xs
xsm
sm
md
lg

ปางเสน่หา ตอนที่ 15

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


 ปางเสน่หา   ตอนที่ 15 

เดนนิสเตรียมจะออกไปข้างนอก ระหว่างเดินออกมาที่รถ คนขับรถรีบเดินมาเปิดประตูให้ ขณะที่การ์ดอีก 2 คน เตรียมขึ้นรถ จังหวะนั้นเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เดนนิสหยิบขึ้นมากดรับ

“ว่าไง...อะไรนะ…เมื่อไหร่...เออ...ขอบใจ”
เดนนิสปิดโทรศัพท์แล้วเดินกลับเข้าไปในบ้านใหม่
ขณะนั้นพอลและปรกเดือนกำลังปรึกษาบางอย่างกัน เดนนิสเดินเข้ามาแล้วยิ้มเยาะ
“ไง ตกลงกันได้หรือยัง ถ้ายังก็คงต้องรีบหน่อย”
ปรกเดือนและพอลมองเดนนิสอย่างแปลกใจ
“ทำไมหรือคะ”
“คนของฉันมันเพิ่งโทรมาบอกว่า เพิ่งเจอหลักฐานใหม่คดีปรายดาวขับรถชนต้นไม้”
“เป็นอุบัติเหตุไม่ใช่หรือครับ”
“ทีแรกเขาก็ว่าอย่างนั้น แต่ไม่รู้ว่าผู้กำกับเสนาเกิดนึกอะไรขึ้นมา สั่งให้ตรวจสอบหลักฐานใหม่ ซึ่งก็ไม่ผิดหวัง เพราะเจอสายเบรกถูกตัด”
พอลและปรกเดือนสะดุ้ง
“จะเป็นไปได้ยังไง”
“ฉันก็ไม่รู้ รู้แต่ว่างานนี้มีผู้ต้องสงสัยมากกว่าหนึ่งแน่”
ปรกเดือนมองพอล สีหน้าแววตาเป็นกังวล เดนนิสหัวเราะ แล้วเดินออกไป
“พอล...ทำไมเสี่ยถึงพูดอย่างนั้นคะ พูดเหมือน...”
“เสี่ยเขาพูดได้ทุกอย่างอยู่แล้ว ผมกลับก่อนละ” พอลบอกแล้วลุกขึ้น
“คุณคงไม่ได้...” ปรกเดือนลุกตาม
“ปรกเดือน” พอลลงเสียงหนัก
“ยัยดาวถูกปองร้าย ถ้าแกรู้เข้า... แกคง...” น้ำตาปรกเดือนไหลออกมา
“ผมจะกลับก่อนละ”
พอลเดินออกไป ปรกเดือนมองตามแล้วเม้มปาก
เดนนิสออกจากบ้านมาได้สักพักจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาปรายดาว ขณะนั้นปรายดาวกำลังรื้อเสื้อผ้าในตู้ที่ไม่ใช้ออกมา เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นปรายดาวเดินมาหยิบขึ้นดูเบอร์แล้วนิ่งคิดนิดหนึ่งก่อนจะตัดสินใจกดรับ
“ฮัลโหล”
“พอลเขานั่งคุยกับพี่สาวเธออยู่แน่ะ”
ปรายดาวชะงักไปนิดหนึ่ง
“ค่ะ”
“ใจกว้างเป็นแม่น้ำเชียวนะ กำลังทำอะไรอยู่ล่ะ”
“อ๋อ...ดาวเพิ่งรื้อเสื้อผ้าที่ไม่ได้ใช้จะเอาไปบริจาคน่ะค่ะ”
“ก็ดี เท่านี้แหละ”
เดนนิสปิดโทรศัพท์ สีหน้าไม่บอกความรู้สึกใดๆ
ปรายดาวเดินลงมาข้างล่าง ขณะที่ปรกเดือนจะเดินออกไป
“พี่กำลังจะให้แจ๋วขึ้นไปตามเธอ”
“ทำไมหรือคะ”
“จะชวนไปเป็นเพื่อนหาหมอหน่อย” ปรายดาวนิ่วหน้า “แค่ตรวจครรภ์ธรรมดา หมอนัดทุกเดือนน่ะจ้ะ”
“อ้าว ทำไมให้พี่พอลพาไปล่ะคะ”
“เขาเพิ่งกลับ เอ้อ...เสี่ยโทรตามเขามาสั่งธุระแต่เช้า นี่ก็เพิ่งออกไปทั้ง 2 คน ดาวไปเป็นเพื่อนพี่นะ”
“ก็ได้ค่ะ ขอดาวขึ้นไปหยิบกระเป๋าก่อน”
ปรกเดือนพยักหน้า มองปรายดาวเดินขึ้นบ้านอย่างกังวล
ที่ไร่สุขศรีตรัง ศรีตรังขับรถมาจอดหน้าบ้านจุรี
“เห็นมั้ย ไอ้เตมันบอกแล้วว่า อ้อยไม่ได้เป็นอะไรมากมาย”
ศรีตรังบอก จุรีลังเลนิดหนึ่งแล้วจึงตัดสินใจพูด
“คุณหนู คุณเต เชิญข้างในบ้านก่อนได้มั้ยคะ”
“ได้ซิครับ ลงไป ไอ้ศรี”
ศรีตรังและเตชิตลงจากรถ
ทั้งสามคนเดินเข้ามาในบ้าน โดยเตชิตหิ้วกระเป๋าเสื้อผ้ามาวางให้ด้วย
“เชิญนั่งค่ะ”
เตชิตและศรีตรังนั่งลงพร้อมๆ กัน
“ทีนี้ก็พูดเปิดอกกันเลย”
“เปิดอกศรีก็แย่หนะซิคะ ส่วนไอ้เตมันไม่เป็นไร”
“จริงครับ”
“ตลกฝืดค่ะ ป้าอยากรู้ว่าคุณ 2 คนคิดยังไงกับเรื่องนี้”
“เรื่องอะไรคะ/ครับ” ศรีตรังกับเตชิตถามออกมาพร้อมกัน
“ก็เรื่องที่อ้อยมันถูกผีหลอกไงคะ”
“แหม มันก็...”
“คุณหนูกำลังจะบอกว่า อ้อยมีส่วนพัวพันกับการฆาตกรรม”
“เรายังพิสูจน์ไม่ได้ครับ”
“อ้อยเป็นลูกป้าก็จริงๆ แต่ถ้าผิดก็ต้องว่าไปตามผิด ถูกก็ว่าไปตามถูก”
ศรีตรังและเตชิตสบตากันอย่างโล่งใจ
“เย็นนี้ ป้าจะถามมันให้เด็ดขาดไปเลย”
เตชิตกับศรีตรังกลับมาบ้าน ทั้งคู่เดินคุยกันเข้ามาอย่างโล่งใจ ขณะนั้นเจนจิรานั่งอยู่ในบ้านเจนจิรามองศรีตรังอย่างไม่พอใจ
“สนุกสนานเบิกบานใจกันจริงนะ ทำยังกับฉันเป็นหัวหลักหัวตอ”
ศรีตรังมองเจนจิรา โกรธจนพูดไม่ออกไปครู่หนึ่ง
“ฉันเนี่ยนะ ทำเหมือนเธอเป็นหัวหลักหัวตอ”
“ใช่”
ศรีตรังชี้หน้าเจนสจิราด้วยความโกรธ
“เธอนั่นแหละ มองเห็นฉันเป็นหัวหลักหัวตอ หน็อยแน่ะไอ้เราอุตส่าห์พาหนีไปซ่อนตัวที่เชียงใหม่ แต่แม่กลับเล่นทีเผลอแอบหนีมา”
“ก็ฉันเบื่อที่จะต้องหลบหนีไปตลอดชีวิตนี่ หนีมาอยู่ปากช่อง พอถูกจับได้ก็ไปเชียงใหม่ แล้วถ้าเสี่ยสืบจนรู้อีกล่ะ มิต้องตะลอนๆ หนีจนตลอดชีวิตเรอะ”
“งั้นก็มีอยู่ทางเดียว คุณต้องเป็นพยานให้ตำรวจ”
“ธุระไม่ใช่ อยู่แบบนี้เสี่ยอาจจะแค่เพียงขู่ แต่ถ้าฉันขืนเป็นพยานให้ตำรวจ เสี่ยไม่ไว้ชีวิตฉันแน่”
“อ้อ ที่มันลอบยิงจนไอ้ศรีต้องพาคุณไปเชียงใหม่เนี่ยเรอะแค่ขู่” เจนจิราอึ้งไป “คนงานต้องตายไปคนนึงเนี่ยนะเพียงแค่ขู่”
เจนจิราบีบน้ำตา
“อย่าดุนักซิคะ ผู้กองเต ฉันกลัวจะแย่อยู่แล้ว”
“ไอ้เต”
“ว่าไง”
“ฉันไม่ต้อนรับแม่คนนี้อีกต่อไปแล้ว” ศรีตรังบอกแล้วหันมามองเจนจิรา “เชิญออกไปจากไร่ฉันได้ ฉันให้เวลาแค่พรุ่งนี้เช้า”
ศรีตรังหันหลังกลับจะขึ้นข้างบน เจนจิราหันมาอ้อนเตชิต
“ผู้กอง ...ง...ง”
“ผมจะช่วยคนงานลากตัวคุณออกไปอีกคน”
“คุณเต”
เตชิตเดินออกไป เจนจิราร้องกรี๊ดๆ ออกมา
“คุณเต เจนไม่ยอม เจนไม่ยอมให้คุณทำยังงั้นกับเจนแน่”
เย็นวันนั้นเมื่ออ้อยออกจากโรงพยาบาล ตรีทศขับรถมาส่งอ้อยที่บ้าน
“ขอพูดอะไรหน่อยได้ไหมคะ พี่ทศ”
“ได้”
อ้อยยกมือไหว้ตรีทศ
“ก่อนอื่นต้องขอบคุณที่พี่ทศกรุณาไปรับ มาจากโรงพยาบาล...”
“ไม่เป็นไร ลุงสมแกไม่ว่าง ผมก็เลยต้องไปเอง”
“แหม...พูดไม่มีเยื่อใยเลย แต่ก็ไม่เป็นไร” ตรีทศขยับจะเปิดประตูรถ อ้อยรีบคว้าแขนไว้ “เดี๋ยวค่ะ”
ตรีทศหันมามอง “เราแต่งงานกันเถอะพี่ทศ” ตรีทศสะดุ้ง พูดไม่ออก “แต่งแล้วก็อพยพไปอยู่ที่อื่น ไปให้พ้นไร่ผีสิงนี่”
ตรีทศดึงแขนออก
“ผมนึกว่าเราพูดกันเข้าใจแล้วเสียอีก เข้าบ้านได้แล้ว ป้าจุรออยู่ข้างใน แกรักอ้อยมากอย่าทำให้แกเสียใจซ้ำแล้วซ้ำอีก”
“ไม่ต้องมาสั่งสอน ระวังตัวเองไว้ให้ดีเถอะ ผีนังเกษมันจะมาพาไปอยู่ด้วย”
อ้อยสะบัดหน้าเดินเข้าบ้านไป ตรีทศส่ายหน้าแล้วขึ้นรถขับออกไป

