กระบือบาล ตอนที่ 9
ตอนเช้าวันที่สองของงานขวัญควาย มีการจัดประกวดควายขึ้น ส่วนตอนค่ำเป็นการประกวดเทพีหนองระบือ กล้องแฮนดี้แคมในมือของสุบินที่กำลังบันทึกภาพบรรยากาศภายในงาน ชาวบ้านต่างกำลังเดินชมควายของแต่ละบ้านที่เตรียมมาประกวด
“โห...ควายบางตัวตัวใหญ่กว่าฉันอีกว่ะ”
สุบินเอ่ยขึ้นขณะกำลังถือกล้องวิดีโอ โดยมีอรอนงค์กับสรนุชเดินอยู่ด้วย สรนุชมองไปรอบๆเหมือนหาบางอย่าง
สุบินเดินไปมองสรนุชไป ขณะเดียวกันสรนุชเองก็เห็นใจเด็ดพอดี แต่เสียจังหวะตรงที่สุบินเอ่ยขึ้นเสียก่อน
“แกหาใครวะนุช”
“เอ่อ...ว่าไงนะ”
“ก็แกเหมือนกำลังมองหาใครอยู่ไง” สุบินคาดคั้น
“เอ่อ...เปล่า..เปล่านี่ไม่ได้มองหาใครซะหน่อย” สรนุชรีบเอาตัวมาบังทิศทางที่หันไปเห็นใจเด็ดเพราะกลัวว่าสุบินจะเห็นว่าเธอมองใจเด็ดอยู่ “ไปเถอะ...งานจะเริ่มแล้ว”
สรนุชรีบดึงอรอนงค์กับสุบินออกไป ก่อนที่ตัวเองจะเหลือบไปมองใจเด็ดแวบหนึ่ง
สรนุช อรอนงค์ สุบินเดินเข้ามาภายในงาน
ครูสีดาทำหน้าที่พิธีกร กำลังประกาศอยู่ที่กลางลาน
“สวัสดีจ้ะพ่อแม่พี่น้องปู่ย่าตายาย...อาก๋งอาม่า...คุณอาคุณน้าคุณหลาน...ตอนนี้ก็ถึงเวลาที่ทุกคนจะนำควายมาอวดกันว่า...ปีที่ผ่านมา...ได้ฝึกให้มันแสนรู้ขึ้นยังไงบ้าง”
สุบินกับอรอนงค์ถึงกับไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
“ควายแสนรู้..?” อรอนงค์จ้องหน้าสุบิน
“ไม่ต้องมามองหน้าฉัน...ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเป็นยังไง”
สุบินกับอรอนงค์เอาแต่สนใจที่การประกวด ขณะที่สรนุชเองเอาแต่มองหาใจเด็ด
“เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา...ขอเชิญพบกับไอ้ทิว...ควายของตาเท่งเลย”
ชาวบ้านตบมือชอบใจก่อนจะเห็นตาเท่งจูงควายออกมา แล้วออกคำสั่งให้ควายหมอบ ควายนั่งสองขา ก่อนที่ตาเท่งจะจูงควายวิ่งกระโดดข้ามสิ่งกีดขวาง มุดห่วงไฟ
สุบินกับอรอนงค์ถึงกับอ้าปากหวอ ตะลึงในสิ่งที่เห็น สรนุชฉวยโอกาสนั้นค่อยๆ ทำเนียนเลี่ยงออกมา
สรนุชเดินปะปนอยู่กับฝูงชนในงาน ก่อนเลี่ยงออกมาจากกลุ่มชาวบ้าน
“ฉันต้องรู้ให้ได้ว่า นายทำอย่างที่สมหญิงบอกจริงหรือเปล่า”
อีกมุมหนึ่ง เป็นเต็นท์ผ้าใบที่ตั้งอยู่ในวัด ซึ่งชาญณรงค์แอบตั้งโต๊ะรับพนันประกวดควาย เห็นแผ่นชาร์ทเขียนราคาต่อรองเอาไว้ว่าควายคนนั้นจะได้ราคากี่เท่า โดยมีช่อผกาคอยช่วยอยู่ข้างๆ
“ว่าไงลุง...จะเล่นตัวไหน”
“ข้าไม่รู้ว่ามันชื่ออะไรหรอกนะ...แต่เอาเป็นควายของหัวหน้าใจเด็ดแล้วกัน”
ชาญณรงค์ที่กำลังเขียนโพยอยู่ได้ยินก็ถึงกับลุกออกมาเอง
“เปลี่ยนตัวไม่ดีเหรอ...ของไอ้ใจเด็ดได้แค่สองเท่าเองนะ” ชาญณรงค์บอกเสียงเข้ม
“พ่อ...เขาจะเล่นอะไรก็ปล่อยเขาเถอะน่า” ช่อผกาท้วง
“นั่นซิ...สองเท่าก็เอา...เพราะข้าเห็นควายของหัวหน้าใจเด็ดชนะทุกปี” ลุงบอก
“แต่ไม่ใช่ปีนี้...ฉันมีสายวงในบอกมาว่า...ปีนี้ควายไอ้สักมันจะได้...ว่าไง...ยังจะเล่นควายไอ้ใจเด็ดอีกหรือเปล่า”
“เล่น”
ชาญณรงค์ได้ยินลุงว่าอย่างนั้นก็ถึงกับหงุดหงิด
ชาญณรงค์เอามาๆ...แล้วอย่าหาว่าฉันไม่เตือนก็แล้วกัน
พอลุงคนนั้นเดินออกไป ชาญณรงค์ก็หยิบจดโพยของช่อผกามาดู ชาญณรงค์ถึงกับโมโหปาสมุดลงพื้น
“อะไรวะ...ทำไมพวกมันเล่นแต่ควายไอ้ใจเด็ดนั่นเลย”
“เอ้า...พ่อไม่รู้จริงๆเหรอ...ก็ควายของพี่เด็ดน่ะ...ใหญ่จะตาย” ช่อผกายิ้มระรื่น
“นังนี่...ออกเสียงควายให้มันชัดๆ หน่อย”
ระหว่างนั้นสมคิดวิ่งเข้ามา “ผู้พันครับ...ผู้พัน”
“มีอะไร” ชาญณรงค์ถามฉุนๆ
“ผมเห็นไอ้ใจเด็ดมันกำลังเดินมาทางนี้...ผมว่าเราเก็บโต๊ะก่อนมั้ยครับ”
“อะไรของมันวะ...คนจะหารายได้พิเศษ” แล้วชาญณรงค์นึกแผนขึ้นมาได้ จึงหันไปมองช่อผกา “ไง...แกอยากไปหาไอ้ใจเด็ดมันไม่ใช่เหรอ...ไปซิ”
“จริงเหรอพ่อ”
“เออ...แล้วช่วยลากมันไปไกลๆ ด้วย”
ช่อผการีบเดินระริกระรี้ออกไปทันที ชาญณรงค์มองตามด้วยความเจ็บใจ
“คอยดูเถอะ...ควายแกจะชนะทุกปีก็ให้มันรู้ไปซิวะ”
ทางด้านสรนุชเดินชะเง้อมองหาใจเด็ดมาตามทาง “ไปไหนแล้วเนี่ย”
สรนุชชักจะหงุดหงิด แต่แล้วจังหวะที่สรนุชหันหลังจะเดินกลับไปอีกทางก็เจอะเข้ากับใจเด็ด
“เฮ้ย”
ใจเด็ดแปลกใจท่าทีของสรนุช “อะไรของคุณ”
“เอ่อ...เปล่า” สรนุชตั้งตัวไม่ติดรีบหันหลัง “ทำไงดี...ดันโผล่มาตอนยังไม่ได้คิดคำถามด้วย”
“เป็นไรหรือเปล่าคุณ”
สรนุชค่อยๆ หันมา “เอ่อ...เปล่า...” ในที่สุดก็ตัดสินใจถาม “นี่...ฉันมีเรื่องจะถามนายหน่อย”
“เรื่องอะไร...”
“ก็...ก็เรื่อง...ที่...ที่” สรนุชดันพูดไม่ออกเพราะมัวแต่เขิน
ระหว่างที่สรนุชพยายามจะพูด อยู่ๆ ช่อผกาก็โผล่แวบเข้ามาคล้องแขนใจเด็ดทันที
“พี่เด็ดมาอยู่นี่เอง...ผกาตามหาพี่เด็ดทั้งงานเลย”
“ตามหาพี่...? ทำไมเหรอผกา”
“เอ่อ...ก็ผกา...ผกาอยากเห็นควายพี่เด็ดน่ะซิ...พี่เด็ดพาผกาไปดูหน่อยนะคะ...นะคะ”
ใจเด็ดพยักหน้า ก่อนจะนึกได้หันมาถามสรนุช “คุณจะถามอะไรผมนะ”
“เอ่อ...เปล่าหรอก...ฉันแค่จะถามว่าเห็นเพื่อนฉันมั้ย...พอดีคนมันเยอะแล้วฉันหาเพื่อนไม่เจอ”
“อะไร...ถ้าเป็นเด็กก็ว่าไปอย่าง...นี่...ทีหลังน่ะเวลามาเที่ยวงานที่มันคนเยอะๆอย่างนี้ก็หัดเขียนชื่อที่อยู่ใส่กระเป๋าไว้นะ...จะได้ไม่หลง...” ช่อผกาเยาะแล้วก็ดึงใจเด็ดออกไปเลย “ไปกันเถอะค่ะ”
สรนุชมองด้วยความเจ็บใจที่ช่อผกามาขัดจังหวะเสียก่อน
ครูสีดากำลังประกาศกลางลานประกวดควาย
“หลังจากที่ทุกคนได้เห็นความแสนรู้ของควายไปแล้ว...ต่อไป...ก็จะเป็นประเภทควายสมบูรณ์...รักใครเชียร์ใครก็ขอให้สมใจกันนะ”
ชาวบ้านต่างจูงควายเดินออกมาให้กรรมการที่นั่งอยู่ในเต็นท์ดู ก่อนจะเห็นกรรมการชูป้ายคะแนนราวกับให้คะแนนนักกีฬายิมนาสติค
ต่อมามีชาวบ้านเดินจูงควายมาหลายตัว ตัดไปฝั่งสุบินก็ถ่ายวิดีโอด้วยความทึ่ง
ไม่นาน...เจนจิราก็จูงควายของสถานีออกมา ท่ามกลางเสียงตบมือของชาวบ้านที่ดังกว่าปกติ
ไม่นานต่อมาชาญณรงค์กำลังออกอาการเดือดดาลเป็นที่สุด “ฮึ่ยย์...เป็นไปไม่ได้...เป็นไปไม่ได้”
“ทำไมครับนาย...หรือว่านายไม่ได้ยินที่เขาประกาศว่าควายที่ชนะปีนี้คือควายของ...”
สมคิดยังไม่ทันพูดจบก็โดนชาญณรงค์ตบปากผัวะเข้าให้
“รู้แล้วเว้ยว่าควายไอ้เด็ดมันชนะ...อะไรวะ...ควายมันจะชนะทุกปีได้ยังไง”
ระหว่างนั้นเสียงกระแอมดังขัดจังหวะขึ้น “อะแฮ่ม...”
ชาญณรงค์หันไปก็เห็นมหาเหม็นเข้ามาแบมือก่อนจะดีดนิ้วไปมาเรียกเงิน
“ถ้าคุยกันเสร็จแล้ว...ฉันก็ขอเงินฉันด้วยนะผู้พัน”
“อะไรวะ...แกแทงควายตัวไหน”
“เอ้า...ก็ควายหัวหน้าใจเด็ดไง...มามะ...สองเท่าก็เป็น...สี่พันใช่มั้ย”
“ไม่จ่ายเว้ย...ไอ้ใจเด็ดมันโกง...ไม่อย่างนั้นควายมันจะชนะทุกปีอย่างนี้ได้ยังไง”
“เอ้า...ดาบกันอย่างนี้มันไม่ดีนะผู้พัน...แล้วฉันจะบอกให้ว่าที่มันเป็นอย่างนี้ก็เพราะผู้พันไม่เชื่อฉันเอง”
ช่อผกาสงสัย “เรื่องอะไร”
“ก็เรื่องนางฟ้าคนนั้นไง...ฉันบอกแล้วใช่มั้ยว่าถ้าผู้พันอยากชนะใจเด็ด...ผู้พันต้องได้นางฟ้าคนนั้นมาเป็นเมีย...เพื่อที่จะเสริมดวงชะตาข่มกับดวงของใจเด็ดไง”
ชาญณรงค์หรี่ตาร้ายลงทันที
ตกกลางคืนบรรยากาศงานวัดย่งคึกคักครึกครื้น...ชาวบ้านชาวช่องเริ่มมาจนหนาตา เวทีประกวดจัดขึ้นอย่างเรียบง่าย
ใจเด็ดกับเกริกไกรยืนอยู่ด้านหน้าเวที
“แกกำลังคิดเรื่องผู้พันเหมือนฉันหรือเปล่า” ใจเด็ดถาม
“เปล่า...” เกริกไกรบอกแล้วยกป้ายไฟชื่ออรอนงค์ให้ใจเด็ดดู “แกว่าป้ายนี้มันสวยหรือยังวะ”
ใจเด็ดทำหน้าเซ็ง
“แกเลิกห่วงคุณอรสักพักได้มั้ย...ฉันว่าคืนนี้...เราน่าจะจัดให้ทุกคนช่วยกันเป็นหูเป็นตาหน่อย”
“แกกลัวอะไรวะ”
“ก็เรื่องที่ผู้พันเขาเสียพนันไปเยอะไง...แกก็รู้ว่าคนอย่างผู้พันเป็นยังไง”
เกริกไกรนิ่งไป ก่อนจะร้องออกมาอย่างตกใจ “ฉันรู้แล้ว...”
ใจเด็ดสนใจขึ้นมาทันที
“ว่า...จะทำยังไงให้คุณอรได้เป็นเทพีบ้านหนองระบือ...ไอ้เด็ด...เดี๋ยวมานะเว้ย”
เกริกไกรรีบวิ่งออกไปทันที
“หมอ...หมอ”
ใจเด็ดส่ายหน้าเซ็งๆ ความสงสัยในตัวสรนุชยิ่งมากขึ้น
อรอนงค์นั่งแต่งหน้าทำผมอยู่ที่หน้ากระจก บริเวณหลังเวที สรนุชเดินไปมาอย่างคนที่ไม่หายข้องใจ
“แกไปเข้าห้องน้ำก่อนก็ได้นะ”
“หือ...อะไรของแก”
“ก็ฉันเห็นแกเดินไปเดินมา...แถมหน้าตาอย่างนั้น...หรือว่าแกไม่ได้ปวด”
สรนุชได้จังหวะที่จะออกไปหาใจเด็ดทันที “เอ่อ...งั้นฉันออกไปก่อน...ไม่ต้องห่วงนะ...เดี๋ยวฉันจัดการธุระเสร็จจะรีบมา”
สรนุชรีบวิ่งออกไป อรอนงค์มองตาม
สมคิดกับชาญณรงค์อยู่ที่กระท่อมหลังวัด เวลานั้นสมคิดจุดเทียนเสร็จพอดี
“เรียบร้อยครับนาย”
ชาญณรงค์กวาดตามองเห็น มีเพียงเทียนเล่มเดียวที่ให้แสงสว่างกลางกระท่อม
“เนี่ยนะโรแมนติกของแก”
“เอ้า...ก็ผมเห็นพวกในละครเขาชอบทำนี่ครับ” สมคิดยิ้มกรุ้มกริ่ม “แล้วอีกอย่าง...ไอ้เรื่องอย่างนี้ใครเขาทำกันสว่างๆ ครับนาย”
ชาญณรงค์คิดตาม ชักเห็นด้วย “ก็จริงของแก”
ระหว่างนั้นสมคิดนึกบางอย่างขึ้นมาได้ “โอ้...เกือบลืมเลยนาย”
ว่าแล้วสมคิดก็หยิบโหลยาดองออกจากย่าม
“อะไรของแกวะ”
“ช้างกระทืบโรงครับ...มันจะได้คึกคักซู่ซ่าซาบซ่าน”
ชาญณรงค์ชอบใจนัก “แล้ว...กินยังไงวะ”
“ไม่ยากครับนาย...ก็กินจนกว่า” สมคิดใช้สายตามองไปยังเบื้องล่างของชาญณรงค์ สื่อความนัย “งวงมันแปร๋นนั่นแหละครับ”
ชาญณรงค์รับโหลยาดองมายิ้มกรุ้มกริ่ม “ไป...ไปได้แล้ว...อย่าให้ใครจับได้ละ”
“รับรองครับ...ระดับไอ้คิดแล้ว...ไม่ทำให้เสียชื่อแน่นอน”
ว่าแล้วสมคิดก็หยิบย่ามก่อนจะวิ่งหายออกไป ชาญณรงค์มองโหลยาดองยิ้มกรุ่มกริ่ม
ขณะเดียวกันสรนุชเดินมาตามทาง ระหว่างนั้นเสียงทักดังขึ้น “ไม่กลัวหรือไง”
สรนุชชะงักแล้วหันมาเห็นใจเด็ดเดินเข้ามา
“ออกมาเดินที่เปลี่ยวๆ อย่างนี้...ระวังเถอะ”
“ไม่ต้องมาหลอกฉัน...เจอนายก็ดีแล้ว”
ใจเด็ดแปลกใจ
“เอ่อ...นาย...นายเป็นคนดูแลฉันตอนที่ฉันไม่สบายหรือไง”
สรนุชโพล่งออกมา ใจเด็ดชะงักไป
“เมื่อเช้าคุณจะถามผมเรื่องนี้ใช่มั้ย”
“กรุณาตอบให้ตรงคำถามด้วย”
“ใช่...แล้วไง”
“ใครให้นายมาดูแลฉัน”
ใจเด็ดซึ่งตอนแรกคิดว่าจะได้คำขอบคุณจึงเหวอไป “อ๋อ...ผมนึกว่าอะไรที่แท้อยากจะด่าผมนี่เอง”
“ฉันจะไม่ด่านายแน่ถ้านายไม่ได้เช็ดตัวให้ฉัน”
“หือ..?”
