ดอกโศก ตอนที่ 5
เพ็ญตระการ ยืนดูเหตุการณ์อยู่จากด้านในตึก เพ็ญพักตร์ยืนอยู่ด้วย สองแม่ลูกประเมินสถานการณ์กันไม่ถูก เพราะไม่ได้ยินสิ่งที่สุดเขตคุยกับอัศนัย
“คุณแม่ว่าคุณตาพูดอะไรกับคุณอัศนัยคะ” อุ๊สงสัยครามครัน
“เดาไม่ออก แต่น่าจะซีเรียสพอสมควร” เพ็ญพักตร์ว่า
“คุณตากลับมาแล้ว อุ๊ถามนะคะคุณแม่”
เพ็ญพักตร์ห้ามทันควัน “อย่า....ถามไม่ได้นะอุ๊ เป็นเด็กอย่ายุ่งเรื่องของผู้ใหญ่”
อุ๊ไม่ฟัง “ไม่...อุ๊จะถาม” เดินพรวดจะออกไปถามคุณตา
เพ็ญพักตร์คว้าแขนอุ๊ไว้อย่างเร็ว ดึงกระชากกลับเข้าไปในตึก สุดสวยเดินมาเห็นพอดี
“ทำอะไรกัน”
“น้าสวยขา” อุ๊รีบประจบ
“ไม่มีอะไรสุดสวย พี่กำลังสอนอุ๊” เพ็ญพักตร์จูงอุ๊เดินหนี
สุดสวยไม่เชื่อสองแม่ลูก “ไม่เชื่อกำลังมีเรื่องกันใช่มั้ยล่ะ เรื่องอะไรอุ๊ บอกน้า...น้าช่วยได้ทุกอย่าง จริงมั้ย...จริงมั้ยล่ะ บอกมาสิ บอกมาเลย” สุดสวยเดินตามมา “พี่เพ็ญปล่อยยัยอุ๊นะ อุ๊มานี่” สุดสวยเข้าฉุดหลาน
เพ็ญพักตร์ฉุน หันไปผลักอย่างแรง สุดสวยเงื้อง่าจะสู้เพ็ญพักตร์
“หยุด! อย่ามาทำบ้าตรงนี้นะสุดสวย กลับไปห้องเธอซะ” เพ็ญพักตร์ตวาดใส่
สุดสวยหวีดร้องขึ้นมา “ไล่ชั้นเหรอพี่เพ็ญจะฟ้องคุณพ่อ คุณพ่อขา” สุดสวยหันไปพ่อเดินเข้ามา “พี่เพ็ญไล่ค่ะ ไล่ให้กลับห้อง คุณพ่อไล่พี่เพ็ญไปเลยค่ะ”
สุดเขตพูดเสียงค่อยๆ กับเพ็ญพักตร์ “เพ็ญพักตร์พ่อขอนะอย่ามีอะไรกับน้อง เธอก็รู้ว่าอาการของน้องเป็นยังไง”
เพ็ญพักตร์รู้สึกอึดอัดอยู่ในหน้า “ค่ะ แต่คุณพ่อช่วยคุมสุดสวยด้วยอย่าปล่อยออกมาหาเรื่องใครต่อใครอย่างนี้”
สุดสวย หูไวเหลือเกิน ได้ยินเข้าพอดี “ใคร...ใครหาเรื่องตัวเองน่ะสิ”
คุณตาหันไปโอบไหล่สุดสวยพาเดินไป สุดสวยยังส่งเสียงไปตลอดทาง
“น้าสวยนี่แย่จริงๆ” อุ๊ตะโกนเสียงดัง
“พอ....พออุ๊ เราเป็นหลานพูดถึงน้าอย่างนั้นได้ไง” เพ็ญพักตร์เอ็ด
“น้าเป็นบ้านี่” อุ๊ไม่ฟังแม่เอาเลย
“แม่บอกให้พอ อุ๊อย่าให้แม่ได้ยินว่าอุ๊ว่าน้าเค้าอย่างนั้น”
“ไม่จริงเหรอคุณแม่ น้าสวยน่ะเป็นบ้า คุณตาพยายามรักษาเพราะสงสารลูกสาวคนเล็กแต่น้าสวยก็ไม่หาย เป็นบ้าแล้วยังเป็นสาวแก่อีก”
สุดเขตพาลลูกสาวไม่สมประกอบเข้ามาในห้อง แล้วจับบ่าสองข้างของสุดสวย มองนัยน์ตาสีหน้าปลอบโยน
สุดสวยสะอื้นเฮือกๆ “ทำไมคุณพ่อไม่ไล่พี่เพ็ญ”
สุดเขตโอบร่างสุดสวยมาแนบอก ลูบหลังลูบไหล่ปลอบโยน สุดสวยสะอื้นเงียบๆ กับอกพ่อ
“กินยานะลูก พ่อเอาให้”
“คุณพ่อ...ทำไมลูกต้องกินยาทุกวัน ไม่ได้ไม่สบายซะหน่อย” สุดสวยถามประสาซื่อ
“ยาบำรุง...พ่ออยากให้หนูแข็งแรงนะ”
“ลูกไม่แข็งแรงเหรอคะ”
สุดเขตไม่ตอบ เดินตรงไปเอายา สีหน้านายพลชรา หมองจัด อดคิดถึงความหลังขึ้นมาไม่ได้
สภาพของคุณหญิงผู้เป็นภรรยา...และเป็นแม่ของเพ็ญพักตร์และสุดสวย ช่วงมีลูกเล็ก รูปร่างหน้าตาค่อนข้างทรุดโทรม ไม่สวยงาม นัยน์ตาแห้งเพราะความทุกข์รุมเร้า ปล่อยปละเรื่องการแต่งเนื้อแต่งตัว
วันนั้นคุณหญิงอารมณ์เสีย พูดจารุนแรงกับสามี สุดเขตรำคาญ เบี่ยงตัวหนีจะเดินออก คุณหญิงไม่ยอมเดินตามมาอีก แต่สุดเขตหันมาตลอดแล้วเดินออกไป ในขณะที่สุดสวยในวัยเพียงขวบเดียวอ้าปากร้องไห้เสียงดัง
คุณหญิงหันไปตวาด “สุดสวยหยุดร้องเดี๋ยวนี้ หยุด...หยุด”
เสียงสุดสวยร้องไห้จ้า เพ็ญพักตร์ตอนวัยรุ่นแอบมองด้วยสีหน้าตื่นกลัวมาก
สุดเขตอดไม่ได้หันมามองสุดสวย เห็นภาพคุณหญิงกำลังเอ็ดตะคอกสุดสวย สุดสวยหน้าเหยเกมองหน้าแม่
สุดเขตดึงตัวเองกลับมา สลัดภาพขมขื่นทิ้งไปมองสุดสวยที่ กำลังร้องเพลงหงุงหงิง
สุดเขตถอนใจ หยิบยา
ในเวลาเดียวกัน เพ็ญพักตร์นั่งครุ่นคิด ขณะที่อุ๊หยิบยามา
เพ็ญพักตร์กำลังนึกถึงเหตุการณ์เดียวกันกับพ่อ ในมุมที่ตนเห็นและเข้าใจ
เมื่อเห็นว่าน้องโดนแม่เอ็ด ตะคอก แล้วหันมาเรียก “เพ็ญพักตร์ มาช่วยดูน้องสิ”
สีหน้าเพ็ญพักตร์ ยิ่งตื่นกลัว
เสียงของลูกสาวดึงเพ็ญพักตร์กลับมา แต่สีหน้ายังตื่นกลัวอยู่
อุ๊ส่งยาให้แม่ “ยาค่ะคุณแม่ คุณแม่ปวดหัวมากมั้ยคะ ทานสองเม็ดนะคะจะได้หายเร็วๆ”
เพ็ญพักตร์ทานยา ตบเก้าอี้ให้อุ๊นั่ง แล้วกอดอุ๊ “แม่มีเรื่องจะบอกอุ๊สองข้อ”
“ค่ะ คุณแม่” อุ๊ซุกตัวอิงแอบผู้เป็นแม่
“สงสารน้าสุดสวย ทำดีกับเขามากๆ” เพ็ญพักตร์บอก
สีอุ๊ฉงน “ทำไมคะ”
“เอาเถอะแม่มีเหตุผล ข้อสองต่อไปถ้าจะรักใครจะแต่งงานกับใคร อย่ารักอย่าแต่งงานกับผู้ชายเจ้าชู้ แม่จะภาวนาทุกวันขอให้ลูกแม่พบผู้ชายที่ไม่ทำร้ายผู้หญิงเพราะไปมีเมียน้อย”
อุ๊คิดตาม “เหมือนคุณพ่อใช่มั้ยคะ”
“ใช่ลูก แม่โชคดีคุณพ่อขยันทำงาน ที่โชคดีที่สุดที่คุณพ่อไม่เคยมองผู้หญิงคนไหนเลย”
วันรุ่งขึ้น ตระกูลเดินออกมาจากข้างในส่วนออฟฟิศของโรงงานทำเบญจรงค์ ดูดีมีสง่า แต่งตัวเนี้ยบ และมาดดี พนักงานต่างไหว้อย่างนอบน้อม ตระกูลนัยน์ตานิ่งแบบเจ้าชู้ลึกเกือบมองไม่เห็น รับไหว้ ทักทายนิดหน่อยหันมาเห็นปรียากมล ในจังหวะที่ปรียากมลเดินมา
“สวัสดีครับ”
“สวัสดีค่ะ คุณ...” ปรียากมลเพิ่งเจอตระกูลครั้งแรก
“ผม...ตระกูลครับ เป็นเจ้าของบริษัท”
“เจ้าของ ?” ปรียากมลสงสัย
“หุ้นส่วนครับ”
“อ๋อ ดิฉันมาหาอัศนัยค่ะ” ปรียากมลบอกธุระ
“อ๋อ คุณอัศนัย นัดไว้หรือเปล่าครับ”
“เปล่าค่ะ”
“ถ้าติดต่อเรื่องธุรกิจคุยกับผมก็ได้นะครับ”
“ถ้าไม่ใช่ธุรกิจคุยไม่ได้หรือคะ” ปรียากมลสัพยอก
ตระกูลระทึกใจทันที “ก็...”
ปรียากมลหัวเราะเสียงแจ่มใส “ขอบคุณนะคะ” หันหลังกลับเดินเข้าห้องอัศนัยไป
ตระกูลยังยืนใจหวิวอยู่อย่างนั้น
ภายในห้องออกแบบเครื่องเบญจรงค์ เวลาต่อมา เพ็ญพักตร์กำลังพิจารณากระดาษออกแบบลาย ทั้งลายเต็มเป็นรูปร่างทั้งลายที่เจาะเฉพาะส่วนชัดๆ บางส่วนแต่ยังไม่ลงสี
“จะลงสีเมื่อไหร่”
“เต้ยทำแล้วครับอยู่ในเครื่อง” ช่างออกแบบชายชื่อวินตอบ
เต้ยช่างออกแบบหญิงในทีมงานรีบบอกต่อ “ยังไม่เรียบร้อยค่ะ ให้คุณเพ็ญดูลายก่อน”
“ถ้าแก้ จะได้แก้ก่อนทำสีเต็มๆ ครับ” ช่างวินเสริม
“ลายสวย ดอกไม้เพิ่มอีกได้ไหม ฉันอยากให้มันดูยิบๆ ละเอียดๆ เพราะเราจะเปิดตลาดลูกค้าไฮเอนด์ สินค้าต้อง exotic กว่านี้”
“ครับ คุณเพ็ญ” วินรับคำ
“วินกับเต้ย รู้หรือยังว่าเราจะทำเซรามิก” เพ็ญพักตร์เอ่ยขึ้นในจังหวะหนึ่ง
“หรือคะ” เต้ยประหลาดใจ
“เราจะเทคโอเวอร์โรงงานเก่าที่เชียงใหม่เตรียมตัวไว้แล้วกัน ฉันอยากให้ทำลาย ใหม่ๆ ไม่ซ้ำลายเก่าๆ ที่เขาทำ”
สองคนรับคำพร้อมๆ กัน “ค่ะ” / “ครับ”
ตระกูลเดินเข้ามา ตั้งแต่เพ็ญพักตร์คุยกันกับช่างกลางคัน มานั่งคอย ทำให้เสียงของเพ็ญพักตร์กับช่างค่อยลงหน่อย
เพ็ญพักตร์หันมาทางสามี “ฉันเสร็จแล้วจะกลับเลยมั้ย”
“ครับ”
“คุณเป็นอะไรหน้าตาแปลกๆ ชอบใจอะไร”
“คิดถึงโรงงานเซรามิก”
เพ็ญพักตร์ไม่รู้สักนิดว่าตระกูลโกหก
เพ็ญพักตร์กับตระกูลเดินออกมาด้วยกันที่บริเวณห้องโถง เพ็ญพักตร์ทำท่าบอกว่าจะไปห้องน้ำ แล้วเดินผละไป คล้อยหลังภรรยา ตระกูลเหลียวหาปรียากมล
อัศนัยเพิ่งกลับเข้ามาจากข้างนอก “คุณตระกูล” อัศนัยยกมือไหว้ “สวัสดีครับ”
“ผมกำลังจะกลับ คุณเพ็ญดูลายเสร็จแล้ว” ตระกูลบอก
“คุณเพ็ญอยู่ไหนล่ะครับ”
เพ็ญพักตร์เดินเข้ามาในห้องน้ำ ล้างมือที่อ่าง
เสียงปรียากมลดังลอดออกมาจากในห้องน้ำ “miss you so much darling…when you’re gonna come It’s been too long you know…” หัวเราะเสียงหวาน ขณะเปิดประตูออกมา
เพ็ญพักตร์ชำเลืองมอง
ปรียากมลไม่สนเลยว่ามีใครอยู่บ้าง โทรศัพท์แนบหูเปิดก๊อกล้างมือ “Don’t be silly it’s already a month. You said you love me but keep me waiting this long….” นิ่งฟัง “O.K. This Friday…” หัวเราะระรื่น sure you can make it that quick?...” ฟังทางปลายสาย “kiss you too darling.”