อ้อยเดินหน้างอเข้ามาในบ้าน อ้อยเดินผ่านจุรีจะขึ้นห้องแต่จุรีเรียกไว้
“จะไปไหน มานั่งคุยกันก่อน”
“อ้อยเพิ่งออกจากโรง’บาลนะแม่”
“ก็ฉันจะพูดไอ้เรื่องที่แกต้องเข้าโรงบาลนั่นแหละ”
“อ้อยไม่พูด”
อ้อยเดินขึ้นบันได
“แกทำผิดอะไรก็ยอมรับเสียเถอะ ไอ้ที่แบกอยู่มันจะได้เบาลงบ้าง”
“มันไม่มีทางเบาลงหรอกแม่ มิหนำซ้ำจะหนักกว่าด้วยซ้ำ คอยดูนะ...ถ้านังเกษมันมาหลอกหลอน
อ้อยมากๆ เข้า อ้อยจะแต่งงานกับหมอผีให้มันรู้แล้วรู้รอด จะดูซิว่ามันจะยังหน้าด้านมาหลอกอีกมั้ย”
“เฮ้ย”
“หรือไม่อ้อยก็จะยอมตายกลายเป็นผีไปตบกับมันให้สุดๆ ไปเลย...มันทำอะไรอ้อยก็ทำได้ทั้งนั้น”
อ้อยบอกแล้วเดินขึ้นบันไป
“อะลัดตั๊ดต๊า นังอ้อย คิดออกมาแต่ละอย่างดีๆ ทั้งนั้น”
ที่บ้านปรกเดือน ค่ำวันนั้นขณะที่ปรกเดือนนั่งอยู่กับเดนนิสในห้องรับแขก ปรายดาวก็เดินเข้ามา
“นั่งซิ” เดนนิสบอก ปรายดาวทรุดตัวลงนั่ง มองหน้าเดนนิสแล้วเบือนมามองปรกเดือนอย่างระแวง
“เดือนบอกหรือยัง”
“บอกเรื่องอะไรคะ”
“ฉันอยากให้เธอแต่งงานกับพอลใน 2 เดือนนี้”
“ดาวยังไม่พร้อม”
“เธอหมั้นกับพอลมาตั้ง 2 ปีกว่าแล้วนะ”
“แต่ดาวเพิ่งฟื้นขึ้นมา”
“ก็นั่นแหละเป็นเหตุผลสำคัญ แต่งงานกันไป พอลจะได้ดูแลเธอแทนเดือน พี่สาวเธอท้องแก่ขึ้นทุกวัน”
“ดาวโตแล้ว ไม่ต้องการให้ใครมาดูแล”
เดนนิสหัวเราะขบขัน ราวกับถูกอกถูกใจอะไรหนักหนา
“รู้มั้ยว่า คำตอบของเธอกับพอลเหมือนกันเปี๊ยบ ไปคิดให้ดี ถ้าไม่แต่งกับพอล เธอก็ต้องแต่งกับเสี่ยวิวัฒน์”
“ไม่ค่ะ”
“ให้มันรู้ไปซิว่า เธอจะขัดคำสั่งฉันได้”
ปรายดาวกลับขึ้นห้องอย่างไม่พอใจ แล้วเธอก็ตัดสินใจโทรศัพท์หาเตชิต
“สวัสดีครับ คุณดาว”
“ดาวอยากพบคุณเตค่ะ”
“ตอนนี้ผมยังอยู่ต่างจังหวัด ขอเป็นพรุ่งนี้สายๆ ได้ไหมครับ”
ปราวดาวผิดหวังนิดๆ
“ได้ค่ะ ถ้าคุณไม่ว่าง ...”
เตชิตจับน้ำเสียงได้
“ว่างซิครับ หรือถ้าสำคัญมาก ...”
“ไม่เป็นไรค่ะ พรุ่งนี้ก็ได้”
“ผมจะไปถึงบ้าน 8 โมงเช้า แต่ถ้าคุณจะให้ไปที่...”
“ที่บ้านคุณนั่นแหละค่ะ ขอบคุณมาก”
ปรายดาวปิดโทรศัพท์ทันที เตชิตมีสีหน้ากังวล หันกลับมาแล้วสะดุ้งเมื่อเห็นศรีตรังยืนกอดอกมองอยู่
“ไอ้ศรี แกนี่ไม่มีมารยาทเลย มาแอบฟังคุณพูดโทรศัพท์”
“ไอ้เตเอ๊ย ถ้าแอบแกจะเห็นได้ยังไง ใครโทร .มาถึงได้ทำหน้ายังกับเป็นบิดแบบนั้น”
“เสียงหวาน”
“เฮ้ย งั้นแกต้องกระโดดโลดเต้นตีลังกาเหมือนคนบ้าซิ”
“นี่ ฉันมีเรื่องจริงจังจะพูดด้วย”
“ขอแต่งงานไม่เอานะเว้ย”
“เออน่า ฉันก็แต่งกับแกไม่ลงเหมือนกัน”
“งั้นเรื่อง’ไร”
“เรื่องแรก ...ยังไม่รู้ เพราะเสียงหวานเขาจะบอกพรุ่งนี้ 8 โมงเช้า”
“รักต้องถ่อ”
“อะไรของแก รักต้องถ่อ”
“แกไง ตัวมาทำงานที่ปากช่อง พอหญิงสาวต้องการพบ ก็ต้องรีบถ่อเข้ากรุงเทพ”
“เรื่องที่ 2 เป็นเรื่องเกี่ยวกับไอ้พอล” ศรีตรังชะงัก “นั่นไง หนึ่งเลย”
“ไอ้บ้า ฉัน ...”
“ไอ้พอลของแกอาจจะตกเป็นผู้ต้องสงสัย”
ศรีตรังหน้าเสียนิดหนึ่ง แล้วรีบปรับสีหน้าเป็นปกติทำพูดเล่น
“อ้าว ไปฆ่าใครที่ไหนมาล่ะ”
คำตอบที่ได้จากเตชิตทำให้ศรีตรังกลับเข้าห้องด้วยสีหน้าเคร่งเครียด พอเข้ามาในห้องศรีตรังเดินกลับไปกลับมาอย่างหงุดหงิด
“ไอ้เราก็นึกว่าจะมีความดีเหลืออยู่บ้าง”
ศรีตรังเดินมาหยิบโทรศัพท์กด แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ พอลเดินมาหยิบโทรศัพท์ดูพอเห็นว่ามีมิสคอลเบอร์ศรีตรัง จึงรีบกดโทรหาทันที ศรีตรังก้มมองเบอร์โทรศัพท์ในมือแล้วกดปิดทันที พอลพยายามกดอีก แต่ก็มีเสียงฝากข้อความ สีหน้าพอลเป็นกังวลขึ้นมาทันที
เช้าวันรุ่งขึ้นเตชิตรถขับออกไปไร่สุขศรีตรังเพื่อกลับกรุงเทพ ขณะที่พอลกำลังขับรถออกจากคอนโดแล้วมุ่งหน้ามาปากช่อง...เมื่อเตชิตขับรถกลับมาถึงบ้านก็เห็นปราวดาวนั่งรออยู่ในร้านแถวๆ นั้น ปรายดาวเห็นรถเตชิตจึงเดินออกมา เตชิตรีบลงจากรถเดินมาเปิดประตูบ้าน
“ไม่ได้เอารถมาหรือครับ”
เตชิตถามเมื่อไม่เห็นรถ
“ดาวมาแท็กซี่ค่ะ”
เตชิตพยักหน้า แล้วเดินมาขึ้นรถพร้อมๆ กับปรายดาว แล้วขับเข้าไป
เตชิตเดินนำปรายดาวเข้ามาในบ้าน
“เชิญตามสบายครับ” เตชิตบอกแล้วเดินไปรินน้ำผลไม้มา 2 แก้ว วางให้ปรายดาว และตนเอง “คุณดาวทานอะไรมาหรือยัง”
“ยังค่ะ ยังไม่หิวด้วย”
“งั้นหิวเมื่อไหร่ก็บอก ผมจะพาไปเลี้ยง”
“ขอบคุณค่ะ”
“ไหน...เมื่อคืนคุณดาวบอกว่ามีเรื่องสำคัญ”
“เสี่ยเขาบังคับดาวให้แต่งงานกับพี่พอล แต่ดาวยังไม่พร้อม...” สีหน้าเตชิตบอกถึงความโล่งใจ “เสี่ยก็เลยจะบังคับให้ดาวแต่งงานกับเพื่อนเขา”
“อ้าว ทำอย่างนั้นใช้ได้ที่ไหน ไอ้เดนนิสมันไม่ใช่พ่อใช่แม่คุณสักหน่อย คุณดาวไม่จำเป็นต้องทำตามมัน”
“ถ้าถึงที่สุดจริงๆ ดาวก็ต้องแต่ง ดาวรักพี่พอล” คำตอบนี้ทำให้เตชิตอึ้งไปท่าทางจุกเหมือน
โดนน็อค “ยังไงก็ต้องแต่งกับพี่พอลอยู่แล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เห็นต้องมาปรึกษา “
น้ำเสียงเตชิตประชดนิดๆ แต่ปรายดาวยังไม่ทันสังเกตสีหน้า และน้ำเสียงของเตชิต
“ต้องปรึกษาซิคะ เพราะดาวยังไม่แน่ใจความสัมพันธ์ระหว่างพี่พอลกับพี่เดือน”
“คุณคิดว่า...สองคนนั่นมีอะไรกัน”
“เขายืนยันว่าไม่มี แต่ดาวไม่แน่ใจ หลายๆ เรื่องมันบอกว่าเขามี”
“ไม่เห็นจะยาก คุณก็ถามเขาไปตามตรง ถ้าจะให้แนะนำ ผมคิดว่าคุณควรแต่งงานกับไอ้ ... เอ๊ย คุณพอลไปเลย”
“แล้ว...”
“จะต้องไปสนใจคนอื่นทำไม คุณรักมัน ...เอ๊ย! เขา ก็แต่งกับเขาไป ดีกว่าแต่งกับเพื่อนพี่เขยคุณเยอะแยะ”
ปรายดาวมีสีหน้าดีขึ้น
“ขอบคุณค่ะ ดาวจะลองไปคิดดู”
เตชิตทำหน้าเซ็งๆ
ส่วนพอลเมื่อถึงปากช่อง พอลแวะที่วัดแล้วโทรศัพท์หาศรีตรัง
“ผมอยู่ที่วัด”
“ศาลาอะไร แล้วจะสวดกี่วัน”
“เฮ้ย ผมยังไม่ได้ตาย”
“จะไปรู้เรอะ เห็นบอกว่าอยู่ที่วัด”
“ผมบอกเพื่อจะให้คุณมาที่นี่”
“อ๋อ ไม่ว่าง”
“นี่ ฟังนะ ผมไม่อยากเจอเจนจิรา ถึงได้ขอความกรุณาให้คุณมาที่นี่”
“ก็บอกว่าไม่ว่าง แค่นี้นะ”
ศรีตรังปิดโทรศัพท์ พอลหงุดหงิดครู่หนึ่งแล้วขึ้นรถขับออกไป

เมื่อได้พูดคุยกับเตชิตทำให้ปรายดาวรู้สึกดีขึ้น
“วันนี้ให้ดาวเลี้ยงนะคะ”
ปรายดาวบอกพร้อมกับลุกขึ้น
“สบายใจละซิ” เตชิตประชด
“ค่ะ! ต้องขอบคุณผู้กองมากที่ช่วยชี้ทางให้ เอ้อ... ตอนเป็นวิญญาณ ดาวเป็นยังไงบ้างคะ”
“ก็เหมือนอย่างนี้แหละ ลืมความหลังทั้งหมด ตอนนั้นไม่มีใครเห็นคุณนอกจากผม คุณก็เลยมีผมคนเดียว ตอนนี้ถึงคุณจะยังจำความหลังไม่ได้ทั้งหมด แต่ทุกคนเห็นคุณ รู้จักคุณและผมก็เป็นแค่คนหนึ่งใน…”
ปรายดาวมองเตชิตอย่างเพ่งพิศ
“นั่นคุณกำลังประชดดาวหรือเปล่าคะ”
“ผมจะต้องไปประชดคุณทำไม ไหนว่าจะเลี้ยงผมไม่ใช่หรือ”
“ค่ะ อยากทานร้านไหนก็เลือกเอาเลย” ทั้งคู่เดินออกจากบ้าน “เราน่าจะชวนพี่พอลมาด้วยนะคะ”
เตชิตเซ็งทันที
อีกด้านหนึ่งพอลขับรถเข้ามาในไร่สุขศรีตรัง แล้วทำหน้าเซ็งๆ เมื่อเห็นเจนจิรานั่งรออยู่ด้วยสีหน้าแจ่มใส พอเจนจิราเห็นพอลก็โบกไม้โบกมือให้ พอลขับรถมาจอดหน้าบ้าน เจนจิราวิ่งเข้ามาหาพอล
“พอล”
พอลจับหน้าที่โอบรอบคอของเจนจิราออก เจนจิราหน้าหงิก
“คุณเป็นภรรยาของเจ้านายผม ทำอย่างนี้ไม่ดีแล้วก็ไม่ได้ด้วย”
“เจนเลิกกับเขาแล้ว เขาเองก็ต้องการชีวิตเจน ไม่ใช่ตัวเจน หรือว่าคุณรังเกียจที่เจนเคยมีสามี”
“เรื่องนั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญ”
“งั้นก็ไม่มีปัญหา”
“มีซิครับ ปัญหาอยู่ที่ผม ไม่ได้มีความรู้สึกกับคุณแบบนั้น”
“ทำไม เจนไม่ดีตรงไหน บอกมาตรงๆ เลย” เจนจิราถามอย่างไม่พอใจ
“มันไม่ได้เกี่ยวกับดีหรือไม่ดี ซึ่งถ้าจะให้พูดตรงๆ ก็คือ ผมไม่ได้รักคุณ”
“อ้อ! งั้นที่คุณเทียวไปเทียวมานี่ก็เพราะศรีตรัง”
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้”
“เออ! งั้นก็ไปเลย ไปอยู่กับมัน ไอ้โง่ ผู้ชายอะไรก็ไม่รู้โง่ดักดานที่สุด ไอ้หน้าโง่”
เจนจิราสะบัดหน้าเดินเข้าบ้าน พอลมองตามอย่างอ่อนใจ
ขณะนั้นสมและศรีตรังกำลังช่วยกันดูคนงานก่อสร้างรีสอร์ทใหม่ พอลขับรถเข้ามาจอดศรีตรังและสมหันกลับมามอง
“เอ๊ะ อุตส่าห์ตามมาอีกจนได้”
“ด้วยความเคารพ ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จย่อมอยู่ที่นั่น”
พอลเดินเข้ามาศรีตรังทำเป็นมองไม่เห็น
“สวัสดีครับ คุณพอล”
“สวัสดีครับลุงสม สวัสดีครับคุณศรีตรัง”
“ลุงสมคะ ศรีจะไปดูทางโน้นนะคะ”
“เชิญครับ”
ศรีตรังเดินออกไป
“ผมขออนุญาตตามคุณศรีตรังไปนะครับ” พอลบอกกับสม
“ด้วยความเคารพ ถ้าหากผมห้าม คุณพอลจะเชื่อมั้ยครับ”
“ไม่เชื่อแน่นอนครับ”
“งั้นผมจะไปห้ามหาสวรรค์วิมานอันใดล่ะ จริงมั้ยครับ...ด้วยความเคารพ”
“จริงครับ”
พอลเดินตามศรีตรังออกไป
“ด้วยความเคารพ ขอให้คุยกันรู้เรื่องเสียทีครับ”
เจนจิราเข้ามานั่งในบ้านแล้วผุดลุกผุดนั่งด้วยความหงุดหงิด เจนจิราเบือนหน้าไปมองโทรศัพท์แล้วตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาเดนนิส ขณะนั้นเดนนิสกำลังสั่งงานลูกน้องอยู่...เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เดนนิสหยิบขึ้นมาดูแล้วชะงักไปเล็กน้อย
“ไปได้แล้ว” เดนนิสบอกลูกน้อง กลุ่มลูกน้องรับคำแล้วเดินออกไป เดนนิสจึงกดรับโทรศัพท์
“ว่าไง”
“เสี่ยขา เจนมีเรื่องจะรายงานค่ะ”
“เรื่องจริงหรือโกหก”
“จริงซิคะ เสี่ยสามารถให้คนมาพิสูจน์ได้ คุณพอลมือขวาของเสี่ยมาที่ไร่ศรีตรังเป็นประจำเลยค่ะ... เวลานี้ก็อยู่ที่นี่”
เดนนิสหัวเราะ
“อิจฉาเขาละซิ คิดว่าฉันไม่รู้เรอะว่าไอ้พอลมันไปติดพันเจ้าของไร่นั่น ส่วนเธอก็กำลังติดพันมันอีกทีหนึ่ง”
“เปล่านะคะ เจนน่ะไม่เคยเห็นใครดีไปกว่าเสี่ย แต่เสี่ยเข้าใจเจนผิด”
“จบแล้วใช่ไหม”
“ยังค่ะ เจนจะเรียนเสี่ยว่าผู้กองเตชิตก็มาที่นี่บ่อยมาก เขาเป็นเพื่อนสนิทกับแม่ศรีตรัง แล้วก็น่าจะเป็นเพื่อนกับคุณพอลด้วย คุณพอลมีเพื่อนเป็นตำรวจค่ะ เสี่ยขา” เดนนิสนิ่งไป “เมื่อเป็นอย่างนี้ เจนเลยมาปะติดปะต่อเอาเองว่า งานของเสี่ยที่พลาดไปในระยะหลังๆ ก็อาจจะเนื่องมาจากเกลือเป็นหนอนนะคะ”
เดนนิสมีสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด
“คอยสืบเรื่องนี้ให้ฉันที”
“ได้เลยค่ะ เสี่ยขา เอ้อ...แปลว่าเสี่ยให้อภัยเจนแล้วใช่มั้ยคะ”
“นั่นอยู่ที่ผลงานของเธอ”
“เจนจะทำผลงานให้เข้าตาเสี่ยเลยค่ะ”
เดนนิสวางโทรศัพท์ลงสีหน้าเคร่งเครียด ขณะที่เจนจิรามีสีหน้าสะใจสุดๆ
“เล่นกับใครไม่เล่น มาเล่นกับเจนจิรา”
ที่ไร่สุขศรีตรังขณะนั้นศรีตรังกำลังยืนกอดอกมองพอล
“จะเอายังไงกับฉัน ...”
“ผมจะมาขอโทษอย่างเป็นทางการ”
“เรื่อง...”
“เรื่องที่ฉันไม่เคยบอกคุณว่า ผมมีคู่หมั้น”
“งั้นฉันคงต้องแสดงความยินดี”
“คุณประชด”
“งั้นฉันคงต้องแสดงความยินดี”
“คุณประชด”
“ถ้าประชดก็แปลว่าฉันรู้สึกอะไรกับคุณ แต่นี่เปล่า ...”
“ผมมีความจำเป็นต้องหมั้นกับปรายดาว”
“คุณกำลังจะบอกว่าคุณถูกบังคับให้หมั้นและแต่งงานกับผู้หญิงสวยน่ารักขนาดนั้น”
“ปรายดาวถูกกดดันให้แต่งงานกับเพื่อนเดนนิส”
“ช่างเป็นความเสียสละที่น่ายกย่องมาก”
ศรีตรังปรบมือประชด พอลก้าวมาจับต้นแขนศรีตรังไว้ทั้ง 2 ข้าง
“หยุดประชดประชันเสียทีแล้ว ฟังผมอธิบายหน่อยได้ไหม”
ศรีตรังสบตาพอลอย่างแน่วแน่
“ได้ ถ้าคุณบอกมาก่อนว่า ทำไมไม่ยอมรับว่าตัวเองคือพี่เพชร ไม่ใช่พอล” พอลอึ้ง “คุณคือพี่เพชรใช่ไหม”
“ผมชื่อพอล”
ศรีตรังปัดมือพอลออก
“งั้นเราก็หมดเรื่องพูดกันแล้วคุณพอล” พอลขบกราม “เชิญกลับไปได้ แล้วไม่ต้องมาให้ฉันเห็นหน้าอีก”
“วันนี้คุณอารมณ์ไม่ดี”
“อ๋อ! วันนี้อารมณ์ฉันสุนทรีย์มาก”
“แล้วผมจะมาใหม่”
“ถ้าเห็นคุณเข้ามา ฉันจะยิงคุณ”
“ผมจะมา”
พอลลงเสียงหนัก แล้วหันหลังเดินกลับไป ศรีตรังกำมือแน่นตะเบ็งเสียงลั่น
“ไม่ให้มา... ไม่ให้มา... บอกว่าไม่ให้มา”
พอลเดินไปเหมือนไม่สนใจ ศรีตรังชูกำปั้นตามอย่างหงุดหงิด
อีกด้านหนึ่งขณะนั้นปรายดาวกับเตชิตอยู่ที่ร้านอาหาร
“อร่อยจังนะคะ ร้านนี้”
“คงเป็นเพราะจะมีข่าวดีมั้ง อะไรๆ ก็เลยดีไปหมด” เตชิตประชด แต่ปรายดาวยังไม่รู้ตัว
“นั่นน่ะซิคะ”
เตชิตยกแก้วน้ำดื่ม เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น