สรนุชชักแปลกใจ “สมหญิงบอกว่านายเช็ดตัวให้ฉัน...หรือว่านายไม่ได้เช็ด”
ใจเด็ดอยากแกล้ง “ก็แค่เช็ดตัว...ทำไมต้องโกรธด้วย”
“ฮึ่ยย์...แล้ว...แล้วนายเห็นอะไรบ้าง” สรนุชฉุน
“ก็...เช็ดตรงไหนก็เห็นตรงนั้นนั่นแหละ”
สรนุชอึ้ง รู้สึกอายขึ้นมา “แล้วมันตรงไหนเล่า”
“ขนาดผมยังไม่บอกคุณยังโมโหขนาดนี้...ถ้าพูดไป...ไม่แย่ไปกว่านี้เหรอ”
ใจเด็ดพูดแล้วก็เดินออกไปเลย สรนุชถึงกับเหวอ
“พูดอย่างนี้หมายความว่าไง” สรนุชรีบเอามือปิดตามเนื้อตามตัว “หรือว่า...?” สรนุชตะโกนเรียก “นี่...บอกมานะว่านายเห็นอะไรบ้าง”
สรนุชรีบเดินตามใจเด็ดออกไปทันที
ที่หน้าห้องน้ำในวัด ภิรมย์ยืนรอบิดไปบิดมาอยู่ ภิรมย์ทนไม่ไหวก็เคาะประตูเรียกคนที่อยู่ข้างใน
“เสร็จยัง...ให้คนอื่นเข้าบ้างซิ”
ไม่นาน...ประตูห้องน้ำก็เปิดออก ภิรมย์ถึงกับผงะเมื่อเห็นสมคิดแต่งเป็นผู้หญิง แต่ออกไปทางน่ากลัวเพราะไม่เคยแต่งหน้ามาก่อน
“ผี”
“ผีบ้าอะไร...เดี๋ยวต่อยฟันหลุด” สมคิดโมโห
ภิรมย์ได้ยินเสียงสมคิดก็คุ้นหูทำหน้าแปลกใจ “หือ..!”
สมคิดรู้ตัวรีบดัดเสียงแอ๊บหญิง “ผีบ้าอะไรจะสวยขนาดนี้...ไปก่อนนะจ้ะสุดหล่อ”
สมคิดขยิบตาให้ภิรมย์ก่อนจะเดินจากไป ภิรมย์อึ้งค้างไป
ที่หลังเวทีอรอนงค์เดินมาหยิบชุดที่มุมหนึ่งด้านหลังเวที ซึ่งเป็นมุมที่ไม่ค่อยมีคน อรอนงค์ไม่รู้ว่ามีสายตาของใครบางคนที่กำลังย่องเข้ามาทางด้านหลังของอรอนงค์ เสียงดนตรีออกแนวระทึกขวัญ
สายตาคู่นั้นเดินมาหยุดที่ด้านหลังของอรอนงค์ อรอนงค์รู้สึกถึงความคุกคามจึงหันไปมอง แล้วอรอนงค์ก็อุทานออกมา
“หมอ”
เกริกไกรยิ้มกริ่มพร้อมกับป้ายไฟในมือที่มีชื่ออรอนงค์พร้อมกับรูปหัวใจ
“เป็นไงครับ...นี่ผมนั่งทำให้คุณอรทั้งคืนเลยนะครับเนี่ย”
“ขอบคุณมากคะหมอ” อรอนงค์มองไปที่ป้ายไฟที่รอยเจิม “แล้วนี่อะไรคะ”
“อ๋อ...ผมให้หลวงพ่อเจิมมาเมื่อกี้น่ะครับ...รับรองครับว่าคุณอรต้องได้เป็นเทพีแห่งบ้านหนองระบือปีนี้แน่นอน”
ระหว่างนั้นสมคิดในร่างของช่างแต่งหน้าเดินเข้ามาที่ศาลา แต่พอเห็นเกริกไกรอยู่กับอรอนงค์ก็ตกใจ
“เฮ้ย”
เสียงตกใจของสมคิดทำให้อรอนงค์กับเกริกไกรหันมาเห็น สมคิดจะเดินหนีก็หนีไม่ได้เลยต้องเลยตามเลย
“สวัสดีค่ะ...ดิฉันเป็นช่างแต่งหน้ามาแต่งหน้าให้คุณอรน่ะค่ะ”
เกริกไกรกับอรอนงค์ทำหน้าสงสัย “ช่างแต่งหน้า..? มีด้วยเหรอ”
“เอ่อ...ค่ะ...ก็เห็นคนจัดงานบอกว่าอยากยกระดับเวทีการประกวดนี้ขึ้นสู่เวทีโลก...ก็เลยต้องทำทุกอย่างให้เป็นมืออาชีพน่ะค่ะ”
เกริกไกรมองสมคิดด้วยความสงสัย สมคิดรีบก้มหน้าก้มหน้าทำเป็นเขิน
“ผมว่าหน้าคุณคุ้นมากนะ”
“อ๋อ...เหรอคะ...คือ...ใครๆก็ชอบบอกว่าเดี๊ยนเหมือนอั้ม...พัชราภาน่ะค่ะ...หุหุหุ...เอ่อ...เดี๊ยนว่าเรารีบแต่งหน้ากันเถอะค่ะ...เดี๋ยวจะขึ้นเวทีไม่ทันนะคะ”
สมคิดทำเป็นเดินหันหลังตรงมาที่อรอนงค์ เกริกไกรยืนนิ่ง สมคิดครุ่นคิดก่อนจะหันไปบอกกับเกริกไกร
“เอ่อ...เดี๊ยนว่าคุณหมอไปรอข้างนอกดีมั้ยคะ”
“ทำไมล่ะครับ...แค่แต่งหน้าไม่ใช่เหรอ”
“แค่เหรอคะ...แหม...ท่าทางคุณหมอคงไม่รู้ว่าการแต่งหน้าเป็นศิลปะอย่างนึงที่ต้องใช้สมาธิอย่างแรงกล้า...ถ้าเกิดเสียสมาธิเพียงนิดเดียว...อาจจะไม่สวยได้นะคะ”
เกริกไกรทำหน้าครุ่นคิด อรอนงค์พูดขึ้น “ไม่เป็นไรหรอกค่ะหมอ”
“งั้นก็ได้ครับ...แต่ก่อนที่จะไปผมขอบอกคุณช่างแต่งหน้าไว้ก่อน” เกริกไกรว่า สมคิดชะงักเพราะคิดว่าเกริกไกรสงสัย แต่แล้วเกริกไกรกลับเอ่ยต่ออีกเรื่อง “ว่าที่คุณอรชนะ...ไม่ใช่เพราะการแต่งหน้าของคุณ...แต่เป็นเพราะป้ายไฟของผม”
สมคิดโล่งอก “อ๋อ...ค่ะ...เป็นเพราะป้ายไฟหมอค่ะ”
เกริกไกรยิ้มให้อรอนงค์อีกครั้งก่อนจะเดินออกไป สมคิดโล่งอกที่ทำให้เกริกไกรออกไปได้ ก่อนจะหันมองอรอนงค์หรี่ตาร้ายมีแผน
เกริกไกรออกมาจากด้านหลังเวที แล้วมองขึ้นไปด้วยความสงสัย
“ช่างแต่งหน้า...? แต่งหน้าตัวเองยังเละขนาดนั้น...แล้วคุณอรจะสวยมั้ยเนี่ย”
แม้ว่าเกริกไกรจะสงสัยแต่ก็เหมือนไม่ติดใจอะไร
อรอนงค์นั่งมองกระจกแล้วชวนสมคิดคุย “แล้วคนอื่น...พี่แต่งให้แล้วเหรอคะ”
สมคิดที่ยืนอยู่ด้านหลัง กำลังเทยาบางอย่างลงในผ้าเช็ดหน้า
“ค่ะ...ก็เหลือแต่คุณอรเนี่ยแหละค่ะ เดี๋ยวเดี๊ยนขอลบหน้าก่อนนะคะ”
ยังไม่ทันที่อรอนงค์จะตอบ ทันใดนั้นสมคิดก็ใช้ผ้าเช็ดหน้าที่เทยาสลบโปะเข้าไปที่หน้าของอรอนงค์ทันที อรอนงค์ดิ้นทุรนทุราย
“อื้อ...อื้อ”
แต่แค่เพียงชั่วครูอรอนงค์ก็สิ้นฤทธิ์สลบไปทันที สมคิดยิ้มร้ายอย่างพอใจออกมา
สมคิดแบกอรอนงค์ที่อยู่ในห่อผ้าดิบมาตามทางอย่างทุลักทุเล
“หือ...คนสวยทำไมถึงตัวหนักอย่างนี้วะ”
ระหว่างนั้นโทนเดินพ้นมุมกุฏิออกมาพอดี สมคิดไม่ทันเห็นเลยเดินชนเข้ากับโทนเต็มๆ จนโทนล้ม
“โอ๊ย ! โห...น้าเดินไม่ดูทางเลยหรือไง”
แล้วโทนก็ต้องชะงักไปเมื่อเห็นว่าสมคิดแบกอะไรบางอย่างที่อยู่ในห่อผ้าดิบก็รู้สึกถึงความผิดปกติทันที
“อะไรน่ะน้า”
สมคิดเดินเข้ามาตบหัว “ไม่ใช่เรื่องของเอ็ง”
โทนจะเดินเข้าไปดูว่าที่สมคิดแบกอยู่มันเป็นอะไร สมคิดเหลืออดเลยเข้าไปกระชากคอโทน
“อยากตายหรือไงไอ้เด็กเปรต”
โทนส่ายหน้าตกใจ จนตาเหลือก
“งั้นก็อย่ายุ่ง...แล้วก็ห้ามบอกใครเรื่องนี้...ไม่อย่างนั้นเอ็งไม่ได้อยู่ถึงโตแน่”
โทนพยักหน้ารับด้วยความกลัวก่อนจะเห็นสมคิดแบกห่อผ้าดิบที่มีอรอนงค์อยู่ข้างในออกไป พอโทนเห็นสมคิดออกไปก็รีบวิ่งออกไปทางตรงกันข้ามทันที
เกริกไกรเดินเข้ามาบริเวณด้านหลังเวที เห็นคนอื่นกำลังง่วนกับการแต่งตัว เกริกไกรหันมองไปรอบๆแต่ก็ไม่เห็นอรอนงค์ เกริกไกรเดินไปถามผู้เข้าประกวดอีกคนที่กำลังแต่งตัวอยู่
“โทษนะครับ...เห็นผู้หญิงที่นั่งแต่งหน้าตรงนี้มั้ยครับ”
ผู้เข้าประกวดคนนั้นส่ายหน้าก่อนจะเดินออกไป เกริกไกรเดินเข้ามาที่เก้าอี้ที่อรอนงค์นั่งแต่งหน้าก่อนจะมองไปรอบๆ ด้วยความสงสัย
“ไปไหน”
แล้วเกริกไกรก็เห็นผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งตกอยู่ที่พื้น เกริกไกรหยิบขึ้นมาดูแล้วเกริกไกรก็ชะงักกึกเพราะกลิ่นยาโชยเตะจมูก
เกริกไกรที่เป็นสัตวแพทย์จึงรู้ได้ทันทีว่ามันเป็นยาอะไร ก่อนจะใจหายแวบรู้สึกถึงความผิดปกติขึ้นมาทันที
“คุณอร”
ชาญณรงค์เทยาดองช้างกระทืบโรงลงใส่จอกก่อนจะยกดื่มจนหมด แล้วก้มมองลงไปที่เป้าของตน ก่อนจะทำหน้าแปลกใจ
“ทำไมมันยังไม่แปร๋นซะทีวะ” แล้วก็คิดไปเอง “หรือว่า...พลังช้างมันยังน้อยไป”
ว่าแล้วชาญณรงค์ก็เทยาดองใส่อีกหลายจอกแล้วยกดื่ม...ยกดื่มเพื่อเร่งพลังช้าง
จากพิธีกรประกวดควายเมื่อบ่าย ตกกลางคืนครูสีดามายืนเป็นพิธีกรประกวดเทพีอยู่บนเวทีประกวด
“เวลาที่พวกเรารอคอยก็มาถึงแล้ว...มาดูกันว่าปีนี้ใครจะได้เป็นเทพีบ้านหนองระบือ...สำหรับ...ผู้เข้าประกวดคนแรก...เธอบอกว่าเธออยากทำให้บ้านหนองระบือของเรา...ระบือไปทั้งประเทศเหมือนเช่นชื่อของตำบลเรา...เชิญพบกับเธอได้เลยครับ”
ที่ด้านข้างเวทีเวลานั้นโชคชัยยืนอยู่ด้านหลังคอยดูแลความเรียบร้อยก่อนที่ผู้เข้าประกวดจะเดินขึ้นมาเวที
“คุณปุยฝ้าย...เชิญครับ”
ปุยฝ้ายในชุดเข้าประกวดเดินขึ้นมาบนเวที ก่อนจะโบกไม้โบกมือให้กับเสียงตบมือที่ดังขึ้น
สุบิน เจนจิรา ภิรมย์ สมหญิงอยู่ด้านหน้าเวที
“อยากเห็นคุณอรเร็วๆจัง...คุณอรต้องสวยมากแน่ๆ” สมหญิงเอ่ยขึ้น
เจนจิราหน้านิ่งไม่แสดงออกถึงความช้ำใจที่ชวดการประกวด
“แต่ผมอยากเห็นคุณเจนมากกว่า...ตอนที่คุณเจนประกวด...สวยมั้ยสมหญิง”
“โอ๊ย...สวยอีหลีคะคุณ...สวยม๊ากกกกกก...นี่ถ้ายัยช่อผกาไม่โกงละก็...ปีที่แล้วคุณเจนต้องได้เป็นเทพีบ้านหนองระบือไปแล้ว” สมหญิงบอก
เจนจิราฉุนขาด เหมือนยิ่งโดนตอกย้ำ “สมหญิง..! พอได้แล้ว”
อีกมุมหนึ่งเห็นร่างใจเด็ดเดินเข้ามา โดยมีสรนุชเดินตาม
“ถ้านายไม่บอกนายตายแน่”
ระหว่างนั้นสรนุชก็ต้องเบรกเอี๊ยดเพราะใจเด็ดเล่นเดินตรงเข้าไปที่กลุ่ม
“อ้าว...หัวหน้า...ไปไหนมาคะ” สมหญิงหันไปเห็นสรนุช “อุ้ย...คุณนุชด้วย”
เจนจิราเหล่มองใจเด็ดกับสรนุชด้วยท่าทางไม่พอใจ
“ไง...อยากจะให้ผมบอกตรงนี้มั้ยว่าผมเห็นอะไรบ้าง”
สรนุชเจ็บใจ ถึงกับพูดไม่ออก “นาย...นาย”
“นุช...แกไปไหนมา...ดูลกๆ นะ” สุบินสงสัย
สรนุชรู้สึกตัวรีบเปลี่ยนสีหน้า “เอ่อ...ก็เดินเล่นแถวนี้แหละ”
ระหว่างนั้นเกริกไกรวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา “ไอ้เด็ด...ไอ้เด็ด”
“มีอะไรหมอ”
“คุณอรหายไป”
ทุกคนได้ยินเริ่มตื่นตระหนกว่าเกิดอะไรขึ้น ก่อนที่เกริกไกรจะยื่นผ้าเช็ดหน้าให้ใจเด็ด
“ฉันเจอนี่อยู่ในห้องแต่งตัวของคุณอร...แกลองดมดูซิว่าเป็นกลิ่นอะไร”
เกริกไกรยื่นผ้าเช็ดหน้า ใจเด็ดรับมาแล้วปัดๆที่จมูก
“คลอโรฟอร์ม”
“แล้วมันคืออะไร” สรนุชงง
“ยาสลบ” ใจเด็ดบอก
“คุณใจเด็ดอย่าบอกนะว่า...” สุบินเหวอไปอีก
“คุณอรอาจจะโดนลักพาตัว”
คำพูดใจเด็ด ทำเอาทุกคนตรงนั้นมีสีหน้าวิตกกังวลขึ้นมาทันที
สรนุชเดินหุนหันออกจากบริเวณหน้าเวทีการประกวดเพื่อไปตามหาอรอนงค์ด้วยความร้อนใจ ใจเด็ดรีบตามมาคว้าแขนไว้
“เดี๋ยว! คุณจะไปไหน?”
“ฉันจะไปตามหาเพื่อนฉันน่ะสิ! ป่านนี้จะเป็นไงบ้างก็ไม่รู้”
ระหว่างนั้นเกริกไกร เจนจิรา สุบิน ภิรมย์ สมหญิงรีบตามออกมา
“ใจเย็นก่อนสิคุณ ผมแค่สันนิษฐาน คุณอรอาจจะออกมาเดินแถวๆ นี้ก็ได้”
“คนจะขึ้นเวทีประกวดอยู่แล้วจะออกมาทำอะไร” สรนุชส่ายหน้า “ฉันสังหรณ์ใจว่าต้องเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับยัยอรแน่ๆ ปล่อย!”
สรนุชสะบัดมือใจเด็ดหลุด รีบเดินไป เกริกไกรก็ร้อนใจรีบเข้ามาพูดกับใจเด็ด
“ฉันก็คิดอย่างคุณนุชว่ะ เรารีบออกตามหากันดีกว่า”
“งั้นพวกเราแยกย้ายกัน หมอกับภิรมย์ไปดูแถวหลังวัด เจนกับคุณสุบินไปดูแถวโบสถ์ ส่วนสมหญิงไปถ่วงเวลาที่เวทีไว้ก่อน แต่อย่าเพิ่งบอกเรื่องนี้กับใคร เดี๋ยวจะตกอกตกใจกันไปทั้งวัด ฉันจะตามคุณนุชไปเอง”
ทุกคนพยักหน้าแล้วรีบแยกกันไปคนละทาง เจนจิรามองใจเด็ดพลางคิดในใจ...เอาอีกแล้ว เอะอะก็ตามสรนุช แต่เธอก็ตามสุบินไปอย่างไม่ปริปาก
เวลาเดียวกันร่างของอรอนงค์ถูกวางบนแคร่ในกระท่อม ชาญณรงค์ที่หน้าแดงกล่ำด้วยฤทธิ์ยาดอง มองตาเยิ้ม
ชาญณรงค์มองตาฉ่ำเยิ้ม “งามแต๊ๆ แม่คุณเอ๋ย”
สมคิดยืนม้วนผมบิดไปมา ชื่นชมกับผลงานของตัวเอง ไม่ยอมออกไปซักที
“ไอ้คิด! ยืนทำพระแสงอะไร ออกไปเฝ้าต้นทาง ไป๊!”
“ครับพ้ม!”
