถามอย่างจริงใจ
“ก็เธอกวนโมโหฉัน ไปหยิบครีมมาเดี๋ยวนี้นะ”
“ไม่ไป ฉันไม่ใช่คนใช้เธอนี่ ไปหยิบเองสิ”
อุ๊มองจ้องหน้าดอกโศก เครียดจัดที่ถูกขัดใจ แต่ไม่รู้จะทำยังไง ได้แต่ฮึดฮัดไปมา
จังหวะนั้นมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ก่อนที่จะเห็นตระกูลเปิดประตู้เข้ามา
“คุณพ่อ” อุ๊ลุกพรวด โผเข้าไปในอ้อมแขนพ่อ
“ทำไมป่านนี้ยังไม่นอน ไปขึ้นเตียง พ่อปิดไฟให้” ตระกูลดุนิดๆ
“ค่ะ” อุ๊ขึ้นนอนบนเตียงอย่างว่าง่าย
ตระกูลก้มลงห่มผ้าให้เพ็ญตระการ จูบหน้าผากเบาๆ แล้วปิดไฟหัวเตียง
ดอกโศกจ้องมองภาพนั้น สายตาหมองลงทันที ตระกูลหันมามองดอกโศก นิ่งสักครู่ ไม่พูดอะไรก่อนจะก้าวออกไป
ดอกโศกล้มตัวลงนอนพอหลับตา ก็ต้องลืมอย่างเร็ว เสียงอุ๊แหลมขึ้นมา
“ดอกโศกคิดว่าตัวเองเป็นหลานคุณตาเหมือนกันใช่มั้ย แต่ยายเธอเป็นคนใช้ ฉันเป็นหลานคุณหญิง คุณแม่ชั้นเป็นลูกคุณหญิงย่ะ”
“แต่ฉันเป็นคนเหมือนเธอ” น้ำเสียงดอกโศกเหมือนจะลังเลไม่ค่อยแน่ใจ
อุ๊หัวเราะพูดประชดเสียงแหลม “ก็คนน่ะสิถึงได้ไม่เท่ากันไง”
พูดจบอุ๊ก็เดินไปที่ตะกร้าใส่ลูกหมาตัวเล็กๆ อุ้มขึ้นมาเชยชม เรียกขานอย่างรักใคร่ “ โอ๋ หนูจุ๊บแจงของแม่ “ แล้วพาไปนอนด้วยบนเตียง กอด..ลูบหัวให้นอน
ดอกโศกจดจ้องสายตามองตามจากไม่เข้าใจเป็นเริ่มคิดอะไรได้
ดอกโศกนอน ไฟมืดสลัวทั้งห้อง แต่ดอกโศกไม่หลับ ลืมตาโพลง คิดทวนคำพูดเหยียดหยันเมื่อครู่ของ อุ๊ เพ็ญตระการ
“ก็คนน่ะสิถึงได้ไม่เท่ากันไง”
ดอกโศกพลิกตัวนอน รู้สึกโตขึ้น เข้าใจอะไรมากขึ้นชั่วข้ามคืน จู่ๆ น้ำตาหยดหนึ่งไหลรินที่ปลายหางตา ดอกโศกยกมือปาดแรงๆ
เช้าตรู่วันต่อมาดอกโศก ยืนอยู่ปลายเตียง มองจ้องอุ๊ เห็นอุ๊ยังหลับสนิท นอนเปะปะ น้องหมาจุ๊บแจงยังอยู่ในอ้อมกอด
สีหน้าดอกโศกตรึกตรอง หน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ สักครู่จึงหันหลังกลับ ก้าวเดินถึงประตูแล้ว เสียงอุ๊เรียกไว้
“เดี๋ยว”
ดอกโศกหันกลับไป
อุ๊นั่งอยู่บนเตียง กอดจุ๊บแจงไว้ในอ้อมกอด ดอกโศกถามด้วยสายตา
“รู้มั้ย...ที่นี่ไม่มีใครเค้าต้อนรับเธอ กลับไปอยู่กับยายซะสิ” อุ๊บอก
“กลับไป คุณตาก็ไปรับมาอีก” ดอกโศกว่า
อุ๊ฉุนกึก กระโดดลงจากเตียง “โธ่เอ๊ย คุณตาไม่ทำอะไรขนาดนั้นหรอก ไม่รู้จักคุณตาซะแล้ว หยิ่งจะตาย”
“ไม่เห็นเกี่ยวเลย” ดอกโศกบอก
“ทำไมจะไม่เกี่ยว โธ่เอ๊ยโง่จริง”
“เธอขายหนังสือพิมพ์ที่สี่แยกเป็นมั้ยล่ะ” ดอกโศกย้อนถาม
“เชอะ..เรื่องอะไรชั้นจะเป็น” เพ็ญตระการน้ำเสียงเชิดหยิ่ง
ดอกโศกจ้องนิ่ง และยิ้มเยาะลึกๆ ในสีหน้านั้น “โธ่เอ๊ย...โง่จริง” แล้วหันหลังกลับเดินออกไปจากห้องทันที
เสียงอุ๊กรี๊ดอยู่ข้างหลัง ปาหมอนถูกหัวดอกโศกเต็มแรง
ดอกโศกหยิบหมอนแล้วปาคืนสุดแรงเกิดใส่อุ๊ ถูกอุ๊จังๆ อุ๊กรี๊ดอีกเผ่นลงจากเตียง พุ่งใส่ ดอกโศกออกไปก่อนแล้วปิดประตูใส่หน้าอุ๊พอดิบพอดี
ครู่ต่อมาอุ๊ ก็มายืนเคาะประตูห้องสุดสวยน้าสาว เสียงเคาะค่อนข้างแรง
“ใคร?” สุดสวยถามเสียงแหลม “ใครมาเคาะประตูเสียงดัง”
ไม่นานหลังจากนั้น สุดสวยนั่งฟังอุ๊พูด
“มันก๊วน...กวนค่ะ น้าสวย อุ๊สงสารอุตส่าห์ชวนมานอนด้วย แต่มันมาพูดไม่ดีกะอุ๊ค่ะ”
“เหรอ..มันพูดว่าไง” สุดสวยมีท่าทีกระตือรือร้น
“อย่ารู้เลยค่ะน้าสวย แต่มันน่ะพูดไม่ดีถึงน้าสวยด้วยค่ะ” อุ๊ เพ็ญตระการ พูดเรื่องเท็จ
“อะไรนะ พูดอะไรพาดพึงถึงน้า น้าเกี่ยวอะไรด้วยล่ะ” ได้ผลชะงัด สุดสวยของขึ้นทันที
“มันว่าน้าสวยน่ะเป็นลูกอิจฉาค่ะ”
“บ้าแล้ว อิจฉาใคร มันพูดรึเปล่าอุ๊”
“อิจฉาแม่มันค่ะ มันว่าพอแม่มันเกิด คุณยายก็รีบท้องน้าสวยเลยค่ะ น้าสวยเลยเป็นลูกอิจฉาค่ะ”
“ทุเรศ มันต้องตาย อีเด็กบ้า”
สุดสวยพุ่งตัวออกไปจากห้องทันที
เวลาต่อมาเพ็ญพักตร์กับอุ๊ ซึ่งอยู่ชุดนักเรียนคุยกันขณะเดินลงบันไดมาชั้นล่าง
“ใช่มั้ยคะคุณแม่...คุณแม่เคยเล่าให้อุ๊ฟังนี่คะเรื่องน้าสวยเป็นลูกอิจฉา”
อุ๊พูดกระซิบ สองคนแม่ลูกลงบันได
“แม่ว่าอุ๊อย่าไปเกี่ยวข้องกับน้าสวยดีกว่า” เพ็ญพักตร์ปรามลูกสาว
“ไม่..อุ๊จะให้น้าสวยเอามันให้ตาย..ทำไมล่ะคะคุณแม่ทำไมไม่ได้”
“นี่อุ๊ ไม่รู้หรือว่าน้าสวยน่ะเขาเหมือนคนธรรมดาอย่างเราที่ไหนเค้าน่ะ” เพ็ญพักตร์ลดเสียงพูดเบาลง“เหมือนโรคจิตนิดๆ เห็นมั้ย”
ลึกลงไปในสีหน้าของเพ็ญตระการ ขณะเขม้นมองไปทางห้องของดอกโศก รู้ดีว่าอะไรจะเกิดขึ้น
ดอกโศกแต่งตัวนักเรียนเรียบร้อยแล้ว เดินออกจากห้อง ฉับพลัน ก็มีมือแข็งแรงคู่หนึ่งก็จิกหัวเต็มแรง ดอกโศกตกใจตาเหลือก ตัวปลิวตามไป ถูกเหวี่ยงไปฟุบกับพื้น
เห็นสุดสวยยืนมองจ้องดอกโศก สายตาวาวอย่างเอาเรื่อง
ดอกโศกพลิกหน้าขึ้นมองสุดสวยอย่างงุนงงมาก
สุดสวยชี้หน้า “อย่านะแก”
“อย่า...อะไร” ดอกโศกถามน้ำเสียงแผ่วเบา เจ็บไปทั้งตัว จนน้ำตาซึม
สุดสวยเดินมาแล้วจิ้มนิ้วบนหน้าผากอย่างแรงจนหน้าหงาย
“อย่ากำเริบอีลูกคนใช้..แกลูกหลานคนใช้..คนใช้..คนใช้” สุดสวยจิ้มหน้าดอกโศกติดกันหลายๆ ที “ยายแกเป็นคนใช้รู้ไว้ด้วย แกต้องอยู่อย่างคนใช้รู้ไว้ด้วย...เข้าใจมั้ย” พูดจบก็เดินพรวดหายไปจากตรงนั้น
ดอกโศกงงมาก ลูบหน้าผากรู้สึกเจ็บ มองดูขาทำท่าเจ็บ เด็กหญิงตัวน้อยค่อยๆ ยันกายลุกขึ้น
เมื่อมาถึงโรงเรียน และห้องเรียนเวลานี้ดอกโศกยังเก็บเอาเรื่องราวที่เกิดขึ้นมาครุ่นคิด ตรึกตรอง งงๆ ไม่เข้าใจ ในขณะที่เพื่อนๆ เล่นกันสนุก ปาก้อนกระดาษใส่กัน บางคู่คุยกัน บางคนพูดตลกขำๆ แล้วหัวเราะกัน