ปรียากมลล้างมือเสร็จ ปิดก๊อกรวดเร็ว สะบัดมือนิดๆ แล้วหันหลังเดินจะออก ไม่มองเพ็ญพักตร์เลย
“Wait…..you” เพ็ญพักตร์เรียกไว้
ปรียากมลหันมา “อะไรหรือคะ?”
เพ็ญพักตร์หน้าแตกเล็กๆ “คุณปิดน้ำไม่สนิท น้ำยังไหลอยู่”
“อ๋อ” ปรียากมลมองปรายตา ทำท่าสะบัดมือให้แห้งอีกนิดแบบยั่วประสาท แล้วปิดก๊อกด้วย ปลายนิ้ว หันมายิ้มหวานให้เพ็ญพักตร์ “ขอบคุณนะคะคุณพี่”
เพ็ญพักตร์ไม่ขำ “ขอโทษค่ะฉันไม่ได้เป็นพี่คุณ”
“ตายจริง ฉันเห็นคนไทยชอบเรียกแม่ค้าว่าพี่ก็เลย...คิดว่าเรียกได้”
เพ็ญพักตร์จ้องปรียากมลอย่างทะลุทะลวง
“ขอโทษนะคะ” ปรียากมลบอก
“คุณไม่ค่อยมีมารยาทฉันขอพูดตรงๆ ในที่สาธารณะอย่างนี้คุณพูดโทรศัพท์เสียงดัง คุณใช้ของสาธารณะอย่างไม่ระวัง แล้วคุณยังไม่มีกิริยา...” ชี้กระโปรงสวยของตัวเองที่เปียกน้ำเป็นจุด “สะบัดน้ำกระเด็นมาถูกฉัน”
“ความผิดเยอะจัง”
“คุณจะมาซื้อของหรือเปล่าฉันไม่รู้แต่อย่าบังอาจมาเรียกฉันแม่ค้าอีก”
“อ๋อ...คุณพี่ไม่ใช่แม่ค้าหรือคะ” ปรียากมลชักนึกสนุก
เพ็ญพักตร์จดจ้องปรียากมล
“เอ๊ย...คุณไม่ใช่แม่ค้าหรือคะ” ปรียากมลพูดเน้นตรงคำว่าคุณ
เพ็ญพักตร์พูดพลางเดินหลีกออกไป “ธรรมเนียมฝรั่งที่คุณใช้เขาเรียกว่า กิริยาหยาบคาย” หยุดเดิน หันมาพูดเสียงเรียบทิ้งท้าย “ที่นี่เมืองไทย”
เพ็ญพักตร์เดินออกไป ปรียากมลยักไหล่ ยิ้มหยันๆ ไม่แคร์อยู่แล้ว
ครู่ต่อมาเพ็ญพักตร์เดินนำ ปรียากมลเดินตามมาด้านหลัง
จังหวะหนึ่งปรียากมลรีบเดินแซง “ทราบแล้วค่ะว่าที่นี่ Bangkok…Thailand เอ๊ะหรือว่า Flooded Land” แล้วเดินเลยไปทันที
เพ็ญพักตร์โกรธจนตัวสั่น
ปรียากมลเดินมาถึงตัวอัศนัย ที่กำลังยืนคุยกับตระกูล แล้วเข้าไปจุ๊บแก้มอัศนัยอย่างรวดเร็วจนอัศนัยตั้งตัวไม่ทัน แต่ดูเป็นกิริยาสบายๆ ไม่ยั่วเย้าอารมณ์ใดๆ
“คอยในห้องนะ” ปรียากมลกระซิบๆ แล้วเดินไป
ในรถตระกูล ที่หน้าออฟฟิศ เพ็ญพักตร์ปิดประตูรถแรงมากๆ “เป็นผู้หญิงที่น่าเกลียดมากผู้หญิงเมื่อกี้...”
ตระกูลสายตาวับขึ้นมานิด แวบหนึ่งนั้น นึกไปถึงสายตาปรียากมลที่มองตัวเอง
“ฉันพบเขาในห้องน้ำกิริยามารยาทเหลือทน”
ตระกูลยิ้มนิดๆ เมื่อนึดถึงปรียากมลขณะพูดว่า “ถ้าไม่ใช่ธุรกิจคุณไม่ได้หรือคะ”
“คุณว่าไง”
“ไม่ไหว ผมเห็นกิริยาแล้วไม่ไหวจริงๆ” ตระกูลบอกไม่ตรงกับใจ
“นั่นสิ พวก Americanized” เพ็ญพักตร์ชำเลืองดูตระกูล แล้วแปลเป็นไทยเสียหน่อย “ถูกครอบงำด้วยวัฒนธรรมอเมริกัน ฉันไม่เห็นจะเข้าท่า”
“ตรงไหนเหรอคุณเพ็ญ”
“อ้าว ไหนคุณว่าไม่ไหวถามทำไม” เพ็ญพักตร์แปลกใจ
“ผมเห็นแวบเดียว ไม่ได้พูดกันซักคำ” ตระกูลยิ้มในหน้า “คุณพบเขาในห้องน้ำนี่”
“ฉันรู้แล้วน่าว่าคุณไม่ได้มองเขาจริงๆ จังๆ แค่ที่คุณเห็นก็น่าเกลียดเหลือทนไม่คิดงั้นเหรอ”
ใบหน้าตระกูลขณะหันหน้าหนีจากเพ็ญพักตร์ ดูครึ้มอกครึ้มใจ
“เขาเป็นอะไรกับคุณอัศนัยท่าทางเหมือนแฟนกัน”
ในห้องทำงานอัศนัย ปรียากมลเผยโปรแกรมที่แวะมาหาทันที
“ดินเนอร์กันนะอัศนัย”
“งานเยอะ ต้องคอยนะ”
“ชัวร์...ไม่คอยจะให้ไปคนเดียว” ปรียากมลชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ “หรือกับใคร”
อัศนัยจับตัวโยกให้พ้นไป แล้วเปิดแฟ้มงาน “ขอโทษนะครับ”
โทรศัพท์ดังขึ้นพอดี
“น่าจะประมาณทุ่มหนึ่งถึงจะเสร็จ” อัศนัยบอกปรียากมลแล้วกดรับโทรศัพท์ “ดอกโศก คุณนัยพูด มีอะไรหรือ” นิ่งฟัง “อ๋อ....ได้ คุณนัยจะไปเดี๋ยวนี้ ที่ไหน?” วางหู แล้วเปิดลิ้นชักหยิบซองเงิน ปิดแล้วล็อคกุญแจ ลุกขึ้นเดินออกไป
ปรียากมลเสียงแข็ง “อัศนัย”
“โอ” อัศนัยเหมือนนึกขึ้นได้
“คุณจะทิ้งฉันไปเฉยๆอย่างนี้หรอ” น้ำเสียงปรียากมลโกรธจริงๆ
“ขอโทษจริงๆ ผมต้องรีบไป”
“ฉันไม่ยกโทษแน่นอน คุณลืมจริงๆ เหรอเนี่ย”
อัศนัยหัวเราะขำนิดๆ “ขอโทษ....ขอโทษมากๆ คุณจะไปกับผมมั้ย ผมจะรีบไป ธุระเสร็จแล้วเราไปทานข้าวกัน”
“มันสำคัญมากขนาดไหนกัน คุณไม่เห็นหัวคนทั้งคน”
“ไม่ใช่....ผมรีบ”
“อย่าพูดคำว่ารีบอีก เพราะมันไมได้แปลว่า ตาบอด”
“โธ่....”
“คุณจะทำให้ฉันเกลียดแม่ดอกโศกอะไรคนนี้ สำคัญกับคุณมากเชียวเหรอเด็กคนเนี้ย”
“ตอนนี้สำคัญมาก”
ปรียากมลฉงนระคนแปลกใจ “หมายความว่ายังไง”
“ดอกโศกกำลังต้องการให้ผมช่วยเดี๋ยวนี้ ผมถึงจะรีบไป”
“ทั้งๆ ที่คุณบอกว่างานเยอะ”
“ถ้าไปดินเนอร์กับคุณผมขอทำงานก่อน แต่...”
ปรียากมลขัดขึ้นทันควัน “ถ้าไปหาแม่ดอกโศกเนี้ย...ยังไม่ต้องทำเหรอ”
“ไม่ ถ้าไปหาดอกโศกผมจะไปเดี๋ยวนี้”
สองคนยืนจ้องตากันสักครู่ อัศนัยเดินออก
“O.K.”