สมคิดรีบเผ่นออกไป ปิดประตูทันที ในขณะที่ชาญณรงค์ยืนมองอรอนงค์ที่สลบไม่ได้สติด้วยอารมณ์หื่น
ที่หลังเวทีเวลานั้น ช่อผกายืนยิ้มกระหยิ่มเตรียมตัวขึ้นโชว์โฉมอยู่หลังเวที ช่อผกาวางมาดเดินเชิดจะไปขึ้นเวที แต่แล้วก็ได้ยินเสียงครูสีดาประกาศบนเวที
“ก่อนที่พ่อแม่พี่น้องจะได้ยลโฉมผู้เข้าประกวดคนต่อไป...ผมขอคั่นรายการ...ด้วยการแสดงดนตรีก่อนนะจ๊ะ”
ช่อผกาที่กำลังก้าวขึ้นบันได ถึงกับก้าวพลาดจนเกือบร่วง
“อ้าว แล้วกัน”
ช่อผกาหันไปเหวี่ยงใส่โชคชัยที่ยืนอยู่ข้างเวที เข้าไปเท้าสะเอวเม้งทันที
“มันยังไงกันคะนายก จะมาคั่นรายกงรายการทำไม ฉันพร้อมที่จะขึ้นไปเดินโชว์โฉมนานแล้วนะ”
“คือ...คุณอรน่ะสิครับ สมหญิงมาบอกว่าขอเวลารอคุณอรอีกแป๊บนึง”
โชคชัยพูดพลางมองไปที่มุมไกล เห็นสมหญิงยืนชะเง้อรออรอนงค์อยู่อย่างกระวนกระวาย
“อะไร...ใครไม่มาก็ปรับแพ้ไปเลย...อย่างนี้ก็เสียเวลาคนอื่นซิ” ช่อผกาโวย
“รอหน่อยนะครับคุณผกา เดี๋ยวคุณอรก็มา รับรองคุณได้ขึ้นเวทีแน่” โชคชัยว่า
ช่อผกาได้แต่ยืนขัดเคืองใจ ด้วยความรู้สึกหงุดหงิดอย่างแรง
อ่านต่อหน้า 2 พรุ่งนี้ เวลา 9.00 น.
กระบือบาล ตอนที่ 9 (ต่อ)
สรนุชออกตามหาอรอนงค์ และเดินชะเง้อหามาตามทางในวัด จนพัวตัวเองหลุดมาจากบริเวณจัดงานที่พลุกพล่าน มายังบริเวณที่แสงสลัว สรนุชป้องปากตะโกนด้วยความเป็นห่วง
“ยัยอร...แกอยู่ตรงนี้รึเปล่า...ได้ยินแล้วตอบฉันด้วย...ยัยอร”
สรนุชมัวแต่มองหาจึงไม่ทันมองทาง เลยเหยียบเข้ากับกองไม้ที่วางอยู่จนขาพลิกเสียหลัก
“ว้าย!”
สรนุชใกล้จะล้มหงายหลัง แต่ใจเด็ดที่ตามมา รีบก้าวเข้ามาโอบรับไว้ทัน
“ระวัง! เป็นไงบ้างคุณ?”
สรนุชหันมามองใจเด็ด ดันเขาออก
“ไม่ต้องมาห่วงฉัน ห่วงยัยอรโน่น ทำไมไม่ช่วยกันออกตามหาให้ทั่วๆ คุณจะตามฉันมาทำไม!”
“แล้วคุณจะตีโพยตีพายให้มันได้อะไรขึ้นมา ทุกคนก็ช่วยออกตามหากันอยู่ แล้วถ้าผมไม่ตามคุณมานี่ เมื่อกี้คุณก็คงล้มหงายหลัง ถูกไอ้ตะปูขึ้นสนิมนั่นทิ่มทะลุเซ่งจี๊ไปแล้ว”
ใจเด็ดชี้ไปยังตะปูตัวเขื่องที่ตอกติดหงายอยู่กับแผ่นไม้
สรนุชหันไปมองแล้วใจหายวาบ เถียงไม่ออก พอหันตัวจะก้าวเดินแต่เจ็บแปล๊บที่ข้อเท้าพลิกเมื่อครู่
“โอ๊ะ!”
สรนุชก้มลงจับข้อเท้า ใจเด็ดเห็นแล้วยืนถอนหายใจอย่างเซ็ง
สรนุชเม้มปาก ยันขาพยายามฝืนตัวเดินต่อ ใจเด็ดสุดจะทนดู คว้าแขนช่วยประคอง
สรนุชอวดดีสะบัดมือออก “จิ๊! ไม่ต้อง ฉันเดินเอง!”
“ขืนรอให้คุณเดินเอง แล้วแบบนี้เมื่อไหร่จะตามหาคุณอรเจอ!”
สรนุชเงียบ นึกห่วงอรอนงค์ขึ้นมาครามครัน
“งั้นก็รีบๆ ไปตามหาสิคุณ...ฉันเป็นห่วงยัยอรจะแย่อยู่แล้ว” สรนุชร้องตะโกนออกไป “ยัยอร”
“คุณอรครับ!”
ใจเด็ดกับสรนุชเกาะเดินตะโกนกันไปทางโกดังเก็บศพของวัด
ทางด้านเกริกไกรกับภิรมย์ก็กำลังเดินออกตามหา ทั้งคู่เดินมาตามทางที่จะไปหลังวัด
“คุณอรคร๊าบ คุณอรอยู่ไหนครับ...วู้!!!”
“เฮ้อ ไม่เห็นแม้แต่เงาหรือได้ยินแม้แต่เสียงกระซิบเลยครับหมอ” ภิรมย์บอก
“แถวนี้มันกว้างซะด้วยสิ แยกกันหาดีกว่า” เกริกไกรว่า
ภิรมย์ชี้ไปทางหนึ่ง “งั้นผมไปดูทางโน้นเอง”
เกริกไกรพยักหน้า “ฉันจะไปดูแถวหลังวัดด้านโน้น”
เกริกไกรกับภิรมย์แยกกันไปทางซ้ายขวา
ทั้งคู่ตะโกนเรียงเสียงดังพร้อมๆ กัน “คุณอร”
ส่วนเจนจิรากับสุบินก็มาตามหา บริเวณข้างโบสถ์ที่เงียบ มืด วังเวง
“อยู่ไหนคะคุณอร...คุณอร”
“ยัยอร...ถ้าใครกำลังทำอะไรแก...ส่งเสียงกรี๊ดหน่อยสิวะ ฉันจะได้ไปช่วยแก...ยัยอร! บรื๋อ...เกิดมาไม่เคยมาเดินอยู่หลังโบสถ์ในวัดกลางค่ำกลางคืนแบบนี้มาก่อน มันวิเวกวังเวงโหวงเหวงยังไงก็ไม่รู้”
หมาวัดที่นอนอยู่ใกล้ๆ เห็นสุบินเดินมาก็เห่าใส่
“เย้ย...อย่าเห่าซีวะ คนยิ่งขนหัวลุกอยู่ บอกให้หุบปาก ชิ้ววว”
จู่ๆมือข้างหนึ่งเจนจิราตบเข้าที่บ่าสุบิน สุบินแหกปากร้องลั่น
“อ๊าก....ผี...กลัวแล้วคร๊าบ!”
“ผีบ้าผีบออะไร ฉันเอง”
สุบินหยุดชะงัก อ้าปากค้าง หันมามองเจนจิรา
“โธ่คุณเจน....เล่นเอาฉี่จะราดเลยนะเนี่ย”
“คุณนี่มีอะไรดีบ้างมั้ย นอกจากจะหน้าตาไม่ดี...ปากเสีย...แล้วยังจะตาขาวอีกต่างหาก ตรงนี้ไม่มีคุณอรหรอก ไปดูหลังเมรุเผาศพโน่นดีกว่า”
“หา! ปะ ปะไปดูทำไมตรงนั้นอ่ะ?”
“งั้นคุณก็ยืนอยู่ตรงนี้แหละ ฉันไปเอง”
เจนจิราหันเดินไป สุบินรีบเดินไปเกาะแขนเจนจิราแจ
“รอด้วยซิ!”
“มาจับแขนฉันทำไมเนี่ย”
เจนจิราพยายามแกะออก แต่สุบินเกาะแน่น ไม่ยอมปล่อย
“ขอเกาะให้อุ่นใจหน่อยน่าเจ๊ บรรยากาศแบบในหนังบ้านผีปอบแบบนี้ ผมไม่มีจิตวิตถารทำอะไรคุณลงหรอกน่า”
เจนจิราเซ็ง ไม่อยากต่อปากต่อคำ ส่ายหน้าแล้วเดินออกไป
อรอนงค์ที่ทุกคนออกตามหายังคงนอนสลบไม่ได้สติอยู่บนแคร่ไม้ในกระท่อมหลังวัด ขณะที่ชาญณรงค์ยังคงดื่มโด๊บตัวเอง เทยาดองในไหใส่แก้วเป็นหยดสุดท้าย
“เฮ้ย...อะไรวะ โด๊บยาดองจนหมดไหแล้ว ยังไม่ปึ๋งปั๋งเลย” ชาญณรงค์หงุดหงิด ขยี้หัวตัวเอง “โธ่ไอ้คิด...แกเอาอะไรมาให้ฉันกระเดือกวะเนี่ย หนอย...ช้างกระทืบโลง เดี๋ยวฉันนี่แหละจะออกไปกระทืบแกไอ้คิด”
ชาญณรงค์มองไปที่ร่างอรอนงค์
“แต่ไม่ต้องห่วงหรอกนะจ๊ะน้องอร พี่ไม่ปล่อยให้น้องต้องนอนคอยเก้อหรอกจ้ะ”
ชาญณรงค์เดินเข้าไปที่แคร่ ทำเหมือนจะปล้ำอรอนงค์ แต่นายพันชรากลับจับขอบแคร่ไม้ แล้ววิดพื้นซะงั้น
“อึ๊บ...หนึ่ง...สอง...ซ่ำ...สี่..แค่ขอเวลาพี่สองสามนาทีเรียกความฟิตแป๊บบบบนึงนะจ๊ะ อึ๊บ...หนึ่ง...สอง...ซ่ำ...สี่”
ชาญณรงค์งัดท่าสารพัดออกมาเรียกความฟิต ทั้งยกขา ซิตอัพ โยคะขาเดียว ดัดตน
ใจเด็ดกับสรนุชเดินตามหาอรอนงค์มาจนถึงบริเวณโกดังเก็บโลงศพ
“คุณอรครับ!”
“ยัยอรแกอยู่ไหนอ่ะ?”
ใจเด็ดชักกังวล “ไม่เห็นวี่แววเลยล่ะคุณ”
“ทำไงดีล่ะ โธ่...ยัยอร”
แล้วจังหวะนั้นสายตาสรนุชก็เห็นร่างตะคุ่มๆ ของใครคนหนึ่ง โดยไม่รู้ว่าเป็นสัปเหร่อถือไฟฉายแว๊บๆเดินมาหยุดที่หน้าโกดังไม้เก่าๆ
“คะ..คุณ... มีใครอยู่ตรงนั้น!”
“ไหน?”
ใจเด็ดมองไป แต่ร่างนั้นก็เปิดประตูเข้าโกดังไปแล้ว
“เค้าเข้าไปข้างในนั่นแล้ว ท่าทางลับๆ ล่อๆ ยัยอรอาจจะถูกจับตัวอยู่ในนั้นก็ได้”
สรนุชพูดพลางจะเดินไป แต่ใจเด็ดคว้าแขนเอาไว้
“คุณรออยู่ที่นี่แหละ ผมไปดูเอง”
“แต่...” สรนุชอิดออด
“ผมบอกยังไง คุณก็ทำตามที่บอกเถอะน่า! ถ้าคุณเห็นผมเข้าไปนานหรือว่าได้ยินเสียงอะไรผิดปกติ ก็รีบไปตามคนมาช่วยก็แล้วกัน”
ใจเด็ดหันจะเดินไป แต่สรนุชดึงแขนไว้ “เดี๋ยวก่อน!”
ใจเด็ดหันมาหน้าเซ็งๆ “อะไรอีก?”
“ระวังตัวนะ” สรนุชบอก
สีหน้าสรนุชเป็นห่วงจริงใจ แววตาใจเด็ดอ่อนลงเป็นห่วงใย ก่อนจะบอกออกมา
“คุณก็...ระวังตัวด้วยเหมือนกัน”
สรนุชพยักหน้าให้ ใจเด็ดเดินตรงไปที่โกดัง สรนุชยืนลุ้น
ในขณะเดียวกันเกริกไกรเดินตามหาจนเหนื่อยมาหยุดยืนเท้าเข่าอยู่หน้าต้นไม้ใหญ่
“อย่าเป็นอะไรไปนะครับคุณอรของผม”
เกริกไกรหันไปเห็นต้นไม้ มีผ้าสีๆผูกโดยเหล่าคนขูดหวย เลยหันไปพูดขอ
“ท่านรุกขเทวดา ผีไทรผีโศก เห็นคุณอรของผมผ่านมาทางนี้บ้างมั้ยครับ ช่วยชี้ทางบอกผมที”
จู่ๆก็มีเสียงดังขึ้นทันตา “เห็น”
เสียงตอบดังมาจากต้นไม้ ทำเอาเกริกไกรถึงกับตกใจตาเหลือกเข่าทรุดลงนั่งคุกเข่าทันที
“เย้ย! ทะๆท่านเห็นคุณอรของผมเหรอครับ”
“ไม่รู้จะใช่คุณอรของหมอรึเปล่านะ แต่เห็นมีคนอุ้มไปทางนู้น” เสียงนั้นว่า
“ทะ...ทะทางโน้นน่ะทางไหนล่ะครับท่าน?”
โทนกระโดดพรวดลงมาจากต้นไม้พลางชี้นิ้วไป “ก็ทางโน้นไง!”
ทำเอาเกริกไกรตกใจหงายหลังร้องลั่น
“จ๊าก...ผีกุมารทอง”
“ผีกุมารทองที่ไหน ฉันเองหมอ”
เกริกไกรเพ่งมองชัดๆ ขยี้ตาอีกครั้ง เห็นเป็นโทนยืนอยู่
“อ้าว...เอ็งเองเหรอไอ้โทน”
โทนหัวเราะขำ โดยมีเพื่อนเด็กวัดวัยเดียวกัน2คนนั่งหัวเราะอยู่บนต้นไม้ด้วย
“โธ่เอ้ย...นึกว่าผีเด็ก”
“แบร่...”
โทนทำท่าแลบลิ้นปลิ้นตาใส่ เกริกไกรลุกมาคว้าตัว
“นี่ๆ เลิกเล่น! ไหน...เล่าไปสิโทน เอ็งเห็นใครอุ้มใครไปทางไหน”
ส่วนภายในโกดังเก็บโลงศพ ใจเด็ดค่อยๆ ก้าวเดินระแวดระวังมองหาอรอนงค์อยู่ภายในโกดัง รอบๆ เห็นมีแต่โลงศพที่วางระเกะระกะ พวงหรีดเก่าๆ กระถางธูป ถังสี ม้วนสายสิญจน์ฯลฯ แต่ไม่เห็นใครอยู่ข้างในสักคน
แต่แล้วใจเด็ดก็ได้ยินอะไรบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ที่ด้านหลังตู้เหล็กเก่าๆใบหนึ่งข้างผนัง
ใจเด็ดหันขวับ หาอาวุธทันที! คว้าได้ฆ้อนที่วางอยู่ข้างโลงที่ยังต่อไม่เสร็จ เดินถือกระชับไว้ในมือ แล้วค่อยๆเปิดแง้มบานตู้ออก ผงะเล็กๆ เห็นโปสเตอร์หนังผีไทยแปะอยู่ในตู้ พร้อมกับกะโหลกขาวโพลน แล้วก็ต้องตกใจเมื่อมีแมวดำตัวหนึ่งกระโจนออกมา
“เงี้ยว”
ใจเด็ดร้องลั่น “เฮ้ย”
แมวกระโจนหนีไป ใจเด็ดยืนโล่งอก แต่เมื่อหันกลับมาก็ต้องตกใจอีกครั้ง เมื่อเห็นสรนุชยืนอยู่ข้างหลัง
“เฮ้ย!”
สรนุชพลอยตกใจไปด้วย “ว๊าย”
“โธ่คุณ...ตกใจหมดเลย บอกให้รออยู่ข้างนอก เข้ามาทำไม”
“ก็เห็นคุณเข้ามาตั้งนาน ก็เลยห่วง แล้วไหนล่ะ เจอยัยอรมั้ย”
“หึ ผมรู้ว่าคุณห่วงเพื่อน ไม่ต้องมาโกหกว่าห่วงผมหรอก”
“รู้ก็ดี ว๊าย”
สรนุชตกใจเมื่อมองไปเห็นตุ๊กแกหัวโตโผล่ออกมาจากหลังตู้ จนโผกอดซุกหน้ากับอกใจเด็ดเสียแน่น
ใจเด็ดยืนช็อกเหมือนโดนไฟทั้งหม้อแปลงช็อต มือค่อยๆ ปล่อยฆ้อนร่วงใส่เท้าตัวเอง
ใจเด็ดสะดุ้งกระโดดเหย็งเพราะเจ็บ “อ๊าก!” พอสติคืนมาก็หันมาเอ็ด “คุณตกใจอะไร”
“ตะๆๆตุ๊กแกมันอยู่หลังตู้อ่ะ หัวเท่ากำปั้นเลยอ่ะ”
ใจเด็ดเซ็งอีกรอบ “นี่คุณ...ตุ๊กแกมันไม่ทำอะไรหรอกน่า...ผมว่าคุณน่าจะตกใจขนจั๊กกะแร้ตัวเองมากกว่า”
จากที่สรนุชกำลังตกใจอยู่ พอได้ยินที่ใจเด็ดพูดอย่างนั้นก็เปลี่ยนอารมณ์เป็นปรี๊ดทันที
“ว่าไงนะ...” สรนุชชี้หน้า “นาย...นาย”
“ผมว่าคุณอย่ายกแขนดีกว่า...ดู...ดู...แลบออกมาแล้ว”
สรนุชเหลืออดระดมตีใจเด็ดไม่ยั้งเพราะทั้งโกรธทั้งอาย
เวลาเดียวกันที่หน้าโกดัง สัปเหร่อเฒ่าเดินหนีบขวดเหล้าขาวเมาเป๋ออกมาจากโกดังแล้วก็จัดการล็อกกุญแจด้านนอก จากนั้นก็เดินเอียงไปเอียงมากลับไปทางวัด สวนกับชาวบ้าน 2 ผัวเมียที่กำลังเดินกลับบ้าน
“แกนะแก...ทางดีๆ มีไม่เดิน พาเดินผ่านโกดังเก็บโลงผี” เมียบ่น
“ก็ไปทางลัด มันเร็วกว่า” ผัวว่า
“เฮ้ย...ทำไมทางมันเอียงนักวะ” สัปเหร่อเอ่ยขึ้น
“ทางมันไม่เอียงหรอกตาจุก แกนั่นแหละเอียง” เมียว่าเซ็งๆ
สัปเหร่อจุกเมาปลิ้นย้อนถาม “หา...ว่าไงนะ?”
