เนื่องจากบทโทรทัศน์ละครเรื่อง "ปางเสน่หา" ตอนที่ 10 ที่ลงใน “ละครออนไลน์” อยู่นี้ คือตอนล่าสุดที่ทีมงานดาราวิดีโอ เพิ่งถ่ายทำเสร็จ สำหรับบทตอนถัดจากนี้ ยังอยู่ในระหว่างการปรับแก้ตามการถ่ายทำที่เกิดขึ้นจริงในกองถ่าย ซึ่งถ้าบทตอนใหม่มาถึง ทีมงานละครออนไลน์ที่ยึดถือความถูกต้องตรงตามบทโทรทัศน์ จะรีบอัพขึ้นให้อ่านทันที และหากเหตุการณ์ดังกล่าวนี้ ทำให้ท่านผู้อ่านไม่พอใจ ทีมงานละครออนไลน์ ขออภัยมา ณ ที่นี้
ปางเสน่หา ตอนที่ 10
เตชิตนอนหลับด้วยความอ่อนเพลีย ขณะนั้นศรีตรังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ เสียงโทรศัพท์สั่น ศรีตรังรีบหยิบมาดูพอเห็นเบอร์ที่โทรเข้ามาจึงชะเง้อมองเตชิต เห็นหลับสนิทแล้วจึงค่อยๆ ย่องออกไป ศรีตรังหามุมเหมาะๆ แล้วกดรับโทรศัพท์
“โทรมาทำไมอีก”
“อยากให้เลี้ยงข้าวมื้อนึง”
“ฉัน...”
“อะไรกัน เพิ่งสัญญากันไม่ทันข้ามวัน ลืมซะแล้วไหนว่าเป็นคนรักษาสัญญานักหนาไง”
“ก็ได้ จะไปร้านไหนก็บอกมา ยกเว้นที่แพงๆ ทุกที่”
พอลนัดเจอกับศรีตรังที่ร้านอาหารธรรมดาๆ
“นึกว่าจะกินหรูๆ”
“อ้าว ถ้าหรูคุณก็เลี้ยงมื้อเดียวจบซิ กินอาหารจานเดียวแบบนี้ต้องหลายมื้อหน่อย ผมได้ประหยัดไปเยอะ”
“งก”
“เตเป็นไงบ้าง”
“ตอนฉันออกมา มันกำลังหลับ”
“ไม่ไหว เรียกแฟนว่ามัน”
“เวลาอยู่ 2 ต่อ 2 เราเรียกกันว่าที่รัก “
พอลทำท่าขยักขย้อน ศรีตรังทำหน้าตายกินข้าวไป
“อยากขอความช่วยเหลือหน่อย”
“แล้วหายกันนะ”
“ก็ได้”
“ว่ามา”
“ผมจะฝากผู้หญิงคนนึงให้ไปอยู่ในไร่คุณ”
“แฟนละซิ”
“ไม่ใช่ แต่เพื่อมนุษยธรรม”
“อยากจะอ้วก คุณมีด้วยเรอะ มนุษยธรรมน่ะ”
“โอ๊ย ผมมีเยอะ”
“ใคร”
“เจนจิรา”
ช้อนแทบหลุดจากมือศรีตรัง
เดนนิสมาหาปรกเดือนที่บ้าน ปรกเดือนมองเดนนิสด้วยสีหน้าแววตาเฉยเมย ทั้งๆ ที่เดนิสหอบของเยี่ยมมาเยอะแยะ
“แจ๋ว แจ๋ว”
“ขา ...”
“เอาของไปเก็บ แล้วอย่าลืมจัดให้คุณเดือนทานล่ะ”
“ค่ะ”
เดนนิสทรุดตัวลงนั่งใกล้ปรกเดือน ปรกเดือนขยับเบี่ยงตัวเล็กน้อย
“เลิกกับเจนจิราแล้ว” จู่ๆ เดนนิสก็บอกขึ้นมา แต่ปรกเดือนกับนั่งนิ่ง “คุณไม่ดีใจหรือ”
“แล้วคนใหม่เป็นใครล่ะคะ”
“ไม่มีคนใหม่คนเก่าที่ไหนทั้งนั้น ตั้งแต่นี้ไปฉันจะมีเดือนคนเดียว” ปรกเดือนยังคงนิ่งเฉย “ทำไม...ไม่เชื่อหรือ”
“เฉยๆ ค่ะ”
เดนนิสกอดปรกเดือน มือจับหน้าท้อง
“เด็ก... ดิ้นหรือยัง”
“ยังค่ะ เพิ่งจะ 2 เดือน”
“ถ้าอย่างนั้นก็ยังเอาออกง่าย”
ปรกเดือนผละจากเดนนิสทันที
“นี่คุณยังไม่ล้มเลิกความคิดชั่วๆ นี่อีกหรือคะ”
“หรือเธออยากให้มันเกิดมาเห็นสภาพแบบนี้”
“ก็เลิกเสียซะซิคะ เราจะได้ใช้ชีวิตครอบครัวให้เหมือนคนปกติ”
“ฉันถลำลึกเกินกว่าจะถอยออกมาแล้ว มันสายเกินไปแล้ว”
“ไม่มีคำว่าสายค่ะ ทุกอย่างเริ่มต้นได้เสมอ”
“ไม่ใช่สำหรับฉัน ฉันจะเลิกได้ก็ต่อเมื่อตายเท่านั้น” สีหน้าเดนนิสเศร้าแว่บหนึ่ง แล้วมองปรกเดือนยิ้มๆ “ถ้าฉันตายเสียได้ เธอก็คงจะดีใจ ห้ลูกเธอกำพร้าเสียยังจะดีกว่ามีพ่อแบบฉัน”
ปรกเดือนพยายามกล้ำกลืนน้ำตาลงไป แล้วหันหลังกลับเดินขึ้นไป เดนนิสมองตามสีหน้าแววตาหม่นเศร้าลง
ปรกเดือนกลับเข้าห้องเดินมานอนบนเตียงแล้วร้องไห้สะอึกสะอื้น ขณะนั้นเดนนิสยังคงนั่งอยู่ในอิริยาบถเดิม
แจ๋วเดินเข้ามาคุกเข่าลง
“เสี่ยคะ” เดนนิสเบือนหน้ามามอง “แจ๋วว่า ... คุณดาวดูแปลกๆ นะคะ”
“ก็พูดมาซิว่าแปลกยังไง ทำไมจะต้องรอให้ฉันถาม”
“คือ แจ๋วคิดเองว่า เธออาจจะฟื้นได้” เดนนิสนิ่วหน้า “คือระยะหลังนี่เธอกระตุกมากค่ะ กระตุกจนบางวัน แจ๋วมีความรู้สึกว่าเธอจะลุกขึ้นมา”
เดนนิสมีสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด
ที่โรงพยาบาลขณะนั้นเสียงหวานพยายามจะเข้าไปร่างตัวเองแต่ไม่สำเร็จ
“ทำไมฉันถึงเข้าไปไม่ได้” ร่างปรายดาวเริ่มกระตุก เสียงหวานรีบลุกขึ้นเรียกพยาบาลซึ่งเฝ้าอยู่ “คุณพยาบาลคะ ฉันกระตุกอีกแล้วค่ะ”
พยาบาลยังคงนั่งอ่านหนังสือเพราะไม่ได้ยินเสียงหวาน ระหว่างนั้นมีเสียงเคาะประตูดังขึ้นแล้วเดนนิสก็เดินเข้ามา พร้อมกับช่อดอกไม้ เสียงหวานมองและอ้าปากค้างขณะที่พยาบาลยกมือไหว้เดนนิส เดนนิสรับไหว้ด้วยท่าทีสุภาพ
“ยัยดาวเป็นยังไงบ้างครับ”
“ก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงค่ะ”
เดนนิสวางช่อดอกไม้บนโต๊ะหัวเตียงแล้วลูบผมปรายดาวเบาๆ ให้พยาบาลเห็นความสนิทสนม พยาบาลจึงเดินเลี่ยงจะออกไป เสียงหวานรีบเดินไปดักหน้าพยาบาลเอาไว้
“อย่าออกไปค่ะ เดี๋ยวเขาจะฆ่าฉัน” พยาบาลเดินผ่านทะลุเสียงหวานออกไป “ตายแล้ว”
เสียงหวานเดินมาหยุดอีกด้านของเตียงคอยสังเกตท่าทีของเดนนิสซึ่งอยู่ตรงกันข้าม
“เธอจะฟื้นขึ้นมาหรือเปล่า”
“ฉันอยากฟื้น” เสียงหวานบอกทั้งที่รู้ว่าเดนนิสไม่ได้ยิน
“แต่อย่าฟื้นเลย”
“อ้าว”
“เพราะหากเธอฟื้นเมื่อไหร่ เธอก็ต้องตายจริงเมื่อนั้น อยู่เป็นเจ้าหญิงนิทราอย่างนี้น่ะดีแล้ว”
เสียงหวานมองเดนิสอย่างพิศวง
ทางด้านศรีตรังหลังแยบกจากพอล ศรีตรังก็กลับมาหาเตชิตที่โรงพยาบาล
“เรื่องมันวุ่นวายขายปลาช่อนแบบนี้แหละ อีตาพอลว่าหาเรื่องมาให้ฉันจริ๊ง”
ศรีตรังนั่งบ่นกับเตชิต
“แล้วแกจะว่ายังไง จะเฉยหรือว่าช่วย”
“เฮ้อ ในเมื่อรู้แล้วมันก็ต้องช่วย... ไม่น่าเชื่อ”
“ไม่น่าเชื่ออะไร”
“ก็ไม่น่าเชื่อที่ตาพอลรู้จักเป็นห่วงชีวิตคนอื่น เอ๊ะ หรือว่าเขาชอบยัยเจนจิรา”
“อย่าเพิ่งคิดโน่นคิดนี่ให้มันวุ่นวายเลย จะทำยังไงก็รีบทำ”
ศรีตรังมีสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด
ขณะนั้นเจนจิรากำลังเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋า โทรศัพท์ดังขึ้นเจนจิราเดินมาหยิบขึ้นดูแต่หน้าจอไม่ปรากฎชื่อ
“ใคร” เจนจิราตัดสินใจกดรับ “ใครน่ะ”
“ฉันเป็นเพื่อนเตชิต คุณกำลังมีอันตราย” ศรีตรังบอก
“ฉันถามว่าใคร”
“จำเรื่องเมื่อวันก่อนได้หรือเปล่า เดนนิสจับได้ว่าคุณไปกินข้าวกับผู้กองเตชิตขนาดเตชิตยังเกือบตายแล้วคิดหรือว่า เดนนิสจะไว้ชีวิตคุณ”
“ฉันกำลังจะไปที่อื่น”
“ฉันจะให้คนไปรับคุณ”
“เธออาจจะเป็นคนของเสี่ย”
“เสี่ยคุณน่ะเขาไม่ส่งคนไม่รู้จักมาหลอกคุณไปให้มันลึกลับซับซ้อนเล่นหรอก มือปืนเขามีเยอะแยะจะส่งไปเก็บคุณเมื่อไหร่ก็ได้ ซึ่งก็คงจะอีกไม่นาน” เจนจิราถอนใจพะว้าพะวัง “ว่าไง ถ้าตกลงฉันจะส่งคนไปรับ คุณควรจะลองเสี่ยงดูนะ เพราะยังไง เสี่ยก็ต้องส่งคนไปฆ่าคุณอยู่วันยังค่ำ”
เจนจิราเม้มปากอย่างตัดสินใจ
เสียงหวานปรากฏตัวขึ้นในห้องเตชิต เสียงหวานเข้าไปปลุกเตชิตใกล้ๆ
“คุณเตชิต คุณเตชิตคะ”
เตชิตลืมตาขึ้น สีหน้าฉายแววดีใจเมื่อเห็นเสียงหวาน
“คุณหายไปไหนมา”
“ฉันพยายามจะเข้าร่างเดิมค่ะ”
“อะไรนะ” เตชิตชะงัก เสียงหวานทำหน้าละห้อย
“คุณคงยังไม่ทราบว่า เขาเอาร่างฉันมาไว้ที่โรงพยาบาลนี้เหมือนกัน ฉันพยายามอยู่ตั้งนานก็เข้าไม่ได้ จนกระทั่ง...” สีหน้าแววตาเสียงหวานดูหวาดกลัว “เขาเข้ามา”
“ใคร เขาน่ะใคร”
“สามีพี่สาวฉันค่ะ เขาบอกกับฉันที่นอนอยู่ว่า ถ้าฟื้นเมื่อไหร่เขาจะฆ่าฉัน ฉันไม่ได้ทำอะไรให้เขาซักหน่อย”
เตชิตมีสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด
“ถ้าอย่างนั้น เดนนิสอาจจะมีส่วนในการตาย เอ๊ย... โคม่าของคุณ”
เตชิตพยายามยันตัวลุกขึ้น
“คุณจะไปดูฉันหรือคะ อย่าเพิ่งดีกว่า มันอันตราย” เสียงหวานถามอย่างตกใจ
“ผมต้องไป”
“อย่าเลยค่ะ ฉันขอร้อง”
“คุณจะขอร้องไม่ให้ผมเข้าห้องน้ำเรอะ”
เสียงหวานอายแสงรอบตัวเปลี่ยนเป็นสีชมพู เตชิตมองอย่างเอ็นดูเสียงหวานยิ่งเขิน ทั้งหน้าแสงเป็นสีชมพูจัด
ส่วนเจนจิราเมื่อแต่งตัวเสร็จเธอก้าวออกมาจากห้องพร้อมลากกระเป๋าเดินทางออกมาด้วย 2 ใบ เจนจิราตรวจดูความเรียบร้อยในห้อง เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นเจนจิราหยิบขึ้นมาดูแล้วสะดุ้ง
“เสี่ย” เจนจิราลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วกดรับ “เสี่ยขา...เจนกำลังคิดถึงเสี่ยอยู่พอดีเชียวค่ะ”
“ฉันให้คนไปรับเธอที่คอนโดฯ มีเรื่องจะคุยด้วย”
“คะ...คุย...คุย อะไรคะ”
เดนนิสหัวเราะเหี้ยมๆ
“ทำไมจะต้องถาม เธอเคยกระตือรือร้นจะมาหาฉันอยู่ตลอดนี่ โดยเฉพาะอยากมาที่บ้านด้วยเธอจะได้เอาไปอวดปรกเดือนไง” เจนจิรานิ่งอึ้งพูดไม่ออก “เดี๋ยวเขาก็คงไปถึง หรือไม่ก็อาจจะไปถึงแล้ว”
เดนนิสวางโทรศัพท์ลง เจนจิรากลัวจนทำอะไรไม่ถูก
“โอ๊ย จะทำยังไงดี จะทำยังไงดี” เสียงเคาะประตูดังขึ้น เจนจิราสะดุ้งเฮือกหันไปมอง “คะ...ใคร...ใคร...คะ”
“ผมมารับคุณเจนจิราครับ”
“ฉัน...ฉันไม่สบาย ไม่ไปไหนทั้งนั้น”
เจนจิรารีบเอาเก้าอี้มาขวางประตูไว้ แล้วเดินเข้าไปในห้องล็อคประตู เจนจิราเดินไปชะโงกหน้าต่างแล้วทำหน้าหวาดเสียว
“ไม่เคยคิดอยากจะเป็น spider man เท่าตอนนี้เลย”
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีก เจนจิรามือไม้อ่อนด้วยความกลัว เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกเจนจิราสะดุ้งเฮือกทั้งเสียงเคาะประตู ทั้งเสียงโทรศัพท์ดังระงม เจนจิรายกมืออุดหู ท่าทางเต็มไปด้วยความหวาดผวา
ขณะนั้นรถศรีตรังจอดอยู่บริเวณที่จอดรถคอนโดของเจนจิรา ศรีตรังถอนใจเฮือกหันมาทางธง
“เขาไม่ยอมรับโทรศัพท์”
“ผมจะขึ้นไปดู”
“ฉันดีกว่า เพราะถ้าเป็นจ่าธง เขาอาจจะกลัว เพราะไม่เคยเห็นหน้า”
“ระวังตัวนะครับ ถ้ามีอะไรก็โทร เรียกผมเลย”