“ครูมาแล้ว” เพื่อนคนหนึ่งตะโกนบอก
พรึ่บเดียว ทั้งห้องก็อยู่ในความเรียบร้อย
“วิชาหน้าที่พลเมืองและศีลธรรม...เปิดหนังสือ” เสียงครูสั่ง
สีหน้าดอกโศก ยังคงครุ่นคิด แม้จะก้มหน้าดูหนังสือ
“พลเมืองของทุกประเทศมีหน้าที่ ที่สำคัญที่สุดต้องเป็นพลเมืองดีปฏิบัติตาม กฎหมายไม่ละเมิด ต้องทำงาน ต้องเสียภาษีให้รัฐ รัฐจะได้เอาไปทะนุบำรุงประเทศ” เสียงครูอ่านข้อความในบทเรียน
ดอกโศกยังคงคิดถึงสุดสวยเมื่อเช้า มือลูบคลำหน้าผากอย่างลืมตัว
“คุณครูครับ” เด็กคนหนึ่งพูดเสียงดังฟังชัด
ดอกโศกสะดุ้ง หันไปมอง
“พลเมืองมีหน้าที่กับรัฐ แล้วรัฐมีหน้าที่อะไรกับพลเมืองมั้ยครับ”
มดเพื่อนนักเรียนเห็นอาการดอกโศกจึงถามขึ้น “ดอกโศก เป็นอะไรหรือเปล่า”
“เปล่า...ทำไมเหรอมด”
“เหมือนคนร้องไห้” มดตั้งข้อสังเกต จากที่เห็น
“ร้องไห้อะไร มีน้ำตาที่ไหนล่ะ” ดอกโศกปฏิเสธตาใส
“ร้องอยู่ข้างใน” มดบอกอย่างจริงใจ
หลังเลิกเรียนวันนั้น ดอกโศกแอบอยู่ คอยยาย ไม่นานนักสมใจเดินมา หาบเปล่าขายของหมดแล้ว มองเห็นดอกโศกรีๆ รอๆ อยู่เบื้องหน้า ตรงประตูบ้าน
“โศกเอ๊ย” สมใจดีใจหนักหนา
ดอกโศกโถมตัวเข้าไปหาสมใจ กอดยายพัลวัน ยายหลานหัวเราะด้วยน้ำตาไหลด้วย “ยายจ๋า..คิดถึงยาย”
“ยายก็คิดถึงเอ็ง เป็นไงอยู่สบายมั้ยลูก”
ดอกโศกไม่ตอบ ถอนหายใจแรงๆ “อยากกลับมาอยู่กับยาย”
สมใจมองจ้องหน้าหลาน “มีอะไรรึไอ้โศก เค้าทำอะไรเอ็ง”
“เปล่าหรอกจ้ะ...ให้หนูกลับมานะยาย มาช่วยยายทำขนม”
ระหว่างนั้นเสียงอันคุ้นหูของสมหวังก็ดังขึ้น
“นังโศก” เสียงดังมาก
สองคนยายหลานสะดุ้ง หันไป
“ถ้ามึงหนีกลับมา เขาจะมาเอาถึงตาย เพราะเขาให้เงินมาแล้วรู้ไว้ด้วย อยากให้ยายมึงตายรึ...”
บริเวณทางเดินออกจากบ้านเวลาต่อมา สมใจกอดดอกโศก ใบหน้าเศร้าทั้งคู่ สมใจพูดได้คำเดียว “อดทนนะลูก..อดทน” ดอกโศกไหว้ยาย เดินก้มหน้าก้มตาออกไป
ทางกลับบ้านต้องผ่านซอยที่ขายหนังสือพิมพ์ ดอกโศกแวะไปหาป้อมเล่าเรื่องให้ฟัง เวลานี้ป้อมมองจ้องดอกโศก
เห็นดอกโศกนั่งหน้าโศกเศร้าอยู่ น้ำตาคลอๆ ก้มหน้าหมดอาลัยตายอยาก
“หนีสิโศก”
ดอกโศกเงยหน้ามองป้อม “หนีไปไหน”
ป้อมนิ่งงัน
ดอกโศกหัวเราะฝืนๆ ยิ้มทั้งน้ำตา “ไปนะ” แล้วลุกขึ้น
“ฮื่อ” ป้อมรับรู้ ดอกโศกก้มลงมองมือของเพื่อนซี้ มือป้อม เล็บดำปี๋ มือมีคราบฝุ่นละออง บีบมือดอกโศกอย่างปลอบโยน
ดอกโศกมองนิ่ง น้ำตาหยดเผาะลงบนมือป้อม พยายามข่มอารมณ์ ป้ายน้ำตาแรงๆ แล้วออกเดิน
ป้อมเดินตาม “ทำไมต้องกลัวเค้าด้วยล่ะโศก”
“เค้าน่ากลัว..บ้านนั้นมีคนน่ากลัวตั้งหลายคน” ดอกโศกว่า
“จริงเหรอ..เฮ้อ...ทำไมต้องอยู่ด้วยล่ะ กลับมาอยู่กับยายสิ” ป้อมออกความเห็นประสาเด็ก
ดอกโศกเดินเข้าบ้านทางประตูเล็ก ก้มหน้าก้มตาเดิน เป็นเวลาเดียวกับที่รถอัศนัยขับตามหลังมา ก่อนจะจอดนิ่ง
ดอกโศกไม่อยากดู เดินห่างออกมา
เสียงอัศนัยเรียกขึ้นมา “ดอกโศก”
ดอกโศกหันขวับมามอง...คิดนิดหน่อยแล้วจำได้ ไหว้อย่างนอบน้อม
“หนูอยู่ที่นี่หรือ” อัศนัยถามขณะที่ก้าวลงรถมา
ดอกโศกพยักหน้า
“วันก่อนเห็นนั่งรถมายังแปลกใจ อ้าว...แล้วทำไมต้องไปขายหนังสือพิมพ์”
ดอกโศกส่ายหน้าไม่อยากตอบ ออกเดิน
“เดี๋ยวสิ ดอกโศก” อัศนัยเรียกอีก
ดอกโศกหันไปมองหน้านิ่งๆ
“เพิ่งมาอยู่หรืออยู่นานแล้ว”
ดอกโศกสั่นหน้าอีก แล้วออกวิ่งไป
“เดี๋ยว” อัศนัยวิ่งตาม “ดอกโศก....พูดกันก่อน” ชายหนุ่มตามมาจนทัน และจับตัวไว้
ดอกโศกเบี่ยงตัวออก “ไม่ค่ะ จะรีบไป”
“อยู่บ้านนี้ อยู่แบบไหน”
“แบบลูกคนใช้” ดอกโศกสะบัดเต็มแรง แล้ววิ่งหนีไปอย่างเร็ว
อัศนัยขยับตัวจะตาม แต่ก็หยุด มองไปสีหน้ายังคงพิศวง
เวลาต่อมาอัศนัยกับตระกูลนั่งคุยกันเรื่องธุรกิจ ภายในห้องรับแขกใหญ่ เพ็ญพักตร์ เดินออกมารับอุ๊ที่กลับจากโรงเรียน
“ทำไมกลับช้า สมไปรับช้าเหรอลูก”
“ทำการบ้านอยู่ค่ะ ใครคะ คุณแม่” อุ๊ถาม
“เขาชื่อคุณอัศนัย เขาเป็นหุ้นส่วนของคุณพ่อ ไปรู้จักเขาหน่อย”
“ไม่ค่ะ....อุ๊จะรีบไปทำการบ้าน” เพ็ญตระการรีบไป
ดอกโศกกำลังจะเดินเข้าห้อง อุ๊เข้ามาจับแขนเสื้อ จะดึงไป
“ไปห้องฉันก่อน”
“ไม่ไป” ดอกโศกบอก
“ต้องไป” อุ๊คาดคั้น
“ไม่”
“เอ๊ะ ชั้นบอกให้ไป” อุ๊ เริ่มเดือด
“ชั้นไม่ไป”
“ทำไม”
“ไม่อยากไป”
“ไม่อยากก็ต้องไป”
อุ๊ตีไปตามตัว ดอกโศก ฟาดอุ๊กลับไปมั่ง สุดสวยเข้ามาตอนไหนไม่รู้ ดึงเสื้อดอกโศกจากด้านหลังจนตัวลอย ก่อนจะเหวี่ยงไปฟุบ
“อวดเก่งรึแก”
ดอกโศกลุกมาอย่างรวดเร็ว “คุณน้า ถ้าทำหนูอีกหนูจะฟ้องคุณตา”
“ฮ่ะ...ฮ่ะ ฟ้องเหรอ” สุดสวยเดินเข้ามากระชากตัวขึ้นอีกจนหน้าทั้งคู่เผชิญหน้ากัน “เอาเลย ไปฟ้องเลย”สุดสวยเขย่าแรงๆ นัยน์ตาโหดเหี้ยม “อยากฟ้องนักใช่มั้ย ฮะ...ชั้นจะได้ตีแกให้ปางตายเลย แกจะได้มีเรื่องฟ้องหลายเรื่องหน่อย” เหลียวหาอะไรเพื่อมาตี
อุ๊ เห็นรีบเปิดกระเป๋านักเรียนหยิบไม้บรรทัดส่งให้อย่างรวดเร็ว
สุดสวยหยิบมาได้ก็ กระหน่ำตีไม่ยั้งมือ ตีซ้าย ตีขวาๆๆๆ ดอกโศกพยายามอึด..ฮึด นัยน์ตาแห้งผาก กัดฟันแน่นไม่ยอมร้อง แต่พอถูกตีมากเข้าเจ็บกินจะทน...สุดท้ายระเบิดน้ำตาออกมาอย่างแรง ร้องไห้เจ็บปวด เสียงนั้นก้องสะท้านใจ
ไม่นานหลังจากนั้นดอกโศกยังร้องไห้ นั่งอยู่ตรงหน้านายพลสุดเขต ได้บอกเล่าเรื่องราวไปจนหมดแล้ว คุณตานิ่งอยู่อึดใจ เพราะรู้นิสัยลูกสาวดี ดอกโศกมองอย่างฉงน
“ต่อไประวังตัวแล้วกัน” คุณตาบอก
ดอกโศกจ้องคุณตาอย่างงงงวย