“พูดไป แกก็ไม่ได้ยินหรอก ไอ้หูตึง”
“เอ่อว่ะ” เมียโบกมือบอก “ไม่มีอะไรหรอกลุง ไปเหอะ”
สัปเหร่อจุกเดินเอียงร้องเพลงผ่านไป
“เมียมี...เมียพี่ต้องมา นี่เมียไม่มาก็เพราะว่าเมียไม่มี”
ปล่อยให้สองผัวเมียเดินตรงมาทางหน้าโกดังเก็บศพ
ภายในโกดังสรนุชยังคงตีใจเด็ดไม่ยั้ง
“โอ๊ย...ผมเจ็บนะคุณ”
“เจ็บเหรอ...แค่นี้มันยังไม่เจ็บเท่าสิ่งที่นายย่ำยีศักดิ์ศรีฉัน”
“แค่ขนจั๊กแร้เนี่ยนะ”
“ยังจะพูดอีก”
สรนุชฉุนนักระดมตีใจเด็ดหนักกว่าเดิม จนทำให้ใจเด็ดถอยกรูดไปชนกับฝา ทำให้ผนังไม้สั่นไหว ตุ๊กแกที่เกาะอยู่ข้างฝาเลยหล่นตุ้บลงมาที่พื้น
ใจเด็ดกับสรนุชมองตุ๊กแกเป็นตาเดียว แล้วทันใดนั้นสรนุชก็สติแตก ผละออกจากใจเด็ดวิ่งหนีพร้อมกับกรี๊ดสุดเสียง
“อ๊ายยย”
เวลาเดียวกันด้านนอกโกดัง สองผัวเมียที่กำลังจะเดินผ่านไปพอดี ก็ตกใจยืนตัวแข็ง เมื่อได้ยินเสียงกรี๊ดของผู้หญิงดังมาจากข้างในโกดัง ทั้งสองหน้าซีด หันมามองหน้ากัน
“กะ...แกได้ยินเสียงนั่นมั้ย?”
“อึ๋ย ได้ยินชัดเลย”
ส่วนสรนุชวิ่งเตลิดมาที่ประตูโกดัง พยายามจะเปิด แต่ประตูถูกล็อก
“เปิดซี...ปล่อยฉันออกไป...เปิดๆ” สรนุชเขย่าประตูสุดแรง
สองผัวเมียถึงกับตาเหลือกหัวตั้ง เมื่อเห็นประตูโกดังถูกเขย่าจากข้างในไปมาพร้อมกับเสียงของผู้หญิงร้องดังออกมา
“ช่วยฉันด้วย...ใครก็ได้ช่วยฉันออกไปที มันจะกินตับฉัน”
“อ๊ากกกก”
สองผัวเมียร้องลั่น วิ่งขนหัวลุกกลับไปทางวัด ในสภาพล้มลุกคลุกคลานไป
ทางด้านชาญณรงค์เสร็จจากออกแรงฟิต บิดคอไปมา
“เอาล่ะ...ปืนต่อสู้อากาศยานของพี่พร้อมรบแล้วน้องอร”
ชาญณรงค์หันมา เหงื่อแตกซิกทั้งร่าง หน้าตาแดงกล่ำเพราะยาดองกำลังออกฤทธิ์
ชาญณรงค์ค่อยๆ เดินโงนเงนเข้าไปหาอรอนงค์ที่ยังคงนอนสลบอยู่ พลางร้องเพลง
“เธอคือนางแมวยั่วสวาท...เหมียววว เธอคือปีศาจหุ่นเซ็กซี่...แฮ่”
ชาญณรงค์มองไปที่อรอนงค์ภาพในกรอบสายตาผู้พันเฒ่าเบลอขึ้นเรื่อยๆ จนชาญณรงค์มาหยุดยืนอยู่ข้างแคร่ มองจ้องอรอนงค์ตาเยิ้ม
“หึๆๆๆ น้องอรจ๋า...ป๋ามาแล้วจ้ะ”
ชาญณรงค์โน้มตัวจะโถมเข้าใส่อรอนงค์
เวลาเดียวกันสมคิดยืนฉี่อยู่ที่ต้นไม้ข้างกระท่อม
“ป่านนี้ผู้พันคงจะเสร็จสมอารมณ์หมายไปแล้ว หึๆๆ ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องยกความดีให้ไอ้แสนคมสมคิด มือขวาผู้ชาญฉลาด หึๆๆๆ”
พอฉี่เสร็จหันมาต้องตกใจเมื่อมองไปเห็นแสงไฟฉายแว๊บๆ อยู่ไม่ไกล
“เฮ้ย...แสงอะไรแว๊บๆวะ”
สมคิดตกใจ มองเพ่งไป เห็นเป็นเกริกไกรกำลังเดินส่องไฟฉายมองหามากับโทน
“เอ็งแน่ใจนะไอ้โทน ว่าเห็นพามาทางนี้?”
“แน่ใจสิหมอ”
สมคิดตาเหลือก เมื่อเห็นแสงไฟกระทบหน้าเกริกไกรชัดๆ
“เย้ย...มะๆๆหมอเกริก….ฉิบหายแล้ว”
สมคิด เหงื่อแตกพลั่ก สัญชาตญาณทหารเกณฑ์เข้าสิงทันที...สมคิดทิ้งตัวนอนลงกับพื้น แล้วรีบคลานศอกไปที่กระท่อมทันที
เป็นจังหวะที่เกริกไกรสาดส่องไฟฉายมาพอดี แล้วก็เห็นกระท่อม
“เอ๊ะ...ตรงนั้นมีกระท่อม”
สมคิดค่อยๆ เปิดประตูกระท่อมคลานศอกเข้ามา พร้อมส่งเสียงกระซิบกระซาบเรียก
“ผู้พันครับพ้ม...ข้าศึกบุกเข้าประชิดแล้ว ทราบแล้วเปลี่ยน ผู้พันได้ยินมั้ย เย้ย”
สมคิดตกใจอ้าปากค้าง เพราะเห็นร่างผู้พันเมาหลับคาแคร่อยู่ข้างๆ ร่างอรอนงค์ สมคิดรีบลุกเข้าไปปลุก
“ผู้พันครับ ปล้ำคุณอรจนเหนื่อยเลยเหรอ”
“คร่อก....”
“อย่างงี้ชัวร์เลย นกกระจอกไม่ทันได้กินน้ำ” สมคิดตบแก้มปลุก “ผู้พันครับ ตื่นครับตื่น...ไอ้หมอควายมันตามเรามาถูกแล้ว...ตื่นซิผู้พัน”
“คร่อกฟี้...”
“หลับลึกเลยเว้ยเฮ้ย ทำไงดีวะกรู ถ้าถูกจับได้...ข้อหากักขังหน่วงเหนี่ยว” สมคิดไล่นับนิ้วทีละข้อหา “ข่มขืนกระทำชำเรา...ทำร้ายร่างกาย...อนาจาร...สมรู้ร่วมคิด...จิตวิตถาร...เย้ย...หลายกระทงเลยเว้ยเฮ้ย มีหวังต้องกินถั่วดำตายในคุกแน่”
สมคิดหันมองไปรอบๆ เห็นมีหน้าต่างอยู่หลังกระท่อม
“เอาวะ ยังมีทางรอด”
สมคิดรีบลากร่างชาญณรงค์ออกไปทางหน้าต่างอย่างทุลักทุเล
เพียงแค่เสี้ยวนาที...เกริกไกรก็เปิดประตูผัวะเข้ามา เห็นอรอนงค์นอนนิ่งอยู่บนแคร่
“คุณอร!“
เกริกไกรรีบถลาเข้ามาดูอรอนงค์ โทนตามเข้ามายืนดูดด้วย
“คุณอรครับคุณอร...ได้ยินผมมั้ย....คุณอร”
เกริกไกรเขย่าปลุกอย่างแรง อรอนงค์ที่ฤทธิ์ยาสลบเริ่มหมด ขยับตัวไปมา แต่ยังเบลอๆ ลืมตาไม่ขึ้น
“เอาไฟฉายไปไอ้โทน ช่วยส่องทางให้ที ฉันจะอุ้มคุณอรไป”
เกริกไกรส่งไฟฉายให้โทนแล้วรีบช้อนตัวอรอนงค์ขึ้น อุ้มพาออกจากกระท่อมไปอย่างเร็ว
ส่วนใจเด็ดกำลังเขย่าประตูพยายามจะเปิดออกไป แต่เปิดไม่ออก เริ่มฉุน จนตบประตู
“ประตูมันล็อกได้ยังไงนะ ตอนเข้ามายังไม่ล็อกเลย”
สรนุชเยาะ “ผีคงมันล็อกมั้ง”
ใจเด็ดถอนหายใจหันไปมองสรนุชที่ยืนตัวลีบ ตาระแวดระวังกลัวทั้งตุ๊กแกและบรรยากาศรายรอบ
“ก็เพราะคุณบอกว่าเห็นคนเดินเข้ามาในนี้ ผมถึงเข้ามา แล้วก็มาติดอยู่ยังงี้”
“นี่ คุณอย่ามาโทษฉันนะ ก็ฉันเห็นจริงๆ นี่”
“แล้วไหนล่ะ ไม่เห็นมีใครสักคน”
“ฉันจะไปรู้ได้ไง ก็ฉันเห็นคนเข้ามาจริงๆ ฉันสาบานได้”
ใจเด็ดประชด “หึ งั้นประตูนี้คงถูกผีล็อกจริงๆอย่างที่คุณว่า” ใจเด็ดแกล้งชี้ “นั่นไง มันอยู่ข้างหลังคุณ”
สรนุชร้องกรี๊ด “อ๊าย”
สรนุชตกใจ กระโดดเข้าหาใจเด็ด จนชนล้มลงไปนอนทับกันอยู่บนโลงใหม่ที่ยังต่อไม่เสร็จ
“เฮ้ย!”
ใบหน้าของทั้งสองคนจ่อกันอยู่แค่คืบ...ทั้งคู่อึ้งมองกัน นิ่งไปชั่วขณะ
ขณะเดียวกันประตูโกดังก็เปิดออก...พร้อมกับแสงไฟฉายที่ระดมส่องเข้ามา ตามด้วยเสียงของหลวงพ่อ
“เอ้า..ดูซะ ผีสางที่ไหนกัน อาตมาบวชจำพรรษาอยู่ที่นี่มาตั้งนานยังไม่เคยเจอเลย”
ใจเด็ดกับสรนุช หลุดออกจากภวังค์ ทั้งคู่หันไปมองเห็นเป็นหลวงพ่อ กลุ่มชาวบ้านและสัปเหร่อจุกที่ยืนถือกุญแจอยู่ ต่างฝ่ายต่างชะงัก ช็อกกันไป
“เอ่อ...แฮ่ม...อาตมาก็บอกพวกโยมแล้ว ว่าที่นี่ไม่มีผีหรอก”
“มีแต่ผิดผี ฮ่ะๆๆๆ”
สัปเหร่อจุกว่า ก่อนจะหัวเราะอย่างคนเมา ทำเอาสรนุชกับใจเด็ดตกใจรีบผละออกจากกันอย่างยากเย็น
“คุณปล่อยฉันซี”
“คุณก็ลุกออกไปจากตัวผมก่อนซิ”
ทั้งสองรีบผละออกจากกันอย่างทุลักทุเล แล้วมายืนทำหน้าไม่ถูกต่อหน้าทุกคน
“เอ่อคือ...หลวงพ่อกับพี่ป้าน้าอาทุกคนอย่าเข้าใจผิดนะครับ”
“เอ่อ...ชะใช่ค่ะ...ภาพที่เห็น มันไม่มีอะไรทั้งนั้น อย่าเข้าใจผิด”
สัปเหร่อจุกอาสาถาม “ไหน...มีครายเข้าใจผิดยกมือขึ้น”
นิ่ง...ไม่มีใครยกมือสักคน
สัปเหร่อจุกชี้ร่างโงนเงน “แหะๆๆ เห็นมั้ยว่า ทุกคนเข้าใจถูกกันทั้งน้านฮ่ะๆๆๆๆ”
หลวงพ่อได้แต่หลับตาปลงอาบัติ
สรนุชกับใจเด็ดอ้าปากค้าง พยายามจะอธิบาย แต่ว่าภิรมย์วิ่งแทรกผู้คนเข้ามาเสียก่อน
“หัวหน้าใจเด็ดครับ คุณนุช” ภิรมย์หอบ “หมอเจอตัวคุณอรแล้วครับ”
“จริงๆเหรอ ดีใจจังเลย”
สรนุชดีใจลืมตัว หันมาจับมือใจเด็ดอย่างดี ทุกคนมองเขม็ง สรนุชรีบปล่อยมือใจเด็ด
“อึ๋ย”
ไม่นานต่อมาสรนุชกับใจเด็ดรีบเดินเข้ามาที่หลังเวทีพร้อมภิรมย์...เห็นทุกคนกำลังรายล้อมอรอนงค์ที่นั่งเบลอๆ อยู่
“ดื่มน้ำชาร้อนๆ นี่หน่อยนะครับคุณอร จะได้รู้สึกดีขึ้น
“ยัยอร!” สรนุชถลาเข้ากอดอรอนงค์
“ดีใจจริงๆ ที่แกไม่เป็นอะไรไป”
“แล้วฉันเป็นอะไรไปล่ะ?” อรอนงค์งงๆ อยู่
“อ้าว เห็นภิรมย์บอกว่าหมอไปเจอคุณนอนไม่ได้สติอยู่ในกระท่อมที่หลังวัด คุณไม่รู้เหรอครับ ว่าไปนอนอยู่ที่นั่นได้ยังไง?” ใจเด็ดถาม
อรอนงค์ส่ายหน้า “ฉันนึกอะไรไม่ออก...โอ๊ย มันมึนหัวจัง” อรอนงค์จับขมับหน้านิ่ว
“คุณอรคงยังมีอาการข้างเคียงจากฤทธิ์ยาสลบอยู่น่ะครับ” เกริกไกรบอก
อรอนงค์เอียงคอถามงงๆ “ยาสลบอะไรเหรอคะ?”
สรนุชกอดปลอบ “โธ่ยัยอร...ใครนะมันทำกับแก คอยดูนะ ถ้าจับได้ ฉันจะเอาเรื่องมันให้ถึงที่สุดเลย”
“ว่าแต่แกจะขึ้นประกวดไหวไหวมั้ย?”
“ไหวมั้ง...” อรอนงค์ว่า
“นี่กี่นิ้ว” เกริกไกรถามขึ้น
สุบินเลยชูหนึ่งนิ้วขึ้นทดสอบ อรอนงค์มองเพ่งอย่างตาลาย
“3 นิ้ว”
ทุกคนหน้าแหย
“โอ้โห...ชัดเลย! แบบนี้มีหวังยังไม่ทันขึ้นเวทีก็ตกบันไดแล้ว”
ใจเด็ดมองอรอนงค์อย่างครุ่นคิดก่อนจะทำท่าเดินออกไป
“แกจะไปไหน”
“ฉันจะไปสละสิทธิ์” ใจเด็ดบอก
ทุกคนนิ่งไปเหมือนยอมรับการตัดสินใจของใจเด็ด ระหว่างนั้นสมหญิงนึกขึ้นได้
“คุณเจนไงคะหัวหน้า...ให้คุณเจนลงประกวดแทนก็ได้นี่คะ”
“จริงด้วย...คุณเจนมีประสบการณ์อยู่แล้ว...รับรองปีนี้ต้องได้เป็นเทพีแน่นอนครับ”
เจนจิรารู้ว่าตอนนี้ตัวเองมีราคา เลยทำเป็นจริตแต่พองาม “ในเมื่อไม่มีทางอื่น...เจนก็ยินดีค่ะ”
ในขณะที่ทุกคนกำลังโล่งใจที่เจอทางออก อยู่ๆ สุบินก็พูดขึ้น
“แต่ผมว่าอย่าดีกว่า...ปีที่แล้วได้ที่สอง...ปีนี้ไม่ได้ที่สามเหรอครับ”
“สุบิน...แกหุบปากไปเลย” สรนุชฉุนที่สุบินไม่รู้กาละเทศะ
“เอ้า...นี่ฉันพูดด้วยความหวังดีนะ...ก็ในเมื่อปีที่แล้วคุณเจนแพ้ยัยช่อผกานั่น...ปีนี้ก็คงเหมือนเดิม...แล้วอีกอย่าง...ถ้าผมเป็นชาวบ้าน...ผมก็ต้องการเห็นความแปลกใหม่” สุบินโบ้ย
เจนจิราได้ยินที่สุบินพูดอย่างนั้นก็ปรี๊ดขึ้นมาทันที “ถ้าอย่างนั้นหาคนอื่นแล้วกัน”
เจนจิราพูดเสร็จก็เดินออกไปเลย ใจเด็ดเรียกไว้ “เดี๋ยวก่อน...เจน...เจน!”
“อ้าว...แล้วคราวนี้จะทำยังไง”
สุบินถึงกับชะงักเพิ่งรู้ตัวว่าความปากหมาของตนนำความเดือดร้อนให้คนอื่น สรนุชเห็นทุกคนกำลังเครียด คนนั้นก็ไม่ได้คนนี้ก็ไม่ได้ ทันใดนั้นสรนุชจึงพูดขึ้น
“ฉันเข้าประกวดเอง”
สรนุชพูดขึ้นก่อนพร้อมกับก้าวเข้าไปหาสองหนุ่ม ขณะที่ทุกคนหันมามองอย่างแปลกใจ
“คุณพูดว่าไงนะ?” ใจเด็ดถามย้ำ
“ฉัน-บอก-ว่า...ฉันจะขึ้นประกวดแทนยัยอรเอง”
“จะได้เหรอคุณ ขาคุณเจ็บอยู่ไม่ใช่เหรอ?” ที่แท้ใจเด็ดเป็นห่วง
“ไม่เป็นไรหรอกน่า ขาฉันค่อยยังชั่วแล้ว ในฐานะที่ยัยอรเป็นเพื่อนฉัน ฉันต้องทำหน้าที่รับผิดชอบแทนเพื่อนฉัน”
ใจเด็ดอึ้งไปชั่วครู่ ในขณะที่เกริกไกร และทุกคนลุ้นว่าเขาจะยินยอมมั้ย
อ่านต่อหน้า 3 เวลา 17.00 น.
กระบือบาล ตอนที่ 9 (ต่อ)
เวลาเดียวกันนั้นที่ด้านหลังเวทีประกวดนางงาม โชคชัยกับสมหญิงรอกำลังอรอนงค์อยู่ด้วยความเป็นห่วง
“มาช้าเอาเปรียบชาวบ้านแบบนี้ ตัดสิทธิ์ให้ออกจากการประกวดไปเลยค่ะนายก เหลือฉันกับยัยปุยฟาย 2 คนก็พอ เพราะถึงยังไงคนที่จะได้รับตำแหน่งเทพีก็ต้องเป็นชั้นอยู่ดี” ช่อผกาเยาะเย้ยถากถาง
สมหญิงยังไม่รู้เรื่องส่งสรนุชประกวดแทน เลยพูดไม่ออก
“เอ่อคือ...”