“ขอบคุณค่ะ จ่า”
ศรีตรังเปิดประตูรถก้าวออกไป
ศรีตรังมาหาเจนจิราที่ห้องแต่ต้องชะงักเมื่อเห็นคนของเดนนิสยืนอยู่หน้าห้องเจนจิราและกำลังเคาะประตูเรียกเจนจิราอยู่ ศรีตรังรีบกดโทรศัพท์หาธง
“จ่าธง คนของเดนิสอยู่หน้าห้องเจนจิรา ให้ รปภ. ขึ้นมาดูหน่อย”
ศรีตรังปิดโทรศัพท์ แล้วหลบคอยสังเกตการณ์อยู่บริเวณนั้น
ส่วนเจนจิราแม้จะอยู่ในห้องแต่เธอมีท่าทางสับสนหวาดกลัวใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวไปหมด
“ต้องโทรหาตำรวจ ตำรวจเบอร์อะไรล่ะ 919 ...119 โอ๊ย ทีตอนนี้คิดไม่ออก”
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เจนจิราสะดุ้งเฮือกแล้วก้มมอง
“ไม่มีชื่อ โอเค เลย” เจนจิรากดรับแล้วใส่เป็นชุด “ทำไมถึงเพิ่งจะโทรมา ฉันกลัวจะแย่แล้ว”
“ฉันโทร มาตั้งนาน แต่คุณไม่รับ”
“เหรอ”
“อยู่อย่างนั้นแหละ อย่าเพิ่งออกมาฉันเรียก รปภ. แล้ว”
“ขอบใจ”
ศรีตรังปิดโทรศัพท์ ขณะนั้น รปภ. ร่างใหญ่สองคน เดินตรงมาพอดี ธงย่องมาสมทบกับศรีตรัง รปภ. เจรจากับลูกน้องเดนนิส ลูกน้องเดนนิสจำต้องเดินกลับไป ธงและศรีตรังถอนใจอย่างโล่งอก
ศรีตรังกับธงรีบพาเจนจิราออกจากคอนโด ศรีตรังนั่งหน้าคู่กับธงที่รับหน้าที่ขับรถ ขณะที่เจนจิรานั่งอยู่เบาะหลัง ศรีตรังเหลือบมองเจนจิราทางกระจก
“จะไม่ถามถึงเตชิตบ้างเรอะ”
“เขาเป็นยังไงบ้างล่ะ”
“ถ้าไม่ไปช่วยทันเวลาก็ตายสถานเดียว”
“เป็นแฟนเขาละซิถึงได้เดือดร้อน”
“คนที่จะเดือดร้อนแทนกันได้ไม่ใช่เฉพาะเป็นแฟนกันเท่านั้นหรอก เพื่อนก็มี”
“คุณเตชิตใช่ไหมที่บอกให้พวกคุณมาช่วยฉัน”
“ไม่ใช่”
“งั้นใคร”
“เป็นคนที่คุณคิดไม่ถึงก็แล้วกัน อ้อ เราต้องตกลงกันก่อน ไปอยู่กับฉันคุณต้องสงบเสงี่ยมเจียมตัวอยู่แต่ในที่พัก อย่าได้เยี่ยมหน้าออกมาให้ใครเห็นเด็ดขาด เพราะพวกฉันที่ไร่อาจจะพลอยเดือดร้อนไปด้วย”
“อุดอู้ตายชัก”
“ก็เลือกเอาเอง ระหว่างตายกับอุดอู้”
เจนจิรามีสีหน้าไม่พอใจแต่ไม่กล้าพูดมาก เพราะตอนนี้เธอต้องพึ่งศรีตรัง
ส่วนที่บ้านเดนนิส ขณะนั้นเดนนิสปัดของบนโต๊ะด้วยความโกรธจัดเมื่อรู้ว่ามีคนมาช่วยเจนจิรา
“ใครบังอาจไปช่วยมัน”
“น่าจะเป็นผู้กองเตชิตได้ไหมครับ เพราะดูแล้วก็ไม่น่าจะมีใครนอกจากมัน”
เฮงบอก เดนนิสนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วขบกราม
“ไอ้เตชิต มันฆ่าคนของฉัน มันแย่งผู้หญิงของฉัน ก่อนหน้านี้มันก็นำกำลังเข้าจับยาล็อตใหญ่ของฉัน เพราะฉะนั้นมันจะอยู่ร่วมโลกกับฉันไม่ได้” สีหน้าเดนนิสดูน่ากลัว “ไอ้เฮง”
“ครับ”
“ให้ใครไปสืบดูซิว่ามันอยู่โรงพยาบาลไหน แล้วส่งคนไปเก็บมัน”
“ครับ เสี่ย”
เฮงเดินออกไป สีหน้าเดนิสยังไม่หายแค้น
เมื่อส่งเจนจิรากับศรีตรังที่ไร่สุขศรีตรังแล้วธงจึงกลับมาหาเตชิตที่โรงพยาบาล เตฃิตขยับจะลุกขึ้นธงรีบเข้าประคอง
“ ผู้กองจะไปไหนครับ”
“ไปเยี่ยมใครคนหนึ่ง”
“แล้วใครคนนั้นอยู่ที่ไหนครับ”
“จ่าธง”
“ครับผม”
“ถ้าไม่สอดจะได้มั้ย”
ธงยิ้มแห้งๆ
ธงเข็นรถเตชิตมาจนถึงหน้าห้องปรายดาว
“ใช่ครับ น.ส.ปรายดาว ห้องนี้แหละ”
“เคาะประตูซิ”
ธงเคาะประตูเบาๆ แล้วเปิดประตูเข็นรถเตชิตเข้าไป พยาบาลที่เฝ้าปรายดาวลุกขึ้นหันมามอง
“ผม...ร้อยตำรวจเอกเตชิตครับ เป็นเพื่อนกับคุณปรายดาว”
“ค่ะ”
ธงเข็นรถไปใกล้เตียง เตชิตมองปรายดาวแล้วชะงักสีหน้าบอกความตื่นเต้นและประหลาดใจล้นพ้น
“เสียงหวาน ใช่เสียงหวานจริงๆ”
เตชิตพึมพำออกมาเบาๆ
ธงเข็นรถพาเตชิตกลับห้องขณะนั้นเสียงหวานยืนอยู่มุมหนึ่ง
“คุณเห็นแล้วใช่มั้ยคะ”
เสียงหวานถามเตชิต
“คุณยังไม่ตาย”
ธงสะดุ้งชักเลิ่กลั่ก
“ฉันพยามยามจะเข้าร่าง แต่ก็ไม่สำเร็จ”
“มันต้องมีวิธีซิ”
“วิธีอะไรหรือครับ” ธงถามอย่างสงสัย
“วิธีเข้าร่างเดิม” เตชิตบอก ธงถึงกับอึ้ง “จ่าธงกลับไปเถอะ ฉันมีเพื่อนแล้ว”
“ผะ...ผู้...กอง”
“ไปเถอะน่า ไม่ต้องเป็นห่วง ขืนอยู่เดี๋ยวได้เป็นไข้หัวโกร๋น”
ธงรีบทำความเคารพ
“งั้นผมลาละครับ”
ธงรีบเปิดประตูออกไป เมื่อธงไปแล้วเตชิตจึงขึ้นไปนั่งบนเตียง ขณะที่เสียงหวานนั่งลงบนโซฟา
“ผมแทบไม่เชื่อสายตา”
“ยิ่งฉันได้อยู่ใกล้ร่างเดิมมากเท่าไหร่ ความทรงจำเก่าๆ ก็เริ่มกลับคืนมา...มันเหมือนช่องว่างเวลาที่ฉันติดอยู่ในอดีตและเวลาปัจจุบันถูกตบจนเต็มและเส้นสายความทรงจำก็ค่อยๆต่อเชื่อมกันจนกระทั่งครบถ้วนสมบูรณ์”
“เมื่อวาน คุณยังจำไม่ค่อยได้”
“บอกแล้วไงคะว่าความทรงจำค่อยๆ กลับคืนมา”
“ถ้าอย่างนั้น อีกไม่นานคุณก็ต้องเข้าร่างได้”
“ไม่ทราบซิคะ จนถึงตอนนี้ฉันเริ่มไม่ค่อยแน่ใจแล้ว บางที...ฉันคงออกจากร่างตัวเองมานาน มันอาจจะเหมือนบาดแผลที่ถูกทิ้งไว้และปิดสนิทไปแล้ว ฉันถึงเข้าไปไม่ได้”
สีหน้าแววตาเสียงหวานหม่นเศร้า แสงสีขาวเปลี่ยนเป็นสีเทาหม่น
“คุณนอนหลับแบบนี้มานานเท่าไหร่”
“สองปีกว่าค่ะ”
“มันเกิดขึ้นได้ยังไง”
“ฉันประสบอุบัติเหตุค่ะ”
“ที่ไร่สุขศรีตรังน่ะหรือ”
“ไม่ใช่ค่ะ ตรงที่เราพบพระองค์ที่คุณห้อยอยู่”
“แล้วทำไมวิญญาของคุณถึงไปอยู่ที่ไร่สุขศรีตรังล่ะ” คำถามนี้ทำให้เสียงหวานนิ่งอึ้ง “ถ้าคุณยังไม่อยากเล่าก็ไม่เป็นไร พรุ่งนี้ผมจะเอาสร้อยคุณไปคืน”
“ไม่ต้อง” เสียงหวานรีบบอก เตชิตมองเสียงหวานอย่างแปลกใจ “ฉันอยากให้คุณเก็บไว้เป็นที่ระลึกค่ะ ...คุณพ่อคุณแม่เป็นคนให้ฉันไว้ติดตัวก่อนที่ท่านจะเสีย สร้อยพระนั่นถึงได้สำคัญสำหรับฉันมาก... “เสียงหวานลุกเดินไปที่ระเบียงมองออกไปยังท้องถนนเบื้องหน้า เตชิตมองตามด้วยสีหน้าแววตาอ่อนโยน “ฉันอาจจะไม่มีโอกาสกลับเข้าร่างอีก... ต้องเป็นวิญญาณพเนจรแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ถ้าวันหนึ่งหมดกรรม ฉันจากโลกนี้ไปจริงๆ ฉันอยากให้คุณเก็บไว้เป็นที่ระลึก ...” เสียงหวานเบือนหน้ากลับมาตาละห้อย “นึกถึงฉันบ้างนะคะ”
เตชิตลุกเดินจากเตียงมาที่ตรงหน้าเสียงหวาน เสียงหวานหลับตาลงแล้วค่อยๆ ยกมือขึ้นไล้เบาๆ บริเวณหน้าอกเตชิตที่สวมสร้อย เตชิตหลับตามือเสียงเหมือนจะแตะโดนเนื้อบริเวณนั้น
“ผมไม่มีวันยอมให้คุณเป็นวิญญาณพเนจร เพราะไม่ว่าผมไปไหน คุณก็ต้องไปด้วย ผมไม่ปล่อยให้คุณหนีไปไหนหรอกน่า อย่าหวังเลย”
เสียงหวานลืมตาขึ้น ตาต่อตาสบตากันเต็มไปด้วยความรัก เตชิตให้กำลังใจขณะที่เสียงหวานยังเศร้าไม่แน่ใจ
เช้าวันรุ่งขึ้นที่บ้านศรัตรัง จุรีและอ้อยช่วยกันเสิร์ฟอาหารเช้าที่โต๊ะหน้าบ้าน ศรีตรังกับเจนจิราเดินออกมา
“นอนหลับสบายมั้ยค้า คุณนางเอก”
จุรีทักเจนจิรา
“คงจะแปลกที่ค่ะ เลยหลับไม่ลง”
เจนจิราบอก เสียงโทรศัพท์เจนจิราดังขึ้น ศรีตรังรีบคว้าไว้ก่อนที่เจนจิราจะรับ
“ฉันบอกแล้วว่าห้ามรับโทรศัพท์”
“แล้วจะไม่ให้ฉันติดต่อกับใครเลยเรอะไง” เจนจิราถามอย่างไม่พอใจ
“ใช่ เพราะถ้ามันอันตรายกับคุณคนเดียว ฉันจะไม่สนเลยสักนิด แต่นี่อันตรายมันจะตามมาถึงคนของฉันด้วย”
ตรีทศและสมเดินเข้ามา
“เชิญค่ะ คุณสม คุณทศ”
จุรีบอก เจนจิราปรายตามองแว่บหนึ่งแล้วลุกขึ้น
“ฉันจะเข้าไปข้างใน”
“แล้วพี่เจนไม่ทานอะไรก่อนหรือคะ” อ้อยรีบถาม
“ปกติฉันกินน้ำส้มคั้นแก้วเดียว เดี๋ยวเอาไปให้ฉันบนห้องด้วยก็แล้วกัน” ทุกคนสะอึกอึ้งกันไปหมด ขณะที่ศรีคว้าเก็บมือถือเจนจิราไว้ “โอ๊ย นี่มันยิ่งกว่าโรงเรียนประจำอีกนะ”
“เพื่อความปลอดภัยของคนในไร่ฉัน”
เจนจิราสะบัดหน้าเดินกลับเข้าบ้าน
“อะลัตตั๊ดต๊า สะบัดบ๊อบไปเลย”
เจนจิรากลับเข้าห้องแล้วทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาอย่างหงุดหงิด
“ไม่รู้ว่า จะทนอยู่ไปได้นานแค่ไหน “
ด้านนอกขณะนั้นทุกคนกำลังคุยกันเรื่องเจนจิรา
“ด้วยความเคารพ ผมว่ามันน่าหนักใจเหมือนกันนะครับ” สมบอก
“ถ้าวุ่นวายมากนัก ศรีว่าจะส่งคืนเหมือนกันค่ะ”
“มาพนันกันมั้ยคะ พี่ทศว่านางเอก เจนจิราจะอยู่ที่นี่ได้สักกี่วัน”
“นังอ้อย”
“ผมไม่เล่นการพนันครับ”
อ้อยหน้างอ
ส่วนที่กรุงเทพขณะนั้นพอลกำลังเดินเข้ามาในโรงพยาบาล เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นพอลหยิบมาดูแล้วกดรับ
“โทรมาแต่เช้า ท่าทางจะคิดถึงกันมาก”
“ปากเหม็นแต่เช้า”
“เคยดมแล้วเรอะไง”
“ไม่ต้องดมหรอก กลิ่นมันออกมาทางโทรศัพท์”
“งั้นคงไม่ใช่กลิ่นผมแล้วมั้ง เจนจิราเป็นไงบ้าง”
“อยากจะไล่กลับกรุงเทพ เสียวันนี้เดี๋ยวนี้”
“อดทนหน่อยก็แล้วกัน ถือว่าเอาบุญ”
“งั้นทำไมไม่เอาไปไว้ที่บ้านตัวเองล่ะ”
“งานผมยังไม่เสร็จ อีกอย่างผมไม่อยากให้เขารู้ว่าผมเป็นคนฝากคุณ เอางี้เดี๋ยวจะไปเยี่ยมไอ้เตให้”
“ไม่จำเป็น เตโทรมารายงานตัวแล้วแต่เช้า”
พอลปิดโทรศัพท์อย่างหงุดหงิด
ที่ห้องเตชิต ขณะนั้นเตชิตยันตัวลุกขึ้นขยี้ตาอีกราวกับจะให้แน่ใจว่าภาพที่เห็นนั้นเป็นความจริง เสนาเหลือกตามองเพดานอย่างรำคาญขณะที่ธงและตำรวจอมยิ้ม
“นี่นายนึกว่าฉันเป็นภาพลวงตาเรอะไง”
เสนาถาม เตชิตรีบยึดตัวนั่งตรง ทำความเคารพ
“ขออภัยครับ ผู้กำกับ”
“เป็นไงบ้างล่ะ”
“ก็อย่างที่เห็นนี่แหละครับ”
“เออ ก็แล้วไอ้ที่ไม่เห็นน่ะมันเป็นยังไง”
“ผู้กำกับหมายถึงอะไรครับ”
“ไอ้เต”
“ครับผม”
“ฉันจะทำยังไงกับนายดี”
“ปกติ ถ้าบาดเจ็บในหน้าที่เขาต้องเลื่อนยศ”
“แต่เท่าที่รู้ แกบาดเจ็บเพราะพาผู้หญิงไปเที่ยว พอแฟนเขารู้เข้าโกรธเลยเอาเรื่อง”
“ผู้กำกับครับ แฟนของผู้หญิงคนนั้น คือ ไอ้เดนนิส ผมจะไปกับเจนจิราก็เพื่อจะสืบ...”
