xs
xsm
sm
md
lg

บ่วง ตอนที่ 1

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



 บ่วง ตอนที่ 1 

ศามน กับรัมภา พาลูกฝาแฝดชายหญิง เด็กชายศรุท หรือ รัสตี้ กับเด็กหญิงศรัย หรือ ไลล่า เดินคลอเคลียมาด้วยกันตามทางในสนามบิน หลังจากลงเครื่อง

ศามนและรัมภาเป็นหนุ่มสาวที่เกิดเมืองไทย แต่ช่วงวัยรุ่นย้ายตามครอบครัวไปอยู่ที่อเมริกา กระทั่งพบรักและแต่งงาน มีลูกด้วยกัน แต่ทั้งสองคนต้องย้ายครอบครัวจากอเมริกากลับมายังเมืองไทยอีกครั้ง เพื่อรับมรดกและจัดการงานศพของคุณหญิงอบเชย คุณทวดของศามน

“เด็กๆ ครับ ถึงเมืองไทย ถึงบ้านเราแล้ว” ศามนบอกลูกด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“Hello Thailand...Welcome Home”
รัสตี้เป็นเด็กกล้าแสดงออก จึงหันไปโบกมือ ส่งเสียงดัง โค้งหัวให้คนรอบข้าง ไลล่าเลยทำตามบ้าง คนรอบข้างบางคนยิ้มๆ บางคนโบกมือตอบ
“เบาๆลูก...” ศามนปรามอย่างเอ็นดู
“ดูสิ ท่าทางมีความสุขทั้งพ่อทั้งลูกเลย” รัมภามองขำๆ
ศามนยิ้มมีความสุข
“เราได้กลับมาอยู่เมืองไทย ได้กลับมาบ้าน ไม่ต้องเป็นพลเมืองชั้นสองของพวกฝรั่งมังค่า ผมรอเวลานี้มานาน คุณก็รู้”
ไลล่าหันมาถามพ่อ
“เราจะไปบ้านใหม่ของเราเลยใช่ไหมคะ”
“เย้...บ้านใหม่...บ้านใหม่”
รัสตี้กับไลล่า ร่าเริง เช่นเดียวกับพ่อกับแม่ที่ยิ้มแย้มอย่างมีความสุข

ขณะที่เดินลากกระเป๋ามาจะไปขึ้นรถแท็กซี่ รัมภามองชีวิตของผู้คนรอบๆ ชีวิตคนโดยสาร คนทำงานในสนามบินแล้วรำพึงในใจ
‘ฉันเคยนั่งมองชีวิตรอบตัว อะไรที่ทำให้เราเกิดมา และเราเกิดมาเพื่ออะไร แล้วฉันก็พบบางสิ่งที่ร้อยรัดเราเอาไว้ สิ่งนั้นคือ...บ่วง...บ่วงที่ร้อยรัดชีวิตทุกชีวิตเข้าไว้ด้วยกัน บ่วงที่วนเวียนไม่มีวันจบสิ้น บ่วงที่ทำให้หัวใจเติมเต็ม บ่วงที่สั่งให้เรามีแรงต่อสู้ บ่วงที่ผลักดันให้เราตื่นขึ้นทุกวัน...และเพราะบ่วงนี่เอง ที่ทำให้น้ำตาเรารินไหล ฉันเรียกบ่วงชนิดนี้ว่า บ่วงแห่งรัก’
ระหว่างรอแท็กซี่ รัสตี้เล่นเชือกสีขาว ที่มีลักษณะเป็นบ่วงกลมๆ สอดไว้ที่นิ้วกลางข้างขวาและนิ้วกลางข้างซ้าย แล้วใช้นิ้วต่างๆ เกี่ยวดึงบ่วงที่อยู่ตรงกลางระหว่างฝ่ามือทั้งสอง ให้พันกันกลับไปมา เป็นรูปดาวบ้าง รูปซอบ้าง รัมภามองบ่วงเชือกในฝ่ามือที่รัสตี้กำลังร้อยกลับไปมา ศามนมองลูกชายแล้วอยากลองเล่นบ้าง
“พ่อลองบ้างสิ”
รัสตี้ยื่นบ่วงในสองฝ่ามือของตนให้ ศามนลองเกี่ยวไปเล่นดูบ้าง ศามนเกี่ยวผิดเกี่ยวถูกสองสามที แล้วติดหนึบ
“ทำไมมันเล่นต่อไม่ได้แล้วล่ะ” ไลล่าถามอย่างสงสัย
“มันติดแล้ว” รัสตี้บอก
“พ่อทำมันติดหรือ” ศามนแปลกใจ
“ถ้ามันติด เราต้องยกทิ้ง แล้วเริ่มต้นใหม่อย่างเดียวครับพ่อ”
ศามนคิดตามที่ลูกชายแนะ ทันใดนั้นเขาก็มองไปทางเสียงที่ดังเอะอะที่มุมหนึ่งห่างไป เห็นสามคนผัวเมียกำลังฉุดกระชากด่าทอ เพราะสามีกำลังจะพาภรรยาน้อยไปเที่ยว ในขณะที่ภรรยาหลวงตามมา ด้วยความโมโห
“นี่จะไปไหน คิดจะหนีไปเสวยสุขกันสองคนหรือยังไง ฉันไม่ยอมหรอกคนทรยศ คนเลว คุณทำแบบนี้กับฉันได้ยังไง ฉันไม่ให้ไป...ไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น”
รัมภา มองสามคนผัวเมียที่ทะเลาะกัน ครุ่นคิดในใจ...
‘แต่เพราะโลกนี้ไม่ได้มีเฉพาะบ่วงแห่งรัก ยังมีบ่วงชนิดอื่นอยู่ด้วย ชีวิตของฉัน ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา...จึงไม่มีวันเหมือนเดิม’

รถลีมูซีนจากสนามบิน…ขับมาจอดหน้าเรือนใหญ่ที่สวยสง่า โอบล้อมด้วยสวนร่มรื่น ทั้งสี่ลงจากรถมายืนตะลึงมอง
“ผมรู้สึกเหมือนกำลังฝันไป”
ศามนยืนตะลึง ขณะที่รัมภาเป็นคนค่อนข้างเงียบ เรียบร้อยและเก็บความรู้สึกแม้จะยินดี แต่ก็ยังมีทีท่าที่วางเฉยกว่า รัมภารอดูกระเป๋าจากแท็กซี่พร้อมจ่ายเงินเสร็จสรรพ
“นี่หรือครับบ้านของเรา” รัสตี้ถามอึ้งๆ
“ไม่ใช่บ้าน ภาษาไทยเรียกอะไรคะหม่ามี้” ไลล่าหันไปถามผู้เป็นแม่
รัมภายิ้มบางๆให้ลูกสาว
“คฤหาสน์”
ทั้งหมดมองบ้านอย่างชื่นชม
“คุณทวดไม่อยากให้ใครมาอยู่ที่นี่ ผมเองก็ลืมบ้านหลังนี้ไปแล้ว แต่พอ
ทนายเอารายการมรดกมาให้ดู ผมรู้ทันทีว่าผมต้องการบ้านหลังนี้ แล้วก็เหมือนปาฏิหาริย์ เหมือนมีอะไรมาดลใจพวกพี่ๆ พวกเขาตกลงยกบ้านให้ผม แล้วเอาทรัพย์สินอย่างอื่นไปแทน คิดดูนะภา บ้านพร้อมที่ดินตั้งเกือบห้าไร่” ศามนอธิบายอย่างภูมิใจ
รัสตี้มองไปด้านหลังตัวบ้าน
“ข้างหลังนั่น ที่ดินของเราหรือครับ วิ่งเล่นได้หรือครับพ่อ โอ้โห”
เด็กทั้งสองวิ่งออกไปทันที รัมภามองลูกฝาแฝดแล้วยิ้มเอ็นดู
“เด็กอเมริกัน อยู่อพาร์ตเมนต์แคบๆจนเคย คืนนี้จะนอนหลับไหมเนี่ย สองคนนั้นน่ะ”
“ภา...ถึงเวลาที่ครอบครัวเราจะมีความสุขเสียที ผมสัญญานะภา ต่อไปนี้ ผมจะทำให้คุณและลูกมีความสุข”
รัมภากับศามนกอดกันอย่างรักใคร่ ก่อนจะเดินตามลูกไป ทิ้งของไว้หน้าบ้านนั้นเอง
“เดี๋ยว รัสตี้ ไลล่า ระวังหน่อยค่ะ อย่าวิ่งเร็วนักลูก” รัมภาตะโกนเตือนลูกทั้งสองไล่หลังไป
ศามนกับรัมภาเดิน กอดกันดูบรรยากาศธรรมชาติที่ สวยงามในสวน
“ดอกไม้เยอะแยะเลย” ไลล่าบอกอย่างตื่นเต้น
“เสียงนก...นก..ท้องฟ้า สระน้ำ มีสระน้ำด้วย”
รัสตี้ ชี้ไปทางหนึ่งที่ห่างออกไป มีสระน้ำธรรมชาติคั่นระหว่างสวนบ้านใหญ่ และสวนบ้านเล็ก มีต้นไม้ขึ้นรกหนา เพราะเป็นทางไปบ้านเล็กที่ไม่มีการดูแล ในสระมีบัวลอยเด่น ผีเสื้อบินเล่นสวยงาม ทั้งหมดชมธรรมชาติอย่างตื่นตาตื่นใจมีความสุข รัมภารำพึงในใจ
‘อืม...ความสุข ความสุข คำสัญญาของศามนดังก้องอยู่ในหัวตราบจนกระทั่ง...’

ทั้งหมดเข้ามาในโถงบ้าน ก็ชะงักนิ่งงันเมื่อเห็นโลงศพตั้งตะหง่านอยู่กลางห้อง...รัมภา ศามน รัสตี้ ไลล่า ยืนตาค้างอยู่ในห้องนั้นมองโลงศพ ตะลึง
“อะ...อะไรกันคะนั่น” รัมภาอุทานออกมาเบาๆ
“คุณทวดน่ะ” ศามนบอกเรียบๆ
รัมภามองโลงศพอย่างแปลกใจ
“ทำไม...ทำไมเป็นที่นี่ ไม่ใช่ที่วัด”

ด้านนอก...บุญสืบเดินมาเจอกระเป๋าต่างๆ วางอยู่ก็มองอย่างสงสัย
“กระเป๋าใครวะ...เจ้านายมาแล้ว”
บุญสืบนึกได้ ดีใจที่เจ้านายมาถึงบ้านแล้ว

ในบ้าน...ทั้งหมดยังตะลึงกังโลงศพที่ตั้งอยู่ตรงหน้า ไลล่าหันไปถามรัสตี้
“รัสตี้ นั่นอะไรน่ะ”
“โลงศพ...คนตายน่ะไลล่า”
ไลล่าอึ้งหน้าตื่นกลัว
“คนตาย...คนตายหรือ”
“ผี !!”
รัสตี้ตะโกนลั่น รัมภารีบเข้าไปปิดปากรัสตี้เพราะเคยชินกับอาการเพ้อเจ้อของลูกชายและรู้ดีว่า จะเกิดเรื่องเดิมๆ คือไลล่าจะกลัวมาก
“ไม่นะ รัสตี้”
รัมภาปิดปากในขณะที่รัสตี้ ตายังมองโลงศพมือก็ดึงมือแม่ออกจากปาก เพื่อแหกปากต่อไป รัสตี้เป็นเด็กที่ชอบสร้างภาพจินตนาการ จนดูเหมือนว่าเขาเห็นจริงๆ สร้างความสับสนให้คนรอบข้างอยู่ร่ำไป รัสตี้ชี้ไปที่โลง
“มีผีอยู่ในบ้าน...ไลล่าเห็นไหม นั่นไง ผีกำลังออกมา...ผีลอยออกมา ลอยออกมาแล้ว”
แล้วในที่สุดเสียงแหลมเล็กของไลล่าก็ดังลั่นบ้าน
“กรี๊ดดด”
บุญสืบไม่รู้อีโหน่อีเหน่ วิ่งเข้ามาถึงก็กรี๊ดตามไปด้วย
“กรี๊ดดด”
ไม่มีใครเห็นบุญสืบ เพราะทุกคนมัวแต่ตกใจกับเสียงไลล่าที่ตอนนี้ออกวิ่งไปข้างนอกแล้ว รัมภาต้องวิ่งตามไป
“ลูก...ลูกแม่”
ไลล่ากรีดร้องวิ่งออกมาหน้าบ้าน รัมภาวิ่งตามมา ศามนกับรัสตี้วิ่งตามมาด้วย
“ไลล่าลูกแม่ หยุด...ฟังแม่ก่อน ฟังหม่ามี้ ผีไม่มี ไม่มีอะไรทั้งนั้น ลืมตาสิลูก ลืมตา หยุดกรี๊ดเดี๋ยวนี้”
รัสตี้วิ่งออกมาเสร็จหันไป มองในบ้านแล้วทำท่าตะลึง โดยไม่ได้แสดงอาการว่าล้อเล่นแม้แต่น้อย เพราะเขาต้องการเชื่อจริงๆว่ามีผี และตัวเขาเองจะปราบผีเพื่อโชว์ทุกคน
“ผีลอยขึ้นมา ลอยออกมา ตัวใหญ่เบ้อเร่อ ออกมาที่ประตูแล้วออกมาแล้ว”
รัสตี้ชี้ไป ไลล่ากรี๊ดหนักขึ้น
“กรี๊ดดด”
ศามนหันไปดุลูกชาย
“รัสตี้ หยุด...หยุดพูดเพ้อเจ้อเดี๋ยวนี้ น้องกลัวแล้วเห็นไหม หยุด ๆ”
รัสตี้หยิบไม้ขึ้นมา ฟันไปในอากาศที่เป็นภาพจินตนาการของตนเอง
“ออกมาสิ ออกมาเลย อัศวินรัสตี้พร้อมแล้ว นี่แน่ะ ฟันๆ แทงๆ ดูสิ...ไลล่า ผีขาดสองท่อน เพราะอัศวินรัสตี้ เย้ๆๆๆ”
ไลล่ายังคงกรี๊ดไม่หยุด
“กรี๊ดๆ”
“หยุด รัสตี้ หยุดๆ แดดดี้บอกแล้วใช่ไหม พูดเพ้อเจ้อก็เหมือนพูดโกหกเป็นนิสัยที่ใช้ไม่ได้ เป็นบาป รู้ตัวไหม” ศามนดุเสียงเข้ม
รัมภาเข้าปลอบลูกสาว
“ไลล่า...รัสตี้พูดโกหก เขาพูดโกหกอีกแล้ว เขาทำเหมือนตอนเราไปแคมป์ พี่เขาโกหก แค่เรื่องโกหก”
ไลล่าหยุดกรี๊ด หันมามองบุญสืบที่มาตอนไหนก็ไม่รู้นั่งเบียดซุกอยู่ข้างๆ บุญสืบหลับหูหลับตากรี๊ดต่อ
“กรี๊ดๆๆๆ”
ไลล่าหันมาชี้บุญสืบ นั่นเป็นครั้งแรกที่ทุกคนรับรู้ว่ามีอีกคนที่ไม่เกี่ยวข้องแต่อารมณ์เกินร้อย ปะปนพวกเขาอยู่ด้วย
“แม่...คนนี้ใครคะ”
ทันใดนั้น คำเดินตรงเข้ามาตบหัวบุญสืบเปรี้ยง
“ไอ้บุญสืบ เอ็งทำอะไรของเอ็งหา”
ทุกคนงงงวยมองหน้ากัน

