บ่วง ตอนที่ 5
ค่ำนั้น...ทุกคนมาพักผ่อนกัน พัชนี วรรณศิกาและรัมภา เต้นสนุกอยู่กลางฟลอร์ปะปนกับนักเที่ยวคนอื่นๆ พัชนีนั้นเก้อเขินที่สุด เพราะไม่เคยมาที่แบบนี้ ทางด้านศามนกับอนุกูลนั่งคุยกันอยู่ที่โต๊ะ
“คุณรัมภาน่ะหรือครับเครียด” อนุกูลถามอย่างแปลกใจ
“ไม่ใช่เครียดแบบนั้น เหมือนกับเขา เอ้อ...หวาดระแวงอะไรบางอย่างน่ะ ผมก็เลยพาเธอออกมาเที่ยวบ้าง มีเพื่อน ได้ออกจากบ้านบ่อยๆ อาจจะดีขึ้น”
“คุณภาดูจะชอบคุณวรรณกับยายแม่ชี เดี๋ยวผมจะกระซิบให้สองคนนั้น คอยดึงเธอออกมาเที่ยว ออกมาจากบ้านบ่อยๆ”
“ขอบคุณมาก”
“ตามสบายนะครับ นี่ที่ประจำผม อยากกินอะไร อยากฟังเพลงอะไรบอก”
เพลงจบสามสาวเดินกลับมาหน้าตารื่นเริงมาก อนุกูลแซวพัชนี
“ไงยายแม่ชี ดูตื่นๆนะ เพิ่งเคยมาเที่ยวหรือ”
“ก็...”
พัชนียิ้มแห้ง อนุกูลยิ่งแหย่
“หา... นี่แค่แซวนะ ไม่เคยมาที่แบบนี้จริงหรือ โตมาได้ยังไง เพื่อนฝูงมีกับเขาหรือเปล่าเนี่ย อ๋อนึกออกแล้ว เพื่อนเธอเป็น สมภาร เด็กวัดแล้วก็สัปเหร่อใช่ปะ ยังไงพวกนี้ก็ออกมาเที่ยวไม่ได้อยู่แล้ว”
วรรณศิกาโมโหแทน
“โอ้โห เลี้ยงสุนัขทั้งคอกไว้ในปากก็ไม่บอก ฉันน่ะ ก็ไม่เห็นจะพิสมัยที่แบบนี้เลย ไม่มีคุณภากับคุณมน ฉันนอนเล่นจ้ำจี้กับผัวที่บ้านดีกว่า ผัวฉันหล่อ รวยกว่าจิ๊กกะโร่แถวนี้เยอะ”
“คุณน่ะ ต่อให้มา เขาก็นึกว่า มาเก็บแชร์ เดินเข้ามาเขาก็แหวกเป็นทางให้ไปหลังร้านแล้ว เขาไม่ถือสาหรอก แต่ยายแม่ชีนี่ดิ ยังเด็กแท้ๆ โลกแคบจริงๆนี่ดูสาวๆ พวกนั้น ดูเขาแต่งตัว สวยไหม ดูท่าทางเขา ดูดีไหมนี่ต่างหากเรียกว่าความสุข เอ๊ะ...ผู้หญิงคนนั้น ไม่เคยเห็น ขอตัวก่อนนะ”
อนุกูลเห็นสาวสวยแต่งตัวดี ดูไฮโซคนหนึ่ง นั่งดื่มอยู่คนเดียวเขาสนใจมาก เดินไปคุยกับสาวคนนั้นทันที วรรณศิกาโมโหไม่หาย
“โฮ้ย งานหนักฉันไม่กลัวหรอกนะ แต่ฉันกลัว บันดาลโทสะต่อยปากเจ้านาย...เอ้าดูเขา ดู ดู...เห็นสาวหน่อยไม่ได้ ชิ่งทิ้งเราไปละ”
คนอื่นหัวเราะวรรณศิกากันหมด รัมภารู้สึกสนิทสนมกับวรรณศิกาและพัชนีมากขึ้น
ดึกแล้วทุกคนยกกำลังจะกลับบ้าน อนุกูลยังไม่กลับเดินออกมาส่ง
“เพิ่งจะสี่ทุ่ม ขาแดนซ์เขาเพิ่งถึง พวกคุณดันกลับเสียแล้ว”
วรรณศิกาค้อน
“พวกเราไม่ได้ออกล่าเหยื่อเหมือนคุณนี่คะ เขามีลูกเมีย ไว้กอดสบายๆไม่ต้องไปนั่งทำน้ำลายไหล ย้อยแล้วย้อยอีกเหมือนใครบางคน เชิญตามสบายเถอะค่ะ”
วรรณศิกาชี้ไปที่ศามนและรัมภาที่ท่าทางรักใคร่กันดี รัมภาหันไปถามพัชนี
“หนูพัชไม่อยู่ก่อนหรือจ๊ะ”
“เอ้อคือ…”
พัชนีมัวแต่อึกอัก อนุกูลไล่เลย
“โฮ้ยเอากลับไปเลย ที่นี่ไม่ใช่พิพิธภัณฑ์ เอาวัตถุโบราณมาวางไว้สถานที่เขาจะหมอง ผมมีเพื่อนแล้ว ผู้หญิงที่ผมเข้าไปคุยด้วยน่ะ”
ศามนอึ้ง
“เพิ่งรู้จักเนี่ยนะ”
“โฮ้ย ยุคอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง ไม่ต้องโหลดนาน เอายายแม่ชีนี่กลับไปเถอะ เดี๋ยวเขาไปทำอาหารใส่บาตรพรุ่งนี้เช้าไม่ทัน”
“ฉันกลับอยู่แล้วค่ะ ไม่ได้อยากอยู่ นั่งทำลายหูเพราะเสียง ทำลายปอดเพราะควันบุหรี่ เสียเวลา”
อนุกูลชะงักกึก รัมภากับศามนแอบขำ พัชนีพูดเฉยๆขึ้นมา ตามนิสัยตรงไปตรงมา ดูมีความมั่นใจมากขึ้นในการพูดสิ่งที่ตนคิด ทำให้ วรรณศิกาปรบมือถูกใจ
“นี่...มันต้องอย่างนี้ นอกเวลางาน ไม่ต้องไปกลัว จะใช้เราเป็นหินลับฝีปากอยู่คนเดียวได้ยังไง ฮิ ฮิ ฮิ”
ศามนเดินเข้ามาพร้อมรัมภาเพิ่งกลับมาถึงบ้าน
“คุณเข้าไปอาบก่อนแล้วกันค่ะ”
ศามนรับคำแล้วพยักหน้า เดินเข้าไปในห้องน้ำ รัมภาเอนลง นั่งพักหลับตาที่มุมหนึ่ง เสียงใครบางคนเข้ามากระซิบที่ข้างหู เสียงเยือกเย็นน่ากลัว
“คุณชื่นจำอีแพงไม่ได้ เวลาทำให้ลืมทุกอย่าง แต่ไม่ใช่ความเจ็บปวด คุณเห็นหน้าอีแพงแล้ว คราวนี้จะได้เห็นชีวิตของอีแพงก่อนที่จะตายในบ้านนี้”
รัมภายังคงหลับตา ไม่ได้ยินคำพูดนั้น สักพักเสียงกริ๊กๆ ดังขึ้นมาจากหน้าต่างลูกกรงของห้องข้างล่าง เป็นเสียงของแข็งตีลูกกรง เป็นจังหวะน่ากลัว กริ๊กๆๆ คราวนี้รัมภาเงยหน้าขึ้น เพราะเป็นเสียงที่แพงจงใจให้ได้ยิน รัมภาพยายามเงี่ยหูฟัง
“เสียงอะไร”
แพงตีลูกกรงหน้าต่างดังกริ๊กๆๆ เป็นจังหวะช้าๆ ดวงตาเหม่อลอย เสื้อผ้ามอมแมม ผมเผ้ายุ่งเหยิงแสดงท่าทีของคนบ้าเหม่อลอยชัดเจน
“ลูกกรงทุกซี่เป็นเพื่อนสนิทเพียงอย่างเดียวของข้า ความโดดเดี่ยวไร้คนสนใจร้องขอความช่วยเหลือ จนไม่มีเสียงร้อง โซ่ตรวนที่มันล่ามข้า เลวเสียยิ่งกว่าหมูหมา พวกมันทำกับข้ายิ่งกว่าสัตว์ หึ...สถานที่นี้คือนรกที่มีอยู่จริง”
แพงเดินไปมุมนั้นมุมนี้ ด้วยโซ่ที่ลากไปมา ทำให้เกิดเสียงอันน่ากลัว
เสียงโซ่ตรวนที่เท้าเดินไปมาของแพงดังไปถึงรัมภา
“เสียงมาจากห้องโถง”
รัมภาปิดหูตัวเอง เพราะเสียงกรี๊ดของแพงดังขึ้นจากเบา เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หวีดจนหูแทบจะแตก
“หยุด หยุด หยุดเดี๋ยวนี้”
รัมภาตะโกนลั่น ศามนวิ่งมาจากห้องน้ำวิ่งมาเขย่าตัว
“คุณภา เป็นอะไรน่ะ”
รัมภามองหน้าศามน กลัวจนตัวสั่นหน้าซีด
“ฉันจะไปนอนห้องลูก ฉันนอนห้องนี้ไม่ได้”
รัมภาวิ่งออกไปทันที ศามนงุนงง
รัมภาวิ่งมา เปิดตู้ หยิบยานอนหลับกินเข้าไป มือสั่น หวาดผวา ไม่มีความสุข แพงยืนเศร้าน้ำตาไหลอยู่มุมหนึ่ง เมื่อนึกถึงอดีต แพงเองก็เจ็บปวดเช่นเดียวกัน
“เรา สามคนผัวเมีย มีบ่วงกรรมกันมานานแล้ว เอ็งได้อยู่กินเป็นเมียผัวกับคุณหลวง แต่เอ็งจะมีข้าตามจองเวรจองกรรมกับเอ็งทุกชาติภพ”
แพงนึกถึงอดีต...นวลกำลังซักผ้าของตัวเอง แพงเดินเข้ามา เอาเสื้อผ้าตัวเองเข้ามาจะมาซักเหมือนกัน นวลชี้ไปที่ตะกร้าผ้าที่หิ้วลงมาจากข้างบน กองเอาไว้อยู่มุมหนึ่ง
“นั่นเสื้อคุณชื่น จะทำหรือไม่ทำ”
แพงท่าทางจ๋อยๆไปยกมาซัก ไม่มีแม้แต่คำพูดโต้แย้ง เพ็ญยิ้มกับคุณหญิงอบเชย ทั้งสองแอบมองทีท่าของแพงอยู่ว่าหลังจากโดนตีแล้ว แพงดีขึ้นหรือไม่
เวลาอาหารเช้า แพงกำลังดูแลให้คุณหลวงภักดีบทมาลย์ ชื่นกลิ่น และบัวสวรรค์กินข้าว
“เอ๊ะวันนี้ไม่มีพริกน้ำปลาหรือ” คุณหลวงถาม
แพงแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน เพราะตั้งใจไม่ให้บริการหลวงภักดี บัวสวรรค์มองเห็นแพงไม่กุลีกุจอหยิบเหมือนเคย เลยเป็นฝ่ายหยิบให้เอง
“อยู่นี่ค่ะ บัวหยิบให้”
แพงยกแก้วน้ำมาให้ชื่นกลิ่น
“จริงสิ เกือบลืม น้ำส้มคั้น ที่คุณชื่นบ่นอยากกิน นี่ค่ะ แพงเพิ่งคั้นสดๆ”
“เอ้า...ฉันลืมไปแล้วนะเนี่ยว่าฉันอยากกิน ขอบใจจ้ะ”
มุมหนึ่ง...คุณหญิงอบเชยมองอยู่กับเพ็ญ ยิ้มพอใจที่แพงเริ่มทำตัวดีกับชื่นกลิ่น
เมื่อคุณหลวงกำลังจะไปทำงาน ชื่นกลิ่นดูแล ส่งถุงเท้ารองเท้า ส่งกระเป๋าเอกสารให้ แพงยืนห่างไป ท่าทางเรียบร้อยไม่เกี่ยวข้อง ไม่มองคุณหลวง บัวสวรรค์แอบมองสงสัยท่าทางที่เปลี่ยนไปของแพง ห่างไป อีกมุม คุณหญิงอบเชยกับเพ็ญแอบยืนมองทั้งสองพูดกันเสียงเบา
“ต่อไปนี้คงไม่มีเรื่องอะไรแล้ว อีบ่าวพวกนี้ มันต้องโดนกำหราบ ไม่งั้นไม่หายบ้า”
“จริงค่ะ อีแพงมันคงเข็ดแล้ว บ้านเราจะได้อยู่สุขเสียทีนะคะคุณหญิง”
แพงแอบปรายตามองแสยะยิ้มครุ่นคิดในใจ
‘ยังหรอก อีแพงมันไม่ใช่บ่าวโง่ๆ แค่ถูกตีนิดตีหน่อยจะใจเสาะง่ายๆ อีแพงแค่รอเวลา รอโอกาสเท่านั้นเอง’
วันใหม่...คุณหลวงนอนหนุนตักชื่นกลิ่นอยู่ที่ศาลา ชี้ชวนกันดูนก กินผลไม้ มีความสุข แพงแอบมองน้ำตาไหล
ทางด้านกล้า สอนบัวสวรรค์ขี่ม้า ทั้งสองยิ้มแย้มมีความสุขสนิทสนมกันมากขึ้นทีละนิด แพงรำพึงออกมาอย่างแค้นๆ
‘เวลานั้น เหมือนบ้านจะอบอวลไปด้วยดอกไม้ กลิ่นความรักและความสุขตลบอบอวลไปทั่วบ้าน ฮึ แต่ธรรมชาติของความสุขย่อมอยู่ไม่นานหลังจากนี้ ความสุขก็เลือนมลายหายไป เพราะฝีมือของอีแพงคนนี้ ฮะฮะฮ่า ฮะฮะฮ่า’