“ไอ้เตห่าง ...ง...ง บอกไม่รู้กี่หนว่างานนี้เป็นของผู้กองพอล นายนี่ชอบเข้ามาชักใบให้เรือเสียซะเรื่อย แล้วนี่จะอยู่อีกซักกี่วัน”
“คงจะอีก 3-4 วันครับ”
“หา! อยู่ทำไมนานขนาดนั้น ต่อปากต่อคำเก่งแบบนี้ วันนี้ก็ออกได้แล้วฉันอนุญาตให้อีก 2 วัน”
“ขอบคุณครับผม”
“ไปละ”
“ครับผม”
ทุกคนทำความเคารพเสนา เมื่อเสนาออกจากห้องไปแล้วเตชิตถึงกับถอนหายใจ
อีกด้านที่ห้องปรายดาว พอลเปิดประตูให้ปรกเดือนเดินเข้ามาก่อน แล้วปิดประตู ปรกเดือนเดินมาที่เตียงขณะที่นักกายภาพกำลังทำกายภาพบำบัดให้ปรายดาวโดยมีเสียงหวานมองอยู่ใกล้ๆ อย่างสนใจ
“วันนี้เป็นยังไงบ้างคะ”
ปรกเดือนถามนักกายภาพบำบัด
“มีกระตุกบ้างค่ะ”
เสียงหวานมองภาพนั้นด้วยความรู้สึกสะเทือนใจครู่หนึ่งแล้วจึงหายไป...เสียงหวานปรากฏตัวขึ้นในห้องเตชิตสีหน้าแววตาหมองๆ
“ไปเยี่ยมร่าง ตัวเองมาละซิ” เสียงหวานยังคงไม่พูดไม่จา เตชิจจึงเข้าใจผิดคิดว่าเสียงหวานเศร้าที่ยังเข้าร่างไม่ได้ “อย่าเพิ่งคิดมากซิ ถ้าคุณยังไม่ตายก็หมายความว่ายังไม่ถึงฆาต แล้วถ้าไม่ถึงฆาต คุณก็ต้องฟื้นขึ้นมาจนได้สักวันนึง”
“มันไม่ใช่เรื่องนั้นหรอกค่ะ”
“แล้วเรื่องอะไร”
“เรื่องของคนที่ทรยศต่อความไว้วางใจของฉัน”
“หมายถึงใคร” เสียงหวานเลือนหายไป เหมือนยังไม่อยากตอบ “วันนี้มาแปลก ใครกันที่ทรยศต่อความไว้วางใจของคุณ”
ส่วนที่ห้องปรายดาวขณะนั้นปรกเดือนและพอล ขอบคุณนักกายภาพซึ่งกำลังจะเดินออกไป
“ขอบคุณมากนะคะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ “
“เธอสวยจังนะคะ”
ปรกเดือนยิ้มอ่อนโยนขณะเบือนหน้าไปมองปรายดาวอย่างรักใคร่
“ค่ะ สวยมาก”
นักกายภาพบำบัดเดินออกไป
“วันนี้ผมมีธุระ คงต้องกลับก่อน” พอลบอกปรกเดือน
“เชิญเถอะค่ะ ไม่ต้องเป็นห่วงเดี๋ยวเดือนจะโทรให้คนขับรถมารับ”
“งั้นผมคงต้องขอตัวก่อน “
“ขอบคุณนะคะ”
พอลบีบมือปรายดาวเบาๆ
“ผมไปก่อนนะดาว แล้วจะมาเยี่ยมใหม่”
พอลเดินกลับออกไป
อีกด้านหนึ่งที่ไร่สุขศรีตรังขณะนั้นศรีตรังกำลังปรึกษาสมกับตรีทศเรื่องฟื้นฟูไร่
“ผมจะให้ทั้ง 3 บริษัทเสนอราคามาก็แล้วกัน” ตรีทศบอก
“ดีค่ะ เรื่องนี้คุณทศรับไปจัดการเลย ส่วนเรื่องไร่ข้าวโพด...”
“ด้วยความเคารพ ผมถนัดเรื่องนี้ครับ เลยขอแบ่งเบาภาระตรงนี้ก็แล้วกัน”
“ขอบคุณมากทั้ง 2 คน ถ้ามีอะไรติดขัดก็บอกศรีได้ทันที”
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นศรีตรังหยิบขึ้นมาดู สีหน้าที่เป็นงานเป็นการเปลี่ยนเป็นงอหงิกขึ้นมาทันทีก่อนจะกดรับ
“ว่ามา”
“ผมกำลังเดินทางไปไร่คุณนะ คงจะถึงที่นั่นประมาณ 11 โมงกว่า”
“เป็นห่วงนางเอกใช่มั้ยล่ะ”
“ฟังเสียงเหมือนกับจะหึงแฮะ”
“ไอ้คุณพอล”
ตรีทศและสมสะดุ้งกับเสียงเกรี้ยวกราดของศรีตรัง
“เดี๋ยวเจอกัน”
พอลบอกแล้ววางหู ศรีตรังปิดโทรศัพท์อย่างโมโห
“ฉันไม่อยู่เจอให้โง่หรอก” ศรีตรังชะงักนิดหนึ่ง เมื่อเห็นสมกับตรีทศมองมาแปลกๆ “ด้วยความเคารพ เชิญครับ”
ศรีตรังบอกแล้วลุกเดินออกไป
ศรีตรังเดินออกมาเจอเจนจิราที่นั่งหงุดหงิดอยู่คนเดียวเพราะออกไปไหนไม่ได้
“ออกไปไหนก็ไม่ได้ ... อีกหน่อยฉันต้องเป็นบ้าตายแน่”
เจนจิราบ่น ศรีตรังเดินเข้ามาหา
“คุณเจนจิรา” เจนจิราหันมามอง “ฉันจะออกไปข้างนอก”
“ไปด้วยคนซิ”
“ไปก็ไป” เจนจิราหน้าสดชื่นขึ้น “แต่เดี๋ยวพอลจะมา”
สีหน้าเจนจิราเปลี่ยนเป็นตื่นเต้น
“งั้นไม่ไปแล้ว คุณจะไปไหนก็ไปเถอะ ฉันต้องขัดสีฉวีวรรณคอยต้อนรับแขกหน่อย มาอยู่วันสองวัน ผิวชักจะหยาบกร้าน”
เจนจิราเดินกลับเข้าบ้านด้วยสีหน้าท่าทางมีชีวิตชีวามากขึ้น ศรีตรังมองตามแล้วเบ้ปาก
อ่านต่อหน้า 2
ปางเสน่หา ตอนที่ 10 (ต่อ)
เจนจิราเดินกลับเข้าบ้านสวนกับตรีทศและสมที่เดินคุยกันออกมา เจนจิราวางท่าหญิ่งขณะถามหาอ้อย
“อ้อยอยู่มั้ย” ตรีทศและสมมองหน้ากันเลิ่กลั่ก เจนจิรายิ่งหงุดหงิด “ฉันถามว่า อ้อยอยู่มั้ย”
“ด้วยความเคารพ ถามใครหรือครับ”
“โอ๊ย ก็ถามเรา 2 คนน่ะซิ เซ่อซ่าพิลึก”
ตรีทศหันมาทางสมและทำหน้าตาย
“ลุงสมรู้มั้ย”
“ด้วยความเคารพ ไม่รู้ แล้วคุณล่ะ”
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน”
ตรีทศและสมหันมาทางเจนจิราแล้วบอกออกมาพร้อมกัน
“ไม่รู้ครับ”
“โอ๊ย บ้า คนที่ไร่นี้มีแต่บ้าห้าร้อยจำพวกน่าจะเปลี่ยนจากไร่สุขศรีตรังเป็นทุกข์ซะจัง”
เจนจิราสะบัดหน้าเดินเข้าบ้าน
“เดินสะบัดบ๊อบไปเลย” ตรีทศบอก
“ด้วยความเคารพ ใบหน้าอย่างคุณทศไม่น่าจะพูดประโยคนี้ได้นะครับ” สมบอกขณะนั้นอ้อยเดินเข้ามาด้วยหน้าตาเหมือนอดนอน “มาพอดี คุณดาราเรียกแน่ะ”
“พี่ทศ เย็นนี้ไปหาหมอหมอแก่กับอ้อยหน่อยซิ”
“ผมมีงานทำ ชวนลุงสมไปซิ” ตรีทศบอกแล้วเดินออกไป
“ด้วยความเคารพ ลุงก็เกิดไม่ว่างเหมือนกัน”
สมบอกแล้วรีบเดินไป อ้อยหงุดหงิดเดินเข้าบ้านแล้วมาหาเจนจิราที่ห้อง
“พี่เจนคะ พี่เจน”
“ค่อยยังชั่ว”
เจนจิราเดินไปเปิดประตูแล้วกลับมานั่งที่โต๊ะเครื่องแป้ง อ้อยตามเข้ามาแล้วปิดประตู
“พี่เจนเรียกอ้อยหรือคะ”
“ฮื่อ” เจนจิราชูลิปสติกให้ดู “ชอบลิปสติกสีนี้มั้ย”
“อุ๊ย ชอบซิคะของฟรีอ้อยชอบทั้งนั้น”
“งั้นต้องขัดหลังให้ฉันก่อน”
“สบายมากเลยค่ะ จะให้ขัดหน้าด้วยก็ได้อ้อยนวดสปาเป็นด้วยนะคะ”
“แหม! ดีเลย งั้นจะแถมบลัชออนให้อีกอัน”
“ปลื้มค่ะ ขอบคุณค่ะ”
เจนจิราลุกเดินไปเข้าห้องน้ำ อ้อยรีบเดินตาม
ส่วนพอลเมื่อมาถึงบ้านศรีตรังพอลลงจากรถเดินไปที่หน้าบ้าน
“มีใครอยู่บ้างครับ”
เจนจิราแต่งตัวสุดเปรี้ยว ใส่น้ำหอมกลิ่นฟุ้งเดินออกมา พอลจามแล้วจามอีก เจนจิราค่อยๆ หุบยิ้ม สีหน้าแปลกใจ “เป็นหวัดหรือคะ”
“เปล่าครับ...แถวนี้มีบ่อน้ำหอมด้วยหรือครับ”
พอลมองไปรอบๆ เจนจิราหัวเราะคิก
“น้ำหอมเจนเองค่ะ”
“ผมแพ้กลิ่นน้ำหอม”
“เดี๋ยวเจนให้ทานยาแก้แพ้ เชิญข้างในค่ะ”
พอลเดินตามเจนจิราซึ่งวางท่าเป็นเจ้าของบ้านเข้าไป
เจนจิราเดินนำพอลมาที่โต๊ะอาหารซึ่งบนโต๊ะมีของคาวหวานจัดวางไว้อย่างดี
“เจนเตรียม...”