“เห็นเขาก็หลบๆ อย่าให้เขาเห็นหน้า”
“แต่ว่า..คุณน้าทำไมต้องตี หนูยังไม่ทำอะไรผิด” ดอกโศกไม่อาจไม่ถาม
“ไปได้แล้ว”
ดอกโศกยังคงจ้องหน้าคุณตาอยู่อย่างนั้น
“บอกให้ไปไงเล่า ยังจะมาจ้อง” สุดเขตบอกเสียงเข้ม ดังขึ้น
ขณะดอกโศกเดินออก สุดสวยสวนเข้ามาพอดี ดอกโศกมองอย่างแค้นเคืองใจ
“มองอะไร ฮะ อยากเจ็บตัวอีกรึไง” สุดสวยโมโหฟาดเข้าไปอีกโครม
“คุณตา” ดอกโศกบอกเสียงดัง “ตีหนูอีกแล้ว”
“รีบออกไปสิ รออะไรละ” นายพลสุดเขตตวาดแรง
ดอกโศกก้าวพรวดออกไป
“สุดสวยมานั่งนี่ลูก” สุดเขตพาลูกสาวคนเล็กเดินหันหลังให้ดอกโศก
ดอกโศกเอี้ยวตัวหันมามอง รู้สึกแปลกใจมาก
ทั้งแค้นใจ และไม่เข้าใจ ดอกโศกจึงร้องไห้ออกมา ขณะซุกตัวอยู่ในพุ่มไม้ที่บริเวณหน้าบ้าน
อัศนัย ถือกุญแจรถกำลังจะกลับ เดินลงจากตึก เห็นดอกโศก จึงขยับเดินเข้าไปหา
“ดอกโศก”
ดอกโศกหันมา น้ำตาเปรอะเต็มสองแก้ม นัยน์ตาช้ำ อัศนัยเดินเข้าไป ดอกโศกลุกขึ้นแล้ววิ่งหนีไปอัศนัยมองตามเด็กหญิงด้วยสายตาพิศวงสงสัย
เย็นวันนั้นพอกลับมาถึงบ้าน อัศนัยก็วาดรูปดอกโศกที่เห็นเมื่อบ่ายที่บ้านรัตนชาติพัลลภทันที
ชายหนุ่มวาดหยดน้ำตาเห็นเป็นเม็ด สีหน้าดอกโศกเศร้าสร้อยยิ่งนัก ดูแล้วน่าสงสาร อัศนัยเพ่งมองใบหน้านั้นหัวใจชายหนุ่มอ่อนไหว รู้สึกผูกพันอย่างประหลาด
เวลาเดียวกัน ดอกโศกนั่งเศร้าอยู่บนเตียง ขณะที่เฉลยเอาเสื้อผ้ามาใส่ตู้ พอปิดประตูก็เหลียวมาดูดอกโศก
“เฉลย...” ดอกโศกเรียกขึ้น
เฉลยไม่ขานตอบ แต่ทำสีหน้าเป็นคำถาม
ดอกโศกถามต่อ “คุณน้าสุดสวยเขา.....เขาเป็นอะไร”
เฉลยมองเฉยๆ ไม่ตอบ
“เขาชอบตีคนเหรอ” ดอกโศกถามต่อ
“คุณไปทำอะไรล่ะ คุณอภิรมย์ คนดีๆ คุณสุดสวยเธอจะตีทำไม ไม่ต้องโทษเธอหรอก โทษตัวเองนั่นแหละ”
“ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย เขาตี...” ดอกโศกพยายามบอก
เฉลยสวนขึ้นทันที “ไม่ได้ทำ...คุณไม่ทำใครเขาจะตีคุณมาอยู่ใหม่ๆ ทำตัวอย่างนี้ถูกตีก็ดีแล้ว...เจ็บตัวเสียมั่ง”
พูดจบเฉลยเดินเชิดออกไปทันที ดอกโศกมองตามอย่างโกรธๆ
อ่านต่อหน้า 2
ดอกโศก ตอนที่ 2 (ต่อ)
ช่วงบ่ายของอีกวันต่อมา ภายในซอยขายหนังสือพิมพ์ ดอกโศกในชุดนักเรียนนั่งอยู่กับป้อม ซึ่งป้อมรับรู้เรื่องร้ายที่เกิดขึ้นกับดอกโศกแล้ว
“กลับมาอยู่กับยาย” ป้อมบอกคำเดิม
“กลับไม่ได้”
“ทำไม”
“ยายไม่ให้กลับ” พูดเท่านี้ความสะเทือนใจพลุ่งขึ้นมาเป็นริ้วๆ ดอกโศกซบหน้ากับเข่าร้องไห้เงียบๆ
“แล้วทำไง”
“ก็อยู่ต่อ”
ป้อมนิ่งไป สีหน้าเห็นใจเพื่อนรัก มีอารมณ์ร่วมสุดตัว
ดอกโศกเงยหน้าเช็ดน้ำตาง่วน พูดซ้ำๆ “อยู่ต่อไป”
“ทำอะไรเค้าถึงตี” ป้อมสงสัยขึ้นมา
“ไม่รู้ ยังไมได้ทำอะไรซักอย่าง” ดอกโศกตอบ เพราะยังงมาจนตอนนี้
“อ้าว...แล้วทำไมถึงตี”
“ยังคิดอยู่เนี่ย”
“คนอื่นล่ะ เค้าดีกับโศกมั้ย”
“ไม่ค่อยดีหรอก” ดอกโศกตอบตามความจริง
“ไม่มีคนดีเลยเหรอ”
“ยังไม่เจอ”
“ตายละวา” ป้อมตบเข่า ทำท่าแก่แดด “จะอยู่ยังไงล่ะโศก”
ดอกโศกถอนหายใจใหญ่ “ก็ต้องอยู่”
“วะ...อยู่ไม่ได้อยู่ทำไม กลับมาอยู่กะยายสิ” ป้อมฉุน สงสารเพื่อน
“บอกแล้วไงว่า ยายไม่ให้มา”
“ไม่ใช่ยายหรอก ตาใช่มั้ยล่ะ” ป้อมรู้ทัน
“ฮื่อ เพราะ....เอาเงินเค้ามาแล้ว เงินเยอะ ตั้งหมื่น”
ป้อมอ้าปากค้าง ตาโตเป็นไข่ห่าน “หมื่น...หมื่นเหรอ” ป้อมเกาหัวยิกๆ “เยอะแค่ไหนหว่า”
ดอกโศกขำท่าทีป้อม หัวเราะเบาๆ “ไม่รู้ รู้แต่...” สีหน้าสลดลง มองหน้าป้อมนิ่งๆ นัยน์ตาหมอง...อ้างว้าง น้ำตารื้นขึ้นมาอีก “ว่าต้องอยู่นาน”
ป้อมพลอยเศร้านัยน์ตาเห็นใจมาก
“ก็ต้องอดทน ให้รู้กันไปว่าแค่นี้ทนไม่ได้”
ป้อมเริ่มยิ้มออก...แล้วคลี่ยิ้มกว้าง แววตาลิงโลด
“ดอกโศก คนเก่าฟื้นแล้ว”
สองเด็กน้อยตบมือกันแรงๆ
“ตายไม่นานหรอกเว๊ย” ดอกโศกว่า
ป้อมยกนิ้วให้ ดอกโศกลุกเดินพลางพูดพลาง ป้อมเดินตาม
“เฮ้ย...ระวังตัวนะป้อม เห็นรถแล่นเร็ว เขาต้องให้รถมันหยุดก่อนนะค่อยลงไปขาย ขายไปต้องดูไฟไปนะ อย่าขายเพลินล่ะ”
ที่พึ่งที่ยึดเหนี่ยวเดียวของดอกโศก ในยามนี้ มีเพียงป้อมเท่านั้น หากใครผ่านมาคงจะได้เห็นภาพอันน่ารัก ถ้าเด็กสองคนพูดคุยท่าทีจริงจัง ปรึกษากันเบาๆ แบบเด็กๆ สีหน้า สายตาตอบรับกันไปมา
ดอกโศกเดินเข้าบ้านมา หน้าตาสบายๆ จากที่คุยกับป้อมมา เห็นอ้นกับโอ๋ หรือ มนัสสุข เล่นกันอยู่หน้าตึก วิ่งไล่จับ กระโดดเชือก โยนห่วงยาง ส่วน อุ๊หัดเดินเลียนท่านางแบบ สลับกับหัดเต้นบัลเล่ต์ เต้นอยู่คนเดียว
ดอกโศกเดินมานั่ง อุ๊หยุดเต้นหันมามอง
“เล่นกันมั้ย” อ้นเชื้อชวน
ดอกโศกยิ้มรับพยักหน้า “เล่น” เดินเข้าไปหา
โอ๋ไม่พอใจ หน้างอแล้ว
“เอ้า...มาทางนี้” อ้นบอก
โอ๋เดินมาที่อุ๊ บอกกันด้วยสายตา
“อ้น...ไปเล่นกะเค้าทำไม” อุ๊ว่า
“อ้าว...เล่นไม่ได้เหรอพี่อุ๊” อ้นงง
ดอกโศกหน้าประหลาดใจมาก ยืนมองสีหน้าเป็นคำถาม ซึ่งกวนประสาทอุ๊มาก
“ไม่ต้องมามองหน้าชั้น ชั้นไม่ให้น้องชั้นไปเล่นกะเธอ”
“ชั้นก็น้องเธอ”
“น้องชั้น ฮะ...ฮะ โอ๋....ได้ยินรึเปล่า”
อุ๊หันไปหาแนวร่วม คือโอ๋ จากนั้นสองคนหัวเราะจนตัวงอไปงอมา
แต่ดอกโศกไม่ยี่หระ มองเฉยๆ
“พี่อุ๊ เค้าพูดไม่จริงเหรอ” อ้นถาม
“ไม่จริง...มันเป็นลูกคนใช้จะมาเป็นน้องเราได้ไง” อุ๊บอกเสียงเหยียด
อ้นเกาหัวยิก งงไม่หาย “ก็คุณปู่บอกว่าเป็นพี่น้องกัน”
“แต่เราไม่ยอมรับซะอย่าง” อุ๊ยืนกราน
“รับไม่รับชั้นก็เป็นน้องเธอ...” ดอกโศกบอก
อุ๊โมโห อ้าปากจะพูดโต้ตอบ “แต่ว่า.....”