ดึกมากแล้ว ร้านปิดแล้วไฟป้ายร้านดับลง ยามกำลังจะล็อกประตูหน้าร้าน แท็กซี่เข้ามาจอด พัชนีวิ่งลงมาจากรถ เข้ามาบอกกับยามว่าลืมของไว้ด้านใน จะกลับมาเอา
ขณะเดียวกัน ที่จอดรถหลังร้าน เงียบและมืด มีพงหญ้าอยู่ถัดไป รถของอนุกูลจอดอยู่คันเดียว สาวสวยหิ้วปีกอนุกูลที่เมามายอย่างหนักมาที่รถ เขาส่งเสียงอ้อแอ้ แทบยืนไม่อยู่
“น้องมะนาวจ๋า ไหนมาชิมหน่อยซิว่าเปรี้ยวจริงหรือเปล่า”
อนุกูลมีทีท่าหื่นตลอดเวลา มะนาวให้เขานั่งในรถ
“ใจเย็นค่ะ นั่งลงก่อนค่ะ สภาพแบบนี้คุณจะขับรถยังไงคะ”
“น้องมะนาวก็ขับไปส่งสิ แต่ไม่กลับบ้านนะ ไปสนุกกันต่อนะที่รักพี่รู้จักโรงแรมแถวนี้ สะอาด สบาย น่านอนที่สุด”
สาวสวยยิ้มให้ เดินออกมามองๆว่าไม่มีใครแถวนี้แน่แล้ว แอบพยักหน้าไปที่มุมหนึ่ง รถมอเตอร์ไซด์ที่ซุ่มรออยู่ ขับออกมาจอดเทียบ นักเลงที่ขับเป็นผัวของเธอเดินลงมาลากคออนุกูลทันที
“เฮ้ย...ไม่อยากมีเรื่องเอาเงินมา”
นักเลงต่อยอนุกูลจุกลงไปกองแล้วค้นของจะเอากระเป๋าเงิน
“หนอย นี่แก”
อนุกูลตั้งสติได้ ผลักชาย คนนั้น ไม่ยอมให้เงิน ทั้งสองเลยต่อสู้กันหลายยก นักเลงเอาหัวของอนุกูลอัดเข้าไปที่รถ เปรี้ยง ! อนุกูลลงไปกองกับพื้น นักเลงได้กระเป๋าเงินไป แต่ยังค้นตัวต่อจะเอารถเก๋งด้วย
“กุญแจรถ กุญแจรถอยู่ไหนวะ”
อนุกูลพยายามลืมตา เห็นกุญแจรถตกอยู่กับพื้นข้างตัวรีบหยิบแล้วโยนกุญแจรถเขวี้ยงไปในพงหญ้า มะนาวตะโกนบอกผัว
“นั่น...มันโยนทิ้งไปแล้วพี่”
“โธ่โว้ย นี่แน่ะ นี่ นี่”
นักเลงโมโหทั้งเตะทั้งถีบอนุกูลด้วยความแค้น รถแท็กซี่ของพัชนีขับมาใกล้ส่องไฟมา มะนาวตกใจ
“คนมา...คนมา...ช่างมันเถอะ ได้เงินกับมือถือมาแล้ว ไปเร็วพี่ไปเร็ว”
สองผัวเมียรีบขึ้นมอไซค์ขับหนีไป ก่อนที่พัชนีจะวิ่งลงจากแท็กซี่มาดู
“ตายแล้วคุณนุ”
“คุณเองหรือ โอ๊ย”
“เป็นยังไงบ้าง เกิดอะไรขึ้นคะนี่”
พัชนีประคองอนุกูลให้ยืนขึ้น แล้วนึกอะไรได้ มองมือตัวเอง เต็มไปด้วยเลือดจากแขนขาอนุกูล พัชนีตกใจปล่อยอนุกูลร่วงพรืดลงไป กระแทกพื้นเจ็บซ้ำไปอีก
“เลือดๆ อี๊...”
“โอ๊ย เจ็บนะโว้ย จะปล่อยทำไม้”
พัชนีท่าทางโก๊ะๆ รีบประคองอนุกูลใหม่
“ขอโทษค่ะ ขอโทษ ฉันกลัวเลือดน่ะ พวกที่เพิ่งไปนั่น ใครคะ เขาทำคุณ
ใช่ไหมคะ”
“ผู้หญิงคนนั้น...มันหลอกขโมยเงินผม มันเป็นนางนกต่อ ให้พวกของมันมาขโมยของผม...โธ่โว้ย”
อนุกูลเจ็บใจตัวเอง พัชนีหน้าตื่นตกใจ
“ขโมยเงิน ปล้นหรือคะ แจ้งตำรวจต้องแจ้งตำรวจ...”
พัชนีสาละวนกับโทรศัพท์ อนุกูลเจ็บหัวแต่ก็ลุยเดินเข้าไปในพงหญ้า
“เดี๋ยวๆ คุณจะไปไหน”
“ไปหากุญแจรถ”
พัชนีโทรหาตำรวจ
“คุณตำรวจหรือคะ ช่วยด้วยค่ะ มีคนมาขโมยเงินเจ้านายฉันค่ะ”
อนุกูลมุดหายไปในพงหญ้าสูงเพื่อหากุญแจรถ พัชนีเดินตามมา
“ซวยจริงๆ อย่าให้เจออีกนะ”
“คุณนุ คุณนุ”
พัชนีหยิบกิ่งไม้ข้างทางมาถือไว้ปัดหญ้าออกไปข้างตัว อนุกูลจู่ๆโผล่ขึ้นมาในสภาพมีเลือดไหลย้อยที่หัวเล็กน้อยทำให้ดูเหมือนผีโผล่พรวดขึ้นมา
“ว้าย”
พัชนีใช้ไม้ที่ถือซัดเปรี้ยงเข้าที่หัวอนุกูลเปรี้ยงเข้าให้ อนุกูลร่วงลงไปนั่ง มือจับหัวโอดโอย
“โอ๊ยยายบ้า จะฆ่ากันหรือไง”
“ฮือ เป็นอะไรไหมคะ ก็คุณน่ะ โผล่มาเงียบๆ บอกแล้วไงว่ากลัวเลือด”
“ผมจะไม่ตายเพราะยายนั่น จะตายเพราะคุณนี่แหละ”
พัชนีแทบจะสะกดความเวียนหัวไม่ไหวเมื่อมองไปที่หน้า ที่ตัวอนุกูล
“ฮึ่ยเลือด เลือดออกมาเยอะเลย เฮือก!”
พัชนีเป็นลมไป อนุกูลตกใจรีบประคองไว้
“เฮ้ยๆๆ...โฮ้ย จะมาเป็นลมอะไรตอนนี้ คนที่ต้องเป็นลมน่ะผม ไม่ใช่คุณ โว้ย ทำไมมันซวยอย่างนี้วะ เฮ้ย ตื่น คุณมาดูแลผมนะ ไม่ใช่ให้ผมมาดูแลคุณ”
วันใหม่...ศามนกับรัมภานั่งทานอาหารเช้าด้วยกัน ลูกๆนั่งเล่นอยู่ห่างไป รัมภามองหน้าศามนมีอะไรจะพูด ครุ่นคิดอยู่ว่าพูดดีไหม ขณะเดียวกันนั้น คุณหญิงอบเชยมองมาจากเรือนใหญ่อย่างรู้ใจรัมภาดี
“ลูกแม่ ต่อให้ลูกทำบุญมาเท่าไหร่ แม่ก็มีกำลังอันจำกัด แม่ข้ามเขตไปที่เรือนเล็กไม่ได้ มนตราของมันปกคลุมอยู่ แม่ตามไปช่วยลูกไม่ได้ บอกเขา บอกคุณหลวงเขา บอกสิลูก”
รัมภาเหมือนได้รับกระแสจิตนั้น ตัดสินใจพูดออกไป
“ฉันอยากย้ายกลับไปอยู่เรือนใหญ่”
“อะไรนะ”
“อยู่ที่นี่...ภาไม่ชอบ”
“จะอยู่เรือนเล็กหรือเรือนใหญ่ก็บ้านเราทั้งนั้น รัสตี้ ไลล่า หรือแม้แต่แขกของเรา จะเข้าออก ไม่ต้องเดินผ่านโลงศพ อยู่ที่นี่ดีกว่านะภา”
รัมภาอยากเถียง แต่เดือนแรมเดินเข้ามา พร้อมถุงข้าวของ มาหาเหมือนเคย ขัดจังหวะการสนทนาพอดี
“หวัดดีจ้า” เดือนแรมปรับเสียงใหม่ พร้อมท่าดัดจริตไฮโซ “เอ้อ มอร์นิ่งค่ะคุณพี่ วันหยุดนี้ทำอะไรดีคะ”
“ยังไม่มีโปรแกรมเลยครับ”
“จริงหรือคะ เดือนอยากชวนคุณพี่ทั้งสองไปที่ตลาดค่ะ มีอะไรรบกวนให้
ช่วยนิดหน่อย”
“ทำไมหรือครับ”
“ตลาดคู่แข่งกำลังจะขยายน่ะค่ะ เดือนกลุ้มใจกลัวพ่อค้าแม่ค้าย้ายหนี ก็
เลยคิดจะปรับปรุงตลาดหน่อย”
“อ๋อได้สิครับ ไปด้วยกันนะคุณ”
รัมภาโกรธงอนศามน
“คุณไปเถอะค่ะ เห็นคุณวรรณบอกจะไปช็อบปิ้ง ฉันจะไปกับคุณวรรณ”
รัมภางอนเดินออกไปทันที ศามนหน้าเสีย เดือนแรมยิ้มพอใจ
รัมภากับวรรณศิกาเดินถือของเยี่ยมมาตามทางของโรงพยาบาล จะไปห้องพักไข้ของอนุกูล
“ตอนแรกก็ว่าจะออกไปขึ้นรถแล้วนะ เอะใจขึ้นมา โทรชวนยายพัช เนี่ยถึงเพิ่งรู้เรื่อง ตกใจหมดเลย”วรรณศิกาเล่า
“แล้วนี่คุณนุ เป็นอะไรมากไหมคะนี่”
รัมภากับวรรณศิกามาถึงห้องอนุกูล พัชนีอยู่ตั้งแต่เช้าคอยดูแล อนุกูลโวยวายใส่
“โฮ้ย...ยายตัวแสบบอกแล้วไง ไม่ต้องโทร รักษาความลับน่ะ ทำเป็นไหม”
พัชนีจ๋อยที่โดนดุ
“พี่วรรณคาดคั้นถาม แล้วโกหก...มันก็ผิดศีล”
วรรณศิกาเหล่มองยิ้มล้อๆอนุกูล
“แฮะ...มีอาย แหมมันก็ต้องอายกันบ้างนะ คิดจะหลอกฟันสาว แต่ดัน
มาโดนสาวหลอกพาไปเชือด คราวนี้จะเข็ดหรือยังหา พ่อหนุ่มเจ้าสำราญ”
รัมภาเห็นอนุกูลมีแผลตรงนั้นตรงนี้ เธอเห็นแผลที่หน้าผาก เลยชี้ถาม
“นี่เป็นอะไรมากไหมคะ”
“ตอนแรกหัวแตกเล็กๆ พอยายนี่มา ซัดอีกป้าบ เพราะตกใจกลัวเลือด” เขาหันไปโวยพัชนีต่อ “ถามจริงๆ เป็นพวกหน้าใสใจคดหรือเปล่า ถูกผมด่าแล้วแค้นมาก เลยอ้างว่ากลัวเลือดใช่ไหมฮะ”
พัชนีหน้าตื่นรีบปฏิเสธ
“เปล่านะคะ เปล่า พัชกราบค่ะ พัชขอโทษจริงๆ นี่พัชก็ชดเชยคุณด้วยการพาคุณมาหาหมอ มาดูแลคุณทุกวันแล้วไงคะ”
“ใคร...ใครพามาหาหมอ พูดใหม่ซิ”
พัชนีจ๋อยสนิท
“เอ้อ คุณพามาค่ะ เพราะตอนนั้นพัชเป็นลมไปแล้ว”
วรรณศิกากับรัมภาหัวเราะกันใหญ่ อนุกูลนึกได้
“เอ๊ะคุณภา ถามว่าไงนะ อ๋อ...หัวแตกนิดหน่อย แล้วก็ฟกช้ำดำเขียวครับโชคดี ผมตั้งสติทัน โยนกุญแจรถทิ้งไป ก็เลยเสียแค่เงินกับมือถือ”
“แล้วขอบคุณเขาหรือยังเนี่ย โชคดีนะ ที่ยายพัชกลับไปอีกรอบ แล้วได้เอกสารที่ลืมไว้คืนหรือเปล่า” วรรณศิกาถาม
“ได้คืนแล้วค่ะ ลืมวางไว้ตรงไหนก็อยู่ตรงนั้น พอดีตอนแท็กซี่เลี้ยวออกมาเห็นรถของคุณนุจอดอยู่ พัชกลัวแกเมาหลับน่ะค่ะ เลยให้แท็กซี่ขับเข้าไปดู...เฮ้อบอกแล้ว”
อนุกูลสวนทันควัน
“บอกแล้วอะไร”
“คุณชอบผู้หญิงแต่งตัวแบรนด์เนม สวยเซ็กซี่ คุณหาว่าคนแบบนั้นมีระดับเป็นยังไงล่ะคะ เปลือกภายนอกน่ะ พิสูจน์คนไม่ได้สักหน่อย”
“เฮ้ย มากไปแล้วนะ ซ้ำเติมหรือ นี่มันคราวซวยต่างหาก คนแต่งตัวเป็นแม่ชีอย่างหล่อน นิสัยดีทุกคนหรือไง คนมันก็มีดีมีเลวทุกสังคมนั่นแหล่ะ แหม...แค่นี้ทำมาสอน ชิ”
“เถียงไม่ได้พาล เสียงดังกว่าชนะ ว่างั้น”
วรรณศิกาเข้าข้างพัชนีช่วยดุอนุกูล รัมภายิ้มขำทั้งสามคน
อ่านต่อ หน้า 2 เวลา 17.00น.