“ศรีตรังล่ะครับ”
พอลถามขัดขึ้นมา
“แหม มาถึงก็ถามหาเลยนะคะ ศรีตรังออกไปธุระข้างนอก เขาฝากให้เจนช่วยต้อนรับแทน เจนก็เลยระดมป้าจุกับอ้อยมาทำอาหารให้คุณ”
“ผมทานข้าวเช้าสาย ก็เลยไม่ค่อยหิว”
“เจนเพิ่งทราบว่า คุณสนิทกับศรีตรังดูเหมือนแม้แต่เสี่ยก็ไม่ทราบคุณปิดเสียสนิทเลย”
“ผมรู้จักเขาพร้อมกับคุณนั้นแหละ...” พอลนิ่งไปนิดแล้วพูดต่อ “แล้วก็เลยพยายามตามจีบเขา” เจนจิราอึ้งและหน้าเสียไปเล็กน้อย “ผู้หญิงคนนี้จีบอยากชะมัด พอผมมาก็ไม่ยอมอยู่พบ คุณพอมีคำแนะนำบ้างไหม”
เจนจิราฝืนยิ้ม
“ถ้าเป็นแบบนี้ แสดงว่าเป็นไปได้ 2 อย่าง อย่างแรกเขาไม่ชอบคุณ อย่างที่ 2 เขาพยายามจะทำตัวให้ดูมีคุณค่าขึ้นพูดง่ายๆ ว่ามารยานั้นแหล่ะค่ะ”
“ขอบคุณมาก”
พอลทำท่าจะเดินออกไป
“แล้วคุณจะไปไหนคะ”
“ผมพอจะรู้ว่า เขาจะอยู่ที่ไหน”
พอลบอกแล้วเดินออกไป
“โอ๊ย ผู้ชายอะไรก็ไม่รู้ ตาต่ำ รสนิยมแย่ วิสัยทัศน์แคบ นางเอกสาวแสนสวยเซ็กซี่อยู่ตรงหน้าไม่ชอบ ดันไปตามตื้อผู้หญิงบ้านๆ”
เจนจิรานั่งลงอย่างหงุดหงิด
ขณะนั้นศรีตรังอยู่ที่วัดและกำลังคุยอยุ่กับลุงทอง มัคทายก
“ตอนที่รู้ข่าวน่ะ ลุงตกใจหมด ตกลงรู้แล้วหรือยังว่าไฟช็อต หรือว่าวางเพลิง”
“วางเพลิงอยู่แล้วค่ะ ไฟมันจะช็อตในไร่ข้าวโพดได้ไง”
ขณะนั้นพอลขับรถเข้ามาจอด
“ใครน้ามันช่างคิดชั่วขนาดนี้”
“ศรีน่ะ แช่งมันทุกวันเลยว่าให้เวรกรรมตามสนอง”
“คุณคนนั้นมาแล้ว” ทองพยักเพยิดไปข้างหลัง ศรีตรังหันไปมองตามจึงเห็นพอลกำลังเดินตรมมา “มาหาหลวงพ่อเรอะ คุณ”
“มาหาเจ้าแม่คนนี้ครับ” พอลบอกศรีตรังหน้างอ ขณะที่ทองหัวเราะชอบอกชอบใจ “ขอคุยด้วยหน่อย” พอลบอกกับศรีตรัง
“ฉัน กำลัง คุยกับลุงทอง”
“อ๋อ! ผมไม่มีอะไรคุยแล้วครับ เชิญคุยกันตามสบายประสาหนุ่มๆ สาวๆ”
“ขอบคุณครับลุง” ทองเดินหัวเราะจากไป “ไปหาที่เงียบๆ คุยกันหน่อย” ศรีตรังทำสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้พอลจึงจับแขน
ลาก “ทำไมชอบให้ใช้กำลังเสียเรื่อย”
“ปล่อย ฉันเดินเองได้”
ศรีตรังสะบัดแขนและก้าวนำไปพอลส่ายหน้าและเดินตาม
ศรีตรังพาพอลมาหาหลังวัด พอลมองซ้ายขวาชักจะไม่ไว้ใจ
“นี่จะไปไหน”
“ป่าช้าไง”
พอลดึงศรีตรังหยุดทันที
“ใครบอกให้คุณไปป่าช้า”
“ก็คุณบอกว่าให้หาที่เงียบๆ คุยกัน ฉันก็เลยมาคิดดูว่าน่าจะเป็นป่าช้าเพราะป่าช้าเป็นสถานที่เงียบ ...” ศรีตรังพูดไม่ทันจบ พอลดึงศรีตรังมาจูบทันที ศรีตรังตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ผลักพอลออกแล้วยกมือจะตบเต็มๆ “ไอ้โรคจิต”
พอลจับมือศรีตรังไว้
“อยู่กับคุณนี่มันชวนให้เป็นโรคจิตจริงๆ เสียด้วย ...ผมเนี่ยพยายามอดทนจนถึงที่สุดแล้วนะ”
“ฉัน ...”
“จะทำไม” ศรีตรังทำอะไรไม่ได้ร้องไห้โฮออกมา “อ้าว อ้าว อย่าเอาน้ำตามาขู่หน่อยเลยผมไม่ใจอ่อนหรอก ตกลงจะไปป่าช้าต่อหรือเปล่า” ศรีตรังส่ายหน้ายิ้มทั้งน้ำตา พอลปล่อยแขน “แล้วอย่ามาลูกเล่นกับผมอีกล่ะ”ศรีตรังอ้าปากจะด่า
“อย่านะ แถวนี้ยิ่งเปลี่ยวๆ อยู่ด้วย แล้วก็ต้องขอบอกก่อนว่าผมเป็นผู้ร้ายไม่ใช่สุภาพบุรุษ”
ศรีตรังสะบัดหน้าเดินย้อนกลับไป พอลยิ้มนิดๆ ขณะเดินตาม
ศรีตรังพาพอลมานั่งคุยที่ศูนย์อาหารซึ่งบรรยากาศกำลังคึกคักวุ่นวาย พอลพยายามตั้งสมาธิ ในขณะที่ศรีตรังทำหน้าตาย บริกรท่าทางรีบร้อนเดินเข้ามาถามพอล
“จะรับอะไรครับ”
“ไม่รับ...”
“ไม่รับก็ออกไป คนอื่นเขาจะได้มานั่งที่นี่ไม่ใช่สวนสาธารณะ”
พอลสะดุ้ง ขณะที่ศรีตรังลอบทำหน้าสะใจ
“เออ มีอะไรก็เอามา”
“อ้อ หาเรื่อง”
“เอาข้าวมันไก่สองที่จ้ะ กาแฟเย็นสอง” ศรีตรังสั่ง
“แบบนี้ค่อยยังชั่วหน่อย”
บริกรเดินออกไป
“นอกจากป่าช้ากับที่นี่ ไม่มีที่ไหนอีกแล้วเรอะ”
พอลพูดไม่ทันขาดคำ คู่รักหนุ่มสาวหวานเว่อร์เดินจ้องตากันมานั่งโต๊ะเดียวกับพอลและศรีตรัง พอลเซ็งสุดๆ ในขณะที่ศรีตรังเหลือบมองเพดานทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ บริกรเอาข้าวมันไก่มาเสิร์ฟพอลและศรีแล้วเดินกลับไป
“อ้าว แล้วทำไมสองคนนี่ไม่ต้องสั่ง”
พอลถามอย่างแปลกใจ ชายหนุ่มหันขวับมามองถลึงตาใส่พอล
“หมูเขาจะหามอย่าเอาคานเข้ามาสอด”
ชายหนุ่มพูดตบก็หันไปทำตาหวานกันต่อ พอลหยิบกระเป๋าเงินดึงใบละร้อยออกมาวางเลื่อนจานข้าวไปตรงหน้าสองหนุ่มสาว
“ยกให้” พอลบอกแล้วคว้าแขนศรีตรัง “ไป”
ชายหนุ่มผุดลุกขึ้น แล้วตวาดเสียงดัง
“เฮ้ย” ทุกคนหยุดทุกอิริยาบถ หันมามองเป็นตาเดียว “ดูถูกกันนี่หว่า”
พอลถอนใจเฮือก
“ขอโทษครับพี่ ถ้าพี่ไม่กินก็เอาวางไว้ยังงั้นแหละ”
พอลบอกแล้วลากศรีตรังออกไป
“ใครบอกไม่กินวะ เสียของ”
คู่รักกินข้าวมันไก่ของพอลกับศรีตรังอย่างเอร็ดอร่อย
พอลขับรถเข้ามาจอดในมุมที่สงบและร่มรื่น
“ค่อยยังชั่ว”
พอลบอก ศรีตรังหันมาถามทันที
“มาทำไม”
“ก็ มาดูว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีหรือเปล่า”
“อ๋อ เรียบร้อยดีจนกระทั่ง คุณเข้ามาวุ่นวายที่นี่ แม่นางเอกของคุณน่ะเรื่องมาก เดี๋ยวไม่ได้บ้างละ เหงาบ้างละ อยากจะออกไป Shopping บ้างละ”
“อย่าให้ออกไปไหนเด็ดขาด”
“โอ๊ย พ่อเจ้าประคู้ณ เชิญไปพูดกันเองซิยะ”
“จะให้ใครรู้ว่าผมอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ไม่ได้เด็ดขาด”
“คิดจะเป็นชู้กับเมียคนอื่นก็เงี้ย” พอลหันขวับมาจ้องศรีตรังเขม็ง ศรีตรังเขยิบหนีแล้วจับประตูรถทันทีพร้อมจะเปิด พอลคว้าแขนไว้ทันควัน “ทำให้ฉันเดือดร้อนขนาดนี้แล้วยังไม่พออีกเรอะ ทั้งไร่ข้าวโพดทั้งรีสอร์ทถูกเผาวอดวายหมด นี่ยังไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าไอ้เดนนิสรู้ว่าเมียมันมาหลบอยู่ที่นี่”
พอลนิ่งไปครู่หนึ่ง
“เอาเป็นว่าผมขอโทษก็แล้วกัน”
“โห คุ้มชะมัด” ศรีตรังทำเสียงประชด
“ผมสัญญาว่าจบเรื่องนี้แล้วจะชดใช้ทุกอย่าง”
“ใช้เท่าไหร่มันก็ไม่คุ้มกับที่ทุกคนในไร่สุขศรีตรัง ต้องเสียสุขภาพจิตหรอก”
“ผมรู้”
“อ้อ ฉลาด”
พอลมองศรีตรังนิ่งก่อนจะบอกออกมาว่า
“ผมถึงได้จะมาขออาศัยอยู่กับคุณจนตลอดชีวิต”
ศรีตรังสะดุ้งมองพอลราวกับจะค้นหาความจริง พอลยิ้มนิดๆ แล้วขับรถออกไป
พอลขับรถกลับมาที่วัด ศรีตรังเปิดประตูรถลงไปพอลรีบตาม ศรีตรังเดินมาที่รถตัวเองขยับจะเปิดประตูแต่พอลท้าวเอาไว้
“ขอถามอีกนิดเดียว คุณกับผู้กองเตชิตมีอะไรกันหรือเปล่า”
“ไหนว่านิดเดียว คำถามยาวตั้งประโยค”
“ว่าไง” ศรีตรังส่ายหน้าแต่ไม่มองตาพอล “ผมอยากได้ยินคำตอบให้แน่ใจ”
“เปล่า” ศรีตรังบอกเสียงเบา
“อยากให้เสียงดังแล้วก็หนักแน่นกว่านี้หน่อยได้ไหม”
“เปล่า...า...า ...” ศรีตรังแกล้งลากเสียงยาว
“ขอบคุณ ผมต้องกลับก่อน ระวังตัวให้ดีล่ะ”
“คุณก็เหมือนกัน”
พอลจับสองมือศรีตรังเบาๆ
“ขอบคุณมากๆ ผมสัญญาว่าจะระวังตัวอย่างที่สุด”
พอลเดินมาที่รถ ศรีตรังมองตามแล้วตัดสินใจเรียก
“พี่เพชร”
พอลเหมือนชะงักไปนิดหนึ่งหันหลังให้ศรีตรัง ศรีตรังจ้องเขม็งลุ้นเต็มที่ พอลเปิดประตูรถขึ้นไป... สตาร์ทรถ...โบกมือให้ศรีตรังแล้วขับออกไป ศรีตรังมองตามพลางถอนใจ
“ไม่ยอมรับจนแล้วจนรอด”
ศรีตรังขับรถกลับบ้าน รถศรีตรังแล่นมาจอดหน้าบ้าน พอศรีตรังลงจากรถ เจนจิราก็เดินปรบมือออกมาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงกระทบกระแทกแดกดันเต็มที่
“เอาไปเลย วอสการ์สำหรับนักแสดงหญิงโกหกตลบแตลงยอดเยี่ยม” อ้อยแอบมองสังเกตการณ์อยู่มุมหนึ่ง “พอล เขามาเยี่ยมฉัน แต่เธอกลับใช้มารยาหลอกล่อให้ไปหาเธอ”
“ทำไมถึงได้เข้าใจอย่างนั้นล่ะ”
“ก็ถ้าเขาไม่มาหาฉัน เขาจะมาหาใครเขาเป็นคนของเดนนิส”
“เดนนิสจะส่งคนมาในกรณีเดียวนั่นคือมาฆ่าคุณ” เจนจิราชะงักอ้อยยกมืออุดปากอย่างตกใจ “คุณนี่แย่มาก คิดจะรวบหัวรวบหางทั้งลูกน้องเลยเรอะ น่าไม่อาย”
ศรีตรังพูดพลางเดินจะเข้าบ้าน
“ศรีตรัง” ศรีตรังหยุดหันมามอง “ฉันคิดว่าพอลเป็นคนจัดการให้ฉันมาอยู่ที่นี่”
“ทำไมคิดอย่างนั้นล่ะ”
“ก็ถ้าไม่ใช่เขาแล้วเป็นใคร เขาอาจจะแอบรักฉัน”
“เสียใจที่จะบอกว่าไม่ใช่”
“งั้นใคร” ศรีตรังเดินเข้าบ้านโดยไม่ตอบ “เตชิต...ไม่น่าลืมเล้ย”
เจนจิรายืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
ขณะนั้นจุรีอยู่ที่บ้านและกำลังบีบเท้าตัวเองอยู่ขณะที่อ้อยเดินเข้ามา
“ยัยนางเอกนี่เอาเรื่องนะแม่ ขนาดมาอาศัยเขาอยู่ ยังไม่มีเกรงใจเจ้าของบ้านเลย”
“อะลัตตั๊ดต๊า พอลับหลังทำเป็นนินทา อยู่ต่อหน้าฉันเห็นแกประจบสอพลอเขาจะตาย”
“ธรรมดา...เราทำงานบริการใครมาถึงเรือนชานต้องต้อนรับอยู่แล้ว เออ... คืนนี้ เราอพยพไปนอนบ้านนายศรีตรังอีกนะแม่ อยู่หลายๆ คนอบอุ่นดี”
“หน็อย อยู่หลายๆ คนอบอุ่นดี กลัวผีน่ะซิไม่ว่า”
“โอ๊ย อย่าไปพูดถึงมันซิ เดี๋ยวมันได้ยิน”
“พูดแล้วแปลกใจ ทำไมมันถึงได้ตามหลอกหลอนแกจนป่านนี้ยังไม่เลิก”
“มันอิจฉาอ้อย”
จุรีมองอ้อยอย่างเพ่งพิศ
“แกไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องเรื่องฆ่าเรื่องแกงกับเขาแน่นะ “
อ้อยสะดุ้งแล้วกลบเกลื่อน
“ไม่เกี่ยว อ้อยจะไป เอ่อ ...ทำยังงั้นทำไม”
“เพราะแกเป็นแฟนศักดิ์”
“ก็บอกว่าไม่เกี่ยว”
“ขอให้มันเป็นยังงั้นเถอะ”
อ้อยเดินไปหยิบหนังสืออ่าน
ค่ำวันนั้นที่บ้านศรีตรัง หลังจากทานอาหารเสร็จแล้วอ้อยยกผลไม้มาเสิร์ฟ
“วันนี้งานคืบหน้าไปมากนะคะ ต้องขอขอบคุณทศกับลุงสมที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรง”
ศรีตรังคุยกับตรีทศและสม เจนจิรามีท่าทางเบื่อหน่ายจึงลุกขึ้น
“ฉันจะออกไปเดินย่อยอาหาร อ้อยไปเป็นเพื่อนฉันหน่อย”
“แต่มันมืดแล้วนะคะ” อ้อยบอกอย่างหวาดๆ
“ก็มืดน่ะซิ”
“ด้วยความเคารพ อย่าออกไปไกลก็แล้วกัน”
สมบอก เจนจิราลุกเดินออกไปอ้อยเดินตามไปอย่างไม่เต็มใจนัก
อ้อยเดินตามเจนจิราออกมาได้สักพักจึงพูดขึ้นอย่างไม่สบายใจ
“เรามาไกลแล้วนะคะ กลับกันเถอะค่ะ”
“ฉันขี้เกียจอยู่ในบ้าน รำคาญคนพวกนั้น ... ลมเย็นดีจัง ...” เจนจิราเดินมาเรื่อยๆ อ้อยคอยมองซ้ายขวาหน้าหลัง เจนจิราหยุดเดินมองอ้อยอย่างแปลกใจ “กลัวอะไรน่ะ”
อ้อยรีบกลบเกลื่อน
“เปล่าค่ะ”
เจนจิราทำท่าเหมือนนึกได้
“กลัวผีใช่มั้ย”
อ้อยสะดุ้งเฮือก
“พี่เจน”
“กลับกันเถอะ”
สองสาวขยับออกเดิน ทันใดนั้นเสียงหมาหอนก็ดังขึ้น
“โกยเลยค่ะ”
อ้อยบอกสองสาวรีบวิ่งไปอย่างรวดเร็ว
ทั้งคู่วิ่งมาครู่เดียวก็ต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นร่างๆ หนึ่ง นั่งกอดเข่าทอดอารมณ์อยู่ อ้อยเบิกตากว้างด้วยจำได้ว่าเป็นเกษริน
“เธอ”
เจนจิราจะทัก อ้อยสะกิดอย่างร้อนรน
“พี่เจน ไปเถอะ”
“คนงานที่นี่ใช่มั้ย”
“ไปกันเถอะค่ะ เกิดมาจะสนใจอะไรกันนักหนา”
“ฉันถามทำไมไม่พูด”
“โอ๊ย ไม่พูดน่ะดีแล้ว”
“นี่” ร่างนั้นลุกขึ้นช้าๆ อ้อยกลั้นหายใจขณะที่เจนจิราเริ่มเอะใจจึงกระซิบถามอ้อย “ไป...ไปทางไหน”
“ทางโน้น ...น...” อ้อยชี้มือบอก
“ขะ...ขอบ...ขอบใจนะ”
เจนจิราและอ้อยจับมือกันแน่น แล้วออกเดินเร็วๆ โดยไม่มองหลัง
สองสาวรีบก้าวเร็วๆ แต่แล้วจู่ๆ เกษรินก็ก้าวออกมาจากเงามืด
“ว้าย”
สองสาวร้องด้วยความตกใจ เกษรินจ้องอ้อยเขม็ง
“เอาชีวิตฉันคืนมา...า ...”