“พี่พอลโทรมาค่ะ” ปรายดาวบอกอย่างดีใจ เตชิตแทบสำลักน้ำขณะที่ปรายดาวรีบกดรับโทรศัพท์ “ว่าไงคะ พี่พอล อ๋อ... ดาวออกมาทานข้าวกับเพื่อนน่ะค่ะ”
“เฮอะ เพื่อน” เตชิตพึมพำ
“เย็นนี้เหรอคะ ได้ค่ะ...ค่ะ...แล้วพบกัน” ปรายดาวเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าปากก็พูดไปเรื่อยๆ “พี่พอลจะมารับดาวไปดูหนังรอบค่ำ”
“ยังจะมีหน้ามาอวดอีก” เตชิตพึมพำ ปรายดาวเงยหน้าขึ้น นัยน์ตาใสแจ๋ว “อะไรนะคะ”
เตชิตสะดุ้ง
“ผมบอกว่าราดหน้าอร่อย อยากกินอีก”
ปรายดาวกระตือรือร้นขึ้นมาทันที
“เอาเลยค่ะ สั่งอีกกี่จานก็ได้”
“ผมก็พูดไปอย่างนั้นละครับ” ปรายดาวมองหน้าเตชิต แล้วค่อยๆ ยิ้ม “อะไรหรือครับ”
“ผู้กองมีแฟนหรือยังคะ”
เตชิตทำท่าจะปฏิเสธแต่แล้วก็เปลี่ยนใจ
“รุ่นนี้แล้วครับ”
“คุณศรีตรังใช่มั้ยคะ”
“ศรีตรัง อ๋อ ใช่ครับ ใช่ ศรีตรังเป็นแฟนผม เรารักกันมาก”
ปรายดาวยิ้มแล้วก้มหน้ากินข้าวต่อเงียบๆ
ระหว่างทางกลับบ้านเตชิตขับรถ ปรายดาวนั่งเงียบๆ มาข้างๆ
“จะไปไหนอีกไหมครับ”
“ไม่ค่ะ ดาวไม่ค่อยสบาย”
“อ้าว เมื่อกี้ยังดีๆ อยู่เลย”
“ก็ตอนนี้มันไม่สบายแล้วนี่”
ปรายดาวบอกอย่างพาลๆ เตชิตชำเลืองมองแว่บหนึ่ง ปรายดาวนั่งเบือนหน้ามองไปข้างทาง
ส่วนที่ไร่ศรีตรัง ศรีตรังเดินกลับเข้าบ้านเจนจิรานั่งอ่านหนังสืออยู่เงยหน้ายิ้มให้ศรีตรังด้วยสีหน้ายิ้มแย้มราวกับไม่เคยมีเรื่องหมองใจอะไรเลย
“เมื่อกี้เจอคุณพอลหรือเปล่าจ้ะ”
ศรีตรังชะงักมองเจนจิราด้วยความประหลาดใจ แล้วมองซ้ายมองขวาหน้าหลังราวกับหาคนที่เจนจิราพูดด้วย เจนจิราหัวเราะคิก
“เจนพูดกับศรีนั่นแหละจ้ะ”
ศรีตรังยิ่งงงหนัก
“เจน...ศรี...”
“ก็ใช่น่ะซิ คืองี้ เจนมาคิดๆ ดูแล้วรู้สึกทุเรศตัวเองมากเลย ศรีอุตส่าห์ให้ที่พักฟรี อาหารฟรีแต่เจนกลับทำให้ศรีต้องลำบากใจ เจนก็เลยสัญญากับตัวเองว่าจะไม่ทำอย่างนั้นอีก มานั่งคุยกันก่อนจ้ะ” เจนจิราพูดพลางดึงมือศรีตรังให้นั่งลง “เราจะเป็นเพื่อนรักกันตลอดไป นะศรีนะ”
เจนจิรายื่นนิ้วก้อยมาให้ ศรีตรังลุกขึ้น
“ศรีว่าศรีชักจะงงๆ แล้ว ศรีไปก่อนดีกว่า”
“ไปไหน เจนไปด้วยคน”
“เจนอยู่นี่ดีกว่า ศรีไปละไม่ต้องตามมานะเจน”
ศรีตรังรีบเดินออกไป เจนจิรามองตาม แววตาเปลี่ยนไปทันที
“จะไปอ้วกที่ไหนก็ไป ฉันเองก็อยากจะอ้วกเหมือนกัน แหวะ”
ศรีตรังมาหาจุรีที่บ้าน จุรียกมือทาบอก
“อะลัดตั๊ดต๊า เจนเปลี่ยนใจ”
“เปลี่ยนเร็วจัง เร็วจนศรีมึนงง”
“อย่าเพิ่งไว้ใจนะคะ คุณหนู อายุขนาดนี้แล้วเปลี่ยนยากค่ะ ถ้ายังเด็กๆ ก็ไปอย่าง”
“ศรีรู้ค่ะ เออ...อ้อยไม่อยู่หรือคะ”
“อยู่ข้างบนค่ะ พูดถึงลูกคนนี้แล้วป้ากลุ้มใจ ไม่รู้ว่าทำไมมันถึงได้ใจร้ายนัก”
“เรายังไม่รู้ว่าความจริงเป็นยังไง อย่าเพิ่งไปปรักปรำเขา”
“ป้าน่ะอยากจะรู้ให้มันแน่ๆ ก็เลยจะไปเยี่ยมเจ้าศักดิ์เขากับคุณพงษ์แล้วก็คุณสมแก”
“ป้าจะไปเมื่อไหร่คะ ศรีว่างอาจจะไปด้วย”
“เย็นนี้คะ... คุณทศก็จะขับรถให้”
“ถ้าไปกันหมดทุกคน ศรีก็คงต้องอยู่เฝ้าบ้าน เพราะไว้ใจทั้งเจนทั้งอ้อยไม่ได้เลย”
“เอ! งั้นเอาไงดี”
“พวกป้าจุไปเยี่ยมกันก่อน ศรีไปวันหลังได้”
“ขอบคุณค่ะ ป้าน่ะอยากรู้เหลือเกินว่า ลูกสาวป้ามีส่วนเกี่ยวข้องด้วยหรือเปล่า”
จุรีมีหน้าตากลุ้มอกกลุ้มใจ ศรีตรังโอบไหล่ปลอบ
ศรีตรังเดินกลับออกมาไปขึ้นรถ ขณะนั้นอ้อยแอบดูอยู่บนห้องด้วยสีหน้าไม่พอใจ
“ยุ่งนัก ยัยคนนี้ สอดไม่เข้าเรื่อง”
ศรีตรังกลับไปแล้วอ้อยจึงเดินหน้างอลงมา
“แม่”
จุรีซึ่งนอนหลับตาบนโซฟาลืมตามอง
“อ้าว! อ้อย...คุณหนูศรีตรังเพิ่งไป”
“อ้อยถึงได้เพิ่งลงไปไง รำคาญพวกชอบสอดเรื่องของคนอื่น”
“อะลัดตั๊ดต๊า นังอ้อย คุณหนูศรีตรังน่ะเจ้านายแม่ เจ้านายแกนะยะ”
“เจ้านายอ้อยก็ว่าได้ ถ้าไม่ชอบใจ ใครจะทำไม”
อ้อยสะบัดหน้าเดินออกไป จุรีผุดลุกขึ้นทันที
“อุ๊ยตายแล้ว นังคนเนรคุณ ฉันสอนเท่าไหร่ไม่รู้จักทำ ทรลักษณ์อกตัญญุ ตาเขา เทพเจ้าก็จะแช่งทุกแห่งหน อะลัดตั๊ดต๊า แล้วมันฟังที่ไหน”

อ่านต่อหน้า 2




 ปางเสน่หา   ตอนที่ 15 (ต่อ) 

