xs
xsm
sm
md
lg

คนดังมีดี : เส้นทางชีวิตและสีชมพูในหัวใจ นักตบลูกขนไก่ มือ 1 ของไทย "สลักจิต พลสนะ"

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เรื่องกีฬา เธอเป็นมือ 1 ของไทย แต่เรื่องหัวใจ เธอเป็นที่ 1 ในใจ บริซ เลอแวร์เดซ นักแบดมินตันชาวฝรั่งเศส มืออันดับที่ 33 ของโลก

เรากำลังพูดถึง “มิ้ง” สลักจิต พลสนะ นักแบดมินตันหญิง ทีมชาติไทย มืออันดับที่ 28 ของโลก (น้องสาวของ “แมน” บุญศักดิ์ พลสนะ นักแบดมินตันชายมือ 1 ของไทย) ที่เพิ่งมีพิธีหมั้นหมายกับนักตบลูกขนไก่ แห่งแดนน้ำหอม เมื่อปลายปี 2554

แต่ก่อนจะพูดถึงเรื่องของหัวใจที่กำลังเป็นสีชมพูของเธอ เรามาทำความรู้จักเส้นทางชีวิตที่นำเธอมาสู่ความสำเร็จ ณ ปัจจุบันกันก่อนดีกว่า ว่าเหมือนหรือแตกต่างกับนักกีฬาคนอื่นๆ อย่างไร

• ลูกสาวขี้โรคของ
ครอบครัวรักกีฬา


มิ้งเล่าว่า เมื่อวัยเด็ก เธอเป็นลูกสาวคนเล็กของครอบครัวที่พ่อแม่ค่อนข้างตามใจและมีสุขภาพที่ไม่ค่อยจะแข็งแรงนัก

“เป็นคนป่วยบ่อย คุณหมอแนะนำให้ออกกำลังกาย จากนั้นคุณพ่อ (จิระศักดิ์) จึงเลือกให้เล่นแบด เพราะเห็นคุณแม่ (บุญชื่น) เล่นอยู่ที่ทำงานด้วยค่ะ จึงได้เริ่มเล่นตอนอายุ 7 ขวบ”

และแล้ววันหนึ่ง ไม่เพียงคุณพ่อของเธอจะพบว่า สุขภาพของลูกสาว มีแนวโน้มไปในทางที่ดีขึ้น หากยังพบว่า น่าจะเอาดีกับกีฬาที่เลือกให้เล่นได้อีกด้วย

“คุณพ่อเห็นว่านักกีฬาแบดมินตันในเอเชียเก่งๆกันทั้งนั้น จึงตั้งความหวังว่า สักวันหนึ่ง ลูกๆน่าจะติดทีมชาติได้ คุณพ่อจึงผลักดันโดยการให้มิ้งตีแบดกับพี่แมนค่ะ โดยที่คุณพ่อเป็นคนคอยดูแล และซ้อมให้เป็นพิเศษ ส่วนคุณแม่นั้นไม่ขัดข้องอะไร ตามใจคุณพ่อค่ะ”

ดังนั้น หากจะบอกว่า คุณพ่อของเธอคือ บุคคลสำคัญที่อยู่เบื้องหลัง และทำให้เธอมีวันนี้ได้ ก็ไม่น่าจะผิดนัก เพราะในช่วงที่เริ่มต้นเล่น เธอไม่ได้ตั้งความหวัง เรื่องชื่อเสียง นอกจากเรื่องของสุขภาพ

“พอตีจนอายุได้ 9 ขวบ ได้แชมป์บางรายการ เลยทำให้ชอบแบด และอยากจะติดทีมชาติกับเขาบ้าง

แต่ว่าคนในครอบครัวก็ไม่ได้มีใครกดดันมิ้งนะคะ แค่อยากให้เราทำเต็มที่ก็พอ ผลจะออกมาเป็นอย่างไรไม่ว่ากัน หรืออย่างมากก็แค่อยากเห็นเราติดทีมชาติ ซีเกมส์ เอเชี่ยนเกมส์ และโอลิมปิกเกมส์”


• นักแบดดาวรุ่ง

แม้จะไม่คาดหวังอะไรมาก แต่เพราะความหมั่นฝึกซ้อมอย่างไม่ลดละ ในที่สุด คำว่า “ชื่อเสียง” ก็มาเยี่ยมเยือนเธอ

“เริ่มมีชื่อเสียงตอนอายุ 14 ปี เพราะแข่งขันได้แชมป์ 3 สมัย ประเภทหญิงเดี่ยว คู่ คู่ผสม ในรุ่นอายุไม่เกิน 15 ปี ซึ่งจัดการแข่งขันโดยปูนซีเมนต์ไทย หลังจากนั้นก็ติดทีมชาติตอนอายุ 15 ปีค่ะ