ทุกคนนั่งสนทนากันที่ศาลาในสวน หล้า คำ และบุญสืบนั่งกับพื้น
“ฉันชื่อคำ นี่ตาหล้าผัวฉัน แล้วนี่ก็ไอ้บุญสืบลูกฉัน เมื่อก่อนตอนเด็กๆ
เคยวิ่งเข็นรถจักรยานให้คุณผู้ชาย จำได้ไหมคะ” คำหันมาถามศามล
“คุณรู้จักหรือ”
รัมภาหันมาถามศามลบ้าง
“พ่อกับแม่ เคยพามาเยี่ยมคุณทวด ตอนเด็กๆน่ะ สักสิบขวบได้มั้ง หลังจากนั้น ผมไม่ได้มาอีกเลย อยู่แต่ที่บ้านพ่อ”
“คุณหญิงท่านสั่งไว้น่ะค่ะ สั่งว่าเอ้อ...ตาหล้า ช่วยข้าพูดหน่อยสิ”
คำกำลังจะบอกเรื่องสำคัญ แต่เนื่องจากเป็นเรื่องพิลึกเลยขาดความมั่นใจที่จะพูดคนเดียว หล้าหน้าตื่น
“หา...”
“สั่งน่ะ คุณท่านสั่งว่าอะไร”
“อ๋อ สั่งให้...” หล้าเว้นไปครู่หนึ่ง “ลืมไปแล้ว ถามว่าอะไรนะ”
คำค้อนผัว
“ผัวอีฉัน มันขี้หลงขี้ลืม คุณหญิงท่านหมายถึงคุณทวดของคุณผู้ชาย สั่งให้เก็บศพไว้ในบ้านห้ามเคลื่อนย้าย”
รัมภาชะงักอึ้ง
“อะไรนะ”
“ทุกเย็น ให้เชิญพระมาสวด มาทำพิธีที่นี่”
“เหมือนพวกคหบดีโบราณสินะ” รัมภาหันมาถามศามน “จัดงานศพที่บ้าน แต่ก็แค่ไม่นานใช่ไหมคะ เดี๋ยวก็ต้องเผา ต้องเชิญไปวัดอยู่ดี...”
“ท่านไม่ให้เผาครับ ให้เก็บไว้อย่างนี้ห้ามเผาเด็ดขาด”
บุญสืบพูดขึ้น คราวนี้รัมภาชะงัก มองหน้าสามี ศามนก้มหน้ามีอาการพิรุธ ทำให้รัมภาไม่พอใจ
“อะไรนะ มีศพอยู่กลางบ้าน ตลอดไปเนี่ยหรือ...” รัมภามองหน้าสามีอย่างจับผิด “คุณรู้เรื่องนี้มาก่อนใช่ไหมคะ คุณรู้มาก่อน แต่ไม่ได้บอกฉันเนี่ยนะ”
รัมภาโกรธ เดินออกไปทันที ศามนลุกตาม

รัมภาเดินงอนออกมา ศามนตามมาด้วยท่าทีสบายๆ เพราะสำหรับเขามันไม่ใช่เรื่องใหญ่นัก
“คุณไม่เคยมีความลับ ทำไมต้องปกปิดฉัน”
“ไม่เอาน่า ท่านเป็นคุณทวดผมนะ”
ขณะเดียวกัน...สายตาใครคนหนึ่งเหมือนกำลังมองทั้งคู่ โดยแอบไปตามต้นไม้
“แต่คุณต้องบอกฉัน คุณต้องให้ฉันร่วมตัดสินใจ คุณดู รัสตี้กับไลล่าวันนี้สิ คืนนี้เขาอาจจะนอนไม่หลับ หรืออาจจะป่วยก็ได้”
“ทำไมต้องซีเรียสด้วย เมื่อกี๊ คุณยังมีความสุขอยู่เลย”
“เพราะคุณรู้ว่า ฉันอาจจะไม่มาอยู่ คุณเลยปกปิดฉัน คุณวางแผนไว้ใช่ไหม”
“บ้าน่า...แผนบ้าอะไร กับเมีย กับลูกตัวเอง จะมีแผนไปทำไมกัน ไม่เอาน่าคุณ ก็แค่คนตายคนที่ตายไปแล้ว เรื่องผีสางอะไรนั่น ไม่มีหรอก คุณไม่ใช่รัสตี้นะ”
รัมภาโกรธ เสียงดังขึ้น
“นี่คุณหาว่าฉันชอบเพ้อเจ้อเหมือนรัสตี้งั้นหรือ”
“โธ่...ภา ไม่ใช่ ไม่ใช่สักหน่อย”
รัมภาเดินหนีอีก ศามนเซ็ง
“เฮ้อ กลายเป็นคนขี้กลัวตั้งแต่เมื่อไหร่ ผีสางมีที่ไหนกัน”
เสียงหัวเราะหึๆ ดังขึ้น เสียงหัวเราะเหมือนหยามหยันเป็นเสียงเย็นๆหลอนๆ ศามนหันไปมองตามเสียง ที่เหมือนจะซ่อนอยู่หลังต้นไม้ต้นหนึ่ง เขาเป็นคนไม่เชื่อเรื่องผี จึงเดินไปดู
“ใครน่ะ...ใครอยู่ตรงนั้น ไลล่าหรือลูก”
ศามนเดินมาดู ต้นทางของเสียงที่หลังต้นไม้ เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่ก็แปลกใจ

คำ ตาหล้าและบุญสืบ ช่วยกันหิ้วกระเป๋าเดินทางเข้ามาในห้องนอนใหญ่ จากนั้นก็เดินไปเปิดหน้าต่าง เพราะปกติไม่มีใครอยู่
“คุณหญิงท่านก็แปลก ท่านห่วงอะไรหรือแม่ ทำไมไม่ให้เผาล่ะ” บุญสืบถามอย่างไม่เข้าใจ
“ท่านห่วงลูกหลานน่ะ” คำบอก
บุญสืบยังสงสัย
“ห่วงอะไร...ห่วงทำไม”
“ห่วงมากไป...รักมากไป” หล้าเสริม
“ห่วงมากไป รักมากไป แบบนี้ แกจะมาเอาวิญญาณลูกหลานไปอยู่ด้วยไหมแม่”
คำตกใจกับคำถามของลูกชาย ถึงกับทำข้าวของแถวนั้นหล่นเพล้ง แล้วหันมาโวยบุญสืบ เสียงดัง
“ไอ้สืบ นี่มึงพูดอะไรของมึง ตบปากตัวเองเดี๋ยวนี้!”

ภาพถ่ายอบเชยที่อยู่หน้าโลงศพดูขลังและ น่ากลัว รัมภาเดินเข้ามาในห้องโถง พยายามมองโลงศพและห้องโถงทั้งหมดอีกครั้ง สงบสติอารมณ์ลงพอสมควร เธอนึกถึงคำพูดของศามนที่พูดกับตน เมื่อครู่
‘ไม่เอาน่าคุณ ก็แค่คนตาย คนที่ตายไปแล้ว เรื่องผีสางอะไรนั่น ไม่มีหรอก...’
“เราอาจจะคิดมากจริงๆก็ได้”
รัมภาหันหลังจะเดินออก จู่ๆลมก็พัดเข้าหน้าเบาๆ วูบหนึ่ง พร้อมเสียงเพลงกล่อมเด็ก ที่เป็นเสียงของอบเชยดังคลอเข้ามา เพลงกล่อมเด็กเป็นเพลงโบราณเยือกเย็น ขลัง ฟังเผินๆดูน่ากลัว แต่ฟังนานๆแล้วเต็มไปด้วยความรักของแม่กับลูก
“เสียง...มาจากไหน”
รัมภาหันขวับมองภาพในกรอบของอบเชยที่ตั้งอยู่ อบเชยยิ้มให้ รัมภาถอยกรูดไปชนฝาผนังดังปัง ไลล่าเดินเข้ามาเห็นพอดี
“หม่ามี้ เป็นอะไรไปคะ”
รัมภาเกิดความกลัวรีบอุ้มลูกออกไปสงบสติข้างนอก พยายามครุ่นคิดว่าที่เห็นคืออะไร
“หม่ามี้ตัวสั่น เป็นอะไรไปคะ”
“หม่ามี้คงเพลีย ปรับเวลาไม่ได้...คงตาฝาดน่ะลูก ไม่มีอะไรหรอก...ตาฝาด แค่ตาฝาดเท่านั้น”
รัมภาพยายามคิดว่าที่เห็นนั้นไม่จริง

อนุกูล เดินออกจากห้องทำงานของตนมาที่ห้องทำงานส่วนของเลขา เขาเดินคุยโทรศัพท์มาตามทาง...
“โฮ้ยไม่ได้จ๊ะ แพรว วันนี้ผมมีนัดแล้ว...โฮ้ย ผู้หญิงที่ไหน เอ็มดีคนใหม่เพิ่งย้ายมาจากสาขาที่อเมริกา เลยว่าจะไปเทคแคร์เขาหน่อย คนไทยจ๊ะ แต่ไปโตที่โน่น...เรื่องจริงสิจ๊ะที่รัก จะโกหกไปทำไม แค่นี้แล้วกันนะ” อนุกูล กดวางสายแล้วหันไปหาวรรณศิกา “เฮ้ คุณวรรณ ผมพร้อมแล้ว ไปกันเลยไหม”
“ฉันก็เสร็จแล้ว เดี๋ยวนะรอหนูพัช”
วรรณศิกาหยิบกระเป๋า เตรียมออกไปพร้อมกัน อนุกูลแปลกใจ
“หนูพัช ใครกัน” แล้วเขาก็นึกได้ “อ้อๆ ผู้ช่วยคนใหม่ของคุณ อายุไม่เกิน 25 ยังเป็นโสด ผมอ่านประวัติหมดแล้ว เป็นไงสวยไหม อยู่ไหนล่ะ อยู่ไหน”
พัชนีเดินเข้ามา อนุกูลหันไปเจอ ประจันหน้ากัน ชะงักกึก อนุกูลมองพัชนีหัวจรดเท้า พบว่าเธอใส่แว่น แต่งตัวชุดกระดุมปิดเม็ดบนมิดชิด อนุกูลปากสว่างตามนิสัย ส่งเสียงดังไม่เกรงใจใคร
“เฮ้ย ผู้ช่วยเลขาหรือครูสอนศีลธรรมเนี่ย”
พัชนีหน้าเสีย วรรณศิกาแอบตีอนุกูลเพราะสนิทกัน จนดูเหมือนพี่น้องไม่ใช่เจ้านายลูกน้อง อนุกูล เดินวนสำรวจพัชนี
“กระดุมเม็ดบนสุด เฮ้ย...เขามีไว้เป็นพิธี ไม่ได้มีไว้ติดจริงๆซะหน่อย”
วรรณศิกาตีเขาอีก พัชนีจ๋อยตามประสาคนเรียบร้อย อนุกูลพูดต่อฉอดๆ
“แว่นนั่นน่าจะหนัก แถวบ้านคุณ คอนแทคเลนส์ยังเข้าไปไม่ถึงเหรอ”
“นี่...คุณนุพอแล้ว...” วรรณศิกายิ้มให้พัชนี “เอ้อ...หนูพัช นี่คุณอนุกูล รองผู้จัดการฝ่ายผลิตจ๊ะ”
พัชนีอึ้งไม่เชื่อ
“รองผู้จัดการ”
อนุกูลมองหน้า
“ทำไมหรือ”
“แค่นึกภาพเอาไว้ว่า คงเป็นผู้ใหญ่ ใจเย็นสุขุม น่าเคารพน่ะค่ะ”
วรรณศิกาขำ สะใจ ที่พัชนีพูดซื่อๆ เพราะเป็นคนซื่อ และชอบพูดตรงไปตรงมาแบบไม่รู้จักยั้งปาก อนุกูลชะงักกึก
“เฮ้ย...หลอกด่าผมนี่”
พัชนายิ้มแห้งรีบบอก
“เอ้อ...เปล่าๆนะคะ แค่พูดไปตามที่คิดนะคะ อย่าเข้าใจผิด หลอกด่าคนน่ะผิดศีลข้อสี่ ทำไม่ได้หรอกค่ะ เอ้อ...เดี๋ยวพัชไปเอากระเป๋าก่อนค่ะ”
“ผิดศีลข้อ4 อะไรของเขาวะ”