ขณะนั้นพงษ์ศักดิ์กำลังอธิบายให้คนงานฟัง อ้อยขี่จักยานผ่านมาพอดี

“เซ็งเป็ด หลบคนโน้นมาเจอคนนี้”
“อ้อย อ้อย”
อ้อยจำใจหยุดรถ พงษ์ศักดิ์เดินมาพออ้าปากอ้อยก็ชิงพูดก่อนทันที
“อ้อยไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น ใครอยากรู้ว่าใครฆ่าใคร ฆ่ายังไงก็ไปถามกันเอง”
“เปล่า ลุงแค่อยากรู้ว่า เจ้าศักดิ์น่ะมันเคยใช้กำลังกับอ้อยบ้างไหม”
อ้อยทำหน้างงครู่หนึ่ง
“ก็ลองซิ...แม่ได้เอาไม้หน้าสามฟาดหัว” อ้อยชะงักเมื่อนึกได้ “ขอโทษค่ะ อ้อยลืมไป”
“ไม่เป็นไร ไอ้ลุงน่ะเป็นห่วงหนู พูดก็พูดเถอะถ้าเจ้าศักดิ์มันเคยฆ่าแฟนคนแรก ก็แสดงว่าใจมันหินใช้ได้ ลุงกลัวว่า มันจะเคยทำร้ายหนู”
“อ๋อ ก็อย่างที่บอกนั่นแหละค่ะ อ้อยเป็นคนไม่ค่อยยอมใคร”
“งั้น ...ก็สบายใจ หนูจะไปไหนก็ไปเถอะ”
อ้อยถีบจักรยานออกไป แล้วหันกลับมา
“ลุงพงษ์คะ” พงษ์ศักดิ์กำลังเดินไปหากลุ่มคนงาน หันกลับมา “ศักดิ์เขาเล่าอะไรให้ลุงฟังบ้างหรือเปล่า”
แววตาพงษ์ศักดิ์เป็นประกายแว่บหนึ่ง
“ก็พูดเหมือนกัน”
“อะไรคะ”
“ลุงยังพูดไม่ได้ กลัวเสียรูปคดี” อ้อยอึ้งไป “แต่มีอยู่อย่างนึงที่บอกได้ ลุงจะไม่ยอมให้ลูกชายของลุงยอมรับผิดแทนใครเด็ดขาด คนที่ร่วมกันทำผิดก็ต้องยอมรับผิดด้วยกัน” พงษ์ศักดิ์บอกด้วยหน้าตาจริงจัง อ้อยหน้าเจื่อนลง “หนูว่าจริงไหม”
อ้อยพูดไม่ออก ได้แต่ฝืนยิ้ม
เย็นวันนั้นพงษ์ศักดิ์ สม ตรีทศ จุรีมาคุยกับศักดิ์สิทธิ์ที่ทัณฑสถาน
“อย่ามาหว่านล้อมเสียให้ยาก ผมบอกแล้วว่าผมทำคนเดียว”
ศักดิ์สิทธิ์บอก แต่ละคนมีสีหน้าอ่อนใจ
“ศักดิ์ เราทุกคนหวังดีกับคุณนะ แม้แต่ป้าจุ”
ศักดิ์สิทธิ์ชี้หน้าตรีทศ
“หยุดเลย ไอ้ทศ”
ทุกคนตกใจ
“ศักดิ์...เบาๆ ลูก อย่าลืมว่าลูกอยู่ที่ไหน”
“ต้องให้ไอ้ทศออกไปก่อน ผมไม่เคยชอบขี้หน้ามันเลย”
“ด้วยความเคารพ”
“ไม่ต้องมาเคารพ เอามันออกไป แล้วก็อย่าพามาให้ผมเห็นหน้าอีก”
ตรีทศลุกขึ้น
“ไป๊ ออกไปรอข้างนอกด้วยกัน คุณทศ” สมบอก
“ครับ”
ตรีทศกับสมเดินออกไป
“ศักดิ์ บอกป้ามาตามตรง อ้อยมันเป็นลูกของป้า” จุรีถามศักดิ์สิทธิ์ต่อ
“อ้อยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้แน่นอนครับ ป้าจุ”
“แล้วทำไมผีเกษรินถึงได้จ้องแต่จะหลอกหลอนอ้อยอยู่คนเดียวล่ะ ...ขนาดคุณเจนจิราอยู่ด้วยมันยังไม่หลอกเลย”
“เพราะมันอิจฉาอ้อยน่ะซิครับ ผมบอกมันว่าผมรักอ้อย ผมเกลียดมัน”
“เกลียดเขาก็เลิกซิ ไม่เห็นจะต้องฆ่าต้องแกงกัน”
“พ่อก็พูดได้อยู่เท่าเนี้ย ที่ผมถูกจับก็เพราะพ่อนั่นแหละ”
“ศักดิ์”
“ถ้าพ่อไม่ปูดเรื่องแหวน ...”
พงษ์ศักดิ์นึกฉุน
“ วะ ก็ฉันจะไปรู้ได้ยังไงว่าแกจะใจดำอำมหิตขนาดเป็นฆาตกรได้”
“จุ๊... คุณพงษ์”
“กลับเถอะคุณจุ มันจะเป็นยังไงก็ช่างหัวมัน”
“ดี! ไปแล้วไม่ต้องกลับมาอีก ผมอยู่ของผมได้”
“ไอ้...”
“คุยกันไม่รู้เรื่องแล้ว กลับกันก่อนเถอะ คุณพงษ์”
พงษ์ศักดิ์เดินออกไปโดยไม่เหลียวหลัง ศักดิ์สิทธิ์มองตามน้ำตาคลอ จุรีมองศักดิ์สิทธิ์อย่างสงสาร
“ป้าไปก่อนนะ”
จุรีถอนใจเบาๆ แล้วลุกขึ้นเดินออกไปได้ 2-3 ก้าว
“ป้าจุครับ”
จุรีหันกลับมา
“ฝากบอกอ้อยด้วยว่า ไม่ต้องมาเยี่ยมผมหรอกให้รักษาเนื้อรักษาตัวให้ดี”
จุรีแปลกใจขยับจะถาม แต่ศักดิ์สิทธิ์เดินกลับเข้าไปด้านในแล้ว จุรีมองตามอย่างเวทนา
ตรีทศและสมนั่งคุยกันอยู่บนรถด้วยท่าทางเคร่งเครียด จนกระทั่งจุรีและพงศ์ศักดิ์เดินกลับมาขึ้นรถ
“ด้วยความเคารพ ... มีอะไรคืบหน้าไหมครับ” สมถาม
“เหมือนเดิม ช่างมันเถอะมันอาจจะลงมือคนเดียวจริงๆ ก็ได้ ขอโทษด้วยนะ คุณจุ ที่ดูเหมือนผมจะพยายามลากลูกสาวคุณจุเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วย”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เป็นใครใครก็ต้องสงสัยทั้งนั้น”
ตรีทศขับรถออกไป
ขณะนั้นศรีตรังกำลังนั่งกอดเข่ามองออกไปนอกบ้านอย่างเหงาๆ จนกระทั่งมีแสงไฟจากรถเตชิตแล่นเข้ามาจอด เจนจิราแอบมองปฏิกิริยาของคนทั้งสองอยู่ในบ้าน เตชิตเปิดประตูรถลงมาแล้วทิ้งตัวลงนั่งข้างศรีตรังอย่างเซ็งๆ
“เป็นไง”
“เซ็ง”
“อะไรวะ ไปเจอแฟนมาแทนที่จะสุขกลับเซ็ง”
“แฟนเฟินที่ไหน เขากำลังจะแต่งงานกับไอ้พอล” ศรีตรังสะดุ้ง
“อะไรนะ”
“เขาสารภาพว่ารักกับไอ้พอลมานานแล้ว และอีกไม่กี่เดือนก็จะแต่งงานกัน”
“ไอ้บ้า ไอ้คนโกหกหลอกลวง”
“เฮ้ย ฉันพูดจริงนะเว้ย”
“ฉันไม่ได้ว่าแก แต่อยากรับก็รับไป”
ศรีตรังเดินกลับเข้าบ้าน เตชิตยืนงง
“อะไรวะ”
ศรีตรังเดินกลับเข้ามาในบ้าน ขณะที่เจนจิรารีบทำเป็นนั่งอ่านหนังสือ
“อ้าว ศรี...โกรธใครมาหรือจ๊ะ เจนจะ...”
ศรีตรังเดินขึ้นบ้านไปโดยไม่ได้สนใจเจนจิราเลย เจนจิรามองพลางยักไหล่ แล้วรีบเดินออกไป
เจนจิรารีบออกมาตะโกนเรียกเตชิต
“คุณผู้กองเตคะ” เตชิตหยุดเดินหันมามอง “เป็นยังไงบ้างคะ”
“อะไรเป็นยังไงหรือครับ”
“แหม...ก็ที่ไปกรุงเทพไงคะ”
“อ๋อ ดีครับ”
เตชิตเดินไปขึ้นรถ เจนจิรามองตามเยาะๆ
“ดีแน่”
เตชิตขึ้นรถขับออกไป เจนจิรากอดอกมองตามแล้วเดินกลับเข้าบ้าน
ส่วนพอลเมื่อกลับถึงกรุงเทพ พอลก็รับปรายดาวออกมาทานอาหารด้วยกัน
“วันนี้ดาวไปทานข้าวกลางวันกับผู้กองเตชิตมาค่ะ” พอลชะงัก “พี่พอลอย่าเพิ่งเข้าใจผิดนะคะ ดาวแค่อยากจะขอบคุณเขาที่ เอ้อ....” ปรายดาวลังเลไม่แน่ใจ
“ที่เคยดูแลดวงวิญญาณดาวน่ะหรือ”
“ค่ะ” ปรายดาวตอบรับเสียงอ่อย “พี่พอลไม่เห็นว่า เป็นเรื่องเหลวไหลหรือคะ”
“อันนี้พี่ก็ตอบไม่ได้ เพราะไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์”
“ดาวบอกกับผู้กองเตชิตว่า เราจะแต่งงานกัน” ช้อนส้อมแทบตกจากมือพอล “ทำไมหรือคะหรือว่าพี่พอลไม่ ...”
“เปล่า ยังไงเราก็ต้องแต่งงานกันอยู่แล้ว”
“ถ้าเราไม่แต่งภายใน 2- 3 เดือนนี่ เสี่ยจะให้ดาวแต่งงานกับเพื่อนเขา”
พอลเอื้อมมือมาจับมือปรายดาว
“พี่ต้องแต่งงานกับดาวแน่ แต่พี่อยากให้ดาวพร้อมมากกว่านี้ เพราะบางครั้งพี่สังเกตเห็นดาวยังดูซึมๆ ใจลอย”
“ดาวก็ไม่รู้ว่าทำไมเป็นอย่างนั้น”
“ดาวพร้อมจะแต่งงานกับพี่หรือเปล่าล่ะ”
ปรายดาวมีสีหน้ายังลังเล ไม่แน่ใจ