บ่วง ตอนที่ 5 ต่อ
ศามนและเดือนแรมมานั่งกินกาแฟคุยกัน ในร้านที่ตลาด ขณะที่น้อย แอน เจี๊ยบ ว่างๆมานั่งเล่นอ่านหนัง นิตยสารอยู่มุมหนึ่ง เดือนแรมเล่าเรื่องราวชีวิตของเธอให้ศามนฟัง
“ชีวิตของเดือนมันเศร้าค่ะ เดือนเกิดมา แม่ก็ตาย พ่อทิ้งเดือนไว้กับยายหนีไปแต่งงานใหม่ แล้วก็มาตายลงอีก ยายของเดือน ก็อย่างที่คุณรู้เป็นแค่คนใช้ในบ้านคุณ เดือนก็เลยเรียนหนังสือไม่ทันจบม.3 ก็ต้องออก”
น้อยได้ยินก็สอดขึ้น
“ไม่ใช่ออกเพราะจน แต่เพราะมันหนีตามโชเฟอร์รถสองแถวไปตั้งแต่นมยังไม่ตั้งเต้าเล้ย”
เดือนแรมหันมามองแค้นๆ เจี๊ยบแกล้งทำหน้าซื่อ ตอบแบบตาใส ชี้ไปที่หนังสือเรื่องย่อละครในมือของน้อย
“เจ๊น้อยเขาอ่านละครให้เราฟังจ้ะ”
เดือนแรมไม่สนหันมาเล่าต่อ
“โชคดีหน่อย หลายปีก่อน ถนนเกิดตัดผ่านที่ดินที่คุณยายทวดคุณยกให้ยายเพ็ญ เราก็เลยลืมตามอ้าปากได้บ้าง แต่เดือนก็ยังไม่วายโชคร้ายผัว เอ้อ สามีของเดือน ในที่สุดก็ทิ้งเดือนไป”
“ไม่ทิ้งได้ไง มันดันเฉดโชเฟอร์รถสองแถวทิ้ง ไปได้กับแท็กซี่ ขยับฐานะนะนี่แหม้...เอามานอนเล่นถึงในบ้าน ผัวไม่กระทืบตายก็บุญแล้ว”
น้อยสอดขึ้นอีก ตาก็มองหนังสือไป แอนยิ้มเยาะแล้วทำเป็นเตือน
“เจ๊...อ่านเบาๆหน่อย รบกวนเขา”
“เอ้าโทษนะ ขอโทษๆ”
สามสาวแอบขำกัน เดือนแรมค้อนเพราะรู้อยู่ว่าน้อยพูดถึงชีวิตของตน แต่ไม่กล้ากระโตกกระตาก เพราะเห็นศามนไม่สนใจพวกน้อย นึกว่าพูดเรื่องละครจริงๆ เดือนแรมเล่าต่อ
“แต่งงานใหม่อีกสองครั้ง ชีวิตก็มีแต่ตกต่ำลง ผู้ชายแต่ละคนไม่ยอมทำงานทำการ คิดแต่จะเอาเปรียบให้เดือนทำมาหาเลี้ยง เดือนทนไม่ไหวก็เลยเลิกหมด ทุกวันนี้เดือนอยู่คนเดียว คิดคนเดียว ความรู้ก็ไม่มี จะบริหารตลาดให้สู้กับคนอื่น มันต้องมีความรู้ใช่ไหมคะ คุณพี่ศามนขา คุณพี่ต้องช่วยเดือนนะคะเดือนไม่มีใครแล้วจริงๆ”
เดือนแรมแค่น้ำตาคลอ แต่ สามสาวข้างหลังร้องโฮ ลั่นร้าน
“ฮือ ฮือ ฮือ...น่าสงสาร น่าสงสาร”
“เฮ้ย ทนไม่ไหวแล้วนะโว้ย”
เดือนแรมหยิบกระป๋องใส่หลอดโยนเปรี้ยงไปกลางโต๊ะของน้อย วงแตก ศามนตกใจ
“คุณเดือน! เป็นอะไรไป”
แอนรีบบอก
“โฮ้ย จะเป็นอะไร้ ก็เป็นนางอิจฉาที่ชอบบีบน้ำตาเรียกร้องความเห็นใจนี่แหละ ฉันหมายถึงในละครนะ”
เดือนแรมเพิ่งได้สติ หันมามองศามน
“เอ้อ คือ...”
เจี๊ยบมองหยัน
“คุณนายเดือน มือเขาคงลื่นน่ะค่ะ เขาไฮโซ จิตใจดี ไม่เหมือนนางอิจฉาในละคร เขาจะมาทำร้ายพวกเราทำไมล่ะคะคุณศามน”
เดือนแรมกำหมัดแค้นจัด ไม่รู้จะทำยังไงดี
“รีบไปจากร้านนี้เถอะค่ะ เดือนจะพาไปดูตลาด จะได้ให้คุณดูว่าต้องทำอะไรบ้าง”
เดือนแรมลากศามนออกไปจากร้านทันที กลุ่มของน้อยหัวเราะเยาะกันใหญ่
วันต่อมา ศามนแวะมาเยี่ยมอนุกูลหลังเลิกงาน อนุกูลถามอย่างแปลกใจหลังจากรับรู้ในสิ่งที่ศามนบอก
“หาช่างไปปรับปรุงตลาดหรือครับ”
“ผมไม่รู้จักใคร ท่าทางคุณกว้างขวาง เป็นตลาดที่อยู่หลังบ้านผมน่ะ ตระกูลเขาเคยรับใช้คุณทวด ตัวเขาน่าสงสาร ไม่มีใครช่วย”
อนุกูลเอะใจ
“น่าสงสาร...ผู้หญิงหรือครับ”
ศามนพยักหน้า บอกไปซื่อๆ เพราะเชื่อเดือนแรมจริงๆ
“เขาไม่มีความรู้ ตลาดเป็นแหล่งรายได้อย่างเดียว นี่ซ่อมเสร็จก็ต้องหานักบัญชีไปช่วยเขาอีกนะ การจัดเก็บเงิน การบริหารที่เขาทำอยู่ มันไม่มีระบบเลย”
“คุณนี่ชอบช่วยเหลือคนเนอะ ขี้สงสารแบบนี้ ระวังจะมีปัญหาน้า”
อนุกูล นึกในใจว่า จะมีปัญหากับรัมภา แต่ไม่กล้าพูดออกมาตรงๆ
“ปัญหาอะไรครับ”
“ผมก็พูดไปงั้น อืม พรุ่งนี้ผมก็ออกจากโรงพยาบาลแล้ว เดี๋ยวจะหาคนให้”
ศามนพยักหน้า เลื่อนขนมให้อนุกูล
“ขนมครับ ผมจำได้ว่าคุณชอบเจ้านี้”
ศามนนั่งดูทีวี อนุกูลมองหน้าเจ้านายไม่ค่อยสบายใจนัก ที่เขามีทีท่าเป็นห่วงผู้หญิงอื่น...แพนที่ตามศามนมานั่งกอดศามนอยู่
“ความสงสารรึ ใช่...ไม่ว่าจะในชาติปางก่อน หรือชาตินี้ คุณหลวงก็ยังเป็นคนขี้สงสาร ความใจดี ความใจอ่อนนี่เองที่ทำให้อีแพงมีโอกาส เข้าถึงจิตใจคุณหลวง”
แพงนึกถึงในอดีตกาล...แพงนั่งคนเดียว แอบขัดรองเท้าให้คุณหลวงจนเงาวับอย่างตั้งใจ ตาคอยมองซ้ายมองขวาไม่ให้ใครเห็น คุณหลวงเดินมาเจอเข้าโดยบังเอิญ
“โอ๊ะ...คุณหลวงนั่นเอง ตกใจหมด”
“ทำอะไรอยู่ ทำไมต้องตกใจ”
“เห็นรองเท้ามันสกปรก แพงเลยขัดให้ เสร็จพอดี อีแพงไปนะคะ”
“เธอกลัวคนอื่นเห็นเธอขัดรองเท้าให้ฉันรึ”
แพงมองคุณหลวง ถอดเสื้อตัวนอกเห็นคอกระเช้าข้างใน โชว์รอยถูกตีที่ไหล่ คุณหลวงเห็นแพงถอดเสื้อก็ตกใจ
“นี่จะทำอะไรน่ะ”
“ดูสิคะ คุณหญิงอบเชยเฆี่ยนแพง หาว่าแพงให้ท่าคุณหลวง อธิบายยังไงก็ไม่ฟัง”
คุณหลวงอึ้งไปเพิ่งรู้
“เฆี่ยนเลยหรือ”
“อีแพงแค่จะทดแทนพระคุณเจ้าชีวิตของอีแพง ก็แค่นั้นเอง ดูสิเจ้าคะ ดูที่เขาทำกับแพง”
แพงน้ำตารินอ้อนขอความเห็นใจ คุณหลวงมองอย่างเห็นใจขึ้นมา
เย็นวันนั้น...แพงแอบอยู่หลังพุ่มไม้ คุณหลวงเพิ่งกลับจากงาน ได้ยินเสียงแพงกระซิบเรียก
“คุณหลวงเจ้าคะ คุณหลวง”
“เอ้าทำไม มาแอบอยู่ตรงนี้”
“แพงจำได้ว่าคุณหลวงชอบน้ำพริกเจ้านี้ ตอนนี้ย้ายออกมาอยู่ที่บ้านนี้ คุณหลวงคงไม่ได้กิน วันนี้แพงเลยต่อเรือสองสามเที่ยวไปที่ตลาดแถวบ้านเก่าคุณหลวง ซื้อน้ำพริกเจ้าเดิมมาให้เจ้าค่ะ”
แพงยื่นถุงกระดาษใส่น้ำพริกให้
“เธอรู้ด้วยหรือ”
“อย่าบอกใครว่าแพงซื้อให้นะเจ้าคะ แพงไม่อยากเจ็บตัวอีก”
แพงมองซ้ายมองขวากำลังจะไป คุณหลวงเรียกไว้
“เดี๋ยว ฉันเตรียมยาไว้ให้ กำลังจะเอาไปฝาก ทาที่แผล จะได้ไม่ต้องเป็นแผลเป็น”
คุณหลวงยื่นกล่องยาให้
“คุณหลวงซื้อยาให้อีแพงหรือเจ้าคะ...ยาฝรั่ง ยาใหม่ยังไม่เปิดขวดเลย...ขอบพระคุณเจ้าค่ะ”
แพงมองคุณหลวงอย่างซาบซึ้งจนน้ำตาแทบไหล
ที่เรือนเล็ก....แพงมองศามนกับเดือนแรมที่นั่งคุยกันอยู่...