อนุกูลมองพัชนีอึ้งๆ นึกในใจว่ายายนี่มาจากวัดไหนหว่า

อ่านต่อหน้า 2










 บ่วง ตอนที่ 1 (ต่อ) 

อนุกุล วรรณศิกา และพัชนีนั่งอยู่ในรถด้วยกัน ทั้งสามคนกำลังเดินทางไปหาศามน ระหว่างนั้นเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ด้วยความเป็นคนทันสมัยและนิสัยเปิดเผยของอนุกูล ทำให้เขาแค่กดเปิดเสียง ลำโพงจากโทรศัพท์ก็ดังขึ้นได้ยินกันทั้งรถ เป็นเสียงกิ๊กของเขาอีกคนหนึ่ง

“ฮัลโหล จินนี่ จุ๊บๆ คิดถึงจังเลย”
วรรณศิกาเซ็ง ยกมือปิดหู ไม่อยากได้ยินเรื่องอนุกูลจู๋จี๋กับแฟนให้สกปรกหู
“อย่ามาหลอกกันเลย เมื่อคืนฉันรอคุณทั้งคืน ทำไมไม่มาล่ะคะ อุตส่าห์ทำสปาเก็ตตี้รอ”
เสียงจินนี่ดังมาจากปลายสาย วรรณศิกาบ่นเบาๆ
“ไม่ออกอากาศช่องสามช่วงสรยุทธไปเลยล่ะ...ปุ่มปิดเสียงอยู่ไหนวะ”
วรรณศิกาพยายามหาปุ่ม อนุกูลไม่สน
“จริงหรือ ว้าเสียดายจัง”
“คุณน่ะทำพลาดแล้ว สปาเก็ตตี้ฉันน่ะ...แป้งเหลืองนวลอบอุ่น รสชาติหวานฉ่ำ วางรอท่าคุณ อยู่บนเตียง ยังไม่ยอมมาอีก”
พัชนีคิดซื่อๆ และพูดออกมาโดยไม่รู้ตัว
“ทานข้าวบนเตียง สกปรกแย่”
“เสียงใครคะ”
เสียงจินนี่ถามดังออกมา พัชนีตกใจรีบปิดปาก อนุกูลรีบแก้
“อ๋อ...เอ้อ...ป้าน่ะ ผมพาป้าไปเยี่ยมเพื่อน เอาเป็นว่าแค่นี้แล้วกันนะ สปาเก็ตตี้ที่ว่า ผมไปแน่ คืนวันศุกร์เจอกันดาร์ลิ้ง”
อนุกูลตัดสาย พัชนีไม่พอใจ
“ป้าหรือ ทำไมต้องโกหกด้วยล่ะคะ”
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีก วรรณศิการ้องเฮ้อ เอาหมอนเอาผ้ามาอุดหู
“เอ๊ามาอีกสาย รู้งี้ นั่งแท็กซี่ไปดีกว่า”
อนุกูลไม่สนใจวรรณศิกา หันไปพูดสาย
“ไงจ๊ะแพรว”
“ลืมถามไป วันศุกร์ว่างไหมจ๊ะดาร์ลิ้ง ไปดริ๊งก์กันที่ผับนังก้อยไหมคะ”
“วันศุกร์ผมมีนัดกับคุณน้า จะพาท่านไปเรียนทำอาหาร”
“เอ๊ะก็...”
พัชนีติงออกมาดังๆอีกเพราะเขาโกหก อนุกูลยัดตุ๊กตาปิดปากเธอหมับ ทันเวลาพอดี
“แล้วเขาไม่มีขา ไม่มีปาก ขึ้นรถไปเองหรือคะ”
“แหม ญาติผู้ใหญ่ เอาเป็นว่า คืนวันเสาร์เราค่อยไปดริ๊งก์กันโอเคไหม อ้อ...อย่าลืมเอาจีสตริงตัวใหม่มาอวดผมน้า”
“บ้า...น้าจริงๆนะ อย่าให้รู้ล่ะว่ามีกิ๊ก ฮึ...บายล่ะค่ะ”
แพรววางสาย
“จีสตริง”
พัชนีพึมพำพยายามนึก อนุกูลเหล่ตามอง
“ไม่รู้จักหรือ ไม่รู้จักจริงอ่ะ ก็...”
“ฮะแอ้ม!”
วรรณศิกาปรามให้สุภาพกับผู้หญิง อนุกูลยิ้มๆ
“กล้องถ่ายรูปน่ะ คุณวรรณก็มีอันหนึ่ง”
วรรณศิกาตกใจไอแค่กๆ มองเขาตาเขียวที่มาแซวตน อนุกูลแอบขำ
“นัดเต็มทั้งศุกร์และเสาร์ เพอร์เฟค”
อนุกูลผิวปากมีความสุข วรรณศิกาหมั่นไส้
“ยายจินนี่คนนี้ มีลูกมีผัวแล้วไม่ใช่หรือ ยายแพรวนี่ก็เหมือนกันสถานะยังคลุมเครือไม่รู้ว่าเลิกกับเพื่อนคุณหรือยัง นี่ถามจริงๆ ไม่ชอบแก่ตายหรือไง”
“คุณวรรณก็ คิดมากน่ะ คนสมัยนี้มันขี้เหงา หาความสุขสดชื่นให้ชีวิตนิดๆหน่อยๆ คบกันเดี๋ยวเดียวเดี๋ยวก็เลิก ก่อนที่ผัวเขาจะมาเจอ ผมก็ไปไหนถึงไหนแล้ว”
“มุสาวาทะ กาเมสุมิจฉะ สุราเมระยะ”
พัชนีรีบหุบปากเมื่อรู้ว่าเผลอพูดออกมาอีกแล้ว อนุกูลตกใจจอดรถข้างทางพรวดเพราะนึกว่าโดนเล่นของ ชี้หน้าพัชนีแล้วโวยวาย
“เฮ้ย...เธอท่องคาถาอะไรใส่ฉัน เล่นของหรือ”
“ขอโทษค่ะ เวลาคิด ชอบพูดออกมาเรื่อยเปื่อย เฮ้อ...ไม่ดีเลย ว่าแต่เขาตัวเราก็ทำผิดข้อ สัมผัปปลาปะ”
อนุกูลถอยไปติดผนังรถ มองพัชนีเหมือนเห็นผี...ผู้หญิงอะไรวะเนี่ย
“เหวอ....คุณวรรณ ไปเอาไอ้พรรค์อย่างนี้มาจากดาวดวงไหนเนี่ย เอแต่...ว่าคาถานี่มันฟังคุ้นๆ”
“ศีลข้อสี่ ข้อสาม แล้วก็ข้อห้า คุณทำผิดหมดเลย ส่วนฉัน ก็ทำผิดศีลเหมือนกัน พูดเพ้อเจ้อไร้ประโยชน์ไงคะ”
“เฮ้ย...ผู้หญิงอะไรวะ โคตรน่ากลัว”
อนุกูลมองพัชนีเหมือนมองสิ่งมีชีวิตจากนอกโลก แต่วรรณศิกาแอบขำ คิดไปอีกอย่างหนึ่ง พึมพำคนเดียว

“สนุกละ เพลย์บอยปากเสีย มาเจอกับ แม่ชีจอมเป๋อ...ฮิฮิ”

อนุกูล วรรณศิกาและพัชนีเดินถือถุงของเข้ามาในห้องโถงแล้วต้องสะดุ้ง
“เฮ้ย”
“ศพคุณทวดคุณศามน เขาจัดงานกันที่นี่น่ะ” วรรณศิกาบอก
อนุกูลหน้าตื่น
“หา...แปลว่า อยู่บ้านเดียวกับศพหรือ”
“ไม่เห็นแปลกนี่คะ ไม่ใช่คนอื่น ญาติผู้ใหญ่ของเราเอง” พัชนีพูดเรียบนิ่ง
ศามนเดินนำทุกคนเข้ามา แล้วทักทาย
“คุณอนุกูล คุณวรรณศิกา”
อนุกูลยิ้มให้
“คุณศามน...เจอหน้ากันแต่ในอินเตอร์เน็ตนะครับ”
วรรณศิกายิ้มแย้ม
“ยินดีต้อนรับกลับเมืองไทยค่ะ”
“นี่รัมภาครับ ภรรยาผม นี่คุณอนุกูลเป็นรองฝ่ายการตลาด นี่คุณวรรณศิกาเลขาผม แล้วนี่เอ้อ...”
ศามนมองพัชนีไม่เคยเจอหน้า
“พัชนีค่ะ ผู้ช่วยพี่วรรณ เพิ่งเข้ามาทำงานได้สองวัน”
วรรณศิกาชี้ถุงของให้บุญสืบและคำยกออกไป
“อันนี้เป็นผ้าปูที่นอน เอาไปปูห้องนอนพวกคุณๆนะ อันนี้เป็นของสดไว้ในตู้เย็น พวกไส้กรอก ขนมปังน่ะค่ะ เดี๋ยวเด็กๆ จะกินอาหารไทยไม่ได้ รัสตี้ ไลล่าใช่ไหมคะ”
เด็กทั้งสองยกมือไหว้ผู้ใหญ่ทั้งหลาย
“ไลล่ายกมือไหว้ได้ค่ะ”
“สวัสดีและขอบคุณครับ”
วรรณศิกายิ้มเอ็นดู
“พูดจาฉะฉาน ไม่กลัวคน แบบเด็กฝรั่ง แต่ก็มีความน้อมนอบแบบคนไทยอยู่ด้วย น่ารักจังค่ะ”
“เรายังอยู่ในสังคมคนไทยน่ะค่ะ คุณยายที่โน่นก็ช่วยอบรมด้วย ภาษาและกิริยามารยาทก็เลยยังมีความเป็นไทย ขอบคุณมากนะคะที่เป็นธุระช่วยเหลือ” รัมภาอธิบาย
“อีกครู่ คนขับของบริษัทจะเอารถประจำตำแหน่งมาให้ คราวนี้ก็สบายแล้ว แถวนี้ยังมีความเป็นบ้านสวนอยู่ แต่ถนนหนทางดีค่ะ ออกไปหน่อยก็มีตลาดแล้ว” วรรณศิกาบอก
“ช่วงนี้ คุณคงต้องวุ่นเรื่องงานศพทุกวันที่จริงจดรายการมาก็ได้ เดี๋ยวให้ คุณวรรณจัดการให้ก่อน” อุนกูลแนะ
ศามนกับรัมภาพยักหน้าว่าดีเหมือนกัน

ทั้งหมดย้ายมาดื่มชา และของว่างกันที่ศาลาในสวน เด็กๆวิ่งเล่นอยู่ห่างไป วรรณศิกาและพัชนี นั่งดูรายการในกระดาษจดที่ศามน และรัมภาจดให้
“รายการของคุณศามน ดอกกุหลาบสีขาว ผ้าขนหนูเข้าชุดสีขาว” วรรณศิกาอ่าน
“รายการของคุณรัมภา ครีมโกนหนวด กางเกงนอนผู้ชายขาสั้น” พัชนีอ่านบ้าง
วรรณศิกาแปลกใจ
“เอ๊ะ สลับกันหรือเปล่า”
รัมภาจับมือศามน ปลื้มใจ
“เลยรู้เลยว่าคุณเตรียมกุหลาบขาว มาเซอร์ไพร้สฉัน”
ศามนโอบรัมภาเข้ามา มองกันด้วยความรัก
“อยากให้คุณสดชื่นน่ะ ส่วนผ้าขนหนูสีขาว เห็นคุณบ่นว่าลืมไว้ที่โน่น” ศามนหันไปบอก วรรณศิกากับ พัชนี “ภาเขาชอบสีขาวน่ะครับ ใช้แล้วเขาจะอารมณ์ดี”
รัมภายิ้มปลื้ม
“ฉันเป็นคนจัดของวางให้ทุกเช้าเลยจำได้ว่า ครีมโกนหนวดของเขาหมด ส่วนกางเกงขาสั้นนั่น ถ้าอยู่เมืองนอก เราไม่มีโอกาสใส่เพราะหนาว เลยคิดจะหาให้เขา เพื่อรำลึกชีวิตวัยเด็กที่เมืองไทย”
อนุกูลมองทั้งสองคน แบบไม่เชื่อสายตา พึมพำเบาๆ
“ฝากซื้อของให้กันและกัน ไม่มีของๆตัวเองเลยเนี่ยนะ อืม เลี่ยนได้อีก”
วรรณศิกากระซิบ
“ก็หาอย่างเขาบ้างสิ มีคนดีๆอยู่ด้วยกันจนวันตายน่ะเคยคิดไหม ไม่ใช่คอยแต่นอนกับผู้หญิงไม่ซ้ำหน้า...”
อนุกูลยักไหล่ไม่แคร์ วรรณศิกาหันไปหาสองสามีภรรยา
“เดี๋ยวเราจะจัดให้นะคะ ปล่อยเป็นหน้าที่ของฉันกับหนูพัชเถอะ”
พัชนีหันไปค้นกระเป๋าถือ อนุกูลหันไปถาม
“ยายนี่ค้นอะไรยุกยิก”
“จีสตริง”
ทุกคนหน้าเหวอนึกว่าฟังผิด
“หา...อะไรนะ” อนุกูลถามย้ำ
“จีสตริงของพี่วรรณน่ะ ว่าจะเอาออกมาใช้ที่นี่ ทุกคนจะได้ดู”
วรรณศิกาที่ดื่มน้ำอยู่ ตกใจพ่นน้ำพรวดไปกองที่พื้น แถมด้วยอาการสำลักแค่กๆ เธอนึกถึงคำพูดของอนุกูลที่เป็นต้นเหตุทำให้พัชนีเข้าใจผิด
‘กล้องถ่ายรูปน่ะ คุณวรรณก็มีอันหนึ่ง’
อนุกูลปิดปากขำอย่างสนุกสนาน ส่วนศามนกับรัมภา ยิ้มหลบหน้า พัชนีงงๆ
“เอ้า...กล้องของพี่วรรณนี่ไม่ใช่ชื่อรุ่นจีสตริงหรือคะ”
วรรณศิกาเกาหัวแล้วกระซิบบอกความจริง พัชนีอายหน้าแดง ถึงกับรำพึงตามที่วรรณศิกาบอก
“จีสตริงแปลว่า...กางเกงใน” เธอหันไปโวยอนุกูลทันที “คุณหลอกพัช !”
อนุกูลหัวเราะลั่น
“โฮ้ย...นานๆที ได้หัวเราะขนาดนี้...คนสมัยนี้มีใครไม่รู้จักจีสตริงบ้างเนี่ย ยายมนุษย์ต่างดาวเอ๊ย”
พัชนีอายจนหน้าแดง คนอื่นๆ ยิ้มแย้ม บรรยากาศดี