อัศนัยหันมา สีหน้าฉงน
“ฉันจะไปกับคุณ” ปรียากมลยิ้มร้ายลึกมากๆ
เวลาต่อมาที่บ้านสมใจ เถ้าแก่กำลังเจรจากับชายหนุ่มเจ้าของรถมอเตอร์ไซค์ ซึ่งออกท่าทางวีน
“ไม่ได้...บอกเด็กมันให้จ่ายเงินมาเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นถึงตำรวจแน่”
ป้อมหน้าซีดสลด
“คอยสักครู่ไม่ได้เหรอครับ ทางนี้เขาบอกว่าเดี๋ยวจะมีคนเอาเงินมาให้”
“ทำไมต้องเดี๋ยวในเมื่อบอกว่ามีเงินจ่าย” เจ้าของรถโวยอีก
“ก็เงินยังไม่มานี่คุณคอยเดี๋ยวไม่ได้เหรอไง...ไม่โกงหรอกน่า” สมปองสอดอย่างเหลืออด
เจ้าของมองสมปองด้วยหางตา “เป็นใครเนี่ย”
“อ้าว...ถามยังงี้หมายความว่าไง รู้ว่าเป็นใครแล้วไง...เป็นคนขับตุ๊ก..ตุ๊กว่าไงล่ะ เสียเกียรติมากเหรอถ้าพูดกะชั้น” สมปองตอกกลับ
“ไม่เกี่ยวใช่มั้ย” เจ้าของรถยียวนใส่
“ก็เนี้ย...หมดทุกคนเนี่ยเกี่ยวข้องกับนายป้อมทั้งนั้น” ถ้าแก่อธิบาย
“เฮ้ย กูไม่เกี่ยวเว๊ย ไม่ได้เป็นอะไรกัน ไอ้หมายเข้าบ้านปล่อยนังปองอาละวาดไปคนเดียว” สมหวังรีบชิ่ง
“พ่อ...ป้อมไม่ใช่ญาติก็เหมือนญาตินะ” สมปองตำหนิพ่อ
“ไม่เหมือน ไม่ใช่ญาติจะเหมือนญาติได้ไงวะ ถ้าเหมือนญาติมันก็เป็นญาติไปแล้วน่ะสิ” สมหวังท้วง
“เอางี้...ฉันมีสามหมื่นเอาไปก่อน” สมใจพยายามคลี่คลายเรื่องราว
“ชั้นมีสองหมื่น.แต่เขาคงไม่ยอมหรอกวันก่อนเถ้าแก่เค้าก็บอกชั้นแล้ว..ห้าหมื่น ก่อนได้มั้ยล่ะคุณ” สมปองผสมโรง
“เฮ้ย ไม่ได้นะเว๊ย” สมหวังโวยอีก
“ฉันมีเจ็ดพัน” สมหมายบอก
“ไอ้หมาย ไม่กี่วันใช้เงินไปหมื่นสามแล้วเหรอ” สมปองฉุน
“ไม่ใช้หมดดีเท่าไหร่แล้ว”
“ไม่ได้ ราคาทั้งหมดแสนกับห้าพัน ค่าซ่อมจนเหมือนเดิม” เจ้าของรถสวนออกมา
“โธ่ คุณ สงสารเด็กมันเถอะ” เถ้าแก่อ้อนวอนร้องขอ
“คุณ...คอยอีกประเดี๋ยวได้ไหมจะมีคนเอาเงินมาให้” ดอกโศกยังมั่นใจว่าอัศนัยจะมา
เจ้าของหันมามอง เห็นความสวยเริ่มแทะเล็ม “ใครล่ะคนเนี้ย”
สมปองสวนทันควัน “เฮ้ย ทำไมต้องถาม ก็คนสิเว้ย”
“คนที่จะช่วยเขากำลังมา เอาเงินมาให้” ดอกโศกย้ำ
“เขาเป็นใคร” เจ้าของรถซักไซ้
ดอกโศกมองนัยน์ตาคมกริบ “คุณห่วงแต่เงินแสนไม่ใช่หรือ”
“ที่ถามเพราะอยากรู้จะมาจริงรึเปล่า” เจ้าของรถดูแคลนอยู่ในที
“โศก...เขารับปากแน่หรือลูก” สมใจชักหวั่น
“แน่จ้ะยาย หนูพูดกับเขาเอง เขาจะมาเดี๋ยวนี้”
ภายในรถอัศนัย
อัศนัยขับรถมาตามทางอย่างเร็ว
“ระวัง! อัศนัย” ปรียากมลร้องขึ้นเหมือนตกใจ
“อย่าร้องดัง....ค่อยกว่านี้หน่อย” กลับโดนดุ
“ทำไมต้องรีบขนาดนี้” ปรียากมลฉุน
“เพราะเขากำลังต้องการให้ช่วยเดี๋ยวนี้”
“ถ้าไม่ช่วยเดี๋ยวนี้ มันจะมีใครตายมั้ย” ปรียากมลเดือดในใจ
“มี”
“ใคร”
“ผม”
สีหน้าปรียากมลเดือดดาล ยอมไม่ได้แล้ว... ต้องทำอะไรซักอย่าง
อัศนัยเลี้ยวรถไปทางซ้ายอย่างรุนแรง
ไวเท่าความคิดปรียากมลเอาตัวครึ่งไหล่ครึ่งกระแทกประตูด้านซ้ายมือตัวเอง เห็นหน้าชัดเจนว่าเธอเจตนา เสียงชนดังมาก ชั่วอึดใจปรียากมลตัวก็ลู่ลงพับกับเบาะ
“ปรียากมล!” อัศนัยตื่นตะลึง
สมใจปรียากมล ที่โรงพยาบาลใกล้ๆ ไม่นานต่อมา มีคนเข็นเก้าอี้ให้ปรียากมลนั่งไป โดยมีอัศนัยเดินตาม ในกิริยาสงบสีหน้าดูออกว่ากระวนกระวายใจหนัก ปรียากมลทำทีนั่งกุมหัว แต่หากใครมองเข้าไปที่หน้าเวลานี้ จะเห็นว่าปรียากมลยิ้มนิดๆ
ทุกคนมองไปทางเข้าสลัม สีหน้ารอคอย
“จะให้รอนานอีกแค่ไหน” เจ้าของรถมอ’ไซค์น้ำเสียงเริ่มหงุดหงิด
ทุกคนเหลียวขวับมาดู
“ว่าไงหนู” เจ้าของรถถามดอกโศก
“คุณอยากได้เงินรึเปล่า” ดอกโศก
“แหม....ถามได้น้อง ทำไมจะไม่...”
ดอกโศกขัดขึ้น “คุณก็ต้องใจเย็นคอย”
“นี่ไม่ได้คอยเหรอ เบ็ดเสร็จหลงจ้งคอยเกือบ 2 ชั่วโมงแล้วนะ งั้นเอาห้าหมื่นมาก่อน......ห้าหมื่นเจ็ดสิ เอามาก่อน” เจ้าของกวนเหลือเกิน
สมใจ สมปอง สมหมาย ขยับตัว สมหวังตะโกนใส่
“อย่านะ พวกมึงหยุด ไม่ใช่หน้าที่ของเราจะช่วยไอ้ป้อม ซ่านักให้ติดคุกไปเลยไอ้เวรป้อม”
“หนูจะให้” สมปองยืนกราน
“ชั้นก็ให้”สมใจยืนยัน
“เอ่อ...หมายก็” สมหมายมองไปพ่อแล้วว่า “จะให้”
ป้อมกระวนกระวายนัก อยากบอกทุกคนว่าไม่ต้องวุ่นวาย
“หยุดทุกคน กูสั่งไม่ให้ใครให้”
“กูจะให้...หลานกู” สมใจบอกชัด
ป้อมตื้นตันใจ สะอื้นจนจุกในอก ดอกโศกจับมือป้อมบีบแรงๆ
“ไปแม่...ไอ้หมายไปหยิบเงินมา สิวะ” สมปองร้องบอก
“ไอ้หมายมึงอย่าขยับ” สมหวังตะโกนพร้อมกับชี้หน้า
“ไอ้หมายมานี่” สมปองขยุ้มคอน้อง
“เฮ้ย อย่าเสือกนะอีปอง เดี๋ยวเหอะมึง” สมหวังดึงแขนสมปองกลับมาเหมือนเล่นชักคะเย่อกัน
ระหว่างนั้น จู่ๆ นายพลสุดเขตเดินเข้าพร้อมนายสม ที่ตามหลังมา อย่างไม่ปี่มีขลุ่ย
“มีเรื่องอะไรกัน”
ทุกคนหันไปมอง อย่างตกตะลึง
อ่านต่อหน้า 2
ดอกโศก ตอนที่ 5 (ต่อ)
ภายในห้องฉุกเฉิน ที่โรงพยาบาลแห่งนั้น หมอเจ้าของไข้ยืนพูดอยู่กับอัศนัยได้ยินเสียงเบาๆ พยาบาลอยู่ด้วย สักครู่เดี่ยว หมอเดินออกไปพร้อมพยาบาล
“ปรียากมล เป็นยังไงบ้างยังเจ็บอยู่ไหม” อัศนัยเข้ามาดูที่แขน ที่หัว
“เจ็บสิอัศนัย คุณคิดว่าคุณเป็นเจมส์บอนด์รึไง” ปรียากมลประชดนิดๆ
“ผมขอโทษนะ”
ปรียากมลยิ้มลึกในหน้า “ตกลงไปไม่ทันคุณไม่ไปแล้วใช่มั้ย”
ส่วนเหตุการณ์ที่หน้าบ้านสมใจ สุดเขตกวาดสายตามองทุกคน
“ว่าไงล่ะฉันถามว่ามีเรื่องอะไรกัน”
“มาก็ดีแล้ว...เอ้อ...ท่าน ไอ้เนี่ยมันจะมาเอาเงินจากไอ้โศกแสนหนึ่ง” สมหวังบอก
“ไม่....ไม่ค่ะ ไม่ต้องรบกวนคุณตา เดี๋ยวจะมีคนเอาเงินมาให้” ดอกโศกว่า
“เฮ้ย หวังอะไรลมแล้ง ถ้ามันมาป่านนี้มาถึงแล้ว แกอย่ายุ่งไอ้โศก ท่านเค้าจะให้...ใช่มั้ยท่าน” สมหวังพูดต่อ
“ใช่...ฉันเซ็นเช็คให้เดี๋ยวนี้แหละ”
“นั่นไง เอ้ามา...มาเอาเงินไปแล้วไปให้พ้นเลย...ไอ้งก” สุดเขตเรียกเจ้าของรถ
“ฉันงกตรงไหนถ้าเงินมาอย่างที่คุยจริงฉันก็ไปตั้งนานแล้ว” เจ้าของมอ’ไซค์ฉุนนิดๆ
“คุณตาคะ หนูไม่รบกวนคุณตาค่ะ เดี๋ยวคุณอัศนัยจะเอาเงินมาให้” ดอกโศกย้ำคำเดิม
ลึกลงไปในหน้า ดูออกว่าสุดเขตเสียใจนัก “ทำไม...เจ้าไม่ให้ตาช่วยเพราะอะไร”
“เพราะ....หนูจะไม่กลับบ้านแล้วไงคะ”
“อภิรมย์ฤดี ตาเป็นตา ตาช่วยเจ้าได้โดยไม่ต้องมีเงื่อนไขใดๆ”
“แต่ว่า...”