หลังจากทานอาหารเสร็จแล้วพอลจึงขับรถมาส่งปรายดาวที่บ้าน
“พี่พอลไม่ต้องลงไปหรอกค่ะ” ปรายดาวหันมาบอก
“ทำไมล่ะ”
“ดาวรู้ว่าเสี่ยกับพี่เดือนรออยู่ ดาวขี้เกียจจะตอบคำถาม พี่พอลก็คงเหมือนกัน”
“งั้นก็ได้”
“ขอบคุณมากนะคะที่พาดาวไปเที่ยว”
“พี่ก็สนุกมากเหมือนกัน”
ปรายดาวเปิดประตูลงไป แล้วโบกมือให้พอลก่อนจะเดินเข้าบ้าน พอลมองตามสีหน้ายิ้มแย้มค่อยๆ เปลี่ยนเป็นขรึมลง
ปรายดาวเดินเข้าบ้านขณะนั้นเดนนิสและปรกเดือนนั่งดูทีวีกันเงียบๆ ปรายดาวเดินอ้อมไปทาง
ด้านหลัง
“สนุกมั้ย”
เดนนิสถาม ปรายดาวชะงักแล้วตอบเบาๆ
“สนุกค่ะ”
“แล้วทำไมพอลไม่เข้ามาส่งล่ะ จะรีบอะไรกันนักหนาไม่มีความเคารพผู้ใหญ่เลย”
ปรายดาวก้มหน้า
“ไม่เห็นเป็นอะไรนี่คะ” ปรกเดือนบอก
“เงียบ” เดนนิสตวาด ปรกเดือนและปรายดาวสะดุ้งขึ้นพร้อมๆ กัน “เธอไม่เห็นหรือว่า พอลมันทำเหมือนไม่เห็นความสำคัญของเรา” ปรกเดือนขยับตัว “ฉันบอกให้เงียบ”
“เดือนกำลังจะขึ้นไปนอนค่ะ ไม่ได้จะพูด” ปรกเดือนกล้ำกลืนน้ำตาเต็มที่
“ไปค่ะ พี่เดือน”
ปรายดาวพาปรกเดือนเดินขึ้นบ้านด้วยสีหน้าเหมือนไม่ค่อยพอใจนัก
“เออ คนบ้านนี้มันเป็นอะไรกันไปหมด เห็นฉันเป็นหัวหลักหัวตอเรอะไง”
เดนนิสพลุ่งพล่านอย่างไม่พอใจเมื่อเห็นสองสาวเดินขึ้นบันไดไปอย่างไม่สนใจ
ที่ไร่สุขศรีตรัง ขณะนั้นศรีตรังยืนกอดอก แล้วมองออกไปภายนอกพร้อมกับนึกถึงสิ่งที่คุยกับเตชิต
“อะไรวะ ไปเจอแฟนมา แทนที่จะสุขกลับเซ็ง”
“แฟนเฟินที่ไหน เขากำลังจะแต่งงานกับไอ้พอล”
ภาพเลือนหายไป ศรีตรังมีสีหน้าเจ็บใจสุดๆ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ศรีตรังหันมามองที่โทรศัพท์สายเรียกเข้า เป็นชื่อพอล ศรีตรังหยิบโทรศัพท์มากดปิด แล้วเดินไปปิดไฟนอน
พอลพยายามติดต่อศรีตรังอีกแต่มีเพียงเสียงให้ฝากข้อความ
“ไอ้เต ต้องเป็นมันแน่”
พอลกดโทรศัพท์หาเตชิต ขณะนั้นเตชิตกำลังนอนใช้ความคิดอยู่ เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นทำให้เตชิตยันตัวขึ้นหยิบมาดู
“ไอ้พอล...” เตชิตกดรับ “ว่าไง พอล”
“แกบอกอะไรศรีตรัง”
“ก็บอกอย่างที่ปรายดาวบอกฉันนั่นแหละ หรือแกจะบอกว่าปรายดาวโกหก”
พอลหงุดหงิด
“แกนั่นแหละโกหก แกหลอกลวงดาวเรื่องที่แกไปคลุกคลีอยู่กับวิญญาณของเธอ แถมยังทำให้ปรกเดือนเชื่ออีก ฉันไม่ต่อยแกก็บุญเท่าไหร่แล้ว”
“เอาเลย อยากต่อยก็มาเลย แต่ขอยืนยันว่าฉันไม่ได้โกหก แกนั่นแหละ ที่ทั้งโกหกและหลอกลวงศรีตรังครั้งแล้วครั้งเล่า ศรีเป็นเพื่อนรักของฉัน”
“ซึ่งกำลังจะเปลี่ยนเป็นคนรักยังงั้นซิ”
“แล้วทำไมถึงจะเปลี่ยนไม่ได้ล่ะ”
พอลปิดโทรศัพท์อย่างหงุดหงิด ตชิตวางโทรศัพท์ช้าๆ สีหน้าเหมือนจะสะใจ
กลางดึกคืนนั้นขณะที่ปรายดาวนอนหลับสนิทเธอก็ฝันถึงไร่สุขศรีตรัง....ปรายดาวเดินเข้ามาในไร่แล้วมองไปโดยรอบแต่แล้วปรายดาวก็ต้องชะงักเมื่อเห็นเสียงหวานในอิริยาบถต่างๆ ทั้งในบ้านและไร่ ปรายดาวมองด้วยความสนใจ เสียงหวานเบือนหน้ามามองปรายดาวจังหวะนั้นปรายดาวสะดุ้งตื่นจากความฝันพอดี ปรายดาวถอนใจยาวขณะลุกขึ้นนั่ง สีหน้าแววตาทบทวนความฝันที่เกิดขึ้น
เช้าวันรุ่งขึ้น เดนนิส ปรกเดือน ปรายดาวนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร แจ๋วเดินเข้ามาวางชามข้าวต้มข้างหน้าทุกคน
“ข้าวต้ม แกดูหน้าฉันซิ นังแจ๋ว หน้าฉันจะเละเป็นข้าวต้มอยู่แล้ว”
เดนนิสต่อว่าแจ๋ว แจ๋วเสียงสั่นและตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว
“วัน...วันนี้...ข้าว...ข้าวต้มปลาค่ะ”
“แล้วไง วันนี้ข้าวต้มปลา เมื่อวานข้าวต้มกุ้ง พรุ่งนี้ข้าวต้มไก่...วนเวียนอย่างนี้ทุกวันน่าเบื่อ รู้มั้ยว่ามันน่าเบื่อ”
แจ๋วร้องไห้
“ออกไปได้แล้วแจ๋ว” ปรกเดือนบอก แจ๋วรีบหันหลัง
“ยังไปไม่ได้”
แจ๋วรีบหยุดแล้วหันกลับมา ขณะที่ปรกเดือนเม้มปาก ปรายดาวหน้าซีด
“ต้องรอให้ฉันสั่งก่อน บ้านนี้ฉันใหญ่สุด” ปรกเดือนกำมือแน่น เธอพยายามอดทนสุดๆ “ไสหัวไป”
แจ๋วรีบออกไปอย่างรวดเร็ว “เห็นทีจะต้องสั่งกุ๊กมาจากฮ่องกงซะแล้ว”
“ทำไมล่ะคะ แจ๋วน่ะจงรักภักดียังกับทาส มีอะไรก็รายงานทุกอย่าง”
ขณะที่เดนนิสกับปรกเดือนทะเลาะกัน ปรายดาวนั่งก้มหน้ามือประสานกันแน่น กิริยาท่าทางดูเหมือนบีบคั้น เดนนิสตบโต๊ะโครม ปรกเดือนและปรายดาวสะดุ้งเฮือก ปรายดาวหมดความอดทนลุกขึ้นทันที
“จะไปไหนล่ะ ปรายดาว” เดนนิสถามเสียงเข้ม
“ดาวจะขึ้นไปข้างบนค่ะ”
“ก็เพิ่งลงมาหยกๆ ไม่อยากฟังรายละเอียดเรื่องอุบัติเหตุของเธอหรอกเรอะ” ปรกเดือนชะงัก มองหน้าเดนนิสเช่นเดียวกับปรายดาว เดนนิสหัวเราะ ขณะสบตาปรกเดือน “เธอจะบอกเองหรือว่าให้ฉันบอกล่ะ” ปรกเดือนเม้มปาก “ฉันบอกเองก็ได้” เดนนิสหันไปมองปรายดาว “ตำรวจเขาเพิ่งรื้อฟื้นคดีขึ้นมาใหม่...
แล้วก็พบหลักฐานใหม่ด้วย สายเบรครถเธอถูกตัด”
“อะไรนะคะ” ปรายดาวถามอย่างตกใจ
“ดูเหมือนมีคนจงใจจะให้เธอตาย เพื่อจะได้พ้นทางของเขาไป พอจะนึกออกหรือเปล่าล่ะว่าเธอมีศัตรูที่ไหนบ้าง ใครที่เขารักกัน แล้วเธอไปขวางไว้โดยไม่รู้ตัว” เดนนิสปรายตามองปรกเดือนอย่างมีเลศนัย
“ไม่จริง”
ปรายดาวหันขวับมามองปรกเดือน
“ไอ้เรื่องความรักนี่มันไม่เข้าใครออกใครเสียด้วย”
“พอที”
ปรกเดือนบอกออกมา ขณะที่ปรายดาวเดินแกมวิ่งขึ้นข้างบน
“น่าสงสาร เพิ่งฟื้นจากเจ้าหญิงนิทราก็มาเจอแฟนกับญาติสนิทคิดไม่ซื่อ” เดนนิสยังพูดต่อ
“เสี่ยทำอย่างนี้ทำไมคะ “ ปรกเดือนถามอย่างไม่พอใจ
“ฉันทำยังไง”
“ก็ทำให้ดาวเข้าใจเดือนกับพอลผิด”
“แล้วเธอกับไอ้พอลทำหรือเปล่าล่ะ”
“ไม่มีวัน เดือนไม่มีวันทำอะไรชั่วๆ อย่างนั้นเด็ดขาด”
“งั้นเธอจะเดือดร้อนทำไม จริงมั้ย”
“เดือนไม่นึกเลยว่าเสี่ยจะเล่นสกปรกอย่างนี้”
ปรกเดือนเดินแกมวิ่งออกไป เดนนิสตะโกนตาม
“ระวังหกล้มแท้งลูกล่ะ อยากเก็บมันไว้ไม่ใช่เรอะ”
เดนนิสแสยะยิ้มออกมา
ปรกเดือนเดินแกมวิ่งมาเคาะประตูห้องปรายดาว
“ดาว เปิดประตูให้พี่เข้าไปหน่อย” ทุกอย่างเงียบ “ดาว อย่าเพิ่งเข้าใจผิดนะ พี่กับพอลไม่ได้ทรยศเธอ ไม่มีวันทำร้ายเธอเด็ดขาด” ทุกอย่างเงียบ “ดาว พี่ทนอะไรก็ทนได้ แต่ทนให้เธอเข้าใจผิดพี่ไม่ได้”
ทุกอย่างยังคงเงียบ ปรกเดือนทรุดตัวลงร้องไห้เงียบๆ ตรงประตูห้องนั่นเอง
ภายในห้อง ปรายดาวนั่งนิ่งราวกับรูปปั้น ดวงตาทอดไปข้างหน้าเหมือนไม่รับรู้อะไรแต่เมื่อนึกถึงคำพุดของเดนนิสที่บอกให้รู้ว่ามีคนจงใจให้เธอตาย น้ำตาปรายดาวก็ค่อยๆ ไหลออกมา จังหวะนั้นเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ปรายดาวเหลือบตามองจึงเห็นชื่อพอลที่โทรเข้ามา ปรายดาวจึงเอื้อมมือไปปิด
พอลกดโทรศัพท์หาปรายดาวอีก แต่มีเพียงสัญญาณให้ฝากข้อความ
“เป็นอะไรกันไปหมด”
พอลบ่นอย่างหงุดหงิด
ปรกเดือนกลับเข้าห้องตัวเองด้วยท่าทางอ่อนระโหยโรยแรง และเมื่อล้มตัวลงนอนน้ำตาก็ไหลพรากออกมา แต่แล้วจู่ๆ ปรกเดือนก็ชะงักรีบลุกขึ้นนั่ง ยกมือจับท้องอย่างไม่แน่ใจ มือปรกเดือนสั่นเทาเมื่อรับรู้ว่าลูกดิ้น สีหน้าปรกเดือนเต็มไปด้วยความตื้นตันใจ
“ลูกแม่ดิ้นแล้ว แม่จะไม่สนใจใครอีกแล้วนอกจากลูกของแม่”
ปรกเดือนลุกขึ้น รีบเดินออกจากห้อง
ปรกเดือนเดินเข้ามาในห้องครัวแล้วชะงักเมื่อเห็นแจ๋วนั่งร้องไห้อยู่
“แจ๋ว” แจ๋วหันกลับมา “เสี่ยเขาก็เป็นอย่างนี้แหละ แจ๋วเองก็เคยเห็นบ่อยๆ”
“แต่แจ๋วไม่เคยโดนกับตัวเองนี่คะ”
“พอโดนเข้าบ้างแล้วเป็นไงล่ะ... ขอข้าวต้มให้ฉันด้วย”
ปรกเดือนบอกแล้วเดินออกไป แจ๋วมองตามอย่างแปลกใจ
ปรกเดือนออกมานั่งรอที่โต๊ะอาหารเพียงไม่นานแจ๋วก็ยกข้าวต้มออกมาวาง ปรกเดือนตักกินด้วยสีหน้าแช่มชื่น แจ๋วยืนมองท่าทางเจริญอาหารนั้นอย่างแปลกใจ ปรกเดือนเหลือบตามองแจ๋วแว่บหนึ่ง
“เสี่ยออกไปแล้วหรือ”
“ค่ะ...” แจ๋วคุกเข่าลง “คุณเดือนคะ แจ๋วขอโทษที่คอยพยายามรายงานเรื่องคุณเดือนให้เสี่ยทราบ”
แจ๋วยกมือไหว้ขอโทษปรกเดือน
“ไม่เป็นไร ฉันรู้ว่าแจ๋วทำตามหน้าที่ขอแค่รายงานตามความเป็นจริง อย่าใส่ไข่ก็แล้วกัน”
“แจ๋วไม่เคยใส่ไข่ เพียงแต่ เอ้อ...อาจจะละเอียดนิดหน่อย” ปรกเดือนนั่งกินข้าวเงียบๆ แจ๋วรีบพูดต่อ “แต่ต่อไปนี้ แจ๋วคงไม่รายงานเสี่ยทุกอย่างแล้ว”
“แจ๋ว”
“คะ”
“ฉันไม่เคยทำผิดคิดชั่วหรือทำอะไรนอกลู่นอกทาง เพราะฉะนั้นแจ๋วรายงานอย่างเดิมได้เลย...ไม่อย่างนั้นแจ๋วอาจจะเดือดร้อน... ข้าวต้มอร่อยจัง”
“อีกชามไหมคะ” แจ๋วถามอย่างกระตือรือร้น
“ดี แต่ไม่ต้องเต็มชามนะ”
“ค่ะ”
แจ๋วรีบไปเอาข้าวต้มมาเติมให้ปรกเดือน ปรกเดือนก้มลงลูบท้องด้วยสีหน้าเป็นสุข
ทางด้านพอลขณะที่พอลนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ที่คอนโด เสียงกริ่งหน้าห้องก็ดังขึ้นพอลลุกเดินไปเปิดประตูแล้วชะงักเมื่อเห็นเดนนิสยืนอยู่
“จะไม่เชิญให้ฉันเข้าไปเรอะ”
“ขอโทษครับ เชิญครับ”
พอลรีบเบี่ยงตัวให้เดนิสเข้ามาภายใน แล้วปิดประตูเดินตาม พอลเดินไปชงกาแฟมาวางให้
“ขอบใจ”
“เสี่ยมีอะไรจะใช้ผม...”
“หมู่นี้ยังไปที่รีสอร์ทสุขศรีตรังนั่นบ่อยหรือเปล่า”
คำถามนี้ทำให้พอลอึ้งไปเล็กน้อย
“ก็ไม่บ่อยครับ”
เดนนิสเอนตัวพิงเก้าอี้ มองพอลตรงๆ
“แกจะทำยังไงกับปรายดาว”
พอลสบตาเดนนิสแน่วแน่
“ผมจะแต่งงานกับเธอตามกำหนด”
“ทั้งๆ ที่แกรักผู้หญิงอีกคนงั้นเรอะ” พอลนิ่ง “พูดตรงๆ นะ ถึงแกจะแต่งงานกับยัยดาวไปก็อยู่กันไม่ยืด”
“ผม...”
“ยัยดาวสวยน่ารักขนาดนั้น รับรองว่าอกหักไม่นานหรอก”
“ผมจะแต่งงานกับดาว และผมจะดูแลเธออย่างดีไปตลอดชีวิตครับ” พอลยืนยัน เดนนิสยักไหล่
“ทำได้ก็ดี ยังมีอีกเรื่อง...”
“ครับ”
เดนนิสลุกเดินไปที่ประตู แล้วหันกลับมาบอก
“ฉันเหม็นหน้าไอ้เตชิตเต็มที แกช่วยเก็บมันหน่อย” พอลอึ้งไป “เท่านี้แหละ”
“ครับ”
“อย่าทำให้ฉันผิดหวังเด็ดขาด”
“ได้ครับ”
เดนนิสออกจากห้องไปแล้ว พอลมีสีหน้ายุ่งยากใจกับคำสั่งของเดนนิส
เตชิตนัดเจอกับธากรณ์ที่วัด เตชิตมาถึงก่อนจึงจอดรถรออยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ จนกระทั่งรถคันหนึ่งแล่นมาจอด ธากรณ์ก้าวลงขากรถพร้อมด้วยแฟ้ม 1 แฟ้ม ธากรณ์เดินตรงมาที่รถเตชิตแล้วเปิดเข้าไปนั่ง
“ได้เรื่องมั้ย”
“รุ่นนี้แล้ว” ธากรณ์ส่งแฟ้มให้เตชิต “รายละเอียดอยู่ในนี้ แต่จะเล่าคร่าวๆ ให้ฟังก่อน...พลตำรวจเอกเพทาย หาญณรงค์ เสียชีวิตพร้อมครอบครัว เมื่อประมาณ 10 ปีก่อน ตำรวจสรุปคดีว่าเป็นการฆ่าตัวตายเพราะควมเครียดหลังจากถูกตั้งคณะกรรมการสอบข้อกล่าวหาว่าทุจริต”
“ทุจริตอะไร”
“ค้ายาเสพติดข้ามชาติกับเดนนิส หยาง หรือไอ้เจ้าเสี่ยเดนนิส ที่แกกำลังติดพันน้องเมียมันอยู่นี่ไง”
เตชิตพยักหน้าช้าๆ
“ฆ่าตัวตายแล้วก็ฆ่าเมีย ฆ่าลูกด้วยเรอะ”
“ไม่ ฆ่าตัวกับฆ่าเมียแล้วก็ลูกสาว ส่วนลูกชายที่ชื่อ เพชร หาญณรงค์เดินทางไปเรียนต่อต่างประเทศก่อนที่เรื่องของพ่อจะแดงขึ้นมา แล้วหลังจากนั้นก็หายสาบสูญไป ซึ่งเราเชื่อกันว่า เพชรกับพอลเป็นคนๆ เดียวกัน”
“ฉันเคยรู้มาว่า หลังจากที่พลตำรวจเอกเพทายกับภรรยาฆ่าตัวตาย ลูกชายซึ่งเป็นทายาทคนเดียวก็ไม่เคยกลับมาจัดการมรดกและฌาปนกิจศพพ่อแม่และน้องสาวเลย แต่10 ปีผ่านไปมันกลับมาในนามของ พอลแถมยังเป็นตำรวจที่แฝงตัวอยู่แก๊งค์ไอ้เดนนิส มันทำให้เราพลาดการจับกุมแก๊งค์นี้หลายครั้ง ... คำถามคือ ... มันเป็นฝ่ายไหนกันแน่”
“ทำไมไม่ถามนายแกล่ะ”
“อย่าว่าอย่างงั้นอย่างงี้เลย ฉันก็ไม่ค่อยไว้ใจผู้กำกับเสนาเหมือนกัน ดูเขาลึกลับยังไงก็ไม่รู้”
“สรุปแล้วไว้ใจใครไม่ได้”
“ใช่ ! พอลหรือเพชรพ่อของมันถูกสอบและถูกกดดันจนต้องฆ่าตัวตาย แถมยังพ่วงฆ่าแม่ ฆ่าน้องสาวอีกด้วย ความแค้นย่อมต้องมีเป็นธรรมดาเลยแฝงตัวเข้ามาเป็นตำรวจ”
“ฟังขึ้นว่ะ”
“หรือไม่มันอาจจะเข้ามาเป็นตำรวจด้วยเจตนาจะกู้ศักดิ์ศรีพ่อคืนมาด้วยการแฝงตัวอยู่ในแก๊งค์ไอ้เดนนิส”
“ฉันเป็นคนมองโลกในแง่บวก ฉันคิดว่าอย่างแรกเป็นไปได้มากกว่า”
“ไอ้บ้า แง่บวกประสาอะไรของแก... สำหรับฉัน ให้ 50...50 ว่ะ”
เตชิตมีสีหน้าลังเลไม่แน่ใจ
ส่วนพอลเขาตัดสินใจเปิดลิ้นชักหยิบปืนออกมาตรวจดูกระสุน สีหน้าพอลดูโหดเหี้ยมเย็นชา เมื่อตรวจกระสุนเสร็จพอลเหน็บไว้ที่ขอบกางเกงด้านหลัง จัดเสื้อทับเรียบร้อยแล้วเดินออกไป