“นิสัยใจอ่อนขี้สงสารของคุณหลวง ทำให้อีแพงมีตัวตนในสายตาของคุณหลวงเสมอ และในวันนี้ นังเดือนแรมก็กำลังทำอย่างเดียวกัน และมันก็ได้ผลดีเสียด้วย”
ศามนนั่งทำงานเอกสารคุยกับเดือนแรมไปด้วย เขาดูเอกสารกองใหญ่ที่เดือนแรมขนมาให้ดู บุญสืบกับหล้าเอาขนมไปวางแล้วออกมาหาคำที่แอบมองอยู่ห่างๆ
“คุยอะไรกันนักหนาวะ เห็นนั่งคุยตั้งแต่เช้า” คำถามอย่างสงสัย
“อ๋อ...ก็เรื่อง...เอ เรื่องอะไรวะ”
หล้านึกไม่ออก บุญสืบเซ็งๆ
“โหย นี่เดินออกมาไม่ถึงสองนาที ลืมแล้ว เมื่อเช้ากินข้าวยังเนี่ย”
“กินแล้ว กินแกงส้มไง เอ๊ะ...หรือนั่นมันเช้าเมื่อวานวะ”
คำกับบุญสืบมองหล้าอย่างเซ็งๆ
“นังคุณนาย เอาสมุดธนาคาร เอาโฉนดที่ดินเอาสมุดบัญชีมาให้คุณมนดู มันจะตั้งคุณมนเป็นผู้จัดการตลาด มันนั่งเล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ละเอียดยิบว่ามีเงินธนาคารไหนเท่าไหร่ ฉันว่ามันจะให้คุณมนเป็นผัวดูแลชีวิตมันมากกว่า” บุญสืบพูดเป็นชุดอย่างไม่ชอบใจนัก
หล้าตกใจรีบเตือน
“ไฮ้...ไอ้สืบ เดี๋ยวคนอื่นได้ยิน”
“ก็มันจริงนี่ ยิ่งเห็นยิ่งหมั่นไส้ มันหวังพึ่งคุณมนทุกอย่างอ้างว่าไม่รู้หนังสืออ้างว่าตัวคนเดียว...โฮ้ย หน้าหนาจริง ไม่ใช่เมีย ไม่ใช่ญาติ ความเกรงใจน่ะมีไหม”
คำคิดๆ
“อืม...มันมาแผนสูง”
บุญสืบงงๆ
“แผนสูงยังไงแม่”
หล้าถอนใจ
“ผู้ชายน่ะร้อยทั้งร้อย ชอบเป็นผู้นำโว้ย คุณนายเดือนแรม เล่นบท ฝากผีฝากไข้แบบนี้ คุณศามนก็ตายสิ”
“หา...จริงหรือแม่ ผู้ชายเป็นอย่างนั้นจริงหรือ ทำไมฉันไม่รู้เลยอ่ะ”
“จะรู้ได้ยังไง ที่เอ็งมีอยู่” คำมองเป้าบุญสืบ “มันของปลอมทั้งดุ้น”
“อุ๊ยบ้า อะไรก็ไม่รู้ มาว่าลูซี่…”
บุญสืบออกท่าสะบัดสะบิ้ง ยกมือปิดเป้า หล้าหมั่นไส้บุญสืบ
“เดี๋ยวเถอะ เดี๋ยว ทำอะไรเกรงใจกันมั่ง เดี๋ยวดีด ลูซี่ ไป รูโน่นเลย เดี๋ยวเถอะ”
รัมภานั่งอ่านหนังสือ ลูกๆนั่งทำการบ้านอยู่ เสียงลูกกรงดังเกร๊งๆขึ้นมาอีกจากในบ้าน เป็นเสียงแบบเดิม รัมภาหันไปถามลูก
“รัสตี้ ได้ยินเสียงอะไรไหม”
รัสตี้งงๆ
“เสียงอะไรครับ”
“เปล่าจ้ะ ทำการบ้านไปเถอะ”
รัมภาอ่านหนังสือต่อ เสียงล่ามโซ่ไปมาดังขึ้นอีก รัมภาทนไม่ไหวเดินเข้าไปในบ้าน...รัมภาอยากดูให้ชัดๆ แพง ปรากฏขึ้นด้านหลัง รัมภาหันไปแพงเดินลากโซ่หายไปอีกด้านหนึ่ง
“บ้าชะมัด ฉันจะไม่กลัวแกอีกต่อไปแล้ว”
รัมภาเดินตามทันทีตามหาแต่ไม่พบใคร สักพักหางตาเหมือนเห็นอะไรบางอย่างอยู่อีกมุมหนึ่ง พอรัมภาหันไปมอง แพงก็เดินเข้าหลืบไปอีก รัมภาหยิบไม้เบสบอลออกมาจากตู้แถวนั้น
“วันนี้ฉันต้องรู้ให้ได้ ว่าแกเป็นผีหรือเป็นคน ฉันจะไม่ยอมเป็นบ้าเพราะแกอีก”
เงาของแพงผ่านวับไปวับมาอีก วันนี้รัมภาเป็นฝ่ายเดินตาม เธอเดินไปดู มองซ้ายขวาไม่มีใคร
เงาเดินผ่านไปที่เสามุมหนึ่ง รัมภาเดินไปดักที่เสา มั่นใจว่า แพงอยู่หลังเสานี้
“ฉันไม่กลัวแก ฉันไม่กลัวแก”
มือรัมภาจับไม้เบสบอลยกขึ้นเตรียมพร้อม กลายเป็นศามนที่เดินออกมาจากเสา รัมภาเอาไม้เบสบอลตีหัวศามนเปรี้ยง
“โอ๊ย”
รัมภาตกใจ
“คุณมน...ขอโทษ เป็นอะไรมากไหมคะ”
“คุณทำอะไรของคุณ ตีผมทำไม”
แพงอยู่มุมหนึ่งหัวเราะร่าที่หลอกได้
“ฮะฮะฮ่า ฮะฮะฮ่า”
ศามนมาทำแผลที่โรงพยาบาล ที่หน้าผาก มีผ้าปิดแผลปิดไว้ หมอเดินมาบอกรัมภาที่รออยู่
“เรียบร้อยครับ โชคดี ไม่ถึงกับแตก แค่หัวโนนิดหน่อย สองสามวันก็ยุบ”
“ขอบคุณค่ะ”
หมอและพยาบาลเดินออกไป รัมภาหันมาหาศามนหน้าสลด
“ฉันขอโทษจริงๆ”
ศามนโมโห เพราะต้องมาเจ็บตัวเพราะเรื่องไม่เป็นเรื่อง
“ถึงเวลาต้องบอกผมเสียที ถือไม้เบสบอลในบ้านทำไมกัน”
“ฉันเอ้อ...”
“คุณเห็นขโมยหรือ”
“คิดว่าไม่ใช่ค่ะ”
“แล้วเห็นอะไร หมู่นี้ เหมือนคุณระแวงตลอดเวลา ไม่ว่าจะนั่งที่ไหน จะทำอะไรคุณมองซ้ายมองขวาตลอด คุณเป็นอะไรของคุณ”
“ภาเห็นผู้หญิง”
“อะไรนะ”
“ผู้หญิงในเรือนเล็ก ไม่ใช่คุณย่า ไม่ใช่คน”
ศามนตกใจมาก มองรัมภาอย่างผิดหวัง
“คุณรู้ตัวไหม คุณพูดอะไรออกมา”
“ภาเห็น ได้ยินเสียง โดยเฉพาะในห้องนอนเรา แต่ถ้าภามานอนห้องลูกทุกอย่างก็จะเงียบไป”
ศามนโกรธจัดเดินออกไปทันที
“ผมจะไม่พูดเรื่องนี้กับคุณอีก”
ศามนเดินมานั่งรอยา รัมภาเดินตามมา ศามนดูหัวเสียอย่างเห็นได้ชัด
“คุณมน ฉันพูดเรื่องจริงนะคะ”
“รัสตี้เป็นโรคเพ้อเจ้อ สร้างจินตนาการส่วนตัว เราเสียเงินเสียเวลารักษารัสตี้ไปตั้งเท่าไหร่ นี่คุณจะกลายมาเป็นเสียเองอย่างนั้นหรือ”
“ภาไม่ใช่รัสตี้ ภาไม่ได้ป่วย”
“ที่ผมย้ายมาอยู่เรือนเล็ก เพราะต้องการให้ทุกคนพ้นจากเรื่องผีบ้าๆนั่น ทุกอย่างกำลังจะดีขึ้น แต่นี่คุณกลับมาเป็นเสียเอง แถมยังจะให้เราย้ายกลับไปอยู่กับโลงศพอีก ภา...ขอร้องล่ะ อย่าทำแบบนี้เลย”
รัมภามองหน้าศามน โกรธขึ้นมาเหมือนกัน
“คุณต่างหากที่ผิดปกติ”
“อะไรนะ”
“แต่ไหนแต่ไร คุณไม่ใช่คนซีเรียสเรื่องที่อยู่ที่กิน แต่กับเรือนหลังเล็ก ทำไมต้องรัก ต้องหวงมันนักคุณบอกเองไม่ใช่หรือ จะเรือนใหญ่หรือเรือนเล็ก มันก็บ้านเราเหมือนกัน”
“ไม่เหมือน!เด็กแฝดกำลังจะดีขึ้น ตั้งแต่มาอยู่ที่เรือนเล็ก เขาไม่เป็นอะไรอีกเลย ผมจะไม่ย้ายกลับไปเรือนใหญ่เด็ดขาด”
รัมภาเซ็งที่ศามนดูแข็งขืน เปลี่ยนไปจริงๆ
ค่ำนั้น...ศามนนั่งกลุ้มใจคิดเรื่องรัมภาเสียงมือถือดังขึ้น
“เอ้าคุณเดือนหรือ อ๋อ...คุยได้ครับ ไม่เป็นไร ทำไมนะครับ เรื่องสัญญาเช่าของตลาด อ๋อ...ผมทำให้แล้ว ดูเอกสารแฟ้มสีเขียวน่ะเห็นไหม”
ศามนคุยโทรศัพท์เพลินไป เริ่มสนิทสนมกับเดือนแรมมากขึ้นทีละน้อย
ทางด้านรัมภานอนอยู่กับลูกๆ ลืมตาโพลงอย่างกลุ้มๆ
ด้านนอกเรือนใหญ่....เสียงลมกรูเกรียวเข้ามา พร้อมควันดำผลักให้ประตูเปิดออกปัง ควันขาวสร้างตัวขึ้นเป็นวิญญาณคุณหญิงอบเชย ยืนด่า วิญญาณแพงที่วันนี้มาเยี่ยมถึงถิ่น
“อีแพง จะมาหาเรื่องข้ารึ”
“ใจเย็นๆสิคะ คุณหญิงเจ้าขา ทำเสียงดุไปได้ อีแพงกลัวตายล่ะ”
“โดนไปคราวที่แล้วไม่หลาบจำใช่ไหม”
คุณหญิงอบเชยเพ่งมอง แพงเกิดไฟลุกบางๆ พรึ่บเดียวแล้วจางหาย แพงไม่เจ็บปวด แสดงให้เห็นว่า คุณหญิงอบเชยทำอะไรแพงไม่ได้
“ฮะฮะฮ่า คราวนี้ไม่เหมือนคราวที่แล้ว เอ็งทำอะไรข้าไม่ได้หรอกอีแก่”
แพงยืนมองท้าทายไม่กลัวอบเชย
“ทุกอย่างในโลก มีเกิดและมีดับ บุญที่ลูกแกส่งให้แกก็เหมือนกัน ส่งมานิดๆหน่อยๆ ส่งแล้วก็หยุดส่ง ถึงเวลา อำนาจของมันย่อมเจือจางลง”
“เอ็งต้องการอะไร”
“เอ็งบังคับให้ลูกหลาน ทิ้งศพไว้กลางบ้าน เพราะเอ็งยินดีเป็นสัมภเวสี ปกป้องลูกหลานอยู่ที่นี่”
“เอ็งจองเวรจองกรรมลูกหลานข้า ไม่ยอมไปผุดไปเกิด ข้าก็จะตามจองเวรจองกรรมเอ็งเหมือนกัน”
“สมัยก่อน อีแพงเกลียดโกรธท่าน อีแพงทำอะไรท่านไม่ได้ วันหนึ่งอีแพงก็เลยแย่งผัวลูกท่านมาเป็นผัวตัวเอง”
“ข้าเฆี่ยนตีเอ็ง ขังเอ็งไว้ที่เรือนหลังเล็ก ตาต่อตา ฟันต่อฟัน ยังไม่รู้จักหลาบจำ”
“ธรรมชาติของแม่ ทำลูกย่อมเจ็บกว่าทำตัวเอง แม่ที่รักลูกยิ่งกว่าอะไรอย่างท่านรู้ความจริงข้อนี้ดีใช่หรือไม่”
“อีแพง เอ็งจะทำอะไรแม่ชื่น เอ็งจะทำอะไรรัมภาไม่ได้นะ”
“ฮะฮะฮ่า ฮะฮะฮ่า”
แพงหายตัววับไป
รัมภาหลับไปแล้ว แพงปรากฏตัวขึ้นในห้องเข้าไปก้มหน้ามองเด็กแฝด ดวงตาอาฆาต
“ทำนังชื่นกลิ่นน่ะหรือ ทุกวันนี้ ทะเลาะกับผัวจนนอนแยกห้องกัน มันก็สาสมดีแล้ว แต่มันยังไม่พอ เด็กแฝดสองคนนี้ต่างหาก ที่ข้าสนใจ”
คุณหญิงอบเชยร้องเสียงดัง จนแทบจะร้องไห้
“ไม่นะ ไม่ !”