สมหวังขยับเข้ามา ทำท่าจะพูดอะไร แต่ถูกสุดเขตชี้หน้าให้หยุดอยู่ตรงนั้น สมหวังชะงักแต่ยังท่าฮึดฮัด
“ฉันบอกให้แกหยุด” สุดเขตตวาด
“เฮ้ย...อะไรวะ ใหญ่มาจากไหน” สมหวังชักโกรธ
“ถ้าหยุด...ต่อไปเดือดร้อนอะไรจะช่วย”
สมหวังหยุดชะงัก ท่าทีเปลี่ยนไปอย่างน่าขัน
“อภิรมย์ฤดี ให้ตาช่วยเจ้าเถอะนะ”
“หนูจะให้คุณอัศนัยช่วยค่ะ หนูพูดกับเขาแล้ว” ดอกโศกยืนกราน
อัศนัยที่ดอกโศกรอ ยังอยู่โรงพยาบาล ตามแผนของปรียากมล
“แล้วผมจะกลับมารับคุณ” อัศนัยบอกน้ำเสียงจริงจัง
“เดี๋ยว...ฉันจะไปกับคุณ”
“ไม่ต้องหรอก”
“เอ๊ะ” ปรียากมลเสียดัง “อัศนัยจะบ้าเหรอ ไม่ไปกับคุณจะให้ฉันกลับบ้านยังไง”
“คุณโอเคแน่นะ”
“แน่...ฉันไปได้” ปรียากมลลุกขึ้น “ขอเข้าห้องน้ำสักครู่”
อัศนัยถอนหายใจยาว “ผมจะไปจ่ายเงิน เร็วหน่อยนะปรียากมล”
อัศนัยออกไป ปรียากมลทำท่าอ้อยอิ่งอย่างจงใจ ค่อยๆ หย่อนเท้าลงจากเตียง พลางยิ้มอย่างมีแผน
“ดอกโศก...เชื่อตานะลูก ใครช่วยก็ได้ ทำไมเจ้าต้องเกี่ยง เอาเงินตาก็ไม่ได้ทำให้เจ้าต้องทำอะไรที่เจ้าไม่อยากทำ เจ้าไม่อยากกลับไปอยู่กับตาก็ไม่ต้องกลับ แต่ให้ตาช่วยหลานของตาเถิดนะ” สุดเขตขอร้อง
ดอกโศกจ้องมองคุณตา
“ไอ้โศก....ไม่ต้องเอาจากใคร เอาตังค์ยายถึงไม่มีครบ ยายจะขอเขามาเพิ่มให้ จนครบ คุณ....เอาไปห้าหมื่นเจ็ดก่อนนะ” สมใจอ้อนวอนเจ้าของรถ
“หยุด....สมใจ หยุดแล้วถอยไป” สุดเขตตวาด
“ใช่ ยายใจ แกถอยไปเลย...ไปไกลๆ” สมหวังโวยใส่
“ไม่ โศกเอาเงินยายไม่ต้องเป็นหนี้บุญคุณใคร ไอ้ปอง” สมใจบอก
“จ้ะแม่ เงินแม่อยู่ไหน” สมปองขยับตัววิ่ง “ไอ้หมาย.....ไปโว้ย”
“ อยู่ในกระป๋องในตู้กับข้าว
ช่วงชุลมุนวุ่นวายเกิดขึ้น สมหวังร้องห้ามสมใจกับลูกเสียงหลง สมปองก็วิ่งไปแล้วคว้าคอสมหมายไปด้วย ดอกโศกพะว้าพะวัง ในขณะที่สุดเขตหยิบสมุดเช็คออกมาถือไว้
ป้อมที่ยืนอยู่ในสภาพหน้าไม่เป็นหน้าอยู่ตรงนั้น ระเบิดเสียงอัดอั้นออกมาดังๆ แล้วหันหลังวิ่งออก เป็นเวลาเดียวที่สมปองวิ่งกลับมาถือเงินมาด้วย
“ป้อม...ป้อมอย่าไปไหน”
ป้อมวิ่งจนตัวลับตาไปแล้ว
“ป้อม....ป้อมอย่าไป” ดอกโศกวิ่งพรวดตามออกไป
“อภิรมย์ฤดี” สุดเขตเรียก
“ไอ้โศก” สมหวังเรียกตาม
คนอื่นๆ ร้องๆ เรียกเสียงดัง ดอกโศกไม่ยอมหยุด
“โศก...เงินเนี่ยมันเงินแม่...แม่เขาส่งมาให้แก” สมใจตะโกนตามหลัง
ดอกโศกได้ยินหยุดกึกหันมาดูสมใจ เห็นสีหน้ายายมองมาอย่างอ้อนวอน
ชสุดเขตก็นิ่งงันไป
“โศกเอาเงินแม่....” สมใจรับเงินมาจากสมปองที่รวบรวมมา
ดอกโศกสีหน้าเข้ม ไม่อยากได้เงินแม่ ส่ายหน้ากับยาย
“เงินแม่ของแกเขาส่งมาให้แก”
“ไม่...หนูไม่เอา” ดอกโศกหันหลังกลับวิ่งออกไป
มีคนอื่นตั้งท่าจะวิ่งตามบ้าง โดยเฉพาะเจ้าของรถจะวิ่งตามไปด้วย ทว่าเจอะเช็คสุดเขตชูอยู่ตรงหน้าพอดิบพอดี
เวลาต่อมาป้อมวิ่งเตลิดออกมาหน้าปากซอย มองซ้ายขวาแล้ววิ่งไปทางหนึ่ง ดอกโศกวิ่งตามออกมา แล้วกวดตามป้อมไป
จู่ๆ มีมือใครบางคนเอื้อมมาจับแขนดอกโศกรั้งไว้ ดอกโศกหันกลับมาดูเห็นว่าเป็นอัศนัย
“คุณนัยขอโทษนะเกิดเหตุบางอย่างทำให้มาช้า ทันไหม...คนที่จะเอาเงินอยู่ไหน”
ดอกโศกสะบัดเต็มแรง แล้ววิ่งต่อไป
“เดี๋ยว ดอกโศก”
อัศนัยตามไปอย่างรวดเร็ว จับตัวดอกโศกไว้อย่างมั่นคง จังหวะนั้นปรียากมลตามมา
“บอกคุณนัยมีอะไร”
“ดอกโศกจะไปตามป้อม ปล่อยค่ะ”
“ป้อมไปไหน”
“กำลังจะไปตามจะทราบได้ยังไงคะ” น้ำเสียงดอกโศกตวัดเล็กๆ
“คุณนัยไปด้วย”
“ไม่ต้องค่ะ”
“ไม่...คุณนัยไปด้วย”
ด้วยความโกรธ น้อยใจ ดอกโศกสะบัดเต็มแรงจนอัศนัยเซ “บอกว่าไม่ต้อง”
ดอกโศกหันหลังกลับวิ่ง ชนกับปรียากมลที่วิ่งตามมา ปรียากมลจับแขนดอกโศกไว้แน่นจึงไม่ล้มไปทั้งคู่
สองแม่ลูกจ้องมองกัน เหมือนสีคลื่นความหมายส่งถึงกัน
“ดอกโศก ใจเย็นๆ มีอะไรค่อยๆ พูด อัศนัยเขารีบมาแล้วนะ เผอิญฉันไม่สบายเลยต้องไปโรงพยาบาลก่อน”
“ค่ะ...ขอบคุณ” ดอกโศกปลดมือ แล้วหันหลังกลับไปอย่างรวดเร็ว
อัศนัยขยับตัวจะตาม ปรียากมลจับแขนไว้ทันที
ทั้งสองคนเดินมาด้วยกัน
“คุณพูดให้แกฟังได้นี่ไม่ต้องกลัวหรอก” ปรียากมลเอ่ยขึ้น
“เป็นเพราะเรามาช้า” อัศนัยโทษตัวเอง
“ใช่...เหตุสุดวิสัยดอกโศกคงเข้าใจ”
“ผมก็หวัง...” อัศนัยถอนใจ รู้สึกหนักใจ เพราะรู้จักดอกโศกดี
“ถึงแม้ว่ากิริยาของแกดูเหมือนจะเข้าใจยาก....ใช่มั้ย” ปรียากมลนึกรู้เช่นกัน
อัศนัยหันมามองปรียากมล สายตาอ่อนลง “ขอบคุณ”
“ไม่มีใครใจแข็งกับหัวใจที่ซื่อตรงและจริงใจได้หรอก...คุณเมตตาแกอย่างจริงใจ...ตั้งแต่แกยังเด็กแกซึมซับได้....เชื่อฉัน”
“โอเค....ผมจะเข้าไปดูที่บ้านดอกโศก คุณจะไปกับผมมั้ย”
“อยู่ที่ไหน”
“ซอยตรงโน้น” อัศนัยชี้เข้าไปด้านใน
“ไม่ดีกว่า ฉันเป็นคนนอกคุณเข้าไปเถอะฉันจะคอยอยู่ตรงนี้”
“กลับบ้านก่อนไม่ดีเหรอ”
“ฉันจะคอย” ปรียากมลจะฉุด...ยื้อให้ถึงที่สุด
“โอเค”
คล้อยหลังอัศนัยที่วิ่งตามดอกโศกไป ปรียากมลยิ้มลึก...สีหน้าพอใจ
เจ้าของรถมอเตอร์ไซค์ยอมรับเช็คจากสุดเขตโดยดี
สุดเขตบอกตามเสียงเบา “ฉันให้แสนสอง ไม่ต้องมาเอาอีก”
“ครับท่าน ขอบคุณครับ” ไหว้ แล้วรีบไป
“เป็นอันว่าเรียบร้อย เถ้าแก่...” สุดเขตหันไปทางเถ้าแก่ร้านซ่อมรถมอ’ไซค์
“ครับผม”
“ขอบใจ”
เถ้าแก่ไหว้และเดินออกไป สุดเขตหันไปทางสมใจ
“สมใจ...มานี่ซิ”
สมใจเดินมา “เมตตามันแล้วก็แล้วกัน ยังมีอะไรอีก”
“สุดจิตต์อยู่ที่ไหน” สุดเขตถามถึงลูกสาว
“จะถามทำไมล่ะท่าน”
“ตอบฉันอย่ามาย้อน”
“ไม่รู้”
“ไม่รู้ได้ไง แกพูดเองว่าสุดจิตต์ส่งเงินมา”
“ก็เห็นแต่เงิน ไม่เห็นตัวมันนี่”
“เขาส่งเงินมายังไงเล่า”
“คนส่งเงินให้กันยังไงก็ส่งมายังงั้นแหละ”
สุดเขตจดจ้อง พยายามระงับอารมณ์เต็มที่ สมใจจ้องตอบไม่ยี่หระ
“ขอหลานไปอยู่กับฉันนะ...สมใจ”
“ก็มันไม่อยากอยู่”
“ช่วยพูดให้หน่อย” สุดเขตอ้อนวอน
“หลานอยู่ด้วยตั้งหลายปี ไม่รู้หรือท่านว่าโศกมันเป็นคนยังไง” สมใจบอก
“เอาเถอะ...ฉันบอกไว้แค่นั้น ถ้าแกเห็นแก่อนาคตของหลาน แกก็รู้ว่าให้อะไรกับหลานได้แค่ไหน.....และฉันให้ได้แค่ไหน”
สมใจนั่งลงในบ้าน สีหน้าหม่นหมอง แต่คิดตรึกตรองคำพูดอดีตสามีไปด้วย สมหวัง....ทำท่าจะเข้าไปหา แต่สมปองดึงแขนพ่อไว้สมหวังขัดขืน สมปองกันสมหมายลากพ่อออกไป สมใจก้มหน้าน้ำตาคลอๆ
ที่หน้าปากซอย สุดเขต กับอัศนัย สองคนเดินมาด้วยกัน
“เป็นอันว่าฉันจ่ายเงินไปแล้ว”
“ครับท่าน”
“อภิรมย์ฤดีคงเล่าให้คุณฟังเองว่าเรื่องราวเป็นยังไง”
“ครับ”
“ก็........” สุดเขตหันไปเห็นปรียากมลยืนรออยู่
ปรียากมลยืนยิ้มมองมา แล้วไหว้นอบน้อม สองพ่อลูกไม่ได้จดจ้องผูกพันกันเป็นพิเศษ
“...มีคนคอยคุณอยู่....เชิญ”
อัศนัยไหว้ลา “ครับ”
สุดเขตเดินจากไป สีหน้า เปลี่ยนเป็นกังวล
“เร็วดีนี่” ปรียากมลเอ่ยขึ้น
อัศนัยโอบไหล่เดินไป “พบคุณตาของดอกโศกกลางทาง...เรื่องเงินจบแล้ว”
“คุณตาเหรอ he’s very smart, isn’t he?” ปรียากมลประหลาดใจ ความทรงจำเกี่ยวกับบิดาไม่หลงเหลือ
“yes, very.”
อีกมุมหนึ่งแถวสลัมแห่งนั้น เป็นที่ที่ดอกโศกเคยนั่งตอนขายหนังสือพิมพ์สมัยเด็ก
ป้อมมีสีหน้าเศร้าหมอง นั่งคอตกจับเข่า ดอกโศกตามมาจนทัน นั่งอยู่ด้วย
“ป้อม....ขอนะ”
ป้อมพูดขัดขึ้น “ฉันทำให้โศกเดือดร้อนมากแล้วฉันจะทำงานหาเงินมาคืนนะ”
“ไม่มีการพูดเรื่องเงิน”
ป้อมพูดสวนทันควัน “ไม่ได้”
ดอกโศกสวนออกมา ”ได้ เพราะเงินแค่นั้นมันน้อยมากกับคนที่ให้มาแต่สำหรับแกมันมหาศาลเข้าใจมั้ย หาไปเป็นสิบปีก็ไม่ได้แล้วจะพูดไปทำไม ไม่มีใครเขาเรียกคืนซักหน่อย”
“แต่ฉันไม่สบายใจ”
“เป็นธรรมดาที่แกจะไม่สบายใจเพราะแกทำผิด มีคนต้องมาเสียเงินเพราะแก แกจะสบายใจได้ไง”
“แล้วให้ฉันทำไง”
ดอกโศกจ้องหน้าป้อม พูดช้าๆ จ้องหน้าป้อมอยู่อย่างนั้น “ไม่ต้องทำอะไร คุณตาฉันเขาไม่เดือดร้อนอะไรเลย ฟังนะ...เขาไม่เดือดร้อนอะไรเลย เขาพอใจที่ได้ช่วยฉัน....จบยัง”
“ฉันรู้ว่าโศกไม่ชอบเอาเงินคนอื่น” ป้อมรู้จักดอกโศกดีกว่าใคร
“ไม่ชอบ....แต่ตอนนี้เรื่องเงินไม่เกี่ยวแล้ว” ดอกโศกจับมือป้อมในมือตัวเองทั้งสองมือ ตบเบาๆ กิริยาจริงจังแต่นุ่มนวล “เงินฉันหวังว่าคราวหน้า...แกไม่ใช่แค่เจ็บแต่แกจะตาย”
ป้อมตื้นตันใจซบหน้าลงกับเข่า...นิ่งอยู่
ดอกโศก ลุกขึ้น ป้อมขอบคุณจากใจ
“โศก....ขอบใจนะ”
ดอกโศกยิ้มกว้าง “อย่าทำอีกแล้วกัน แกน่ะเป็นคนซ่อมมอ’ไซค์แค่นั้น...จำไว้นะ”
คืนเดียวกันนั้น อัศนัยนั่งสบายๆ บนโซฟา ในคอนโดหรูของปรียากมล ทีวีเปิดอยู่
“ห้องใหญ่อย่างนี้อยู่คนเดียวไม่กลัวเหรอ”
ปรียากมลถือแก้วเหล้ามาสองแก้ว ปิดทีวี แล้วกดเปิดเพลง ปิดไฟ
เสียงเพลง Jazz ดังแหลมขึ้น สำเนียงนั้นทำให้อารมณ์คนกระเจิงได้ง่าย ปรียากมลเดินเข้ามาหาอัศนัย ส่งแก้วเหล้าให้แล้วลงนั่งเบียด
พริบตาเดียวแก้วเปล่าสองแก้ว ถูกวางลงบนโต๊ะพร้อมกัน จังหวะหนึ่งมือปรียากมลแอบหยิบโทรศัพท์อัศนัยมากดปิดเครื่อง อัศนัยไม่ทันเห็น
จากนั้นทั้งสองคนกอดจูบกันในความมืดมิด
อัศนัยกระซิบเบาๆ “ปรียากมล....ฟังผมหน่อย”
ไฟสว่างขึ้น เห็นอัศนัย ละมือจากสวิชต์ไฟ เดินมาหาปรียากมลก้มลงจูบแก้มเบาๆ แล้วนั่งลง ฮัมเพลงตามอารมณ์ ในขณะที่ปรียากมล อารมณ์อัดอยู่เต็มที่แล้ว หันไปทุบอัศนัยสุดแรงเกิด สีหน้าอึด...อึด แบบพูดไม่ออก
“โอ๊ย...โอ๊ย อะไรกัน”
“คุณจะเอายังไง....ฮะ จะเอายังไง”
“ก็บอกให้ฟัง.....โอย เจ็บนะเนี่ย คนอะไรมือหนักจริงๆ” อัศนัยคว้ามือปรียากมลมา “ไหน ดูมือซิโอ้โฮ....เส้นขาดถึงตายนะเนี่ย”
ปรียากมลกระชากมือกลับมา “ฉันไม่เข้าใจคุณเลยไหนบอกว่ารักไง”
อัศนัยนิ่งไปนิด “ก็......”