“นี่นายกจะเอาไง จะรอแม่สาวชาวกรุงนั่นจนถึงสว่างเลยหรือไง” ช่อผกาตะโกนถาม
ระหว่างนั้นก็มีเสียงดังแทรกขึ้น “ไม่ต้องรอหรอก ฉันมาแล้ว”
ทุกคนชะงักหันไปมองเห็นสรนุชในชุดประกวดที่อรอนงค์เคยใส่เดินสวยนวยนาดเข้ามาชุด หน้า ผม เป๊ะ เตรียมพร้อมมาอย่างดี
ทุกคนช็อก สมหญิงดีใจถลาเข้ามาหา
“อุ้ยต๊ายตาย...สวยยังกับดาราแน่ะคุณนุช”
โดยไม่ต้องสงสัย เฉพาะโชคชัยนั้นถึงกับตะลึงงัน
“ตะลึงในความงามของคุณนุชจนพูดไม่ออกเลยเหรอคะนายก” เจนจิราที่ตามมาพยายามพูดชงให้
โชคชัยยิ้มเขินๆ “เอ่อ...ครับ คุณนุชสวยมาก สวยจนผมใจสั่นเลย”
โชคชัยยกมือทาบอก ตามองสรนุชอย่างปิ๊งๆ ทำเอาสรนุชต้องหลบตา ส่วนเจนจิราแอบยิ้มสมใจ
ช่อผกาแถเข้ามาหาสรนุชถามขึ้นทันควัน
“แม่สรนุช! เธอแต่งตัวอย่างงี้หมายความว่ายังไงยะ?”
“ก็หมายความว่าฉันจะขึ้นประกวดแทนยัยอรที่ป่วยกะทันหันน่ะสิ”
“ทำยังงี้ไม่ได้นะ!” ช่อผกาโวยวายลั่น
“ทำไมจะไม่ได้ มีกฎข้อไหนห้ามเหรอคะ นายกโชคชัย?”
“ไม่มีครับ” โชคชัยรับรองขึงขัง
“เห็นมั้ย...หรือว่าเธอกลัว” สรนุชเยาะ
“ฉันเนี่ยนะกลัวหล่อน...ชิ...ยิ่งชนะสบายละไม่ว่า”
ช่อผกาสะบัดหน้าพรืดแล้วเดินออกไป
โชคชัยตัดบท “เอาล่ะครับ ในเมื่อมาแล้ว คุณนุชก็เตรียมขึ้นเวทีเลยดีกว่าครับ”
เมื่อถึงเวลาจริงๆ สีหน้ามั่นๆ ของสรนุชเปลี่ยนมายิ้มแหยไม่มั่นใจขึ้นมาทันที
“เอ่อ...ขึ้นเลยเหรอคะ?”
“เดี๋ยวคุณนุชจะขึ้นต่อจากช่อผกาเขา...เตรียมตัวอยู่ตรงนี้ก่อนก็ได้ครับ”
สรนุชหลับตายกมือไหว้ “คุณพระคุณเจ้าช่วยลูกช้างด้วย”
สรนุชพยายามสูดลมหายใจเข้าเรียกความกล้า
ขณะเดียวกันใจเด็ดกับเกริกไกรเดินกลับมาที่หน้าเวที ใจเด็ดตื่นเต้นเร่งยิกๆ จนออกนอกหน้า
“เดินเร็วๆ สิไอ้หมอ...ชักช้าเดี๋ยวก็ไม่ทันหรอก”
“อะไรนี่! ทุกปีไม่เคยเห็นนายจะสนใจไปดูการประกวดเลย นี่พอคุณนุชจะขึ้นประกวด นายตื่นเต้นขนาดนี้เลยเหรอ?”
ถูกเพื่อนซี้กระเซ้า ใจเด็ดหยุดกึก
“เอ่อ...ฉันก็แค่จะไปดูว่า ยัยนั่นจะทำขายหน้าอะไรบนเวทีบ้าง ก็เท่านั้นเอง”
ใจเด็ดทำเป็นหน้าตายเดินใจเย็นลง
แต่พอเดินผ่านกลุ่มชาวบ้าน ที่กำลังจับกลุ่มคุยกัน พลางหันมามองที่เขาเป็นตาเดียว โดยเฉพาะ2ผัวเมียกับสัปเหร่อจุกที่กำลังซุบซิบอย่างเมามันอยู่กับมหาเหม็น
เห็นเท่านั้นใจเด็ดก็รู้ทันทีว่าตนกำลังถูกซุบซิบเรื่องอะไร พยายามเดินก้มหลบหน้าหลบตาไม่มอง
แต่แล้วมหาเหม็นเดินเข้ามาขวางหน้าไว้
“ฉันล่ะนับถือหัวหน้าจริงจริ๊ง ขนาดฉันเป็นหมอผี ยังไม่เค๊ยไม่เคยกล้าพาแม่ไอ้โทนไปพลอดรักกันในโลงศพเลยซักที ฮ่ะๆๆๆๆ”
“อะไรนะ! ใครวิตถารไปพลอดรักกันในโลงศพนะ?” เกริกไกรยังไม่รู้ เลยมึนตึ๊บ
“อ้าว...หมอไม่รู้เหรอ ก็หัวหน้าใจเด็ดกับคุณนุชน่ะสิแอบไปสวีทกันที่โกดังเก็บโลงโน่น” มหาเหม็นจัดให้
“ฮ้า! จริงเหรอใจเด็ด? นี่นาย...”
“เฮ้ย...ไม่ใช่อย่างงั้น ฉันไม่ได้อุตริ...”
มหาเหม็นพูดขัดขึ้น “ไม่ใช่ได้ไง ชาวบ้านเค้าเห็นกันทั่ว ถ้าไม่เชื่อ ท้าให้ไปถามหลวงพ่อได้เลย หลวงพ่อก็เห็น รับรองว่าพระไม่โกหกหรอก”
ใจเด็ดยืนอึ้งทำหน้ายังกับกินอะไรติดคอ จะกลืนก็ไม่ได้ คายก็ไม่ออก
ในขณะที่เกริกไกรชอบใจยกใหญ่ตบไหล่ใจเด็ดจนคะมำ
“ฮะฮ่า...แจ๋วจริงๆ ว่ะไอ้เด็ด แกไปรอเชียร์หวานใจแกที่หน้าเวทีก่อน ฉันขอตัวไปดูหวานใจฉันบ้างดีกว่า”
“เฮ้ย...เดี๋ยว”
เกริกไกรรีบผละไป ทิ้งใจเด็ดไว้ มหาเหม็นยืนมองใจเด็ด อมยิ้มกรุ้มกริ่ม
ด้านอรอนงค์อยู่กับสุบิน นั่งดมยาดมจนดูเหมือนสติสตังจะเริ่มดีขึ้นแล้ว
“นี่ถ้าไม่ใช่เพราะยัยนุชอยากจะกุมหัวใจชาวบ้าน ฉันว่า...ต่อให้เอาช้างม้าวัวควายมาลาก มันคงไม่ยอมลดตัวไปเข้าประกวดเทพีระดับชาวบ้านเด็ดขาด” สุบินบอก
“แกก็มองมันในแง่ร้ายอย่างเดียว ไม่คิดบ้างล่ะ บางทีมันอาจจะเต็มใจช่วยคุณใจเด็ดจริงๆ ก็ได้” อรอนงค์แย้ง
“อ๋อเหรอ เต็มใจช่วย หึ ถ้ามันจะทำอย่างงั้นได้ ก็เพราะเหตุผลเดียว”
“เหตุผลอะไรของแก?” อรอนงค์สงสัย
“มันก็ต้องมีใจให้นายใจเด็ดน่ะดิ”
“หา!” อรอนงค์ยกมือทาบอกไม่อยากจะเชื่อ “ถ้าเป็นอย่างงั้นจริงๆ ยุ่งเลยนะแก”
เกริกไกรป้องหูเดินเข้ามา
“เอ๊ะ..ได้ยินเสียงหวานๆ เจื้อยแจ้วแบบนี้ แสดงว่าคุณอรของผมอาการดีขึ้นแล้วสิครับ”
“เอ่อค่ะ ไม่ปวดหัวเท่าไหร่แล้ว”
“ถ้าอย่างงั้นขอทดสอบหน่อยนะครับ นี่กี่นิ้วครับ?”
ว่าแล้วเกริกไกรก็ยกมือทำมือเป็นไอ เลิฟ ยู ให้อรอนงค์ดู สุบินขำอยากจะบ้าตาย
“รู้สึกว่าฉันจะปวดหัวแทน รู้สึกคลื่นเหียนยังไงก็ไม่รู้”
อรอนงค์ศอกใส่สุบิน แล้วยิ้มให้เกริกไกร
“ฉันยังไม่ได้ขอบคุณหมอเลย ที่ตามไปช่วยฉันไว้”
“ไม่ต้องขอบคุณหรอกครับ รักผมก็พอ”
เจอมุกนี้เข้า อรอนงค์ถึงกับยิ้มเขินอาย
“คุยกันอยู่ 2 คนก็แล้วกันนะ ตามบาย ฉันไปดูยัยนุชขึ้นเวทีประกวดดีกว่า” สุบินไม่อยากเป็นกอขอคอ
“เดี๋ยวสิ ฉันไปดูด้วย!
อรอนงค์ลุกตามแล้วเซ เกริกไกรประคองไว้
“โอ๊ะ...ระวังสิครับคุณอร คุณยังไม่หายดี ให้ผมประคองไปดีกว่านะครับ”
เกริกไกรประคองพาอรอนงค์เดินไป
การประกวดเทพีหรองระบือเริ่มขึ้นแล้ว ครูสีดาก้าวขึ้นประกาศบนเวที
“และต่อไป...ผู้เข้าประกวดคนนี้เป็นเจ้าของเทพีหนองระบือปีที่แล้ว...ขอทุกคนพบกับ...นางสาว...ช่อผกากากากากากา” ครูสีดาใส่มุกเพิ่มแอ็คโค่เอง
ช่อผกาเดินขึ้นเวทีมาพร้อมกับเสียงปรบมือเปาะแปะ ช่อผกายกมือไหว้ค้อมตัวแทบจะติดพื้นเวที ในมาดนางงามตจว. ก่อนจะเดินโบกมือไปรอบๆ เวที แล้วเดินตรงมาที่ครูสีดา
“สวัสดีจ้ะ...ตื่นเต้นมั้ยจ้ะ” ครูสีดาถามยิ้มเยื้อน
“นิดหน่อยค่ะ”
“แล้วคิดว่าจะรักษาตำแหน่งเอาไว้ได้มั้ย”
“แหม...คำถามนี้...คงต้องถามทุกคนดูว่าอยากให้ผการับใช้ทุกคนอีกหรือเปล่า”
ทันทีที่ช่อผกาพูดจบก็ได้ยินเสียงโห่ดังขึ้น จนครูสีดาต้องรีบเบรก
“ฟังจากเสียงชื่นชมแล้ว...คิดว่าต้องรักษาตำแหน่งเอาไว้ได้แน่นอน...เอาละมาถึงคำถามประจำปีนี้ดีกว่า...ถ้าคุณช่อผกาได้กลับมาเป็นเทพีบ้านหนองระบืออีก...คุณช่อผกาจะทำยังไงให้ชาวบ้านอยู่ดีกินดี”
“ขอบคุณสำหรับคำถามนะคะ...เป็นคำถามที่ดีจริงๆคะ...สิ่งที่ช่อผกาจะทำนั่นก็คือ...การแจกเงินค่ะ” คนดูทุกคนร้องครางเสียงฮือฮา “ทุกคนก็รู้ว่าทุกวันนี้...เงินที่เราได้จากรัฐบาลคงไม่พอให้ทุกคนได้เลี้ยงตัวเอง...เพราะฉะนั้น...ดิฉันได้คุยกับพ่ออยู่เหมือนกัน...ว่าทุกเดือน...เราจะมอบเงินให้กับชาวบ้าน...เดือนละหนึ่งพันบาทค่ะ”
ชาวบ้านที่อยู่หน้าเวทีบ้างก็ชอบ บ้างก็งงๆ ส่วนกรรมการที่นั่งอยู่ก็มีซุบซิบคุยกัน ครูสีดาเห็นจึงรีบตัดบทเพราะกลัวว่าจะเป็นการหาเสียง
“แล้วก็ขอบคุณสำหรับคำตอบนะคะ...ต่อไปอีกคำถามนึง...อยากให้คุณช่อผกาพูดระหว่างความรักกับควายให้ฟังหน่อยจ้ะ”
“แหม...คำถามแบบนี้อีกแล้ว...คิดว่าช่อผกาไม่รู้คำตอบเหรอคะ...คำตอบก็คือ...ดิฉันไม่รู้หรอกค่ะ...เพราะดิฉันไม่ใช่ควาย”
ช่อผกาพูดเสร็จก็ยิ้มแฉ่งเพราะคิดว่าคำถามที่ถามเป็นปัญหาเชาว์กวนๆ แบบสมัยนี้ ครูสีดาถึงกับมึนตึ๊บ
“เอ่อ...แล้วนั่นก็คือ...คุณช่อผกา”
ครูสีดาผายมือ มีเสียงตบมือดังเปาะแปะ ขณะที่ช่อผกาก้มหัวไหว้แทบติดดินอีกครั้ง
เจนจิรากับสมหญิงเดินออกมาจากหลังเวที สมหญิงเห็นใจเด็ด
“หัวหน้ายืนอยู่นั่นค่ะ แหม...ชิดขอบเวทีเลย”
เจนจิรามองตามเห็นใจเด็ดยืนชะเง้อรอเวลาที่จะได้เห็นสรนุชขึ้นเวที เจนจิราเดินนำสมหญิงเข้ามายืนข้างๆใจเด็ด
“ดูหัวหน้าตื่นเต้นนะคะ”
ใจเด็ดชะงักหันมามอง “เอ่อ...ตื่นเต้นอะไรเหรอเจน”
“ตื่นเต้นที่จะได้เห็นคุณนุชขึ้นประกวดเทพีมังคะ”
“ตื่นเต้นกลัวยัยนั่นจะทำเปิ่นบนเวทีสิไม่ว่า หึๆ”
พูดจบใจเด็ดหันกลับไปมองเวทีด้วยใบหน้าที่อิ่มเอิบไปด้วยรอยยิ้มและความสุขอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ส่วนเจนจิราลอบมองใจเด็ด ได้แต่เจ็บจี๊ดอยู่ข้างใน
ครูสีดาประกาศบนเวที
“แล้วก็มาถึงผู้เข้าประกวดคนสุดท้าย...ส่งเข้าประกวดโดยสถานีบำรุงพันธุ์สัตว์...ขอเชิญทุกท่านพบกับผู้ประกวดหมายเลข 3 คุณสรนุชครับ”
สมหญิงกับภิรมย์ส่งเสียงกรี๊ดและเป่าปากนำ ชาวบ้านพากันตบมือต้อนรับกันเกรียวกราว
ที่บริเวณข้างๆ เวที...สรนุชกำลังจะเดินขึ้นเวที แต่เพราะความประหม่าทำให้สรนุชสะดุดจนส้นสูงลงไปติดอยู่ในร่องไม้พื้นเวที ยิ่งเห็นใจเด็ดคลายยิ้มอดขำไม่ได้ขำมองเห็นไรฟันขาว ยิ่งทำให้สรนุชใจสั่นไปหมด
โชคชัยเห็นอย่างนั้นรีบเข้ามาดูสรนุช
“ให้ผมช่วยมั้ยครับคุณนุช?”
สรนุชดึงส้นสูงขึ้นมาได้พอดี “แฮ่...ไม่เป็นไรค่ะ”
ใจเด็ดยิ้มชะงัก รู้สึกขัดหูขัดตาที่เห็นโชคชัยเข้ามาทำท่าเป็นห่วงเป็นใยสรนุชแบบนั้น
สรนุชก้าวขึ้นบนเวที ย่อเข่าก้มลงไหว้อย่างสวยงาม
ใจเด็ดตะลึงมอง เพราะสรนุชในชุดประกวดนางงามสวยอ่อนหวานอย่างที่เขาคิดไม่ถึง
เจนจิราหันมองเสี้ยวหน้าของใจเด็ด...แววตาเป็นประกายของใจเด็ดที่มองสรนุช ทำให้เจนจิราได้แต่ยืนน้ำตาตกใน เจนจิราค่อยๆ หันเดินออกไปเงียบๆ โดยที่ไม่มีใครทันสังเกต
สุบิน เกริกไกร อรอนงค์เพิ่งเข้ามาถึง ยืนยิ้มตบมือมองไปที่สรนุชเดินโชว์ความงามบนเวที
“ดูสิคะหมอ...ยัยนุชสวยจังเลยค่ะ”
สุบินหันไปเห็นเจนจิรากำลังเดินหลบออกไปจากบริเวณเวทีประกวด เลยหันเดินตาม
“อ้าว จะไปไหนสุบิน?”