ดอกโศกพูดต่อไปไม่ยอมฟัง “เธอต้องให้คุณตาบอกชั้นถึงจะเชื่อ”
ดอกโศกพูดจบ หันหลังกลับเดินไป อุ๊วิ่งไปกระชากไหล่ให้หันกลับมา อ้น โอ๋ วิ่งตามไป
“ชั้นจะฟ้องคุณตา จะฟ้อง...จะฟ้อง...” อุ๊รัวตีไปตามตัวดอกโศกพัลวัน
“พี่อุ๊ อย่า....อย่าทำเค้า” อ้นร้องห้าม
ดอกโศกปัดป้องอุ๊ได้ด้วยความว่องไวประจำตัว กระโดดไปยืนห่างออกไป
อุ๊พูดซ้ำ “ชั้นจะฟ้องคุณตา”
ดอกโศกไม่ยี่หระ “ไปฟ้องเลย”
“จะฟ้อง...” อุ๊อยู่เท่านั้น ไม่รู้จะพูดอะไรอีก
ดอกโศกท้าทาย “เมื่อไหร่ล่ะ”
“ท้าเหรอ” อุ๊ฉุนขาดแล้ว
“ท้า” ดอกโศกจ้องหน้า
อุ๊ นิ่งอึด...ต่อไม่ถูก
โอ๋ยุส่ง “พี่อุ๊...เอาเลยสิ”
“มาเลยอุ๊” ดอกโศกทำนิ้วกระดิกเรียกอย่างท้าทาย
อุ๊จ้องแบบเคียดแค้นสักครู่ หันหลังวิ่งไป โอ๋วิ่งตาม อ้นยืนเก้อๆ อยากพูดแต่ไม่กล้า ดอกโศกเดินจากมาอย่างเร็วๆ
ดอกโศกเดินจ้ำ อ้นวิ่งมากระโดดมาขวางหน้า
“ทำไม”
จู่ๆ อ้นยกนิ้วโป้งให้ ดอกโศกเอียงคอมอง ยิ้มนิดๆ อ้นเลยยกให้อีกนิ้วโป้ง
“ไม่เก่งหรอก”
อ้นยกนิ้วโป้งสองนิ้วเป็นการย้ำ
“ก็มันเรื่องจริง เราเป็นพี่น้องกันใช่มั้ยล่ะ”
“ใช่แน่นอน”
“เป็นลูกคนใช้จะเป็นพี่น้องกับใครไม่ได้เหรออ้น” ดอกโศกถาม
“พี่อุ๊เขาว่างั้น” อ้นบอกเสียงอ่อยๆ
เพ็ญตระการไม่ได้ไปฟ้องคุณตาอย่างที่บอก แต่ตรงไปหาสุดสวยใส่ไฟดอกโศกอีก ทั้งคู่อยู่มุมหนึ่งบนตึกชั้นบน
“อุ๊เกลียดมันที่สุดเลยน้าสวย อีลูกคนใช้กำเริบจะมาเป็นน้องอุ๊”
“ทำไม มันสวยกว่าใช่มั้ยล่าถึงเกลียดมันน่ะ” สุดสวยยิ้มเย้ยหยัน ท่าทางต๊องเล็กๆ
“น้าสวย เกี่ยวกันมั้ยเนี้ย” อุ๊ไม่พอใจ
“นี่เธอ...พูดจาให้มันดีหน่อย ชั้นเป็นน้าเธอนะยะ แล้วทำไมล่ะ”
“ไม่ใช่เพราะมันสวยกว่าแน่ แต่เพราะ....มันว่าน้าสวยอุ๊ถึงโกรธ” อุ๊เปลี่ยนแผน...และได้ผล
“หา...” สุดสวยตาลุกโพลงทันที “มันว่าชั้นอีกเรอะ หนอย อีนังดอกโศก มันว่าชั้นว่าไง”
แทบจะทันทีทันใด สุดสวยลากดอกโศกถูลู่ถูกังไปตามทางบริเวณหลังบ้าน สีหน้าสุดสวยที่ออกแรงอึด..อึด
ดอกโศกช่วยตัวเองไม่ได้เลย เพราะสู้แรงคนผิดปกติไม่ได้
พอถึงบริเวณหนึ่ง สุดสวยเหวี่ยงดอกโศกลงไปหมอบกับพื้น ตัวเองยืนจังก้า ดอกโศกมองอย่างตกใจ
“แก..บังอาจที่สุดนังดอกโศก แกว่าชั้นโหดร้ายเหมือนคนบ้าเหราอ..หา! ..แกว่าชั้นใช่มั้ย”
“หนูเปล่า...”
“เปล่าเหรอ...” สุดสวยเงื้อมือขึ้น ถลาเข้ามาจนถึงตัว ฟาดลงไปเต็มแรง “นี่แน่ะ”
ดอกโศกอ้าปากร้องไห้จ้าทันที เสียงดังก้องกังวาน
สุดสวยฟาดอีกเผียะ “นี่แน่ะ หมั่นไส้นัก ว่าชั้นเหมือนคนบ้าได้ไง..ชั้นไม่บ้า แกสิบ้านังดอกโศก ขอให้แกโศกเศร้าไปจนตาย” สุดสวยด่าไปแล้วฟาดอีกเผียะ
ดอกโศก มองจ้องหน้าสุดสวย สายตาทั้งงุนงง ทั้งตกใจ ทั้งหวาดหวั่น ร้องไห้สะอึกสะอื้นจนตัวโยน
ครู่ต่อมาดอกโศกน้ำตายังเปื้อนหน้าเป็นคราบ เดินดุ่มๆ ไปตามทาง สีหน้ามุ่งมั่นจะไปฟ้องคุณตา
ส่วนที่หน้าตึกใหญ่ในเวลาเดียวกัน อุ๊ เพ็ญตระการ กำลังเม้าท์ให้โอ๋ และอ้นฟัง ด้วยสีหน้าสะใจ
“มันเดินหน้าตั้งเลยจะไปฟ้องคุณตา”
“กล้าเหรอพี่อุ๊” โอ๋ ไม่อยากเชื่อ
“ฟ้องแล้วมั้ง..”
“พี่อุ๊ว่าคุณตาจะเชื่อมันมั้ยคะ” โอ๋สงสัย
“แหมโอ๋ ไม่รู้เหรอว่าน้าสวยน่ะลูกรักคุณตา” อุ๊ยิ้มตาเป็นประกาย
“แต่อาสวยทำผิด” อ้นพูดแทรกขึ้นมา
“ถึงผิดก็เป็นลูกรัก” เพ็ญตระการพูดอย่างมั่นใจ
“เป็นลูกรักแต่ทำผิด คุณตาไม่เข้าข้างคนผิดหรอก” อ้นบอก
เวลาต่อมา สีหน้าสุตเขตเวลานี้เครียดเคร่งจัดขณะเอ่ยขึ้น
“จะอะไรกันนักหนาฮะ อภิรมย์ฤดี ผู้ใหญ่หวังดีสั่งสอนแค่นี้ทำไมต้องมาฟ้องฉัน”
สุดสวยนั่งใกล้ๆ สุดเขต ทำหน้าสงบนิ่งเป็นผู้ใหญ่น่านับถือ
“แต่...คุณน้าไม่ได้สั่งสอนค่ะ” ดอกโศกพูดเสียงแผ่ว
“ทำไมจะไม่ได้สั่งสอน” สุดสวยปรับน้ำเสียงให้เป็นผู้ใหญ่ที่น่าเคารพ พูดเสียงเนิบๆ ไม่ตวาด “ชั้นสอนแกให้ทำตัวดีๆ จะได้อยู่ในบ้านนี้มีความสุข”
ดอกโศกมองอย่างอ้าปากค้าง
“นั่นสิ คุณน้าเค้าสอนก็ฟังสิ”
ดอกโศกก้มหน้า เสียงสะอื้นขึ้นมาเป็นริ้ว “คุณน้าตีหนูบอกว่าหนูไปว่าคุณน้าเหมือนคนบ้า...หนูไม่เคยพูดเลย”
“คุณพ่อคะ ลูกไม่ขอพูดอะไรค่ะ เด็กคนนี้จองหองพองขน ถือว่าคุณพ่อให้ท้าย คุณพ่อตัดสินเถอะค่ะ” สุดสวยฟ้อง
นายพลสุดเขตมองจ้องดอกโศกสีหน้าไม่พอใจ ดอกโศกจ้องคุณตาอย่างมีความหวัง
“อภิรมย์ฤดี จำไว้ว่าอยู่ที่นี่ต้องมีอาวุโส เป็นเด็กต้องเชื่อฟังผู้ใหญ่ ไม่มีผู้ใหญ่คนไหนไม่หวังดีต่อลูกหลาน เราอย่าเอานิสัยอย่างที่เคยอยู่กับยายมาใช้ที่นี่ ฉันรู้ล่ะว่าอยู่อย่างนั้นต้องตีนถีบปากกัด บางครั้งต้องโกหกบ้างอะไรบ้าง ก็เห็นใจแต่มาอยู่ที่นี่ต้องเลิก ห้ามโกหกปั้นน้ำเป็นตัว”
ดอกโศกฟังอย่างอัดอั้น ทนไม่ไหวแล้วจึงเถียงขึ้นทันที “หนูไม่ได้โกหก คุณน้าสิโกหก”
“คุณพ่อ...ลูกขอออกไปจากห้องนี้ ทนไม่ได้ต่อไปแม้แต่นาทีเดียว” สุดสวยเริ่มต้นประโยคด้วยเสียงราบเรียบ ท้ายประโยคตวาดเสียงดังใส่หน้าดอกโศก “คุณพ่อต้องตัดสินให้หนูนะคะ”
สุดเขตอึ้งอยู่ชั่วอึดใจ สีหน้านายพลชราอึดอัดน่าดู
“คุณพ่อ” สุดสวยขึ้นเสียงแทบเป็นตวาด
“ดอกโศกทีหลังอย่าโกหก” นายพลชราหลุดปากออกมา
“หนูไม่ได้โกหก” ดอกโศกสะอึกสะอื้นเต็มที่แล้ว ยื่นแขน ชี้ขาที่เป็นรอยให้ดู “คุณน้าตี”
“เขาไม่ตีถ้าแกไม่ว่าเขา ไม่เถียงเขา” สุดเขตว่า
“หนูไม่ได้ว่าเขา ฮือ....ฮือ ยังไม่พูดเลย” ดอกโศกทนไม่ไหวแล้ว
“หยุดได้แล้ว...พอ แกกลับไปได้ แล้วจำไว้ว่าอย่าทำตัวมีปัญหา ถ้ายังอยากอยู่ที่นี่ ต้องสงบเสงี่ยม ผู้ใหญ่สั่งให้ทำอะไรอย่าดื้อ ให้ทำอย่างน้าเขาบอก ไปได้แล้ว”
“หนูจะกลับบ้าน....” ดอกโศกจะบอกว่า บ้านยาย แต่พูดไม่ทันจบประโยค
“บอกให้ไปได้แล้ว” สุดเขตสวนออกมาเสียงดัง
ดอกโศกหันหลังกลับ แล้วออกไปอย่างรวดเร็ว