“คุณรักฉันเหมือนที่ฉันรักคุณรึเปล่า” ปรียากมลอึ้ง เห็นอัศนัยยังนิ่งเฉย “ฉันถามได้ยินมั้ย” พูดด้วยเสียงดังขึ้น “รักเหมือนที่ฉันรักรึเปล่า”
“ก็รักนะ ผมก็รักคุณ” อัศนัยว่า
ปรียากมลไม่สู้จะพอใจน้ำเสียงและถ้อยคำนั้น “จะบ้าเหรออัศนัย คุณตอบเหมือนฉันถามว่าคุณกินข้าวแล้วหรือยัง”
“กินแล้ว...อร่อยด้วย”
“ฉันไม่พูดเล่นนะ” ปรียากมลตวาดอย่างแรง หน้าตากดดันมาก
“ก็ถ้าถามว่ากินข้าวหรือยัง ผมก็ต้องตอบอย่างเมื่อกี้ไง แต่....” ทอดเสียงจริงจังขึ้นแล้วนิ่งไปสักอึดใจ
“แต่อะไร....พูดออกมาสินิ่งอยู่ทำไม”
“แต่เรื่องความรัก ผมตอบจริงๆ ว่าใช่ ผมรักคุณ คุณคือรักครั้งแรก...ก็อย่างที่ผมบอกแล้วไม่มีผู้ชายคนไหน....หรือผู้หญิงด้วย ลืมรักครั้งแรกได้ จริงมั้ย” อัศนัยย้อนถามคืน
“จริง...ฉันไม่เคยลืม ฉันกำลังพิสูจน์นี่ไงว่าฉันไม่ลืม”
“ไม่ใช่ ถ้าเราไปถึงขั้นนั้นไม่ใช่เครื่องพิสูจน์ ถ้าไปได้ไม่ถึงสิ ถึงจะพิสูจน์”
“Silly Talk”
อัศนัยทอดตัวลง เกือบเป็นนอน ท่าทีสบายๆ เสียงพูดสบายๆ “ไม่โง่หรอก แต่เราอย่าเถียงกันเลย คนละมุมมองเถียงกันไปก็ไม่จบ” จู่ๆ ทะลึ่งตัวลุกพรวดขึ้น “มา...จูบที ผมจะไปแล้วนะครับ ดึกแล้ว”
ครู่ต่อมาประตูห้องเปิดออก อัศนัยหันมาแตะแก้มปรียากมลเบาๆ พร้อมกับจัดผมให้เรียบร้อย
“นอนซะ...นะ”
ปรียากมลพยักหน้า “โอเค....จะทำอะไรได้มากกว่านั้นล่ะ”
อัศนัยแตะแก้มเบาๆ แล้วหันหลังกลับ
ปรียากมลผวาเข้ากอดเต็มอ้อมแขนจากด้านหลัง แนบหน้าสวยกับแผ่นหลังแกร่งนั้น อัศนัยนิ่ง พยายามเก็บข่มอารมณ์
“ฉันขอโทษนะอัศนัย ยกโทษให้กับความโง่ของฉันตอนนั้น เพระ..ฉันยังเด็กเหลือเกิน”
“good night ปรียากมล” อัศนัยเหมือนอยากตัดบท
ปรียากมลเรียกไว้ “เดี๋ยว”
อัศนัยหันมา
“คุณบอกว่าคุณรักฉันอย่าลืม...อย่าไปรักคนอื่นเชียว” ปรียากมลใส่จริตทำกระเง้ากระงอดด้วยกิริยาน่ารัก
อัศนัยหัวเราะออกมานิดๆ อึ้งหน่อยๆ
ปรียากมลปิดประตูใส่หน้า ขณะที่อัศนัยยิ้มด้วยสีหน้ากังวลนิดๆ
อ่านต่อหน้า 3
ดอกโศก ตอนที่ 5 (ต่อ)
ที่หน้าตึกบ้านอัศนัย ตอนค่ำคืนนั้น สองแม่ลูกป้าหม่อน กับหมื่น นั่งรออัศนัยอยู่ด้วยกัน
“แม่....ไปนอนเถอะฉันคอยคุณนัยเอง” หมื่นอาสา
“จะนั่งเล่นก่อน” หม่อนว่า
“นั่งเล่นให้ยุงกัดเนี้ยนะ”
“เออ...”
“ดี ทีหลังไม่ห่วงแระ”
“ก็เออ...” หม่อนอ้าปากหาวยืดยาว
หมื่นมองไป เห็นแสงไฟวาบเข้ามา “มาแล้ว แม่รีโมทประตูอยู่ไหน”
หม่อนโยนรีโมทให้ ตัวเองลุกเดินเข้าตึก “ไอ้ลูกโง่ มานั่งเป็นเพื่อนยังไม่รู้ตัวอีก นั่งคนเดียวแกก็หลับ คุณนัยมาไม่ได้ยิน...โดนด่า” หม่อนพูดไปเดินไป จนตัวลับไป แต่ยังได้ยินเสียงด่าลูกชายอยู่ “ไอ้โง่”
ขณะนั้น นาฬิกาบอกเวลา 4 ทุ่ม แล้ว อัศนัยเดินเข้าพร้อมหมื่น ทรุดตัวลงนั่ง หมื่นเข้ามาถอดรองเท้าถอดถุงเท้าให้
“คุณนัยคะ” หม่อนเอ่ยขึ้น
“ว่าไง”
หม่อนจะพูด หมื่นแย่งพูดก่อน
“คุณหนูดอกโศกโทร.มาตั้งหลายหน”
อัศนัยฟังแล้วลุกขึ้นนั่งทันที
“ป้าเป็นคนรับโทรศัพท์เองค่ะ....ไม่ใช่มันหรอก” หม่อนบอก
“ไม่บอกให้โทร.เข้ามือถือฉันล่ะ”
“ก็....” หม่อนอึกอัก
“มือถือคุณนัยปิด....ปิดทำไมผมไม่เคยเห็นคุณนัยเคยปิดเลย เปิดตะ..หล้อด ตะหล้อด” หมื่นเล่นมุก
“ก็เปิดตลอดน่ะสิ”อัศนัยหยิบมาดู สีหน้านึกรู้ทันทีว่าปรียากมลปิด “เออ...จริง”
“เห็นมั้ย...”
“ฉันไม่ได้ปิดเว้ย”
“ใครปิดล่ะครับ” หมื่นซักท่าทีทะเล้นทะลึ่ง
“แกจะรู้ไปทำไม”
“แหะ...แหะ จริงด้วย”
อัศนัยลุกชึ้นทันที เดินออกไป 2 ก้าว
“ไปหนายครับคุณนัย” หมื่นถามยานคาง
“แกจะทำไม”
“ดึกแล้วนะครับ”
“ฉันจะไปนอนผิดตรงไหน”
อัศนัยเดินเข้ามาหยิบโทรศัพท์กดโทร.ออก เป็นเวลาเดียวกับที่สมปองที่อยู่ในบ้านสมใจหยิบโทรศัพท์แล้วกดรับ
“ปองพูด”
เสียงสมหวังอู้อี้ออกมาจากในมุ้ง “โอ๊ย โครวะโทร.มาดึกดื่นนังปอง กิ๊กเอ็งเรอะ”
สมปองลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ออกไปคุยข้างนอกบ้าน “คุณนัย มีอะไรฮะ”
“ดอกโศกเป็นอะไรรึเปล่าปอง”
“อะไรนะไม่ได้ยิน พูดดังหน่อยคุณนัย กระซิบทำไมไม่ทราบ” สมปองสงสัย
“ดอกโศกโทร.ถึงฉันมีเรื่องอะไร” อัศนัยถาม
“อ๋อ....โศกมันกลุ้มใจคิดอะไรไม่ออกมั้ง”
“เรื่องอะไร”
“แม่จะให้มันไปอยู่กับคุณตา มันไม่อยากไป มันเลยจะปรึกษาคุณ” สมปองบอก
“ดอกโศกนอนหรือยัง” อัศนัยถาม
“ยัง”
“ฉันจะไปหาเดี๋ยวนี้”
“เฮ้ย...คุณนัย....ติดต่อคุณไม่ได้โศกมันเลยตกลงแล้วจะไป” สมปองพูดต่อ
ระหว่างนี้สมใจกับดอกโศกนั่งคุยกันอยู่เบาๆ
อัศนัยวิ่งพรวดออกมา หมื่นรีบวิ่งตาม
“ไปเอารถมา”
“ไปไหนฮะ”
อัศนัยขยับเท้า หมื่นรู้รีบวิ่งพรวดออกไป อัศนัยคอยไม่ไหววิ่งตาม หมื่นวิ่งกลับมา ชนกันเปรี้ยง หมื่นลงไปกองกับพื้น
“ไอ้หมื่นอะไรวะ”
“เจ็บสิวะ เอ๊ย เจ็บครับ” หมื่นทำทะเล้นใส่
“ให้ไปเอารถจะไปไหนอีก....เดี๋ยวเหอะ”
“กุญแจ....ไม่ได้เอากุญแจมา”
“แล้วทำไมไม่เอามา ไอ้....”อัศนัยเงื้อง่า
หมื่นเถียงเสียงดัง “แล้วทำไมไม่บอกล่ะว่าจะออกไปอีกใครจะไปรู้”
อัศนัยฮึดฮัด “เออ....ไปเอามาสิวะ”
“ก็กำลังจะไปอยู่นี่ไงค๊าบบบ”
“เสียงดังเรอะ......เสียงดัง” อัศนัยเข้าถึงตัว
หมื่นหลบแวบไปทันที
บริเวณลานบ้านสมใจ ดอกโศกคุยกับสมใจ อัศนัย ตา
“หนูจะไปพรุ่งนี้เลยนะจ้ะยาย”
“โศกเอ๊ย....ยายคงคิดถึงแก”
“ยายยังรักคุณตามั้ยจ๊ะ”
สมใจหัวเราะเสียงขื่น “ยังรัก....พูดได้ไงไอ้โศกยายไม่เคยรัก”
“แต่ยายเป็น...”
“เป็นเมีย...อายุ 16 เท่านั้นแหละ โดนบังคับเป็นเมียเจ้านายแก่ๆ ไม่เกี่ยวกับรัก...เฮอะ มันก็ไม่รักทั้งคู่แหละวะ” สมใจว่า
“สมัยนี้ยังมีเหรอยาย เจ้านายบังคับเป็นเมีย”
“โอ๊ย....มีจนไปถึงโลกหน้านั่นแหละ ผู้ชายก็งี้แหละมีอำนาจมีเงินอยากได้ก็บังคับเอา เด็กสาวๆ มันจะประสีประสาอะไร้”
“แล้วเจ้านายผู้หญิง บังคับให้เด็กหนุ่มๆ เป็น...เอ้อ สามีมีมั้ยจ๊ะยาย...”
