หมายเหตุ : เป็นบทโทรทัศน์ตอนล่าสุดจากบริษัทดีด้าฯ
และตรงตามละครออกอากาศทางช่อง 7 สี มากที่สุด
ปางเสน่หา ตอนที่ 11
เมื่อมาถึงโรงพยาบาลเดนนิสกับปรกเดือนเดินเข้ามาในห้องปรายดาว ทั้งคู่เดินมาที่เตียง เดนนิสมองปรายดาวอย่างเพ่งพิศ
“ไม่เปลี่ยนเลยนะ” เสียงหวานเบิกตากว้างด้วยความตกใจกลัว “ยังสวยเหมือนเดิม” ปรกเดือนชำเลืองมองเดนนิสและเม้มปาก “ทำไม ...ฉันจะชมน้องสาวเธอหน่อยได้เรอะ ...ไม่เอาน่า เขาไม่ได้รู้สึกรู้สมอะไรแล้ว อย่าว่าแต่ผู้หญิงที่นอนเป็นผักอย่างนี้เลย แม้แต่ผู้หญิงที่เป็นปกติดีแต่ทำตัวเย็นชา ฉันก็ไม่อยากได้เหมือนกัน”
“งั้นก็เชิญไปอยู่กับเจนจิราซิคะ”
“อย่าเอ่ยถึงนังคนนั้นอีก” ปรกเดือนมองเดนนิสด้วยความแปลกใจ “ฉันเขี่ยมันทิ้งแล้ว และกำลังจะเขี่ยออกไปจากโลกนี้ด้วย”
“เสี่ยจะฆ่าเขาหรือคะ”
“ก็จะเอาไว้ทำอะไรอีกล่ะ ถ้าพบตัวเมื่อไหร่ละก็...”
สีหน้าแววตาเดนนิสดูน่ากลัวจนปรกเดือนต้องกลืนน้ำลายเหมือนนึกสยองแทน ระหว่างนั้นเสียงหวานพยายามจะออกไปให้พ้นร่างแต่ก็ไปไม่ได้
พอลนั่งอ่านหนังสือพิมพ์รอเดนนิสอยู่ที่บ้านปรกเดือนจนกระทั่งเดนนิสกับปรกเดือนกลับจากโรงพยาบาล เดนนิสเดินประคองปรกเดือนเข้ามาโดยปรกเดือนมีสีหน้าท่าทางอึดอัด
“มาตรงเวลาดีมาก”
เดนนิสบอกเมื่อเห็นพอล
“พอเสี่ยโทรไปตาม ผมก็รีบมาทันที”
“แจ๋ว แจ๋ว” แจ๋วรีบออกมา “พาคุณผู้หญิงขึ้นไปพักผ่อน”
“ค่ะ”
“ฉันไปเองก็ได้”
“ไม่ได้ เดี๋ยวตกบันไดไปแล้วจะทำยังไง”
ปรกเดือนมองหน้าเดนนิสเหมือนจะหาความจริงใจ เดนนิสมองสบตาปรกเดือนด้วยสีหน้าที่เดาความรู้สึกไม่ถูก
ปรกเดือนเดินขึ้นบันไดไปโดยมีแจ๋วตามไปด้วย เดนนิสจึงหันมาพูดกับพอล
“ฉันมีงานให้ทำ ใช้ไอ้เฮงไม่ได้เรื่องเลย” พอลมองเดนนิสอย่างตั้งใจฟัง “ไปสืบให้ได้ว่า นังเจนจิรามันไปมุดหัวซ่อนตัวอยู่ที่ไหน”
“ครับ”
“ฉันอยากรู้โดยเร็วที่สุด มือขนาดนายนี่ไม่น่าจะเกิน 3 วัน”
“ครับ”
“ขอบใจ”
สีหน้าแววตาพอลดูกังวลลึกๆ
พอแยกจากเดนนิส พอลจึงโทรหาศรีตรังให้พาเจนจิราไปหลบที่อื่นจากนั้นพอลก็รีบมาหาศรีตรังที่บ้าน
“คุณพาเจนจิราไปไว้ที่ไหน”
“ทำไม คิดถึงหรือ”
“ถ้าคิดถึง ผมจะโทรมาบอกให้คุณพาไปไว้ที่อื่นก่อนทำไม”
“ก็ใครจะไปรู้ล่ะ”
“เดนนิสให้ผมสืบหาที่ซ่อนตัวของเจนจิรา”
“เฮ้ย”
“ผมจะพาเขาไปอยู่ที่อื่น คุณจะได้ไม่ต้องเดือดร้อน"
“ไปอยู่ไหนก็ต้องถูกตามล่าเหมือนกันนั่นแหละ”
“คุณโดนมามากพอแล้ว ผมจะไม่ยอมให้คุณต้องเดือดร้อนอีก”
“ฉันเดือดร้อนจนชิน”
“ศรีตรัง ...”
“ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ให้เจนจิราอยู่ที่นี่แหละ”
“ไม่ได้...ผมจะปรึกษาผู้กำกับดู แต่ระหว่างนี้อยากให้คุณระวังตัวด้วย แล้วก็อย่าให้เจนจิราออกไปข้างนอกเด็ดขาด”
“รู้แล้วล่ะน่า”
ศรีตรังทำท่าเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง
“มีอะไรหรือ”
“เปล่า”
“แต่ผมว่าคุณมีอะไรจะพูดกับผม”
“เอาไว้ถึงเวลาก่อน แล้วก็หวังว่าคุณจะตอบฉันตามความจริงทุกอย่าง”
สีหน้าศรีตรังเอาจริงเอาจัง
ขณะนั้นเจนจิราอยู่ที่รีสอร์ทตรงที่ถูกไฟไหม้ เจนจิรายืนท้าวสะเอวมองคนงานที่กำลังเก็บซากปรักหักพังด้วยสีหน้าครุ่นคิด
“เจ๊งหมดเลยละค่ะ” อ้อยบอก
“แล้วจับได้หรือยังว่าใครวางเพลิง”
“จะจับได้ยังไงล่ะคะในเมื่อไม่มีร่องรอยซักนิด” อ้อยมองซ้ายมองขวาแล้วลดเสียงลง “แต่อ้อยน่ะสงสัยอยู่คนนึงค่ะ”
“ใคร”
“ก็คนที่เคยมากับแฟนพี่เจนไงคะ คนที่ตัวใหญ่ๆ หล่อๆ แต่ไม่ใช่ผิวขาวนะคะ...มีหล่อสองคน ขาวกับดำ เขามาตีสนิทอ้อย” เจนจิรานิ่วหน้า “อ้อยมาแน่ใจว่าอาจจะเป็นพวกแฟนพี่ก็อีตอนที่เห็นรูปเขาถูกยิงตายในหนังสือพิมพ์นี่แหละคะ”
“แล้วเสี่ยเขามีความแค้นอะไรกับคนที่นี่”
“อันนี้แหละค่ะ ที่อ้อยยังขบไม่แตก อ้อยต้องไปธุระละค่ะ”
“ธุระอะไร”
“ไปหาหมอผี”
เจนจิราสะดุ้งแล้วขอตามอ้อยไปด้วย อ้อยขับรถด้วยสีหน้ากังวล
“ถ้านายศรีตรังรู้ว่าอ้อยพาพี่เจนมาด้วย มีหวังโดนด่าเปิง”
“ก็จะไปบอกให้เขารู้ทำไมล่ะ อีกอย่างฉันก็ใส่แว่นดำ โพกหัวยังงี้ ไม่มีใครจำได้ร้อก”
อ้อยเหลือบมองเจนจิราแว่บหนึ่ง อย่างไม่ค่อยจะเชื่อใจ
อ้อยพาเจนจิรามาที่ออฟฟิศหมอปี หมอผีจ้องมองเจนจิราครู่หนึ่ง แล้วตบเข่าฉาด
“นี่มันศิลปินดารานี่หว่า”
“ลุงหมอจำได้หรือจ๊ะ”
“ก็แต่งตัวสวยเว่อร์แบบนี้ใครจะจำไม่ได้ ว่าแต่ทำยังไงลุงถึงจะเข้าวงการได้มั่งล่ะ”
“โอ๊ย เป็นหมอผีแบบนี้ก็ดีแล้วลุง”
“อย่าสอดได้มั้ย ข้าพูดกับเชียร์ฑิฆัมพร ไม่ได้พูดกับเอ็งนะเว้ยเฮ้ย”
เจนจิรานึกฉุน
“ชอ ...เชียร์ ... ฑิฆัมพง ...ทิฆัมพรที่ไหน ฉันชื่อเจน ...เจนจิรา”
“ไม่เคยได้ยิน”
“โง่ คับแคบ กบในกะลา วิสัยทัศน์สั้น...อัลไซเมอร์ ...”
เจนจิราด่าเป็นชุดจนหมอผีฉุนจัด
“โว้ย” เจนจิราและอ้อยสะดุ้งเฮือก “แกไม่ดังเอง แล้วมาหาว่าข้าโง่ แหม มันน่าเสกควายธนู ...”
“ขอโทษจ้ะ ...ลุงหมอ...หนูขอโทษแทนเพื่อนด้วย พี่เจน...ช่วยออกไปรอข้างนอกหน่อยได้ไหม” อ้อยรีบไกล่เกลี่ย
“ก็ไม่ได้อยากอยู่นักหรอก”
เจนจิราเดินออกไป
“ทีหน้าทีหลังเอ็งอย่าพานังคนนี้มาอีกนะโว้ย หน๊อยแน่ะ คิดจะเอาความสวยมายั่วยวนทำให้ข้าตบะแตก ไม่สำเร็จร้อก เฮ่อ! ข้าปฏิเสธมาแล้วกี่คนเอ็งรู้มั้ยผู้หญิงครึ่งค่อนประเทศต้องอกหกเพราะข้า”
หมอผีตะโกนให้เจนจิราได้ยิน อ้อยเหลือบตามองเพดานอย่างนึกเซ็ง
เจนจิราเดินหงุดหงิดออกมาริมถนน
“ทุเรศ ทุเรศที่สุด สกปรกซกมกแล้วยังปากเน่าปากหนอน”
ขณะนั้นมีรถตู้คันหนึ่งแล่นผ่านไป แล้วถอยกลับมาจอดเลยเจนจิราเล็กน้อย เจนจิราหันหลังกลับทันทีเพราะรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ประตูรถตูเปิดนักท่องเที่ยวกรูกันลงมา
“เจน...เจนจิรา ใช่มั้ยคะ”
“ขอถ่ายรูปหน่อยค่ะ”
“พี่มาทำอะไรแถวนี้คะ”
เจนจิราต้องถ่ายรูปกับคนโน้นที คนนี้ทีวุ่นวายไปหมด
ช่วงเวลาเดียวกันนั้นที่ออฟฟิศหมอผี หมอผีส่งกระดาษแผ่นหนึ่งให้อ้อย
“นี่เป็น List สิ่งของที่ข้าต้องใช้ในพิธี เกินได้แต่อย่าให้ขาด”
“อ้อยจะไปซื้อเดี๋ยวนี้เลย ว่าแต่สำเร็จแน่นะ”
“เอ๊ะ นังคนนี้” อ้อยหน้าเจื่อน “ใครจะไปรู้ว่าจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ”
“อ้าว”
“สิ่งที่แน่นอนที่สุดในโลกก็คือความไม่แน่นอน” อ้อยนั่งมองเหวอๆ “มีกระดาษปากกาหรือเปล่า”
อ้อยรีบเปิดกระเป๋า
“มีจ้ะมี” อ้อยหยิบปากกาออกมาส่งให้ “นี่จ้ะ”
“เอามาให้ข้าทำไม จดซิเว้ยเฮ้ย จด จด นานๆ ทีข้าจะหลุดปรัชญาชีวิตอันคมคายออกมา ได้ยินแล้วต้องรีบจดไว้เป็นสิริมงคล”
อ้อยก้มลงจดด้วยสีหน้าเซ็งๆ
พอเสร็จธุระกับหมอผีแล้วอ้อยจึงขับรถออกจากออฟฟิศหมอผีด้วยสีหน้าเซ็งๆ
“รู้งี้ไม่ยักกะมาด้วยร้อก” เจนจิราบอก
“อ้อยก็บอกแล้ว เดี๋ยวตอนอ้อยไปซื้อของพี่ก็นั่งรออยู่ในรถละกัน”
“ไปส่งฉันก่อนไม่ได้เรอะ”
“ไม่ได้ เพราะอ้อยต้องเสียเวลาย้อนไปย้อนมา อ้อยจะซื้อแป๊บเดียวเอง”
เจนจิราเมินมองไปอีกทางอย่างหงุดหงิด
เมื่อซื้อของเสร็จแล้วอ้อยกลับบ้านศรีตรัง
“เชิญค่ะ” อ้อยบอกเมื่อขับรถมาจอดหน้าบ้าน เจนจิราเปิดประตูลงไปอย่างหงุดหงิดแล้วสะบัดหน้าเข้าบ้าน
“ว่าตัวเองร้ายแล้ว มาเจอยัยนี่ชิดซ้ายตกขอบเลย”
อ้อยบ่นแล้วขับรถต่อไปที่บ้าน
ทางด้านเตชิตหลังจากออกจากโรงพยาบาล เตชิตกลับบ้านด้วยสีหน้าเคร่งเครียดโดยมีธากรณ์ช่วยถือของเข้ามาส่ง