อ่านต่อหน้า 3




 ปางเสน่หา   ตอนที่ 15 (ต่อ) 

พอลเดินมาที่รถ จังหวะนั้นเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น พอลหยิบขึ้นมารับ

“ว่าไงครับ เดือน”
“เดือนมีเรื่องสำคัญอยากจะพบคุณหน่อยค่ะ”
“คุณจะให้ผมไปพบที่ไหน”
“บ้านเดือนก็ได้ค่ะ เสี่ยไม่อยู่”
“เขามาหาผม เพิ่งกลับไปเมื่อครู่ใหญ่ๆ นี่เอง”
“เขาไปทำไมคะ” ปรกเดือนถามอย่างร้อนใจ
“ธุระนิดหน่อย ตกลงให้ผมไปหาที่บ้านใช่ไหม”
“ใช่ค่ะ”
“งั้นเดี๋ยวพบกัน”
พอลขึ้นรถขับออกไป
เตชิตกับธากรณ์ยังคุยกันเรื่องของพอล จู่ๆ ธากรณ์ก็ถามขึ้นมา
“แกจะเอายังไงต่อ”
“ฉันต้องเตือนไอ้ศรี”
“เฮ้ย แกจะเรียกเขาดีๆ หน่อยได้มั้ย น้องศรีเป็นผู้หญิงนะเว้ย”
“มีอยู่ 2 คนที่คิดอย่างนั้น คนแรกคือแก คนที่ 2 คือไอ้พอล”
“ทำไม”
“เพราะมันป้วนเปี้ยนคอยจีบไอ้ศรีอยู่น่ะซิ” ธากรณ์ถึงกับสะดุ้ง
“เฮ้ย”
“ท่าทางเหมือนจะจีบติดด้วย”
“ไม่ได้นะเว้ย น้องศรีน่ะฉันจองแล้ว”
“ไม่ต้องห่วง ถ้าไอ้พอลมันเป็นคนของไอ้เดนนิสจริง ต่อให้รักให้ตายไอ้ศรีมันก็ไม่เอาหรอก ทีนี้ก็เป็นโอกาสของแกที่จะต้องคอยปลอบใจให้ดี”
“งั้นไปกันเดี๋ยวนี้เลย”
“ไปไหน”
“ไปไร่น้องศรี แกขับนำไปเลย”
ธากรณ์รีบลงจากรถเตชิตเดินไปขึ้นรถตัวเอง
ที่บ้านปรกเดือน ขณะนั้นปรายดาวนอนซมอยู่บนเตียง แต่พอเสียงแตรรถดังขึ้นมาปรายดาวก็ลุกขึ้นเสยผม แล้วเดินไปชะโงกดูที่หน้าต่างจึงเห็นพอลขับรถเข้ามา โดยแจ๋วเป็นผู้เปิดประตู
“พี่พอล” ปรายดาวรีบเดินมาที่ประตูแล้วกดล็อค ก่อนจะเดินกลับมานั่งบนเตียง “ถ้าพี่พอลมาแก้ตัว จะพูดยังไงดี”
ปรายดาวพยายามนึกหาคำพูดปฏิเสธพอลเพราะเข้าใจผิดคิดว่าพอลมาหาเธอ
พอลเดินเข้ามาในห้องรับแขกแล้วทรุดตัวลงนั่ง ขณะที่แจ๋วเดินเลยเข้าไปเอาน้ำมาเสิร์ฟ
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
“เรื่องสายเบรครถยัยดาวถูกตัด ที่เดือนเล่าให้ฟังนั่นแหละค่ะ...เสี่ยบอกดาวกลางโต๊ะอาหาร แล้วพูดเหมือนเราคนใดคนหนึ่งหรือทั้ง 2 คนเป็นคนทำ”
“อ้าว! แล้วดาวว่ายังไง”
“ดูท่าทางเหมือนจะเชื่อนะคะ เพราแกฝังใจเรื่องที่ไปพบเราที่รีสอร์ทก่อนที่แกจะขับรถชนต้นไม้ข้างทางจนหมดสติไป”
“แล้วทำไมคุณไม่อธิบาย”
“ยัยดาวยอมฟังเสียที่ไหนล่ะคะ เดือนกลุ้มใจ ทำไมเสี่ยทำอย่างนี้ก็ไม่รู้”
“ก็เพื่อจะได้โยนความผิดมาให้เราไง” ปรกเดือนสะดุ้ง
“หมายความว่า...”
“เขานั่นแหละเป็นคนทำ คุณก็น่าจะรู้นอกจากพยายามจะไม่เชื่อ”
“เดือนไม่อยากเอาอะไรมาสุมหัวแล้ว เดือนจะพยายามคิดถึงแต่ลูกอย่างเดียว ใครจะเข้าใจยังไงก็ตามใจ มันเหนื่อยที่จะต้องคอยตามอธิบายทุกอย่าง”
“ไม่เป็นไร เอาไว้เป็นหน้าที่ของผมเอง”
สีหน้าพอลหนักแน่น ให้ความอุ่นใจ
ทางด้านปราวดาว ขณะนั้นเธอผุดลุกขึ้นมาอย่างหงุดหงิดที่ยังไม่มีใครมาตามสักที
“ทำไมยังไม่มีใคร ...”
ปรายดาวชะงักเหมือนคิดอะไรได้ แล้วรีบลุกเดินไปที่หน้าต่างจึงเห็นปรกเดือนเดินออกมาส่งพอล โดยมีแจ๋วเดินเลยไปเปิดประตู ปรายดาวมองอย่างเจ็บปวด
“ไหนบอกว่าไม่ได้ทรยศไง คนใจร้าย เชื่อไม่ได้เลย”
ปรายดาวมองตามรถพอลแล่นออกไป แล้วเดินกลับมานั่งตามเดิม
อีกด้านหนึ่งที่ไร่สุขศรีตรัง เจนจิราเดินเข้ามาบริเวณที่มีคนงานทำงานกันอยู่
“ฉันวานอะไรหน่อย” เจนจิราบอกกับคนงานคนหนึ่ง
“ได้ครับ”
“ซื้อโทรศัพท์มือถือมาให้ฉันเครื่องนึง เอาราคาธรรมดาไม่ต้องแพงมาก...แล้วนี่ค่าจ้าง”
เจนจิราส่งเงินให้ 2 พัน คนงานตาโต
“โห! ขอบคุณมากครับ”
“ฉันจะรออยู่แถวๆ นี้แหละ”
คนงานเดินไปขึ้นมอเตอร์ไซค์ แล้วขี่ออกไป เจนจิรามองตามอย่างพอใจ
หลังจากได้โทรศัพท์แล้วเจนจิราจึงเดินกลับเข้าบ้าน ขณะนั้นศรีตรังกำลังนั่งทำงานอยู่ ศรีตรังเงยหน้ามองเจนจิรายิ้มแป้นแล้วรีบรายงานก่อน
“เจนออกไปเดินเล่นแถวนี้มาจ้ะศรี...ความจริงในไร่สุขศรีตรังนี้มีวิวสวยๆ เยอะแยะ เจนไม่น่ามองข้ามเล้ย”
ศรีตรังก้มหน้าทำงานต่อ เจนจิราเบ้ปาก แล้วเดินเลยขึ้นข้างบน
เจนจิรากลับเข้าห้องล็อคประตูแล้วรีบล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา เสียบที่ชาร์ตแบ๊ตทันที
“ทีนี้ก็โทรสบายแล้ว”
เจนจิราหยิบหนังสือมานอนเปิดอ่านอย่างสบายอารมณ์
ด้านล้างศรีตรังลุกขึ้นบิดตัวไปมาอย่างเมื่อยขบ จังหวะนั้นเตชิตก็เดินเข้ามา
“ไปเยี่ยมศักดิ์กัน”
“เจ้าคนนี้มันปากแข็งชะมัด”
“คราวนี้ต้องพยายามเปิดปากมันให้ได้”
“ไป”
ทั้งคู่พากันเดินออกไป
“ฉันไม่มีเวลาแล้ว ยังไงต้องเค้นเอาความจริงให้ได้ กุญแจดอกสำคัญของเรื่องนี้อยู่ที่อ้อย” เตชิตบอกกับศรีตรังขณะขับรถไปทัณฑสถาน
“ใช่ อ้อยต้องไปพูดอะไรสักอย่าง ที่ทำให้ศักดิ์ไม่กล้าให้การซัดทอดถึงอ้อย”
“ท่าทางวันนี้จะต้องผิดศีลสักวันแล้ว เอาอย่างนี้นะ”
เตชิตนัดแนะแผนการกับศรีตรัง
ศักดิ์สิทธิ์ทำสีหน้าเบื่อหน่ายเมื่อเตชิตกับศรีตรังมาสอบถามเรื่องเดิมๆ
“เลิกคิดจะกล่อมผมสักทีเถอะ เสียเวลาเปล่าๆ”
“ฉันก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน ที่มานี่ก็แค่จะส่งข่าวนิดหน่อย”
“อ้อยเขาจะย้ายไปอยู่ที่อื่นแล้ว” ศรีตรังบอก ศักดิ์สิทธิ์ถึงกับชะงัก
“ไปอยู่ที่ไหนทำไมเขาไม่บอกผม”
“เขาคงไม่อยากให้ศักดิ์เป็นห่วงมั้ง”
“ไม่ห่วงได้ไง ลูกของผมทั้งคน”
เตชิตและศรีตรังสบตากันแว่บหนึ่ง ในขณะที่ศักดิ์สิทธิ์รู้ตัว นิ่งเงียบไป
“อ้อยท้องเหรอ” เตชิตถามแต่ศักดิ์สิทธิ์นิ่งเงียบไม่ตอบ “ถ้าท้องจริง เขาจะหนีศักดิ์ไปทำไม”
“เขาไม่ได้หนี ผมยืนยันได้ว่าเขาไม่ได้หนีแน่” ศักดิ์สิทธิ์บอก
“ถ้าคิดอย่างนั้นแล้วสบายใจก็คิดไป”
“อ้อยท้องกี่เดือนแล้วล่ะ” ศรีตรังถามแต่ศักดิ์สิทธิ์นิ่งเงียบไม่ตอบ “คงจะท้องอ่อนๆ มั้ง ถึงได้มองไม่เห็นเลย”
ศักดิ์สิทธิ์ยังคงนิ่งเงียบ สีหน้าแววตาสงบราบเรียบไม่ต้องการพูดถึงอีก
เมื่อกลับจากทัณฑสถาน ศรีตรังกับเตชิตจึงบอกจุรีเรื่องที่อ้อยท้อง
“อ้อยน่ะหรือคะ ท้อง” จุรีทำเสียงแปลกใจ
“ค่ะ เห็นศักดิ์บอกอย่างนั้น”
“มันท้องตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ป้าจุลองถามดูก็แล้วกันละครับ”
จุรีมีสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด
“นังอ้อยท้อง”
จุรีแยกจากศรีตรังกลับมาบ้าน ขณะนั้นอ้อยนั่งดูทีวีอยู่อย่างสบายอารมณ์ จุรีเดินเข้ามาพร้อมมะม่วงเปรี้ยว 1 พวง
“มะม่วงเปรี้ยวจี๊ดสะใจเลย” จุรีบอกพร้อมกับวางมะม่วงลง
“แม่กินมะม่วงเปรี้ยวตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ฉันเอามาให้แก”
“โอ้ย เกลียดจะตาย มะม่วงเปรี้ยว”
“ทั้งๆ ที่แกท้องน่ะเรอะ”
“บ้า! ใครบอกแม่ อ้อยไม่ได้...” อ้อยชะงัก “แม่...ศักดิ์บอกแม่เหรอ”
“แกหลอกเขาใช่มั้ย” อ้อยนิ่งไม่ตอบ “ทำไมแกต้องไปหลอกเขาด้วย แกต้องการให้ศักดิ์ปกปิดความจริง...”
“โอ๊ย ไปกันใหญ่แล้ว ความจริงบ้าบอที่ไหน”
อ้อยลุกเดินออกจากบ้านไป
“อะลัดตั๊ดต๊า กลับมาพูดกันให้รู้เรื่องก่อน นังอ้อย” อ้อยไม่ฟัง “โธ่เอ๊ย อ้อยเอ๊ยอ้อย เอ็งทำไปได้ยังไง”