ขณะที่ออกไปเดินเล่นชมสวน พัชนียังยืนหน้างอ แอบมองอนุกุลด้วยความโกรธ
“เอาน่า ถ่ายๆไปเถอะ สนใจงานของเราดีกว่า”
วรรณศิกาทิ้งพัชนีไว้ให้ถ่ายรูป แล้วเดินมาหาอนุกูลที่อยู่ห่างไป อนุกูลมองพัชนีไม่วางตาด้วยความเอ็นดู
“ยายเนี่ย นอกจากธรรมมะธรรมโม ยังซื่อบื้ออีกด้วย เกิดมาไม่เคยพบเคยเห็น”
“ดีแล้วที่คุณนุไม่ชอบ จะได้ไม่มีเรื่องสมภารกินไก่วัด มรรคทายกอย่างฉันจะได้ไม่ต้องเหนื่อย”
“เฮอะ ขืนควงไปไหนต่อไหนอายเขาตาย ไม่สนหรอก แล้วนี่เขาจะถ่ายรูปไปทำไม”
“พรุ่งนี้ มีแขกมาดูงานน่ะ หนูพัชมีหน้าที่ถ่ายรูป จะให้เขาฝึกไว้จะได้ใช้คล่องๆ”
พัชนีมองผ่านเลนส์กล้องทำให้มองได้ไกลไปยังอีกฟากของสระบัวเห็นหลังคาเรือนเล็ก โผล่พ้นยอดไม้
“เอ๊ะ...ตรงนั้น”
วรรณศิกาเห็นท่าทางแปลกๆของพัชนีก็ถามอย่างสงสัย
“ทำไมหรือน้องพัช”
“ตรงนั้นเหมือนมีบ้านอีกหลัง”
“บ้านคนอื่นล่ะมั้ง”
“ก็ไหนว่าที่แถวนี้ของคุณศามนหมดไงคะ”
อนุกูลเดินเช้ามา ยืมกล้องของพัชนีมาส่องดูบ้าง
“ไหนยืมจีสตริงหน่อยซิ...”
พัชนีค้อน อนุกูลขำแย่งกล้องมาแล้วส่องดู
“ต้นไม้ขึ้นปิดทางเข้าบ้าน แทบไม่มีทางเดิน ถ้าใช่ จะปิดทางไปทำไม”
ภาพในวิวไฟน์เดอร์กล้อง สายตาอนุกูลเห็นใบไม้ไหวเอน เมฆสีดำลอยเหนือบ้าน ทันใดนั้น อนุกูลก็ได้ยินเสียงบางอย่าง ซึ่งเป็นเสียงสวดคาถาเขมรดังแว่วมา เป็นเสียงที่เยือกเย็น ขลังและน่ากลัว…
“นี่พอเสียทีเถอะน่า...น่ากลัวจะตาย”
วรรณศิกาและพัชนีงงๆ ไม่รู้ว่าอนุกูลพูดกับใคร
“อะไร...ใครพอคะ” วรรณศิกาถามอย่างสงสัย
“ก็ไอ้ภาษาบาลีศีลห้าอะไรน่ะ จะท่องทำไมบ่อยๆ เพี้ยนหรือเปล่าเนี่ย”
พัชนีรู้ว่าหมายถึงตนก็ชะงัก
“พัชไม่ได้พูดอะไรนะคะ”
“หา…”
อนุกูลงงๆ วรรณศิกายืนยันเสียงหนักแน่น
“ฉันยืนกับน้องพัช เขาไม่ได้พูดอะไรจริงๆค่ะ”
อนุกูลอึ้ง มองไปรอบๆ สงสัยว่าตนเองได้ยินเสียงอะไร วรรณศิกาแปลกใจ
“มีอะไรหรือเปล่าคะ”
“เปล่าๆ ไม่มีอะไรหรอก”
อนุกูลได้แต่ยืนคิดต่อ ว่าตนเองจะหูฝาดได้ขนาดนั้นเชียวหรือ แต่ไม่อยากเล่าให้ใครฟัง

ค่ำนั้น...พระมาสวดพระอภิธรรมศพคุณหญิงอบเชยที่บ้าน โดยมีญาติและแขกนั่งฟังอยู่ แอน น้อย เจี๊ยบ นั่งอยู่ข้างหลัง รัมภากับศามน ฟังสวดอยู่ ทั้งสามคอยมองศามนและรัมภาอย่างสนใจใคร่รู้ รัมภารู้สึกว่ามีคนมองหันไปมองตอบ สามสาวสะดุ้งยิ้มให้ รัมภายิ้มตอบ ยังไม่มีเวลาทักทายกันนัก แต่สามสาวรู้เรื่องรัมภาแล้ว บุญสืบที่มาเสิร์ฟน้ำศามนกับรัมภาเลยแนะนำสามสาวกับรัมภา
“พี่แอน เจ๊น้อย แล้วก็พี่เจี๊ยบ ขาเม้าท์ประจำตลาดครับ”
รัมภาพยักหน้า ยิ้มอีกที...ช่วงเว้นจากการสวด ศามนจับมือรัมภา แอนรีบสะกิดมือเพื่อน
“มือๆ”
รัมภากระซิบตอบให้กำลังใจ กริยาใกล้ชิด แสดงความรักเหมือนฝรั่งมากกว่าคนไทย ทำให้ดูแปลกแยก เจี๊ยบกระซิบเพื่อน
“กระซิบๆๆ”
สามสาวเอียงตัวกะเท่เร่ไปทางซ้าย พร้อมกันจนเป็นแถวเอียงซ้ายตามรัมภา เพื่อเงี่ยหูว่ากระซิบอะไร ศามนยิ้มให้รัมภาเปลี่ยนมากอด น้อยหน้าตื่นรับกระซิบเพื่อน
“กอดๆๆ”
สามสาวตาโตเท่าไข่ห่าน คราวนี้พร้อมกันเอียงขวามาตามมือของศามนว่ากอดเฉยๆ หรือว่ามีสะกิดด้วยลูบด้วยอะไรยังไง ตามประสาชาวบ้านที่ไม่ค่อยเห็นอะไรแบบนี้ รัมภารู้สึกตัวรีบหันไปดูด้านหลัง สาวสาวหดหัวที่เอียงอยู่ให้ตั้งตรงพรึ่บ แล้วทำไม่รู้ไม่ชี้ รัมภาเริ่มรู้แล้วว่าจะต้องถูกนินทา เธออึดอัดไม่ชอบนัก

หลังจากงานสวดศพผ่านไปแขกเหรื่อกลับหมดแล้ว ทุกคนเตรียมเข้านอน รัมภาและศามน เดินมาหาลูกในห้องนอนเด็ก
“แม่มาแล้วค่ะ”
“มาอ่านนิทานกันเร็ว เอ้า...หลับกันหมดแล้ว” ศามนเรียกลูกๆ
รัมภาลูกชายลูกสาวอย่างเอ็นดู
“สงสัยเพลีย ยังปรับเวลาไม่ได้”
สองสามีภรรยาจูบลูกแล้วห่มผ้าให้

ศามนกับรัมภาเดินกลับมาที่ห้อง มานอนบนเตียงของตน
“ผมก็ง่วงนะเนี่ย ตอนพระสวด โงกไปตั้งหลายที”
“ภาก็เบลอๆไปเหมือนกันค่ะ จะเพลียอีกกี่วันก็ไม่รู้”
“ห้องกว้างสะใจไปเลย อืม...ผมรักคุณนะภา”
ศามนขยับตัวมาโอบกอดภรรยา
“ภาก็รักคุณค่ะ”
“ผมขอโทษนะเรื่องวันนี้ ผมน่าจะใส่ใจความรู้สึกและเล่าทุกเรื่องให้คุณ
ฟังตามที่เราสัญญากันไว้”
“บางทีภาอาจจะคิดมากไปเองอย่างที่คุณว่า ท่านเป็นทวดของคุณนี่นา”
ศามนยิ้มอย่างดีใจที่รัมภาเข้าใจ

เสียงเพล้งเชิงเทียนหล่นดังลั่น ราวกับมีคนผลัก ขณะที่หล้าและบุญสืบกำลังเก็บของชุดสุดท้ายในห้องโถง
“ห้องก็ไม่มีลม จู่ๆ เชิงเทียนล้มได้ไงอ่ะพ่อ” บุญสืบถามอย่างแปลกใจ
“นั่นสิวะ รีบทำแล้วรีบเผ่นกันเถอะ” หล้าบอก
บุญสืบขนหัวลุก ช่วยกันเร่งมือกับพ่อเก็บของต่อไป ด้านหลังเป็นรูปอบเชยที่ดูน่ากลัว

ในห้องนอนใหญ่...
จู่ๆ ลมก็พัดหน้าต่างให้เปิดแอ๊ดออกไปช้าๆ ศามนที่หลับไปแล้ว ได้ยินเสียงสวดภาษาเขมร เขาสะดุ้งตื่น ลุกขึ้นนั่งเพราะเสียงสวดนั้น รัมภางัวเงียถาม เพราะหลับไปแล้วเช่นกัน
“จะเข้าห้องน้ำหรือคะ”
“อ๋อเปล่าจ๊ะ ภานอนเถอะ”
ศามนเอนนอนลงยังครุ่นคิดว่าเสียงนั้นคืออะไร รัมภาที่หลับลงอีกครั้ง เสียงบทกล่อมเด็กที่เคยได้ยินดังขึ้นมาอีก คราวนี้รัมภาเป็นฝ่ายลุกขึ้นตื่น จนศามนต้องลุกตาม
“คุณ...ฝันร้ายหรือจ๊ะ”
“เปล่าค่ะ ไม่มีอะไร...ภาไปหาน้ำดื่มก่อน คุณนอนเถอะนะ”
ศามนพยักหน้านอนลงคิดต่อ ต่างฝ่ายไม่ยอมเล่าเรื่องของตนให้อีกฝ่ายฟัง

ยายคำ ตาหล้า และบุญสืบ ช่วยกันล้างถ้วยชามอยู่ในครัว เสียงหมาหอนโหยหวนเยือกเย็นดังขึ้น
บุญสืบกระโดดเข้าไปเบียดแม่
“ฮือ คุณหญิงท่านเล่นไม่ซื่อเสียแล้ว”
คำโมโห
“ไอ้นี่ ขอตบปากทีเถอะ ไม่รู้จักคุณข้าวแดงแกงร้อน”
“เราอยู่มาตั้งหลายคืน ก็ปกติดี พอพวกคุณผู้ชายมา คุณหญิงท่านก็เหมือนอยู่ไม่ติดเลยทีเดียว ดูเด่ะ หมาหอนดังลั่นไปทั้งสวนเลยแม่” บุญสืบไม่วายบ่น
“เพ้อเจ้อ”
“แม่จำคำของคุณหญิงท่านไม่ได้หรือไง” หล้าบอก “ตอนใกล้ๆจะเสีย ท่านเพ้อเหมือนคนบ้า”

เรื่องราวในอดีตผุดขึ้นมาในความคิดของ 3 พ่อ แม่ ลูก  
เหตุุการณ์วันนั้นก่อนจะสิ้นใจ คุณหญิงอบเชยมีสภาพทรุดโทรมน่ากลัว นอนป่วยอยู่บนเตียง ระหว่างนั้นเหมือนท่านมองเห็นใครบางคนที่ปลายเตียง คุณหญิงอบเชยด่าทอใครคนนั้นไม่ขาดปาก
“อย่ามาทำลูกกู กูจะปกป้องลูกหลานกู แม้ชีวิตจะหาไม่ วิญญาณของกูจะตามมาอยู่กับลูกหลานกู”
คำเดินนำหมอเข้ามาในห้อง หมอรีบเข้ามาดูอาการ อบเชยเริ่มร้องไห้ คร่ำครวญ
“ฮือ ลูกกูหลานกู ฮือ อย่าทำ ฮือ อย่าทำ”