ยายสมใจหัวเราะเสียงดังลั่น
“เฮ้ย นอนซะที เดี๋ยวยุงกัดตายโหง” สมหวังโวยมาจากด้านใน
“ยายหัวเราะทำไมเหรอ” ดอกโศกถาม...หน้ายิ้มไปด้วย
“อาจจะมีเหมือนกันแต่คงโดนนินทาว่าร้ายไปทั้งเมือง”
“อ้าว...แล้วทีเจ้านายผู้ชาย....”
“ผู้ชายทำได้ ผู้หญิงทำไม่ได้หรอก” ลุกเดินเข้าห้องไป “มันเป็นหยั่งงี้มาตั้งตะโบราณแล้ว” เสียงสมใจดังแว่วมาจากบ้าน
ดอกโศกนั่งคิด สักครู่หนึ่งอัศนัยเดินเข้ามาอย่างเร็วรี่
“ดอกโศก”
“คุณนัย” ดอกโศกไหว้
“ดอกโศกโทร.ถึงคุณนัยมีเรื่องอะไรหรือ”
“คุณนัยถามทำไม น้าปองบอกคุณนัยแล้วนี่คะ”
อัศนัยอึ้ง....เขิน....พูดอะไรไม่ออก “เอ้อ...”
“น้าปองบอกแล้วใช่มั้ยคะ หรือว่าน้าปองหลอกดอกโศก”
“ไม่ได้หลอก ว่าแต่ถ้าดอกโศกไม่อยากไปก็ไม่ต้องไปก็ได้นี่”
“เพราะคุณนัยเอาเงินมาให้ช้ามาก ดอกโศกต้องเอาเงินคุณตา”
“คุณตาเรียกร้องข้อแลกเปลี่ยนเหรอ”
“ไม่ค่ะ คุณตาไม่ว่า แต่ยายอยากให้ไป”
“ถ้าไม่ได้เอาเงินคุณตา ดอกโศกจะไม่ไปเหรอ”
“ค่ะ ถ้าคุณนัยให้เงิน ดอกโศกก็ไม่ไป คุณนัยรู้แล้วนี่คะ”
อัศนัยนิ่งอึ้ง
“ทำไมคุณนัยมาช้า.... เจ้าของรถเค้าคอยตั้งนาน คุณตามาพอดี” ดอกโศกหัวเราะออกมาเบาๆ “เถียงกันใหญ่เลยค่ะ
“ดอกโศก คุณนัยเสียใจจริงๆ ขอโทษนะ ขอโทษมากๆ”
ดอกโศกพูดเสียงเหมือนรำพึง “ขอโทษแล้วเปลี่ยนอะไรได้ก็ดีสิคะ” สีหน้าเศร้าลงไป
“ดอกโศก” อัศนัยรู้สึกผิด
“พรุ่งนี้ดอกโศกจะไปแล้วค่ะ”
“แค่พูดกับยาย.....เอ้อ เปลี่ยนไม่ได้เหรอ”
ดอกโศกจ้องตาอัศนัยนิ่งสักครู่ “ดอกโศกไม่อยากเป็นคนพูดกลับไปกลับมาอีก...คุณนัยอยากให้ดอกโศกเป็นคนอย่างนั้นหรือคะ”
อัศนัย..เสียใจลึกซึ้งอยู่ในหน้า...จ้องดอกโศกนิ่งนาน
“คราวที่แล้วก็พูดกลับไปกลับมากับคุณตามาครั้งหนึ่งแล้ว”
วันรุ่งขึ้น ดอกโศกอยู่ภายในห้องนอน อุ๊เปิดประตูเปรี้ยงเข้ามาอย่างแรง ดอกโศกกำลังหยิบเสื้อผ้าจะใส่ตู้ เฉลยกำลังปูที่นอน
“ไหนบอกว่าจะไม่มาแล้วทำไม...ฮะ...มาทำไม”
“คุณตาให้มา”
“ฉันรู้แล้วไม่ต้องย้ำ แต่เธอบอกว่าไม่มา...ไม่มาไง กลับกลอก ยายสอนให้เป็นคน กลับกลอกอย่างเงี้ยเหรอ”
“อุ๊....อย่าว่ายายฉัน ยายไม่เกี่ยว”
“เกี่ยว....ใครเป็นคนเลี้ยงเธอก็เกี่ยวทั้งนั้น”
“ไม่เกี่ยว” ดอกโศกว่า
“เกี่ยว”
“งั้นเธอกรี๊ดกร๊าดอย่างนี้ก็เกี่ยวข้องคุณป้าเพ็ญพักตร์น่ะสิ” ดอกโศกเยาะ
อุ๊อึ้งไปอึดใจ
เฉลยมองอย่างสนใจ สีหน้าเกือบจะเห็นด้วยแล้วกับดอกโศก
อุ๊กรี๊ด เหวี่ยงใส่ทันที “อีบ้า แกว่าแม่ชั้นเหรอ”
“เหมือนที่เธอว่ายายชั้นมั้ยล่ะ”
“ยายแกมันพวกขี้ข้าอย่าเอามาเทียบกับแม่ชั้น”
“ขี้ข้าไม่ใช่คนเหรอ”
สีหน้าเฉลยกำลังตั้งใจฟัง
“ชอบมาถามบ้าๆ แบบเนี้ย คำถามโง่ๆ ก็เป็นคนเหมือนกันแต่มันไม่เท่ากันรู้ไว้ด้วย”
“เธอหมายถึงบางคนเตี้ย บางคนสูงเหรอ”
“จะบ้า อย่ามาแกล้งทำโง่นะ”
“งั้นไม่เท่ากันตรงไหนล่ะ”
“เฮอะ....โง่จริงมั้งเนี่ย ไม่เท่ากันตรงฐานะในสังคมน่ะสิ จะบอกให้ อย่างเธอฉันบอกเธอตั้งกี่หนแล้วว่าอย่าเอายายเธอมาเทียบกับแม่ชั้น”
“ฉันไม่เทียบก็ได้....พูดเรื่องขี้ข้าดีกว่า เธอลองคิดซิว่าถ้าคนฐานะทางสังคมสูงอย่างเธอไม่มีขี้ข้าแล้วเธอจะทำยังไง”
“บ้าเหรอ จะไม่มีขี้ข้าได้ไง” อุ๊ว่า
“อ้าว เธอดูถูกเขามาก เขาก็ไม่อยู่กับเธอ แล้วเธอจะทำยังไง ใครจะซักผ้ารีดผ้ากวาดบ้านถูบ้าน ทำกับข้าว ขัดรองเท้าหรือใส่รองเท้าให้เธอ”
เฉลยเหลียวมองขวับ สบตาดอกโศกเต็มแรง สีหน้าดอกโศกบอกเฉลยอยู่ในทีว่า จดจำได้ที่เธอใส่รองเท้าให้อุ๊
“ถามบ้าๆ” อุ๊บอก
“ถามจริงๆ เค้าไม่อยู่กับเธอ เค้าก็ไปหางานใหม่ได้ แต่ถ้าเธอไม่มีเค้าล่ะ”
“ฉันไม่อยากพูดกับเธอ รู้ไว้แค่ว่า เราไม่มีวันไม่มีหรอก..ขี้ข้าน่ะ” อุ๊พูดออกไปอย่างแรง
ดอกโศกสบตากับเฉลย เฉลยมองสักครู่ทำงานต่อ
“เดี๋ยวฉันจะกวาดเองเฉลยไม่ต้องทำหรอก”
เฉลยพูดทั้งๆ ที่ก้มหน้าก้มตาทำ “ไม่ต้องหรอก คุณอภิรมย์ฤดี เดี๋ยวฉันทำให้”
ดอกโศกนิ่งไปสักครู่ “ขอบใจมาก” แล้วเดินออกไป
สีหน้าเฉลยกำลังครุ่นคิดบางอย่าง
ดอกโศกเปิดประตูออกมา เห็นอุ๊ยืนกอดอกคอยอยู่ ดอกโศกเดินหลีก
อุ๊มองตาขวาง “อภิรมย์ฤดี ถึงยังไงยายเธอก็เป็นเมียคนใช้ของคุณตาฉันแล้วตอนนี้ทำอะไร...ขายขนม ตาเลี้ยงของเธอไม่ทำงานเกาะยายเธอกิน น้าเธอสองคนคนหนึ่งขับรถตุ๊กตุ๊ก อีกคนขายหนังสือพิมพ์ ตัวเธอล่ะ เธอมันแค่เด็กขายหนังสือพิมพ์ คุณตาเก็บมาจากกองขยะ เธอคิดว่าเธอจะเทียบกับฉันได้เหรอ...ไม่มีทาง” พูดจบอุ๊เดินหนีไปอย่างรวดเร็ว
ดอกโศกยืนนิ่งงัน
วันหนึ่ง ที่มุมหนึ่งของบ้าน อุ๊กำลังเล่าให้สุดสวยฟัง เรื่องที่ตัวเองต่อว่าดอกโศก สุดสวยฟังอย่างตั้งใจ
“ไม่เชื่อหรอก อุ๊น่ะเหรอจะกล้าว่ามันหยั่งงั้น อย่างเธอน่ะเหรอได้แต่พูดปาวๆ ไม่เห็นเก่งเลย”
ถูกสุดสวยปรามาส อุ๊กัดฟันอยู่สักครู่
“ไม่เก่งอย่ามาคุยเลย....สู้มันก็ไม่ได้ อู๊ย คุยว่าว่ามันมาจากกองขยะเหรอ อย่างเชื่อนักนี่...ไม่เห็นเคยว่าอะไรมันได้เลย”
“ว่า....ทำไมจะไม่ว่า ไม่ได้ยินแล้วอย่ามาพูดเลย...คนบ้า” อุ๊วิ่งหนีไปทันที
สุดสวยกรี๊ดตามหลัง ระเบิดอารมณ์ ร้องไห้ด้วย
“แม่บอกอุ๊แล้ว ทำไมอุ๊ไม่เชื่อแม่” เพ็ญพักตร์ต่อว่าเพ็ญตระการ ในห้องนอน ส่วนตระกูลกำลังอาบน้ำอยู่
อุ๊นั่งหน้าเสียใจเล็กๆ “อุ๊ขอโทษค่ะคุณแม่...จะไม่ทำอีกแล้วกัน”
“ดีแล้ว ยังไงๆ เขาก็เป็นน้า” เพ็ญพักตร์คิดนิดหนึ่ง เก็บแรงไว้ทำกับคนที่สมควรดีกว่า
อุ๊มองแม่...แล้วเข้าใจ “จริงด้วยค่ะคุณแม่”
เพ็ญพักตร์ผุดสีหน้าสาสมใจ
“คุณแม่คะ แต่มันก็เป็นน้องเหมือนกันนี่คะ” อุ๊ไม่วายคาใจ
“จะนับญาติกะมันเหรอ ถ้าจะนับก็ตามใจ แต่แม่น่ะไม่...ยังจำท่าทางยะโสของยายมันได้ไม่ลืมเมื่อก่อนยังไงเดี๋ยวนี้ก็ไม่เปลี่ยนแปลง แม่จะไม่มีวันลืมว่ามันทำให้ คุณยายของอุ๊ตรอมใจตาย”
อุ๊รับคำ “ค่ะ”
“หญิงก็ร้ายชายก็....”
“คุณตาหรือคะคุณแม่” อุ๊สงสัย
“แม่ไม่อยากพูด...”
ตระกูลออกมาจากห้องน้ำมา “ไม่อยากพูดเรื่องอะไรครับคุณเพ็ญ”
“คุณจะไปไหน”
“เปล่าครับ ทำไมคุณเพ็ญจะไปไหนหรือเปล่า”
“ไปหาข้าวกินข้างนอกดีกว่า”
“ได้สิครับ อุ๊ล่ะวันหยุดนัดเพื่อนอีกรึเปล่า”
“ถ้านัดก็โทร.ไปเลิกนัดแล้วไปช็อปกับแม่”
“โอเค” เพ็ญตระการกระโดดขึ้น “อุ๊ไปแต่งตัวก่อน” ออกไปอย่างรวดเร็วร้องเพลงไปด้วยเสียงดังๆ อารมณ์ดีสุดๆ
ตระกูลใส่กางเกงแล้วแต่ยังไม่ใส่เสื้อ เพ็ญพักตร์หยิบเสื้อเดินมาให้ แล้วกอดด้านหลังของตระกูลอย่างมีความหมาย ตระกูลเข้าใจสัญญาณ แต่แอบถอนใจนิดหนึ่ง แล้วหันกลับไปสวมกอด
เพ็ญพักตร์ดันตัวตระกูลไปที่เตียงนอน
ไม่นานต่อมา เพ็ญพักตร์ยืนรออยู่กับอุ๊ที่หน้าตึก สีหน้าเพ็ญพักตร์ ดูอิ่มเอมลึกๆ ในหน้า
เพ็ญตระการมองหน้าแม่ “วันนี้คุณแม่สวย แต่งหน้าดี๊..ดี เนียนเชียวค่ะ”
“ไม่จริงหรอกอุ๊ แม่แต่งเหมือนทุกวันแต่ความสุขออกมากจากข้างใน”
“เหรอคะ!”