“สุดสวย...” สุดเขตหันมาปลอบลูกสาวคนเล็กที่กิริยาฮึดฮัด แบบคนผิดปกติ “ไม่เป็นไรนะ..พ่อว่ามันแล้ว นะ...ว่ามันแล้ว”
สีหน้าสุดเขตดูออกว่ากดดันมาก ไม่อยากทำอย่างนั้นเลย
คืนนั้นดอกโศกนั่งจับเจ่าอยู่ในห้องนอน สีหน้าครุ่นคิด มีสะอื้นนิดๆ ร่างน้อยๆ สั่นสะท้านเป็นระยะ
ระหว่างนั้น อุ๊เปิดประตูพรวดเข้ามา มองหน้าเยาะเย้ย ดอกโศกมองอุ๊เฉยๆ
“เป็นไง....ฟ้องคุณตา”
ดอกโศกหันหลังให้
“ว่าไงล่ะ อภิรมย์ฤดี” อุ๊ตาดคั้น
ดอกโศกลุกเดินออกจากห้องทันที อุ๊หัวเราะไล่หลัง ตามออกไป
ดอกโศกออกมาจากห้อง อุ๊ยังเดินตาม ส่งเสียงหัวเราะยังไม่จาง เพ็ญพักตร์ ยืนอยู่ตรงนั้น สบตากับดอกโศก สายตาเฉยเมยไร้ความเห็นใจ ดอกโศก มองดูสายตาหมองมาก
อุ๊เดินผ่านดอกโศก เข้าหาแม่ เพ็ญพักตร์อ้าแขน โอบไหล่ สองแม่ลูกพากันเดินไป
ดอกโศกมองภาพตรงหน้านิ่งงัน
เพ็ญพักตร์หันกลับมา มองจ้องหน้าดอกโศกด้วยสายตาเฉยเมยคู่เดิม แล้วสองคนเดินไป ดอกโศกยืนพิงฝา อย่างคนอ่อนล้า ร่ายกายหมดแรงจนต้องนั่งลงไปกับพื้น
ค่ำคืนนั้น อัศนัยอยู่ที่บ้าน กำลังยืนมองรูปภาพวาดดอกโศก และภาพวาดปรียากมล อัศนัยจ้องรูป 2 รูปที่อยู่เคียงกัน
อัศนัยเพ่งมองใบหน้าปรียากมล ในภาพ พร้อมกับนึกถึงเหตุการณ์ในห้องนี้เมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว วันนั้นปรียากมล กำลังเป็นแบบให้อัศนัยวาดภาพเหมือนในห้องนี้
อัศนัยวาด...วาด
“อัศนัย เสร็จรึยัง เมื่อยแล้วนะ” ปรียากมลเอ่ยขึ้น
“เสร็จ” ว่าแล้วอัศนัยก็โยนแปรงไปในกระบะข้างตัว พลางเช็ดมือ
“ดูได้ยัง”
“มาเลย”
ปรียากมล ที่เวลานั้นมีเสื้อคลุมแล้ว มองอย่างทึ่งแล้วหันมาโถมตัวเข้ากอดอัศนัยเต็มแรงพึมพำ
“อัศนัย โอ อัศนัย”
อัศนัยยิ้มพราย กอดตอบ แล้วพรมจูบ ทั้งสองหนุ่มสาว กอด..จูบ พันพัว อย่างดูดดื่ม
สักครู่ ปรียากมล ดันตัวอัศนัยถอยไป..ถอยไปถึงโซฟา ล้มตัวลง แต่เพียงอึดใจเดียวอัศนัย ก็ทะลึ่งตัวพรวดขึ้นมา
“อัศนัย! คุณเป็นอะไร”
“ไม่ได้...อย่าเลย ปรียากมล”
“จะบ้าเหรอ คุณทำอย่างนี้ได้ไง” ปรียากมลโวยวาย
“เรายังเด็ก เรียนยังไม่จบ เราจะ..จะ ทำอะไรกันไม่ได้มันผิด” อัศนัยว่า
“อัศนัย ไหนบอกว่ารักฉันไง หลอกฉันใช่มั้ย” ปรียากมลขึ้นเสียงสูง...แหลม “หลอกว่าเรารักกันใช่มั้ย...คนเลว”
“ใช่ เรารักกัน แต่เราจะมีอะไรกันไม่ได้”
ปรียากมลโกรธจัด เสียงดังขึ้นอีก “ทำไม...เพราะคุณร่ำรวย เพราะฉันเป็นแค่คนเช่าบ้านคุณ...คุณเป็นเจ้าของบ้าน คุณรักกะคนเช่าบ้านไม่ได้เหรอ...ทำไม ลดตัวลงมามากนักเหรอ”
“คุณก็รู้ว่าผมไม่ได้เป็นแบบนั้น”
“แล้วทำไม...ทำไม ทำไมรักกันไม่ได้” ว่าพลางปรียากมลโถมตัวเข้ามาหาอัศนัยตีไปตีมา
อัศนัยดึงตัวเองกลับมา แต่ไม่วายนึกถึงคำโต้เถียงระหว่างตนกับปรียากมลขึ้นมาอีก
“ทำไม...บอกฉันสิ” เสียงปรียากมลคาดคั้น
“คุณก็รู้ว่าผมรักคุณ แต่เราชิงสุกก่อนห่ามไม่ได้..ไม่ได้..ไม่ได้ ชิงสุกก่อนห่ามไม่ได้”
นึกถึงตอนนี้ อัศนัยถอนใจยาว สีหน้าเศร้าใจมาก มองไปที่รูปหน้าดอกโศกในกรอบภาพผืนนั้น
วันรุ่งขึ้น ดอกโศกในชุดนักเรียนอยู่ที่โบสถ์ใกล้ๆ บ้าน ดอกโศกนั่งก้มหน้า ตั้งจิตอธิษฐาน สักครู่น้ำตาหยดเผาะ
“แอนเจล่า” เสียงคุณพ่ออันโตนิโยดังขึ้น
ดอกโศกเงยหน้า แหงนมองคุณพ่อ น้ำตายังค้างคาอยู่บนแก้ม
“โอ แอนเจล่า you’re crying” คุณพ่ออันโตนิโยตกใจ พูดเสียงแผ่ว
ดอกโศก มองคุณพ่อด้วยสายตาโศกเศร้า บอกความรู้สึกทุกอย่าง สะอื้นฮักๆ
คุณพ่อวางมือบนหัว ”God Bless you my dear girl. พระเจ้าอยู่กับหนูเสมอ”
“จริงๆ นะคะคุณพ่อ” ดอกโศกพูดถามเหมือนเติมกำลังใจ
“จริง เชื่อมั่นในพระองค์ พระองค์ไม่มีวันทิ้งหนูถ้าหนูทำแต่ความดี”
หลังจากนั้นดอกโศกกับป้อมก็แวะมาหาคุณนายประดับ เวลานี้ทั้งสามคนนั่งสวดมนต์เบาๆ อยู่ในห้องพระบ้านคุณนาย พอจบแล้วก็พากันก้มลงกราบ
“ดอกโศก ทุกครั้งที่เขาทำร้าย เจ้า..สวดมนต์นะลูก” คุณนายประดับสอนสั่ง
“หายเหรอคะ” ดอกโศกข้องใจ
“สวดมนต์แล้วใจของเจ้าจะสงบ ใจสงบแล้วเจ้าจะอภัยให้เขาได้เร็วขึ้น เจ้าจะอดทนมากขึ้นด้วย” คุณนายบอก
ครู่ต่อมามือน้อยๆ สองมือเกี่ยวกัน เด็กชายและเด็กหญิง เดินไปตามทาง คุณนายประดับมองตามด้วยสายตาอ่อนโยน จังหวะหนึ่งสองคนหยุดเดิน หันมามองหน้ากัน
“ไหวไหมโศก”
ดอกโศกพูดด้วยสีหน้ามุ่งมั่น “ไหว นี่...” พลางตบอกตัวเองอวด “ดอกโศกนะ รู้มั้ยว่าไอ้โศกน่ะมันอึดทนได้ทุกอย่าง”
เด็กสองคนเกี่ยวแขนเดินเคียงกันไป
อ่านต่อหน้า 3
ดอกโศก ตอนที่ 2 (ต่อ)
ฉากชีวิตอันขมขื่นของเด็กหญิงดอกโศกผ่านพ้นไป คืนแล้วคืนเล่า วันแล้ววันเล่า เหตุการณ์ร้อนร้ายจากผู้คนที่ไม่ใคร่ชอบหน้าในบ้านหลังใหญ่โตหลังนี้ ประดังเข้ามาให้เด็กน้อยได้เรียนรู้ เพื่อจะเติบโตอย่างเข้มแข็งในวันหน้า
เช้าวันนั้น รถยนต์ไปส่งอุ๊ที่โรงเรียนจอดคอยอยู่ที่บริเวณหน้าตึกใหญ่ เฉลยเดินถือปิ่นโตเถาใบย่อมๆ ไปใส่รถที่สมยืนคอยอยู่ข้างรถ
สักครู่หนึ่งอุ๊ เพ็ญตระการก็เดินมาอย่างเร็วๆ ออกมาทั้งที่ยังใส่รองเท้ายังไม่เสร็จ เฉลยต้องนั่งลงติดสายรองเท้าให้ พอเสร็จอุ๊จึงขึ้นไปนั่งบนรถ ก่อนที่นายสมจะขับรถแล่นออกไปช้าๆ เลี้ยวบริเวณโค้งถนน
ระหว่างนั้นดอกโศกอยู่ชุดนักเรียน เดินก้มหน้าก้มตาออกจากข้างๆ ตึก เปิดประตูเล็กก้าวเดินออกไปตามทาง ขณะที่รถอุ๊แล่นผ่านมา อุ๊มองสีหน้ายิ้มหยัน ดอกโศกไม่สนใจ ชำเลืองมองแว่บหนึ่ง...แล้วเดินต่อ
อีกวันหนึ่ง สุดสวยกำลังเอะอะเอ็ดตะโร โวยวายดังลั่น อาละวาดอยู่ภายในห้องนายพลสุดเขต เอาเรื่องกับพ่อ ด้วยเรื่องเดียวเรื่องเดิม เรื่อง...ดอกโศก
“ลูกเกลียดนังดอกโศก เกลียด...เกลียดที่สุด มันเถียง..เถียง เถียงลูก ได้ยินมั้ยคุณพ่อ”
สุดเขตพยายามปลอบตั้งแต่คำแรกที่ลูกสาวเริ่มโวย “พ่อจะจัดการให้...”