บุญสืบฟังที่ตาหล้าเล่า แล้วเสริม
“หมอยังบอกว่าท่านสร้างภาพหลอกตัวเอง ว่าลูกหลานท่านได้รับอันตราย”
หล้าส่ายหน้าปลง
“เฮ้อ รักมาก ห่วงมาก”
“คนบ้านะแม่...เวลาตายก็ต้องกลายเป็นผีบ้า แม่นึกออกไหม แล้วผีที่บ้า ก็อาจจะมาเอาชีวิตลูกหลานตัวเอง!! เข้าใจหรือยังล่ะแม่!”
คำตบหัวบุญสืบเปรี้ยง
“ไอ้บุญสืบ มึงนี่ ดูทีวีมากไปแล้ว มึงอย่าพูดแบบนี้ให้คุณผู้หญิงคุณผู้ชายได้ยินเชียวนะมึง ไป๊ ไปนอน”
ทั้งสามคนคุยกันโดยที่ไม่รู้ว่า รัมภามายืนอยู่ตรงนั้นสักพัก ได้ยินแล้วยืนตัวชาอยู่ด้วยความกลัว ขณะเดียวกันเสียงฟ้าวาบๆ แล้วฟ้าผ่าเปรี้ยงๆ ฝนกำลังจะตกเต็มทีแล้ว
รัมภาเดินเคร่งเครียดกลับไปที่ห้องนอน ท่ามกลางความมืด เธอระแวงมองซ้ายขวาเกิดหวาดกลัวบ้านนี้ขึ้นมา เมื่อกลับมานอนที่เตียงก็พยายามข่มตานอนบอกกับตัวเอง
“คำพูดของคนงาน ก็แค่คนงาน...นอนซะ นอนซะ…”

ภายในห้องนอนรัสตี้ กับไลล่าซึ่งต่างก็หลับไปแล้ว...ลมพัดหน้าต่างที่ปิดไม่สนิทดังแก๊กๆ แล้วเปิดผ่างออกเปรี้ยง! ราวกับถูกกระชากออก
ควันสีดำลอยรวดเร็วจากหน้าต่างเข้ามาในห้อง เสียงสวดมนต์ภาษาเขมรดังรัวเร็วขึ้น เด็กแฝดเหมือนถูกปลุกให้ตื่นขึ้น ทั้งสองมองหน้ากัน
“ไปเล่นกันเถอะ” รัสตี้บอก
ไลล่าพยักหน้า ทั้งสองออกวิ่งไปจากห้อง ท่ามกลางลมพัดสวนแรง ก่อนฝนตก เสียงหมาหอนดังคู่ไปกับเสียงสวดมนต์ เด็กแฝดเดินลงไปในสวน เหมือนมีคนดลใจ พวกเขามุ่งไปที่สระน้ำ
ขณะเดียวกันนั้น รัมภากับศามน นอนหลับไม่รู้เรื่อง เสียงเพลงกล่อมเด็กดังขึ้นในหูของรัมภา เพื่อต้องการปลุกให้รัมภาตื่นขึ้นไปช่วยลูก

ในสวน...ลมเริ่มพัดเด็กทั้งสอง ให้เดินลำบากขึ้น
“ฝนจะตกแล้ว กลับบ้านเถอะ” ไลล่าชวน
“มาเถอะ ไปที่สระน้ำ ไปที่สระน้ำกัน”
รัสตี้ลากไลล่าไปด้วยกัน

พัชนีตื่นกลางดึกมาดื่มน้ำ แล้วเดินไปเปิดซองรูปภาพที่อัดล้างมาแล้วดูฆ่าเวลา ช่วงซึ่งเป็นลุงของเธอเดินมาหา
“ยังไม่นอนหรือ”
“หลับไปแล้วค่ะ แต่ได้ยินเสียงเหมือนฝนตก เลยลุกมาดูประตูหน้าต่าง คุณลุงล่ะคะ”
“คนแก่น่ะ จะนอนจะตื่นไม่เป็นเวลาหรอกลูก นั่นรูปอะไร”
“บ้านเจ้านายค่ะ บ้านเก่า ได้รับมรดกมา สวยดี”
ช่วงเดินมาดูด้วย ช่วงดูรูปภาพมุมต่างๆแล้วมาสะดุดที่ภาพสวนบริเวณสระน้ำ ที่มีหลังคาและบางส่วนของเรือนเล็ก แทรกอยู่ในหมู่ไม้
“เอ๊ะ ตรงนี้มีบ้านอีกหลังหรือ”
“ใช่ค่ะ แปลกดีนะคะ บ้านยังสภาพดีอยู่ แต่เหมือนตั้งใจจะปิดตายทางเข้ารกทึบเชียวค่ะ”
ช่วงเพ่งมองรูปนั้น เกิดความสั่นไหวในใจที่บอกไม่ได้ ว่าคืออะไร
“เอ๊ะ”
“ทำไมคะ”
ช่วงไม่แน่ใจ จึงอยากไปนั่งสมาธิในห้องพระเพื่อมองให้แจ่มชัด
“ลุงไปนั่งสมาธิที่ห้องพระนะลูก เข้านอนซะล่ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะตื่นสาย”
“ค่ะ ราตรีสวัสดิ์ค่ะ”
พัชนีเดินกลับไป ช่วงมองรูปถ่ายนั้นแล้วเดินเข้าห้องพระ

ในสวน…
เหมือนมีเสียงกระซิบในใจให้เดินไปที่สระน้ำ ทำให้รัสตี้จูงไลล่า ผ่านสายลมแรงน่ากลัวไปเรื่อยๆ
“ข้ามสะพานนี้ไป ไปเล่นกันที่ฝั่งโน้น”
ทั้งสองเดินมาถึงสะพานข้ามสระน้ำที่เก่าโทรม เมื่อข้ามสะพานไม้นี้ไป จะถึงเรือนหลังเล็ก ลมพัดสะพานที่กำลังใกล้หักให้ดูน่ากลัวมากขึ้น
“สะพานเก่าแล้ว อันตราย อย่าไปเลย”
รัสตี้ครุ่นคิดลังเลมองสะพาน มองฝั่งอีกฝั่งหนึ่งไปพร้อมกัน อยากไปแต่ก็กลัว

ที่ห้องโถงใหญ่…หน้าต่างเปิดออกเปรี้ยง ลมพัดเข้ามากรูเกรียวจนข้าวของปลิวว่อน รัมภาสะดุ้งตื่นขึ้นเพราะเสียงเคร้งคร้างในห้องโถง และเสียงเพลงกล่อมเด็กที่ดูดุดันขึ้น ในใจนึกถึงที่บุญสืบพูด
‘....คนบ้านะแม่...เวลาตายก็ต้องกลายเป็นผีบ้า แม่นึกออกไหม แล้วผีที่บ้า ก็อาจจะมาเอาชีวิตลูกหลานตัวเอง!! เข้าใจหรือยังล่ะแม่!’
รัมภารู้สึกเป็นห่วงลูกขึ้นมาจับใจ รีบวิ่งออไปจากห้องนอน ตรงไปห้องลูก แล้วต้องชะงัก เมื่อเห็นว่าที่เตียงไม่มีเด็ก รัมภาร้องกรี๊ดเพราะอารมณ์ที่กลัวติดค้างอยู่แล้ว กลายเป็นว่ามาเกิดขึ้นกับลูกตัวเอง

“....ลูกแม่ ! รัสตี้ ไลล่า!”

อ่านต่อหน้า 3 พรุ่งนี้ เวลา 9.00 น










 บ่วง ตอนที่ 1 (ต่อ) 

ท้องฟ้ายามนั้นเต็มไปด้วยสายฝน เสียงฟ้าร้องคะนองเป็นระยะ ใบไม้ไหวเอนตามแรงลมที่พัดโหมกระหน่ำ เด็กแผดรัสตี้กับไลล่าเดินฝ่าความมืดและสายฝน มาถึงที่สะพานไม้เล็กๆ ข้ามบึงเล็กๆ เพื่อไปที่ฝั่งเรือนหลังเล็ก ทั้งสองเห็นสะพานอยู่ตรงหน้า

“ไป ไปดูกันว่าฝั่งนั้นมีอะไร ไปกันเถอะ”
รัสตี้บอก แต่ไลล่าส่ายหน้า
“ฝนตกใหญ่แล้ว กลับกันเถอะ”
รัสตี้ชี้ไปอีกด้านของสะพาน
“นั่นๆ มีแสงวับๆ ดูสิ มีสมบัติแน่เลยข้ามสะพาน ไปหาสมบัติกัน มานี่”
รัสตี้ลากไลล่าไป ยังไม่ทันถึงสะพาน ฟ้าผ่าสว่างวาบ แล้วเปรี้ยงอยู่บนท้องฟ้าห่างไป แต่เสียงดังมาก ทำให้ทั้งสองตกใจ ร้องกรี๊ดแล้วพากันนั่งลง!

เวลาเดียวกันไฟในบ้านชั้นล่างถูกเปิดขึ้น รัมภาวิ่งลงมาจากชั้นบนตะโกนลั่นไป ดังทั่วบ้าน สายตามองหา วิ่งไปรอบๆ ที่คาดว่าเด็กจะอยู่
“ไลล่า รัสตี้ อยู่ไหนลูก ไลล่า รัสตี้”
ศามนวิ่งตามลงมาทันที
“มีอะไรคุณ”
“ไลล่า รัสตี้ หายออกไปจากห้อง”
บุญสืบ ยายคำ และตาหล้าวิ่งหน้าตื่นออกมาดูจากเรือนคนใช้ด้านหลัง ต่างถือไฟฉายมาคนละกระบอก
“คุณหนูหายไป” หล้ากังวล
บุญสืบหน้าซีด ตะโกนออกมา “ผะ ผี”
คำรีบกระโดดไปจับปาก ศามนเดินไปเอาไฟฉายมาอันหนึ่งจากบุญสืบ
“ช่วยกันออกตามหาเร็ว”
ทั้งหมดแยกย้ายกันออกตามหาในบ้านก่อน

ไลล่ายังกอดรัสตี้ นั่งอยู่ที่เดิม
“ฮือ รัสตี้ ไลล่ากลัว พาไลล่ากลับบ้านหน่อย ฮือ” ไลล่าร้องอย่างเสียขวัญ
รัสตี้มองท้องฟ้าเห็นฟ้าแล่บอยู่วาบๆ ห่างไป
“ไป กลับก็กลับ”
เสียงสวดมนต์เขมรดังขึ้น แพงเริ่มร่ายมนต์บางอย่างมาจากบ้านของตน รัสตี้ที่กำลังจะพาน้องเดินไป เหลียวหลังกลับ หันขวับเหมือนถูกเรียก
“หยุดทำไมล่ะ รัสตี้!”

ช่วงนั่งสมาธิอยู่ในห้องพระ ดวงตาของลุงช่วงจู่ๆ เบิกโพลง เพราะเกิดเห็นนิมิตบางอย่างในใจ
“แย่แล้ว!”
ช่วงรีบลุกไปเคาะประตูห้องพัชนี
“พัช...ลูก... ตื่นเร็ว”
พัชนีเปิดประตูออกมา
“ลุงมีอะไรคะ”
“เรื่องเจ้านายของพัช ลุงอยากคุยด้วย”
“คุยเรื่องเจ้านายหนูหรือคะ”
พัชนีงงมาก

รัมภา ศามน พร้อมด้วยสามพ่อแม่ลูกเดินหารัสตี้กับไลล่ารอบบ้านแล้ว ไม่พบจึงวิ่งกลับมารวมตัวกันที่เดิม
“ในบ้านทุกซอกทุกมุม ไม่มีเลยครับ” บุญสืบบอก
ศามน รัมภา มองออกไปนอกบ้าน ฝนตกหนักฟ้าครืนดูน่ากลัว ต่างก็ไม่อยากเชื่อว่าเด็กทั้งสองจะกล้าออกไป
“หมายความว่า....ข้างนอก!” ศามนปรารภ
รัมภาอึ้งๆ
“ออกไปข้างนอกตอนฝนตกเนี่ยหรือ”
ศามนหันไปสั่ง
“ออกไปค้นดู! ฉันกับภาจะไปด้านนี้ นายสามคนไปด้านนี้”
ทั้งหมดวิ่งฝ่าสายฝน ออกไปนอกเรือนใหญ่ทันที

คำ หล้า บุญสืบ วิ่งออกมาที่เฉลียงหน้าบ้าน บริเวณหน้าห้องโถงที่เป็นที่ตั้งศพ จู่ๆ คำก็หยุดเดิน
“เอ้าแม่ หยุดทำไม”
“แม่เห็น...เหมือนคุณท่านอยู่ตรงนั้น”
คำชี้ไปที่เฉลียงมุมหนึ่ง บุญสืบสะดุ้งขาสั่นพั่บๆๆ หล้าหันมามองขาทั้งสองของบุญสืบ
“ยุงกัดหรือลูก มาพ่อปัดให้”
บุญสืบตวาดแว้ด “ไม่ต้อง! อย่ามาแตะ เดี๋ยวฉี่แตก”
“แม่คงตาฝาดมั้ง ไปเถอะ” คำชักไม่แน่ใจ
“รีบๆเลย ไปเลยเร็วเข้า บรื๋อ”
คำ หล้า และบุญสืบวิ่งฝ่าสายฝนออกไป ระหว่างนั้นมุมที่คำชี้ไปเมื่อครู่ มีกลุ่มควันสีขาวๆ เกิดขึ้น ร่างสีขาวของคุณหญิงอบเชยปรากฏขึ้นจางๆ คุณหญิงอบนั่งก้มหน้าเศร้าอยู่ ก่อนจะลุกขึ้นยืนมองออกไปข้างหน้า อย่างเป็นห่วงเป็นใยเด็กทั้งสอง