“ฉัน ...ฉัน ไม่รู้เรื่อง ไปทวงกับยมบาลซิ”
“ฉันจะทวงจากแก”
ร่างเกษรินค่อยๆ หายไป สองสาวยืนนิ่งก้าวขาไม่ออกตัวแข็งด้วยความหวาดกลัว
ที่บ้านศรีตรังขณะนั้นศรีตรัง สม ตรีทศกำลังนั่งปรึกษากันอยู่โดยมีจุรีคอยบริการขนมนมเนย
“ด้วยความเคารพ อิ่มจนจะลุกไม่ขึ้นแล้วครับ” สมบอก
“ใช้สมองมากๆ ต้องบำรุงมากๆ ค่ะ”
จุรีบอก แต่แล้วทุกคนก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงเจนจิราและอ้อยร้องดังมา
“ช่วยด้วย ช่วยด้วย”
“ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วย”
“เกิดอะไรขึ้น”
ศรีตรังเดินแกมวิ่งออกไปดู ทุกคนตามออกไป
ทั้งหมดเดินออกมาในขณะที่เจนจิราและอ้อยวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา
“ช่วยด้วย ช่วยด้วย”
“เป็นอะไรไปละ”
“ผีหลอก”
เจนจิราและอ้อยบอกออกมาพร้อมกัน
“ผีหลอก ผีไหน ผีเกษน่ะเรอะ” จุรีถาม
“ก็มีแต่ผีมันตัวเดียวนั่นแหละ”
“ผีเผอที่ไหน ใครมาล้อเล่นน่ะซิ” ศรีตรังตัดบทแล้วหันมาทางสมและตรีทศ “ขอบคุณลุงสมกับคุณทศมากนะคะ ... ไปพักผ่อนเถอะค่ะ พรุ่งนี้จะต้องสู้กันใหม่”
“งั้นผมไปก่อนละครับ”
“ด้วยความเคารพ ลุงก็ไปเหมือนกัน”
“ระวัง ผ...ผึ้ง สระอี ด้วยนะคะ” จุรีตะโกนตามหลัง
“ป้าจุ” ศรีตรังหันมาทำเสียงเข้มใส่จุรี
“คืนนี้ขออ้อยกับแม่นอนที่นี่นะคะ” อ้อยรีบบอก
“ตามใจ”
ศรีตรังเดินกลับเข้าบ้าน เจนจิรา อ้อย ศรีตรังรีบตาม
ขณะที่ศรีตรังกำลังเดินขึ้นบันไดเจนจิราเรียกเธอไว้
“ศรีตรัง” ศรีตรังหยุดเดินหันกลับมามอง “เมื่อกี้ที่พูดจริงหรือเปล่า”
“ฉันพูดถึงหลายเรื่อง”
“ก็เรื่องที่...”
“ถามอ้อยดูซิ เห็นสนิทกันนี่”
ศรีตรังเดินขึ้นข้างบน เจนจิราหันมาทางอ้อย
“อ้อย...เมื่อกี้ใช่ผีจริงหรือเปล่า”
“คือ”
“แล้วแต่จะคิดค่ะ ถ้าคิดว่าจริง...มันก็จริง...ถ้าคิดว่าไม่จริง มันก็อาจจะจริง” จุรีบอก เจนจิราถึงกับสะดุ้ง “เอ๊ย ก็ไม่จริงค่ะ”
“งั้นคืนนี้ อ้อยไปนอนเป็นเพื่อนฉันได้ไหม”
“โห นั่นตัวเรียกเลยละค่ะ”
“แม่”
“เรียกอะไร”
“เรียกความมั่นใจค่ะ”
“มั่นใจว่าต้องมา” จุรีพูดเปรยๆ อ้อยทำหน้าห้ามแม่พูด แล้วเดินตามเจนจิราขึ้นไป “อะลัตตั๊ดต๊า แล้วฉันก็ต้องนอนคนเดียวน่ะซิ”
กลางดึกคืนนั้นขณะที่อ้อยกำลังหลับสนิทเธอก็ฝันว่ากำลังเดินหลงทางอยู่ในไร่ข้าวโพด
“มีใครอยู่บ้างมั้ยคะ มีใครอยู่มั้ย มีใครอยู่แถวนี้บ้าง”
อ้อยตะโกนถามแล้วมองไปรอบๆ ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องให้ช่วยดังมา
“ช่วยด้วย ช่วยด้วย”
อ้อยรีบเดินไปทางทิศทางของเสียง แต่แล้วเธอก็ต้องชะงักเมื่อเห็นศักดิ์สิทธิ์กำลังฟาดหัวเกษรินจากด้านหลังอย่างโหดร้ายโดยมีผู้หญิงอีกคนคอยออกคำสั่ง
“ตีเข้าไป เอามันให้ตาย” เกษรินร้องครวญคราง
“อะไรกันน่ะ อะไรกัน”
อ้อยร้องถาม ทั้งหมดหันมาดูซี่งก็คือศักดิ์สิทธิ์และตัวอ้อยเอง สีหน้าทั้งสองดูโหดร้ายน่ากลัวอ้อยยกมืออุดปากตัวเองด้วยความตกใจ
อ้อยสะดุ้งตื่นผุดลุกขึ้นนั่งยกมือทาบอก เหงื่อแตกพลั่ก เสียงหมาหอนดังกระชั้นขึ้น อ้อยรีบล้มตัวนอนคลุมโปง
มือๆ หนึ่งยื่นมาลูบบริเวณหัวอ้อย อ้อยนอนตัวแข็ง
“อ้อย อ้อย”
อ้อยถอนใจเฮือกเมื่อได้ยินเสียงเจนจิรา ดึงผ้าที่คลุมโปงออกจึงเห็นเกษรินนั่งอยู่บนหัวอ้อยร้องกรี๊ดลั่น
“อ้อย อ้อย”
เจนจิราตกใจตื่น อ้อยกระโดดกอดเจนจิราแน่น
“พี่เจน ช่วยด้วย ช่วยอ้อยด้วย”
“เฮ้ย ช่วยอะไร อ้อยเป็นอะไร” เจนจิราเขย่าตัวอ้อย “นี่ฉันเองนะอ้อย ฉันเอง ...ลืมตาซิ ไม่มีอะไรสักหน่อย”
อ้อยค่อยๆ ลืมตาขึ้น “ให้มานอนเป็นเพื่อนนึกว่าจะดี แย่กว่านอนคนเดียวอีก ห้ามร้องเอะอะโวยวายอีกแล้วนะ ไม่อย่างนั้นจะเชิญลงไปนอนข้างล่าง”
เจนจิราบอกอย่างหงุดหงิดแล้วล้มตัวลงนอนต่อ อ้อยนอนตามแต่นอนไม่หลับ
เช้าวันรุ่งขึ้นอ้อยเดินหน้าหงิกกลับมาบ้าน พอเข้าบ้านอ้อยทิ้งตัวลงนั่งอย่างหงุดหงิด
“อีผีบ้า เมื่อไหร่จะไปผุดไปเกิดเสียที มาคอยก่อกวนอยู่ได้ฉันน่ะกลัวจนจะไม่กลัวแล้วนะเว้ย” อ้อยบ่นแล้วลุกขึ้น
เดินกลับไปกลับมาอย่างใช้ความคิด “พี่ทศ พี่ทศต้องช่วยได้”
อ้อยรีบเข้าห้องอาบน้ำแต่งตัวใหม่จากนั้นก็ไปหาตรีทศที่บ้าน
“พี่ทศ พี่ทศ ตื่นหรือยังคะ”
ประตูบ้านเปิดออก ตรีทศชะโงกหน้ามามอง
“มีอะไรหรืออ้อย”
อ้อยร้องไห้โฮ
“พี่ทศ อ้อยอยากตาย อยากตายที่สุดเลย”
“แล้วมันเรื่องอะไรกันล่ะ อยู่ดีๆ ก็มาร้องไห้ตีโพยตีพายแต่เช้า”
“ให้อ้อยเข้าไปได้ไหม” ตรีทศลังเล “รับรองว่าอ้อยไม่ปล้ำพี่ทศแน่ ไม่มีอารมณ์”
ตรีทศตัดสินใจเปิดประตูกว้าง แล้วเบี่ยงตัวให้อ้อยเดินเข้าไป
อ้อยเดินเข้ามาในบ้านแล้วนั่ง ร้องไห้สะอึกสะอื้น
“ร้องไห้ทำไม”
“เมื่อคืน อ้อยถูกผีหลอกอีกแล้ว”
“ผี ...”
“ก็เกษรินแฟนเก่าพี่นั่นแหละ”
“คิดไปเองหรือเปล่า ศพเขาเผาไปตั้งนานแล้ว”
“พี่ก็ไปถามพี่เจนจิราดูซิ”
“พี่ไม่รู้จักอะไรเขามากมาย”
“อ้อยมาที่นี่ก็เพราะอยากจะให้พี่ช่วย ...”