แต่ไม่ได้ผลนัก สุดสวยแผดเสียงดังลั่น “ลูกไม่ยอม...ไม่ยอม”
สุดเขตโอบลูกสาวในอ้อมอก ทั้งสงสารและเวทนา “สุดสวย พอแล้วลูก..พอ”
“มันเถียง...มันจองหอง ไม่ยอม..ไม่ยอม” น้ำตาเต็มตาสุดสวยขณะโวยวาย
“พ่อจะจัดการ...จะจัดการนะลูก”
รับปากไปแล้วนายพลชราดูไม่สบายใจเลย นัยน์ตาหม่นเป็นกังวลหนัก
ตอนเย็นวันเดียวกันนั้นที่มุมหนึ่งในบ้าน นัยน์ตาสุดเขตยังเป็นกังวลเหมือนเดิม มองตรงไปข้างหน้า สักครู่จึงหันมามอง เห็นดอกโศกในชุดนักเรียนนั่งก้มหน้าอยู่ตรงหน้า
“อย่าเถียงคุณน้าอีก” สุดเขตเอ่ยขึ้นเป็นเชิงสั่ง
“แต่หนูไม่ผิดนี่คะ”
“ตาสั่ง”
“ทำไมคุณตาถึงสั่ง...” ดอกโศกยังพูดไม่จบประโยค
สุดเขตพูดขัดขึ้น “ไม่ต้องถาม เป็นอันว่าสั่งแล้วกัน” พูดเท่านั้นก็ลุกเดินหนีไปทันที
“ทำไมล่ะคะ”
ดอกโศกอยากรู้ตำตอบ แต่เห็นเพียงร่างคุณตาเดินไปโดยไม่เหลียวหลัง ดอกโศกมองตามอย่างงงงวย
อีกมุมหนึ่งในบ้าน ในอีกวันหนึ่ง สุดสวยกำลังลุยเอาเรื่องดอกโศก ชี้หน้าด่าว่าแรงๆ ดอกโศกฟังแบบอัดอั้นแล้วเถียงไปคำหนึ่ง สุดสวยปราดเข้าหา เงื้อมือสุดแขนแล้วฟาดเต็มแรง จนดอกโศกคว่ำไป
ดอกโศกหันกลับมา แล้วอ้าปากจะเถียง แต่นึกคำคุณตาขึ้นมาได้จึงหุบปาก สุดสวยยืนจังก้า
ดอกโศกลุกขึ้น ยืนหอบแรง นัยน์ตาข่มอารมณ์อย่างหนัก แล้วหันกลับ
“กล้าเดินหนีชั้นเรอะ” สุดสวยตวาดอย่างแรง แล้ววิ่งตามดอกโศกทันที
ดอกโศกวิ่งทันที สุดสวยวิ่งตาม
ดอกโศกวิ่งหนี สุดสวยตามอย่างเร็วรี่ ดอกโศกหลบหลีก จังหวะหนึ่งสุดสวยเกือบถึงตัว แต่สะดุดอะไรบางอย่างล้มลง อ้าปากส่งเสียงร้องดังมาก
ดอกโศกหันมามอง เห็นสุดสวยแสดงกิริยาของคนจิตไม่สมประกอบ มองแล้วดอกโศกก็หันหลังกลับ เดินจากไปอย่างเร็ว
เวลาต่อมาที่บริเวณมุมข้างๆ ตึกต่อเข้าไปในสวน ดอกโศกเดินเร็วๆ ตรงมา พร้อมๆ กับภาพเหตุการณ์ คำพูด ต่างๆ วนเวียนอยู่ในความคิดเด็กน้อย
ภาพสุดสวยล้มลง ร้องด้วยเสียงดังมาก เสียงสุดสวยตวาดว่า “กล้าเดินหนีชั้นเหรอ”
คำพูดของคุณตาที่พูดสั่ง “อย่างเถียงคุณน้าอีก” กระทั่งตอนที่คุณตาพูดว่า “ตาสั่ง” ดังซ้ำ วนเวียนอยู่ไปมา
ดอกโศกเดินมาหยุดนิ่งที่มุมหนึ่ง เสียงตาสั่ง...ตาสั่ง สลับกับเสียงร้องดังๆ ของสุดสวยแว่วดังอยู่ในความคิด
จู่ๆ สุดสวยแผดเสียงดังลั่นก็โผล่พรวดออกมา พูดเสียงแหลม “มันอยู่ไหน”
ไวเท่าความคิดดอกโศกวิ่งหนีทันที สุดสวยวิ่งตามไม่ลดละ ดอกโศกเพิ่มฝีเท้า วิ่งจนลับตัว ลับสายตาสุดสวยไป
อัศนัย ที่แวะมาคุยธุระกับตระกูลอยู่แถวๆ นั้น เห็นเข้าพอดี
ไม่นานหลังจากนั้น ดอกโศกนั่งร้องไห้เงียบๆ อยู่ที่บริเวณบ่อน้ำในบ้าน ใกล้ๆ เป็นแปลงดอกไม้ริมน้ำขึ้นเป็นดง ดอกไม้ชูช่อเบ่งบานอย่างสวยงาม ขัดกับท่าทางโศกเศร้าของเด็กหญิงตัวน้อย
ดอกโศกร้อง...ร้อง พลางก้มตัวลงต่ำมองในน้ำ ไม่รู้ว่าอัศนัยกำลังยืนมองอยู่
จังหวะหนึ่งที่ร่างดอกโศกทำท่าเหมือนจะคะมำคว่ำ อัศนัยก้าวพรวดเดียวถึงตัว จับดึงขึ้นมาแล้วกอดไว้
ดอกโศกหันมามองอย่างตกใจ สักพักหนึ่งอัศนัยจับตัวดอกโศกให้นั่งดีๆ มองมาด้วยสายตาอ่อนโยน
อัศนัยนั่งขัดสมาธิ ฟังดอกโศกเล่า ถามบ้าง ดอกโศกตอบ ทั้งคู่พูดกันยาวนานพอสมควร
อีกวันหนึ่งนายพลสุตเขตหยิบหนังสือจากตู้หนังสือส่งให้ดอกโศก ตบหัวเบาๆ 2 ที อย่างเอ็นดู
ดอกโศกยืนมอง เด็ก 3 คน อุ๊ โอ๋และอ้นเล่นกัน อ้นวิ่งมาหา คุยด้วย หัวเราะกันเบาๆ
เพ็ญพักตร์ ส่งเงินค่าขนมให้ ดอกโศกไหว้ รับมา
รถอุ๊แล่นผ่าน ดอกโศกก้มหน้าก้มตาเดินไปโรงเรียน ไม่มอง
ที่โรงเรียน ในห้องเรียนวันนั้น ดอกโศกนั่งคู่กับมด ตั้งใจเรียนหนังสือ ยกมือตอบครู หน้าตายิ้มแย้ม เด็กหญิงมีความสุข ไม่กดดัน ช่วงพักกลางวัน ดอกโศกคุยกับมด กินข้าวกล่องไปด้วย
บ่ายคล้อยวันหนึ่งดอกโศกในชุดนักเรียนกำลังช่วยป้อมขายหนังสือพิมพ์ สนุกๆ ขณะนั้นดอกโศกนับเงินอยู่กับป้อม ที่นับอย่างระมัดระวัง
“ดอกโศก” เสียงคุ้นหูเรียกดังขึ้นขึ้น
ดอกโศกเงยหน้า ยิ้มกว้าง เห็นเป็นอัศนัย เดินเข้ามา รีบยกมือไหว้ทักทาย
“นึกแล้วต้องเจอที่นี่ ยังไม่กลับบ้านอีก”
“จะกลับเดี๋ยวนี้” ดอกโศกทอดเสียงนุ่มนวล
“ป้อม...เหลือกี่ฉบับ” อัศนัยถาม
“สองครับ” ป้อมบอก
“มา...ฉันซื้อเอง”
แต่ดอกโศกหยิบหนังสือพิมพ์เพียงฉบับเดียวในมือป้อม ส่งให้อัศนัย
อัศนัยยิ้มอย่างเอ็นดู “ตกลง...ไม่สุรุ่ยสุร่ายนะ”
อัศนัยเดินถือหนังสือพิมพ์ ดอกโศกและป้อมเดินมาด้วย
“ฉันไปส่งนะดอกโศก”
“ไม่ต้องค่ะ กลับเอง” ดอกโศกไหว้อัศนัย แล้วจากไปอย่างรวดเร็ว
“ดูสิ ไม่เคยยอมเลย”
“จะไปส่งเขาทุกครั้งคุณนัย ไม่รู้ซักทีว่าโศกมันไม่ยอม” ป้อมว่า
อัศนัยพยักหน้า ยอมจำนน แต่ไม่วายบ่นพึมพำ “ฉันไม่เคยเห็นใครเป็นอย่างโศกเลยนะป้อม...”