พัชนีกับช่วงมานั่งคุยกันที่ห้องนั่งเล่น ช่วงดูรูปถ่ายบ้านศามนของพัชนีอีกครั้ง
“ลุงช่วงนั่งสมาธิอยู่ แล้วมองเห็นบางอย่างในบ้านเจ้านายหนูหรือคะ” พัชนีถามอย่างสงสัย
ช่วงพยักหน้า
“ดวงวิญญาณที่ยังติดอยู่ในบ่วง! ไม่ยอมไปไหน!”
พัชนีตกใจกับสิ่งที่ได้ฟัง และพูดถึงสิ่งที่รู้มาให้ฟัง
“ที่บ้านนั้น เขายังไม่เผาคุณทวดค่ะ ท่านบอกจะอยู่ปกป้องหลาน ใช่วิญญาณคุณทวดหรือเปล่าคะ!”
“ไม่ใช่...เข้าใจผิดไปใหญ่แล้ว”
“เข้าใจผิดยังไงคะ”
“วิญญาณบรรพบุรุษนั้นยังอยู่ก็จริง แต่ท่านมาช่วย ไม่ได้มาทำร้าย ท่านมาดีเข้าใจไหมพัช!”
พัชนีงงว่ามีวิญญาณอื่นด้วยหรือ
“มาช่วยคุ้มครองลูกหลานใช่ไหมคะ ว่าแล้ว ปู่ย่าตายายที่ไหนจะทำหลานได้”
“แต่มันไม่ได้มีแค่นั้น” ช่วงบอกเสียงเครียด
พัชนีแปลกใจ
“อะไรนะคะ”
“ที่บ้านนั้น ไม่ได้มีวิญญาณแค่ดวงเดียว มีวิญญาณอื่นอยู่ด้วย เข้าใจไหม วิญญาณรัก วิญญาณแค้น...ไม่ได้แล้ว ลุงจะไปสวดมนต์ บางทีอาจช่วยได้”
ช่วงลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้องพระทันที พัชนีได้แต่ยืนกังวลใจ

ทางด้านรัสตี้หันไปมองอีกฝั่งหนึ่งของสะพานนิ่ง เหมือนต้องมนต์ จนไลล่าต้องสะกิด
“รัสตี้หยุดดูอะไร”
เสียงสวดมนต์เขมรยังดังอยู่ตลอดเวลา รัสตี้พูดเหม่อๆ เหมือนเจรจากับวิญญาณในเรือนหลังเล็กด้วยจิตใต้สำนึกที่ตนเองก็ยังไม่เข้าใจ
“มีสมบัติอยู่ฝั่งโน้นจริงหรือ”
ไลล่างง “รัสตี้พูดกับใครน่ะ!”
รัสตี้ลากไลล่าหันกลับไปที่สะพาน เดินคืบหน้าไปใกล้สะพานมากขึ้น
“มานี่เร็ว ข้ามสะพานไปกัน!”
ไลล่าตกใจ กับการตัดสินใจครั้งใหม่ของรัสตี้

รัมภากับศามน ถือไฟฉายส่องตามหาลูกไปตามทาง ท่ามกลางสายฝน ปากก็ตะโกน
“รัสตี้ ไลล่า อยู่ไหนลูก”
อีกด้านของสวน คำ หล้า และ บุญสืบออกใช้ไฟฉายส่องไป ตามหาเด็กเช่นกัน
“คุณหนูครับ คุณหนู!”
ทุกคนช่วยกันตะโกน

เด็กแฝดมองไปที่สะพานที่รัสตี้อยากข้ามไป แต่ไลล่า ประหวั่น หวาดกลัว ไม่อยากไป พื้นไม้ของสะพานกรอบแกรบโยกไหว ตามแรงลมดูอันตราย
“ไม่เอา ไลล่าไม่ไป กลับเถอะ กลับบ้านเร็วเข้า!” ไลล่าพยายามห้าม
“ไปเถอะน่า ไปเร็วเข้า ไลล่า อย่าดื้อสิ ไปช่วยกันหาสมบัติ ไปเร็ว”
ทั้งสองยื้อกันอยู่ไปมา รัสตี้อยากข้ามสะพานไปอีกด้าน ไลล่าไม่อยาก พยายามยื้อแขนกัน เพื่อดึงรัสตี้กลับบ้าน
“แด๊ดดี้ หม่ามี้...ไม่ไป ไม่ไป กรี๊ด ช่วยด้วย ช่วยด้วย แด๊ดดี้ หม่ามี้”
ศามนกับรัมภาวิ่งมาจนถึงมุมที่ใกล้กับสะพาน เด็กทั้งสองอยู่ตรงหน้า ทันใดควันสีดำลอยเข้ามา ศามน รัมภาวิ่งมาหยุด ควันสีดำลอยมาบริเวณหน้าของทั้งคู่ เด็กทั้งสองร้องกรี๊ด
ทั้งที่อยู่ตรงหน้าแท้ๆ แต่ทั้งสองฝ่ายไม่เห็นกัน เพราะอำนาจของแพง วิญญาณที่อยู่ในเรือนเล็ก แผ่มาปกคลุม
“แด๊ดดี้ หม่ามี้ ช่วยไลล่าด้วย”
ศามนกับรัมภามองไปที่เด็กทั้งสองอยู่ แต่ไม่เห็นใคร
“เขาไม่ได้อยู่ที่นี่”
ศามน กับรัมภามองไม่เห็นใคร ไม่เห็นเด็ก ไม่ได้ยินเสียงอะไรทั้งนั้น
ไลล่าตะโกนลั่น โดยที่ไม่เห็นพ่อแม่
“แด๊ดดี้ หม่ามี้ ไลล่าอยู่นี่ค่ะ”
รัมภาหันซ้ายขวาไม่เห็นใคร บอกอย่างร้อนใจ
“งั้นรีบไปเถอะ”
ศามนรัมภาจากไปหาที่อื่นต่อ โดยไม่ได้ยินเสียงหัวเราะเยาะหึๆ ด้วยความสะใจ ของแพงที่ดังขึ้น


ที่สะพาน...รัสตี้ กับไลล่ายังยื้อกันอยู่
“ฮือ กลับบ้านเร็ว รัสตี้ ไลล่ากลัว! เอ๊ะนั่นอะไร”
ฝั่งเรือนหลังเล็กของแพง มีควันสีดำลอยอยู่ที่มุมหนึ่ง หมาตัวเล็กสีดำ บังเกิดขึ้นด้วยอำนาจบันดาลของแพง ไลล่าชะงักเท้าที่จะเดินกลับทันที
“หมานี่ ลูกหมาอยู่ทางโน้น”
“ลูกหมาน่ารักจัง ไปเล่นกันเถอะ” รัสตี้เห็นด้วย
คราวนี้ทั้งสองเดินขึ้นสะพานไปทันที ไม่กลัวอะไรอีกแล้ว เพราะมีลูกหมามาเรียกร้องความสนใจอยู่
ทันใดนั้น ร่างสีขาวของคุณหญิงอบเชยพุ่งตรงเข้ามาหยุดที่ข้างสะพานฝั่งเรือนใหญ่ คุณหญิงมองตรงไปที่เด็กทั้งสอง ดวงหน้าเคียดแค้นแพงที่บันดาลหมามาล่อหลานตน

รัมภา ศามนและทุกคน ตัวเปียกปอนจากการวนหารัสตี้กับไลล่ารอบบ้านแต่ไม่พบ จนมาพบกันที่หน้าบ้าน
“เราหาจนทั่วแล้ว ไม่เจอเลยครับ” บุญสืบบอก
ศามนหน้าเครียด
“นี่มันอะไรกัน เด็กตั้งสองคนจะหายไปไหนได้ยังไง”
รัมภาเริ่มร้องไห้ คำทนไม่ไหว หันไปมองทางห้องโถงบ้าน ยกมือไหว้
“คุณท่านเจ้าขา อย่าลักซ่อนเด็กๆ เลยนะเจ้าคะ อย่าเล่นอย่างนี้เลย ปล่อยเด็กคืนมาเถอะนะคะ”
รัมภามองเข้าไปด้านในอย่างเคืองแค้น วิ่งตรงรี่เข้าไปที่ห้องโถง...ทุกคนเข้าใจไปว่า คุณหญิงอบเชยคือผีตนเดียวของบ้านและเป็นผีบ้าที่มาเอาเด็กไป
รัมภาตรงเข้ามายืนหน้าโลงศพอย่างคั่งแค้น คนอื่นตามเข้ามา
“รัมภา คุณจะทำอะไร” ศามนแปลกใจ
“จุดธูปสิคะ ขอให้ท่านคืนหลานๆ มา นี่ค่ะ นี่”
คำรีบเข้าไปจุดธูปให้ พอยื่นให้ รัมภาปัดทิ้ง ธูปกระจายเต็มพื้น รัมภาตะโกนลั่น ชี้โลง
“คนใจร้าย เอาลูกดิฉันคืนมา ได้ยินไหม เอาลูกดิฉันคืนมานะ!”

รัสตี้ กับไลล่าขึ้นสะพานช้าๆ ทีละก้าวเพราะกลัว สะพานพัง เดินทีละก้าวเล็กๆ เกาะๆ กันไว้
“รอก่อนนะเจ้าหมาน้อย รอก่อน”
คุณหญิงอบเชยหันไปมองทางบ้านของตน เพราะได้ยินเสียงด่าทอของรัมภาก็ร้องไห้ออกมา พลางส่ายหน้าว่าตนไม่ใช่คนทำหลาน
ในขณะเดียวกัน ศามนพยายามห้ามเมีย “คุณภา พูดอะไรของคุณน่ะ”
รัมภาอาละวาดปัด แจกันดอกไม้จนล้มคว่ำ พูดกับโลงศพอย่างโกรธแค้น
“ว่าไงคะ คืนลูกดิฉันมาได้หรือยัง เอาลูกดิฉันมาเดี๋ยวนี้ !”

เด็กแฝดยังอยู่บนสะพานประคองกันไปช้าๆ ระวังๆ กลัวสะพานหัก คุณหญิงอบเชยร้องไห้ ตะโกนเรียกเด็กทั้งสอง
“หลานทวด กลับมา...มาหาทวด”
เสียงสวดมนต์เขมรยังดังอื้ออึง ลมพัดกกรรโชก ฝนฟ้าตกลงมาอย่างหนัก แพงในชุดทาส ร่างเป็นผีสีเทาหม่นจางๆ ย่างเข้ามาช้าๆ ที่อีกฝั่งหนึ่งของสะพาน แพงยิ้มเยือกและน่ากลัว
“มาสิจ๊ะ มาหาหมาน้อย ข้ามสะพานมาทางนี้”
“อีแพง อย่ามายุ่งกับหลานกู...ไป๊ ออกไป” คุณหญิงตวาดไล่เสียงดังลั่น
ฉับพลัน สายตาแพงที่ยิ้มเย็นเปลี่ยนเป็นดุดันมองพุ่งไปที่คุณหญิงอบเชย แล้วตรงลงมาที่เด็กน้อย
“อิฉันบอกให้มา”
รัสตี้กับไลล่าสะดุ้ง จิตใต้สำนึกได้ยินเสียงแว่วๆ แต่จับความไม่ได้ ทั้งสองชะงักอยู่กลางสะพาน
“รัสตี้... ไลล่าเหมือนได้ยินเสียงคนพูด”
รัสตี้กับไลล่า มองไปรอบๆ งงๆ เพราะบอกไม่ได้ว่า ได้ยินเสียงพูดว่าอะไร
ขณะเดียวกัน แพงยังคงส่งเสียงเรียก
“มานี่ ข้ามมาทางนี้มาช่วยปลดปล่อยข้า มาสิเด็กน้อย ข้ามมา”
คุณหญิงอบเชยไม่ยอมพยายามเรียกหลาน
“หลาน กลับมานี่ มาหาทวด กลับมา”
ไลล่านิ่งอึ้งแปลกใจ “เสียงใคร เสียงใครอีกแล้ว”

ในห้องโถง รัมภาร้องไห้จนหมดแรงทรุดตัวลงนั่ง ศามนประคองไว้
“ภา...คุณคิดมากไปแล้ว คนตายไปแล้ว ท่านทำอะไรไม่ได้หรอก”
รัมภาร้องไห้กอดสามีไว้
ขณะเดียวกัน ช่วงอยู่ในห้องพระกำลังสวดมนต์ปากพึมพำ หวังเอาอำนาจพระพุทธคุณเข้าสู้เพื่อปกป้องเด็กทั้งสองที่อยู่กลางสะพานไม้ จะเลือกไปหรือกลับ
ผีสองตนอยู่คนละฝั่งของสะพานต่างกำลังเรียกให้เด็กมาหาตน
“มานี่สิเด็กน้อย ลูกหมาน่ารักรอเจ้าอยู่ ข้ามสะพานมาสิ”
“หลานทวดมานี่มาเร็ว กลับมาฝั่งนี้ มาหาทวด ทวดเป็นคุณยายของพ่อหนูไง”
ไลล่าหันขวับไปหาคุณหญิงอบเชย รู้สึกได้ว่ามีคนส่งกระแสจิตเรียก ไลล่ามองจุดที่คุณหญิงอบเชยยืนอยู่ แม้มองไม่เห็นอะไร แต่รู้สึกได้
“ไลล่าไม่เอาหมาแล้ว รัสตี้ กลับบ้านเถอะ”
ไลล่าดึงมือของรัสตี้ จะกลับไปฝั่งบ้านใหญ่ รัสตี้พยายามแย้ง
“เอ้าไลล่า หมาล่ะ”
“ไม่...ไลล่าจะไปฝั่งโน้น”
ไลล่าวิ่งกลับไป ปล่อยรัสตี้ยืนอยู่คนเดียวกลางสะพาน ขณะที่ช่วงสวดมนต์ เพื่อให้อำนาจพุทธคุณ ดลใจให้เด็กกลับ