“ช่วยยังไง”
“ช่วยพูดกับเกษรินให้หน่อยว่าอย่ามาหลอกหลอนอ้อยเลย”
“ไปกันใหญ่แล้ว พี่จะไปทำงานละ”
ตรีทศบอกพร้อมกับลุกขึ้น
“อ้อยพูดจริงๆ นะพี่ เกษเขารักพี่มาก”
ตรีทศหน้าขรึมลง
“ถ้ารักมาก เขาคงไม่เปลี่ยนใจไปรักศักดิ์หรอก”
“พี่ทศเข้าใจผิด เกษไม่ได้รักศักดิ์”
“รู้ได้ยังไง”
อ้อยอึกอัก ขณะนั้นสมขี่จักยานมาหาตรีทศที่บ้าน
“คุณทศ คุณทศ ตื่นหรือยัง คุณทศ” สมตะโกนเรียก
“ตื่นแล้วครับ รอเดี๋ยว” ตรีทาศตะโกนบอกแล้วหันมาบอกอ้อย “ลุงสมมาตามแล้ว พี่ต้องไปช่วยดูเขาเก็บกวาดซากไฟไหม้ให้เรียบร้อย...นายศรีตรังจะทำรีสอร์ทใหม่ อ้อยก็ควรจะไปช่วยแม่ทำงาน”
“แม่น่ะเขาไม่ได้อยากให้อ้อยช่วยหรอก” ตรีทศลุกขึ้น อ้อยจำใจลุกตาม อ้อยบ่นขณะเดินตามตรีทศออกไป “หมูเขาจะหาม ดันเอาคานเข้ามาสอด”
สมมองอ้อยแปลกใจเมื่อเห็นเห็นออกมากับตรีทศ
“ด้วยความเคารพ ไปไงมาไงหนูอ้อยถึงมาโผล่ที่นี่ได้ค่ะ”
“ก็เพราะมันอยากจะโผล่น่ะซีคะ คุณลุงสม... อย่าลืมที่อ้อยขอร้องนะคะ พี่ทศ” อ้อยบอกตรีทศแล้วขี่จักยานออกไป
“ด้วยความเคารพ หนูอ้อยเขาขอร้องอะไรหรือครับ” สมถามตรีทศอย่างแปลกใจ
“ขอร้องให้ช่วยพูดกับผี”
ตรีทศบอกแล้วเดินไปที่รถขณะที่สมยังยืนตะลึง
“พูดกับผี”
อีกด้านหนึ่งที่บ้านศรีตรัง ขณะนั้นศรีตรังนั่งทำงานอยู่ เจนจิราเดินนวยนาดหน้าหงิกงอเข้ามา
“เมื่อคืน ฉันนอนไม่หลับ” เจนจิราบอก
“คุณก็ต้องทำใจ”
“ทำบ้าทำบออะไรล่ะ รู้มั้ยว่าฉันไม่เคยต้องมาลำบากตรากตรำขนาดนี้”
“ถ้าอยากจะกลับกรุงเทพก็ตามใจนะ ฉันจะให้คนไปส่ง” เจนจิราอึ้งไป “ส่งให้ถึงบ้านแฟนของเธอเลย”
“จะบ้าเรอะ”
“ถ้าอยากจะอยู่ที่นี่ซึ่งเป็นที่เดียวที่เธอจะหลบภัยได้ก็ต้องอย่าทำตัวมีปัญหา”
“ฉันทำที่ไหน เด็กของเธอทำต่างหาก ลุกขึ้นมาเอะอะโวยวายว่าผีหลอกกลางดึก”
“อันนั้นก็ช่วยไม่ได้ อยากชวนมานอนเป็นเพื่อนกันเอง” เจนจิราอ้าปากจะบ่นอีก “พอที เห็นมั้ยว่าฉันกำลังทำงาน ไม่มีเวลาพูดเรื่องไร้สาระกับเธอ” เจนจิรามองศรีตรังอย่างหงุดหงิดเต็มที่แล้วเดินไปที่ประตู “อ้อ แล้วอย่าออกไปนอกอาณาเขตไร่นี้นะ ถ้าไม่อยากตาย”
ศรีตรังบอกตามาหลัง เจนจิรานึกฉุน
“คำก็ตาย สองคำก็ตาย อย่ามาขู่กันนักได้มั้ย ขอทีเถอะ”
ศรีตรังยักไหล่แล้วทำงานต่ออย่างไม่สนใจ
ที่บ้านปรกเดือน ขณะนั้นเดนนิสยังนอนหลับสนิท ปรกเดือนเดินย่องเข้ามาแล้วทรุดตัวลงนั่งที่เตียงมองเดนนิสอย่างเพ่งพิศ เดนนิสค่อยๆ รู้สึกตัวลืมตาขึ้น ปรกเดือนรีบลุกขึ้นทันที
“มานั่งดูฉันนานแล้วหรือ”
“เดือนจะมาดูว่าคุณตื่นหรือยัง จะได้ให้แจ๋วเตรียมอาหารเช้าให้ค่ะ”
“เดี๋ยวฉันลงไป”
ปรกเดือนเดินออกจากห้องไป เดนิสมองตามแล้วลุกขึ้นเดินไปเข้าห้องน้ำ
ปรกเดือนเดินเข้ามาในห้องรับแขก เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นปรกเดือนเดินมารับ
“อัลโหล”
เจนจิราแอบโทรศัพท์หาปรกเดือน
“นี่ฉันเอง คุณปรกเดือน”
“จะพูดกับเสี่ยมั้ย เขากำลังจะลงมา”
“ไม่” เจนจิรารีบบอกอย่างตกใจ “ฉันแค่จะโทรมาเตือนคุณว่า ระวังตัวให้ดีเสี่ยน่ะอำมหิตกว่าที่คุณคิด”
“อ้าว เปลี่ยนเป็นนินทาสามีแล้วเรอะ ไหนเคยพูดว่าดีนักดีหนา รักกันแทบจะกลืนกินไง”
“ไม่เชื่อก็ตามใจ ผู้ชายคนนั้นน่ะ เขารักตัวเองมากที่สุด ต่อให้คุณก็เถอะถ้าทำอะไรให้เขาไม่พอใจเขาก็จะสั่งฆ่าได้ง่ายๆ”
ศรีตรังเดินเข้ามาในห้องรับแขกแล้วชะงักเมื่อเห็นโทรศัพท์เหลือแต่ที่วาง แถมมีไฟสัญญาณขึ้นว่ามีคนกำลังใช้โทรศัพท์อยู่
“เจนจิรา”
ศรีตรังรีบเดินขึ้นข้างบนทันที เจนจิราเปิดประตูห้องออกมาแล้วสะดุ้งเมื่อเจอศรีตรังยืนอยู่หน้าห้อง ศรีตรังมองหน้าเจนจิราสลับกับโทรศัพท์ในมืออย่างหงุดหงิด
“ฉันบอกว่ายังไง”
“มันจะมากไปแล้ว ฉันไม่ใช่คนใช้หรือคนงานของเธอนะจะได้มาวางอำนาจ”
“นี่ไม่ใช่การวางอำนาจ แต่เป็นการตกลงระหว่างฉัน...เธอ...และคนที่ฝากให้ฉันช่วยดูแลเธอ เธอต้องเข้าใจว่าฉันและคนของฉันไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรด้วย เราแค่ให้ที่หลบซ่อนเพื่อเห็นแก่มนุษยธรรม แต่ก็ต้องมีข้อตกลงกันเพื่อไม่ให้เราต้องเดือดร้อนไปด้วย”
“กับอีแค่โทรศัพท์ ฉันไม่เห็นจะน่าเดือดร้อนตรงไหน”
“ฉันยกโทษให้เธอแค่ครั้งนี้ครั้งเดียว ถ้าไม่เชื่อฟังกันอีกก็เชิญออกไปจะไปอยู่ที่ไหนก็ตามใจ” เจนจิราเม้มปากเดินกลับเข้าห้อง “เอาโทรศัพท์มา”
เจนจิราคืนโทรศัพท์ให้อย่างกระแทกกระทั้น แล้วปิดประตูปัง
ศรีตรังกลับมาที่ห้องแล้วโทรศัพท์หาเตชิต
“สวัสดีครับ” เตชิตบอกมาตามสาย
“ไอ้เต ฉันอยากจะฆ่าคน”
เตชิตถึงกับสะดุ้ง
“เฮ้ย”
“อีตาผู้กองพอลก่อความเดือดร้อนให้ฉันไม่สิ้นสุด”
“แล้วแกมาบ่นกับฉันทำไม ทำไมไม่โทรไปด่ามันโดยตรง”
“ก็มัน ... เอ๊ย เขาไม่รับโทรศัพท์”
“ฮั่นแน เปลี่ยนจากมันเป็นเขาแสดงว่าเริ่มนับถือไอ้พอลแล้วละซิ ว่าแต่แกโกรธมันเรื่องอะไร”
“เขาเอาเจนจิรามาหลบที่ไร่ฉัน”
โทรศัพท์แทบหลุดมือเตชิต
“เฮ้ย”
“ฉันเห็นแก่ที่เขาเคยช่วยแก ก็เลยรับ”
“ไม่ต้องเอาฉันมาอ้างเลย แกอยากจะช่วยเขาอยู่แล้ว”
“ทีนี้ถึงตอนที่แย่ที่สุด ฉันสั่งไม่ให้ยัยเจนติดต่อกับภายนอกแต่หล่อนกลับขัดคำสั่งหน้าตาเฉยโดยการโทรศัพท์ถึงใครก็ไม่รู้”
“ไอ้ศรีเอ๊ย แกไม่มีเหาก็ดันหาเหามาใส่หัว”
“แล้วฉันจะทำยังไงดี”
“ชีวิตยังไม่สิ้นก็ต้องดิ้นกันไป”
ศรีตรังทำหน้าเซ็ง
อ่านต่อหน้า 3
ปางเสน่หา ตอนที่ 10 (ต่อ)
อีกด้านหนึ่งที่สถานีตำรวจขณะนั้นเสนากำลังนั่งเซ็นชื่อในเอกสาร เสียงเคาะประตูดังขึ้นเบาๆ ประตูเปิดออก ธงเดินเข้ามาแล้วทำความเคารพ
“เรียบร้อยแล้วครับ”
เสนาปิดแฟ้ม
“จะเอาอะไรไปเยี่ยมมันดี”
“เห็นผู้กองบอกว่าจะเอาอะไรไปเยี่ยมก็ได้ นอกจากพวงหรีดครับ”
“เดี๋ยวก็เอาไปเยี่ยมมันซะเลย”
เสนาเดินนำหน้าธงออกไป...เสนากับธงมาเยี่ยมเตชิตที่โรงพยาบาล
“สวัสดีครับผู้กำกับ”
“ไม่คิดละซิว่าฉันจะมาเยี่ยมเป็นครั้งที่ 2”
“บอกตามตรงเลยครับว่าครั้งแรกก็แทบไม่เชื่อสายตา”
“ดันมาคราวนี้ก็ไม่ได้ตั้งใจจะมาเยี่ยมหรอก แต่จะมาบอกว่าทุกอย่างที่ผู้กองพอลทำ ไม่ได้ทำโดยพละการ เขาได้ปรึกษาฉันแล้วเป็นอย่างดีแล้วฉันก็ได้ให้คำปรึกษาเป็นอย่างดีเหมือนกัน”
“รวมทั้งเรื่องเจนจิราด้วยใช่ไหมครับ”
“ใช่ เพราะฉะนั้น ถ้าเพื่อนนายโทรมาโวยนายก็ต้องช่วยเกลี้ยกล่อมหน่อยคิดเสียว่าช่วยราชการ เพราะเขาจะพยายามกล่อมเธอให้มาเป็นพยาน”
“ผมหวังว่าคงสำเร็จครับ”
“ไม่ใช่คง แต่ต้องสำเร็จ”
ส่วนที่บ้านปรกเดือนขณะนั้นเดนนิสนั่งอ่านหนังสืออยู่เงียบๆ ปรกเดือนเดินเข้ามาหยุดมองด้วยสายตาที่อ่อนโยนลง เดนนิสเงยหน้าขึ้นมองเห็นสายตานั้นพอดี
“มีอะไรหรือเปล่า”
ปรกเดือนเดินเข้ามานั่งข้างๆ โอบกอดเดนนิสไว้
“เดือนอยากให้เป็นอย่างนี้ตลอดไป เดือนอยากให้เรามีชีวิตที่สงบเสี่ยไม่ต้องใช้ชีวิตที่เสี่ยงกับอันตรายตลอดเวลา”
“แล้วจะเอาอะไรกินล่ะ”
“เท่าที่มีอยู่นี่ก็เกินพอแล้วละค่ะ เสี่ยเลิกเถอะนะคะ...สิ่งที่ทำอยู่มันผิด...มันเสี่ยง แล้วก็อันตรายเดือนเป็นห่วงเสี่ย”
“ฉันทำอย่างอื่นไม่เป็น ไม่ต้องห่วงหรอกฉันรู้ว่าจะหลบหลีกอย่างไรเธอก็เห็นนี่ ขนาดจับได้แล้วยังต้องปล่อยเลย เส้นใหญ่เสียอย่าง”
“แต่เดือนกลัว ...”
“กลัวว่าฉันจะตายน่ะเรอะ”
ปรกเดือนสะดุ้ง
“อย่าพูดอย่างนั้นซิคะ เดือนไม่อยากฟัง”
“แล้ววันนี้ไม่ไปเยี่ยมปรายดาวหรือ”
“ไปค่ะ เสี่ยไปด้วยกันมั้ยคะ”
“ฉันมีธุระ เดี๋ยวก็ต้องไปแล้ว”
ปรกเดือนนิ่งอึ้งไปพลางถอนใจยาว
เดนนิสแยกจากปรกเดือนกลับมาบ้าน เฮงซึ่งกำลังโทรศัพท์อยู่รีบเข้ามารายงาน
“เสี่ยครับ”
“ได้เรื่องอะไรบ้าง”
“ก็ยังไม่ได้เลยครับ ยังเงียบสนิทอยู่”
เดนนิสดึงปืนออกมาแล้วยิงขึ้นฟ้า 2 นัด บรรดาลูกน้องสะดุ้งเฮือก
“เป็นไง ยังเงียบสนิทอีกมั้ย” ทุกคนกลัวจนตัวสั่น “ฉันเป็นคนความอดทนสูง แต่ถ้ามันเหลืออดขึ้นมาจริงๆ ละก็ ... พวกแกก็รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น”
ทุกคนนิ่งเงียบด้วยความกลัว
ทางด้านปรกเดือนเมื่อเดนนิสไปแล้ว ปรกเดือนจึงเดินเข้ามาในครัว
“เสี่ยไปแล้วหรือคะ”
แจ๋วถาม ปรกเดือนพยักหน้ารับ
“เดี๋ยวฉันจะไปเยี่ยมปรายดาว แจ๋วจะไปด้วยกันไหม”
“ไปซิคะ แจ๋วคิดถึงเธอมากเลยค่ะ”
“งั้นก็ไปเตรียมตัวได้ อีกครึ่งชั่วโมงฉันจะลงมา”
“ค่ะ”
ปรกเดือนเดินออกไป
ค่ำวันเดียวกันนั้นที่บ้านศรีตรังตรีทศกับสมเดินคุยกันออกมา
“ด้วยความเคารพ คุณจุนี่ฝีมือไม่มีตกเลย”
“ให้ผมไปส่งลุงสมมั้ย”
“ไม่ต้อง ต่างคนต่างกลับแล้วพรุ่งนี้มาเจอกันใหม่”
ตรีทศกับสมแยกย้ายกันกลับบ้านพัก เมื่อตรีทศกลับถึงบ้านเหมือนมีใครคนหนึ่งกำลังแอบมองตรีทศอยู่ ตรีทศเหมือนรู้สึกตัวหันไปมองแต่ไม่เห็นอะไร ตรีทศส่ายหน้ายิ้มๆ กับตัวเองแล้วเดินเข้าบ้านไป เกษรินมองตามตาละห้อย
ตรีทศเดินเข้ามาใสนบ้านระหว่างนั้นก็มีเสียงหมาหอนดังขึ้น ตรีทศกำลังกินน้ำถึงกับสะลัก
“อยู่ดีๆ ก็หอนไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย” ตรีทศวางแก้วน้ำแล้วกอดอก “อากาศเย็นพิลึก”
ทศตรีเดินปิดหน้าต่าง แล้วสะดุ้งโหยงตาค้างโพลงเมื่อเห็นเกษรินยืนอยู่ใต้ต้นไม้และกำลังมองขึ้นมา
“กะ ...กะ...เกษ..เกษ ...”
เกษรินยังคงมองมาด้วยท่าทางเศร้าๆ ตรีทศรีบปิดหน้าต่างมือไม้สั่นปากก็พึมพำไปด้วย
“ขอให้ไปสู่สุคติเถอะเกษ ...”
ตรีทศเดินเข้ามาในห้องนอนด้วยสีหน้าท่าทางที่หวาดกลัว ตรีทศรีบปิดประตูห้องแต่ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อเห็นมาเห็นเกษรินยืนอยู่ด้วยสีหน้าบึ้งตึง
“เกษ”
เกษรินเดินมาหาตรีทศช้าๆ ตรีทศถอยหนีจนสุดผนังห้อง เกษรินค่อยๆ ยกมือขวาชี้มาที่ตรีทศ “อย่า”
ตรีทศร้องลั่นด้วยความตกใจแต่หลังจากนั้นร่างเกษรินก็หายไป
วันต่อมาตรีทศเล่าเรื่องเกษรินให้ศรีตรังกับสมฟัง
“นี่ถ้า ไม่ได้ฟังจากคุณทศ ศรีจะไม่เชื่อเด็ดขาด”
“ด้วยความเคารพ ผมก็เหมือนกัน แต่พี่ไม่เข้าใจก็คือว่าหนูเกษมาหลอกหลอนคุณทศทำไม ในเมื่อคุณทศไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วยซักนิด”
“นั่นน่ะซิครับ ผมเองก็แปลกใจจะว่าเขาโกรธผม ผมก็นึกไม่ออกว่า ผมไปทำอะไรให้ ... เกษต่างหากที่เป็นฝ่ายเลิกไม่ใช่ผม”
“หรือว่าเขาไม่ได้จะมาหลอก แต่จะมาบอกอะไรบางอย่าง”
“ถ้ามาหลอกก็เสียวไส้นะครับ เพราะถัดจากคุณทศก็คงถึงผม แล้วก็ไปที่คุณหนู”
สมบอก ศรีตรังสะดุ้ง
“เฮ้ย”
ศรีตรังนึกกลัวจึงชวนตรีทศกับสมมาทำบุญให้เกษริน
“เขาอาจจะมีอะไรติดค้างในใจอยู่กับคุณ...”