รัมภาตายังหลับ แต่นอนกระสับกระส่าย พึมพำ
“คุณยายทวด เสียงคุณยายทวด”
แพงเข้ามากระซิบข้างหูรัมภา
“ลูกแฝดของเอ็ง ได้ยินไหมรัมภา ลูกแฝดของเอ็ง”
รัมภาละเมอเงี่ยหูฟัง
“เสียงใคร เสียงใครกัน”
“ระวังลูกแฝดของเอ็งไว้ให้ดี ข้าจะมาเอาชีวิตลูกแฝดของเอ็ง ฮะฮะฮ่า ฮะฮะฮ่า”
รัมภาผวาตื่นขึ้น นั่ง ทันที ส่งเสียงดังลั่นห้อง
“ไม่ อย่ายุ่งกับลูกฉัน ไม่”
รัสตี้กับไลล่างัวเงียตื่นขึ้น รัมภาเข้าไปกางกั้น โอบกอดลูก มองไปรอบๆห้อง อย่างหวาดระแวง
“ลูกแม่ ลูกแม่”
“มีอะไรครับหม่ามี้” รัสตี้ถามอย่างงงๆ
“หม่ามี้ตะโกนอะไรคะ หนวกหูจัง ไลล่าง่วง”
ไลล่าหาวรัมภา ดวงตาตื่นตระหนกมองไปรอบๆ ราวกับแม่เสือระวังเหยื่อ
อ่านต่อ หน้า 3
บ่วง ตอนที่ 5 (ต่อ)
อนุกูลเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ในห้องน้ำ พัชนีกำลังเอาข้าวของพวกของฝากมาวางรวมกันไว้ เพราะวันนี้เป็นวันที่อนุกูลกำลังจะกลับบ้าน มือถือพัชนีดังขึ้น...
วรรณศิกายืนหน้ายุ่งอยู่ที่ข้างรถตัวเองในปั๊มน้ำมัน มือหนึ่งถือกาแฟ กำลังโทรหาพัชนี
“พัชหรือ...รถพี่เสียน่ะ แวะซื้อของที่ปั๊ม กลับมาสตาร์ทไม่ติด พี่กำลังรอช่างอยู่ พัชพาคุณนุกลับคอนโดไปก่อนนะ เดี๋ยวพี่ตามไป”
“ให้พัชไปคนเดียวหรือคะ”
“ใช่สิ...พาคุณนุไปให้ถึงห้องนะ มือแกยังใช้ไม่ค่อยถนัดที่คอนโดแกอยู่คนเดียวด้วย เผื่อจะได้ช่วยดูห้อง ดูอะไรทิ้งให้แกหน่อย”
พัชหน้าตาตื่น คิดไปไกล
“อยู่คนเดียว พาไปถึงห้อง ต้องถึงห้องหรือคะ”
อนุกูลหายดีแล้ว ที่มือขวายังมีผ้าพันแผล อนุกูลใส่เสื้อติดกระดุมอยู่ได้ยินเสียงแล้ว ส่ายหน้า เดาใจพัชนีออกปากบ่นไป
“ฮึ...ยายแม่ชีเอ๊ย คิดว่าฉันจะทำอะไรหล่อนหรือไง”
พัชนีกับวรรณศิกายังคุยโทรศัพท์กันอยู่
“ใช่...แล้วรอพี่ที่ห้องแกก่อนนะ”
“รอที่ห้องหรือคะ”
“แค่นี้ก่อนนะ ช่างโทรกลับมาแล้ว”
พัชนีวางสายแอบมองไปทางห้องน้ำ เกิดความกังวลไปว่า ต้องไปอยู่สองต่อสองกับเสือผู้หญิง แล้วตัวเองจะเป็นอย่างไร อนุกูลเดินออกมา พัชนีหวาดหวั่น
“เสร็จแล้ว ไปกันเถอะ”
“พี่วรรณรถเสียค่ะ”
“แล้วไง แท็กซี่ก็มี...”
อนุกูลหิ้วกระเป๋าเดินทางส่วนตัวไปสักพัก ได้ความคิดนึกสนุกขึ้นมาตามนิสัยชอบแกล้ง ชอบอำ เขาเดินกลับไปหา พัชนีที่เดินตามมา ทำหน้านิ่งเย็นเหมือนพวกหื่น โรคจิตพูดเน้นช้าเสียงเหมือนกระซิบ
“คุณไม่เคยไปห้องเชือด เอ๊ย...คอนโดผมใช่ไหม ดีออก จะได้รู้จักบ้านผมไง”
อนุกูลแกล้งมองพัชหัวจรดเท้า และแล้วพัชนีคนซื่อก็เชื่อทันที ทำตาโต ชะงักค้าง นิ่งไปอย่างนั้น
“หึๆ”
อนุกูลหัวเราะเย็น ก่อนจะหันกลับมาแอบขำว่าพัชนีนี่หลอกง่ายจริงๆด้วย พัชนีสีหน้าเหมือนกำลังจะเดินไปหาความตายก็ไม่ปาน หิ้วข้าวของอนุกูลเดินตามไป
รถแท็กซี่ขับมาจอดหน้าคอนโด ยามเดินมามาหา
“คุณนุ สวัสดีครับ ผมช่วยครับ”
ยามเดินมายกของพัชนีเดินไปรอ อนุกูลเดินไปกระซิบยามแล้วยัดเงินใส่กระเป๋าให้ ยามมองหน้าพัชนีหน้านิ่ง ดูร้ายๆ พัชนีนิ่วหน้าสงสัยว่าเขาคุยอะไรกัน อนุกูลชี้มาที่เธอระหว่างกระซิบ ราวกับจะสั่งฆ่าเธอก็ไม่ปาน พัชนีรีบก้มหน้าหลบตากลัวๆ อนุกูลเดินมากดประตูเปิดให้ พัชนีกลั้นใจถาม
“คุณคุยอะไรกับยามคะ”
“ผมไม่ชอบให้ใครมารบกวน เลยบอกเขาว่าผมไม่รับแขก”
“อ้าว...เดี๋ยวคุณวรรณตามมานะคะ”
อนุกูลยักไหล่คล้ายจะตอบว่าไม่แคร์ ท่าทางเหมือนเจ้าพ่อ พัชรีบเดินตามไปอย่างหวาดหวั่น
ยามเดินเข้ามาในห้อง วางของให้ แล้วเดินออกไป อนุกูลล็อคกลอน วุ่นวาย พัชนีพยายามมอง อนุกูลแกล้งยืนบัง ทำให้ดูลึกลับเข้าไว้
“ผมชอบคอนโดนี้ที่ระบบความปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์ คนในห้ามออกคนนอกห้ามเข้า ใครถูกฆ่าข่มขืนหมกห้อง อย่าว่าแต่มาช่วย กว่าจะรู้ผมว่าศพขึ้นอืดไปแล้ว”
ระหว่างพูด อนุกูลเดินมาใกล้ ยิ่งใกล้ พัชยิ่งถอย ในที่สุดก็ชิดผนังห้อง อนุกูลก็ยังเดินมาจนหน้าเกือบชนหน้า พัชนีฉวยจังหวะนั้น เผ่นแผล็วออกไป ชิ่งไปทางข้างๆ
“เอ้อ...ขอเข้าห้องน้ำหน่อยนะคะ ทางนี้ใช่ไหม”
พัชนีแทบวิ่งไปห้องน้ำ อนุกูลแอบขำ
“โฮ้ย...กลัวจนเหงื่อแตก คนอะไรวะ”
พัชนีเดินเข้ามาในห้องน้ำ รีบล็อคกลอนให้แน่นหนาแล้วเอามือถือมากดออก รอสาย
“พี่วรรณ ทำไมสายไม่ว่างนะ”
เสียงเคาะประตูดังขึ้นแบบช้าๆ น่ากลัว คล้ายคนโรคจิต ก๊อก ก๊อก ก๊อก พัชนีสะดุ้งตะโกนตอบ
“เอ้อ...มีอะไรคะคุณนุ”
ไม่มีเสียงตอบ เสียงก๊อก ก๊อก ก๊อก ดังขึ้นช้าๆอีก ยิ่งเพิ่มความน่ากลัว
“คุณนุ...คุณนุเป็นคนเคาะหรือคะ”
อนุกูลที่อยู่หน้าห้องน้ำขำสนุกใหญ่ แกล้งจับลูกบิด บิดไปบิดมา พัชนีเห็นลูกบิดก็ผวาเฮือก
ถอยไปชิดผนังครุ่นคิดในใจ
‘จะทำอะไรของเขา...หรือว่าจะเข้ามา’
อนุกูลเดินห่างไป หันหลังให้ประตู พยายามกลั้นขำแบบไม่มีเสียง มันสุดจะทนแล้ว สนุกมากที่ได้แกล้ง พัชนีนิ่งคิดในใจ
‘หายไปแล้วหรือว่า...กุญแจ เขาไปเอากุญแจสำรองมาเปิดห้องน้ำ นึกแล้วไม่มีผิด หน้าตาดีๆ เป็นโรคจิตมีถมไป อี๊...พวกหมกมุ่นเรื่องพรรค์นี้ ฮือ...วันนี้ ตายเป็นตาย’
พัชนีเดินไปหาของในห้องน้ำ เธอหยิบหนังสือมาปึกหนึ่ง เปิดประตูออกไปเห็นหลังอนุกูล กำลังยืนขำอยู่ พัชนีซ่อนหนังสือไว้ข้างหลัง เดินมาหาเขาทำใจดีสู้เสือ
“เอ้อ...ไม่มีอะไรแล้ว พัชจะกลับบ้านเลยนะคะ”
พัชนีรีบเดินจะกลับ อนุกูลดุต่อ หันมาจับมือไว้
“จะกลับได้ยังไง งานยังไม่เสร็จ...ฮือ แฮ่”
อนุกูลโน้มหน้าเข้ามาคล้ายจะจูบแล้วส่งเสียงในลำคอฮื่อแฮ่ พัชใช้หนังสือฟาดหัวเปรี้ยงๆทันที
“อ๊าย...ไอ้บ้า ไอ้โรคจิต นี่แน่ะนี่แน่ะ”
อนุกูลปัดป้อง หัวเราะ
“เฮ้ยหยุดๆ ผมล้อเล่น แค่ล้อเล่น”
“ไม่เชื่อ ไม่เชื่อ ว้ายๆ”
ทั้งสองสะดุดล้มลง พัชนีที่ไล่ตีอนุกูลกลายเป็นนอนทับเขาที่พื้น แถมปากของเธอยังไปจุ๊บแก้มเขาอีก
“อ๊า...นั่นแน่ะ คุณเอาปากมาชนแก้มผมเองนะ ผมไม่ได้ทำอะไรคุณสักหน่อย”
“อ๊ายไม่จริงๆ ไม่จริง”
พัชนีรีบเช็ดปาก แต่ยังนอนทับเขาอยู่ วรรณศิกาเดินนำยามเข้ามาเห็นทั้งสอง นอนทับกันที่พื้นก็ตกใจ
“มาแล้วจ้า เอ้า...เฮ้ยทำอะไรกัน”
อนุกูลแกล้งทำร้องไห้
“ฮือ คุณพัชเขาจะล่วงละเมิดทางเพศผม เขาเห็นผมกำลังป่วย ดูสิ ใช้อาวุธร้ายแรง บังคับขืนใจผม หนังสือตั้งปึกเบ้อเร่อ ผมตายไปจะเป็นยังไง”
ยามหน้าเครียด นิ่ง เอาเรื่อง
“แจ้งตำรวจไหมครับ”
วรรณศิกางง มองหน้ายาม
“เอ้า ไอ้นี่ก็ซีเรียสเชียว”
พัชนีรีบลุกขึ้น ถูกแกล้งจนงง ตามไม่ทัน
“ไม่ใช่ คุณนุเขาๆ...”
“อะไร ผมทำอะไร คิดให้ดี มีแต่คุณนั่นแหละ เขาเอาจมูกมาหอมแก้มผมด้วยล่ะคุณวรรณ ผมเสียผีไปเนี่ย ใครจะรับผิดชอบ”
“คุณนุ!”