ทำให้มีความคาดหวังสูงขึ้นเรื่อยๆ แรกๆ ก็ทำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง แต่พอได้แชมป์ ก็เริ่มอยากเป็นแชมป์ประเทศไทย อยากไปซีเกมส์ เอเชี่ยนเกมส์ โอลิมปิก”

• ความพยายามอยู่ที่ไหน
ความสำเร็จอยู่ที่นั่น


ถึงวันนี้เธอเดินทางมาได้ไกลกว่าที่หวังมากแล้ว ซึ่งหากถามว่า อะไรคือเคล็ดลับความสำเร็จของนักตบลูกขนไก่คนนี้ คำตอบคงไม่ต่างจากหลายๆคน

“ความเพียร ความพยายาม ความอดทน ทำให้มิ้งมีวันนี้ค่ะ คุณพ่อกับคุณแม่จะสอนเสมอว่า ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น”

เพื่อให้ผู้อ่าน “ธรรมลีลา” ทุกคน เห็นภาพของความพยายามในแบบของสาวมิ้ง จึงขอชวนคุณนั่งไทม์แมชชีนย้อนเวลาไปชมการฝึกซ้อมของเธอเมื่ออดีต

“มิ้งเริ่มซ้อมหนักประมาณ 10 ปีที่แล้วค่ะ ซ้อมมากกว่าคนอื่นๆ อย่างเช่น สโมสรมีให้ซ้อมอาทิตย์ละ 3-4 วัน มิ้งจะซ้อม 6 วัน ส่วนวันหยุดเสาร์และอาทิตย์ จะซ้อม 2 เวลา

พอเริ่มได้รางวัลมาก็อยากจะเหมือนพี่แมน เพราะพี่แมนเขาเป็นแชมป์ทั้งปีในรุ่นอายุเดียวกันค่ะ ก่อนจะไปโรงเรียนก็ต้องตื่นแต่เช้าเพื่อซ้อม ตื่นตีสี่ครึ่งเพื่อนวดตัว แล้วออกไปวิ่งตีห้า จากนั้นค่อยกระโดดเชือก แล้วกลับมาบ้านเพื่ออาบน้ำ ไปโรงเรียนตอนเจ็ดโมงครึ่ง ทำอย่างนี้อยู่ ปีนึงค่ะ

หลังจากนั้นคุณพ่อได้ส่งพี่แมนไปอยู่เมืองจีน แต่มิ้งบาดเจ็บบ่อย คุณพ่อกลัวว่าจะพิการเสียก่อน และเคยบาดเจ็บตรงหมอนรองกระดูก จนต้องหยุดซ้อมมาแล้ว 6 เดือน

พอหายแล้วกลับมาตีแบดเหมือนเดิม ยังมีความคิดอยากจะเก่งเหมือนพี่แมนอยู่ คุณพ่อเลยถามว่า อยากจะเรียนหนังสือหรืออยากจะไปอยู่เมืองจีน มิ้งบอกว่า อยากไปเมืองจีนกับพี่แมน”

หลังจากนั้นตอนอายุ 12 ปี คุณพ่อ จึงให้เธอลาออกจากโรงเรียน เพื่อจะได้เตรียมตัวเองให้พร้อม ก่อนไปอยู่ต่างบ้าน ต่างเมือง

“เพราะที่นั่น (เมืองจีน) ซ้อมกันหนักมาก คุณพ่อกลัวมิ้งจะรับไม่ได้ ดังนั้น ก่อนไปเมืองจีน มิ้งจึงต้องซ้อมวันละ 2 เวลา ตอนนั้นใครก็ว่าคุณพ่อมิ้งบ้า กล้าทำได้ไง ให้ลูกออกจากโรงเรียน แต่คุณพ่อบอกว่าอายุของคนเราตีแบดได้แค่ 30 ปีเท่านั้น ส่วนเรื่องเรียนจะเรียนเมื่อไหร่ก็ได้ เพราะเรียนความรู้ สามารถเรียนได้จนแก่”

• หัวใจเต้นแรง
ธรรมะช่วยได้


แม้ว่าจะต้องหมดเวลาส่วนใหญ่ไปกับการฝึกซ้อม แต่ใช่ว่านักกีฬาสาวคนนี้จะไม่มีเวลาเข้าวัดทำบุญ เอาเสียเลย

“ส่วนใหญ่มิ้งจะไปทำบุญที่วัดแถวบ้านค่ะ โดยคุณแม่จะเป็นคนพาไป แต่ถ้าเลือกได้ มิ้งชอบไปทำบุญที่วัดตามต่างจังหวัดมากกว่า เพราะบรรยากาศเงียบสงบ ผู้คนไม่พลุกพล่าน ทำให้รู้สึกได้บุญดีค่ะ”