“เดี๋ยวฉันมา”
สุบินรีบเดินตามเจนจิราไปอย่างไว
สุบินเดินมองหาเจนจิรามา แล้วก็ได้ยินเสียงร้องไห้กระซิกดังแว่วมา สุบินค่อยๆ เดินย่องเบาๆ ไปตามเสียง และแล้วก็เห็นเจนจิรายืนร้องไห้อยู่คนเดียว
สุบินได้แต่ยืนเกาะต้นไม้มองเจนจิราอยู่อย่างนั้นด้วยความเห็นใจ
“ยัยนุชเอ้ย...ขออย่าให้แกกับนายใจเด็ดเกิดชอบกันขึ้นมาจริงๆอย่างที่ฉันกลัวเลย เพราะแกจะต้องทำร้ายจิตใจใครหลายคน รวมทั้งตัวแกเองด้วย เฮ้ออ”
สุบินเศร้าจริงอะไรจริง
ที่บนเวทีเวลานั้น สรนุชกำลังเดินอวดโฉมให้กับชาวบ้านได้ดู เดินตรงมาหยุดยืนต่อหน้ากรรมการแล้วถอนสายบัวไหว้อย่างงาม ก่อนที่จะเดินกลับมาที่ครูสีดาเพื่อตอบคำถาม
“มาตอบคำถามแรกกันดีกว่า...ถ้าคุณสรนุชได้ตำแหน่งเทพีหนองระบือในปีนี้...คุณจะทำอะไรให้ชาวบ้านที่นี่อยู่ดีกินดี”
สรนุชนิ่งไปอย่างใช้ความคิดก่อนจะสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดแล้วพูดขึ้น
“ถ้าให้ตอบตรงๆ...ดิฉันก็จะบอกว่า...ดิฉันทำไม่ได้หรอกค่ะ”
สิ้นคำถามสรนุช ทุกคนก็ถึงกับฮือฮา ใจเด็ดเองก็งงเช่นกัน
“อ้าว...ทำไมคุณนุชตอบอย่างนั้นละคะหัวหน้า” สมหญิงงง
“รอให้เธอตอบให้จบก่อนดีกว่า” ใจเด็ดบอกทั้งที่ก็งงเช่นกัน
ส่วนบนเวที...สรนุชมองชาวบ้านทุกคนก่อนจะพูดต่อ
“ที่ดิฉันบอกว่าทำไม่ได้...ก็เพราะว่าแค่ตำแหน่งเทพีคงทำอะไรไม่ได้มาก...แต่ถ้าเป็นตำแหน่งนายกรัฐมนตรีดิฉันคิดว่า...ดิฉันจะสอนให้ทุกคนจับปลาค่ะ”
ทุกคนงงกับคำพูดของสรนุช ตัดมาด้านหลังเวทีเห็นช่อผกาหัวเราะคิกคัก
“หึ...บ้าไปแล้ว...สอนให้จับปลา...โง่จริงๆ”
สรนุชพูดต่อ
“บางคนอยากให้ประชากรของตัวเองอยู่ดีกินดี...ก็เลยเอาปลามาให้ถึงหน้าบ้าน...แล้วถ้าเกิดวันหนึ่ง...เขาไม่ได้เอาปลามาให้...ทุกคนก็จะนั่งรอเพราะว่าตัวเองจับปลาไม่เป็น...ดิฉันเลยบอกว่าสิ่งที่ฉันอยากจะทำ...นั่นก็คือ...สอนให้ทุกคนจับปลาค่ะ...แม้ว่ามันจะเหนื่อยยากในวันนี้...แต่มันจะยั่งยืนไปจนตราบรุ่นลูกรุ่นหลานเราค่ะ”
ทุกคนได้ยินที่สรนุชบอกก็พยักหน้าเห็นด้วย ใจเด็ดมองสรนุชด้วยสายตาปลื้มโครตๆ
“งั้นก็มาถึงคำถามสุดท้าย...ช่วยบอกพวกเราหน่อยซิว่าความรักกับควายในความคิดของคุณมันคืออะไร”
“เอ่อ...จริงๆ แล้วดิฉันก็ไม่ค่อยรู้จักควายเท่าไหร่...รู้แต่ว่ามันมาก่อนคอคน (ฅ)”
พอสรนุชพูดจบทุกคนก็เงียบกริบ
“เอ่อ...ก่อนที่ดิฉันจะมาที่หนองระบือแห่งนี้...ดิฉันได้ยินมาว่าผู้คนที่นี่รักควายมากจนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นหมู่บ้านควาย...ดิฉันไม่เข้าใจว่าทำไมทุกคนถึงได้รักควายมากขนาดนั้น...ทั้งๆ ที่มันสกปรก...น่าเกลียด” ทุกคนเริ่มฮือฮากับสิ่งที่สรนุชพูด “จนกระทั่งที่ดิฉันมาถึงนี่...แรกๆ ดิฉันก็ยังรู้สึกอย่างนั้นอยู่...แต่หลังจากที่ดิฉันได้อยู่ที่นี่...ดิฉันเริ่มเห็นแล้วว่าทำไมทุกคนถึงได้รักควาย”
สรนุชหยุดไปก่อนจะค่อยหันมองไปที่ใจเด็ด
“นั่นก็เพราะว่า...ควายรักเราอย่างไม่มีเงื่อนไข”
ทุกคนได้ยินคำตอบก็นิ่งไป จนกระทั่งกรรมการคนหนึ่งทนดีใจไม่ไหว ค่อยๆ ลุกขึ้นก่อนจะตบมือออกมา แล้วทันใดนั้นชาวบ้านคนอื่นๆก็ค่อยๆตบมือตามก่อนจะดังสนั่นไปทั้งวัด
สรนุชยิ้มให้กับเสียงตบมือนั้น ขณะที่ใจเด็ดเองก็มองสรนุชด้วยความรู้สึกดีอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน
เวลาผ่านไป สรนุชยืนยื้มสวยบนตัวคาดสายสะพาย ใส่มงกุฎให้และรับถ้วยรางวัลจากนายกเทศมนตรี
สรนุชอ้าปากค้างยกมือปิดปากในท่านางงามเลย ส่วนกองเชียร์ข้างล่างส่งเสียงกรี๊ดอย่างดีใจ
ใจเด็ดยิ้มแฉ่งดีใจสุดๆ เช่นเดียวกับอรอนงค์ เกริกไกร สมหญิง ภิรมย์ แม้แต่เจนจิราก็ตบมือให้
“ขอแสดงความยินดีกับเทพีคนใหม่ของเรา” ครูสีดากล่าวชื่นชม
สรนุชชูถ้วยรางวัลดีใจจนลืมตัวอินไปกับบทบาทนางงาม สุบินแอบกระซิบพูดกับอรอนงค์
“ดูเพื่อนแกทำ...มันคงลืมนึกไปมั้ง ว่าต่อจากนี้ไปนอกจากภารกิจเดิมที่มันต้องทำแล้ว มันยังต้องเจอภารกิจอันใหญ่หลวงที่ต้องทำในฐานะเทพีขวัญใจชาวหนองระบือด้วย”
อรอนงค์มีสีหน้าหนักใจ ขณะมองไปที่สรนุช ซึ่งกำลังเดินโบกไม้โบกมือให้ทุกคนบนเวที
หลังการประกวดช่อผกาก็มาร้องไห้กับใจเด็ด
“ฮือๆๆๆๆๆๆ”
“จะร้องไห้ไปทำไมกันผกา”
“ก็ผกาแพ้อย่างไม่เป็นธรรมนี่พี่เด็ด” ช่อผกาว่าไปนั่น
“เหอะๆ อย่างนี้เค้าเรียกว่าแพ้อย่างไม่มีทางสู้ต่างหาก” เกริกไกรว่า
“นั่นสิครับ ขนาดหัวหน้ายังไม่ให้ลูกโป่ง เอาไปให้ปุยฝ้ายเฉยเลย” ภิรมย์ออกความเห็น
“ฮือๆๆๆๆๆ ช่อผกายิ่งร้องดัง
“พวกนายก็เหมือนกัน! ไปซ้ำเติมผกาเค้าทำไม เอาน่าผกา ปีนี้ไม่ได้ ปีหน้าก็ยังมี ค่อยประกวดใหม่นะ”
“แหม..คู่นี้เค้าน่ารักกันจริงนะ เห็นอกเห็นใจ ให้กำลังใจกันตลอด” สรนุชประชดส่ง
ใจเด็ดหันมามอง เห็นสรนุชเดินเข้ามา
“สงสัยว่าชาตินี้คงจะเกิดมาเป็นคู่ทุกข์คู่ยากกันจริงๆ” ต่ออีกดอก
ใจเด็ดมองสรนุชอย่างหมั่นไส้ในท่าทาง ขณะที่ช่อผกากอดแขนใจเด็ดหมับ
“ก็แหงล่ะย่ะ ไม่มีผู้หญิงคนไหนสามารถเข้ามาสอดแทรกระหว่างกลางความรักของฉันกับพี่เด็ดได้เด็ดขาด แม้แต่พวกได้ตำแหน่งเทพีก็อย่าได้ฝันไปเลย”
“ต๊าย นี่คุณผกาคิดว่าคุณนุชจะมารักมาชอบกับหัวหน้าของสมหญิงเหรอคะ?”
คำพูดของสมหญิงทำให้สรนุชกับใจเด็ดต้องชะงักไป
ใจเด็ดกับสรนุชอึกอักเหมือนกัน “เอ่อ...”
อรอนงค์กับสุบินแอบสบตากัน แต่เจนจิรารีบชิงพูดขึ้นมาก่อน
“เป็นไปไม่ได้หรอกสมหญิง คุณนุชทั้งเก่งทั้งสวยขนาดนี้ เธอมีคนอื่นหมายปองอยู่แล้วล่ะ!”
ทุกคนหันมามองเจนจิราเป็นตาเดียว สุบินอึ้งมองเจนจิรา ไม่อยากเชื่อว่าเจนจิราจะพูดแบบนี้ออกมา
“ใครคะคุณเจน ใครชอบคุณนุช?”
สมหญิงถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
เจนจิราอึกอักเพราะไม่ได้ตั้งใจจะพูด แค่เผลอหลุดปากออกไป แต่แล้วเสียงโชคชัยก็ดังขึ้น
“คุณนุชครับ”
สรนุชค่อยๆ หันไปมองโชคชัย เช่นเดียวกับสายตาทุกคนที่จ้องมาที่โชคชัยเป็นตาเดียว
“ผมดีใจด้วยครับที่คุณได้รับตำแหน่งเทพีขวัญใจหนองระบือของเราในปีนี้”
โชคชัยพูดพลางยื่นดอกไม้ให้ สรนุชอึ้งค้าง สมหญิงกับช่อผกาถึงบางอ้อ ใจเด็ดแอบอารมณ์เสีย
“ช่วยรับดอกไม้จากใจจริงของผมไปด้วยนะครับ”
“เอ่อ...ดอกไม้ อ๋อ...ขอบคุณมากค่ะ”
“อุ้ยต๊ายตาย นึกว่าใครที่ไหน นายกโชคชัยนี่เองเหรอที่ชอบคุณนุช”
สรนุชซึ่งกำลังรับดอกไม้ถึงกับเบรกเอี๊ยด อ้าปากค้าง ก่อนหันขวับมาต่อว่าช่อผกา
“นี่คุณ อย่ามาพูดอะไรอย่างงี้นะ คุณนายกน่ะเหรอจะมาชอบฉัน ไม่จริงหรอก ใช่มั้ยคะคุณโชคชัย?”
สรนุชหันมามองหน้าโชคชัย ในขณะที่โชคชัยกลับเอาแต่ยืนยิ้มๆ มองมาที่สรนุชด้วยสายตาที่บ่งบอกความในใจ เจนจิรามีสีหน้าพอใจ ที่โชคชัยไม่กลัวที่จะแสดงความในใจออกมาให้ทุกคนเห็น
สรนุชยืนอึ้งกิมกี่ไปเลย ก่อนจะฝืนยิ้มแล้วแค่นหัวเราะออกมา
“แหะๆๆ คงไม่ใช่คุณโชคชัยคนเดียวหรอกที่ชอบฉัน คนคงชอบกันทั้งวัดแหละเนอะ ไม่งั้นฉันคงไม่ได้คะแนนโหวตล้นหลามจนได้ตำแหน่งมาอย่างงี้หรอก แหะๆๆ”
“เฮ้อ...ผมหวังว่าได้ตำแหน่งแล้ว คุณคงไม่หลงลืมตัวจนเกินไป ว่ามีแต่คนรักคนชอบนะครับ เราไปที่เวทีรำวงกันดีกว่า”
ใจเด็ดเดินนำทุกคนไป สรนุชกัดปากมองตามใจเด็ดอย่างเจ็บใจ
ขณะที่สุบินแอบกระซิบพูดที่ข้างหูเจนจิราก่อนเดินตามคนอื่นๆ ไป
“เข้าใจทำนี่คุณ”
เจนจิราตกใจ มองตามสุบิน ไม่คิดว่าสุบินจะจับได้
กลางดึกคืนนั้นชาญณรงค์นอนเมาหมดสภาพอยู่ที่โซฟา…ค่อยๆ ขยับ รู้สึกตัวได้สติ
“โอย...ทำไมปวดไปทั้งเนื้อทั้งตัวอย่างงี้วะ อึ๋ย!”
ชาญณรงค์สะดุ้งตื่นรู้สึกปวดฉี่ เลยลุกเดินเมาไปที่ห้องน้ำอย่างคุ้นชินทาง ทั้งๆ ที่ตายังลืมไม่ขึ้น ผลักประตูเข้าไป
ผู้พันชรายืนฉี่ สติสตังค์เริ่มมา ขมวดคิ้วพลางคิด
“เอ้...น้องอร...ใช่...เมื่อตะกี้ฉันอยู่กับน้องอรนี่หว่า” ฉี่เสร็จพอดีก็เรียกหาอรอนงค์ “น้องอรจ๋า”
ชาญณรงค์หันมองหาอรอนงค์ ขณะที่ตาลืมปรือขึ้นมอง เห็นหน้าตัวเองแว้บๆ ในกระจก แล้วต้องแหกปากลั่นตาสว่าง
“อ๊าก”
ชาญณรงค์มองจ้องหน้าตัวเองในกระจก จับหน้าที่ฟกช้ำ ปากเจ่อเป็นพญาครุฑ แล้วหุนหันออกจากห้องน้ำตะโกนลั่น
“ไอ้คิด...ไอ้คิด”
สมคิดวิ่งพรวดพราดหน้าตาตื่นเข้ามา
“ผู้พันสร่างแล้วเหรอครับ”
“ทำไมหน้าตาฉันยับเยินยังกับไปฟัดกับสุนัขมาอย่างงี้วะ แล้วน้องอร...น้องอรของฉันอยู่ที่ไหน ทำไมฉันกลับมาอยู่ที่บ้านได้วะ” ชาญณรงค์โวยวายลั่นบ้าน
“คำอธิบายง่ายมากเลยครับผู้พัน ทั้งหมดทั้งมวลนี้เป็นเพราะยาดองไหนั้นที่ผู้พันกินเข้าไป จนเมาแอ๋น่ะครับ” สมคิดเล่าให้ฟัง
“ห่ะ แกอย่าบอกนะ ว่าฉันเมาจนไม่มีแรงปล้ำน้องอรน่ะ”
“ปล้ำอะไรล่ะครับพ้ม ผู้พันเมาหัวทิ่ม เอ่อ...จนหน้าคว่ำยับเยินอย่างที่เห็นนี่แหละ ผมถึงต้องรีบแบกผู้พันกลับมา เพราะไอ้หมอเกริกมันดันตามมาเจอแม่อรอนงค์ที่กระท่อมเข้า”
“โธ่เว้ย! จ๊าก”
ชาญณรงค์เตะขาโต๊ะอย่างอารมณ์เสีย ดันเจ็บตัวอีก
“ก็เพราะแกตัวเดียว ไอ้สมคิด ดันเอาไอ้ช้างกระทืบโลงมาให้ฉันกิน นี่ๆ”
ชาญณรงค์คว้าผลไม้ปลอมใกล้มือปาใส่กระบาลสมคิด สมคิดยกมือปิดป้องหัวหนีตายพัลวัน
โชคชัยยืนอยู่กลางเวทีรำวงกำลังประกาศ
“ตอนนี้ก็ถึงเวลาที่ทุกคนรอคอยแล้ว...นั่นก็คือการ...”
โชคชัยเงียบเสียงเพื่อให้ชาวบ้านตะโกนตอบ
“รำวง”
โชคชัยยิ้มก่อนจะหันไปเห็นสรนุชเดินเข้ามาที่เวทีพร้อมกับสุบินและอรอนงค์
“แล้วก็เป็นเหมือนทุกปีที่เราต้องให้เกียรติเทพีของเรา...ขอเชิญเทพีบ้านหนองระบือ...คุณสรนุช บนเวทีด้วยครับ”
สรนุชที่เพิ่งเดินเข้ามาก็ถึงกับหน้าเหวอขึ้นมาทันที “ฮ้า ! เอ่อ...เอาไงดี”
สรนุชหันไปหาสุบินกับอรอนงค์ก่อนจะเห็นสุบินกับอรอนงค์พร้อมใจกันก้าวถอยหลังทำให้สรนุชเด่นขึ้นมาทันที เสียงตบมือดังกึกก้องทำให้สรนุชต้องเดินเข้าไปในเวที ยิ้มโปรยเล่นบทนางงามอีกครั้ง
“คุณสรนุชนึกไว้หรือยังครับว่าจะเลือกใคร” โชคชัยถาม
“เอ่อ...”
ระหว่างนั้นคุณลุงคนหนึ่งยกมือขึ้น
โชคชัยถามออกไป “ลุงแช่มอยากเต้นกับคุณนุชหรือไง”
“เปล่า...ผมจะบอกว่าคุณนุชน่ะต้องคู่กับหัวหน้าใจเด็ด”
ใจเด็ดที่ยืนอยู่ได้ยินก็ถึงกับอึ้ง “เดี๋ยวๆ”
“แหม...ไม่ต้องเขินหรอกหัวหน้า...จะได้จัดการเรื่องในกระท่อมเมื่อกี้ให้เสร็จไง”
ลุงแช่มพูดจบ ชาวบ้านหัวเราะกันครืนใหญ่ ก่อนจะเห็นชาวบ้านต่างส่งเสียงร้องเชียร์
“ใจเด็ด...ใจเด็ด...ใจเด็ด”
สรนุชกับใจเด็ดต่างสบตากันด้วยความลำบากใจทั้งคู่
ระหว่างนั้นเสียงของใครคนหนึ่งก็แหวขึ้น
“ หยุด”
ทุกคนหันมองไปก็เห็นช่อผกาเดินปรี่เข้ามาหาใจเด็ด ก่อนจะคล้องแขนแสดงความเป็นเจ้าของทันที
“พี่ใจเด็ดต้องคู่กับฉันคนเดียว” ช่อผกาเออออไปเองคนเดียว
“อ้าว...ได้ยังไงนังผกา ธรรมเนียมเขาก็มีอยู่ ถ้าคุณนุชจะเลือกหัวหน้า แกจะทำไม” ลุงแช่มไม่พอใจ
“ต๊าย...จริงเหรอ ! แย่งตำแหน่งไปจากฉันแล้ว...ยังจะกล้าแย่งพี่เด็ดอีกหรือไง” ช่อผกาเยาะ
“นี่คุณพูดดีๆ นะ...เพื่อนผมไปแย่งตำแหน่งอะไร” สุบินเหลืออด
ระหว่างนั้นเสียงของสรนุชดังขึ้น
“สุบิน!” สรนุชปราม ทุกคนเงียบแล้วหันมองสรนุช “คือ...ฉันขอบคุณทุกคนนะคะ...แล้วก็รู้ว่าทุกคนอยากให้ฉันกับคุณใจเด็ดได้คู่กัน...แต่...มันคงเป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ”
สรนุชกับใจเด็ดสบตากัน
“คือ...ฉันกับคุณใจเด็ดไม่ได้เป็นอย่างที่ทุกคนคิด...แล้วที่ทุกคนเห็นก็เป็นแค่อุบัติเหตุ” สรนุชแจง
“แล้วอย่างนี้คุณจะเลือกใครละ” ชาวบ้านคนหนึ่งถาม
สรนุชมองไปที่ใจเด็ดที่มีช่อผกากอดแขนเหนียวแน่นหนึบ ก็เกิดความรู้สึกหึงขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
“คุณโชคชัยค่ะ”
ทันทีที่สรนุชบอก ชาวบ้านก็ส่งเสียงฮือฮาขึ้นมาทันที อรอนงค์ทำหน้างงหันไปถามสุบิน
“อ้าว...ก็ไหนยัยนุชบอกว่าจะไม่เลือกคุณโชคชัยไง”
“เออดิ...มันคิดอะไรของมันวะ” สุบินงง
สรนุชหันมาทางโชคชัย “คุณโชคชัยจะเป็นคู่ให้ฉันได้มั้ยคะ”
โชคชัยตื่นเต้น ไม่คิดไม่ฝัน “ยินดีเป็นอย่างยิ่งครับ”
สรนุชแค่นยิ้มให้กับโชคชัย ก่อนจะแอบมองไปทางใจเด็ดกับช่อผกาไม่รู้ตัว ระหว่างนั้นเสียงเพลงรำวงดังแทรกเข้ามา
ลูกน้องของชิดชัยค่อยๆ เดินเข้ามาสอดส่องอยู่หลังต้นไม้ก่อนจะหันไปบอกกับชิดชัยที่อยู่ด้านหลัง
“ทางสะดวกครับพี่...”