อ่านต่อหน้า 4




 ปางเสน่หา   ตอนที่ 15 (ต่อ) 

ขณะนั้นเตชิตกับศรีตรังจอดรถซ่อนอยู่ที่ทัณฑสถาน ทั้งสองมองไปข้างหน้าแน่วแน่จนกระทั่งเสียงโทรศัพท์ศรีตรังดังขึ้น ศรีตรังกดรับ

“ว่าไงคะป้า”
“มันออกจากไร่ไปแล้วค่ะ แต่ไม่รู้ว่าไปไหน”
“ขอบคุณคะป้า”
ศรีตรังวางโทรศัพท์ลง
“ป้าจุว่าไง” เตชิตถาม
“ถ้าเป็นจริงอย่างที่เราสงสัย...อีกไม่นานอ้อยก็น่าจะมาถึง”
สองคนคุยกันไปพักหนึ่ง รถมอเตอร์ไซค์อ้อยแล่นเข้ามาจอด
“ใช่จริงๆ ด้วย” อ้อยเดินเข้าไปติดต่อ “ให้เวลาเขาสักหน่อย”
อ้อยมาพบศักดิ์สิทธิ์เพื่อซักไซ้ไล่เรียงศักดิ์สิทธิ์
“ศักดิ์บอกอะไรเขาไปบ้าง”
“อ้อยล่ะ จะไปไหนอ้อยจะทิ้งศักดิ์ไปไม่ได้นะ”
“เปล่านี่ อ้อยไม่ได้จะไปไหนสักหน่อย”
“แล้วทำไม นายศรีตรังถึงได้บอกว่าอ้อยจะไปล่ะ” อ้อยถึงกับเซ็ง
“โธ่เอ๊ย ศักดิ์ ศักดิ์ถูกเขาหลอกแล้ว”
“จะหลอกได้ยังไงในเมื่อศักดิ์ไม่ได้บอกเรื่องอ้อยเลย”
“แต่ศักดิ์บอกว่าอ้อยท้องใช่ไหม”
“บอกก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร อ้อยท้องจริงๆ ไม่ใช่เรอะ” อ้อยนั่งกุมขมับ “หรือว่าไม่ได้ท้อง” อ้อยยังอยู่ในท่าเดิม “อ้อย อ้อยท้องหรือเปล่า”
“ท้องหรือไม่ท้องนี่มันหนักอะไรใครนักหนานะ” อ้อยลุกขึ้น
“จะกลับเหรอ”
เตชิตและศรีตรังเดินเข้ามา อ้อยถึงกับตกใจ
“นายศรีตรัง พี่เตชิต”
“มาเยี่ยมศักดิ์หรืออ้อย”
“ค่ะ...เอ้อ อ้อยกลับละ”
“เดี๋ยวซิ บอกความจริงศักดิ์ไป” อ้อยอึกอัก
“บอกไปซิว่าเธอไม่ได้ท้อง”
อ้อยยิ่งหน้าเสีย ขณะที่ศักดิ์สิทธิ์หันขวับมามอง
“หมายความว่ายังไง นี่อ้อยหลอกศักดิ์ใช่ไหม” อ้อยเม้มปาก “อ้อยหลอกศักดิ์ทำไม หลอกศักดิ์ทำไม”
“เพราะฉันไม่อยากติดคุกน่ะซิ ไอ้หน้าโง่”
อ้อยตวาด ศักดิ์สิทธิ์ตกตะลึงขณะที่ศรีตรังและเตชิตโล่งใจ
เตชิตกับศรีตรังกลับมาที่ไร่ จุรีนั่งร้องไห้ท่ามกลางทุกคนที่เห็นใจหลังจากความจริงเปิดเผยว่าอ้อยร่วมมือกับศักดิ์สิทธิ์ฆ่าเกษริน
“อ้อยเอ๊ย ทำไมแม่สอนดีๆ ไม่รู้จักจำ...ลูกหนอลูก”
อ้อยก้มกราบจุรี
“อ้อยผิดไปแล้วจ้ะ แม่! ไม่รู้อะไรมันดลใจให้อ้อยทำอย่างนั้น”
“ฆ่าคนเชียวนะลูกนะ ลำพังจะฆ่ามดสักตัวแม่ยังไม่กล้า นี่มันคนทั้งคนบาปนักหนาเชียวนะลูกเอ๊ย”
“แม่ ... อ้อยกลัว”
“ในเมื่อทำผิดแล้วก็ต้องก้มหน้าก้มตาชดใช้ความผิด ชดใช้กรรมกันไป”
“เรามันก็หัวอกเดียวกันนั่นแหละคุณจุ หัวอกมันกลัดหนอง..จะดีจะชั่วมันก็เป็นลูก ฆ่าไม่ตาย ขายไม่ขาด ลูกถูกขัง มันก็เหมือนเราถูกขังด้วย ลูกฆ่าเขา มันก็เหมือนเราฆ่าเขาด้วย”
จุรีร้องไห้สะอึกสะอื้น อ้อยกอดแม่ไว้
“แม่...แม่อย่าทิ้งอ้อยนะ”
“แม่จะทิ้งแกได้ยังไง”
“ไปได้แล้วอ้อย ตำรวจเขารออยู่”
“อ้อยไปละนะจ้ะแม่ แล้วแม่ไปเยี่ยมอ้อยบ้างนะ”
“เออ”
อ้อยเดินไปโดยมีตำรวจซึ่งยืนอยู่ที่ประตูคุมตัว ศรีตรังกอดจุรีซึ่งร้องไห้เหมือนใจจะขาด ทุกคนต่างมีสีหน้าเศร้าด้วยความเห็นอกเห็นใจจุรี
เจนจิราโทรรายงานเรื่องนี้กับเดนนิส
“วันนี้นังอ้อยถูกจับฐานสมคบกันฆ่าคนตายค่ะ คิดแล้วเสียวไส้ เจนนอนห้องเดียวกับมันตั้งหลายคืนแน่ะ ผู้กองเตชิตมาอำนวยการเองเชียวนะคะ”
“ชื่นชมมันมากละซิ”
“ไม่ได้ขี้เล็บของเสี่ยหรอกค่ะ วันนั้นที่เจนนัดเขาไปเที่ยวก็เพราะน้อยใจเสี่ย”
“ตกลงเธอนัดมันหรือว่ามันนัดเธอกันแน่”
“เขา...เอ๊ย มันนัดเจนซิคะ เจนกำลังเสียใจ น้อยใจก็เลยตัดสินใจไป แต่เจนจะไม่มีวันทำอย่างนั้นอีกเด็ดขาด เจนสาบานเลยค่ะ”
“ไอ้พอลล่ะ เห็นมันอยู่ด้วยหรือเปล่า”
“ไม่นะคะ เสี่ยขา... เมื่อไหร่เสี่ยจะอนุญาตให้เจนได้รับใช้เสี่ยเหมือนเดิมคะ”
“เอาไว้ก่อน แค่นี้ละ”
“ค่ะ เจนรักเสี่ยหลงเสี่ยนะคะ” เจนจิราวางโทรศัพท์ลงด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข “ความสุขสมหวัง กำลังจะกลับมา เป็นของเจนจิราเหมือนเดิมแล้ว”
ศรีตรัง เตชิตและธากรณ์มานั่งกินข้าวกันที่ร้านอาหาร ศรีตรังนั่งเขี่ยข้าวไปมาแล้ววางช้อนส้อมลง
ธากรณ์มองอย่างกังวล
“ไม่อร่อยหรือครับ”
“เปล่าค่ะ แต่ศรีรู้สึกผิดยังไงก็ไม่รู้ที่ทิ้งป้าจุมาในยามที่แกกำลังต้องการคนปลอบโยนอย่างนี้”
“บางทีในเวลาอย่างนี้ป้าจุ อาจจะอยากอยู่คนเดียวก็ได้ อีกอย่างวันนี้กรณ์มันอุตส่าห์มาเช่าโรงแรมอยู่ทั้งวันเพื่อรอเลี้ยงข้าวแก”
“เฮ่ย...เรื่องเล็ก...กรุงเทพปากช่องแค่นี้เอง ให้พี่มาเลี้ยงข้าวน้องศรีทุกวันก็ได้”
เตชิตกระแอม ศรีตรังขยับตัว
“กลับดีกว่าค่ะ ศรีเป็นห่วงป้าจุ”
“ไป”
เตชิตเรียกบริกรมาคิดเงิน
เตชิต ศรีตรังและธากรณ์เดินมาที่รถ
“พี่กรณ์จะกลับกรุงเทพ เลยหรือคะ”
“ครับ... น้องศรีคงไม่รังเกียจถ้าพี่จะมาเยี่ยมอีก”
“อ๋อ ไม่เลยค่ะขอบคุณนะคะ”
ขณะที่กำลังร่ำลากัน เสียงปืนดังขึ้นเตชิตสะดุ้งเฮือกท่ามกลางความตกใจของทุกคน
“เต...พี่กรณ์ ไอ้เตถูกยิง”
“รีบพาไปโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้เลย”
ธากรณ์ขึ้นรถประจำที่คนขับขณะที่ศรีตรังประคองเตชิตขึ้นทางด้านหลัง
พอลขับรถมาเรื่อยๆ แล้วกดโทรศัพท์หาเดนนิส
“ว่าไง”
“เรียบร้อยแล้วครับ”
“คาที่เลยมั้ย”
“ไม่แน่ใจเหมือนกันครับ เพราะเผอิญมีเพื่อนมันมาด้วย”
“แม่เจ้าของไร่นั่นละซิ” เดนนิสถามอย่างหงุดหงิด
“เป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์ไทยก้าวหน้าครับ”
“แล้วทำไมแกถึงไม่รอจนมันอยู่คนเดียวหรือว่าไปในไร่ที่เปลี่ยวๆ หน่อย”
“ผมรู้ว่าเสี่ยใจร้อนครับ แล้วผมก็เหมือนกัน อีกอย่างโอกาสที่มันจะอยู่คนเดียวหรืออยู่ในที่เปลี่ยวคงมีไม่มากนัก เท่าที่รอดูถึงจะรอดแต่ก็ปางตายแหละครับ”
“เออ”
เดนนิสวางโทรศัพท์ลง สีหน้าค่อยคลายความเครียดลง
ที่สถานีตำรวจ เสียงโทรศัพท์เสนาดังขึ้น เสนารีบกดรับ
“ว่าไง เออ...ฉันจัดการเรียบร้อยแล้ว...ระวังตัวดีๆ ล่ะ”
เสนาวางโทรศัพท์ลง สีหน้าโล่งใจ
อีกด้านหนึ่งที่บ้านศรีตรังขณะนั้นทุกคนนั่งคุยกันอย่างเคร่งเครียด จนกระทั่งเจนจิราเดินลงมาจากชั้นบน
“ประชุม ชุมนุมอะไรกันหรือคะ อุ๊ยตาย คุณธากรณ์ สวัสดีค่ะ”
เจนจิรายกมือไหว้ธากรณ์ ธากรณ์รับไหว้
“ด้วยความเคารพ คุณเตชิตถูกยิงครับ”
“ว้าย! แล้วอาการเป็นยังไงบ้างคะ” เจนจิราตกใจ ทุกคนนิ่งกันไป “ศรีขา ศรีตอบเจนมาซิคะว่าอาการเป็นยังไงบ้าง”
ศรีตรังไม่ตอบ ขึ้นบันไดไปเงียบๆ
“ผมไปก่อนละนะครับ ถ้ามีอะไรก็โทรบอกผมด้วย ผมจะยังไม่กลับกรุงเทพ”
“คุณธากรณ์มาพักด้วยกันดีไหมครับ” พงษ์ศักดิ์ชวน
“ไม่เป็นไรครับ ผมอยู่โรงแรมสะดวกกว่าเพราะต้องทำงานด้วย”
“ถ้าอย่างนั้นก็เชิญเถอะครับ”
“สวัสดีครับ”
ธากรณ์ไหว้สมและพงษ์ศักดิ์ แล้วพยักหน้ากับตรีทศ
“แหม คุณธากรณ์น่าจะค้างที่นี่ เจนจะได้ Update ชีวิตเจนให้ไปลงหน้าบันเทิง”
“เอาไว้วันหลังผมส่งนักข่าวมาดีกว่า”
ธากรณ์เดินออกไป เจนจิรารีบตาม
“เจนเดินไปส่งที่รถค่ะ”
ธากรณ์กับเจนจิราเดินออกไปด้วยกัน
“ทำไมคุณเจนจิราถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะครับ พวกแฟนคลับถามหากันวุ่นวายไปหมด” ธากรณ์ถามเมื่อเดินมาถึงรถ
“อ๋อ เจนมีปัญหาส่วนตัวบางอย่างค่ะ แต่รับรองว่าไม่ใช่แอบมาคลอดลูกหรือวิวาห์สายฟ้าแล่บเด็ดขาด แต่อีกไม่นานก็คงจะได้กลับไปแล้ว...คุณธากรณ์อย่าลืมให้ลูกน้องมาทำข่าวเจนนะคะ”
“แน่นอนครับ! คุณเจนมีแฟนคลับมากมายอยู่แล้ว ผมไปก่อนละครับ”
“สวัสดีค่ะ”
ธากรณ์ขึ้นรถขับออกไป เจนจิรายืนเอียงคอโบกมือไปมาแล้วจึงเดินกลับเข้าบ้าน
เจนจิรากลับเข้าห้องล็อคประตูแล้วโทรหาเดนนิสทันที
“เสี่ยขา...เจนมีเรื่องด่วนเรื่องใหญ่จะรายงานค่ะ ผู้กองเตชิตถูกยิงอาการคงจะหนักมาก เพราะคนที่นี่เครียดกันน่าดู ทางคุณธากรณ์ก็มาทำข่าวเองด้วย”
เดนนิสหัวเราะชอบใจ
“เสี่ยคะ”
“ฉันรู้ก่อนเธอเสียอีก”
“เสี่ย...หมายความว่า ...”
“แค่นี้แหละ”
เดนนิสวางโทรศัพท์ลง สีหน้ายังมีรอยยิ้มชอบอกชอบใจ
ทางด้านปรายดาว กลางดึกคืนนั้นขณะที่ปรายดาวนอนหลับสนิท จู่ๆ ก็เหมือนมีใครคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้อง ใครคนนั้นเดินช้าๆ มาถึงเตียงแล้วทรุดตัวลงนั่งจนเตียงยุบ ปรายดาวลืมตาขึ้นด้วยความตกใจและระแวง ปรายดาวค่อยๆ เบือนหน้ากลับมาแล้วสะดุ้งเฮือกผุดลุกขึ้นนั่งเมื่อเห็นเกษรินแต่งตัวสวย หน้าตายิ้มแย้มนั่งอยู่
“คะ...คะ...คุณเป็นใคร เข้ามาได้ยังไง”
“ฉันมาลา”
“มาลา”
เกษรินพยักหน้า
“ใช่...แล้วก็มาขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง”
“ฉัน...ฉัน...ไม่รู้จักคุณ”
“เธอรู้...ฉันขออวยพรให้เธอสมปรารถนาโดยเฉพาะความรัก ...ฉันหมดห่วง ...หมดกังวลแล้ว”
เกษรินเลือนหายไป ปรายดาวสะดุ้งตกใจตื่นแล้วลุกขึ้นมองจุดที่เกษรินนั่งอยู่ ซึ่งว่างเปล่าไม่มีใคร
ปรายดาวค่อยๆ ผ่อนลมหายใจยาว
ส่วนที่ไร่สุขศรีตรัง ขณะที่ศรีตรังกำลังนอนหลับสนิทเธอก็ฝันว่าตัวเองกำลังเดินอยู่ในรีสอร์ท ศรีตรังเดินมาเรื่อยๆ จนกระทั่งเห็นใครคนหนึ่งยืนอยู่ข้างหน้า
“นั่นใคร” ร่างนั้นยังคงยืนนิ่ง ศรีตรังเดินเข้าไปใกล้ “มาหาใครคะ” ร่างนั้นหันกลับมาช้าๆ เป็นเกษรินหน้าตายิ้มแย้ม “ธะ...ธะ...เธอ เธอนั่นเอง”
เกษรินยิ้มให้ศรีตรัง
“ฉันมาลาแล้วก็มาขอบคุณ”
“มะ...มะ...ไม่...ไม่เป็นไร”
“ขอให้เธอสมหวังในความรัก”
“ขะ...ขะ...ขอบ...ขอบคุณ”
เกษรินสูดลมหายใจยาวแล้วเลือนหายไป
ศรีตรังสะดุ้งตกใจตื่น มองไปโดยรอบแล้วถอนใจเฮือก
“ค่อยยังชั่ว”
ศรีตรังชะงักเมื่อมองไปที่ปลายเท้าแล้วเห็นเศษใบไม้และฝุ่นติดมา ศรีตรังเบิกตากว้างมองไปโดยรอบแล้วดึงผ้าคลุมโปง
อีกด้านหนึ่งที่บ้านตรีทศ ขณะนั้นตรีทศนั่งดูทีวีอยู่ในห้องเป็นหนังผีและหมากำลังหอน ตรีทศปิดทีวี แต่เสียงหมาหอนก็ยังอยู่
“มาหอนอะไรป่านนี้”
ตรีทศลุกขึ้นบิดตัวไปมา แล้วเดินไปที่หน้าต่างแล้วหาวนอน ตรีทศต้องหาวค้างเมื่อเห็นเกษรินยืนอยู่ใต้ร่มไม้มองมา ตรีทศยืนตัวแข็งทื่อ
“ไม่ต้องกลัว...เกษแค่มาลา...”
ตรีทศยกมือพนม
“ขอให้เกษไปสู่สุคติ”
“ขอบคุณ”
เกษรินเลือนหายไป
เช้าวันรุ่งขึ้นที่หน้าบ้านศรีตรัง ทุกคนนั่งกินอาหารเช้าและกำลังคุยกันเรื่องเกษริน
“ด้วยความเคารพ แสดงว่าดวงวิญญาณหนูเกษมาลาทุกคน”
“ดีนะครับที่ผมไม่รู้จัก ไม่งั้นคงมาลาผมด้วย” ธากรณ์บอก
“อะลัดตั๊ดต๊า แล้วไปลาคุณเตด้วยหรือเปล่าคะ” ทุกคนรีบแตะปากให้หยุดพูด โดยเฉพาะศรีตรังชี้ไปข้างบน “อุ๊ย ขอโทษค่ะ”
ทุกคนก้มหน้ากินกันเงียบๆ ระมัดระวังตัว
ส่วนที่บ้านปรกเดือน ขณะนั้นปรายดาวเดินเข้ามาในครัว
“แจ๋ว”
“ตื่นแล้วหรือคะ คุณดาว จะทานอะไรดีละ วันนี้”
“น้ำส้มแก้วเดียวก็พอ หนังสือพิมพ์หายไปไหนหมดน่ะ”
แจ๋วหันหลังให้ทันที
“ไม่ทราบค่ะ”
“หรือว่าพี่เดือนเอาขึ้นไปอ่านข้างบน”
“ไม่ทราบซิคะ”
ปรายดาวมองท่าทีแจ๋วอย่างแปลกใจ
“มีอะไรหรือเปล่า”
“ไม่...ไม่มีนี่คะ”
“หนังสือพิมพ์อยู่ที่ไหน”
สีหน้าปรายดาวจริงจัง มองแจ๋วเขม็ง