รัมภาร้องไห้ ใช้พลังความรักของแม่เรียกลูกกลับมา
“ลูกแม่ กลับมาหาแม่นะลูก ไม่มีพลังใดยิ่งใหญ่กว่าความรักของแม่ แม่ขอใช้พลังนั้นเรียกลูกกลับมา กลับมาหาแม่นะลูก”
ศามนงงใหญ่ รัมภาเป็นอะไรไป
ทางด้านไลล่าวิ่งกลับมายืนข้างคุณหญิงอบเชยแล้ว เหลือแต่รัสตี้คนเดียวลังเลมองลูกหมาอยู่กลางสะพาน ด้วยความอยากเล่น ไลล่าตะโกนเรียก
“รัสตี้กลับมาเร็ว”
แพงตกใจ พยายามตะโกนห้ามรัสตี้
“อย่า...อย่ากลับไป...มาฝั่งนี้สิ ฉันข้ามไปฝั่งโน้นไม่ได้ มาทางนี้ มาทางนี้สิ”

ที่เรือนเล็กหลังนั้น มียันต์ที่คุณหญิงอบเชยเคยให้คนใช้ไปปิดเอาไว้ และทุกวันนี้ยังปิดอยู่ ทำให้อำนาจของแพงแผ่กระจายครอบคลุมไปไม่ได้ไกลมากนัก
“หมาน่ะ ช่างมันเถอะ รัสตี้มาเร็ว...มานี่” ไลล่ายังคงร้องเรียก
“มาเถอะหลานยาย กลับบ้านเถิด” คุณหญิงอบเชยช่วยเรียก
ฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมาแถวนั้น รัสตี้สะดุ้งวิ่งกลับไปหาไลล่าทันที แพงกรีดร้องทั้งเสียใจและโมโห
“ไม่...อย่ากลับไป มาปลดปล่อยข้า ไม่...ไม่”

ศามนประคองรัมภามานั่งเอนที่เตียง เพื่อให้รัมภาสงบสติอารมณ์ รัมภายังร้องไห้อยู่ คำช่วยศามนดูแลรัมภา
“คุณนั่งพักผ่อนตรงนี้กับยายคำนะ พวกผมจะออกไปหาอีกครั้ง ถ้าไม่ได้เรื่อง จะแจ้งตำรวจ”
ศามนออกไปพร้อมหล้า และบุญสืบ ปล่อยให้คำอยู่เป็นเพื่อนรัมภา เมื่อวิ่งออกไปก็พบไลล่าและรัสตี้ นอนหลับอยู่ที่เฉลียงบ้าน ศามนเห็นเข้า รีบเข้าไปหา
“รัสตี้ ไลล่า”
รัสตี้กับ ไลล่าตื่นขึ้น ผวากอดพ่อ
“แด๊ด...แด๊ดดี้”
“ลูกไปไหนมา พ่อแม่เป็นห่วงมากรู้ไหม”
หล้างงกระซิบกับบุญสืบ
“เราวิ่งไปมาแถวนี้ตั้งหลายเที่ยว ทำไมไม่เห็นคุณหนู คุณหนูมาตั้งแต่เมื่อไหร่”
บุญสืบนึกถึงคำพูดของคำที่บอก...
‘แม่เห็นเหมือนคุณท่านอยู่ตรงนั้น’
“ฮือ...ตรงนี้ที่คุณหญิงท่านชอบมานั่ง ตรงนี้อีกแล้ว ฮือ”
บุญสืบหันมากอดพ่อ หล้าสะบัดออก
ศามนพาลูกมาหารัมภา ทั้งสองวิ่งเข้ามากอดแม่ทันที
“หม่ามี้”
รัมภาดีใจแทบช็อก ร้องไห้ออกมาอีก
“โอ...ลูกแม่ หายไปไหนมาลูก เกิดอะไรขึ้น”

ภายหลังจากที่รัสตี้และไลล่าอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว รัมภานำเครื่องดื่มร้อนๆ มาให้ลูกทั้งสองคน
“ออกไปข้างนอกกลางดึกทั้งที่ฝนตก รัสตี้ ไลล่า ทำแบบนี้ แย่มากนะ” ศามนพูดเสียงดุเตรียมอบรม
“ปกติแค่ฟ้าผ่าเขาก็วิ่งมาหาเราแล้ว นี่เขาอาจจะมีเหตุผล” รัมภาหันไปถามลูก “ว่าไงจ๊ะทำไมต้องออกไป”
สองเด็กน้อยคนงง ไม่รู้จะพูดยังไงเช่นกัน ตอบออกมาพร้อมกัน
“ไม่ทราบครับ” / “ไม่ทราบค่ะ”
ศามนกับรัมภางง
“เมื่อกี๊บอกว่าอยู่กันที่สะพาน แต่พ่อกับแม่วนไปดูที่สะพานนั่นสองสามครั้ง ไม่เห็นมีใคร”
“เราอยากไปดูขุมสมบัติที่บ้านหลังเล็ก ฝั่งโน้น...” รัสตี้ชะงักไปแล้วนึกได้ “ใช่ๆ มีหมาตัวเล็กๆด้วย เราจะไปเล่นกับหมา”
“แล้วข้ามไปหรือเปล่า” ศามนถามอย่างสงสัย
“เปล่าครับ เราไม่ได้ข้ามไป เราเดินกลับบ้านใหญ่”
เด็กสองคนหันมาคุยกันเอง เพราะเมื่อเดินกลับมาถึงเฉลียงแล้วทั้งสองหลับไป ในฝันนั้น เด็กน้อยได้นอนหนุนตักคุณหญิงอบเชย
“ไลล่าคิดว่าคุณทวดเป็นคนพาเรากลับนะรัสตี้ คุณทวดยังบอกเลยว่า คุณทวดจะดูแลเรา จำได้ไหม”
รัสตี้พยักหน้าเออออว่าคงจะใช่ รัมภาถึงกับตะลึง
“คุณทวด !”

รัมภากับศามน หันมามองหน้ากัน

อ่านต่อหน้า 4










 บ่วง ตอนที่ 1 (ต่อ) 

รัมภากับศามนพาลูกทั้งสองมาดูรูปคุณหญิงอบเชย ว่าใช่คนนี้หรือ ไลล่าเห็นรูปก็ยืนยันหนักแน่น

“ก็คุณทวดคนนี้นี่แหล่ะค่ะ หน้าตาแบบนี้เลย เรามีคุณทวดคนอื่นด้วยหรือคะ”
“คุณทวดให้เรานอนรอพ่อกับแม่ ยังร้องเพลงให้ฟังด้วย” รัสตี้บอกอีกคน
แล้วไลล่าก็เริ่มฮัมเพลงกล่อมเด็กที่ได้ฟังและจดจำได้
“เพลงนั้น...”
รัมภาชะงัก อึ้งไป เพราะเธอก็เคยหลับฝันถึงเพลงนี้เช่นกัน ศามนมองภรรยาอย่างแปลกใจ
“คุณก็รู้จักเพลงนี้หรือ”
“เอ้อ...เปล่าค่ะ”
ศามนหันไปถามลูก
“นี่หมายถึงอะไร เราสองคนฝันเห็นคุณทวดหรือ”
รัสตี้กับไลล่าตอบพร้อมกัน
“ครับ/ค่ะ”
รัมภายิ่งอึ้ง
“ฝันเหมือนกันเนี่ยนะ”
รัสตี้กับไลล่าพยักหน้า
“ครับ/ค่ะ”
เด็กทั้งสองเล่าเรื่องความฝันของตนให้พ่อกับแม่ฟัง

ในฝัน...คุณหญิงอบเชยนั่งอยู่ที่เฉลียงที่ประจำ รัสตี้กับไลล่าหลับอยู่ที่ตักคนละข้าง คุณหญิงอบเชยหน้าเปี่ยมรัก
“ยายทวดจะดูแลหลานเอง...”
คุณหญิงอบเชยมองหลานทั้งสองแล้วปัดยุงให้ ร้องเพลงกล่อมเหมือนที่กล่อมรัมภามาแต่อดีตชาติ เด็กทั้งสองหน้าตามีความสุขสงบ
ไลล่าเล่าให้ฟังต่อ...
“เราหลับไปตอนไหนไม่รู้แล้วฝัน”
“เราสองคนนอนหนุนตักฟังเพลงคุณทวดตรงเฉลียงนั่นไงคะ ง่วงหลับไปเลย คุณทวดน่ารักเนอะ”
รัสตี้พยักหน้า
“อื้อ...ใจดีด้วย”
ศามนกับรัมภา มองหน้ากันทั้งสองตกใจมาก รัมภาเปรยออกมาอย่างแปลกใจ
“ฝันเหมือนกัน เวลาเดียวกันงั้นหรือ”
ห่างไป บุญสืบทำถาดหล่นเคล้ง ทั้งสี่คนสะดุ้ง ศามนหันไปโวยวาย
“นี่มาซุ่มซ่ามอะไรแถวนี้ จะเก็บแก้วก็มาเก็บสิ”
“กะ ก้าวขาไม่ออก เดี๋ยวนะครับ”
บุญสืบเอามือยกขาตัวเองเดินเข้ามา ยกทีละข้างทีละข้าง เพราะกลัวผีจนก้าวขาไม่ออก ก้าวได้ทีละก้าว ศามนมองหน่ายๆ
“ถ้าเดินไม่ถนัดก็ลาออกไปเลย”
“เอ้อ ครับ ถนัดแล้วครับ”
บุญสืบขาหายสั่น เป็นปกติ เดินเข้ามาทันทีเข้ามาเก็บแก้วเครื่องดื่ม เหงื่อแตกกลัวผีจัด รัมภาครุ่นคิดเช่นเดียวกับศามน ต่างคิดถึงเรื่องแปลกๆที่เกิดขึ้น

เช้าวันใหม่...พัชนีออกมาจากห้องกำลังจะไปทำงาน ช่วงเดินมาหา
“จะไปทำงานแล้วหรือลูก”
“ค่ะ”
“ฝากบอกเจ้านายเขาด้วยนะเรื่องบ้านเขาน่ะ”
พัชนียิ้มแห้งๆ
“เอ้อ ค่ะ”
พัชนีลำบากใจ

วรรณศิกานั่งอ่านหนังสือพิมพ์ ดื่มกาแฟอยู่ เพราะยังเช้า ยังไม่ถึงเวลางาน พัชนีมาถึง หยุดยืนมองไม่กล้าบอกวรรณศิกา ได้แต่ยืนพึมพำ
“เพิ่งมาทำงานได้ห้าวัน ไปบอกเจ้านายว่า บ้านเจ้านายมีผีสองตัว อืมเขาจะไล่เราออกไหมนะ!”
วรรณศิกาหันมาเห็น
“เอ้าพัช มีอะไรหรือเปล่า”
“เอ้อ เปล่าค่ะ”
วรรณศิกาดูนาฬิกา
“เพิ่งแปดโมง พี่ไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ”
พัชนีพยักหน้า วรรณศิกาออกไป อนุกูลเร่งรีบเดินเข้ามามีเรื่องใช้งานด่วน
“คุณวรรณไม่อยู่หรือ บ้าจริง งั้นแม่ชีมานี่หน่อย”
พัชนีฉุนกึก
“ดิฉันชื่อพัชนี”
อนุกูลหน้าเครียดมีเรื่องใหญ่ แกล้งทำเป็นได้ยินไม่ถนัด
“หา...พัชชี ก็ถูกแล้วนี่...อื้อ ไม่ให้เรียกแม่ชี งั้นคุณชีก็ได้ นิมนต์หน่อยครับ”
อนุกูลลากพัชนีให้ไปด้วยกัน

อนุกูลกับพัชนีแอบที่มุมตึกแห่งหนึ่งโผล่หัวออกมาราวกับเป็นนักสืบ
“ทำไมเราต้องทำลับๆล่อๆด้วยคะ”
จากมุมที่ทั้งสองอยู่ มองเห็นทางเข้ามาได้ซ้ายขวา สาวสวยสองคนของอนุกูลกำลังมาหาเขาพร้อมกัน จากทางซ้ายและขวา
“นั่นเห็นผู้หญิงสองคนนั้นไหม สองคนนี้กำลังจะมาหาผมพร้อมกัน”
“อ๋อ ให้ดิฉันจัดการเรื่องนัดหมายเข้าพบ ได้ค่ะ เธอชื่ออะไรคะ”
“ชื่อกิ๊กทั้งคู่”
“หา”
อนุกุลชี้ไป
“นี่กิ๊กเก่า นี่กิ๊กใหม่ คุณไปบอกกิ๊กเก่าว่าผมไม่อยู่ ส่วนผมจะไปหลอกกิ๊กใหม่ออกไปข้างนอก”
“เอ๊ะไม่ใช่หน้าที่ดิฉันนะคะ”
“หน้าที่เลขาคืออะไร”
“ช่วยการทำงานของเจ้านายให้ราบรื่น”
“งั้นนี่ล่ะ ใช่แล้ว... ไปเร็วเข้า”
อนุกูลผลักพัชนีออกไปทันที...แพรวถือถ้วยกาแฟและถุงขนมเข้ามาจะมาให้อนุกูล พัชนีรี่เข้ามารับหน้า เพราะถูกผลัก อนุกูลรีบฉากหลบไปอีกด้าน
“เอ้อ สวัสดีค่ะคุณกิ๊ก”
“ฉันไม่ได้ชื่อกิ๊ก”
พัชนีสะดุ้ง
“เอ้อ ฉันเข้าใจผิดเอง มีอะไรให้ช่วยไหมคะ”
“ฉันมาพบคุณอนุกูล”
“ตอนนี้ไม่ได้ค่ะ”
“ทำไมล่ะ”
“เอ้อ ไม่พร้อมค่ะ เอ้อ...มีนัดอื่น”
“นัดอะไร นี่ยังไม่ถึงเวลางานสักหน่อย ท่าทางเธอนี่แปลกจังเป็นเลขาเขาหรือเปล่า”
พัชนีพยักหน้า ทีท่าพิรุธ เพราะโกหกไม่เก่ง ทำให้แพรวพอจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น สังเกตจากท่าทางพัชนี ยิ้มมีแผน
“งั้นฉันมาใหม่วันหลังก็ได้ เฮอะ ไปก็ไป!”
แพรวหันหลังกลับไปเฉย พัชนียิ้มโล่งใจ