พอเข้ามาในบ้านตชิตมองหาเสียงหวานแต่ก็ไม่เจอ ธากรณ์มองเตชิตอย่างแปลกใจ เตชิตเดินมองหาตามมุมต่างๆ ธากรณ์มองอาการของเตชิตอย่างงงๆ
“รึว่ามันอยู่โรงพยาบาลนานไปหว่า”
เตชิตเดินไปชะโงกมองข้างบน แล้วเดินขึ้นไป ธากรณ์วางของแล้วรีบตาม
เมื่อขึ้นมาชั้นบนเตชิตกวาดตามองไปรอบๆ ธากรณ์รีบหลบวูบไม่ให้ขวางหูขวางตาเตชิต เตชิตเดินไปที่ประตูแล้ว
เปิดผลั๊วะเข้าไป ธากรณ์เกาหัวตามเข้าไป
เตชิตเข้ามาในห้องแล้วกวาดตามองหาโดยรอบ ธากรณ์คอยหลบๆ เลี่ยง ๆ ไม่ให้ขวางหูขวางตาเตชิต แต่แล้วธากรณ์ก็หมดความอดทนจึงถามออกมา
“แกหาอะไรของแกวะ ไอ้เต”
“เปล่า”
“เปล่า”
“เออ”
“นี่แกจะบอกว่าที่แกเหลียวซ้ายแลขวาค้นหาทุกซอกทุกมุมน่ะ ...เป็นการซ้อมท่าทางเก๋ๆ ไว้จับผู้ร้าย”
เตชิตเดินมาทรุดตัวลงนั่ง แล้วมองธากรณ์ด้วยสีหน้าใคร่ครวญอยู่พักหนึ่ง
“ฉันกำลังคิดว่า จะบอกหรือไม่บอกแกดี”
“เอาไว้ ถ้าคิดออกเมื่อไหร่ค่อยโทรหาฉันก็แล้วกัน”
ธากรณ์เดินไปที่ประตู เตชิตจึงตัดสินใจลอกออกมา
“ฉันกำลังหาเสียงหวาน”
“ใครนะ”
“เสียงหวานหรือ อีกนัยหนึ่งปรายดาว ผู้หญิงที่อยู่ในรูปวาดที่ฉันเคยให้แกสืบประวัติ”
“แล้วทำไมเขาถึงจะมาอยู่ที่นี่ ในเมื่อเขาตายไปตั้ง 2 ปีกว่าแล้ว”
“แกไม่เข้าใจ”
“ยอมรับว่าฉันไม่เข้าใจ”
“เสียงหวาน เอ้อ...ปรายดาวยังไม่ตาย เพียงแต่วิญญาณหลุดลอยออกจากร่าง”
“นั่นแหละเขาเรียกว่าตาย”
“มาอยู่ที่นี่” เตชิตบอก ธากรณ์ถึงกับชะงัก มองเตชิตอย่างเพ่งพิศ
“แกหมายถึง...ผี”
“นั่นเลย... ใช่เลย... ฉันนึกแล้วว่าแกต้องเข้าใจอะไรง่ายกว่าทุกๆ คน”
“ฉันเห็นใจแกจริงๆ แต่แกต้องพบจิตแพทย์โดยเร็วที่สุด”
“เฮ้ย ... ฉันไม่ได้บ้า”
“ฉันเชื่อ แกเพียงแต่แค่เพี้ยนๆ ไป”
“เอาอย่างนี้ ฉันนัดไอ้ศรีมาที่นี่เพื่อพาไปพบเสียงหวานที่นอนไม่ได้สติอยู่” เตชิตบอกแล้วดูนาฬิกา “ซึ่งอีกประมาณครึ่งชั่วโมงจะมาถึง”
“โอเค เลย” ธากรณ์รีบบอก
“ขอบใจที่เชื่อฉัน”
“ฉันไม่ได้เชื่อแก ฉันอยากพบน้องศรีตรัง เข้าใจเอาไว้ด้วย”
อีกด้านหนึ่งที่โรงพยาบาลขณะนั้นพอลอยู่ที่ห้องปรายดาวและกำลังยืนท้าวขอบระเบียงมองออกไปข้างนอก ด้วยสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด ประตูห้องปรายดาวเปิดออก พยาบาลที่เช็ดตัวให้ปรายดาวเดินออกมาหาพอล
“เช็ดตัวคนไข้เรียบร้อยแล้วค่ะ”
“ยังมีกระตุกอยู่ไหมครับ”
“มีมากเลยค่ะ”
“ขอบคุณมากครับ”
พอลเดินเข้าห้อง ขณะที่พยาบาลแยกไป
ขณะนั้นเสียงหวานซึ่งซ้อนอยู่ในร่างปรายดาวกำลังดิ้นรนเพื่อออกจากร่างปรายดาว
“ช่วยด้วย ช่วยฉันออกไปที่ ฉันอึดอัดจะแย่อยู่แล้ว”
พอลเดินเข้ามาใกล้แล้วยกมือขึ้นเขี่ยผมที่ติดอยู่ข้างแก้ม พอลชะงักมือค้างเมื่อเห็นสร้อยคอคล้องปรายดาวอยู่
พอลหยิบขึ้นมาดูอย่างเพ่งพิศแล้วรีบเดินออกไป
พอลรีบเดินไปที่เคาน์เตอร์พยาบาล
“ขอโทษครับ ผมอยากสอบถามอะไรหน่อย”
“ได้ค่ะ”
“นอกจากผมและทางครอบครัวของคุณปรายดาวแล้ว มีใครมาเยี่ยมเธออีกไหมครับ”
พยาบาลหันไปสบตากัน
พอลตัดสินใจโทรหาปรกเดือน...โทรศัพท์บนโต๊ะดังขึ้นปรกเดือนเดินมาหยิบรับ
“ฮัลโหล”
“เดือน คุณจำพระเครื่องที่ดาวเคยห้อยคอเป็นประจำมั้ย”
“จำได้ค่ะ มันหายไปตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุ”
“แค่ตอนนี้มันกลับมาอยู่ที่ดาวอย่างเดิมแล้ว”
“จะเป็นไปได้ยังไง”
“เป็นไปแล้วละ”
เมื่อคุยโทรศัพท์กับปรกเดือนเสร็จแล้วพอลจึงเดินกลับเข้ามาในห้อง ขณะนั้นเสียงหวานยังคงร้องและพยายามดิ้นรน
“ช่วยด้วย ช่วยฉันออกไปด้วย” พอลเดินมาใกล้ เสียงหวานหยุดร้องมองสบตาพอลอย่างดีใจเพราะนึกว่าพอลเห็นเธอ “พี่พอล …ช่วยดาวด้วยค่ะ ช่วยดาวด้วย” พอลหยิบสร้อยขึ้นมาพลิกดูอย่างสำรวจตรวจตรา “พี่พอล.... พี่พอลไม่ได้ยิน ไม่ได้เห็นดาว”
พอลเดินกลับไปนั่งด้วยสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด
ที่บ้านปรกเดือนขณะนั้นเดนนิสแวะมาหาปรกเดือนที่บ้าน แจ๋วรีบออกมารับหน้า
“คุณเดือนขึ้นไปข้างบนคะ”
“ขึ้นไปบอกว่าฉันมา”
“ค่ะ”
แจ๋วเดินออกไป โทรศัพท์เดนนิสดังขึ้น เดนนิสหยิบขึ้นมารับ
“ว่าไงเฮง”
“รู้แล้วครับว่าคุณเจนไปอยู่ที่ไหน”
“ที่ไหน”
“ปากช่องครับ วันนี้มีภาพเธอในหนังสือบันเทิง”
“ปากช่อง...ตรงไหนของปากช่อง ...หรือจะเป็นไร่สุขศรีตรัง”
“ไม่ทราบเหมือนกันครับ”
คำตอบนี้ทำให้เดนนิสนึกฉุน
“ไม่ทราบก็ไปสืบมาให้ทราบ”
“ครับผม”
เดนนิสวางโทรศัพท์ แล้วเงยหน้าขึ้นปรกเดือนเดินตรงมา สีหน้าเหมือนมีบางอย่างในใจเดนนิสตบข้างๆ ตัว
“มานั่งนี่ซิ เดือน”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
“ฉันบอกให้มานั่งตรงนี้”
ปรกเดือนเม้มปาก และจำต้องเดินมานั่งข้างเดนนิส
ศรีตรังมาหาเตชิตที่บ้านธากรณ์รีบกุลีกุจอเชิญศรีตรังเข้ามานั่งทันทีที่เธอมาถึง ในขณะที่เตชิตยืนกอดอกมองธากรณ์อย่างเวทนา
“ไอ้กรณ์ เอ๊ย”
“เชิญครับน้องศรีตรัง เชิญนั่งครับ” ธากรณ์มัวแต่มองศรีตรังจึงสะดุดเก้าอี้โครมใหญ่ “โอ๊ย”
“ตายจริง! เจ็บมั้ยค่ะ คุณกรณ์”
“อ๋อ... ไม่เจ็บครับ นิดเดียวก็ไม่มีเจ็บเลย บ้านไอ้เตมันแคบพี่กรณ์เลยเดินสะดุดโน่นสะดุดนี่ ไม่เหมือนบ้านพี่กรณ์ นี่ไม่ได้ยกตนข่มท่านนะครับ แต่บ้านพี่กรณ์น่ะกว้างเป็นไร่จะเดินจะเหินก็แสนสบาย ไม่มีชนอะไรแน่นอน นั่งครับนั่ง”
“ขอบคุณค่ะ”
“แล้วจะรับน้ำอะไรดีครับ...ไอ้เต แกมีไวน์มั้ย”
ธากรณ์หันไปถามเตชิต
“ไม่มี”
“ว้า ยากจนมาบ้านไอ้เตนี่ออกจะกันดารหน่อยนะครับ”
“เราจะไปกันหรือยัง”
“ไปไหนหรือครับ”
“โรงพยาบาลค่ะ”
“โอ๊ะ... ใช่ โรงพยาบาล งั้นไปกันเลยนะครับ น้องศรีนั่งรถพี่ดีกว่า เบาะนุ่มสะอาดสะอ้าน สบายตา สบายใจไฮโซ...”
“ศรีไม่ค่อยชินกับรถไฮโซค่ะ ถนัดแบบโลโซมากกว่า...ไป!ไอ้เต”
ทั้งหมดเดินออกไป
ขณะนั้นพอลอยู่ที่โรงพยาบาล พอลได้รับโทรศัพท์จากเดนนิสจึงเข้ามาหาปรายดาวที่ห้อง เสียงหวานซึ่งซ้อนอยู่ในร่างปรายดาวเบือนหน้ามามองพอล
“ไม่มีใครได้ยินเสียงฉันเลย จะออกก็ออกไปไม่ได้”
“ดาว...พี่ไปก่อนนะ บางทีเย็นๆ อาจจะมาใหม่”
พอลก้มลงจูบหน้าผากปรายดาวแล้วเดินออกไป
ระหว่างนั้นเตชิตกำลังขับรถมาที่โรงพยาบาล โดยมีศรีตรังนั่งคู่ ข้างหลังเป็นธากรณ์
“แปลกนะครับ พอน้องศรีเล่านี่พี่เข้าใจทันทีเลย ไอ้เตมันเล่าเป็นวรรคเป็นเวรฟังเท่าไหร่ก็ไม่ get”
“ไอ้เตมันเป็นคนพูดไม่รู้เรื่องมาแต่ไหนแต่ไรแล้วละค่ะ”
“ไอ้ศรี”
“น้องศรีเธอเป็นสุภาพสตรี แกต้องยกย่องให้เกียรติโดยการพูดเพราะๆ แบบฉันนี่... มึงมาพาโวยแบบแกมันแย่...มันทุเรศ”
“ขอบคุณ คุณธากรณ์มากค่ะที่ตาถึงเห็นว่าศรีเป็นสุภาพสตรี ปกติมีแต่ไอ้พวกตาถั่วอย่างที่เห็นนี่แหละค่ะ”
รถคันหนึ่งขับตัดหน้ารถเตชิตอย่างกระชั้นชิดจนเตชิตต้องเบรคจนตัวโก่ง
“ระวัง” ธากรณ์บอกอย่างตกใจขณะที่ศรีตรังยัวะจัดใส่เป็นชุด
“เอ้ย! ขับรถยังไงวะ บิดามารดาไม่สั่งสอนรึไง นี่เป็นลูกเป็นเต้า แม่ตึ้บแบนแต๊ดแต๋ แล้ว” ธากรณ์กลืนน้ำลาย “มันน่าตบกระโหลกนัก”
“เป็นไง ไอ้คุณกรณ์ เจอสุภาพสตรีเข้าไปเต็มๆ”
เตชิตถาม ธากรณ์ยิ้มแห้งๆ
“น่ารักไปอีกแบบ”
เมื่อมาถึงโรงพยาบาลทั้งสามคนขึ้นลิฟท์มาที่ห้องปรายดาว พอออกจากลิฟท์เตชิตหยุดชะงักไม่เดินต่อจนธากรณ์กับศรีตรังต้องหันมามองอย่างแปลกใจ
“คืองี้ พวกแก 2 คนเข้าไป ส่วนฉันจะรออยู่ที่นี่”
“ทำไม” ธากรณ์กับศรีตรังถามออกมาพร้อมกัน
“คือว่า ฉันเคยมาเยี่ยมปรายดาว แต่พยาบาลคนนึงเข้าใจผิด”
“ว่า...”