แต่หากถามว่า เธอนำธรรมะมาใช้กับการเล่นกีฬาอย่างไรบ้าง เธอตอบว่า

“เอามาใช้ตอนตื่นเต้นค่ะ เพราะบางครั้งมิ้งจะควบคุมตัวเองไม่ได้ แต่พอเริ่มมีสมาธิเมื่อไหร่จะหยุดตื่นเต้น แล้วจะพาตัวเองผ่านจุดนั้นไปได้ และมิ้งเป็นอีกคนที่ต้องสวดมนต์ก่อนนอนทุกคืน”

• ของฝากจาก “รุ่นพี่” ถึง
“นักตบลูกขนไก่ คลื่นลูกใหม่”


คงมีเด็กๆหรือวัยรุ่นจำนวนไม่น้อย ที่รักและถูกส่งเสริมให้เล่นกีฬาแบดมินตัน แต่หากว่าใครอยากจะประสบความสำเร็จเหมือนเธอคนนี้ รุ่นพี่อย่างสาวมิ้งแนะว่า

“ก่อนจะมาเป็นทีมชาติได้ ต้องมีความอดทน มุมานะมากค่ะ เพราะมีการแข่งขันกันสูง ดังนั้น เราจึงต้องมีความพยายาม และซ้อมให้หนักกว่าคนอื่น ต้องไม่ขี้เกียจ ไม่โกง ทำตามที่โค้ชสั่งทุกอย่าง และต้องยอมเสียเวลาสำหรับการใช้ชีวิตวัยรุ่น

บางเวลามิ้งก็มีความขี้เกียจเหมือนกัน แต่จะพยายามคิดเสมอว่า ในเมื่อเรามีโอกาสมากกว่าคนอื่นที่เขาอยากติดทีมชาติ แต่ไม่มีโอกาส เราจึงขี้เกียจไม่ได้ และยังมีคนในครอบครัวให้กำลังใจเราอยู่ ต้องพยายามทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้

อยากบอกน้องๆให้มีความอดทน ยอมเหนื่อยและทุ่มเทกับมันให้มาก แล้วอย่าลืมเป้าหมายว่า เรามาเล่นกีฬาเพื่ออะไร อันนี้สำคัญมาก พยายามทำให้ถึงเป้าหมายที่กำหนดไว้ แม้จะต้องเสียเวลาการใช้ชีวิตวัยรุ่นไป แต่เราก็จะได้อะไรกลับมาเยอะ”

ใช่แล้ว.. ทุกวันนี้เธอได้อะไรกลับมาเยอะ ทั้งชื่อเสียง เงินทอง และความรัก แต่สิ่งที่ทำให้เธอภูมิใจในตัวเองมากที่สุดนั้น คืออันดับ 28 ของโลก เจ้าของผลงานแชมป์หญิงเดี่ยวประเทศไทย 4 สมัย, เหรียญทองซีเกมส์ปี 2009 ที่ประเทศลาว และเหรียญทองทีมหญิงซีเกมส์ ครั้งที่ 26 ที่ประเทศอินโดนีเซีย เธอกล่าวว่า

“คงเป็นเรื่องที่มิ้งเป็นคนรักดี ไม่ติดยา ได้มีโอกาสติดทีมชาติ แล้วได้เหรียญทองทีมหญิงซีเกมส์พร้อมกับพระองค์หญิง (พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์)”

• สีชมพูในหัวใจ
นักตบลูกขนไก่มือ 1


อย่างที่รู้กันว่า ยามนี้หัวใจของสาวมิ้งกำลังเป็นสีชมพู...

เธอเล่าถึงความรักที่เกิดขึ้นกับคนในแวดวงเดียวกัน หลังจากพบกันครั้งแรกในปี 2007 ในศึกกีฬามหาวิทยาลัยโลก ว่า

“ก่อนที่จะหมั้น เราใช้เวลาเรียนรู้กันประมาณปีครึ่งค่ะ แต่เขาบอกว่า ชอบมิ้งมานานแล้ว เพิ่งกล้ามาคุยกับมิ้งในระยะหลัง จากนั้นเราก็เจอกันตามแมตช์ที่ไปแข่งเรื่อยๆ แล้วก็อาศัยคุยกันทางเน็ตบ้าง”

แรกที่ตัดสินใจคบหาเป็นแฟน เธอยอมรับว่า ครอบครัวยังรู้สึกเป็นห่วง

“คุณแม่ห่วงมิ้งค่ะ เพราะเห็นว่าแฟนเป็นฝรั่ง กลัวเขาจะไม่รักเราจริง คุณแม่บอกว่าให้ดูให้ดี แต่ถึงอย่างไร ท่านก็เคารพในการตัดสินใจของมิ้ง”