หลวงพ่อบอกหลังจากตรีทศถวายสังฆทาน กรวดน้ำเสร็จแล้ว สมหันมาทางตรีทศ
“ด้วยความเคารพ คุณทศขออโหสิกรรมกับเขาแล้วหรือยัง”
“ผมไม่ได้โกรธได้เกลียดหรืออะไรกับเกษมาตั้งนานแล้วละครับ แต่ว่า ...” ตรีทศมีสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด “เอ๊ะ แต่ก็ไม่น่าจะเป็นอะไร”
“ก็แล้วมันอะไรกันล่ะ”
หลวงพ่อถาม
“ตอนนี้ความจริงเปิดเผยว่าศักดิ์เป็นคนฆ่า ผมอดนึกเวทนาเขาขึ้นมาแว่บหนึ่ง ไม่ได้ว่าเป็นเพราะหลงเชื่อคนผิด...ชีวิตถึงได้จบลงอย่างนี้”
“นั่นไง เกษอาจจะคิดว่าคุณทศสะใจที่เขาต้องตายอย่างนั้น”
“หรือไม่ก็ไม่ได้ขออโหสิกรรมกัน”
“มันเป็นไปได้ทั้งนั้นแหละ ทางที่ดีก็คือทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้เขา”
“ความจริงก็อุทิศไปหลายอุทิศแล้วนะคะ หลวงพ่อ ...”
“บุญน่ะทำไปเรื่อยๆ ก็ไม่เป็นไรหรอก”
ศรีตรังมีสีหน้าเหมือนจะคิดหนัก
เมื่อทำบุญเสร็จแล้วทั้งสามคนเดินคุยกันกลับมาที่รถ
“ไอ้ผมน่ะกลัวอยู่อย่างนึง ในเมื่อเกษรินยังไม่ได้รับความยุติธรรมเขาก็อาจจะเกิดความแค้นจนตามมาหลอกหลอนคนโน้นคนนี้”
“หรือว่าฆาตกรยังไม่ได้ถูกลงโทษ เอ! แต่ศักดิ์ก็ถูกจับไปแล้ว”
“หรือว่ายังมีฆาตกรอีกคน”
“ใครล่ะครับ” ศรีตรังและสมหันมามองตรีทศ ตรีทศถึงกับสะดุ้ง “แต่รับรองว่าไม่ใช่ผมแน่นอน”
ที่บ้านศรีตรังขณะนั้นเจนจิรากำลังนอนอย่างสบายให้อ้อยนวด
“น้ำหนักมือกำลังดีเลย” อ้อยกดตรงต้นคอ เจนจิราหลับตาพริ้ม “ค่อยยังชั่ว”
เสียงโทรศัพท์อ้อยดังขึ้น เจนจิราลืมตาอย่างหงุดหงิด
“บอกแล้วไงว่าให้ปิดโทรศัพท์”
อ้อยไม่สนใจเจนจิรารีบกดรับโทรศัพท์
“ฮัลโหล…นายศรีตรัง” เจนจิราชะงักหันมามอง “ได้ค่ะ อ้อยจะไปเดี๋ยวนี้” อ้อยปิดโทรศัพท์แล้วหันมาบอกเจนจิรา “อ้อยต้องไปพบนายศรีตรังก่อนนะคะ”
“แล้วรีบมานะ ฉันกำลังสบาย”
“ค่ะ”
อ้อยเดินออกไป
“เบื่อ เบื่อ แถมยังแอบจิ๊จ๊ะกับพอลอีก หน๊อยแน่ นังมารร้ายศรีตรัง ไม่รู้จักนางเอกเจนจิราซะแล้ว”
เจนจิราบ่นอย่างหงุดหงิด
อ้อยรีบมาหาศรีตรังซึ่งขณะนั้นกำลังนั่งคิดเรื่องเกษริน
“มาแล้วค่ะ”
ศรีตรังหันกลับมา
“นั่งซิ” อ้อยทรุดตัวลงนั่ง “เกษรินมาหาอ้อยบ่อยมั้ย”
คำถามนี้ทำให้อ้อยถึงกับสะดุ้ง
“แหม นายศรีตรังพูดยังกับมันเป็นคน”
“ครั้งหนึ่งเขาก็เคยเป็นคน ส่วนเราวันหนึ่งก็ต้องกลายเป็นวิญญาณเหมือนเขา”
อ้อยยิ้มแห้งๆ
“ฟังแล้วใจหายนะคะ”
“มันเป็นความจริงของชีวิต ฉันมีความเชื่ออยู่อย่าง” อ้อยฟังอย่างตั้งใจ “ไม่ว่าคนหรือวิญญาณ หากทำอะไรค้างคาไม่สำเร็จก็ทำให้มีห่วงกังวล” อ้อยเริ่มขยับตัว “เกษรินก็คงเป็นอย่างนั้น”
“แหม มันก็บอกยากนะคะ”
“ไม่ยากหรอก อ้อยเคยทะเลาะเบาะแว้งตบตีกับเขาหรือเปล่า” อ้อยสะดุ้ง
“อุ๊ย! เปล่าค่ะ อ้อยไม่เคยเลยแทบจะไม่รู้จักเค้าด้วยซ้ำ”
“ฉันอยากให้อ้อยคิดให้ดี อย่าเข้าข้างตัวเองเราจะได้แก้ปัญหาได้ถูกจุด”
“อ้อยว่าเอาหมอผีมาปราบนั่นแหละดี”
“ฉันจะไม่ทำอะไรที่เป็นบาปเป็นกรรม” อ้อยอึ้งไป “แล้วก็จะบอกไว้เลยว่า ห้ามไปตามหมอผีมาทำพิธีอะไรเด็ดขาด...”
“ขอบใจ”
เสียงเกษรินดังขึ้นอย่างแผ่วเบา ศรีตรังสะดุ้ง หันไปมองรอบๆ
“อะไรหรือคะ” อ้อยถามเมื่อเห็นท่าทางศรีตรัง ศรีตรังกระแอมเล็กน้อย
“เปล่า ...ไม่มีอะไร ฉันเชื่อว่า ถ้าเขาไม่เดือดร้อนจริงๆ เขาก็คงไม่มา”
“ใช่”
เสียงเกษรินดังขึ้นอีก ศรีตรังสะดุ้งแล้วมองรอบๆ
“นาย...นายศรีตรัง” อ้อยเรียก
“บอกว่าไม่มีอะไร”
“นังหน้าเขียวหรือเปล่าค่ะ”
“ใคร นังหน้าเขียว”
“ก็เกษรินน่ะซิคะ หน้ามันเขียวอื๋อเชียวค่ะ ผีบ้าอะไรก็ไม่รู้ ไม่รู้จักไปผุดไปเกิด เที่ยวมารบกวนคนอยู่ได้ อ้อยอยากจะแช่ง...”
“อ้อย”
“ขา ... คืออ้อยเจ็บใจมันจริงๆ ค่ะ”
“ถ้าอ้อยไม่อโหสิ เขาก็ไม่อโหสิ”
“ก็มันไม่อโหสิให้อ้อยก่อนนี่คะ”
“งั้นก็แปลว่าอ้อยเคยมีเรื่องกับเขาจริงๆ น่ะซิ”
อ้อยอึกอักตกใจที่เผลอพูดออกไป
ขณะนั้นสมอยู่ในไร่ กำลังสั่งงานคนงาน ศรีตรังขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามาสมเดินมารับ
“ได้ความว่ายังไงครับ”
“อ้อยหลุดออกมาประโยคนึงว่า “ก็มันไม่อโหสิอ้อยก่อนนี่คะ”
“ด้วยความเคารพ ถ้าใช้คำว่าอโหสิมันก็น่าจะเป็นเรื่องค่อนข้างร้ายแรง”
“นั่นซิคะ แต่ถามเท่าไหร่อ้อยก็ไม่พูดอีก”
“อาจจะต้องให้แม่เขาช่วยพูด”
“ศรีจะพยายามเองก่อน เพราะไม่อยากให้ป้าจุแกกลุ้มใจ ถ้าไม่ยอมจริงๆ คงต้องทำอย่างนั้น”
ศรีตรังบอกอย่างหนักใจ
ส่วนอ้อยเธอยังคงนั่งเหม่อเหมือนคนใจลอยเมื่อนึกถึงคำถามศรีตรัง
“อ้อยเคยทะเลาะเบาะแว้งตบตีกับเขาหรือเปล่า”
อ้อยเม้มปากนึกถึงเรื่องราวในอดีตตอนที่เกษรินยังมีชีวิตอยู่ เกษรินขี่จักรยานมาตามถนน ตรงตะกร้าหน้าจักรยานมีปิ่นโตกับข้าวให้ตรีทศ อ้อยขี่มอเตอร์ไซค์มาตัดหน้าเกษรินหลบตามสัญชาติญาณ จนรถไถลไปชนต้นไม้ล้มลงปิ่นโตกับข้าวกลิ้งไป
“โอ๊ย เจ็บ”
“เจ็บเรอะ นี่แน่ะ”
อ้อยตบซ้ายตบขวาจนเกษรินถลาไปมา
“โอ๊ย ฉันไปทำอะไรให้” เกษรินถามอย่างตกใจ
“พี่ทศเป็นของฉัน ห้ามแกมายุ่งเข้าใจมั้ย”
“พี่ทศไม่ได้บอกอย่างนั้น”
“เถียง เถียง นี่แน่ะเถียง”
อ้อยตบปากเกษริน เกษรินร้องไห้ด้วยความเจ็บปวดแล้วยกมือขึ้นกุมปาก อ้อยจิกหัวเกษริน เกษรินดึงมืออ้อยที่จิกหัวอยู่ออก
“ปล่อย”
“นี่แน่ะปล่อย ขอส่งท้ายอีกทีนึงเถอะ”
อ้อยตบอีกแล้วใช้มือจิกหัวเกษรินกระแทกลงพื้นก่อนปล่อย เกษรินทั้งเจ็บตัวเจ็บใจ อ้อยหัวเราะเยาะ แล้วเดินไปหยิบปิ่นโตกับข้าวเทกับข้าวทิ้ง เกษรินเงยหน้ามองอ้อยแค้นๆ
“นังเกษ ฉันไม่เสียใจเลยที่ตบแกวันนั้น” อ้อยพึมพำออกมา จู่ๆ ก็มีเสียงหัวเราะแผ่วๆ ดังมากับลมอ้อยหันไปมอง “สงสัยจะหูฝาด แต่วันนั้นยังไม่สะใจเท่าอีกวัน”
อ้อยลุกขึ้นแล้วเดินกลับบ้าน เมื่อกลับถึงบ้านโทรศัพท์ก็ดังขึ้นพอดี อ้อยหยิบขึ้นมาดูก่อนจะกดรับ
“ฮัลโหล”
“ค่อยยังชั่ว นึกว่าจะไม่รับเสียแล้ว”
“ศักดิ์ อ้อยกำลังคิดถึงอยู่เลยนี่ก็ว่าจะไปเยี่ยม”
“ไม่จริงมั้ง ถ้าจะมาเยี่ยมอ้อยก็คงมานานแล้ว”
“ศักดิ์ก็รู้ว่าอ้อยไม่ค่อยว่าง”
“ศักดิ์รู้แต่ว่าปกติอ้อยจะว่าง”
“งั้นเดี๋ยวพบกัน อ้อยจะได้อธิบายให้เข้าใจ เดี๋ยวพบกันนะจ้ะ” อ้อยปิดมือถือด้วยสีหน้าหงุดหงิด “ไอ้นี่ก็อีกคน ไม่รู้จักซะแล้ว”
อ้อยมาเยี่ยมศักดิ์สิทธิ์ที่ทัณฑสถาน อ้อยเดินตรงมาบริเวณที่พบญาติศักดิ์สิทธิ์มองอ้อยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม อ้อยเข้ามากอดแล้วจุ๊บแก้มศักดิ์สิทธิ์ราวกับคิดถึงเสียเหลือเกิน
“คิดทึ้ง...คิดถึง”
ศักดิ์สิทธิ์ผลักอ้อยออก
“อย่า”
“อายเหรอ”
“อ้อยต้องเป็นพยานให้ศักดิ์”
“เรื่องอย่างนี้มันต้องคิด เพราะแหวนนั่นเป็นพยานมัดตัว ...”