“ว่าฉันเป็นโรคจิต”
“เฮ้ย! ฉันว่าพยาบาลคนนี้ตาแหลมว่ะ”
“มั่วๆ ไปด้วยกัน ไม่มีใครสังเกตหรอก แกทำหน้าดีๆ อย่าหื่น”
เตชิตยังลังเล ศรีตรังจึงลากแขนเตชิตเดินไปด้วยกัน
ศรีตรังเปิดประตูห้องปรายดาวเดินเข้ามา ตามด้วยธากรณ์และเตชิต พยาบาลที่ดูแลปรายดาวหันมามอง เตชิตทำหันกลับไปดูโน่นจัดนี่ที่บริเวณมุมวางของขณะที่ศรีตรังทักทายพยาบาลอย่างยิ้มแย้ม
“สวัสดีค่ะ”
พยาบาลยิ้มแย้มแจ่มใสรับไหว้ เสียงหวานพยายามจะลุกขึ้นด้วยความดีใจที่เห็นเตชิต แต่ก็ลุกไม่ได้ ซ้ำเรียกก็ไม่มีใครได้ยิน
“คู่หมั้นเธอเพิ่งกลับไป”
พยาบาลบอก ศรีตรังกับเตชิตเบิกตากว้าง
“คู่หมั้น”
ศรีตรังกับเตชิตอุทานออกมาพร้อมกัน เตชิตรีบหันกลับ
“ค่ะ... คู่หมั้นเธอหล่อมาก...สุภาพ...”
“อ๋อ” ศรีตรังทำพยักเพยิดราวกับรู้จัก “นึกออกแล้วค่ะ ตั้งแต่เพื่อนดิฉันประสบอุบัติเหตุ ก็ไม่ค่อยได้เจอกันดีจังที่ยังอุตสาห์มาเยี่ยม”
“ค่ะ”
พยาบาลยิ้มแล้วเดินออกไป
“ไอ้เต ใครวะเป็นคู่หมั้นคุณหนูเผือกเสียงหวาน” ศรีตรังหันมาถามเตชิต
“ไม่เคยได้ยินเขาพูดถึงเลยนี่ อาจมีการเข้าใจผิดก็ได้”
“เฮ้ย...ฉันว่าอาจจะจริง เพราะคุณหนูเผือกเสียงหวานนางความจำเสื่อม”
ธากรณ์ซึ่งเดินไปมองปรายดาวอย่างเพ่งพิศ หันกลับมาด้วยสีหน้าพิศวง
“เหมือนในรูปเปี๊ยบเลย”
ศรีตรังเดินมาดูปรายดาวบ้าง
“ไม่น่าเชื่อ แล้วตอนนี้คุณหนูเผือกอยู่ในนี้หรือเปล่า”
“อยู่ค่ะ...ฉันอยู่ตรงนี้...ช่วยฉันด้วย”
เสียงหวานบอก แต่เตชิตไม่ได้ยินหันไปมองรอบๆ ห้อง
“ไม่อยู่”
“อยู่ซิค่ะ! อยู่ตรงนี้”
เตชิตหน้าเศร้าลง
“อันที่จริง ฉันไม่เจอเสียงหวานมาตั้งหลายวันแล้ว ไม่รู้เธอหายไปไหน”
“ไปผุดไปเกิดแล้วมั้ง”
“ใช่ น้องศรีพูดมีเหตุผล”
“ไม่! ถ้าจะไปผุดไปเกิดจริงๆ ก็ต้องมาบอกกันก่อนซิ”
“คนจะไปเกิดหรือไปตาย มันห้ามกันได้ที่ไหนฮึ ไอ้เต”
“ฉันรู้จักเสียงหวานดี”
“เขายังไม่รู้จักตัวเขาเลยแล้วนายรู้จักได้ยังไง”
“ขึ้นชื่อว่าผีน่ะส่วนใหญ่ก็มาหลอกคนทั้งนั้น! คุณปรายดาวนี่ถ้าจะนับไปเธอก็เป็นผีชนิดหนึ่ง”
“ไม่จริงค่ะ ฉันยังไม่ตาย แล้วฉันก็ไม่ได้หลอกคุณเตชิต”
เสียงหวานพยายามบอกแต่ไม่มีใครได้ยิน ศรีตรังตบไหล่เตชิต
“ทำใจเถอะว้า ไอ้เต มนุษย์ผู้หญิงจริงๆ มีให้แกรักเยอะแยะไป ตัดอกตัดใจปล่อยคุณหนูเผือกให้แกไปตามทางของแกเถอะ”
เตชิตหน้าเศร้า
“ฉันยังไม่ได้ไปไหน ฉันยังอยู่ที่นี่ ทำไมคุณเตชิตไม่ได้ยินฉัน คุณเตชิตฉันอยู่ที่นี่ค่ะ ฉันไม่ได้จากคุณไปไหน”
เตชิตมองปรายดาวหน้าเศร้าสุดๆ
อ่านต่อหน้า 2
หมายเหตุ : เป็นบทโทรทัศน์ตอนล่าสุดจากบริษัทดีด้าฯ
และตรงตามละครออกอากาศทางช่อง 7 สี มากที่สุด
ปางเสน่หา ตอนที่ 11 (ต่อ)
เช้าวันรุ่งขึ้นเดนนิสและปรกเดือนกำลังคุยกันด้วยเรื่องสบายๆ เฮงเดินเข้ามาหาเดนนิสพร้อมกับส่งหนังสือพิมพ์บันเทิงให้อย่างนอบน้อม แล้วถอยไปยืนประสานมือห่างเดนนิสไม่มากนัก
“ข่าวคืบหน้าเรื่องคุณเจนจิราครับ”
เฮงบอก ปรกเดือนขยับตัวจะลุกขึ้น
“ไม่ต้องไปไหนหรอก ฉันไม่ได้ให้ไปตามมันกลับมา”
“เดือนจะไปพักผ่อนน่ะค่ะ”
“เฮ่ย! อุดอู้อยู่แต่ในบ้านทั้งวัน อยู่นี่แหละ”
ปรกเดือนจำใจนั่งลง เดนนิสเปิดหนังสือพิมพ์ดู ไล่สายตาเลยเรื่อยไปจนเห็นภาพเจนจิราอยู่ท่ามกลางแฟนคลับ
“ปากช่อง มันไปทำอะไรที่ปากช่อง” เดนนิสพึมพำออกมา
“คิดว่าไอ้ผู้กองคงจะเอาไปฝากแฟนมันที่ไร่สุขศรีตรังครับ”
“แล้วแฟนมันก็โง่รับฝาก แถมไม่เข็ดเสียด้วย...คราวที่แล้วเผาไร่ คราวนี้จะเอาไงดี”
ปรกเดือนเม้มปาก สีหน้าสลดหดหู่
“เผาตัวมันเลยดีมั้ยครับ”
เดนนิสหัวเราะ
“เข้าท่า”
ปรกเดือนรีบลุกเดินออกไปทันที เดนนิสมองตาม
ปรกเดือนกลับมาที่ห้องทรุดตัวลงนั่ง นิ่งคิดครู่หนึ่งแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดหาพอล
“ครับเดือน”
“เดี๋ยวฉันจะไปเยี่ยมยัยดาว คุณไปพบฉันที่นั่นหน่อยได้ไหมค่ะ”
“ได้เลยครับ”
“ขอบคุณค่ะ”
ปรกเดือนวางโทรศัพท์ลงสีหน้ายังไม่คลายกังวล
ส่วนที่ห้องรับแขกขณะนั้นเดนนิสลุกขึ้น บิดตัวเล็กน้อย
“ไปทำตามนี้ก็แล้วกัน อย่าให้เหลวล่ะ”
“ครับ”
เฮงเดินออกไป
เดนนิสกลับขึ้นห้องขณะนั้นปรกเดือนกำลังแต่งหน้าเตรียมออกไปข้างนอก
“จะไปเยี่ยมดาวหรือ”
“ค่ะ เสี่ยจะไปด้วยมั้ยค่ะ”
“ไม่ล่ะ..เดี๋ยวจะเข้าฟิตเนสสักหน่อย รู้สึกว่าพุงชักจะเริ่มอืดๆ แล้ว”
“งั้นเดือนไปละค่ะ”
เดนนิสพยักหน้า ปรกเดือนหยิบมือถือใส่กระเป๋าแล้วเดินออกไป เดนนิสมองตามด้วยสีหน้าครุ่นคิด
ส่วนที่โรงพยาบาลประตูห้องปรายดาวเปิดออก พอลเดินเข้ามา เสียงหวานพลิกหน้ามามอง พอลเดินเข้ามาหาปรายดาวแล้วก้มลงจูบหน้าผากปรายดาวอย่างอ่อนโยน เสียงหวานเหลือบตามองตามไปจนพอลทรุดตังลงนั่ง พอลนิ่งมองเสียงครู่หนึ่งแล้วลุกขึ้นเดินมาที่เตียงพอลหยิบหมอนขึ้นมาเสียงเหลือกตามอง พอลเอาหมอนลงมองดูจากสายตาเสียงหวานเหมือนพอลจะเอาหมอนกดหน้าเสียงหวานจึงหลับตากรี๊ดร้องลั่น แต่พอลกับเอาหมอนนั้นมาจัดวางแขนให้ปรายดาวนอนสบาย เสียงหวานถอนใจอย่างโล่ง พอลจัดวางหมอนให้จนเรียบร้อยแล้วเดินมานั่งที่โซฟา
เดนนิสรอจนปรกเดือนออกจากบ้านไปแล้วจึงก้าวขึ้นรถการ์ดที่เปิดประตูให้ปิดประตูแล้วขึ้นนั่งคู่คนขับ
“ไปโรงพยาบาล”
“ครับ”
คนรถขับออกไป
เมื่อปรกเดือนมาถึงโรงพยาบาลเธอเปิดประตูห้องปรายดาวเข้ามา พอลลุกขึ้นยืนเดินมารับปรกเดือน ปรกเดือนเดินมาที่เตียงแล้วเสยผมปรายดาวอย่างอ่อนโยน
“เมื่อไหร่ดาวจะตื่นมาเสียที พี่รอดาวมา 2 ปีกว่าแล้วนะ”
“ก็ตื่นอยู่นี่ไงคะ แต่ทำไมไม่มีใครได้ยินเสียงดาวเลย”
เสียงหวานบอกแต่ไม่มีใครได้ยิน พอลโอบไหล่ปรกเดือน
“เขาอาจจะฟื้นหรือไม่ฟื้นก็ได้ เราต้องทำใจ”
ปรกเดือนถอนใจยาวแล้วหันมา
“ฉันมีเรื่องจะเล่าให้คุณฟัง” พอลแตะไหล่ปรกเดือนมานั่งที่โซฟา “เดนนิสสั่งเฮงไปฆ่าศรีตรัง” พอลชะงัก เช่นเดียวกับเสียงหวานที่อ้าปากค้าง ปรกเดือนน้ำตาคลอ “เขารู้ว่าศรีตรังให้ที่พักเจนจิรา”
“ รู้ได้ยังไง”
พอลถามหน้าเครียด
“เฮงเอาหนังสือบันเทิงดารามาให้ดู เป็นภาพเจนจิราถ่ายรูปกับแฟนคลับที่ปากช่อง เสี่ยก็เลยปะติดปะต่อเอาเองว่าเจนจิราต้องอยู่ที่นั่น” ปรกเดือนยิ่งพูดน้ำตายิ่งไหล พอลขบกรามแน่น ปรกเดือนเอนไหล่พิงพอล “ ทำไมเขาถึงได้ใจดำมหิตขนาดนี้ ...ไม่เกรงกลัวบาปบุญคุณโทษเลยสักนิด” พอลโอบกอดปรกเดือนไว้อย่างปลอบโยน “เดือนจะทำยังไงดี เดือน...”