อนุกูลยืนป้อจินนี่อยู่มุมตึกที่เงียบๆ หลบสายตาคน กำลังจู่จี๋ ใกล้ชิด
“ฮื้อ...คิดถึงจังเลย”
อนุกูลลูบใบหน้า หญิงสาวเขินอาย
“บ้าเดี๋ยวใครมาเห็นเข้า”
“ยังเช้าอยู่ ไม่มีใครมาทำงานหรอก”
อนุกูลกำลังจะก้มลงจูบปาก พัชนียิ้มรี่มาสะกิด ไม่ได้แม้แต่หยุดคิดเลยว่าเขาทำอะไรกันอยู่ อนุกูลหันมาสะดุ้งโหยง
“เฮ้ย...มาทำไมตอนนี้”
พัชนีมัวแต่ดีใจที่ตนทำงานสำเร็จรีบมาบอก
“เรียบร้อยแล้วค่ะ มีงานอื่นให้ทำอีกไหมคะ”
“ไปแล้วหรือ”
พัชนีพยักหน้า
“งานง่ายๆ”
พัชนีปัดมือปลื้มใจตัวเอง แพรวโผล่มาชี้หน้าเพราะแอบตามพัชนีมา ตะโกนลั่น
“คุณนุ ! นึกแล้วว่าต้องส่งนังนกต่อมาหลอกฉัน แผนตื้นๆ”
แพรวเอาทั้งกาแฟและขนมเขวี้ยงลอยมา จะให้ถึงหัวนุ แต่พัชนียืนขวางอยู่
“เฮ้ยหลบ”
อนุกูลกดหัวพัชนีลง ข้าวของเปรี้ยงเข้าข้างฝา อนุกูลกับพัชนีก้มหลบ หญิงสาวสองคนซึ่งพอจะรู้จักกันจึงชี้หน้าด่ากันทันที
“นึกแล้วไม่มีผิด นังจินนี่ แกแย่งแฟนฉัน”
“อยู่ไม่ได้แล้ว มานี่เร็ว”
อนุกูลคลานหนีไปที่หลืบ เพราะสองสาวมัวแต่สนใจจะตบกันเอง พัชนีหน้าเสียคลานตามไปหลบด้วย แพรวบุกเข้ามาจิกหัวตบกับจินนี่ทันที
“แย่งผัวฉันหรือ นี่แน่ะ..นี่...นี่”
จินนี่ไม่ยอม เธอตบกลับไปบ้าง
“หนอย ต้นไม้แก่ๆเหี่ยวๆ นกกามันอยู่ไม่ไหว มันก็ต้องมาหาใหม่ที่มัน ไฉไลเด้งดึ๋งกว่าสิยะ”
ทั้งสองตบกันนัว ไม่มีใครยอมใคร อนุกูลกับพัชนีหลบอยู่ เข้ามุม ไม่ให้สาวทั้งสองคนสนใจ อนุกูลเปิดฉากด่า
“ทำงานแย่มาก ไหนบอกไปแล้วไง เดินตามเธอมาติดๆ”
“เขาหลอกฉันนี่นา เดินตามมาก็ไม่บอก” พัชนีมองออกไป “อุ๊ย เขาตบกันใหญ่เลย คุณนุไปห้ามเขาสิคะ”
อารามตกใจห่วงสองสาว พัชนีเผลอผลักอนุกูลออกไป โดยที่เขาห้ามไม่ทัน
“เฮ้ยอย่า”
อนุกูลถูกผลักออกมายืนกลางวงสาวสองคน สาวสองคนนึกขึ้นมาได้
“แล้วนี่เราจะมาตบกันทำไม ต้นเหตุไม่ใช่ผู้หญิงสักหน่อย”
“พูดแบบนี้ ค่อยรื่นหูหน่อย เห็นด้วย”
สองสาวเริ่มเปลี่ยนเป้าหมาย หันมาหาอนุกูลพร้อมกัน
“คุณนุกูล !”
สองสาวหันไปตบซ้ายตบขวา อนุกูลร้องโอยๆ ปกป้องตัวเองลงไปนั่ง สองสาวก็ไม่รามือง่ายๆ ทุบเตะต่อไป...พัชนีเบ้หน้านึกว่าคงจะถูกไล่ออกแน่ๆแล้ว

รัมภาเดินมาที่โลงศพ พูดกับรูปคุณหญิงอบเชย
“เพลงนั้นเป็นเพลงของคุณหรือคะ คุณไม่ได้เอาเด็กไปแต่มาช่วยเด็กๆ จริงหรือคะ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงๆ ดิฉันกราบขอโทษค่ะ ที่เข้าใจผิด”
รัมภานั่งลงจุดธูปไหว้...
ในอดีต...ชื่นกลิ่นในชุดไทยนอนหนุนตักคุณหญิงอบเชยอยู่ ช่วงเวลานั้นชื่นกลิ่นแต่งงานแล้ว แต่ยังไม่รู้ว่า แพงคิดร้าย มีแต่เพียงคุณหญิงอบเชยที่รู้ว่าแพงคิดจะแย่งสามีของชื่นกลิ่น หน้าตาของชื่นกลิ่นจึงยังเป็นสุขแต่คุณหญิงอบเชยกังวลขณะที่ร้องเพลงกล่อมอยู่
“คุณแม่ขา เพลงกล่อมนี้ไพเราะเหลือเกิน ทุกคราที่ได้ยินลูกสุขใจจนบอกไม่ถูก”
“ถึงเพียงนั้นเทียวรึ”
“ทุกครั้งที่ทุกข์ใจ หากได้นอนหนุนตักฟังเพลงนี้ลูกก็เหมือนมีแม่อยู่ชิดใกล้”
แววตาของคุณหญิงอบเชยฉายแววโกรธแค้น เพราะรู้อยู่เต็มอกว่า ลูกกำลังถูกปองร้าย
“รักของแม่ไม่เพียงปลอบประโลมใจ รักของแม่จะเป็นฉัตรแก้วกั้นภัยให้ลูก รักของแม่จะติดตามปกป้องลูกทุกชาติภพ”

รัมภาที่นอนหลับอยู่ที่ศาลากลางสวน ฝันย้อนไปในอดีต สะดุ้งตื่นขึ้นมา
“เราฝันไปหรือนี่…ฝันเหมือนจริงเหลือเกิน”
รัมภามองเข้าไปในบ้านที่ตั้งศพของคุณหญิงอบเชยอย่างครุ่นคิด เพราะในฝันนั้น ตัวเธอเองที่นอนหนุนตักของคุณหญิงอบเชยอยู่

ศามนเดินมาตรวจดูสะพาน เพื่อสำรวจอย่างจริงจัง เขานึกถึงคำพูดของรัสตี้ที่พูดเรื่องบ้านหลังเล็ก
‘เราอยากไปดูขุมสมบัติที่บ้านหลังเล็ก ฝั่งโน้น...ใช่ๆ มีหมาตัวเล็กๆด้วย เราจะไปเล่นกับหมา’
ขณะเดียวกันนั้น แพงเดินออกมา โดยที่ศามนไม่เห็น
“คิดถึงเหลือเกิน ยอดดวงใจของเมีย ข้ามมาหาเมียสิคะ คุณหลวงภักดีบทมาลย์”
ศามนยืนลังเลมองสะพาน

ช่วงที่นั่งสมาธิอยู่สะดุ้งทันที ส่งเสียงดังลั่น
“อย่าเดินข้ามไป ข้ามไปไม่ได้!”
ช่วงรีบหยิบมือถือในกระเป๋าขึ้นมากดหาพัชนีอย่างเร่งร้อน
“รับสายสิ เร็วๆเข้า!”

อนุกูลนั่งที่เก้าอี้หน้าเขียวเป็นจ้ำ โดยมีวรรณศิกา เอาผ้าประคบน้ำ เช็ดให้อยู่ อนุกูลร้องโอดโอย พัชนีหน้าเสียก้มหัวแล้วก้มหัวอีก
“ขอโทษค่ะ...ขอโทษ”
วรรณศิกาทำไป ขำไป อนุกูลชักฉุน
“ขำอะไรนักหนา หาคุณวรรณ”
“จับปลาหลายมือดีนัก คราวนี้จะเข็ดหรือยัง แล้วยายสองคนนั้นทำไมยอมกลับไปแล้วล่ะ”
“เขาตีผมจนหนำใจแล้ว เขาก็กลับน่ะสิ เจ็บตัวไม่ว่า กิ๊กเก่ากิ๊กใหม่หายเรียบ แล้วเสาร์ อาทิตย์นี้ จะไปไหนล่ะ”
มือถือของพัชนีดังขึ้นเธอรีบรับสาย
“ขา...คุณลุง”
ช่วงพูดโทรศัพท์ด้วยน้ำเสียงจริงจัง เร่งร้อน
“ลุงเห็นในนิมิต ผู้ชายคนนั้นกำลังจะเดินข้ามสะพาน”
“ผู้ชายคนไหนคะ”
“เจ้านายของหนูพัช อย่าให้เขาข้ามไป อย่าไปยุ่งกับบ้านหลังเล็ก”
“เห็นในนิมิตหรือคะ”
“โทรไปห้ามเขาสิหนูพัช ห้ามเขา อย่าให้เขาไปยุ่งกับเรือนหลังเล็กไม่งั้น วิญญาณร้ายจะถูกปลดปล่อย จะยุ่งกันใหญ่”
“เอ้อค่ะๆ”
พัชนีวางสายแล้วรีบร้อนบอกวรรณศิกาเสียงดัง
“เกิดเรื่องกับคุณศามน พี่วรรณคะ โทรหาคุณศามนให้หน่อย”
“อ๋อ ได้สิจ๊ะได้ๆ”
วรรณศิกากดมือถือ

ศามนยืนลังเลมองสะพาน แพงเรียกเสียงเย็น
“มาสิคะ ข้ามมาเถิด อีแพงเมียของท่านรออยู่ตรงนี้มานับร้อยปีแล้ว มาหาเมียสิคะ คุณหลวงเจ้าขา”
ทันใด เสียงสวดภาษาเขมรดังขึ้น ศามนสะดุ้ง ดวงตาเหม่อลอย ต้องมนต์ดำ
เดินขึ้นสะพานไปอย่างง่ายดาย แพงหัวเราะร้าย สะใจดังลั่นไปทั่วคุ้งน้ำ

วรรณศิการอฟังสาย กดไป ถามไป
“แล้วไอ้ที่ว่าเกิดเรื่องน่ะเรื่องอะไรจ๊ะ”
“ลุงของพัชนี บอกว่าที่บ้านของคุณศามนมีผีร้ายค่ะ”
พัชนีไม่สนใจอะไรทั้งนั้น สังหรณ์ใจว่าต้องรีบ แต่วรรณศิกากับอนุกูลตะโกนลั่น
“หา…”
“มานี่ค่ะ พัชโทรเอง”
พัชนีแย่งมือถือของวรรณไป ฟังเสียงปลายสายด้วยตนเอง ท่าทีร้อนรนมากๆ

มือถือที่กระเป๋าเสื้อดังขึ้น ศามนที่เดินอยู่ที่สะพานชะงัก แพงมองไปที่มือของศามน มือของเขาถูกบังคับด้วยอำนาจของแพง จู่ๆ ศามนหยิบมือถือออกมาแล้วปล่อยลงคูน้ำข้างตัวโดยไม่รู้สติ เสียงสวดยังดังต่อเนื่อง

พัชนีหงุดหงิดร้อนรน
“ปิดมือถือไปแล้ว ติดต่อไม่ได้ ทำไงดีคะพี่วรรณ”
วรรณศิกายังงงอยู่
”เอ้อ...ทำไงดีหรือคะ”
“เสียงลุงช่วงบอกว่ารีบมาก ต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่ ทำไงดีล่ะคะคุณนุ”
อนุกูลที่เพ่งมองพัชนีสายตานิ่ง ประเมิน คิด แล้วจู่ๆก็ลุกขึ้น
“ในเมื่อติดต่อไม่ได้ก็ไปหาเขาที่บ้านสิ”
อนุกูลไม่พูดไม่จาเดินออกไปทันที พัชนีกับวรรณศิกาเลยรีบคว้ากระเป๋า
“ไปเลยค่ะไปเลย พี่วรรณเร็วเข้า”
วรรณศิกางงๆ คว้ากระเป๋า สองสาวเดินตามอนุกูลออกไป

ศามนข้ามสะพานมาหา แพงเข้าไปกอดน้ำตาคลอ
“คุณหลวง อีแพงคิดถึงท่านเหลือเกิน อีแพงเหมือนตกนรกอยู่ที่นี่ไม่มีใครเหลียวแล ท่านต้องช่วยเมียนะเจ้าคะ”

ศามนตกอยู่ในภวังค์ ดวงตาเหม่อลอย พยักหน้าตอบ แพงจูงมือเขาไปเพื่อให้ปลดยันต์ที่เรือนหลังเล็ก

 อ่านต่อตอนที่ 2








กำลังโหลดความคิดเห็น