พัชนีโกรธจนจะร้องไห้อยู่แล้ว อนุกูลโวยวายต่อ
“นี่แม่คุณ ผมน่ะไม่ใช่คนไข้โรคจิตนะ ผมทั้งหล่อ ทั้งรวย งานการก็มี ผู้หญิงที่ขึ้นมาที่ห้องเนี้ย เขาเต็มใจทั้งนั้น ผมไม่ได้อดอยาก ขนาดต้องมาหลอกขืนใจแม่ชีอย่างคุณหรอก รู้ไว้ซะด้วย”
“ก็คุณมาพูดเรื่องห้องเชือด แล้วที่ไปบอกยาม ที่ล็อกห้องนั่นอีก”
“ผมพูดเล่น ที่กระซิบยามนั่นก็จะบอกว่า เดี๋ยวคุณวรรณมา ให้เขาพามาที่ห้องเลย เพราะเขามากับคุณ” อนุกูลหันไปถามยาม “ผมพูดแค่นี้ใช่ไหม”
“ครับ...ผมก็พาขึ้นมาแล้วนี่ไงครับ”
“เห็นไหม ที่เหลือคุณจินตนาการเองทั้งนั้น แหม คิดขนาดนี้ แสดงว่ามั่นมาก คิดว่าตัวเองสวยเซ็กซ์มากเลยสิท่า”
พัชนีโมโหสุดๆเขวี้ยงของใส่เขา
“อี๊...คนบ้าๆๆ ฉันไม่อยู่ช่วยคุณแล้ว ฮึ่ย”
พัชนีเดินออกจากห้อง ทั้งโกรธ ทั้งอาย อนุกูลหัวเราะจนลงไปนั่ง
“เอ๊า...หนูพัชไปไหน คุณนุนี่ ขี้อำไปเรื่อย เดี๋ยวก็ลาออกกันพอดี เด็กขยันๆ หายากนะยะ ฮึ่ย...หนูพัช เดี๋ยวๆ”
วรรณศิการีบตามไป อนุกูลขำสุดๆ
“โอ๊ย ขำ ขำจนปวดท้อง”
วันใหม่…รัมภาในชุดเสื้อคลุมอาบน้ำเพิ่งเสร็จเดินมาจะแปรงฟัน ที่กระจกเกิดฝ้าเพราะการอาบน้ำจนมัว รัมภาเงยหน้าขึ้นมองกระจกนั้น ปรากฏว่ามีเหมือนนิ้วคนมาเขียนบนรอยฝ้านั้นรัมภามองตามตัวอักษร ที่เริ่มก่อร่างจนกลายเป็นคำว่า
“ลูก...ตาย“
รัมภาตกใจมาก ปล่อยแก้วตกแตกเพล้งแล้ววิ่งออกไป...รัมภาเข้าไปกอดลูกทั้งสอง มองไปรอบๆอย่างหวาดระแวง
“รัสตี้ ไลล่า ตื่นลูกตื่น”
รัมภาพยายามเขย่าตัวเด็กแฝด เด็กทั้งสองงัวเงียขึ้นนั่ง เสียงก๊อกๆๆของรองเท้าส้นสูงเดินมาตามทาง ทำให้รัมภาสะดุ้ง รีบกอดลูกทั้งสองกระชับแน่นขึ้น ประตูถูกเปิดออก เดือนแรมโผล่หน้าเข้ามา
“ตื่นหรือยังคะ เดือนเอาข้าวเช้ามาฝากค่ะ”
รัมภาถอนใจโล่งที่แท้ก็เดือนแรมนั่นเอง รัมภาเอะใจ เดินกลับไปที่ห้องน้ำ มองไปที่กระจก ไม่มีตัวหนังสือนั้นแล้ว ทั้งที่ยังมีฝ้าอยู่ หรือว่าตนเองจะตาฝาดไป
ทั้งหมดนั่งทานอาหารเช้าด้วยกัน เด็กทั้งสองใส่ชุดนักเรียนเตรียมไปเรียน รัมภานั่งคิดมองโจ๊ก ยังดูกลุ้มๆ เรื่องที่ถูกผีแพงขู่ ขณะเดียวกันนั้นเธอก็มีความรู้สึกเหมือนมีแอบมองเด็กแฝดจากในห้อง แล้วเสียงหัวเราะ หึๆของแพงก็ดังแว่วเข้ามา รัมภาได้ยินเสียงนั้น หันไปมอง ไม่เห็นใคร เดือนแรมมองรัมภาอย่างสงสัย
“เป็นอะไรไปคะคุณพี่รัมภา ไม่ชอบโจ๊กหรือคะ”
“เปล่าค่ะ”
เดือนแรมหันไปฉีกปาท่องโก๋ ใส่ชามโจ๊กให้ไลล่า
“คนไทยบางคน เขากินโจ๊กใส่ปาท่องโก๋นะ นี่ น้าจะทำให้ดู ลองกินดูนะ”
รัมภาเห็นที่ชามไลล่า ตอนแรกเป็นโจ๊ก สักพักเป็นหนอน แมลงสาบเหมือนชามใส่ของเน่า
รัมภาลุกขึ้น กรี๊ด
“ไม่ !”
รัมภาแย่งชามโจ๊กซัดกับพื้นแตกเพล้ง ทุกคนทั้งห้องตกใจหมด
“คุณภา!”
เดือนแรมนึกได้ รีบเล่นละครต่อจับมือตนเองร้องโอดโอย
“โอ๊ย โจ๊กโดนมือ ร้อนค่ะ ร้อนจังเลย”
เดือนแรมเดินมาหา ศามนจับมือเธอดูแล้วรีบบอกบุญสืบ
“บุญสืบไปเอายามาให้คุณเดือนที เป็นอะไรไปภา มีอะไรหรือ”
รัมภาเพ่งมอง มันก็เป็นโจ๊กธรรมดานี่นา
“เมื่อกี๊ฉันเห็น...เห็น...” รัมภางงๆ “เอ้อ...ขอโทษค่ะคุณเดือน ไลล่า เป็นอะไรไหมลูก”
ไลล่าส่ายหน้า รัมภาเครียด ศามนมองภรรยาไม่สบายใจขึ้นทุกที บุญสืบเอายามาให้เดือนแรม ค้อนๆ ที่เดือนแรมชอบขโมยซีน
รัมภาเดินมาเปิดตู้ยา มือสั่น หยิบยามากิน ตกใจไม่หาย
“ไม่...เราคิดมากไปเอง เราคิดมากเกินไป”
รัมภากินยาเสร็จ เดินออกไป ศามนโผล่มาจากมุมหนึ่ง เดินไปดูยาเพิ่งรู้ว่า รัมภาแอบมากินยานี้บ่อยๆ ศามนครุ่นคิด
รัมภาเดินกลับมา เอนที่โซฟา มองซ้ายมองขวาแล้วพยายามนอนหลับเพื่อลดอาการเครียดของตนเอง ศามนเดินตามมาแอบมองอีก เริ่มกลุ้ม
คืนนั้น ศามนนั่งทำงานในห้องทำงานตนเองจนค่ำ เดือนแรมเดินเข้ามาหา
“คุณเดือน...”
“ทำงานจนดึกเลยนะคะ คนอื่นเขากลับหมดแล้ว”
“ช่วงนี้งานเยอะน่ะครับ”
“ผ่านมาเลยแวะมาหาน่ะค่ะ วันนี้ช่างที่คุณมนแนะนำให้ มาแล้วนะคะแต่เดือนตัดสินใจเองไม่ได้ เขาถามเรื่องเงิน อธิบายเรื่องการก่อสร้าง เดือนไม่รู้สักอย่าง กลุ้มใจจัง คุณพี่ดูให้เดือนหน่อยได้ไหมคะ”
เดือนแรมยื่นเอกสารให้ศามนรับไป
“ครับ...เดี๋ยวผมจะช่วยดูให้”
“เกิดเป็นผู้หญิงตัวคนเดียวนี่มันลำบากจัง ที่จริงเดือนก็ไม่อยากรบกวนหรอก...รู้ว่าคุณพี่เองก็มีปัญหาอยู่”
“ปัญหา”
“เรื่องคุณพี่รัมภาน่ะค่ะ ดูแกแปลกไปจริงๆนะคะหรือว่า เราจะพาแกไปหาหมอดีคะ”
ศามนไม่อยากพูดถึง
“เอ้อ...ก็คุยกันอยู่ครับ”
“คุณพี่รัมภาคงเครียดมาก หนีไปนอนห้องลูกทุกคืนแบบนั้น แสดงว่าคุณ
มนกับคุณภา...ก็ไม่ได้...”
“อ่ะ หา”
ศามนตกใจทำไมเดือนแรมถามตรงๆ
“อุ๊ย...เดือนพูดมากไปหรือเปล่าคะ พอดีเด็กแฝดเขาคุยกันน่ะค่ะ ว่าเขานอนกับแม่ทุกคืน เดือนก็เลยรู้ เดือนเห็นว่าเราสนิทกันเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกันน่ะค่ะ...เดือนเป็นห่วงคุณมนจัง”
“ห่วงเรื่องอะไรครับ”
เดือนแรมเดินมาหา มาจับที่ไหล่ เริ่มเล้าโลม
“คุณมนยังหนุ่มแน่น มีเลือดมีเนื้อ คุณพี่รัมภาทำแบบนั้น ก็เหมือนไม่สงสาร ไม่เห็นใจคุณมนบ้างเลย”
มือเดือนแรมลูบไล้ไปมา ศามนกลืนน้ำลาย พยายามบังคับสายตาและความคิดในอดีตที่เห็นเดือนแรมในชุดว่ายน้ำ พูดกับเขา
‘คุณพี่ขา คุณพี่มีบุญคุณกับเดือน เดือนรักเคารพคุณพี่ศามนเหมือนพี่ชายแท้ๆ ถ้าคุณมนอยากให้เดือนช่วยอะไร เดือนยินดีนะคะ’
ภาพเขาที่มองเรือนร่างท่าทางเดือนแรมอย่างหวั่นไหว ภาพที่เขาเข้าไปลูบไล้เธอในห้องน้ำ เพราะนึกว่าเป็นรัมภา มโนสำนึกของศามนชัดเจน ในที่สุดเขาก็ลุกพรวดจนเดือนแรมแทบตกเก้าอี้
“เอ้อ ไม่ต้องครับ ที่ทำไปทั้งหมด ผมไม่ได้ต้องการอะไรตอบแทน คุณเดือน อย่าห่วงเรื่องนั้นเลยนะครับ เอ้อ...นี่ก็ดึกแล้ว งานผมเสร็จพอดี กลับกันดีกว่านะครับ”
ศามนหยิบข้าวของเดินนำออกไปทันที เดือนแรมงง
ศามนเดินออกมาถอนใจ รำพึงในใจ
‘อย่าหาเรื่องใส่ตัว อย่าหาเรื่องใส่ตัว’
เดือนแรมยังอยู่ในห้อง ยืนแค้น ครุ่นคิด คิดเฉลียวใจลึกๆ
‘ทำไมวันนี้เย็นชานักนะ หรือว่าเพราะไม่ได้อยู่ที่บ้าน’
รัสตี้กับไลล่า นั่งทำการบ้านอยู่ที่โต๊ะนั่งเล่นมีโคมระย้าอยู่เหนือหัว รัมภาเดินถือแก้วนมมาให้ลูกๆ เสียงหึๆชองแพงแอบหัวเราะเยาะน่ากลัวดังแว่วมา สายตารัมภาเห็นโคมไฟมันสั่นไปมาเหนือหัวลูกทั้งสอง ดูอันตราย รัมภายืนนิ่งหลับตาครุ่นคิดในใจ
‘ไม่...ไม่จริง เราคิดมากเกินไป...เดี๋ยวก็หาย เดี๋ยวก็หาย’
รัมภาลืมตา ปรากฏว่าโคมไฟนิ่งจริงด้วยทุกอย่างยังเหมือนเดิม เธอวางแก้วนม นั่งลงสักพัก ก็ได้ยินเสียง เธอเงยหน้าขึ้นมองเห็นเพดานเกิดรอยปริพร้อมฝุ่นกราวร่วง โคมไฟทำท่าจะหล่นลงมา รัมภากรี๊ดลั่น ลุกขึ้นคว้าเด็กทั้งสองออกวิ่งไปหลบ
“กรี๊ด ไม่...ไม่”
ศามนและเดือนแรมกลับมาเห็นเหตุการณ์พอดี รัมภากอดลูกไว้กับพื้นเอาตัวเองกางกั้น ปากพร่ำพูด
“ระวังลูก ระวัง”
ศามนรีบวิ่งเข้าไปหา
“คุณภา เกิดอะไรขึ้น เป็นอะไรไป”
เด็กทั้งสองตกใจร้องไห้จ้า รัมภาชี้
“โคมไฟ โคมไฟกำลังจะหล่นลงมา”
ศามนมองอย่างแปลกใจ
“โคมไฟไหน ไม่เห็นเป็นอะไรนี่”
รัมภาหันไปมอง ทุกอย่างปกติ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น รัมภาตกใจ อึ้ง ปล่อยเด็กทันที เด็กทั้งสองร้องไห้ ไปกอดศามน เดือนแรมโวยวายเสียงดัง
“ตายจริง คุณพี่เป็นโรคประสาทหลอน” เดือนแรมแกล้งทำเป็นเผลอ รีบปิดปาก “อุ๊ย ขอโทษค่ะ”
ศามนมองรัมภาอย่างตำหนิ
“ไม่เป็นไรนะลูก ไม่ต้องร้องไห้ ไม่มีอะไรทั้งนั้น”
รัมภาเครียดจัดว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่
รัมภาเดินมาสงบสติอารมณ์ เริ่มมีอาการเดินไปเดินมาครุ่นคิด ว่าอะไรกันแน่ ศามนเดินเข้ามาหา
“คุณภา”
“ผี...ผีผู้หญิงคนนั้น เขาจะมาเอาชีวิตลูกเรา เขาจะทำลูกเรา ฉันยอมไม่ได้”
“ผีหรือ...ผีเนี่ยนะ”
ศามนยิ่งมองตำหนิ
“คุณจะว่าฉันยังไงก็ได้ คนเป็นแม่ทุกคน ตัวเองจะเจ็บจะป่วย หรือแม้แต่ต้องตาย เราก็ทนได้ แต่ถ้าเป็นลูก เหมือนใจมันจะขาดเป็นชิ้นๆ ฉันทนไม่ได้ ฉันทนไม่ได้ เข้าใจไหมคุณมน”
รัมภาพูดเสียงดังต่อหน้าศามน มีความเชื่อในสิ่งที่เห็น มากยิ่งขึ้น
ควันขาวก่อร่าง กลายเป็นร่างคุณหญิงอบเชยที่ยืนร้องไห้ จากอาการเจ็บปวดของแม่เหมือนกับรัมภา
“อีแพง อีแพง มึงทำลูกกู มึงทำหลานกู ฮือ ฮือ กูจะตามจองเวร จองกรรมกับมึง กูจะตามเอาเรื่องมึง”
ค่ำคืนนั้น ขณะที่หล้าปิดหน้าต่างประตูเรือนใหญ่ กระถางธูปที่หน้าโลงศพคุณหญิงอบเชยจู่ๆมันแตกเพล้งออกมา ซึ่งเกิดจากอารมณ์อันโกรธเกรี้ยวของคุณหญิงอบเชย
“โอ๊ย จู่ๆก็แตกอีกแล้ว ฮือ !”