ชิดชัยค่อยๆ ย่องเข้ามา
“พี่แน่ใจเหรอว่าจะทำอย่างนี้นะ
“เออ...แล้วแกจะให้ฉันอยู่เฉยๆ รอวันตายหรือไง” ชิดชัยโพล่งขึ้นมา
“แต่ถ้าโดนจับได้...คุกเลยนะพี่” ลูกน้องแย้งเหมือนไม่เห็นด้วย
“จะอยู่เฉยๆ แล้วโดนไล่ออกหรือว่าจะเสี่ยงแล้วได้เลื่อนขั้น...ห๊ะ...เลิกถามได้แล้วไอ้นี่...ไป...ทำตามที่สั่งเข้าใจมั้ย”
ลูกน้องพยักหน้าก่อนจะเดินออกไป ชิดชัยมองเข้าไปในงานด้วยความแค้น
“ไอ้ใจเด็ด...คืนนี้จะเป็นคืนสุดท้ายของแก”
ชิดชัยสีหน้าโกรธขึ้งขึ้นมาทันที
เสียงเพลงจังหวะคึกคักดังขึ้นขับเน้นบรรยากาศรำวงของชาวบ้านหนองระบือให้สนุกสนานยิ่งขึ้น
สรนุชกับโชคชัยรำวงคู่กันอยู่
“ไม่น่าเชื่อนะคะว่าที่นี่ยังมีการรำวงแบบนี้อยู่อีก”
“ครับ...คนที่นี่พยายามอนุรักษ์ทุกอย่างเอาไว้ให้ได้มากที่สุด...”
“เรื่องนั้นฉันก็พอจะเดาได้อยู่...” สรนุชแอบบ่นออกมาเบาๆ “ไม่งั้นคงไม่ใช้ควายไถนาอยู่อย่างนี้หรอก”
สรนุชพูดไปก็แอบลอบมองใจเด็ดกับช่อผกาที่รำวงห่างออกไปไม่ไกล เป็นจังหวะเดียวกับที่ใจเด็ดหันมองมาพอดี สรนุชรีบหันหน้าหลบ
ช่อผกาเห็นใจเด็ดมองไปทางอื่นก็ขัดใจนัก “มีอะไรเหรอคะพี่เด็ด”
“เปล่าจ้ะ”
“พี่เด็ดอ่ะ...ไม่อยากคู่กับผกาหรือไง...ทำไมพี่เด็ดไม่เห็นยิ้มเลย”
“เอ่อ...พี่คงจะเหนื่อยน่ะ...ไม่มีอะไรหรอก”
ช่อผกาคิดไปคิดมา “ถ้างั้นลองวิธีของผกาดูนะ”
ว่าแล้วช่อผกาก็จับไปที่มุมปากของใจเด็ดก่อนจะฉีกยิ้ม ช่างขัดกับหน้าตาที่เคร่งเครียดของใจเด็ดเหลือเกิน
“นี่...มันต้องอย่างนี้”
สรนุชรำวงคู่กับโชคชัยก็แอบมองไปที่ใจเด็ดกับช่อผกา สรนุชเหลือบมาเห็นตอนที่ช่อผกาจับใจเด็ดฉีกยิ้มเสร็จพอดีก็เข้าใจว่าใจเด็ดยิ้มอย่างมีความสุขก็เหยียดปากหมั่นไส้
“คุณนุชครับ”
“เอ่อ...คะ”
“คุณนุชรู้มั้ยครับว่าคุณนุชเป็นคนที่รำสวยมาก”
สรนุชชะงักไปเพราะรู้สึกว่าโชคชัยกำลังรุกหน้าเข้ามาเรื่อยๆ แต่ลุงแช่มก็เข้ามาขัดจังหวะช่วยสรนุชที่กำลังอึดอัดทันพอดี
“นายก...ขอผมรำกับคุณนุชบ้างซิครับ”
โชคชัยกับสรนุชหันมองหน้ากัน สรนุชรีบตอบทันทีเพราะที่เลือกคู่กับโชคชัยเพราะต้องการประชดใจเด็ด
“ได้ค่ะ”
แต่แล้วพวกชาวบ้านทั้งหนุ่มทั้งแก่พอเห็นว่าลุงแช่มรำวงกับสรนุชได้ต่างก็กรูกันเข้ามาขอรำวงคู่กับสรนุชบ้าง
“ถ้างั้นลุงต่อไอ้แช่มมันนะ” ชาวบ้านคนหนึ่งว่า
“ได้ไงลุง...ผมมาก่อนนะ” อีกคนไม่ยอม
แล้วหลังจากนั้นสรนุชก็ถูกล้อมหน้าล้อมหลังไปด้วยชายในหมู่บ้าน ช่อผกาที่รำวงอยู่กับใจเด็ดเห็นก็หมั่นไส้สุดๆ
“พี่เด็ดคะ...ผกาว่าปีหน้าก่อนที่เราจะมีงานขวัญควาย...ผกาว่าเราน่าจะหาอะไรเสริมสร้างไอคิวให้พวกชาวบ้านก็ดีนะคะ”
“ทำไมต้องทำอย่างนั้นละผกา”
“ไม่ได้หรอกค่ะ...ดูซิคะ...เลือกให้นังนั่นเป็นเทพีได้ยังไง...ไม่มีสมองจริงๆ ไอ้พวกนี้”
“พวกชาวบ้านอาจจะไม่มีสมอง...แต่พวกเขาอาจจะสายตาดีก็ได้นะ”
ช่อผกาได้ยินอย่างนั้นก็ขัดหู หันขวับมาทางใจเด็ดทันที “หมายความว่าไงคะพี่เด็ด”
“ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ”
ใจเด็ดตัดบทชวนช่อผการำวงต่อ แต่ไม่วายแอบชำเลืองมองไปที่สรนุช
อ่านต่อหน้า 4
กระบือบาล ตอนที่ 9 (ต่อ)
สุบินนั่งอยู่กับอรอนงค์ โดยมีเจนจิรานั่งอยู่ข้างๆ สายตาจับจ้องไปที่ใจเด็ดในลานรำวงไม่วางตา
“คุณเจนไม่ออกไปรำวงเหรอคะ” อรอนงค์ถาม
“เอ่อ...ไม่หรอกคะ...คือ...ฉันไม่ค่อยชอบเรื่องนี้เท่าไหร่”
“อ๋อ...เหรอ...ไอ้เราก็นึกว่าที่ไม่ไปก็เพราะ...” สุบินพูดแล้วเหล่มองเจนจิรา
เจนจิราเหล่กลับ “ทำไม...เพราะอะไร”
สุบินกวนใส่ “เพราะไม่ชอบไง”
อรอนงค์ทำหน้างงกับคำพูดที่วกวนของสุบิน เจนจิรามองสุบินอย่างเคืองๆ
“ประสาท”
ระหว่างนั้นเกริกไกรถือน้ำจรวดเข้ามาสี่แก้ว
“มาแล้วครับน้ำจรวดหวานชื่นใจ...อ้ะ...นี่ครับของคุณสุบิน”
เกริกไกรแจกจ่ายให้กับสุบินและเจนจิรา ก่อนจะส่งแก้วให้กับอรอนงค์เป็นคนสุดท้าย
“เป็นยังไงครับคุณอร...หายมึนหรือยังครับ”
“ยังค่ะ...ยาที่ฉันโดนมันเป็นยาอะไรเหรอคะ”
“เป็นพวกยาสลบน่ะครับ...ไอ้พวกนี้มันจะออกฤทธิ์สามสี่ชั่วโมง...ผมอยากรู้จริงๆ ว่าใครที่มันทำชั่วๆ อย่างนี้...ฮึ่ยย์” เกริกไกรฮึดฮัด
“ท่าทางหมอคงโกรธไอ้พวกนั้นมาก” สุบินแซว
“แน่นอนครับ...รู้มั้ยว่าผมเตรียมท่ารำวงมากี่ท่า...พวกมันทำให้ผมอดรำวงกับคุณอร...ยิ่งคิดยิ่งเจ็บใจ”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ...ถึงฉันจะไม่ได้รำวง...แต่แค่นั่งดูอยู่ตรงนี้ฉันก็มีความสุขแล้ว”
อรอนงค์ยิ้มเยื้อนให้เกริกไกร จึงทำให้เกริกไกรอารมณ์เย็นลง ระหว่างนั้นสุบินถามขึ้น
“เออ...ผมอยากรู้มานานแล้ว...ที่นี่เขามีแต่ประกวดเทพีเหรอครับ...ทำไมไม่มีเทพบุตรบ้างละครับ”
“ทำไม...คุณจะลงประกวดหรือไง” เจนจิราประชด
“ถ้าผมลง...คุณจะเชียร์ผมหรือเปล่าละ”
เจนจิราเบ้ปากใส่อย่างรังเกียจ
“โอ๊ย...ไม่มีน่ะดีแล้วครับ” เกริกไกรโพล่งขึ้นมา สุบินกับอรอนงค์สงสัย “ไม่งั้นไอ้เด็ดมันคงได้เป็นเทพบุตรทุกปี...ไอ้หมอนี่มันขวัญใจคนที่นี่ครับ” เกริกไกรชายตามองไปทางลานรำวง “ดีนะครับที่คุณนุชเป็นผู้หญิง...ไม่อย่างนั้นไอ้เด็ดคงจะเจอคู่แข่งคนสำคัญแน่นอน...ดูซิครับ...ผมไม่เคยเห็นชาวบ้านจะชอบคนต่างถิ่นมากเท่าคุณนุชมาก่อน”
ทุกคนมองไปก็เห็นอย่างที่เกริกไกรว่าเพราะชาวบ้านต่างเข้ามาโค้งขอรำวงกับสรนุช
“แหม...สงสัยพวกนั้นคงอยากหาเมียให้ไอ้เด็ดเต็มที”
เจนจิรานั่งฟังอยู่นานก็ทนไม่ได้ถึงกับลุกพรวดขึ้นแล้วเดินออกไป สุบินมองตามอย่างรู้ทัน
เจนจิราเดินหงุดหงิดออกมาอีกมุมหนึ่ง ระหว่างนั้นเสียงของสุบินดังขึ้น
“กลัวคนอื่นไม่รู้หรือไงว่าคุณแอบชอบหัวหน้าตัวเองน่ะ”
เจนจิราได้ยินเสียงก็หันไปก่อนจะเห็นสุบินเดินตามเข้ามา
“ฉันอยากอยู่คนเดียว”
“อย่าเพิ่งไล่กันซิคุณ...ผมตามมานี่เพราะผมอยากจะช่วยคุณจริงๆ นะ”
เจนจิราเหล่มองสุบินอย่างสงสัย
“คุณรู้มั้ยว่าไอ้ที่คุณทำเนี่ย...มันเหมือนพวกตัวอิจฉาในละครมาก”
เจนจิราอึ้ง แล้วปรี๊ดขึ้นมา นึกได้ว่าถูกด่า “นี่..!”
“หรือว่าไม่จริง...คุณเคยดูละครมั้ย...เอาง่ายๆผมตั้งเป็นสมการให้ฟัง...นายเอกับนางบียังไม่รู้ว่าตัวเองชอบกันอยู่...แต่มีนางซีที่แอบชอบนายเอ...ก็เลยพยายามไปดึงนายดีมาจีบนางบีเพื่อที่นางซีจะได้เก็บนายเอไว้...แล้วพอ...”
เจนจิราไม่อยากฟัง ขัดขึ้นทันที “ถ้าฉันจะทำอย่างนั้นจริงแล้วมันผิดตรงไหน” สุบินชะงักไปเมื่อเห็นเจนจิราจริงจัง “คุณรู้มั้ยว่าหัวหน้ามีความสำคัญกับสถานี...กับคนที่นี่...กับบ้านหนองระบือนี้มากแค่ไหน”
“แต่ถ้าคุณใจเด็ดจะชอบเพื่อนผมขึ้นมาจริงๆ...คุณก็ควรปล่อยให้มันเป็นไป...คุณไม่ใช่เจ้าชีวิตของคุณใจเด็ด” สุบินท้วง
“แต่พี่ใจเด็ดคือชีวิตจิตใจของทุกคนที่อยู่ที่นี่...เพราะฉะนั้น...ฉันจะไม่ยอมให้ใครมาแย่งหัวหน้าไปจากพวกเรา”
สุบินได้ยินอย่างนั้นก็ถึงกับอึ้งไป
ด้านชิดชัยกับลูกน้องค่อยย่องเข้ามาหลังต้นไม้ก่อนจะมองไปที่แผงควบคุมแสงและเสียงที่อยู่ข้างเวทีรำวง ชิดชัยบุ้ยปากให้ลูกน้องเข้าไป
“ไปซิวะ” ชิดชัยเร่ง
ลูกน้องกำลังจะไปแล้วนึกได้ “เอ่อ...ขอทวนแผนอีกทีได้มั้ยครับ”
“ไอ้นี่...เอาง่ายๆ นะ...เดี๋ยวพอฉันดับไฟ...แกทำยังไงก็ได้...พาไอ้ใจเด็ดมาตรงนี้”
ลูกน้องหน้าจ๋อยก่อนจะค่อยๆ ย่องออกไป ชิดชัยหันมองไปที่ลานรำวงสายตาจับจ้องไปที่ใจเด็ด
ใจเด็ดกำลังรำวงกับช่อผกาไปอย่างนั้น ระหว่างนั้นปุยฝ้ายเข้ามาเบียดช่อผกาจนกระเด็น
“ขอสักเพลงนะหัวหน้า”
“ครับ” ใจเด็ดยิ้มให้
ช่อผกาโผเข้ามาเอาเรื่องปุยฝ้าย
“หาเรื่องหรือไงยัยช้างน้ำ...พี่เด็ดต้องคู่กับฉันคนเดียว”
“หล่อนมีสิทธิอะไร...หัวหน้าเขาไม่ได้เป็นของหล่อนนะยะ” ปุยฝ้ายไม่ยอม
“ใช่...งั้นป้าขอต่อจากปุยฝ้ายมันแล้วกันนะหัวหน้า” ป้าบอกยิ้มๆ
ใจเด็ดยิ้มให้ก่อนจะเริ่มเห็นคุณยายคุณป้าต่างเข้ามาขอเต้นรำกับใจเด็ด จนทำให้ช่อผกาถูกเบียดออกไป ใจเด็ดแอบชำเลืองมองสรนุชกำลังรำวงกับชาวบ้านอย่างสนุกสนาน
ทั้งใจเด็ดกับสรนุชต่างรำวงกับชาวบ้านหลายๆคน จนวนไปมาทำให้ทั้งสองอยู่ใกล้กันโดยไม่รู้ตัว
ใจเด็ดกับสรนุชหันมาเห็นกันต่างก็ชะงัก
ทันใดนั้นไฟที่งานรำวงก็ดับพรึ่บลง พร้อมกับเสียงเพลงที่ดับลงเช่นกัน ชาวบ้านเริ่มส่งเสียงโวยวาย
ชิดชัยซึ่งยืนอยู่ที่แผงควบคุมไฟและเสียงก่อนจะหันมองไปที่ความวุ่นวายที่งานรำวงด้วยสายตาอำมหิต
ใจเด็ดพยายามตะโกนบอกชาวบ้าน
“ทุกคนอย่าวิ่ง...อย่าวิ่ง...ไม่มีอะไร...เดี๋ยวไฟก็มา”
ระหว่างนั้นใจเด็ดเหมือนโดนใครคนหนึ่งกระแทกเข้าด้านหลัง ก่อนจะได้ยินเสียงร้องตามมา
“โอ๊ย”
“เป็นไรหรือเปล่าคุณ”
“เจ็บซิถามได้” ที่แท้เป็นสรนุช
ใจเด็ดถึงบางอ้อ “คุณนี่เอง”
สรนุชจำเสียงใจเด็ดได้เหมือนกัน “รู้ได้ยังไงว่าเป็นฉัน”
“น้ำเสียงกับคำพูดอย่างนี้...ต่อให้ผมตาบอดก็จำได้”
“ชิ...แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้น”
“ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”
ระหว่างนั้นลูกน้องของชิดชัยวิ่งเข้ามาที่ใจเด็ด
“หัวหน้าใจเด็ดครับ...หลวงพ่อให้มาไปที่แผงควบคุมไฟครับ”
ด้วยความมืดทำให้ใจเด็ดมองไม่เห็นว่าคนที่มาบอกคือลูกน้องของชิดชัย
“ได้” ใจเด็ดหันมาบอกสรนุช “คุณอยู่ตรงนี้อย่าไปไหนนะ”
ว่าแล้วใจเด็ดก็รีบวิ่งตามลูกน้องชิดชัยออกไป
ใจเด็ดวิ่งตามลูกน้องของชิดชัยตรงเข้ามาที่แผงควบคุมไฟ
“เกิดอะไรขึ้น...ไฟช๊อตเหรอ”
ใจเด็ดรีบตรงเข้าไปที่แผงควบคุมไฟ โดยไม่รู้ว่ามีใครคนหนึ่งย่องเข้ามาที่ด้านหลัง
ใจเด็ดกำลังดูแผงไฟก่อนจะเอะใจขึ้นมาจึงหันไปถามลูกน้อง
“แล้วหลวงพ่...!”
ใจเด็ดพูดได้แค่นั้นก็ต้องชะงักไปเพราะคนที่ยืนอยู่ด้านหลังคือชิดชัยที่ใส่หน้ากากไอ้โม่ง ก่อนที่มันจะหวดไม้เข้าที่หัวของใจเด็ดเต็มแรง เสียงดังผัวะ !
ใจเด็ดล้มคว่ำลงไปกับพื้น !!!
อีกมุมหนึ่งของงาน หลวงพ่อรีบเข้ามาพร้อมกับไฟฉาย มาเจอกับโชคชัยพอดี
“เกิดอะไรขึ้นครับหลวงพ่อ”
“อาตมาว่าจะมาถามนายกอยู่เหมือนกัน...”