พูดจบอัศนัยก็มองหน้าป้อมนิ่งๆ
ป้อมยิ้มกว้าง เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง “ครับ”
วันหนึ่งดอกโศกแวะไปที่โบสถ์เด็กหญิงก้มหน้านิ่ง ตั้งจิตอธิษฐาน
ดอกโศกยังแวะเวียนมาที่บ้านคุณนายประดับเสมอ และทุกครั้งก่อนกลับต้องเข้าไปสวดมนต์ไหว้พระ เพื่อให้จิตใจสงบเสมอ ดอกโศกปฏิบัติเป็นนิจ
วันนี้ดอกโศก กำลังก้มลงกราบพระในห้องพระบ้านคุณนายประดับเช่นเคย เงยหน้าขึ้นมาดอกโศกโตเป็นสาวแล้ว วันเวลาผ่านไปอีก 10 ปี แล้ว
คืนนั้น ในห้องนอนเพ็ญพักตร์ อุ๊อยู่ด้วย สองแม่ลูกคุยกันเรื่องดอกโศกจะย้ายไปเรียนที่เดียวกันกับอุ๊
“เขาขึ้นชั้น ม. 4 แล้ว คุณตาท่านจะให้เขาไปโรงเรียนเดียวกับอุ๊” เพ็ญพักตร์บอกลูกสาว
อุ๊ ตกใจมาก
“อุ๊จะว่าไง” เพ็ญพักตร์ถามขึ้น
“อุ๊จะไปพูดกับคุณตาเดี๋ยวนี้” อุ๊ลุกพรวด
“จะบอกคุณตาว่าไง..” ฟังที่แม่ถาม อุ๊นิ่งงัน “มีเหตุผลอะไรที่จะไม่ให้เขาไปเรียนโรงเรียนนี้ เขาเป็นรัตนชาติพัลลภคนหนึ่งนะ”
อุ๊ชะงัก ได้คิด อ้ำอึ้ง ก่อนจะนั่งลง สีหน้าใช้ความคิด “อุ๊ไม่ยอมหรอกคุณแม่”
“เรื่องบางเรื่องเราเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ก็ไม่ต้องคิดให้ปวดหัว”
“ใช่...คุณตาจะมาฟังเราทำไม”
“ไม่ใช่คุณตาจะมาฟังเราทำไม คุณตาไม่มีวันฟังเราต่างหาก” เพ็ญพักตร์บอก
“แล้วอุ๊จะทำยังไงคะคุณแม่ อายเขาตายสิคะ”
สีหน้าเพ็ญพักตร์ยามนี้ ลึกล้ำยากจะคาดเดา
“ไหนๆ ก็ต้องอายแล้ว...” เพ็ญพักตร์ทอดเสียงเป็นนัยๆ
อุ๊...เพ็ญตระการ รับรู้อารมณ์แม่ที่ส่งมาให้อย่างดี
เช้าวันรุ่งขึ้น อุ๊ เตรียมไปโรงเรียนเพ็ญพักตร์ไปส่ง นายสมคอยขับรถ เช่นทุกวัน
“คุณตาจัดการเตรียมให้เขาหมด สมัครโรงเรียน เสื้อผ้าชุดนักเรียน หนังสือเรียน” เพ็ญพักตร์ปรารภ
“ให้ไปโรงเรียนพร้อมอุ๊ใช่มั้ยคะคุณแม่” อุ๊ถาม
“ใช่” เพ็ญพักตร์มองเข้าไปข้างในบ้าน
ดอกโศกเดินออกมา เสื้อผ้านักเรียนใหม่เอี่ยม กระเป๋านักเรียนใหม่เอี่ยม..หนังสือเต็ม
เฉลย ถือปิ่นโตตามมาด้วย วันนี้ปิ่นโตใหญ่มาก
“เร็ว...คนคอยอยู่”
เฉลยส่งปิ่นโตให้ดอกโศก ก่อนจะหันมาทางอุ๊ “เอ้า..คุณอุ๊คะ ปิ่นโตนี่ทานสองคนนะคะ”
“ทำไมเฉลย ทำไมไม่เอามาสองปิ่นโตแยกกัน” อุ๊ไม่พอใจ
“ท่านสั่งค่ะ” พูดแล้วเฉลยก็หันไปหาดอกโศก “คุณอภิรมย์ ขึ้นรถสิคะ เดี๋ยวคุณอุ๊ไปโรงเรียนสาย”
“กินปิ่นโตเดียวกันนะเหรอ...จ้างให้”
อุ๊พูดจบ เดินไปขึ้นรถทันที ดอกโศกหน้าปลง ตามไป
เพ็ญพักตร์ขยับตัวตามลูกสาวไป “อุ๊ ต้องทานกลางวันนะลูก อย่าอดเดี๋ยวจะไม่สบาย”
“ค่ะ คุณแม่ มันสิจะอดไม่ใช่ลูกหรอก คุณแม่อย่าลืมที่ลูกบอกไว้นะคะ” อุ๊ขึ้นรถไป
เพ็ญพักตร์ยืนยิ้มในหน้านิดๆ
ระหว่างทางใกล้ถึงโรงเรียน รถแล่นมาเรื่อยๆ อุ๊นั่งหน้าเคร่งขรึม ดอกโศกหน้าเฉยครุ่นคิด
“จอด” อุ๊สั่ง
สมขับรถยังงง ไม่รู้เรื่อง
“นายสม ฉันบอกให้จอดได้ยินมั้ย”
“จอดทำไมครับ คุณอุ๊”
“ไม่ต้องถาม....จอด”
รถเบนเข้าจอดข้างทาง
“ดอกโศก...โรงเรียนอยู่ตรงนั้น เห็นมั้ย”
“เห็น” ดอกโศกบอก
“ลง แล้วเดินไป” อุ๊บอก
ดอกโศกงงมาก “ลง...ให้ฉันลงเหรอ”
“ใช่” อุ๊ย้ำ
“ทำไมล่ะ” ดอกโศกงง
“เพราะฉันไม่อยากให้ใครเห็นว่าเธอมากับฉัน”
“ฉันมากับเธอแล้วเป็นไง” ดอกโศกถามอีก
“ไม่ต้องถาม เบื่อจริงให้ทำอะไรก็ถาม...ถามอยู่นั่นแหละ บอกให้ลงไป ไป๊...ลงไปเดี๋ยวนี้”
“ไม่” ดอกโศกเสียงแข็ง ท่านิ่ง
“เอ๊ะ จะบ้าเหรอ ให้ทำอะไรก็ไม่ทำ”
“ไม่ทำ”
“ลงไป”
“ไม่ลง”
“บอกให้ลงไป...ไป๊”
“ฉันไม่มีวันยอมลงเดิน ถ้าบังคับฉัน ฉันจะบอกคุณตา”
“ถ้าเธอฟ้องคุณตา เธอจะรู้เลยว่าอะไรจะเกิดขึ้น” อุ๊ท้าทาย
“ได้ ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่าอะไรจะเกิดขึ้น”
“ถ้างั้น เธอก็ลงไปสิ จะได้ฟ้องคุณตาไง”
ดอกโศกหยุดคิด สีหน้าไตร่ตรอง
“ไม่งั้นเธอก็ฟ้องคุณตาไม่ได้ เธอไม่อยากรู้เหรอว่าคุณตาจะว่ายังไง”
ดอกโศกยังนิ่งคิด
“อยากรู้ใช่มั้ยว่าหลานเมียน้อยอย่างเธอคุณตาจะฟังแค่ไหน” อุ๊ว่าทิ้งท้าย
ดอกโศก คิดแล้ว ขยับตัวลงจากรถไป อุ๊ปิดประตูอย่างแรง รถแล่นไป ดอกโศก ออกเดินไปช้าๆ
รถแล่นไปนิดหนึ่งก็จอด สมวิ่งลงมาเอากระเป๋านักเรียนของดอกโศกกับปิ่นโตมาวางไว้ แล้ววิ่งขึ้นรถขับออกไป
ดอกโศกเดินมาถึง หยิบปิ่นโตมาถือ แต่ใบใหญ่มากเดินจนตัวเอียง
อุ๊ยิ้มหยันอย่างสะใจ แล้วหัวเราะเบาๆ แล้วเอ่ยขึ้น “สม”
“ครับ คุณอุ๊”
“แกกลับถึงบ้านแล้วไปหาคุณแม่นะ คุณแม่มีอะไรจะให้แก” สีหน้าอุ๊ยิ้มร้ายลึก
สมหันมา สีหน้าร้ายลึกไม่ต่างกัน “ครับ คุณอุ๊”
โรงเรียนใหม่ของดอกโศก เป็นโรงเรียนมีชื่อเก่าแก่ของลูกหลานคนรวย เช้าวันนี้คุณครูแนะนำดอกโศกกับเพื่อนนักเรียน “นักเรียนใหม่...อภิรมย์ฤดี รัตนชาติพัลลภ”
ฟังนามสกุล เพื่อนๆ หันมามองอุ๊เป็นตาเดียว เปิดวงเมาท์มอยทันที
“รัตนชาติพัลลภ เอ๊ะ”
“นามสกุลเดียวคุณตาของเพ็ญตระการใช่มั้ย”
“ใช่ คุณตานายพลของเพ็ญตระการ”
“อภิรมย์ฤดีเป็นญาติของฉัน” อุ๊บอกเพื่อนๆ
เวลาต่อมาที่บริเวณทางลงบันไดตึกเรียน อุ๊เดินลงมีเพื่อนๆ ล้อมหน้าล้อมหลัง ลงมา ดอกโศกตามมาห่างๆ
“แต่เป็นญาติที่พวกเราไม่อยากบอกใครหรอก” อุ๊บอก
เพื่อนๆ ต่างรุมถามยกใหญ่
“ทำไมล่ะอุ๊” / “เพราะอะไรอุ๊”
“ก็ยายเขาเป็นเมียน้อยคุณตา ออกไปจากบ้านตั้งน้าน...นานแล้ว อยู่ๆ ก็ เอาหลานมาให้เราเลี้ยง คุณแม่บอกว่าไม่รู้ว่าทั้งยายทั้งแม่เขาเหลวแหลกแค่ไหน....อย่างแม่เขา..ก็ต้องฝรั่งใช่มั้ย” สุ้มเสียงบอกเล่าธรรมดาๆ แต่อุ๊มีแต่สีหน้าเยอะ เย้ยหยันลึกๆ
ทั้งหมดพากันเดินหายไป เสียงเพื่อนแว่วๆ มา “จริงเหรอ....”