หล้าตื่นกลัว มองซ้ายมองขวา
อ่านต่อหน้า 4 เวลา 17.00น.
บ่วง ตอนที่ 5 ต่อ
วันใหม่...ศามนกับอนุกูลนั่งทานอาหารกลางวันกัน คุยกันเรื่องรัมภาไปด้วย
“จิตหลอนเนี่ยนะ”
“ผมเห็นเขากินยานอนหลับ ไม่รู้แอบกินมานานเท่าไหร่แล้ว ยาพวกนี้มีผลข้างเคียง คุณก็รู้”
“ไม่น่าถึงขนาดนั้นนะ ผมว่ายังไม่ใช่” อนุกูลแย้ง
“หรือคุณจะบอกว่าผีมีจริง...คุณเชื่ออย่างนั้นหรือเปล่าล่ะ”
อนุกูลอึ้งตอบไม่ได้
“เอ้อ ก็...”
ศามนมองไปที่วรรณศิกาและพัชนีที่นั่งกินข้าวแยกคนละโต๊ะ เห็นพัชนีมองอนุกูล มึนตึงโกรธ ก็ถามอย่างสงสัย
“สองสามวันนี้ เขาเป็นอะไร ทุกทีก็มานั่งกินด้วยกัน”
อนุกูลสบตาพัชนี ขำๆ
“ช่างเถอะครับ ล้อเล่นแค่นี้ทำเป็นงอน เดี๋ยวก็หาย อย่าไปสนใจเลยครับแล้วเรื่องคุณภา ถ้าเขาไม่ยอมไปหาหมอ คุณจะทำไงครับ”
“ความรักล่ะมั้งครับ”
“ความรัก”
“ตอนรัสตี้เป็น หมอเคยบอกว่าคนพวกนี้ บางทีลึกๆต้องการความรัก ความสนใจ ผมจะหยุดพักร้อน สักสามสี่วัน ชวนเขาไปเที่ยว ให้เวลาเขา สักหน่อย”
ศามนบอกอย่างมุ่งมั่นที่จะให้รัมภากลับมาเหมือนเดิม
ค่ำนั้น ศามนอยากให้รัมภาหายเครียดจึงชวนเธอไปเที่ยวด้วยกันสองคน
“ไปเที่ยวกันสองคนหรือคะ ทำไมไม่เอาลูกไปด้วยล่ะ”
ศามนจับมือรัมภาพยายามแสดงความรัก
“ภา...ลูกเป็นความสุขที่สุดของเราก็จริง แต่คุณเคยสังเกตไหม หน้าที่ของพ่อแม่ บางทีก็เหนื่อย เราแทบไม่มีเวลาของตัวเอง คุณไม่อยากกลับไปเป็นหนุ่มเป็นสาว เที่ยวสนุกโดยไม่มีพันธะหรือ”
“มันก็ได้อยู่หรอก แต่ต้องไม่ใช่ตอนนี้ เอาอย่างนี้ไหมคะ เราเที่ยวในกรุงเทพ ที่จริงกรุงเทพก็เปลี่ยนไปมากจากตอนที่เราเด็ก เรายังไม่ได้ดูให้ทั่วเลย”
“แค่ในกรุงเทพหรือ”
“อย่างน้อย ฉันก็ได้โทรหาครูทุกครั้งที่อยากโทร ได้เห็นเขาทุกวัน ได้รู้
ว่าเขาปลอดภัย...นะคะคุณมน”
ศามนจำยอม
วันใหม่...รัมภา ศามน เดือนแรม รัสตี้ ไลล่านั่งคุยกันระหว่างทานอาหาร โดยมี บุญสืบ หล้าและคำดูแล
“พ่อกับแม่ จะไปเดทกันหรือครับ แล้วมีคิส จุ๊บๆด้วยหรือเปล่าครับ” รัสตี้ถามขำๆ
รัมภายิ้มแย้มดูมีความสุขขึ้น
“แก่แดดจริงเรานี่”
เดือนแรมไม่ค่อยพอใจนัก
“แหม ไปกันสองคน เหงาแย่ น่าจะไปกันเยอะๆ จะได้คึกคัก”
บุญสืบรีบขัดทันที
“เขาไปสานสัมพันธ์รักใหม่ ไม่ใช่ไปทอดผ้าป่า ถึงจะต้องคึกคัก”
เดือนแรมโกรธ ค้อนบุญสืบ
“เออใช่ งานนี้ ขอแบบ” คำมั่นใจพูดเสียงดัง “โรแลนติก”
บุญสืบรีบแก้ให้
“โรแมนติก !”
คำอายๆ ทุกคนหัวเราะ
“เออนั่นล่ะ กอขอคอ ไม่เกี่ยว”
หล้าทำท่างงๆ
“เอ๊ะ กอขอคอ นี่มันหน้าตาเป็นยังไง...สงสัย...สงสัย”
“เอ๊า กอขอคอ หน้าตามันก็แข็งๆ ด้านๆ เป็นซีเมนต์เสริมเหล็กไง้”
เดือนแรมรู้ว่าบุญสืบแดกดันก็ลุกขึ้นพรวด อารมณ์เสีย
“โฮ้ย เดือนกลับก่อนนะคะ วันนี้ต้องไปเก็บค่าเช่าที่ตลาด”
เดือนแรมเดินงอนกลับไป หล้า คำ บุญสืบ หัวเราะสะใจกันใหญ่
“บ้าจริง เมียบ้าขนาดนั้น จะไปยุ่งกับมันทำไม โง่ โง่ โง่ โฮ้ย”
เดือนแรมเดินกระแทกเท้าออกไป
ศามนและรัมภา ไหว้พระ เดินเที่ยว ทำกิจกรรมบริเวณเกาะรัตนโกสินทร์บรรยากาศ ความรัก สนุก สดชื่น
“สนุกดีเนอะ เที่ยวในกรุงเทพก็สนุกได้จริงๆด้วย เดี๋ยวเราไปหาอะไรอร่อยๆกินกัน ดินเนอร์ใต้แสงเทียนดีไหม”
“ภาอยากกลับไปรับลูกมากินข้าวด้วยกัน”
“ผมให้บุญสืบไปรับที่โรงเรียนแล้ว ทานข้าวกันสองคนเถอะนะ”
“ไม่ได้ค่ะ ภาปล่อยให้รัสตี้ไลล่าอยู่บ้านนั้นตามลำพังไม่ได้ ภาจะโทรบอกครูที่โรงเรียนเดี๋ยวนี้”
รัมภาเดินแยกไปโทรศัพท์ ศามนเซ็งเล็กน้อย ที่รัมภายังกังวลเรื่องลูกไม่เลิก
ค่ำนั้น รัมภา ศามน รัสตี้ ไลล่ากินข้าวกันอยู่ในร้านอาหาร รัมภากับศามนช่วยกันสอนการบ้านลูก ทำไปด้วยกินไปด้วย หลังจากนั้นทั้งสี่คนก็เล่นเกม เดินเที่ยวในห้างอย่างมีความสุข
วันใหม่...แอน น้อย เจี๊ยบ นั่งเล่นอยู่ที่ร้านก๋วยเตี๋ยว คำ หล้า และบุญสืบเดินมานั่งเตรียมสั่ง น้อยเห็นก็หันไปแซว
“โฮ้ยวันนี้ ว่างมากินข้าวกันทั้งพ่อแม่ ลูกสาวเลยนะ”
บุญสืบรีบทำเสียงแหบ เข้ม ดุ
“ใครลูกสาว ไปตามผัวเจ๊มาต่อยกันไหม”
“โหย แมน แมนมาก” แอนกระซิบบุญสืบ “ดำๆล่ำ ขนผักอยู่ท้ายตลาด”
บุญสืบออกแต๋วทันที
“ต๊าย...ไหนยะหล่อน”
“นั่น...หางกระดิก ดิ๊กๆ หูตั้งขึ้นมาเชียว”
เจี๊ยบเหน็บแนมอย่างหมั่นไส้ คำและพวกแอนหัวเราะกันใหญ่ มีแต่หล้าที่ไม่ค่อยชอบ
“ไอ้บุญสืบ น้อยๆหน่อย...วันนี้เรามา เอ้อ...วันนี้เรามาทำไมวะ”
คำมองผัวเซ็งๆ
“เสนอหน้าเล่าทั้งปี เจ้านายเขาไม่อยู่น่ะ เลยไม่ต้องทำกับข้าว นายเขาให้ตังค์ไว้ ให้ออกมาหาอะไรกิน”
ขณะเดียวกันนั้นเดือนแรมและดีดี้ เดินเก็บค่าเช่ามาพอดี แอนหันไปเห็น ส่งเสียงดังทันที
“ต๊าย คุณศามนยังลางานพาเมียเที่ยวอยู่หรือ น่ารักจัง แบบนี้พวกมดแดงก็หน้าแตกยับน่ะสิ อุตส่าห์ เทียวไล้เทียวขื่อ เฝ้าพวงมะม่วงอยู่ตั้งนาน”
สามสาวขาเมาท์ มองไปทางเดือนแรมที่กำลังโมโห เดือดปุดๆ
“ใช่ๆ หมดเงินไปเยอะ เสียเวลาไปแยะ สุดท้าย ก็กินแห้ว ฮิฮิ ป่านนี้คงเซ็งเป็ด เซ็งห่าน เซ็งนกกระจอกเทศอยู่” น้อยพูดเย้ยเยาะ
เดือนแรมเดินไปหาเจ้าของร้านพูดเสียงดัง
“เฮีย ฉันเหมาก๊วยเตี๋ยวหมดร้าน ไม่ต้องขายแล้ว ใครที่มันนั่งๆอยู่ไล่ออกไปให้หมด”
ทุกคนหน้าเหวอร้องขึ้นพร้อมกัน
“อ้าว !”
ทั้งหมดลุกขึ้นทันที ดีดี้เข้ามาหาเฮียเจ้าของร้าน วางเงินจากกระเป๋าที่คอยถือเก็บเงิน เอามาวางให้
“เอ้า นี่จ่ายไป คนรวยซะอย่าง...”
ดีดี้มองเยาะพวกแอน น้อยไม่สน
“เขาเหมาก๊วยเตี๋ยว ไม่ได้เหมาโต๊ะเก้าอี้ เรานั่งได้โว้ย”
ทั้งหมดพยักหน้าว่าจริง นั่งลงใหม่ เดือนแรมโมโห
“งั้นฉันเหมา โต๊ะเก้าอี้ด้วย”
ดีดี้จ่ายเงิน ทันที พร้อมช่วยเจ้าของร้าน หยิบเส้นก๊วยเตี๋ยวใส่ถุง
“เอ๊า...เอาก็เอา เอ้านี่เทหมดกระเป๋าแล้ว เอาถุงมา หยิบเส้นใส่เลย จะเอากลับบ้าน”
เดือนแรมกวาดสายตามองทุกคนอย่างเหยียดหยัน
“พวกแกจะไปได้หรือยัง ทางที่ดี เก็บของออกไปจากตลาดฉันให้หมดเลย ฉันไม่ให้พวกแกเช่าแล้วโว้ย”
พวกน้อย แอนเจี๊ยบไม่กลัว แอนเยาะกลับ
“โห...งวดนี้เสียรังวัดไปเยอะ มีน้ำโห พวกฉันน่ะไม่ย้ายหรอกโว้ย ไม่เคยติดค่าเช่า จะย้ายทำไม”
“ใช่ ยังไงก็ไม่ไป ตลาดอื่นน่ะมันใหม่ มันสบายก็จริง แต่ไม่สนุกเพราะไม่มีบางอย่างให้ดู” เจี๊ยบพูดกวนๆ
บุญสืบรีบเสริม
“ไม่ได้ดูอะไรหรือคะ บอกมาให้ชัดๆซี้”
ดีดี้ถือถุงเส้นก๊วยเตี๋ยวมาสองสามถุง มายืนข้างๆ
“ไม่ได้ดูคนแย่งผัวชาวบ้านน่ะซี้”
เจี๊ยบลอยหน้าลอยตาพูด เดือนแรมคว้าเส้นก๋วยเตี๋ยวจากทองดี เทใส่หัวเจี๊ยบ แถมยีหัวด้วยเส้นเล็ก จนเละเทะ
“หนอย อีเจี๊ยบ นี่แน่ะนี่นี่”
เจี๊ยบจับหัวตัวเอง ที่เละไปด้วยเส้นก๋วยเตี๋ยว
“อี๊...อีคุณนายจอมปลอม มึงกล้าทำกูเหรอ”
แอนเดินไปคว้าถังน้ำที่แช่ผัก
“หนอยมีเส้นเล็ก มันก็ต้องมีนี่ ถั่วงอกโว้ย”
แอนสาดน้ำผสมถั่งงอกใส่หัวเดือนแรมจนเละ พวกแอน เจี๊ยบ คำ หล้า และบุญสืบหัวเราะเดือนแรมที่บัดนี้มีถั่วงอกบนหัว ตัวเปียกปอน เดือนแรมถุยถั่วงอกออกจากปาก
“อี๊...มึง ตายเสียเถอะ”
เดือนแรมบุกเข้าไปตบ แอน เจี๊ยบกับน้อย เข้ามาช่วย ดีดี้โผล่มาอีกคน ตบกันห้าคนนัวเนีย ข้าวของร้านก๋วยเตี๋ยวกระจาย ดีดี้ท้าทายดังลั่น
“มาเลยมา...เย็นนี้จะได้ไม่ต้องไปแอโรบิกท้ายตลาด นี่แน่ะ นี่นี่”
“มีเส้น มีถั่วงอก มันจะเป็นก๋วยเตี๋ยวได้ไงวะถ้าไม่มีน้ำซุป”
บุญสืบคันไม้คันมือเดินไปที่หม้อลวก คำรีบเข้าไปห้าม
“เฮ้ย ไอ้บุญสืบ น้ำร้อนๆถึงตายนะโว้ย อย่าไปยุ่งกับเขา ไม่งั้นคุณศามนเอาเรื่องแน่”
คำกับหล้า ดึงบุญสืบกลับ บุญสืบขัดใจมาก
“โธ่โว้ย”
“ไปไป๊กลับ...กลับ”
หล้าลากไปผิดทางอีก บุญสืบเซ็ง
“ทางนี้ !”