“ใช่แน่นอน”
อุ๊โผกอดแม่ด้วยความรักใคร่
ระหว่างนั้นตระกูลขับรถมาจอดเทียบพอดี เปิดประตูมาเร็วๆ เพ็ญพักตร์เดินมาสง่างาม สบตาตระกูล ตระกูลยื่นมือรับ มือต่อมือประสานกัน มือเพ็ญพักตร์บีบมือตระกูลนิดๆ ตระกูลโอบไหล่อุ๊ พาเดินไปที่รถด้วยกัน
“ไปไหนกัน” สุดสวยวิ่งออกมา “ไปด้วยคนนะ”
“ไปแค่นี้เองอย่าไปเลย” เพ็ญพักตร์บอก
“ไม่....ขอไปด้วยคนไปเที่ยวไหนเหรอ” สุดสวยไม่ยอม
“น้าสวย คุณแม่บอกว่าไปแค่นี้เองไม่ได้ยินเหรอคะ”
“นั่นแหละไปด้วยคน” สุดสวยว่า
“เอ๊ะ น้าสวยนี่”
“ตระกูล...ให้ฉันไปด้วยนะ” สุดสวยอ้อน พร้อมกับเขย่าแขนตระกูลแรงๆ ยื่นหน้าเข้ามาพูดใกล้ๆ
เพ็ญพักตร์จับมือสุดสวยออกจากแขนตระกูล ดึงให้ห่างออกไป “บอกว่าไปแค่นี้ไม่ได้ไปเที่ยวไหนพูดไม่รู้เรื่องหรือไง”
มาถึงศูนย์การค้าหรู สักพักแล้ว แต่ สีหน้าเพ็ญพักตร์ ยังคงคาใจกิริยาระหว่างสุดสวยกับตระกูล เพ็ญตระการ ชำเลืองมอง ในมือถือถุงใส่ของหลายถุงแล้ว สบตาพ่อ ตระกูลทำหน้าไม่รู้จะทำไง
อุ๊ สอดมือเข้ากับมือแม่แบบประสานกัน เพ็ญพักตร์ หันมายิ้มฝืนๆ
“คุณแม่...เป็นอะไรหรือเปล่าคะ?”
สีหน้าเพ็ญพักตร์ กำลังครุ่นคิดอย่างหนัก
คิด...คิดถึงตอนที่สุดสวยทำหน้าเหยเกที่โดนเอ็ด หันไปทางตระกูล แล้วทำท่าเหมือนจะร้องไห้กับตระกูล
“คุณแม่ปวดหัวหรือคะ”
หน้าเพ็ญพักตร์...คิดอีก เห็นภาพ สุดสวยเขย่าตระกูลแรงๆ ยื่นหน้าพูดใกล้ๆ
“คุณแม่...ร้านนี้มั้ยคะ”
เพ็ญพักตร์ไม่ตอบลูก หันมาถามสามี “ตระกูล สุดสวยคุยกับคุณบ่อยมั้ย”
“ไม่บ่อย...ทำไมเหรอครับ”
อัศนัย กับปรียากมล เดินมาแต่ไกล ยังไม่มีใครเห็น
“ฉันเห็นเขาสนิทสนมกับคุณออก”
“แกก็เป็นอย่างนั้นกับทุกคนนี่ครับคุณเพ็ญ” ตระกูลว่า
“คุณจะบ้าเหรอ เขาเคยพูดดีกับใครมั่ง” เพ็ญพักตร์โวยใส่
“ก็กับคุณเพ็ญ กับอุ๊ กับ....” ตระกูลหยุดชะงัก หันไปเห็นปรียากมล
ปรียากมลเดินมา กำลังสอดแขนคล้องแขนอัศนัย และอัศนัยปลดออกอย่างละมุนละม่อม
ส่ายหน้าน้อยๆ แต่ยิ้มๆ ปรียากมลค้อนนิดๆ ยิ้มเยื้อนเหมือนกัน
ตระกูลเห็นภาพนี้ เข้าใจแล้วว่าอัศนัยไม่ได้มีใจให้ปรียากมล จึงสบายใจที่ต่อไปหากจะเข้าหาปรียากมล
“ตระกูล” เพ็ญพักตร์เสียงเริ่มแข็ง
“คุณอัศนัย....ทางนี้ครับ”
“เอ๊ะ คุณนัดกับเค้าเหรอ” เพ็ญพักตร์ประหลาดใจ
“โธ่...เปล่าครับคุณเพ็ญ นัดผมก็บอกคุณแล้วสิครับ”
ทั้งหมดทักทายกัน สีหน้าอารมณ์ของแต่ละคนต่างกันไป
“อุ๊....อาเกือบจำไม่ได้ทุกทีเห็นแต่ใส่ชุดนักเรียน” อัศนัยยิ้มทักทายเพ็ญตระการ
“อุ๊ไม่ได้พบอานัยตั้ง...นานมากแล้วนี่คะ อานัยเลยไม่ทราบว่าอุ๊น่ะโตแล้วนะคะ”
อัศนัยยิ้มหล่อแสนสุภาพ “ครับ เด็กสมัยนี้โตเร็วจริงๆ นะครับคุณเพ็ญ”
เพ็ญพักตร์ทักตามมารยาท “จะไปไหนกันคะเนี่ย”
“ทานข้าวค่ะ อัศนัยคะ เราเชิญทุกคนทานด้วยกันดีกว่า” ปรียากมลเอ่ยขึ้น
“ดี...เชิญทานด้วยกันนะครับ คุณตระกูล...เนี่ย ร้านนี้เองที่จองไว้เดี๋ยวผมจะไปเปลี่ยนจากสองคนเป็นห้าคน” อัศนัยเดินไปรวดเร็ว
“ไม่ต้อง....” เพ็ญพักตร์เอ่ยออกมา แต่ไม่ทัน อัศนัยเดินไปแล้ว
“ไม่ทันแล้วค่ะ” ปรียากมลบอก
“ทำไมจะไม่ทันล่ะ” เพ็ญพักตร์เดินตามอัศนัยไป
“คุณแม่” อุ๊ตามไปด้วย
สมใจตระกูลได้อยู่กันสองต่อสอง ปรียากมลมองยิ้มๆ รู้ดีว่าตระกูลเป็นจำพวกชายกลัวเมีย
“ผมจะบอกยังไงดีว่าผมดีใจแค่ไหน”
“ที่ได้พบฉันอีก?” ปรียากมลต่อให้
“คุณเป็นที่อ่านใจคนเก่งมาก”
“ฉันไม่ได้อ่านใจคุณหรอก”
“อ้าว...” ตระกูลงง
“ฉันอ่านจากนัยน์ตาคุณ แต่...ระวังจะมีคนอ่านออกอย่างฉันคุณจะเดือดร้อน”
ฟังแล้วตระกูลครึ้มใจจนสุดบรรยาย ปรียากมลยิ้มในหน้า เดินไป
“เดี๋ยวครับ”
ปรียากมลหยุดเดิน
“ผมขอเบอร์ได้มั้ยครับ”
“เอาไปทำไมคะ”
ตระกูลเก้อ “ก็...เผื่อผมโทร.คุณอัศนัยไม่ได้จะได้โทร.ถึงคุณ”
“ให้โทร.บอกอัศนัย” ปรียากมลอำแล้วหัวเราะขำเสียเหลือเกิน “อย่าเพิ่งเลยค่ะ ยังไม่ถึงเวลา” แล้วเดินไปทันที
ตระกูลมีความหวังมาก
“เชิญค่ะ สองท่านโต๊ะนั้น สามท่านโต๊ะนี้ค่ะ”
“อ้าว...” ตระกูลอึ้ง
“คุณอัศนัยอย่า mind นะคะ เราสามคนพ่อแม่ลูกมีเรื่องสำคัญปรึกษากันจริงๆ ค่ะ”
“เวลาทานข้าวพูดเรื่องซีเรียสเป็นอันตรายนะคะ” ปรียากมลว่า
“เหรอคะ แต่จำเป็นค่ะเราพูดกันตอนนี้จะได้ไม่ต้องพูดทีหลัง แต่ถึงจะมีอันตรายใดๆ ฉันคิดว่าฉันกำจัดมันได้”
“โอ! เก่งจังเลย” ปรียากมลพูดน้ำเสียงซื่อบริสุทธิ์มาก “อัศนัยคะ หิวแล้ว” หันหลังให้เพ็ญพักตร์ทันที
“ดอกโศกสบายดีหรือครับอุ๊” อัศนัยทักทายเป็นพิธี
เวลาต่อมาภายในร้านอาหารแห่งนั้น
อัศนัย กับปรียากมล นั่งที่โต๊ะกันสองคน ส่วนสามคนพ่อแม่ลูกนั่งอีกโต๊ะ ยังไม่มีอาหารมา กำลังดูเมนูกันอยู่
“คุณเพ็ญ...ทำไมต้องทำอย่างนี้ด้วยครับ” ตระกูลตำหนิ
“ฉันไม่อยากนั่งร่วมโต๊ะกับแม่คนนั้น”
“มันจะเป็นอะไรไปคิดถึงคุณอัศนัยสิ เราเป็นหุ้นกับเขาทำอย่างนี้น่าเกลียดจริงๆ” คราวนี้ต่อว่า
“คุณพ่ออย่าว่าคุณแม่ฝ่ายเดียวสิคะ คุณแม่ไม่ทนถ้าไม่ชอบ คุณพ่อไม่ทราบเหรอคะ” อุ๊สอดขึ้น
“อุ๊ นี่พ่อ อย่าพูดอะไรเกินไปกับพ่อ” ตระกูลเอ็ดลูกสาว
“ทำไมจะพูดไม่ได้” เพ็ญพักตร์สวนทันที “ลูกมันยังมีความคิดกว่าคุณ ไม่รู้เหรอว่าฉันไม่ชอบแม่คนนี้ ฉันบอกคุณแล้วนี่ หรือว่าคุณอยากจะนั่งโต๊ะเดียวกับเขา”
“คุณรู้จักผม ผมมีนิสัยอย่างนั้นหรือ” ตระกูลย้อน
“งั้นไม่ต้องเดือดร้อน ฉันว่าคุณอัศนัยเขาเข้าใจ ฉันก็พูดแน่ชัดแล้วว่าเพราะอะไร”
ตระกูลอึดอักสักครู่ เปลี่ยนเรื่อง “เออ คุณอัศนัยเค้าถามถึงดอกโศกทำไม”
“เค้าสงสารมันมั้งตั้งแต่มันเด็กๆ” เพ็ญพักตร์ไม่ใส่ใจ หันไปสั่งอาหาร “หนู....”