“นี่มันโรงพยาบาลไม่ใช่โรงแรม”
เสียงเดนนิสดังขึ้นพอลกับปรกเดือนถึงกับสะดุ้ง พอลยังไม่ปล่อยปรกเดือนราวกับจะแสดงความบริสุทธิ์ใจ
“เสี่ยกำลังเข้าใจผิด” พอลบอก
“เอามือของแกออกไหล่เมียฉัน”
“เดือนเป็นห่วงเสี่ย”
พอลบอก เดนนิสแค่นหัวเราะเยาะ
“ก็เลยหลบมากอดกับแกงั้นซิ”
“คุณดูถูกเดือนมากไปแล้ว”
“จะดูผิดได้ยังไง ในเมื่อฉันเห็นเต็ม 2 ตา”
“ช่างเถอะค่ะ พอลไม่ต้องไปเสียเวลาอธิบายหรอก ถ้าคนมันจะไม่ยอมเข้าใจ ต่อให้อธิบายจนคอแตกตายมันก็ไม่เข้าใจ เดือนกลับละค่ะ”
ปรกเดือนหยิบกระเป๋าเดินออกไป พอลขยับจะตาม เดนนิสกระชากพอลมาต่อยจนเซถลา
“ไม่ต้องไป”
เดนนิสเดินออกไป พอลจับแผลเลือดซึมที่มุมปาก พอลเดินกลับมานั่งขณะที่เสียงหวานอ้าปากค้างด้วยความตกใจตั้งแต่เดนนิสเข้ามาแล้ว
“ไม่เป็นไรค่ะพี่พอล หากดาวฟื้น ดาวจะเป็นพยานให้อย่าเสียใจนะคะ”
พอลเอนตัวลงนอนก่ายหน้าผาก เสียงหวานเบือนหน้ามามองอย่างเห็นอกเห็นใจ
ขณะนั้นเตชิตและศรีตรังเดินคุยกันมาตามทางเดินในโรงพยาบาล
“ไอ้เตเอ๊ย รักใครไม่รัก ดันไปรักผี”
“ก็ผู้หญิงที่ฉันใกล้ชิดด้วยมีแค่ 2 คนคือแกกับผี ซึ่งฉันคิดว่าฉันน่าจะรักผีมากกว่า”
ศรีตรังหยุดเดินทันที
“ไอ้บ้า รู้งี้ฉันไม่มาด้วยหรอก”
ขณะที่สองคนเดินคุยกันมาเดนนิสและปรกเดือนเดินออกมา ปรกเดือนเดินจ้ำนำหน้า เดนนิสพยายามตามง้อ
“เฮ้ย เฮ้ย ดูโน่น”
เตชิตมองตามที่ศรีตรังบอก
“ไอ้เดนนิสกับเมียมัน”
เดนนิสและปรกเดือนไม่ได้มองมา เพราะมัวแต่ทะเลาะกัน ศรีตรังและเตชิตหยุดมอง
“แกว่าคุณนายปรกเดือนจะรู้มั้ยว่าสามีตัวเองรวยเพราะอะไร”
“ผัวเมียนอนเตียงเดียวกัน มันก็ต้องรู้บ้างแหละน่า”
“เท่าที่เห็น ฉันว่าแกดูซื่อๆ”
“เคยได้ยินมั้ยที่โบราณว่า “หน้าซื่อใจคด” ไป๊”
ทั้งคู่เดินกันต่อ
ขณะนั้นพอลยังนอนก่ายหน้าผากหลับตาอยู่บนโซฟา ประตูห้องปรายดาวค่อยๆ แง้มออก แล้วศรีตรังฃก็โผล่หน้าเข้ามา
“คุณศรีตรัง ฉันอยู่นี่ค่ะ”
เสียงหวานร้องเรียกเมื่อเห็นศรีตรัง ศรีตรังกวาดตามองแว่บหนึ่งเห็นพอลนอนอยู่ ก็เบิกตากว้างด้วยความตกใจแล้วรีบผลุบออกไป
ศรีตรังปิดประตู คว้าแขนเตชิตเดินออกไปทันที
“ไป”
เตชิตขืนตัวไว้
“เฮ้ย ฉันยังไม่ได้เข้าไปเยี่ยมเลยนะเว้ย”
“ก็ฉันเข้าไปเยี่ยมให้แล้ว”
“โผล่หัวเข้าไปแว่บเดียวเนี่ยนะ”
“เออ แค่นี้พอแล้ว ถึงเข้าไปแกก็คุยกับคุณหนูเผือกไม่ได้ ดีไม่ดีพยาบาลเข้ามาเห็นจะคิดว่านอกจากแกจะเป็นโรคจิตแล้วแกยังเป็นบ้าอีก ไป...ไป๊”
ศรีตรังลากแขนเตชิตออกไป เตชิตสะบัดแขนออก
“แกเป็นอะไรวะ ไอ้ศรีอุตส่าห์มาจนถึงที่แล้ว”
พยาบาลเดินผ่านมาแล้วชะงัก เดินย้อนมาอีก คราวนี้เตชิตเป็นฝ่ายดึงแขนศรีตรัง
“ไป”
“เฮ้ย อะไรวะ”
“แกบอกให้ไป ฉันก็ไปแล้วไง”
เตชิตรีบลากแขนศรีตรังออกมา
เตชิตกับศรีตรังกลับมาบ้าน พอเข้ามาในบ้านทั้งคู่ต่างคนต่างนั่งด้วยอิริยาบถเดียวกัน
“ถามจริง เมื่อกี้ทำไมแกถึงไม่เข้าไป” เตชิตถามขึ้นมา
“แกอย่ารู้เลย”
“ยิ่งพูดแบบนี้ฉันยิ่งอยากรู้”
“รู้แล้วเดี๋ยวแกจะหงุดหงิดจิตฟุ้งซ่าน”
“เฮ่ย ฉันน่ะสุขุมคัมภีรภาพนะเว้ย ใจงี้เย็นเป็นน้ำแข็ง มีเหตุมีผล”
“ฉันเจอตาพอลอยู่ในห้อง”
“พอลก็พอลซิ” เตชิตยักไหล่แบมือแล้วชะงัก “หา ไอ้แวมไพร์พอลน่ะเรอะ มันเข้าไปเยี่ยมเสียงหวานได้ยังไง แล้วอยู่กันสองต่อสองหรือเปล่า แล้ว...”
ศรีตรังลุกเอาหนังสือพิมพ์ฟาดหัวเตชิต
“ไอ้เต ไอ้สุขุมคัมภีรภาพ หน๊อย! ใจเย็นเป็นน้ำแข็ง มีเหตุมีผล”
“แต่ไม่ใช่กับไอ้พอล ไอ้ศรีนะไอ้ศรี แกกลัวว่าฉันจะต่อยแฟนแกใช่มั้ย”
“โว้ย บอกว่าไม่ใช่แฟน แกนี่พูดไม่รู้ฟัง” เตชิตลุกขึ้นเดินกลับไปกลับมาอย่างพลุ่งพล่าน แล้วเดินไปที่ประตู “เฮ้ย เฮ้ย จะไปไหน”
“ไปโรง’บาล”
“พอแกไปถึง รับรองว่าไม่เจออีตาพอลแล้ว”
เตชิตพยักหน้าช้าๆ
“คิดอีกที ไอ้พอลมันเป็นลูกน้องไอ้เดนนิส เจ้านายอาจจะใช้มันไปคอยดูแลน้องเมียก็ได้”
“แล้วทำไมไม่ใช้ลูกน้องผู้หญิง”
“เออ นั่นซินะ ไอ้ศรี นี่แกจะให้ฉันเย็นหรือร้อนกันแน่วะ” ศรีตรังลุกขึ้น “จะไปไหน”
“กลับบ้าน” ศรีตรังบอกแล้วเดินออกไป
“อ้าว เฮ้ย”
อีกด้านหนึ่งที้บ้านจุรีขณะนั้นอ้อยกำลังเตรียมข้าวของใช้สำหรับพิธีไล่ผี
“หัวหมู...ครบ...เป็ดไก่...ครบ ...”
จุรีเดินเข้ามามอง
“อะลั๊ดตั๊ดต๊า นั่นจะขนซื้อมาให้ต้นตระกูลแกกินเรอะ”
“ซื้อมาบูชาเจ้าที่เจ้าทางเพื่อขอความร่วมมือในการปราบนังหน้าเขียว”
“เฮ้ย มันบาปกรรมนะลูก”
“ก็แล้วที่มันมาหลอกหลอนอ้อยล่ะ ความจริงจะลงมือตั้งแต่วันก่อนแล้วพอดีลุงหมอแกไม่ว่างก็เลยเลื่อนมาวันนี้”
“อ้อย อ้อย อยู่หรือเปล่า” เสียงเจนสจิราร้องเรียก
“อยู่ค่ะ เชิญข้างในซิคะ”
เจนจิราเดินเข้ามา
“คุณจะเอากับมันด้วยหรือคะ” จุรีถามเจนจิรา
“สนุกดีออก”
“สนุกกับผีอะไรล่ะคะ”
“ก็ผีนังเกษมันไงแม่ ต้องสนุกแน่ๆ เลย แม่จะเข้าร่วมพิธีด้วยมั้ย”
“ไม่เด็ดขาด เพราะฉันไม่ใช่เป็นคนนอนดึก”
“กลัวละซี้...อ้อ แม่อย่าบอกใครนะ เราจะไปทำพิธีกันเงียบๆ ในไร่ เดี๋ยวนายศรีตรังเขาจะมาโวยวายแกยิ่งสั่งห้ามอยู่”
“ไปเถอะป้า มีกันหลายๆ คน ผีจะได้งงไม่รู้จะหลอกใครดี” เจนจิราชวน
“ทำเป็นพูดดีไปเถอะค่ะ แล้วจะหาว่าป้าไม่เตือน”
อ้อยทำหน้าพยักเพยิดกับเจนจิราล้อเลียนจุรี
ที่หน้าออฟฟิศหมอผีขณะนั้นเฮงและลูกน้องนั่งอยู่ในรถปิ๊กอัพ สอดส่ายสายตามองออกไปข้างนอก
“ยังไม่เห็นมาเลย”
“ใช่แน่นะเว้ย”
“มาโน่นแล้ว”
เฮงบอกเมื่อเห็นหมอผีขี่จักรยานมาจอด เฮงและพวกเปิดประตูลงมา เฮงยกมือไหว้หมอผี ทุกคนไหว้ตาม
“เออ ไหว้พระเถอะ” หมอผีบอก
“พวกผมไหว้หมอครับ คือนับถือมาก” เฮงบอก
“จะให้ข้าไปปราบผีละซิ”
“เปล่าครับ คือ พวกเราแค่แปะชื่อหมออำนาจไว้หน้าบ้านผีมันก็ไม่กล้าเข้าบ้านแล้ว”
“คือพวกผมทราบมาว่าดาวระดับนางเอกคนนึง ก็เป็นลูกศิษย์ของหมอด้วย”
“ไม่ใช่คนเดียว แต่มีหลายคนนี่แน่ะ พูดแล้วไม่มีหลักฐานเดี๋ยวจะว่าโม้ คืนนี้ข้าจะไปปราบผีที่ไร่สุขศรีตรัง”
เฮงและลูกน้องทำหน้าตื่นเต้น
“ฮ้า”
“จริ๊ง พวกเอ็งจะตามไปดูเป็นขวัญตาก็ได้”
เฮงมีสีหน้าเจ้าเล่ห์ทันที
“ไปอยู่แล้วครับ โอกาสแบบนี้ไม่ใช่หาง่ายๆ”
เตชิตตามศรีตรังมาที่ไร่สุขศรีตรังด้วย เมื่อศรีตรังและเตชิตมาถึงจุรี ตรีทศและสมต่างพากันดีใจ
“ด้วยความเคารพ ผมดีใจจังเลยครับที่คุณเตกลับมาค้างที่นี่อีก” สมบอก
“เอ้อ ...คุณเตได้พบคุณหนูเผือกเสียงหวานบ้างหรือเปล่าคะ” จุรีถาม
“ก็ที่มาวันนี้ก็เพราะจะมาตามหาคุณหนูเผือกนี่ละ”
“เมื่อหลายคืนก่อนป้าก็เห็นเธอค่ะ”
“นานหรือยังครับ” เตชิตถามทันที
“โฮ้ย ก็เขาเพิ่งบอกว่าเมื่อหลายคืนก่อน คุณทศล่ะนั่งเงียบอยู่คนเดียว จะไม่ออกความเห็นอะไรบ้างหรือค่ะ” ศรีตรังถาม
“แต่ก่อนผมไม่เคยเชื่อเรื่องผีสางนางไม้ แต่หลังจากวันนั้น...”