ดอกโศกยืนนิ่ง สีหน้าอึดมาก พยายามข่มความโกรธ ลงไป...ข่มลงไป
ระหว่างเจนนิเฟอร์ เด็กสาวหน้าฝรั่งก็เดินลงมา เอ่ยทักทายดอกโศก “Hello….you speak English - พูดภาษาอังกฤษมั้ย”
“ไม่” ดอกโศกส่ายหน้า
“ทำไมล่ะ เธอเป็นลูกครึ่งนี่” เจนนิเฟอร์สงสัย
“เปล่า” ดอกโศกตอบแล้วนิ่งไปนิด พร้อมกับยักไหล่ “ที่จริงฉันไม่รู้ว่าพ่อฉันเป็นใคร..” สีหน้ายิ้มหยันตัวเอง “เหมือนที่ญาติฉันเค้าบอกนั่นแหละ”
“ฉันชื่อเจนนิเฟอร์ เรียกฉันว่า เจนนะ” สีหน้าเจนนิเฟอร์ดู เข้าใจ และเห็นใจ
ดอกโศกยิ้มรับนิดๆ
เช้าวันเดียวกันนั้น ที่ห้องวาดรูป บ้านอัศนัย
“หมื่น...ไอ้หมื่น” อัศนัยส่งเสียงเรียกบ่าว
หมื่น อยู่ใกล้ๆ นั่งเอง แต่หลบๆ อยู่ “ครับ” หมื่นขานรับเสียงเบาๆ แล้วโผล่หน้าขึ้นมา
“มันจะมากไปแล้วเว๊ย.....ไอ้นี่ ทะลึ่งเต็มทน”
“คุณนัย อยู่กันสองคน ก็ต้องมีคึกคักมั่งสิครับ ไม่งั้นเฉาตาย” หมื่นว่าไปนั่น
“เออ...ให้พอดีๆ...มานี่ จะไปไหน”
“กลัวโดนเตะ” หมื่นขยับถดตัวห่าง
“กวนประสาทจริง ไม่ต้องกลัว ยังไม่ทำอะไร แต่ถ้าทำลับๆ ล่อๆ แบนนี้”
อัศนัยแค่ขยับตัว ไอ้หมื่นกระโจนหนี
“ไอ้หมื่น....”
“ครับ คุณนัยจะสั่งอะไรอีกครับ”
“รูปที่สั่งให้ใส่กรอบ..จัดการหรือยัง”
“นี่ไงครับ” หมื่นหยิบถุงใบใหญ่ออกมา เปิดออกวาง
เป็นรูปดอกโศกประมาณ 10 รูป ใส่กรอบเรียบร้อย เป็นรูปตั้งแต่รูปแรกๆ แล้วค่อยๆ โตขึ้นเรื่อยๆ
รูปสุดท้ายเป็นสาวแล้ว
“คุณนัยไปพบคุณดอกโศกที่ไหนเหรอ” หมื่นอดถามไม่ได้
อัศนัยอยู่ในชุดจะไปทำงานเรียบร้อย นั่งดื่มกาแฟ ตอบที่หมื่นถาม
“พบอยู่ข้างถนนนานมาก เกือบ 10 ปีแล้วสินะ ขายหนังสือพิมพ์อยู่สี่แยก”
“หา...” หมื่นตาโตเท่าไข่ห่าน “จริงหรือครับ”
“แกจะตกใจอะไรขนาดนั้นวะ ไอ้หมื่น”
“อย่างคุณดอกโศกน่ะเหรอ ขายหนังสือพิมพ์อยู่สี่แยก..ไม่เชื่อหรอกคุณนัย”
“จริง ฉันเกือบขับรถชน ก็เลยจอดรถลงไปดูว่าเป็นอะไรรึเปล่า”
“แล้วต่อจากนั้นยอมนั่งเป็นแบบให้วาดหรือครับ” หมื่นสงสัย
“เปล่า...ฉันจำมาวาด เขาไม่เคยนั่งเป็นแบบสักครั้ง”
“จำมาวาด !!!...โห จริงเหรอ”
“จริง”
“ฮั่นแน่...คุณนัย ยังไงหรือเปล่าครับเนี่ย” หมื่นสัพยอก
“ไอ้หมื่น..อย่าทำสุ้มเสียงชวนเตะอย่างนั้น ฉันสงสาร..ดอกโศกเป็นเด็ก น่าสงสาร ตั้งแต่ชื่อเลย...” อัศนัยพึมพำชื่อออกมาเบาๆ “ดอกโศก
ขณะที่อัศนัยเปิดประตูรถ หมื่นเอาเอกสารใส่รถให้
“วาดรูปจากความจำทุกรูปจริงเหรอครับคุณนัย” หมื่นถาม
“ใช่ มีอะไรบางอย่างในหน้าดอกโศก เป็นหน้าที่น่าวาดรูป มันมีความรู้สึก หลายอย่างอยู่ในหน้า”
“หลายอย่าง..อะไรมั่งครับคุณนัย”
แทนคำตอบ อัศนัยรถแล่นออกไปทันที
เสียงกระดิ่งช่วงพักกลางวันดังขึ้น
“เลิกได้” ครูประจำวิชาเดินออกไป
นักเรียนแตกแถว ไปหยิบปิ่นโต กล่องอาหารที่วางด้านหลัง มือดอกโศกหยิบปิ่นโต แต่มีมืออุ๊วางทับลงมา ทั้งคู่มองจ้องกันแบบตาสู้ตา แล้วนัยน์ตาดอกโศกก็ไม่อยากเอาเรื่อง ปล่อยปิ่นโต ยืนขึ้น
อุ๊หยิบปิ่นโตไป หน้ายิ้มซื่อบริสุทธิ์ “ฉันหิวจัง ไส้จะขาดอยู่แล้ว ไปก่อนนะ”
ดอกโศกยืนงงมาก เจนนิเฟอร์เดินออกมา เห็นเหตุการณ์
“อภิรมย์ฤดี ...เกิดอะไรขึ้น”
“เห็นรึเปล่าล่ะ”
“เห็น”
“เธอไปทานข้าวเถอะ” ดอกโศกบอก
“เธอล่ะ” เจนนิเฟอร์ถามอย่างเป็นห่วง
“ฉันไม่หิว”
“ไม่หิวได้ไง ถึงเวลา Lunch แล้ว ไปทานกับฉัน” เพื่อนใหม่คะยั้นคะยอ
ดอกโศกยิ้มเยือกเย็น “ไม่เป็นไรเจน วันนี้ฉันไม่ทานอาหารกลางวัน แต่พรุ่งนี้นะ...ฉันจะทานกับเธอ”
เย็นวันนั้น รถแล่นเลี้ยวจะเข้าบ้าน แต่แล้วจู่ๆ ก็จอด
“ลงไป” อุ๊สั่ง
“อีกแล้วนะอุ๊ ไล่อีกแล้ว ฉันไม่ลงหรอก” ดอกโศกไม่ยอม
“ฉันบอกให้ลงไป” ขยับตามแล้วตีตามตัวทันที
“เอ๊ะ มาตีฉันทำไม”
“ไป๊...บอกให้ลงไป คนอะไรพูดไม่รู้เรื่อง เอาปิ่นโตลงไปด้วย”
ในที่สุดดอกโศกถูกผลักลงมา กระเป๋า ปิ่นโต ถูกหย่อนลงมาวาง ขณะที่รถแล่นไป
“จะได้มีเรื่องฟ้องคุณตาอีกเรื่องหนึ่งไง” อุ๊ พูดไล่ตามหลัง
ดอกโศกงงอยู่อึดใจ แล้วสลัดความรู้สึกทิ้ง หยิบกระเป๋า หยิบปิ่นโตเดินดุ่มๆ เข้าบ้านไป
ส่วนภายในรถ
“แกพบคุณแม่รึยัง สม” อุ๊ถามนายสม
“ครับ คุณอุ๊”
“เล่าให้คุณแม่ฟังหมดแล้วนะ
“เล่าหมดแล้วครับคุณอุ๊” นายสมหันมามอง
ทั้งคู่สบตากัน อุ๊พยักหน้าน้อยๆ ดูออกว่าไม่ใช่เรื่องดี สำหรับดอกโศกแน่!
อ่านต่อตอนที่ 3