ปรกเดือนหอบหนังสือพิมพ์เดินทางโน้นทางนี้เพื่อหาที่ซ่อน เสียงเคาะประตูดังขึ้นปรกเดือนสะดุ้ง หนังสือพิมพ์ตกจากอ้อมแขนกระจาย
“พี่เดือนคะ กรุณาเปิดประตูหน่อยค่ะ”
“เดี๋ยวจ้ะ”
ปรกเดือนหันรีหันขวางเอาหนังสือพิมพ์ใส่ตู้ปิดแล้วเดินมาเปิดประตูด้วยสีหน้าแววตาที่ยังมีพิรุธ
“ดาว...เอ้อ...มีธุระอะไรกับพี่หรือจ๊ะ”
“หนังสือพิมพ์หายไปไหนคะ”
“หนังสือพิมพ์ อ๋อ!เขาคงยังไม่มาส่งมั้ง”
“นี่มันอะไรกันนักหนาหรือคะ พี่เดือนถึงต้องปิดดาว” ปรกเดือนนิ่งอึ้ง “พี่เดือนทำกับดาวสารพัด แม้แต่หนังสือพิมพ์ก็ไม่ให้อ่าน...พี่เดือนจะแกล้งดาวไปถึงไหน หรือว่ายังโกรธที่ดาวไม่ตายสมใจพี่เดือนกับพี่พอล”
“ดาว ไม่จริงนะ พี่กับพอลไม่เคยทำร้ายดาว แม้แต่จะคิดก็ไม่เคย”
“ถ้าอย่างนั้นใครเป็นคนทำล่ะคะ”
“พี่ไม่รู้”
“ดาวไม่เชื่อ สำหรับหนังสือพิมพ์ดาวซื้อเองก็ได้”
ปรายดาวเดินออกไป ปรกเดือนเม้มปากแล้วเดินกลับมาเปิดตู้หยิบหนังสือพิมพ์รีบเดินออกไป...ปรกเดือนเดินแกมวิ่งตามปรายดาวมา
“ดาว...เดี๋ยวจ้ะ ...ดาว” ปรกเดือนถลาเกือบหกล้ม แจ๋วเข้ามาพอดี
“อุ๊ย! คุณเดือนขา ระวังหกล้มค่ะ”
ปรายดาวชะงักหันมามอง ปรกเดือนยื่นหนังสือพิมพ์ให้
“พี่เอามาให้แล้ว เอาไปอ่านซิ” ปรายดาวยืนนิ่ง “พี่ขอโทษที่ทำอะไรโง่ๆ เพียงเพราะอยากจะปกป้องดาวเท่านั้น พี่ลืมคิดไปว่าดาวไม่ใช่เด็กเล็กๆ อีกต่อไปแล้ว และหนังสือพิมพ์ก็ไม่ใช่มีเฉพาะที่นี่ที่เดียว”
ปรายดาวรับมาดู แล้วเบิกตากว้าง
“ผู้กองเตชิตถูกยิง”
“อาการค่อนข้างสาหัส”
ปรายดาวเดินมานั่ง
“ทำไมคะ ทำไม”
ปรกเดือนลงนั่งข้างๆ
“พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน”
“ดาวจะไปเยี่ยมเขา”
“พี่ไปเป็นเพื่อน”
“อย่าเลยค่ะ พี่เดือนกำลังท้องกำลังไส้...”
“แต่พี่ไม่ปล่อยให้เธอไปคนเดียวแน่ๆ ชวนพอลไปซิ”
“ไม่ค่ะ”
“พี่รู้ว่าดาวคิดอะไรอยู่ แต่พี่รับประกันได้ว่าเขาไม่มีวันทำร้ายดาวเด็ดขาด”
ปรายดาวมีสีหน้าลังเล
ปรกเดือนตัดสินใจโทรศัพท์หาพอลเองเพื่อขอให้เขาพาปรายดาวไปเยี่ยมเตชิตที่ปากช่อง
“คุณจะให้ผมพาคู่หมั้นไปเยี่ยมผู้ชายอีกคนน่ะเรอะ เดือน”
“ค่ะ แต่เรื่องนั้นไม่สำคัญเท่ากับที่เดือนจะถามคุณว่า เสี่ยเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วยหรือเปล่า”
“ทำไมคุณไม่ถามเขาเอง”
“เพราะเดือนอยากรู้จากปากคุณมากกว่า”
“ผมว่าคุณรู้ดีอยู่แล้ว ...”
พอลวางหูจากปรกเดือนแล้วหยิบกุญแจรถและกระเป๋าสตางค์เดินออกจากห้องไป
พอลไปรับปรายดาวที่บ้าน ขณะนั่งรถมาด้วยกันปรายดาวนั่งเงียบๆ ตามองตรงไปข้างหน้า พอลจึงเป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อน
“รู้หรือเปล่าว่าเขาอยู่โรงพยาบาลไหน”
“ทราบค่ะ...”
พอลมองปรายดาวแว่บหนึ่ง
เมื่อมาถึงโรงพยาบาลพอลกับปรายดาวเดินมาถามที่เคาน์เตอร์
“ขอโทษครับ ร้อยตำรวจเอกเตชิตอยู่ตึกไหน ห้องไหนครับ” เจ้าหน้าที่หันมาปรึกษากันแล้วเจ้าหน้าที่ยกโทรศัพท์ขึ้น พอลและปรายดาวสบตากันงงๆ แว่บหนึ่ง “มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“ทุกคนที่มาเยี่ยมผู้กองเตชิตต้องผ่านคุณศรีตรังค่ะ”
“มาโน่นแล้วค่ะ”
ปรายดาวและพอลหันไปมองจึงเห็นศรีตรังเดินตรงมา ตามด้วยสม ตรีทศและพงษ์ศักดิ์
“ยังกับพวกยากูซ่า”
ปรายดาวยิ้มหวานให้ศรีตรัง
“เรามาขอเยี่ยมผู้กองเตชิตค่ะ”
“เสียใจจริงๆ ค่ะ ตอนนี้คุณหมอยังห้ามเยี่ยม”
“คุณหมอไหนครับ หรือว่าคุณหมอศรีตรัง”
พอลถาม ศรีตรังพยายามสะกดอารมณ์ แล้วสบตาพอลนิ่งเฉย
“ถ้าเป็นคุณหมอศรีตรังละก็ แม้แต่ปากช่อง คุณก็ไม่ได้เข้าค่ะ”
พอลหน้าตึง
“แค่นิดเดียวก็ไม่ได้หรือคะ” ปรายดาวถาม
“อันนี้ฉันก็ไม่ได้เป็นคนตั้งกฏเกณฑ์เสียด้วย”
“ว้า!” ปรายดาวมีสีหน้าผิดหวัง
“เห็นใจจังค่ะ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไง”
“ไหนๆ ก็เสียเวลามาแล้ว จะขออนุญาตไปพักที่รีสอร์ทคุณได้ไหมจะกลับเลยมันก็เหนื่อย” พอลถาม
“นะคะ”
“เห็นกับคุณปรายดาว ตกลงค่ะ”

จบตอนที่ 15



กำลังโหลดความคิดเห็น