“ด้วยความเคารพ เชื่อสนิท” สมพูดต่อให้
“สนิทเลยครับ แต่ผมไม่กลัวนะ ตอนแรกอาจจะมีบ้างแต่พอได้คิดก็เริ่มเข้าใจพวกเขา”
“คุณทศเข้าใจผี อะลั๊ดตั๊ดต๊า” จุรีขำกลิ้ง
“ด้วยความเคารพ นี่ผมยังไม่เห็นคุณนางเอกเลยนะครับ”
“อ๋อ เขาเข้านอนตั้งแต่หัวค่ำค่ะ เห็นบอกว่าไม่ค่อยสบาย ยัยอ้อยก็เหมือนกัน ... เจนจิราไม่สบายตัวเองก็ดันไม่สบายไปด้วย”
“ค่ะ เปรียบเสมือนคอหอยกับลูกกระเดือกเลย”
ขณะนั้นเจนจิราอยู่ในห้องรับอ้อย
“พวกเขาจะสงสัยมั้ยอ้อยที่เราเข้านอนแต่หัวค่ำ” เจนจิราถามอ้อย
“ไม่หรอกค่ะ จะนอนดึกหรือหัวค่ำมันก็แล้วแต่เราคนที่นี่เขาจะไม่ค่อยจะสนใจกันอยู่แล้ว”
“เราจะออกไปกี่ทุ่ม”
“สองยามค่ะ”
“ทำไมจะต้องสองยาม”
“เพราะมันดีกว่า 5 ทุ่มกับตีหนึ่งมั้งคะ อย่ามัวแต่ซักเลย เราต้องรีบนอนแล้ว” อ้อยบอกแล้วดึงผ้าห่มคลุมโปง เจนจิราล้มตัวนอนบ้าง “ขออย่างเดียว อย่ามาหลอกกันก่อนสองยามเล้ย”
ที่บ้านศรีตรัง เตชิต ตรีทศและสมพากันลุกขึ้นเพื่อแยกย้ายกันไปนอน
“ด้วยความเคารพ นี่ก็พอสมควรแก่เวลาแล้ว คงต้องลาไปนอนกันเสียที คุณเตจะนอนบ้านผมหรือว่านอนบ้านคุณทศครับ” สมถามเตชิต
“นอนบ้านลุงสม คุณทศคงจะชอบอยู่คนเดียวเงียบๆ มากกว่า”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ”
“ไปตกลงกันเองกลางทางก็แล้วกัน”
“เออ ฉันไปละ”
ทั้งหมดร่ำลากัน แล้วเตชิต ตรีทศ สมก็พากันเดินออกไป
“ป้าจุนอนคนเดียวได้มั้ยคะ” ศรีตรังถามจุรี
“ไม่ได้ค่ะ บอกตามตรงเลยนะคะว่ากลัว”
“งั้นปิดบ้านแล้วขึ้นไปนอนห้องศรีก็แล้วกันค่ะ”
ศรีบอกแล้วเดินขึ้นบันไดไป จุรีรีบปิดประตูหน้าต่างอย่างหวาด ๆ
ระหว่างทางกลับบ้านพัก เตชิต ตรีทศและสมเดินกันมาเงียบๆ ลมเย็นๆ พัดมาต้นไม้ใบไม้แกว่งไกว
ทั้งหมดเดินมาถึงบริเวณรีสอร์ทที่ถูกไฟไหม้ เตชิตหยุดเดิน
“ลุงสมกับคุณทศเดินล่วงหน้าไปก่อนเถอะครับ เดี๋ยวผมตามไป”
สมและตรีทศมองหน้ากัน
“ด้วยความเคารพ แถวนี้ออกจะวังเวงอยู่นะครับ”
“เสียงหวานอาจจะอยู่ที่นี่”
“เสียงหวาน ...”
สมและตรีทศทำหน้างงๆ
“ไปก่อนเถอะครับ ไม่ต้องรอผม” เตชิตตัดบท
“ถ้าคุณเตชิตมั่นใจ ลุงสมกับผมก็ไปนอนละครับ”
ตรีทศและสมเดินออกไป เตชิตหันไปมองโดยรอบ
ส่วนที่บ้านศรีตรัง จุรีตามศรีตรังเข้ามาในห้องแล้วรีบปิดประตูล็อค
“ไอ้เตเขามาตามหาคุณหนูเผือกเสียงหวานที่นี่ค่ะ” ศรีตรังบอกจุรี
“เออ ... แปลกนะคะ หมู่นี้ป้าก็ไม่เห็นคุณหนูเผือกเหมือนกัน เห็นแต่คุณหนูเขียว เห็นบ่อยๆ เข้าก็จะชักจะเคยชิน วันไหนไม่เห็นก็เหมือนขาดอะไรไปอย่างนึง”
“ขอบใจ”
เสียงเกษรินดังขึ้น ศรีตรังและจุรีรีบคลุมโปงทันที
ทางด้านเตชิต เขาทรุดตัวลงนั่งบริเวณรีสอร์ที่ถูกไฟไหม้ แล้วมองไปโดยรอบอย่างรอคอยท่ามกลางบรรยากศที่ดูวังเวง
“เสียงหวาน ผมรู้นะว่า คุณอยู่แถวนี้”
“เธอไม่ได้อยู่ที่นี่หรอกคะ” เสียงเกษรินดังขึ้น เตชิตรีบผุดลุกขึ้นทันที แล้วทำหน้าเลิ่กลั่ก “เธอหายไปได้สักพักนึงแล้ว”
“สะ...สะ...เสียง...เสียงเย็น” เกษรินเดินออกมาจากเงามืด “รา ...รา...ราตรีสวัสดิ์”
เตชิตรีบเดินไปจากที่นั้นทันที เกษรินมองตาม
เตชิตรีบเดินมาบ้านสม สมเปิดประตูรับเตชิตที่เดินหน้าตาเลิ่กลั่กเข้ามา
“เจอคุณหนูเสียงหวานแล้วซิครับ”
“ไม่ใช่ครับ”
สมพยักหน้าช้าๆ
“ด้วยความเคารพ ผมเข้าใจแล้วครับ”
“เสียงหวานไปอยู่ที่ไหน” เตชิตบ่นขณะเดินมานั่ง
“ด้วยความเคารพ ที่ชอบไงครับ”
กลางดึกคืนนั้นขณะที่เตชิตกำลังนอนหลับ เตชิตก็ฝันว่าตัวเองกำลังเดินตะโกนตามหาเสียงหวาน
“เสียงหวาน...คุณอยู่ที่ไหน! เสียงหวาน”
“ฉันอยู่ที่นี่ ทางนี้”
เตชิตยกมือปัดหมอกควัน แล้วเดินไปตามเสียง พลางเหลียวมองหา
“เสียงหวาน ผมมาแล้ว”
“ช่วยด้วย ช่วยฉันด้วย”
เตชิตชะงักเมื่อเห็นเสียงหวานถูกควันสีดำยึดตัวเอาไว้แน่น
“เสียงหวาน”
เสียงหวานยื่นมือออกมา
“ช่วยด้วย”
เตชิตยื่นมือออกไปรับ แต่แล้วจู่ๆ ควันสีดำก็กลืนร่างเสียงหวานหายเข้าไป
“ช่วยด้วย”
เสียงหวานตะโกนเสียงก้อง...เตชิตสะดุ้งตื่นแล้วผุดลุกขึ้นนั่งด้วยความตกใจ
“เสียงหวาน”
ทุกอย่างเงียบวังเวง เตชิตลุกขึ้นเดินไปที่หน้าต่างมองออกไปด้านนอก เตชิตเห็นแต่เงาตะคุ่มๆ ของต้นไม้ใหญ่น้อย เตชิตผละเดินมาทรุดตัวลงบนโซฟาตามเดิม
“เกิดอะไรขึ้นกับคุณ...”
เตชิตพึมพำออกมาด้วยสีหน้าเศร้าๆ
อ่านต่อหน้า 3
หมายเหตุ : เป็นบทโทรทัศน์ตอนล่าสุดจากบริษัทดีด้าฯ
และตรงตามละครออกอากาศทางช่อง 7 สี มากที่สุด
ปางเสน่หา ตอนที่ 11 (ต่อ)
กลางดึกคืนนั้นท่ามกลางบรรยากาศวังเวงของบริเวณไร่ข้าวโพดที่ถูกเผาผลาญไปแล้ว รถคันหนึ่งแล่นมาจอด อ้อยซึ่งเป็นคนขับเปิดประตูลงมา เจนจิราซึ่งนั่งคู่ก้าวตามลงมาเช่นกัน ส่วนหมอผีซึ่งอ้อยไปรับก็ลงมาพร้อมกับข้าวของ
เจนจิรามองไปรอบๆ ด้วยท่าทางหวาดๆ
“ปลอดภัยแน่นะ โธ่เอ๊ย! ฉันไม่น่าอยากรู้อยากเห็นขนาดนี้เลย”
“ถึงแล้วน่า บ่นไปก็ไม่มีประโยชน์”
“ฉันจะกลับทันมั้ยเนี่ย”
หมอผีจัดของพลางพูดพลาง
“จะกลับก็ได้ แต่ไม่รับรองว่าจะเจอผีระหว่างทาง” เจนจิราสะดุ้งจับแขนอ้อยแน่น หมอผีเงยหน้ามองโดยรอบ “เพราะป่านนี้ มันคงรู้ว่าหมอผีผู้ยิ่งใหญ่มาแล้ว”
“งั้นมันก็หนีกระเจิงไปแล้วนะซิ”
“เปล่า มันกำลังคอยดูท่าที”
“คุณหมอไม่มีผู้ช่วยหรือค่ะ”
“มี พวกกรุงเทพ 2-3 คน เขาศรัทธาข้ามากเลยขอตามมาดูด้วย”
“แล้วลุงก็ให้เขามา”
“ก็ใช่น่ะซิวะ”
“โธ่เอ๊ย...อ้อยยิ่งอยากจะให้เป็นความลับ”
“ลับกับผีอะไรละ” หมอผีตวาดสองสาวสะดุ้ง “ความลับไม่มีในโลก อย่าอยู่เฉยๆ ช่วยหยิบจับอะไรบ้าง”
สองสาวช่วยยกของตามคำสั่ง
ส่วนที่บ้านสมจู่ๆ ก็มีเสียงหมาหอนดังขึ้นเบาๆ เตชิตกำลังเคลิ้มหลับ รีบผุดลุกขึ้นทันที เสียงหมาหอนกระชั้นใกล้เข้ามาเตชิตเริ่มเลิ่กลัก
“เอาอีกแล้ว เจ้าประคู้ณคุณพระคุณเจ้าช่วยลูกด้วย ขอให้เป็นเสียงหวานเถอะ อย่าให้เป็นเสียงเย็นเลย” มีเสียงเหมือนใครปาก้อนอิฐมาที่หน้าต่าง เตชิตสะดุ้งเฮือก“ใครว่ะ”
เตชิตค่อยๆ เดินไปที่หน้าต่าง แล้วสะดุ้งโหยงเมื่อเห็นเกษรินยืนอยู่ เกษรินมองเห็นหน้าเตชิตแล้วค่อยๆ ชี้มือไปทางไร่ ขณะที่ตามองเตชิตเขม็ง
“อะ...อะ...อะไร” เกษรินชี้มือไปที่ไร่อีก “มะ...มะ...ไม่รู้เรื่อง” เตชิตตัดสินใจหันกลับมาแล้วตกใจแทบทรุดเมื่อเจอเกษรินยืนอยู่ “กะ...กะ...กลัว...กลัวแล้ว”
“ไม่ต้องกลัว”
“มา...มะ...มัน...มันพูดง่าย...ทะ...ทะ...ทำ...ทำยาก”
“ที่ไร่ ที่ไร่...”
ร่างเกษรินเลือนหายไป เตชิตแทบล้มทรุด
เตชิตรีบมาหาสมที่ห้องแล้วบอกเรื่องเกษริน
“ด้วย...ด้วย...ความ...ความเคารพ ผี...ผี หรือครับ”
“ไร่! เขาบอกผมให้ไปที่ไร่”
“เชิญ...เชิญ คุณเต...คน...คนเดียวเถอะครับ”
“ไม่ได้ ต้องไปด้วยกัน ไปชวนคุณทศด้วย ถ้าลุงสมไม่ไป เกษริน อาจจะมาเชิญด้วยตัวเองไม่รู้ด้วยนะครับ”
เตชิตบอกแล้วเดินออกไป
“รอด้วยครับ ผมไปด้วยคน”
สมรีบตามไป
เตชิตไปตามตรีทศที่บ้าน ตรีทศรีบเดินออกมาขณะนั้นเตชิตกับสมรออยู่หน้าบ้านโดยสมเหลียวซ้าย แลขวาด้วยความหวาดกลัว
“ไปครับ”
ตรีทศบอก ทั้งหมดเดินขึ้นปิคอัพของสมแต่แล้วเตชิตก็ต้องสะดุ้งเฮือก ผงะถอยหลังโดยอัตโนมัติ เมื่อเห็นเกษรินนั่งอยู่เบาะหลัง
“เฮ้ย”
ตรีทศกับสมเลิ่กลั่ก
“อะ...อะไรครับ...คุณเต...”