สามคนเดินออกไป ขณะที่ห้าสาวด้านหลัง ยังตบกันนัว จู่ๆ บุญสืบดินกลับมาเข้าใหม่ พร้อมตะกร้าผัก
“หนอย ทำก๋วยเตี๋ยวไม่ได้ ผัดไทก็ยังไหว ใส่กุ้ยช่ายอีกหน่อยเดียวเอ๊ง”
บุญสืบโยนตะกร้าผักกุ้ยช่าย หวือลอยไปตกใส่หัวเดือนแรมแล้ววิ่งหนี เดือนแรมงง หันมามอง
“โอ๊ย ใครวะ”
เดือนแรมไม่เห็นใคร พอดี น้อยตบลงมาอีกเลยหันไปตบกันนัวต่อ
ศามนกับ รัมภานั่งเรือหางยาวเที่ยวในคลองชานเมืองกรุงเทพ บรรยากาศ ธรรมชาติ สวยงาม
ทั้งสองสดชื่นแจ่มใสมีความสุขมาก ก่อนจะมายืนกอดกันดูวิวที่มุมหนึ่ง
“ผมดีใจจังที่คุณดูมีความสุขขึ้น ผมรักคุณนะภา”
“ฉันก็รักคุณค่ะ ขอบคุณนะคะ ที่ทำเพื่อภา”
ช่วงเที่ยง...อนุกูลเดินถือจานตัวเองมานั่งลงที่โต๊ะ วรรณศิกากับพัชนีที่นั่งกันอยู่
“กินด้วยคนสิ คุณมนลางาน ไม่อยากกินคนเดียว”
พัชนีหน้าบึ้งลงทันที อนุกูลถามยิ้มๆ เอ็นดู
“นี่ยังไม่เลิกโกรธผมอีกหรือ”
“พัชจะโกรธคุณได้ไงคะ คุณเป็นเจ้านาย”
“เหรอ แต่หน้าบูดอย่างนี้ เจ้านายก็หมดอารมณ์นะ อ่ะ ง้อก็ได้ ยกให้”
อนุกูลตักน่องไก่จากจานของตน ที่มีอันเดียว ไปใส่จานว่างตรงหน้าพัชนี วรรณศิกาตาลุก
“โห...ให้น่องไก่ทั้งน่องเลยหรือ”
พัชนีหน้าอ่อนลง
“เมื่อเช้าตื่นมาไม่ทันใส่บาตรน่ะ ขอพรด้วยครับคุณแม่ชี”
ขาดคำอนุกูลก็ยกมือพนมรับพร พัชนีงออีกครั้ง วรรณศิกาหัวเราะ แซวอนุกูลอย่างรู้ทัน
“หน้าระรื่น หยอกวันละนิดวันละหน่อย ชื่นใจสินะ”
อนุกูลโกรธ อาย ทำเสียงดุ
“อะไร อะไร...”
วรรณศิกายกมือถือขึ้น
“โทรหาคุณมนดีกว่า...เป็นไงบ้าง สนุกไหมคะ”
รัมภากำลังสนุกกับการปั้นเครื่องปั้นดินเผากับแม่ค้า ขณะที่ศามนกำลังคุยโทร
“ก็ดีครับ วันนี้มีอะไรไหมคุณวรรณ”
“ออฟฟิศที่สิงคโปร์โทรมา นายใหญ่จะมาประชุมที่กรุงเทพสุดสัปดาห์นี้ค่ะ”
“อ๋อ...ผมเห็นอีเมลแล้วล่ะ”
“เซ็งเลย พวกเราต้องอยู่ต้อนรับนายใหญ่กันหมดใช่ไหมคะ สุดสัปดาห์นี้วันหยุดยาวเสียด้วย เราสามคนว่าจะไปพักที่หัวหิน บ้านพักของคุณนุเขาน่ะค่ะ เลยอดเลย”
“ผมว่าไม่ต้องนะ นายใหญ่คงอยู่ที่โรงแรม งานประชุมก็มีเจ้าหน้าที่จัดการหมด ผมอยู่คนเดียวก็พอ พวกคุณไปพักเถอะ”
“คุณมนอยู่ได้หรือคะ น่ารักจริง ดีๆค่ะดี เดี๋ยวสิ้นปี วรรณจะขึ้นเงินเดือนให้นะคะ”
ศามนหัวเราะ วรรณศิการะรื่น
“อุ๊ยตาย วรรณเป็นลูกน้องนี่ ลืมไป ฮะฮะฮ่า”
“มานี่ ผมคุยมั่ง”
อนุกูลขอมือถือ มาคุยโทรกับศามน
“อยู่ไหนแล้วครับ”
“วันนี้ออกมาที่เกาะเกร็ด ผมชอบนะ”
“ฟังเสียงก็รู้แล้ว แฮปปี้เลยสิ”
“ก็ทำนองนั้น”
“แล้วคุณภาล่ะ”
ศามนมองไปเห็นรัมภากำลังปั้นดินเผาออกมาหน้าเละ เลยหัวเราะกับแม่ค้า
“หลายอาทิตย์มานี้ เพิ่งเห็นเขายิ้ม เขาหัวเราะก็ตอนนี้แหล่ะ”
“ว้าว ได้ฟังอย่างนี้ก็ดีใจด้วย ค่อยสบายใจขึ้นหน่อย”
ศามนมองรัมภาด้วยความรัก บรรยากาศทุกอย่างดูเหมือนจะดีขึ้น
ค่ำนั้น ทั้งหมดเพิ่งมาถึงบ้าน เด็กทั้งสองยังอยู่ในชุดนักเรียน ทั้งหมดลงจากรถ บุญสืบเดินออกมาช่วยรับกระเป๋า เด็กแฝดเดินตามบุญสืบเข้าบ้านไป ศามนเดินไปกอดรัมภากระซิบ
“คืนนี้นอนด้วยกันนะ”
รัมภายิ้มอายเล็กน้อย
“ก็ได้ค่ะ งั้นขอไปดูลูกแป๊บหนึ่ง เดี๋ยวตามไป”
ศามนหอมแก้ม บอกเสียงเบาดีใจมาก
“เยส !...วันนี้วันดีที่สุดเลย”
รัมภาเดินเข้าบ้านไป ศามนได้ยินเสียงมือถือเห็นชื่อว่า เดือนแรม เวลานี้เขาอยากรักษาระยะห่าง เลยตัดสินใจกดปิดมือถือ ไม่ยอมรับสาย
เดือนแรม หัวหูเปียกเพิ่งอาบน้ำ ล้างตัวเสร็จ นั่งหน้ากระจก มองมือถือ โมโห โวยลั่น
“เฮ้ย กดสายทิ้งเฉยเลย...บ้าจริง หรือว่าไม่สนใจเราแล้ว ทำไงดี ทำไงดี ทำไงดี”
เดือนแรมเครียด ลุกขึ้นเดิน คิด โวยวาย แพงปรากฏตัวขึ้นเป็นเงาที่กระจก ทั้งที่ข้างๆตัวของเดือนแรมไม่มีใคร
“ใจเย็นๆ ข้าจะช่วยเอ็งเอง ข้ายังอยู่ทั้งคน”
เดือนแรมหันมามอง ได้ยินเสียงข้างตัว แต่ไม่เห็นคน มองกระจก มองห้องรอบๆ นึกกลัวขึ้นมา
“เสียงใครวะ ฮึ่ย นอนดีกว่า”
เดือนแรมกระโดดขึ้นเตียง คลุมโปง
ควันสีขาวก่อรูปเป็นวิญญาณคุณหญิงอบเชย เศร้าหมองเรื่องความทุกข์ของลูกนั่งที่เฉลียงร้องเพลงกล่อม ห่วงลูกทั้งน้ำตาเพราะช่วยอะไรไม่ได้
ควันสีดำก่อรูปเป็นวิญญาณแพง เวลานี้แสดงตัวตนความเป็นบ้า แพงมีดอกไม้ทัดหู ฮัมเพลงไทยเดิมในลำคอ ทำท่ารำวงท่ามกลางแสงจันทร์ เพราะในบางเวลา แพงก็สติดีและในบางเวลาก็เป็นบ้า ทั้งหมดนี้เพราะแพงตายในเวลาที่เป็นบ้า แพงจึงเป็นวิญญาณที่มีอาการคุ้มดีคุ้มร้าย เดี๋ยวพูดรู้เรื่อง จำได้เดี๋ยวก็ไม่รู้เรื่องจำไม่ได้ แพงฮัมเพลงจนจบ มองเข้าไปในบ้าน
“คืนนี้แหล่ะ อีชื่นกลิ่น ครอบครัวเอ็งจะพินาศ”
แพงมองไป ที่เสาไฟหน้าเรือนใหญ่หม้อแปลงระเบิดเปรี้ยงปะทุไฟออกมาน่ากลัว
ไฟดับพรึ่บลง รัมภากำลังแต่งตัวเปลี่ยนชุดนอนให้ไลล่า รัสตี้กำลังเปลี่ยนเองทั้งหมดตกใจมาก มองไปรอบๆ
“ไฟดับหรือครับแม่”
รัมภากังวลใจ
ศามนเดินออกมามองไปรอบๆ ตะโกนเรียก
“บุญสืบ...บุญสืบ ออกไปดูฟิวส์หลังบ้านที”
ศามนไม่ได้ยินเสียงตอบรับ เดินออกไปจัดการด้วยตัวเอง...
วิญญาณของแพงที่ยังอยู่หน้าบ้านร้องเพลงกล่อม เพลงของคุณหญิงอบเชย น้ำเสียง เยาะเย้ยล้อเลียน
“ฮะฮะฮ่า รักลูกปกป้องลูกจนไม่สนใจคนอื่น เอ็งจะต้องได้รับกรรมของเอ็ง อีอบเชย อีชื่นกลิ่น”
แพงมองไปด้วยฤทธิ์เดช ประตูที่ปิดอยู่เปิดผางออกเหมือนถูกถีบ ลมแรงพัดเข้าบ้าน ใบไม้กรูเกรียว บรรยากาศน่ากลัว แพงกำลังจะเข้าบ้านไปหลอกรัมภาชุดใหญ่ ณคุณหญิงอบเชยพุ่งเข้ามาขวางไม่ให้แพงเข้าไปในเรือนเล็ก
“นี่เอ็งยังไม่เข็ดอีกหรือ หา...อีแก่”
“แม้จะต้องทุกข์ทรมานอีกกี่หน ข้าก็จะปกป้องลูกหลานข้า”
คุณหญิงอบเชยตบหน้าแพงล้มคว่ำไป แพงแค้น พุ่งเข้ามาผลักด้วยพละกำลังที่มากกว่า
คุณหญิงกระเด็นไถลไปตามพื้น แพงแสยะยิ้ม เดินเข้าไปในบ้านเล็ก
“โอย”
คุณหญิงโอดโอยกับพื้นด้วยความเจ็บปวด เธอประคองร่างเจ็บปวด จะเข้าประตูตามไป แต่เพราะมนต์ดำที่ครอบบ้านอยู่ ทำให้ผ่านประตูเข้าไปไม่ได้ ชนเปรี้ยง แล้วล้มลงอีก คุณหญิงสะบักสะบอมเจ็บปวดไปทั้งตัว ร้องไห้เรียกลูก
“ฮือ แม่ชื่น แม่ชื่น”
“ฮะฮะฮ่า ฮะฮะฮ่า”
แพงหันมามองด้วยความสะใจ ก่อนจะหายตัวเข้าไปในบ้าน
จบตอนที่ 5
อ่านต่อตอนที่ 6 วันพรุ่งนี้ 09.30น.