เมื่อได้เรียนรู้นิสัยใจคอกันมากขึ้น จากการเดินทางไปแข่งตามแมตช์ต่างๆ และฝ่ายชายก็เคยเดินทางมาซ้อมที่เมืองไทย เธอจึงตัดสินใจรับหมั้นในที่สุด โดยบอกถึงเหตุผลที่ทำให้มั่นใจในแฟนหนุ่มว่า

“คงเป็นเพราะความรักที่เขาแสดงให้เห็นว่า รักเราและอยากดูแลเรามั้งคะ”

ขณะที่ฝ่ายชายเองก็เคยบอกกับเธอว่า ประทับใจในตัวเธอ ตรงที่ “เป็นคนจิตใจดี ฉลาด และรักครอบครัวมาก”

หลังจากที่เสร็จสิ้นพิธีหมั้น เธอก็ได้เดินทางไปที่ประเทศบ้านเกิดของแฟนหนุ่มทันที นอกจากเพื่อไปเรียนภาษาฝรั่งเศส ยังเพื่ออะไรอีกบ้างนั้น ในวันหมั้น แฟนกีฬาของเธอคงทราบผ่านสื่อต่างๆกันไปแล้วว่า

“ต้องขอบคุณทุกๆคน ที่มาร่วมในงานหมั้นของเราทั้งคู่ ทั้งญาติผู้ใหญ่ รวมถึงเพื่อนๆพี่ๆ ในวงการแบดมินตันทุกคน มิ้งยังคงเล่นแบดมินตันต่อแน่นอน อย่างน้อยๆก็อีก 3 ปี จนครบสัญญาที่เซ็นไว้กับสปอนเซอร์ ที่สำคัญยังยินดีที่จะรับใช้ทีมชาติไทยต่อไป ขึ้นอยู่กับทางสมาคมและผู้ใหญ่เห็นว่า มิ้งยังคงมีฝีมือช่วยทีมได้

ทางบริซได้เตรียมให้มิ้งไปเล่นให้กับสโมสร โอเนสซาบัว สโมสรในลีกแบดมินตันอาชีพที่ฝรั่งเศส ที่กำลังขาดนักกีฬาในประเภทหญิงเดี่ยวพอดี ลีกอาชีพจะมีแข่งทุกๆเดือน และมีการจ่ายค่าตัวให้นักกีฬาทุกแมตช์ด้วย

นอกจากนั้น ทางสมาคมแบดฯ ฝรั่งเศส ยังให้เราสามารถไปฝึกซ้อมกับนักกีฬาทีม ชาติฝรั่งเศสด้วย หลังจากหมั้นเสร็จ บริซขอทุ่มเทเวลาให้กับการแข่งขันเพื่อเก็บคะแนนเข้าร่วมแข่งขันโอลิมปิก ลอนดอน 2012 ก่อน เพราะดูจากอันดับโลกแล้ว ครั้งนี้เขายังมีโอกาสอยู่ จากนั้นเราทั้งคู่ก็จะหาฤกษ์แต่งงานกัน ภายในปี 2012”

ซึ่งความคาดหวังในตัวคนรัก ซึ่งเป็นคนต่างชาติ ต่างภาษา และต่างศาสนา หลังจากที่แต่งงานกัน ก็คือ เธออยากชักชวนให้เขามีโอกาสเรียนรู้ขนบธรรมเนียมประเพณีแบบชาวพุทธมากยิ่งขึ้น

“อยากลองชวนเขาให้เข้าวัดนั่งสมาธิ และเชื่อเรื่องทำบุญค่ะ ส่วนมิ้งเองก็อยาก ที่จะเรียนภาษาฝรั่งเศสเพิ่มเติม”

เชื่อแน่ว่า ภาษาฝรั่งเศสที่เธอมุ่งมั่นจะเรียนรู้ คงไม่ได้ถูกนำมาใช้เพื่อสื่อสารกับคนรักที่เป็นเจ้าของภาษาเท่านั้น แต่อาจจะถูกนำมาใช้กับหน้าที่การงานในอนาคต ที่เธอฝันเอาไว้ว่า อยากจะเข้าทำงานที่บริษัทการบินไทย

ถึงวันนั้น ทุกคนคงไม่ลืมว่า เธอคือ นักตบลูกขนไก่ มือ 1 ของไทย ซึ่งนำชื่อเสียงมาสู่ประเทศชาติอันเป็นที่รัก

(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 134 กุมภาพันธ์ 2555 โดย พรพิมล)




กำลังโหลดความคิดเห็น