เกษรินยกนิ้วแตะปากเป็นสัญญาณไม่ให้พูด
“มา...มา...ไม่...ไม่มีอะไร ขึ้น...ขึ้นรถเถอะ”
สมขึ้นรถประจำที่คนขับ เตชิตขึ้นด้านหน้าในขณะที่ตรีทศขึ้นเบาะหลังข้างๆ เกษริน เตชิตค่อยๆเหลียวมองเกษรินแหยงๆ
“อะไรหรือ คุณเต”
ตรีทศถาม เกษรินมองเตชิตเขม็ง
“เปล่า ไม่...ไม่มีอะไร เหตุการณ์ปกติ”
ส่วนที่ไร่ขณะนั้นหมอผีเงยหน้ามองฟ้าแล้วนับนิ้วไป
“ทำอะไรหรือค่ะ ลุงหมอ” เจนจิราถาม
“กำลังคำนวนหาเวลาที่เหมาะสม อ๊ะ ได้แล้ว เอ็งสองคนเข้ามาอยู่ในวงสายสิญจ์นี่”
“ทำไมต้องวงสายสิญจ์ ตรงนี้ด้วยล่ะค่ะ”
“ลูกอีช่างซัก ก็ตรงนี้เป็นที่ฝังศพเกษรา เกษรินอะไรนั้นน่ะซิ”
เจนจิราสะดุ้ง
“อุ๊ย”
“ไปค่ะ เข้าไปอยู่ในนั้นกัน”
สองสาวกำลังจะเข้าวงสายสิญจ์ มีแสงจากไฟหน้ารถส่องมา ทั้งสามหันไปมอง
“มากันแล้ว”
“ใครค่ะ”
“อ๊ะ นังคนนี้ก็ช่างซัก นังคนนี้ก็ขี้ลืม ก็บอกแล้วไงว่า พวกลูกศิษย์ลูกหาที่กรุงเทพ เขาจะมาขอดูพิธี”
“อ๋อ”
รถแล่นมาจอด เฮงและสมุนตามกันลงมา เจนจิราเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
“ไอ้เฮง”
“พี่รู้จักด้วยหรือค่ะ”
อ้อยตามขณะที่เฮงกับสมุนตรงมาที่เจนจิรา เจนจิราหันหลังวิ่งหนีไปทันที
“เฮ้ย ตามไป”
เฮงกับสมุนวิ่งไล่ตามจับเจนจิรา
“อะไรกันน่ะ” อ้อยมองตามงงๆ
“ไอ้พวกบ้า อึกทึกครึกโครมกันยังงี้ ผีตกใจหนีหมด”
“ทำพิธีต่อเถอะลุง ให้เขาเล่นไล่จับกันไป”
“วะ เมื่อกี้ไม่ได้ยินเรอะว่าข้าพูดอะไร ป่านนี้ผีมันหนีไปหมดแล้ว”
“แล้วจะทำยังไงล่ะ”
“ก็กลับน่ะซิว่ะ ไป ขับรถไปส่ง...นั้นใครอีกล่ะ”
หมอผีชะงัก อ้อยหันไปมองตามสายตาหมอผีจึงเห็นเกษรินยืนมองมา อ้อยเบิกตากว้างด้วยความตกใจกลัว
“เกษริน”
“เกษริน...ดูมัน ไปยืนทำหน้าทำตาซะเหมือนผีเลย”
“ก็ผีน่ะซิ” อ้อยบอกแล้ววิ่งหนีทันที
“ผี...มิน่า... ผีเรอะ”
หมอผีวิ่งกระเจิงตามไปอีกคน
ขณะนั้นกลุ่มเตชิตกำลังขับรถเข้ามาในไร่ เตชิตค่อยๆ หันไปมอง แล้วถอนใจที่ไม่เห็นเกษริน สม
คอยสังเกตตลอดจึงถามขึ้นมา
“ด้วย...ด้วย ความเคารพ ไป...ไปแล้วหรือครับ”
เตชิตพยักหน้ารับ
“ฮื่อๆ ลุงสมรู้ได้ยังไง”
“ก็...ก็ มันเย็นๆ ตรงท้ายทอยครับ”
“พูดถึงอะไรกันครับ”
ตรีทศถามอย่างแปลกใจเตชิตยังไม่ทันตอบเพราะเจนจิราวิ่งตรงมาท่ามกลางแสงไฟหน้ารถพอดี
“ช่วยด้วย ช่วยด้วย”
“นั่นคุณเจนจิรานี่”
“มาทำอะไร แถวนี้”
สมหยุดรถ เตชิตเปิดประตูก้าวลงไป เจนจิราผวาเข้ากอดเตชิต
“คุณเต ช่วยด้วย”
เฮงและสมุนตามมา ทุกคนถือปืน
“ส่งตัวนังนั่นมา ผู้กอง”
เฮงบอก เตชิตเบี่ยงตัวบังเจนจิราไว้ สมและตรีทศคว้าปืนยาวลงมา ตั้งลำเตรียมเหนี่ยวไก
“ผมโทรตามคนงานมาแล้วผู้กอง” ตรีทศบอก
“จับมันเลยค่ะ จับมันเลย”
“วางปืนลง” กลุ่มเฮงมองหน้ากันแว่บหนึ่ง แล้วถอยไป 2- 3 ก้าว “วางปืนลง”
“หนี”
เฮงและสมุนวิ่งหนีกันไปในความมืดอย่างรวดเร็ว ตรีทศและสมรีบตาม
“คุณไปนั่งรอในรถก่อน”
“คุณจะไปไหน”
“จับไอ้พวกนั้น”
“เจนกลัว ขอเจนไปด้วยคนนะคะ”
“ไปนั่งรอในรถ”
พูดจบเตชิตก็รีบเดินไป
“คุณเต คุณเต กลับมาก่อน” เตชิตวิ่งหายไปในความมืด “คุณเต ไอ้เต”
ไม่มีใครจริงๆ เจนจิรามองรอบตัวหวาดๆ แล้วรีบเดินมาขึ้นรถหน้าตางอง้ำ
อีกด้านหนึ่งอ้อยวิ่งล้มลุกคลุกคลานหนีเกษรินมาเรื่อยๆ เสียงหมาหอนดังขึ้น อ้อยหยุดชะงักมองรอบๆ อย่างหวาดกลัว
“ฉันกลัวแล้ว อย่ามาหลอกหลอน ฉันเลยนะ”
ไม่ปรากฏร่างเกษริน อ้อยอยู่ในลักษณะนั้นครู่หนึ่งแล้วค่อยๆ ผ่อนลมหายใจยาว
“อ้อย...ย...ย ...”
อ้อยกำลังขยับออกเดินแล้วสะดุ้ง
“คะ...คะ...ใคร...พี่...พี่เจนหรือคะ”
“อ้อย...ย...ย”
“ใครน่ะ เรียกอยู่ได้”
อ้ยยชักฉุน มีมือๆ หนึ่งเอื้อมมาดึงผมอ้อยกระชาก อ้อยโกรธจัดหันขวับไป แล้วเบิกตากว้างร้องกรี๊ดเมื่อเห็นเกษรินยืนอยู่ อ้อยเซถลาถอยหลัง
“กลัวแล้ว ฉันกลัวแล้ว” เกษรินก้าวเข้ามาช้าๆ “ช่วยด้วย ช่วยด้วย ช่วยด้วย”
ขณะนั้นตรีทศและสมวิ่งตามกลุ่มเฮงมาแต่แล้วทั้งคู่ก๋ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงร้องของอ้อย
“ช่วยด้วย ช่วยด้วย ช่วยด้วย”
“เสียงอ้อยนี่” เสียงร้องให้ช่วยดังขึ้นอีก “เสียงมาจากทางนี้”
ตรีทศและสมรีบวิ่งไปตามที่มาของเสียง
เฮงและสมุนวิ่งหนีมาที่รถ หมอผีวิ่งตามมา
“ไปคน” หมอผีเกาะรถเฮงจะขึ้นให้ได้แต่เฮงหันมาถีบ “ไม่ให้ไป”
หมอผีกลิ้งล้ม สมุนคนหนึ่งของเฮงสตาร์รถ หมอผีกระโดดหลังปิ๊กอัพจนได้อย่างหงุดหงิด
“ก็กูจะไป”
รถแล่นออกไปอย่างรวดเร็ว เตชิตวิ่งตามมาเห็นเพียงแสงไฟหายลับไป
“ไอ้บ้าเอ๊ย”
เตชิตบ่นอย่างหงุดหงิด
ระหว่างนั้นเจนจิรานั่งหน้างออยู่บนรถสม เจนจิราสะบัดบิ้งพักหนึ่งที่กลุ่มเตชิตยังไม่กลับมาสักที
“ไม่รู้ไปตายที่ไหนแล้ว”
เจนจิราบ่นพึมพำพักหนึ่ง แล้วจึงเห็นทุกคนเดินตรงมา อ้อยมั่วกอดตรีทศแน่นด้วยความหวาดกลัว
เจนจิราถอนใจอย่างโล่งอก
“ได้ตัวมั้ยคะ คุณเตะ เอ๊ยคุณเต”
“ไม่ได้ครับ แต่ผมจำหน้าได้”
เตชิตบอก ทั้งหมดขึ้นรถ
“ตกลงเจอผีมั้ยอ้อย” เจนจิราถามอ้อย
“มีอะไร” เตชิต สม ตรีทศถามออกมาพร้อมกัน
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ” อ้อยรีบปฏิเสธ
“มีซิ อ้อยไปรับหมอผีมาปราบผีไง”
“จริงหรืออ้อย”
“จริงค่ะ ก็มันรบกวนหลอกหลอนทุกคนจนอยู่ไม่เป็นสุขแล้วอ้อยเลยต้องตามหมอผีมาปราบ”
“นายศรีตรังรู้ละเป็นเรื่องแน่”
สมบอก แล้วก็เป็นเรื่องจริงๆ เมื่อศรีตรังรู้เรื่องนี้จึงต่อว่าอ้อย
“ฉันสั่งแล้วใช่มั้ยว่าห้ามพาหมอผีเข้ามาทำพิธีไล่ผีไล่เปรตอะไรในรีสอร์ททั้งนั้น”
“ก็อ้อยไม่ได้ทำในรีสอร์ทนี่คะ อ้อยทำในไร่” อ้อยเถียง จุรีนึกฉุนลูกสาว
“ยังจะเถียงอีก มันน่านัก” จุรียกมือขึ้นจะฟาดแขน อ้อยหลบได้อย่างหวุดหวิด
“อ้อยไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะแม่ถึงจะได้มาตบมาตีกัน”
“แกทำตัวยิ่งกว่าเด็กอีก เด็กมันบางทียังพูดรู้เรื่องห้ามอะไรก็ฟังกันแต่นี่แกไม่เคยเชื่อไม่เคยฟังเล้ย แล้วเป็นไง ชักน้ำเข้าลึก ชักศึกเข้าบ้าน”
“อ้อยเปล่านะแม่ ไอ้พวกนั้นมันมาจับพี่เจนต่างหาก ไม่เชื่อก็ถามพี่เตดู”
“ก็ถ้าอ้อยไม่พาเจนไปติดต่อหมอผี พวกมันก็จะไม่เห็น”
“อ้อยไม่ได้อยากจะพาไปหรอกนะคะ นายศรีตรัง พี่เจนเขาจะไปให้ได้เขาเบื่อที่จะอุดอู้อยู่แต่ในไร่”
ศรีตรังเม้มปาก “ถ้าจะลงโทษก็ต้องลงทั้ง 2 คน ไม่งั้นอ้อยไม่ยอมด้วย”
ขณะนั้นเตชิตกำลังคุยกับเจนจิราอีกมุมหนึ่งของไร่
“ตกลงเป็นคุณเตใช่มั้ยคะ ที่เป็นคนจัดการให้เจนมาอยู่กับยัยศรีตรัง”
“จะเป็นใครก็ช่างเถอะ แต่ในเมื่อคุณอยู่แล้วก็ไม่ควรทำให้เจ้าของบ้านเขาเดือดร้อน”
“โธ่ ก็เจนเหงานี่คะ ทั้งเหงาทั้งเบื่อ เจนเคยอยู่กับแสงสี เจนไม่ได้ปิดบังว่าเป็นปาร์ตี้เกิร์ลแล้วอยู่ดีๆ จะให้เจนมาอุดอู้อยู่แต่ในไร่สัปปะรังเคนี่เจนทนไม่ไหวหรอกค่ะ”
“เจนจิรา” เตชิตเรียกอีกฝ่ายเสียงเข้ม
“ขา...”
“ศรีตรังเป็นเพื่อนสนิทผม เขาเป็นคนดีไม่เคยมีเรื่องมีราวกับใครเขาให้ที่พักที่หลบภัยคุณแต่คุณกลับทำให้เขาเดือดร้อน เพราะฉะนั้นผมจะพาคุณไปส่งที่คอนโด”
เจนจิราสะดุ้ง
“ไม่นะ”
“คุณต้องไป”
เจนจิราร้องไห้ออกมา
“เจนกลัวค่ะ ต่อไปนี้ เจนจะไม่ออกไปไหนอีกแล้วจะไม่ทำตัวให้เป็นปัญหาขออย่างเดียว อย่าไล่เจนออกไปเลย ไอ้เสี่ยใจร้ายมันเอาเจนถึงตายแน่ๆ” เตชิตมองเจนจิราเคร่งเครียดจริงจัง ขณะที่เจนจิรายังร้องไห้คร่ำครวญ “นะคะ คุณช่วยพูดกับยัย เอ๊ย คุณศรีตรังให้ที... นะคะ ...Please”
เตชิตมาหาศรีตรังที่บ้านและเตรียมตัวกลับกรุงเทพโดยมีศรีตรังเดินออกมาส่ง
“ระวังตัวให้ดีนะ”
เตชิตบอกอย่างเป็นห่วง
“เออ ฉันสั่งให้คนงานคอยตรวจ อย่างเข้มงวดแล้ว ไว้ใจตำรวจเขาเถอะน่า”
เตชิตผลักหัวเพื่อน
“แกละประมาท ถ้ายังไงฉันจะย้ายเจนจิรา...”