“อุ๊เห็นมันร้องไห้กับอานัยบ่อยๆ” เพ็ญตระการตอบแทน
ทางด้านอัศนัยเดินกลับมาถึงโต๊ะพอดี “ผมมีเรื่องปรึกษาครับ ขออนุญาตไปที่บ้านได้มั้ยครับ พรุ่งนี้”
วันรุ่งขึ้น อัศนัยขับรถเข้ามาในบ้านรัตนชาติพัลลภ นัยน์ตาสอดส่ายมองหาดอกโศก ทุกอย่างเงียบกริบ
อัศนัยจอดรถ สีหน้าดูเป็นกังวล ถอนใจเบาๆ ไม่อยากเข้าไปเลย เห็นหลังดอกโศกอยู่ไวๆ ไกลๆ หน่อย อัศนัยลงจากรถรวดเร็ว เดินตาม
“อานัยคะ”
เสียงอุ๊เรียกไว้ อัศนัยชะงักกึก
“เชิญค่ะ คุณพ่อคุณแม่รออยู่แล้วค่ะ รับกาแฟหรือชาคะ...” อุ๊ยิ้มให้
โทรศัพท์มือถืออัศนัยดังขึ้นมา อัศนัยรับ บอกอุ๊ว่าขอโทษแล้วเดินออกไปหน้าตึก
อัศนัยก้าวเดินออกไปเร็วๆ ไปตามทางที่เห็นดอกโศก “เดี๋ยวฉันโทรกลับนะ” ก่อนจะปิดเครื่องแล้วก้าวเท้าตามดอกโศกไป
อีกบริเวณหนึ่งในบ้าน มีพุ่มกอมะลิ ดอกโศกอยู่ตรงนั้น มีเสียงเรียกดังจากด้านหลัง
“ดอกโศก”
ดอกโศกเก็บมะลิใส่ขันเงินใบน้อย หันกลับมาเห็น รู้สึกดีใจจริงๆ
ดอกโศกยิ้มกว้างขวาง “คุณนัย” แล้วพนมมือไหว้นอบน้อม
“คุณนัยอยากจะมาหาไม่รู้จะอ้างว่าทำไม...อ้อ” รีบเอาโทรศัพท์มือถืออีกเครื่องให้ “คุณนัยเอามาให้เก็บไว้เวลาคุณนัยมีธุระจะได้ คุณนัยเป็นห่วงนะ” มองนิ่งๆ อย่างจริงใจอยู่สักครู่ แล้วต่อ “โทรมา...เป็นไงมั่ง”
“ไม่มีอะไรค่ะ”
“อุ๊มาว่าอะไรรึเปล่า”
ดอกโศกเสก้มหน้าลงดูโทรศัพท์ “ว่าเหมือนกันค่ะ”
“ว่า...ว่าไง บอกคุณนัยซิ”
“ดอกโศกทำเป็นไม่ได้ยิน แล้ว....”
“แล้ว....?”
“เลยไม่ได้ยินจริงๆ” ดอกโศกเล่นมุก
อัศนัยหัวเราะออกมาอย่างขำเต็มที่ ดอกโศกก็หัวเราะด้วยจนตาหยี
“โอเค เห็นหัวเราะอย่างนี้ค่อยยังชั่วหน่อย”
“เหรอคะ งั้นร้องไห้เดี๋ยวนี้เลย”
“นั่นแน่เดี๋ยวนี้มีอำคุณนัยเหรอ”
“ไม่ค่ะ ไม่อำ เพราะว่าดอกโศกหัวเราะมันไม่ใช่ของจริง ดอกโศกต้องโศกสิคะ” ประชดชีวิตตัวเองนิดๆ
อัศนัยมอง ฟังแล้วรู้สึกสงสารเหลือเกิน ดอกโศกน้ำตารื้นๆ นิดๆ
สองคนจ้องนัยน์ตากันนิ่ง
ดอกโศกน่ะ....ใจเริ่มหวามไหว แต่อัศนัยยังคงมองด้วยสายตาของผู้ใหญ่สงสารเด็ก...เท่านั้น
อัศนัยวางมือบนหัวดอกโศก โยกนิดๆ “ดอกโศกอดทนนะ เอาคุณตาเป็นหลัก มีอะไรบอกคุณตา”
“ค่ะ”
“แต่ต้องบอกคุณนัยก่อน จำไว้ว่าคุณนัยเป็นห่วงดอกโศกมากไม่อยากให้ดอกโศก ต้องโศกอีกเลย”
“ขอบคุณค่ะ” ดอกโศกไหว้
“โทรศัพท์เอาไว้กับตัวเสมอ คุณนัยจะโทร.มาหาทุกวัน”
“ถ้าอุ๊เห็นล่ะคะ” ดอกโศกกังวลนิดๆ
“เออจริง....งั้นคุณนัยจะโทร.เฉพาะกลางคืน ประมาณ 2-3 ทุ่ม...นะ...ก็...จะโทร.ถามว่าดอกโศกหัวเราะหรือร้องไห้วันนี้....ว่าไง โทร.ได้ใช่มั้ย ไม่ว่าใช่มั้ย”
“ถ้าว่า...จะว่าว่าไงคะ”
อัศนัยจนมุมเล็กๆ “ก็.....เออ จริงแฮะ ว่า...ว่ายุ่งมั้ง”
“คุณนัยไม่ได้ยุ่ง...คุณนัยเป็นห่วง” ดอกโศกบอก
อัศนัยจ้องหน้าดอกโศก ตอบรับด้วยสายตา
อัศนัย เดินถึงหน้าตึก ใบหน้าดอกโศกยังค้างอยู่ในสายตา มองออกไป ในขณะที่อุ๊ยืนมองหา
อัศนัยรีบหยิบโทรศัพท์ออกมา หันหลังให้อุ๊แล้วพูดคนเดียว “โอเค....ฉันรู้แล้ว...จะจัดการให้ไม่ต้องห่วงมีเท่านั้นใช่มั้ย” ระหว่างนั้น นัยน์ตาอัศนัย เริ่มรู้แล้วว่าอุ๊เดินมาใกล้ “ไม่” อัศนัยพูดเสียงดังขึ้นนิด “มีอะไรพูดกันวันหลัง ตอนนี้ฉันมีเรื่องสำคัญกว่า”
อัศนัยปิดโทรศัพท์ หันมาหาอุ๊ที่ยืนอยู่ด้านหลัง
อุ๊คิดว่าเรื่องสำคัญหมายถึงตัวเอง “อานัยคะ อุ๊มองหาอานัย ไปทางไหนคะ”
“สัญญาณไม่ค่อยดีครับ” อัศนัยบอก
“ปกติไม่มีปัญหาเรื่องสัญญาณ โทรจากไหนหรือคะ” อุ๊ผายมือให้เดินเข้าตึกไป “คุณพ่อลงมาแล้วค่ะ”
“ครับ โอเค...” อัศนัยเดินเร็วขึ้น ไม่ตอบคำถาม
อุ๊ยังหันมามองไปรอบๆ นัยน์ตาสงสัย
ภายในห้องของสุดเขต อัศนัยเดินเข้ามาแล้วยกมือไหว้ สุดเขตรับไหว้พลางถาม
“คุยเรื่องงานเสร็จแล้วรึคุณ”
“ครับ”
“พบอภิรมย์ฤดีรึเปล่า”
อุ๊เดินเข้ามาทันได้ยินพอดี รีบหลบเข้าหลังที่กำบังแอบฟัง
“พบครับ”
อุ๊...ได้ยินทั้งสองคนคุยกัน
“เขาเป็นยังไงมั่ง”
อัศนัยยิ้มนิดๆ “ครับ?”
“ถามคุณนั่นแหละ เพราะคุณคงจะรู้มากกว่าผม ตั้งแต่กลับบ้านมาเกือบเดือนแล้วฉันเห็นหน้า 2-3 ครั้งเอง ร้อยแต่มาลัยเอามาให้”
“เท่าที่ถามก็บอกว่าสบายดีครับ”
“อือม์ ขอพูดเรื่องเงินอีกครั้งนะ”
ได้ยินเรื่องเงิน สีหน้าอุ๊ ตั้งใจฟังมากขึ้น
“ขอโทษคุณแล้วกันที่ชิงตัดหน้าจ่ายให้อภิรมย์ฤดี เขาไม่ได้อยากได้เงินฉันหรอกนะเขาอยากให้คุณเป็นคนจ่ายมากกว่าแต่เวลานั้นมันจำเป็น”
“ผมเข้าใจครับท่าน”
“ฉันถามคุณหน่อยเถอะ...ถ้าฉันไม่ได้จ่ายเงินแสนบาทให้เพื่อนเขา ชื่ออะไรนะ...ป้อม” สุดเขตนึกออก แล้วพูดพร้อมๆ กับอัศนัย “อภิรมย์ฤดีจะกลับบ้านไหม”
ตอนสุดเขตพูดจำนวนเงิน สีหน้าอุ๊ฉงนด้วยว่าได้ยินไม่ถนัด พึมพำเบาๆ “เจ็ดแสน”
อุ๊เดินหน้าตั้งตามหาดอกโศกมาถึงหน้าบ้าน โอ๋เดินมาพอดี
“พี่อุ๊....พี่อุ๊ จะไปไหนคะ” โอ๋ร้องเรียก
“อย่าเพิ่งยุ่งยัยโอ๋ชั้นกำลังรีบ”
“โอเค....แต่รีบจะไปทำอะไรค้า” โอ๋สงสัย
“ยุ่ง.....เออ แต่ช่วยตามหามันหน่อยก็ได้” อุ๊บอก
“มัน....อ๋อ ดอกโศกใช่มั้ยพี่อุ๊ มีเรื่องจะอัดมันเหรอพี่อุ๊ โอ๋ช่วยมั้ย”
“เอาสิ...รู้มั้ยว่ามันให้คุณตาจ่ายเงินให้มันค่าอะไรไม่รู้ด้วยตั้งเยอะ”
“เยอะแค่ไหน” โอ๋อยากรู้
“เป็นแสน” อุ๊บอก
“หา....กี่แสน”
“พี่ได้ยินกะหูเลยนะว่า เจ็ดแสน” อุ๊บอกอย่างมั่นใจ
อีกมุมหนึ่ง ในเวลาต่อมา
“หนึ่งแสน” ดอกโศกบอกย้ำตัวเลขหน้านิ่ง
“โกหก” อุ๊ไม่เชื่อ เพราะมั่นใจว่าเป็นเจ็ดแสน
“ไม่เชื่อก็ตามใจ”
“โกหกหน้าตายเลยพี่อุ๊ พี่อุ๊เค้าได้ยินคุณปุ่พูดย่ะ”
สีหน้าดอกโศกรู้สึกเสียใจ “คุณตาพูดกับเธอเหรออุ๊”
อุ๊นิ่งคิดสักครู่ “ใช่สิ คุณตามีอะไรบอกชั้นทุกอย่าง จะบอกให้รู้”
“ใช่ ตัวเองมาอยู่ตั้งนานไม่รู้เหรอว่าพี่อุ๊เขาเป็นหลานรักคุณปู่” โอ๋ผสมโรง
“รู้แล้ว” ดอกโศกพูดเสียงแผ่ว
“ไม่ต้องพูดว่าใครหลานรักของมันแน่อยู่แล้ว พูดเรื่องเงินเธอเอาไปทำไมตั้งเจ็ดแสนให้แฟนใช่มั้ย”
“ฮ้า พี่อุ๊...จริงเหรอมีแฟนแล้วเหรอ” โอ๋ตกใจ อุทานออกมาอีก
“ใช่ แฟนเค้าชื่อป้อมน่ากลัวเป็นพวกรีดไถแล้วเลยมารีดไถคุณตาด้วย...ใช่มั้ยฮะ แม่ดอกโศก”
“คิดว่าคุณตาจะโง่จนโดนรีดไถเหรอ” ดอกโศกบอก
“พี่อุ๊ มันว่าคุณปู่โง่ด้วยล่ะ” โอ๋ฟ้องอุ๊อีก
“จริงดิมันว่าคุณตา” อุ๊โมโห
“ฟ้องคุณปู่มั้ยพี่อุ๊” โอ๋เสนอ
“นี่ ยายโอ๋อย่าทำตัวเป็นบ่างได้มั้ย” อ้นยืนฟังเงียบๆ มาตั้งแต่ต้น ทนไม่ไหว
“เป็นบ่าง...เป็นบ่างยังไงไม่เข้าใจ” โอ๋งง
“นี่แหละน้า คนเราภาษาไทยแท้ๆ ฟังไม่เข้าใจ เพราะไม่รู้จักอ่านหนังสือทำตัวไร้สาระไปวันๆ ทุกๆวันที่ผ่านไปน่ะ ทำอะไรให้รอยหยักในสมองเพิ่มขึ้นมั้งมั้ย”
เจออ้นด่า สองสาวอ้าปากหวอ
“ถ้าจะบ้า พี่อ้นพูดไม่รู้เรื่อง” โอ๋หันมาว่าอ้นคืน
“ไปให้พ้นเลย ตาอ้น อย่ามาแหยม...ไป๊” อุ๊ไล่
“อภิรมย์...ไปด้วยกันมั้ยไปดูหนังสือเล่มใหม่”
“ไปซิอ้น” ดอกโศกบอก
“ไม่ให้ไป อยู่พูดให้รู้เรื่องก่อน”
“เฮ้ย พี่อุ๊ สิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลห้ามเขาได้เหรอ” อ้นว่า
“ได้...บอกมาก่อนว่าให้คุณปู่จ่ายเงินเจ็ดแสนทำไม และไอ้คนที่ชื่อป้อมเป็นใครแฟนเหรอ?”
ดอกโศกอึ้งไป
อ่านต่อตอนที่ 6 พรุ่งนี้ เวลา 9.30 น.