“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมลองไปดูที่แผงควบคุมดู” โชคชัยบอก
“ฝากด้วยแล้วกันนะนายก”
หลวงพ่อมองตามด้วยสีหน้าเป็นกังวล
ด้านสรนุชเดินหลบมาอยู่ที่มุมหนึ่งที่คิดว่าปลอดภัย แต่สีหน้าไม่คลายความกังวลรู้สึกสังหรณ์ใจขึ้นมา
ส่วนใจเด็ดล้มอยู่กับพื้น ชิดชัยที่สวมหน้ากากไอ้โม่งกำลังจะตามเข้ามาซ้ำ แต่ลูกน้องกลับดึงเอาไว้
“อะไรวะ” ชิดัยขัดใจ
“เดี๋ยวมันก็ตายหรอกพี่”
“เออ...ก็ดีซิวะ”
ชิดชัยผลักลูกน้องออกไปก่อนจะตามเข้าซ้ำใจเด็ด ใจเด็ดกลิ้งตัวหลบไม้ของพวกมันได้ทันหวุดหวิด ก่อนจะลุกขึ้นตั้งหลักได้
หนึ่งในสองกระโดดเข้ามาฟาดใจเด็ดด้วยไม้ ใจเด็ดหลบได้แต่ไม่ทันระวังอีกคนที่อยู่ด้านหลัง ใจเด็ดจึงโดนไม้ฟาดเข้าที่หน้าเต็มๆ สลบไป
ระหว่างนั้นเสียงของโชคชัยดังขึ้น “หยุดนะ”
เสียงของโชคชัยทำให้พวกมันที่กำลังจะซ้ำใจเด็ดที่สลบไปถึงกับชะงัก
“ไม่อยากเจ็บตัวก็ไปไกลๆ” ชิดชัยบอก
โชคชัยมองไปที่พื้นแล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่าเป็นใจเด็ด
“ใจเด็ด”
“อยากเจ็บตัวใช่มั้ย” ชิดชัยโมโหมากๆที่ถูกขัดจังหวะ
โชคชัยรีบเข้ามาดูใจเด็ดที่เจ็บอยู่ แล้วพวกมันสองคนก็พุ่งเข้ามาหาโชคชัยเพื่อจัดการ
“ระวัง”
เสียงของใจเด็ดทำให้โชคชัยหลบไม้ที่โชคชัยเข้ามาฟาดทางด้านหลังเอาไว้ได้ ก่อนที่โชคชัยจะสวนหมัดเข้าไปที่หน้าของชิดชัยเต็มๆ ชิดชัยโดนหมัดของโชคชัยก็ทำให้ไม้หลุดจากมือ ร่างเซถลาออกไปลูกน้องรีบเข้ามาประคองชิดชัยเอาไว้
“พี่”
ชิดชัยกับลูกน้องมองโชคชัยเพื่อหยั่งเชิง โชคชัยรีบคว้าไม้ที่ชิดชัยทำหล่นขึ้นมาเป็นอาวุธ ระหว่างนั้นเสียงชาวบ้านโวยวายเริ่มดังขึ้น
ชิดชัยดูสถานการณ์แล้วเห็นท่าไม่ดี
“ไปเว้ย”
ลูกน้องเห็นชิดชัยวิ่งหนี ตัวเองก็ใจเสียไม่รู้จะอยู่ทำไมจึงปล่อยใจเด็ดแล้วรีบวิ่งออกไปเช่นกัน
โชคชัยเห็นผู้ร้ายวิ่งหนีไปก็รีบวิ่งเข้ามาดูใจเด็ดที่ทรุดกองลงกับพื้น
“ใจเด็ด !! ใจเด็ด”
ใจเด็ดสลบเลือดโชกเต็มหน้า
ขณะเดียวกันสรนุชยืนรออยู่ที่มุมหนึ่งอย่างกระวนกระวายใจ ระหว่างนั้นสรนุชหันไปเห็นเงาตะคุ่มๆ สองเงาวิ่งออกไป สรนุชเห็นว่าสองคนนั้นใส่หมวกไอ้โม่งก็เกิดเอะใจขึ้นมาทันที สรนุชรีบตามออกไป
ชิดชัยกับลูกน้องวิ่งมาถึงห้องเก็บของของวัดซึ่งเป็นมุมที่ปลอดคน สรนุชแอบย่องตามมาโดยที่ชิดชัยกับลูกน้องไม่รู้ตัว
“ไอ้นายกมันจะจำพวกเราได้มั้ยพี่” ลูกสมุนชิดชัยเอ่ยขึ้น
“จำได้ก็บ้าแล้ว” ชิดชัยเจ็บใจไม่หาย “ฮึ่ยย์...แส่ไม่เข้าเรื่อง...ถ้าไอ้นายกไม่เข้ามายุ่งละก็...ไอ้ใจเด็ดนั่นได้เจ็บหนักกว่านี้แน่”
“แต่แค่นี้มันก็เกือบตายแล้วนะพี่...ผมว่าถ้าหนักกว่านี้...พวกเราอาจจะซวยได้นะพี่” ลูกน้องบอก
“แกจะกลัวอะไรนักหนาวะ...ตอนนี้ที่แกต้องกลัวก็คือ...ต่อจากนี้ไป...เราจะทำยอดขายกันแทบไม่ทันมากกว่า”
คำพูดของชิดชัยทำให้สรนุชถึงกับชะงัก ระหว่างนั้นชิดชัยกับลูกน้องถอดหมวกไอ้โม่งออก
สรนุชเห็นอย่างนั้นก็พยายามเดินเข้าไปใกล้ๆ เพื่อจะได้เห็นหน้า แต่ทันทีที่สรนุชก้าวออกไป เธอก็เหยียบกิ่งไม้เสียงดัง แกร๊ก !
ชิดชัยกับลูกน้องต่างก็ชะงักหันมองมาทางเสียงทันที สรนุชใจหายวาบ
“ทำไงดี”
สรนุชเหลือบไปเห็นประตูห้องเก็บของ จึงรีบเปิดประตูเข้าไปหลบทันที เป็นจังหวะเดียวกับที่ชิดชัยและลูกน้องเดินเข้ามาพอดี สรนุชรอดไปอย่างฉิวเฉียด
“ไม่มีอะไรมั้งพี่”
ชิดชัยยกมือห้ามลูกน้อง สายตาจับจ้องไปที่ประตูห้องเก็บของ
สรนุชแอบอยู่หลังประตู สายตาสอดส่ายผ่านช่องประตูออกไปแล้วสรนุชก็ต้องตกใจเมื่อเห็นชิดชัยเข้ามายืนอยู่หน้าประตู
สรนุชใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ชิดชัยเอื้อมมือกำลังจะเปิดประตู แต่แล้วทันใดนั้นไฟหน้าห้องเก็บของก็สว่างขึ้น พรึ่บ !!!
สรนุชถึงกับอึ้งไปเพราะแสงไฟทำให้เห็นหน้าของชิดชัยได้อย่างชัดเจน ชิดชัยกับลูกน้องต่างตกใจที่อยู่ๆ ไฟก็มา
“พวกมันคงแก้ไฟเสร็จแล้ว...ไปเถอะลูกพี่”
ชิดชัยละมือจากลูกบิดก่อนจะรีบวิ่งหนีออกไป
หลังจากชิดชัยกับลูกน้องออกไปไม่นาน สรนุชก็เปิดประตูออกมา สีหน้าเครียดด้วยความเป็นห่วงใจเด็ด
“เมื่อกี้พวกมันพูดถึงใจเด็ด” แล้วสรนุชก็นึกได้ รู้สึกตกใจ “หรือว่า..”
ไวเท่าความคิด สรนุชวิ่งกลับมาบริเวณลานรำวง ก่อนจะเห็นว่าชาวบ้านต่างกำลังรุมล้อมหลวงพ่อ
“ใจเย็นนะโยม...ไม่มีอะไร”
สรนุชเดินฝ่ากลุ่มชาวบ้านเข้ามาอย่างร้อนใจ “หลวงพ่อคะ...เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ”
“ก็หัวหน้าใจเด็ดน่ะ...โดนไอ้บ้าที่ไหนไม่รู้ตีหัว...เลือดงี้โชกเลย” ชาวบ้านในนั้นบอก
สรนุชอึ้งไป “จริงเหรอคะหลวงพ่อ”
หลวงพ่อพยักหน้าให้
“แล้วตอนนี้เขาอยู่ไหนคะ”
ที่โรงพยาบาลหนองระบือ ภายในห้องฉุกเฉิน...หมอและพยาบาลกำลังช่วยกันทำแผลให้กับใจเด็ดอย่างวุ่นวาย
โชคชัย เกริกไกร สุบิน อรอนงค์ ภิรมย์ สมหญิง เจนจิรานั่งรออยู่หน้าห้องฉุกเฉินอย่างกระวนกระวาย
ภิรมย์บ่นอย่างเคียดแค้น “ไอ้พวกหมาลอบกัด !! หมอ...ผมว่ามันต้องเป็นผู้พันแน่ๆ เลย”
“ใช่ค่ะ...เพราะนายกบอกว่ามันมีสองคน...คนนึงต้องเป็นผู้พัน...ส่วนอีกคนต้องเป็นไอ้สมคิดแน่ๆคะ” สมหญิงผสมโรง
โชคชัยนิ่ง หน้าเครียด “อย่าเพิ่งเดาเลย”
ภิรมย์ยังไม่ยอมหยุด “หรือไม่อย่างนั้นก็ต้องเป็นไอ้พวกคาบาตี้...วันนี้มันโดนหัวหน้าหักหน้ากลับไป...ต้องเป็นพวกมันแน่ๆ หมอ”
“ใช่คะ...คนนึงต้องเป็นไอ้ตัวหัวหน้าที่คิ้วเข้มๆ...ส่วนอีกคนก็เป็นลูกน้องมัน” สมหญิงตามติด
“ฮึ่ยย์...นี่แกจะมีความคิดเป็นของตัวเองบ้างมั้ยเนี่ย”
“เงียบได้มั้ย...ตอนนี้สิ่งที่เป็นห่วงที่สุดก็คือ..” เกริกไกรเอ็ดแล้วหันมองไปทางห้องฉุกเฉิน
ทุกคนเงียบลงอย่างเคร่งเครียดอีก สมหญิงกระวนกระวายใจกว่าใครๆ
“คุณเจนขา...หัวหน้าจะเป็นไรมั้ยคะ”
“พี่เด็ดต้องไม่เป็นไร”
สุบินหันมองเจนจิรา รับรู้ได้ถึงความเป็นห่วงที่เจนจิรามีต่อใจเด็ด
“แล้วถ้าหัวหน้าเกิดความจำเสื่อม...จำสมหญิงไม่ได้ละ”
“โอ๊ย...ห่วงอยู่เรื่องเดียวละนะ...คนขี้เหร่อย่างแกไม่มีใครเขาลืมหรอก” ภิรมย์เย้า
ระหว่างนั้นสรนุชวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาที่หน้าห้องฉุกเฉิน สุบินกับอรอนงค์รีบเข้ามาดู
“นุช...แกหายไปไหนมา”
โชคชัยรีบเข้ามาหาสรนุชด้วยความเป็นห่วง “คุณนุชไม่เป็นไรน่ะครับ”
“ค่ะ...คุณใจเด็ดเป็นไงบ้างคะ”
“หมอยังไม่ออกมาเลย” สุบินบอก
สรนุชนิ่งไปด้วยความเป็นห่วงและรู้สึกผิด ระหว่างนั้นหมอเดินออกมาจากห้องผ่าตัดพอดี ทุกคนรีบเข้าไปถามด้วยความร้อนใจ
“หัวหน้าเป็นไรมั้ยคะ”
หมอนิ่งงันไปสีหน้าเครียด ทำเอาทุกคนต่างเครียดตาม
ช่อผกาในชุดประกวดนางงามวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาที่โรงพยาบาล
“พี่เด็ด...พี่เด็ด”
ช่อผการีบวิ่งเข้าไปถามพยาบาล “พี่เด็ดอยู่ไหน”
“หัวหน้าใจเด็ดน่ะเหรอคะ”
“เออ...อยู่ไหน”
“ห้องฉุกเฉินค่ะ”
ช่อผกาไม่ถามอะไรอีก รีบผละจากพยาบาลแล้ววิ่งออกไปทันที
ภายในห้องฉุกเฉิน หญิงคนหนึ่งนอนแบบอยู่บนเตียงขาหยั่งเหงื่อแตก สีหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
“เบ่งครับ...เบ่งอีก”
ทั้งหมอ พยาบาลและสามีของหญิงท้องแก่ ต่างให้กำลังใจ ระหว่างนั้นช่อผกาเปิดผัวะเข้ามาในห้องฉุกเฉิน
“พี่เด็ด...พี่เด็ด” ช่อผกาก็ต้องอึ้งไปเมื่อเห็นร่างหนึ่งนอนอยู่บนขาหยั่ง
“ห๊า...พี่เด็ด...พี่เด็ดกำลังจะคลอดลูก”
ระหว่างนั้นพยาบาลรีบเข้ามาหาช่อผกา “นี่คุณผกา...เข้ามาทำอะไรในนี้”
“ฉันก็มาหาพี่เด็ดไง...ถอยซิ”
“โน่น...หัวหน้าใจเด็ดอยู่ห้องฉุกเฉินโน่น...นี่เขาเรียกว่าห้องผ่าตัด” พยาบาลบอก
ช่อผกาชะงักก่อนจะหันมองหมอ พยาบาล หญิงท้องแก่ และสามีที่หันมองเธอเป็นตาเดียวก่อนหน้าแตกดังเพล้ง
ทุกคนเดินออกมาจากห้องพัก หมอเดินตามออกมาเป็นคนสุดท้ายก่อนจะบอกกับทุกคน
“ตอนนี้หัวหน้าใจเด็ดไม่เป็นไรแล้ว...แต่ที่ผมห่วงก็คือ...” หมอเว้นวรรค ทุกคนลุ้น
“อะไรคะหมอ” เจนจิราทนไม่ไหว
“หัวหน้าใจเด็ดอาจได้รับการกระทบกระเทือนที่ศรีษะ...ถ้าให้ดี...น่าจะนำตัวหัวหน้าเขาไปโรงพยาบาลที่มีเครื่องมือเครื่องไม้ที่ดีกว่าที่นี่” หมอบอก
ทุกคนอึ้งไป สมหญิงได้ยินอย่างนั้นก็ร้องไห้ฟูมฟายออกมา “หัวหน้า...หัวหน้า”
“ตอนนี้มันอาจจะยังไม่แสดงอาการ...แต่ผมอยากให้ใจเด็ดเขาตรวจคลื่นสมองอย่างละเอียดอีกครั้งเพื่อดูว่ามีเลือดคั่งในสมองหรือเปล่า”
สรนุชได้ยินอย่างนั้นก็ตกใจ
ระหว่างนั้นเสียงช่อผกาก็ดังแหววเข้ามา
“พี่เด็ด...พี่เด็ด”
ทุกคนหันไปก็เห็นช่อผกาวิ่งถลกชุดไทยเข้ามา ทำท่าจะวิ่งเข้าไปภายในห้องคนไข้
“พี่เด็ด”
เจนจิรารีบเข้ามาขวาง “จะทำอะไร”
“ฉันก็จะเข้าไปหาพี่เด็ดไง”
“ตอนนี้พี่เด็ดยังไม่ฟื้น”
“โกหก...เธอไม่อยากให้ฉันเจอพี่เด็ดใช่มั้ย” ช่อผกาโวย ไม่ยอมฟัง
“พูดไม่รู้เรื่องหรือไงว่าพี่เด็ดยังไม่ฟื้น” เจนจิราฉุนขาด
“ฉันไม่เชื่อ” ว่าแล้วช่อผกาก็ตะโกนเสียงดังลั่น “พี่เด็ด...ผกาอยู่นี่...พี่เด็ดไม่เป็นไรแล้วนะ”
“ขอโทษนะคะหมอ...สมหญิง”
เจนจิราพยักหน้าให้สมหญิง ทั้งสมหญิงกับเจนจิราเข้าไปช่วยกันลากช่อผกาออกไปจากตรงนั้นอย่างวุ่นวาย สรนุชสีหน้าเครียด มีความรู้สึกบางอย่างที่บอกไม่ถูกภายในใจมากขึ้นๆ
อรอนงค์ สุบินเดินขึ้นมาบนเรือนรับรองอย่างเหนื่อยอ่อน ขณะที่สรนุชเดินตามขึ้นมาคนสุดท้าย
สุบินลงนอนแผ่หรา “เฮ้อ...จบซักทีวันที่วุ่นวาย”
อรอนงค์ลงนั่งอย่างเหน็ดเหนื่อยอีกคน ระหว่างนั้นสรนุชก็ตัดสินใจพูดขึ้น
“พวกแกไปโรงพักกับฉันหน่อยซิ”
สุบินกับอรอนงค์ได้ยินอย่างนั้นก็หันมองสรนุชด้วยความแปลกใจ
“แกจะไปทำไม”
“ฉันจะไปแจ้งความจับไอ้พวกที่ทำร้ายนายใจเด็ด”
“เฮอะๆ...ท่าประสาท...หรือว่าพวกมันตีหัวคุณใจเด็ดเสร็จแล้ว...วิ่งไปตีหัวแกอีกที...ยัยนุช...ถึงแกไปก็ทำอะไรไม่ได้...นอกจากแกจะรู้ว่า...ใครเป็นคนที่ตีหัวคุณใจเด็ด”
สรนุชนิ่งไป จนทำให้สุบินกับอรอนงค์สงสัยขึ้นมา
“หรือ...แกรู้ว่าเป็นใคร”
อรอนงค์กับสุบินตกใจมาก หลังจากสรนุชเล่าเรื่องให้ฟัง
“อะไรนะ...คุณใจเด็ดโดนพวกคาบาตี้ทำร้ายเหรอ”
สรนุชพยักหน้าสีหน้าเครียด “เลิกถามแล้วก็ไปโรงพักกับฉันได้หรือยัง”
สรนุชลุกขึ้นจะเดินไป สุบินไตร่ตรองใคร่ครวญก่อนจะรีบลุกไปขวาง
“ไม่ได้...แก...ห้ามบอกเรื่องนี้ให้คนอื่นรู้เด็ดขาด”
“อะไรของแก...ฉันไม่ชอบวิธีที่พวกนั้นทำ”
“แล้วยังไง...แกจะไปแจ้งจับพวกมัน...อย่างมากพวกมันก็แค่โดนไล่ออก...แล้วถ้าเกิดมีตำรวจเป็นพวกมันอยู่แล้วไปบอกว่าแกเป็นคนไปแจ้ง...พวกมันไม่กลับมาเล่นแกตายหรือไง”
“ฉันก็จะบอกพวกมันไปว่า...ฉันเป็นอะไรกับณวัต”
“นั่นแหละที่แกห้ามพูดเด็ดขาด...เพราะแกแฉพวกมันได้...พวกมันก็แฉแกได้เหมือนกัน”
คำพูดของสุบิน ทำเอาสรนุชถึงกับพูดไม่ออก
“แล้วจะให้ฉันทำยังไง”
“ไม่ต้องทำอะไร...อยู่นิ่งๆ...ไม่อย่างนั้น...แกจะทำให้พวกเราซวยไปด้วย”
สรนุชนิ่งงันไปสีหน้าเครียดจัด
กลางดึกคืนนั้น สรนุชนอนลืมตาโพลงอยู่ในความมืด ขณะที่อรอนงค์นอนหลับไปด้วยความเหนื่อยล้า สรนุชรู้สึกผิดที่ทำอะไรไม่ได้กับเรื่องของใจเด็ด
“ฉันขอโทษ...”
อ่านต่อตอนที่ 10