“ยังไม่ต้องหรอก ท่าทางนางคงจะเข็ดแล้วละ อีกอย่างไอ้เดนนิสมันผูกอาฆาตพยาบาทฉันไปแล้วเจนจิราจะอยู่หรือจะไปก็ไม่มีผล แกไปเหอะ จะได้ช่วยคุณหนูเผือกเร็วๆ”
“ไปล่ะ”
เตชิตตบไหล่ศรีตรังแล้วขับรถออกไป ศรีตรังโบกมือให้
เฮงโทรศัพท์รายงานเดนนิสเรื่องทำงานพลาด เดนนิสพูดโทรศัพท์ด้วยสีหน้าหงุดหงิด
“เออ ไปซ่อนตัวแถวตะเข็บชายแดนนั่นแหละ อย่าได้สะเออะเสนอหน้าเข้ามาเด็ดขาด สมุนเอ็ง 2 คนนั่นจัดการปิดปากมันเสียเลย ฉันไม่ไว้ใจ”
“แล้วผมละครับ เสี่ยยังไว้ใจหรือเปล่า”
“เฮ้ย พอไอ้เจียงตาย ฉันก็มีแกนี่แหละ อย่าลืมจัดการพวกมัน 2 คน ให้เรียบร้อย ไม่งั้นเราอาจจะเดือดร้อน”
ขณะเดนนิสคุยโทรศัพท์ปรกเดือนเดินเข้ามาเธอแต่งตัวเตรียมออกไปข้างนอกเพื่อไปเยี่ยมปรายดาว ปรกเดือนสีหน้าไม่สบายใจจากคำพูดของเดนนิส
“เท่านี้แหละ”
เดนนิสวางโทรศัพท์ ปรกเดือนจึงถามขึ้นมา
“ใครจะเดือดร้อนค่ะ”
“ไม่มีอะไรหรอกน่ะ”
“เสี่ยอย่าฆ่าใครอีกเลยนะคะ ขอให้เห็นแก่เดือนกับลูก...”
“จะไปเยี่ยมดาวก็ไป...”
“เสี่ยค่ะ”
เดนนิสเดินเข้าไปข้างใน ปรกเดือนมองตามอย่างไม่สบายใจก่อนจะเดินออกไป
ทางด้านเฮงหลังจากคุยโทรศัพท์กับเดนนิสเสร็จเฮงก็เดินกลับมาหาลูกน้อง
“เสี่ยด่าใหญ่เลยสิพี่”
ลูกน้องคนหนึ่งถาม
“เปล่า แต่เขาให้งานใหม่”
“งานอะไร”
เฮงชักปืนออกมายิงสมุนทั้งสองคนจนล้มตายคาที่
“งานฆ่าพวกเอ็ง”
เฮงเดินขึ้นรถ ขับออกไป
ส่วนเตชิตระหว่างขับรถเข้ากรุงเทพ เตชิตมีสีหน้าแววตาใคร่ครวญครุ่นคิด เตชิตขับรถมาติดไฟแดงระหว่างนั้นเตชิตนึกถึงตอนสวมสร้อยคอให้เสียงหวาน แววตาของเตชิตกลับมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที
“ใช่สิ สร้อยเส้นนั้นนั่นเอง หลังจากสวมสร้อยให้ เสียงหวานก็ไม่เคยปรากฏตัวอีกเลย”
เสียงบีบแตรไล่ดังลั่น เตชิตเหลือบมองเห็นไฟเขียวรีบตาลีตาลานขับออกไป รถคันอื่นด่ากันอย่างหงุดหงิด
“นึกว่าตัวเองขับอยู่คนเดียวรึไง”
“ไอ้บ้า”
“ไม่ใช่ถนนส่วนตัวนะโว๊ย ไอ้เบื๊อก”
เมื่อถึงกรุงเทพเตชิตรีบขับรถมาที่โรงพยาบาล
“รอเดี๋ยวนะเสียงหวาน ผมจะขอลองวิธีสุดท้ายดู”
เตชิรีบลงจากรถเดินเข้าไปในโรงพยาบาล ขณะนั้นปรกเดือนกำลังยืนคุยกับพยาบาลอยู่ที่เคาน์เตอร์
“ดิฉันคิดว่า ควรจะปลอดภัยเอาก่อนค่ะ ถึงเราจะระวังอย่างดีแต่ไม่มีอะไรรับประกันได้...อีกอย่าง มันเป็นระเบียบของโรงพยาบาลด้วย”
“ได้ค่ะ ขอบคุณมาก”
ปรกเดือนเดินไปที่ห้องปรายดาวแล้วเปิดประตูเข้าไป
เตชิตเดินออกมาจากลิฟท์พร้อมกับคนอื่นๆ เตชิตรีบเดินมาที่เคาน์เตอร์ พยาบาลหันมาพอดีแบบไม่ได้ตั้งใจเตชิตรีบหันไปอีกทางโดยอัตโนมัติ
ภายในห้องปรายดาวปรกเดือนยืนอยู่ข้างเตียงแล้วยกมือลูบผมน้องสาวอย่างอ่อนโยน
“ดาว...ทำไมเธอถึงไม่ยอมฟื้นเสียที”
“โธ่ ทำไมดาวถึงจะไม่อยากฟื้นค่ะ แต่มันไม่ยอมฟื้นเอง ยิ่งตอนนี้ดาวอึดอัดจะแย่” เสียงหวานบอก
“พี่ไม่อยากจะถอดสร้อยพระออกเลย อยากจะให้เธอสวมไว้เพื่อคุ้มครองรักษา แต่มันขัดกับระเบียบของที่นี่”
ปรกเดือนค่อยๆ แกะสร้อยออกมา ร่างเสียงหวานหมุนคว้าง
“โอ๊ย ช่วยด้วย ช่วยด้วย”
ร่างเสียงหวานเหมือนมีแรงต้านแรงเหวี่ยงยื้อกันอยู่ไปมา ที่จอมอนิเตอร์หัวใจเส้นหัวใจทำงานผิดปกติปรกเดือนเห็นแล้วตกใจ
“ช่วยด้วย! ช่วยด้วย” ในที่สุดดวงวิญญาณเสียงหวานก็หลุดออกมา เส้นหัวใจกล้ายเป็นเส้นเดียว
“ช่วยด้วย” ปรกเดือนรีบกดกริ่งเรียกพยาบาล “ช่วยด้วย ช่วยด้วย”
วิญญาณเสียงหวานลอยลับไป
วิญญาณเสียงหวานลอยเคว้งคว้างกลับมาที่รีสอร์ทศรีตรัง เสียงหวานมองรอบๆ อย่างตระหนก
“นี่ฉันอยู่ไหน ฉันอยู่ที่ไหน”
ขณะนั้นที่เคาน์เตอร์พยาบาลเกิดความโกลาหลวุ่นวายขึ้น
“เร็วเข้า ตามอาจารย์หมอนิรันดร์ด่วน”
พยาบาลส่วนหนึ่งวิ่งไปที่ห้องปรายดาว ขณะที่อีกคนหนึ่งรีบตามหมอ เตชิตมองตามอย่างตระหนก
“เสียงหวาน เสียงหวานเป็นอะไร”
เตชิตรีบวิ่งตามไปจนถึงหน้าห้องจะเปิดเข้า จังหวะนั้นเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลซึ่งอยู่แถวนั้นหันมาเห็นรีบหยิบรูปขึ้นมาดู
“เฮ้ย นั่นไอ้โรคจิต”
เจ้าหน้าที่วิ่งตรงมาที่เตชิต เตชิตรีบวิ่งหนีเกิดความโกลาหลวุ่นวายขึ้น
ภายในห้องปรายดาว พยาบาลกำลังปั้มหัวใจให้ปรายดาว โดยมีปรกเดือนยืนตัวสั่นเทาด้วยความตระหนกสุดๆ บางจังหวะก็ยกมือที่กุมสร้อยพระสวดมนตร์ยุ่งไปหมด...ขณะที่พยาบาลกำลังพยายามช่วยชีวิตปรายดาวอยู่นั้นเตชิตก็กำลังวิ่งหนี รปภ.ที่วิ่งตามมา แต่สุดท้ายเตชิตก็หนีไม่รอดถูกจับได้
“ผมร้อยตำรวจเอก เตชิต เตชะวัฒนะครับ เป็นตำรวจ”
เตชิตรีบอธิบายแต่ รปภ.ไม่เชื่อ
“ตำรวจบ้าอะไร ไอ้โรคจิต”
รปภ. ช่วยกันล็อคตัวเตชิตไป
อ่านต่อหน้า 4
หมายเหตุ : เป็นบทโทรทัศน์ตอนล่าสุดจากบริษัทดีด้าฯ
และตรงตามละครออกอากาศทางช่อง 7 สี มากที่สุด
ปางเสน่หา ตอนที่ 11 (ต่อ)
พยาบาลปั๊มหัวใจปรายดาวด้วยมือไม่ขึ้น จึงเปลี่ยนมาปั๊มด้วยเครื่องแล้วให้ยากระตุ้น ระหว่างนั้นปรกเดือนยืนร้องไห้พลางสวดมนตร์ไปด้วย หมอและพยาบาลพยายามช่วยชีวิตปรายดาว ใบหน้าแต่ละคนเคร่งเครียดจนปรกเดือนต้องร้องไห้โฮวิ่งออกไป
ขณะนั้นพอลอยู่ที่คอนโด เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นพอลเดินมารับ
“ครับ... เดือน ... อะไรนะ...ผมจะไปเดี๋ยวนี้”
พอลหยิบกุญแจรถเดินออกไปอย่างรวดเร็ว...พอลรีบเดินไปที่รถเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีก
“ครับ... พี่...อะไรนะครับ...ผมขออนุญาตแวะไปโรงพยาบาลก่อนแล้วเดี๋ยวจะไปพบพี่”
พอลขึ้นรถขับออกไปทันที
ระหว่างนั้นที่สถานีตำรวจเตชิตนั่งรอเสนาอยู่กับธง
“ซวยจริงๆ เลย เสียงหวานจะเป็นยังบ้างก็ไม่รู้”
เตชิตบ่น จังหวะนั้นประตูเปิดออกเสนาเดินเข้ามา
“แกคิดว่า แกเป็นเจ้าชายเรอะไงไอ้เต ถึงได้เที่ยวได้ไปจูบชุบชีวิตน้องเมียเดนนิสมันน่ะ”
“บางทีมันก็อาจจะเป็นไปได้นะครับ ผู้กำกับ”
“จ่าธง”
“ครับผม”
“หุบปาก”
“ครับผม”
“ผมบริสุทธิ์ใจ ผมยืนยันว่าผมบริสุทธิ์ใจ”
“แล้วใครเขาจะเชื่อแกเฮอะ ไอ้เต”
“ใครไม่เห็น ผีสางเทวดาเห็นครับ”
“หน๊อย ผีสางเทวดาเห็น แล้วแกจะเชิญผีสางเทวดามาเป็นพยานได้มั้ยล่ะ ไอ้เตเอ๊ย ฉันไม่รู้จะทำอย่างไรกับแกดี”
“ต้องรอเสียงหวานฟื้นครับ เสียงหวานเข้าใจผม”
“ใครอีกล่ะเสียงหวาน ฟังเหมือนส้มเขียวหวาน”
“อ๋อ เสียงหวานก็คือปรายดาว น้องเมียไอ้เดนนิสไงครับ” เสนาและธง มองเตชิตพร้อมๆ กัน “เธอเป็นพยานให้ผมได้”
“นอนพะงาบๆ ต้องปั๊มหัวใจเนี่ยนะ จะลุกขึ้นมาเป็นพยานให้แก”
“จริงซิ เสียงหวานเป็นยังไงบ้างครับ”
เสนามีสีหน้าอ่อนอกอ่อนใจอย่างยิ่ง
พอลรีบมาที่โรงพยาบาล ขณะนั้นปรกเดือนยืนอยู่หน้าห้อง ร้องไห้พลาง สวดมนต์พลาง ด้วยท่าทางสีหน้าเหมือนตั้งสติไม่อยู่ พอลออกจากลิฟท์รีบเดินแกมวิ่งออกมา
“เดือน” ปรกเดือนถลาเข้าหาพอลร้องไห้สะอึกสะอื้น “ดาวเป็นยังไง บ้าง”
ปรกเดือนส่ายหน้าและร้องไห้
“เดือนไม่เข้าใจเลย ทำไม...ทำไม...”
พอลพูดไม่ออก ระหว่างนั้นประตูเปิดออกพอลกับปรกเดือนรีบเดินไปที่หมอ
“ดาวเป็นยังไงบ้างครับ คุณหมอ”
“ตอนนี้ปลอดภัยแล้วครับ แต่ต้องพาไปไว้ใน I.C.U ก่อน”
พอลและปรกเดือนโล่งใจ ปรกเดือนยิ้มทั้งน้ำตา
“ขอบคุณมากค่ะ”
ประตูเปิดออกบุรุษพยาบาลเข็นเตียงปรายดาวออกมา พอลและปรกเดือนรีบเดินตาม
ที่ไร่สุขศรีตรังขณะนั้นศรีตรังกำลังนั่งทำงานอยู่ เจนจิราเดินนวยนาดเข้ามา
“คุณศรีตรังขา”
ศรีตรังเงยหน้าขึ้นมองแว่บหนึ่ง
“อะไรหรือคะ คุณเจนจิรา”
“มีอะไรให้เจนช่วยมั้ยคะ”
“มีค่ะ... ช่วยกรุณาอยู่อย่างสงบ อยู่ให้เป็นที่เป็นทาง อยู่อย่างรับผิดชอบน่ะคะ” เจนจิราหน้าตึง “จะเป็นการช่วยคุณศรีตรังอย่างมากเลยละค่ะ”
“นี่ฉันอุตส่าห์พูดดีๆ ด้วยแล้วนะยะ”
“ฉันก็ไม่ได้พูดไม่ดีนี่ยะ”
เจนจิราสะบัดหน้าเดินเข้าไป เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นศรีตรังหยิบมารับ
“สวัสดีค่ะ คุณพี่ธากรณ์”
“น้องศรีทราบเรื่องไอ้เตหรือยังครับ”
ศรีตรังผุดลุกขึ้นทันที
“ไอ้เตมันตายหรือคะ”
“เปล่าครับ แต่มันถูกจับข้อหาไปจุมพิตเจ้าหญิงนิทรา”
ศรีตรังยกมือกุมขมับ
“โธ่เอ๊ย ไอ้เตหนอไอ้เต ตอนที่มันบอกว่ามันคิดวิธีช่วยคุณหนูเผือกออก ศรีก็ไม่ทันนึกว่ามันจะทำอย่างนี้ เอ๊ะ แต่มันพูดกับศรี 3- 4 วันมาแล้วนะคะ”
“แต่เพิ่งจะถูกจับได้วันนี้ครับ”
“อ้อ ... มิน่า...า ...”
“ทำไมหรือครับ”
“พี่กรณ์จำวันที่เราไปเยี่ยมคุณหนูเผือกกันได้มั้ยคะ ที่มันคอยหลบๆ พยาบาลน่ะ มันบอกว่าพยาบาลนึกว่ามันเป็นโรคจิต ศรีก็ไม่คิดว่าจะเป็นอย่างนี้”
“พี่กำลังจะไปประกันตัวมัน”
“ขอบคุณมากเลยค่ะ วันนี้ศรีคงเข้ากรุงเทพไม่ได้ เพราะต้องคุยกับผู้รับเหมาฝากพี่กรณ์ด้วยนะคะ”
“ไม่ต้องห่วงครับ พี่จัดการให้เรียบร้อยเลย”
“ขอบคุณค่ะ สวัสดีค่ะ” ศรีตรังวางโทรศัพท์ลงอย่างอ่อนอกอ่อนใจ “ไอ้เตเอ๊ย เฮ้อ ...”
ที่สถานีตำรวจขณะนั้นพอลและเตชิตนั่งคู่กันที่โต๊ะทำงานตรงกันข้ามกับเสนา
“ผมต้องอธิบายกับคุณปรกเดือนแทบตาย เขาเห็นแก่ผมเลยไม่เอาเรื่อง” พอลบอก
“ไม่ต้องมาลำเลิก ฉันไม่ได้ขอให้แกช่วย” เตชิตบอก
“ไอ้เนรคุณ” พอลต่อว่าเตชิต
“ไอ้ ...”
“พอที ทั้งสองคนนั่นแหละ”
เสียงเคาะประตูดังขึ้น ธงเดินเข้ามา
“ขออนุญาตครับ คุณธากรณ์มาพบท่านผู้กำกับครับ” เตชิตทำเป็นเลิกคิ้วมองพอลเยาะๆ ประมาณว่า “เห็นมั้ย ไม่ง้อก็ได้”
“ไปเชิญเข้ามา”
“ครับผม”
ธงเดินออกไป ครู่หนึ่งธากรณ์ก็เดินเข้ามา ธากรณ์ยกมือไหว้เสนา
“สวัสดีครับ ท่านผู้กำกับได้ข่าวว่าใกล้จะติดยศนายพลแล้วหรือครับ”
“เฮ้ย อีกนาน ว่าแต่มาเรื่องไอ้เตละซิ”
“ครับ”
เตชิตปรายตามองพอลเยาะๆ
“ไม่บอกก็รู้ว่า น้องศรีตรังคนสวยให้แกมาประกันฉันใช่มั้ย”
“แสนรู้นี่”
พอลสีหน้าเหมือนอยากจะเตะปากเตชิต
“เจ้าทุกข์ไม่เอาเรื่องเขาบอกว่าเป็นความเข้าใจผิด แต่ความเป็นจริงพอลต้องไปช่วยพูดกับคุณปรกเดือนพี่สาวคุณปรายดาวให้” เสนาบอก พอลจึงพูดขึ้นลอยๆ
“ไอ้หมอนี่นารีอุปถัมภ์”
เตชิตลุกขึ้นทันที
“ไอ้พอล”
พอลลุกขึ้นเผชิญหน้ากับเตชิต
“จะทำไม ไอ้เต”
“ก็จะต่อยแกน่ะซิว่ะ”
“ฉันก็มีหมัดเหมือนกันเว้ย”
“จะต่อยกันก็ไปต่อยข้างนอก ... รำคาญ”
เสนาบอก เตชิตกับพอล จ้องหน้ากันเขม็ง
“เขามีเพชรตัดเพชร แต่ไอ้สองคนนี่กรวดตัดกรวด” พอลและเตชิตเบือนกลับมามองธากรณ์พร้อมกันๆ “เฮ้ย เฮ้ย”
“ออกไป ออกไปให้หมดทุกคน รำคาญเต็มทีแล้วเว้ย เดี๋ยวพ่อจับขังหมด” สามหนุ่มรีบทำความเคารพเสนาแล้วออกไป “ไอ้รุ่นนี้มันบ้ากันทั้งรุ่น”
ธากรณ์และเตชิตเดินมาขึ้นรถ
“แกนี่มันบ้าไม่หายเลย”
ธากรณ์ต่อว่าเตชิต ระหว่างนั้นเสียงพอลดังขึ้น
“ไอ้เต”
เตชิตหันกลับไป พอลต่อยปากเตชิตจนล้มลงธากรณ์รีบขวาง
“เฮ้ยๆๆๆๆ”
“นี่สำหรับที่แกล่วงเกินปรายดาว”
พอลเดินเลยไป เตชิตใช้หลังมือปาดแผลแล้วลุกยืน ทำท่าจะไปเอาคืน ธากรณ์รีบดึงตัวไว้
“ฉันว่าฉันเห็นด้วยกับมันว่ะ ไป ขึ้นรถ”
ธากรณ์เปิดประตูรถแล้วผลักเตชิตเข้าไป
ธากรณ์ขับรถมาส่งเตชิตที่บ้าน เตชิตเดินนำธากรณ์เข้ามาในบ้าน ธากรณ์จับไหล่เตชิตกดลงนั่ง
“นั่งลง” ธากรณ์เดินไปรินน้ำในตู้เย็นมาวางให้เตชิต “เอ้า ดื่มซะจะได้ใจเย็นๆ”
“ฉันไม่ได้ใจร้อนนะเว้ย ไอ้พอลต่างหากที่มันต่อยฉันแกต้องเอาน้ำไปให้มันกิน”
“ฉันไม่ถ่อเอาไปให้มันถึงบ้านหรอก” เตชิตหยิบน้ำดื่มจนหมดแก้ว “แกไปทำแบบนั้นกับคุณปรายดาวทำไม... แกเคยหลงรักเขามาก่อน...”
“ฉันไม่เคยเห็นปรายดาวมาก่อนเลย จนกระทั่ง...” เตชิตถอนใจเฮือก “พูดไปแกก็ไม่เชื่อ”
“พูดมาก่อนเถอะแล้วฉันจะตัดสินใจเองว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อ”
“รับประกันได้เลยว่าแกไม่เชื่อ”
“อย่าเอามาตรฐานของแกมาตัดสินฉัน”
“ถ้าแกไม่เชื่อ แล้วฉันจะเสียดายน้ำลายกับเมื่อยปาก”
“เออน่า...า...ฉันไม่ใช่คนคับแคบ วิสัยทัศน์ฉันก็กว้างไกล”
“ฉันไม่รู้จักปรายดาว แต่รู้จักกับดวงวิญญาณของเธอ” ธากรณ์สะอึก “เรื่องมันเกิดขึ้นตอนฉันไปพักรีสอร์ทของไอ้ศรี ฉันเจอดวงวิญญาณของปรายดาวที่นั่น ฉันเรียกเธอว่าเสียงหวานเพราะเธอจำเรื่องราวของเธอไม่ได้เลย”
ธากรณ์มองเตชิตแปลกๆ
“น้องศรีตรังเคยเห็นหรือเปล่า”
“ไม่ ฉันเห็นคนเดียว อ้อ...ยังมีป้าจุอีกคน... เราสนิทกันอย่างรวดเร็ว”
“แล้วมี... เรื่องอย่างว่ากันมั้ย”
“ก็อยากจะมีเหมือนกัน แต่มันมีไม่ได้”
“ค่อยยังชั่ว”
“ฉันรับอาสาหาตัวตนให้เธอ แกก็รู้นี่เพราะฉันเอารูปวาดมาให้แกดู แล้วทีนี้ ...”
“ไอ้เต...”
“อะไร”
“ฉันมีเพื่อนเป็นจิตแพทย์ ฉันอยากให้แก ...”
“ในที่สุดแกก็ว่าฉันบ้า”
“เปล๊า...า...ฉันแค่...”
“ไอ้กรณ์”
“โอเค ใช่มั้ย”
“แกจะเดินออกไปเอง หรือจะให้ฉันเตะแกออกไป”
“ออกไปเองก็ได้”
ธากรณ์ลุกขึ้นเดินออกไป โดยไม่วายหันมามองเตชิตเป็นระยะๆ
“ไอ้บ้า”
พอออกมาจากบ้านเตชิต ธากรณ์จึงโทรศัพท์หาศรีตรัง ศรีตรังรับโทรศัพท์ด้วยสีหน้าโล่งใจ
“เป็นไงคะ พี่กรณ์”
“เรียบร้อยก่อนที่จะไปถึงอีกครับ ผู้กองพอลเป็นคนไกล่เกลี่ยกับพี่สาวคุณปรายดาวให้”
“ดูเขาสนิทกับสองศรีพี่น้องนั่นมากนะคะ”
“พี่ก็ไม่แน่ใจว่าความสัมพันธ์พวกเขาเป็นยังไงกันแน่ แต่เท่าที่รู้เดนนิสก็ระแวงพอลกับคุณปรกเดือนเหมือนกัน”
“ถ้าเรียบร้อยแล้วก็แล้วกันค่ะ ขอบคุณพี่กรณ์มาก”
“ไอ้เตมันพูดเหมือนมันกำลังคบกับวิญญาณของคุณปรายดาวอยู่ครับ”
ศรีตรังนิ่งไปครู่หนึ่ง
“เรื่องนี้ต้องพูดกันยาวค่ะ เอาไว้ศรีว่างวันไหน จะเล่าให้ฟัง”
“หมายความว่ามันไม่ได้บ้า”
“พี่กรณ์ต้องฟังเอง แล้วก็ต้องตัดสินใจเองค่ะ”
“ครับ ขอบคุณน้องศรีตรังมากครับ”
ธากรณ์เก็บโทรศัพท์แล้วเดินไปที่รถ
เตชิตกลับเข้าห้องแล้วเดินมานั่งที่เตียง หยิบซองสีน้ำตาลมาเปิด หยิบรูปวาดเสียงออกมาเตชิตเอนหลังบนเตียงยกรูปวาดเสียงหวานขึ้นดู
“เสียงหวาน คุณไปอยู่เสียที่ไหนนะ”
เตชิตวางรูปลงบนอกแล้วหลับตาลง...แต่แล้วจู่ๆ เตชิตก็ลืมตาขึ้นแล้วลุกมาหยิบโทรศัพท์อย่างรวดเร็ว
“ไอ้ศรี ฉันกำลังจะเดินทางไปที่รีสอร์ทแกเดี๋ยวนี้”
เตชิตปิดโทรศัพท์ แล้วเดินออกไป ศรีตรังวางโทรศัพท์อย่างงงๆ
“อะไรของมันวะ”
ที่ไร่สุขศรีตรังขณะนั้นจุรีถีบจักรยานผ่านมาบริเวณบ้านพักเตชิต เสียงหวานกำลังเดินไปเดินมาอยู่บริเวณนั้น จุรีเบิกตากว้างจักรยานเสียหลักพุ่งเข้าชนต้นไม้บริเวณนั้นล้ม
“โอ๊ย อูย”
จุรีคลำขาตัวเอง
“ขาหักหรือเปล่าคะ”
จุรีเงยหน้าขึ้นดูแล้วเบิกตากว้างเมื่อเห็นเสียงหวานกำลังก้มลงมองด้วยสีหน้าแววตาแสดงความห่วงใย
“คะ...คะ...คุณ...คุณหนูเผือก”
“ใครนะคะ”
“คะ...คุณ...”
“อย่าเพิ่งพูดอะไรเลยค่ะ ป้าเจ็บมากไหมคะหนูจะไปตามคนมาช่วย”
เสียงหวานลุกขึ้น แล้วขยับออกเดิน เสียงหวานกำลังจะก้าวพ้นบริเวณที่เคยเป็นตัวบ้านแต่เหมือน
เธอปะทะกับกำแพงแก้วอะไรอย่างหนึ่งจนกระเด็นกลับมาจุรีมองอย่างแปลกใจ
“เอ๊ะ”
เสียงหวานพยายามใหม่ แต่ก็เกิดเหตุการณ์อย่างเดิมอีก จุรีมองอย่างประหลาดใจจนลืมความเจ็บปวด เสียงหวานพยายามอยู่ครู่หนึ่งแล้วหันมาทางจุรีซึ่งพยุงตัวลุกขึ้นพร้อมกับจักรยาน
“ทำไมหนูออกไปไม่ได้น่ะคะ จะว่ามีกำแพงกั้นก็ไม่เห็นเลย”
เสียงหวานหันมาถามจุรี
อ่านต่อตอนที่ 12 บทมาเมื่อไหร่ เรียบเรียงเสร็จ อัพให้อ่านทันที