“ไม่รู้ละ ถ้าอ้อยไม่ช่วย ศักดิ์จะบอกว่าอ้อยนั่นแหละเป็นตัวการ ศักดิ์ไม่ยอมติดคุกคนเดียวแน่”
“ช่วยซิจ้ะ อ้อยต้องช่วยศักดิ์อยู่แล้ว อ้อยไม่ทิ้งศักดิ์หรอก รักจะตาย”
“อย่ามัวแต่พูด ไปจัดการเร็วๆ เข้า ศักดิ์เอาจริงด้วย”
“โอ.เค อ้อยตั้งใจจะช่วยอยู่แล้ว ถึงศักดิ์ไม่ขู่อ้อยก็จะช่วย อ้อยมีมนุษยธรรมพอ”
“ขอให้มันจริงเถอะ ไม่งั้นอ้อยได้ลิ้มรสชีวิตนักโทษแน่”
อ้อยฝืนยิ้ม แล้วเบือนหน้าไปเบ้หน้าอีกทาง
เวลาผ่านไป...อ้อยขี่มอเตอร์ไซค์มาจอดหน้าบ้านแล้วไขกุญแจเข้าบ้านด้วยสีหน้าหงุดหงิด อ้อยเดินเข้าบ้านแล้วทิ้งตัวลงนั่ง
“ไอ้ศักดิ์บ้า ไม่รู้จักความเป็นสุภาพบุรุษซะบ้างเลย ตัวเองถูกจับคนเดียวไม่พอยังจะดึงเราไปเข้าคุกด้วยอีก” อ้อยลุกขึ้นเดินกลับไปกลับมา “ไอ้ฆ่าคนตายนี่มันจำคุกตลอดชีวิตจนถึงประหารชีวิตเสียด้วย
โฮ้ย วุ่นวายไปหมด”
ทันใดมีเสียงเรียกอยู่ข้างนอก
“อ้อย อ้อย”
“เสียงเหมือนเจนจิรา มาได้ไง”
อ้อยเดินออกไปดูจึงเห็นเจนจิรายืนอยู่หน้าบ้าน
“คุณพี่เจน มาได้ไงคะ” อ้อยถามอย่างแปลกใจ
“ถามทางพวกคนงานมา อ้อยอยู่ที่นี่เรอะ”
“ค่ะ พี่จะเข้ามาข้างในไหม”
“ไม่ล่ะ ไปเดินสำรวจไร่กันหน่อยซิ ขี้เกียจอุดอู้อยู่แต่ในบ้านกับยัยศรีตรัง”
“ไปได้ แต่ต้องยื่นหมูยื่นแมว”
“อะไร แค่นี้ก็จะเอาตังค์”
“ไม่ได้เอาตังค์ แต่อ้อยจะขอไปนอนด้วยคนคืนนี้แม่ต้องไปงานสวดศพพรุ่งนี้เช้าถึงจะกลับ”
“ได้ แต่ต้องอย่าเออะโวยวายอย่างเมื่อคืนนี้อีกนะ”
“ถ้าผีไม่มา ใครจะไปร้องให้เจ็บคอคะ” เจนจิราหันขวับมามองอ้อยทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ “พูดเล่นน่ะค่ะ”
คืนนั้นอ้อยจึงมานอนกับเจนจิราและกลางดึกคืนนั้นขณะที่สองสาวกำลังหลับสนิทเสียงเกษรินก็ดังขึ้น
“ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัว” อ้อยขยับพลิกตัว “ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัว” อ้อยลืมตาขึ้น แล้วเบิกตากว้างด้วยความตกใจเมื่อเห็นเกษรินนั่งอยู่ปลายเตียง “ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัว” อ้อยปากสั่น พยายามจะร้องแต่เสียงอยู่ในลำคอ “ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัว”
เกษรินขยับคลานเข้ามาจนอยู่ห่างอ้อยแค่คืบ อ้อยร้องกรี๊ดลั่น
“อีหน้าเขียว”
อ้อยเอามือปิดตาร้องอย่างหวาดกลัวจนเจนจิราตกใจตื่น
“อะไรอีกล่ะอ้อย”
“ผะ...ผะ...ผะ...อีหน้าเขียวค่ะ”
“ไม่เห็นมีซักหน้า ...จะเขียว ...จะเหลือง ...จะแดงก็ไม่เห็นมี”
อ้อยมีสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด ขณะมองไปรอบๆ อย่างระมัดระวัง
อ่านต่อหน้า 4
ปางเสน่หา ตอนที่ 10 (ต่อ)
เช้าวันรุ่งขึ้นศรีตรังแต่งตัวทะมัดทะแมงเดินมาขึ้นรถ โดยมีจุรีเดินมาส่ง
“สองคนนั่นยังไม่ตื่นเรอะ”
“ค่ะ เห็นว่าเมื่อคืน นังอ้อยมันฝันถึงเกษริน ลุกขึ้นมาเอะอะร้องโวยวายจนนอนไม่หลับกันไปทั้ง 2 คน”
“แปลก ศักดิ์ก็ถูกจับไปแล้ว ร่างเกษเองก็เผาไปแล้ว ทำบุญอุทิศส่วนกุศลก็ทำแล้ว แต่ทำไมวิญญาณเกษรินยังไม่ได้ไปผุดไปเกิดอีก แถมยังจำเพาะเจาะจงหลอกแต่อ้อยอีก”
จุรีทำหน้ากลัดกลุ้ม ขณะเหลียวหน้าเหลียวหลัง
“ป้าน่ะมานั่งคิดนอนคิด แล้วก็พาลกลุ้มใจว่าอ้อยมันไปทำอะไรเขาไว้หรือเปล่า”
“ฮื้อ คงไม่ใช่ละมั้ง”
“ก็แล้วทำไมเกษรินเขาถึงไม่ไปผุดไปเกิดสักทีล่ะคะ ...เหมือนเขามีอะไรที่ยังค้างคาใจ โดยเฉพาะกับอ้อย ป้าเคยถาม มันก็บอกว่า อาจจะเป็นเรื่องรักสามเศร้า เราสามคน”
“เป็นไปไม่ได้ค่ะ เอาอย่างนี้ ให้อ้อยทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้”
“ป้าก็คิดอย่างนั้นแหละค่ะ นี่ว่าจะไปตามมาทำพิธีขอสมาลาโทษด้วย”
“ดีค่ะ ... ศรีฝากเจนจิราด้วยนะคะ อย่าให้ออกไปข้างนอกเด็ดขาด”
“ค่ะ ขับรถดีๆ นะคะ คุณหนู”
“ค่ะ”
ศรีตรังขับรถออกไป จุรีเดินกลับเข้าบ้าน
ระหว่างทางพอลได้โทรศัพท์เข้ามาหาศรีตรัง ศรีตรังรับโทรศัพท์ด้วยสีหน้าแจ่มใส
“สวัสดีค่ะ”
“เมื่อคืนทำไมไม่รับโทรศัพท์”
“แบตหมดค่ะ . แล้วก็ยุ่งๆ เรื่องฟื้นฟูรีสอร์ทกับไร่ข้าวโพด”
พอลอึ้งไปครู่หนึ่ง
“ผมเสียใจจริงๆ นะ” ศรีตรังก็นิ่งไปเช่นกัน “ยังฟังผมอยู่หรือเปล่า”
“ค่ะ”
“เสาร์นี้ผมจะไปหา คุณอยากได้อะไรไหม”
“ไม่ค่ะ”
“แล้วพบกัน”
ศรีตรังปิดโทรศัพท์ สีหน้าเคร่งขรึมเพราะคิดว่าพอลมีส่วนรู้เห็นกับการเผาไร่เธอ
ช่วงเวลาเดียวกันนั้นที่โรงพยาบาลเตชิตกำลังเรียกหาเสียงหวานด้วยความหงุดหงิด
“เสียงหวาน …เสียงหวาน” เงียบ “คุณเสียงหวานครับ จะกรุณาปรากฏร่างหน่อยได้มั้ยครับ” ทุกอย่างยังคงเงียบ
“คุณเสียงหวาน อย่างอน...”
เตชิตพูดไม่ทันจบประตูเปิดออก พอลเดินเข้ามาพร้อมกระเช้าของเยี่ยม พอลวางกระเช้าขณะที่เตชิตยังมองเหวอ
“เมื่อกี้คุยคนเดียวอยู่หรือครับ”
พอลถาม เตชิตรวบรวมสมาธิก่อนตอบ
“แล้วมันผิดตรงไหน”
“โอ๊ะ ไม่ผิดหรอกถือเป็นการระบายความเครียด”
“มาทำไม”
“มาเยี่ยมซิครับ”
“จะมาดูว่าฉันตายหรือยังมากกว่ามั้ง แต่ขอบอกเสียก่อนว่าคนอย่างฉันดวงแข็ง ตายยาก One hard”
“ก็คงงั้น เพราะถ้า Die ไม่ hard ป่านนี้คงต้องเข้าคิวรอเผาแล้ว”
“เจ้านายแกคงผิดหวังละซิ”
พอลผงกหัวกวนๆ
“เรียกว่าเซ็งมากกว่า”
“ไปบอกมันด้วยว่า ทีหลังอย่าสั่งพวกมือสมัครเล่นมาเพราะจะตายเป็นใบไม้ร่วงอย่างที่เห็น ถ้าจะให้ดีส่งแกมาก็ได้ หรือไม่ก็มาเอง จะได้สมศักดิ์ศรีหน่อย”
“โอเคแล้วจะบอกผู้กำกับเสนาให้”
“ฉันหมายถึงไอ้เดนนิส ไม่ใช่ผู้กำกับเสนา”
“ในเมื่อแกยังอยู่ดี ฉันก็ไปละ”
“เออ แล้วไม่ต้องมาอีก แล้วก็เอาของเยี่ยมแกกลับไปด้วย”
“ขี้เกียจหิ้ว ถ้าไม่อยากกินก็เอาไปบริจาคได้ฉันจะได้ได้บุญ”
พอลเดินไปที่ประตู เสียงหวานเดินสวนเข้ามา เสียงหวานชะงักมองตามแววตามีความเจ็บปวดแว่บหนึ่ง
พอออกมาจากห้องเตชิตเสียงโทรศัพท์พอลก็ดังขึ้น พอลกดรับ
“ว่าไงครับ”
“วันนี้เดือนคงไปโรงพยาบาลไม่ได้ ...ฝากพอลช่วยดูยัยดาวหน่อยนะคะ”
“ไม่ต้องเป็นห่วงครับ ผมมาถึงโรงพยาบาลแล้ว”
“ขอบคุณมากค่ะ”
พอลเก็บโทรศัพท์แล้วเดินไปทางห้องปรายดาว
ส่วนที่ห้องเตชิตเสียงหวานเดินซึมๆ มานั่ง
“เป็นอะไรไปอีกล่ะ หรือนึกได้แล้วว่าเคยรู้จักกับไอ้พอลนั่น”
“ฉันเพิ่งมาจากห้องค่ะ พยายามแล้วพยายามอีกที่จะกลับเข้าร่าง แต่ก็เข้าไม่ได้”
“มันต้องมีวิธีซิ ออกมาได้ก็ต้องเข้าไปได้”
“ฉันพยายามลองแล้วลองอีก”
“ยกเว้นอย่างนึง ...”
“อะไรคะ” เสียงหวานกระตือรือร้น
“คุณไปดูที่ห้องปรายดาวซิว่ามีใครอยู่หรือเปล่า ถ้าหากไม่มีใครก็รีบบอกผม”
“ค่ะ”
เสียงหวานหายไป ประตูห้องเตชิตเปิดอีกครั้ง ธงเดินหน้าตารีบร้อนเข้ามาแล้วทำความเคารพเตชิต
“อ้าว จ่าธงเมื่อกี้สวนกับไอ้ผู้กองพอลหรือเปล่า”
“เห็นแวบๆ ครับ แล้วที่มาวันนี้ก็เรื่องผู้กองพอลนี่แหละครับ” เตชิตชะงัก “ต้องออกตัวก่อนว่าผมไม่ได้ตั้งใจจะสืบอะไรหรอกนะครับ มันบังเอิญจริงๆ ที่วันนั้นได้ยินแกคุยกับฝรั่งคล่องแคล่วสำเนียงเนี้ย ถ้าไม่หันไปดูต้องนึกว่าฝรั่งพูดเลยละครับ”
“แล้ว...”
“ดีที่หลานผมมันอ่อนภาษาอังกฤษ ก็เลยให้เพื่อนที่อยู่กองทะเบียนประวัติช่วยดูให้ว่าแกเรียนที่ไหน เผื่อจะให้หลานไปเรียนบ้าง แต่พอเอาเลขประจำตัวของแกไปเช็คตำรวจยศเดียวกันแต่เป็นอีกคนนึงครับ”
เตชิตชะงัก
“งั้นก็สวมรอยกันน่ะซิ”
“ครับ เพราะตำรวจคนนั้น ถูกส่งไปประจำชายแดนแล้วหายสาบสูญไปหลายปีแล้ว สัณนิษฐานว่าอาจถูกโจรผู้ก่อการร้ายฆ่าหมกป่า”
“ไอ้พอลมันก็ไม่ใช่ตำรวจ...แล้วผู้กำกับเสนามีส่วนรู้ส่วนเห็นหรือเปล่า”
“อันนี้ผมก็ไม่กล้าฟันธงครับ แต่ก็แปลกทำไมตอนที่ผู้กองตกอยู่ในอันตราย ผู้กองพอลสั่งได้ให้ความช่วยเหลือ”
“เพราะมันกำลังจีบเพื่อนฉันน่ะซิ”
“อ้อ” ธงพยักเพยิด
“จ่าต้องระวังตัว เพราะดันไปรู้ความลับของมันเข้า จ่าช่วยสืบต่อก็แล้วกัน พรุ่งนี้หรือมะรืนนี้ผมคงออกจากโรงพยาบาล ถ้ามีข่าวคืบหน้าอะไรรีบรายงานนะ”
“ครับ ผู้กอง”
ข้อมูลที่รู้จากธงทำให้เตชิตตัดสินใจโทรหาธากรณ์ทันที
“ว่าไงไอ้เต ฉันยังไม่ได้ไปเยี่ยมแกเลย แต่ได้ข่าวว่าดีขึ้นแล้วนี่ ... ใครนะ เพชร หาญรณรงค์...ได้เลยฉันจะสืบหาข้อมูลให้ แล้วอย่าลืมเชียร์ฉันให้น้องศรีตรังนะเว้ย”
“เออ จะเชียร์ให้สุดลิ่มทิ่มประตูเลย แค่นี้ละ”
เตชิตวางโทรศัพท์ลงธงรีบถาม
“แล้วนายเพชร หาญรณรงค์นี่เป็นใครกันครับ เหมือนผมจะเคยได้ยินนามสกุลนี้ มาก่อน”
“ก็พลตำรวจเอกเพทาย หาญรณรงค์ไง”
ธงพยักหน้าช้าๆ
ส่วนที่ห้องปรายดาวพอลนั่งกุมมือปรายดาวที่ยังนอนนิ่ง เสียงหวานนั่งฝั่งตรงกันข้ามแล้วมองพอลอย่างเพ่งพิศ
“ผมรักคุณนะปรายดาวแล้วก็ยังรู้สึกผิดตลอด 2 ปีกว่ามานี่ ... คุณจากไปพร้อมกับความเข้าใจผิด ถ้าหากผมมีโอกาสอีกสักครั้ง หากคุณฟื้นตื่นขึ้นมาผมจะชดใช้ด้วยการดูแลคุณอย่างดีไปจนตลอดชีวิต”
เสียงหวานมองพอลราวกับจะทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นอล้วภายในอดีตก็หวนกลับมาขณะนั้นพอลขับรถมากับปรกเดือน สีหน้าทั้งสองคนดูเครียด ปรายดาวขับรถอีกคนตามมานัยน์ตาจับจ้องรถคันหน้าไม่ให้คลาดสายตา...พอลขับรถเข้ามาในไร่สุขศรีตรังปรายดาวทิ้งระยะห่างเล็กน้อย แล้วขับตามเข้าไป
ปรายดาวจอดรถแล้วค่อยๆ ลัดเลาะมาเรื่อยจนถึงบริเวณบ้านซึ่งมีรถพอลจอดอยู่ ปรายดาวค่อยๆ ขยับประตูซึ่งเปิดค้างนิดๆ แล้วย่องเข้าไปจึงเห็นปรกเดือนกำลังร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ในอ้อมกอดพอล ขณะที่พอลโอบกอดปลอบประโลม ภาพที่เห็นทำให้ปรายดาวเจ็บปวดสุดๆ
“พี่พอล พี่เดือน”
ทั้งสองคนตกใจหันขวับมามอง
“ดาว”
ปรายดาววิ่งออกไป
“ดาว ดาวเข้าใจผิด”
“ดาว ฟังพี่ก่อน”
ปรายดาววิ่งร้องไห้ออกไป พอลกับปรกเดือนรีบตามไป ปรายดาวขึ้นรถทั้งน้ำตา
“ดาว หยุดก่อน”
“ดาว มันไม่ใช่อย่างที่ดาวเข้าใจ”
ปรายดาวขับรถออกไปแบบคนเสียสติ พอลวิ่งมาขวางแต่ปรายดาวไม่หยุด พอลต้องหลบแทบไม่ทัน
“พอล ทำไงดี” ปรกเดือนถามพอลอย่างร้อนใจ
“ไปขึ้นรถ”
พอลและปรกเดือนวิ่งย้อนไปขึ้นรถ แล้วขับตามออกไป
ปรายดาวขับรถพลางแล้วร้องไห้พลาง
“คนเลว คนทรยศ”
พอลขับตามโดยปรกเดือนคอยโทรศัพท์หาปรายดาวแต่ปรายดาวไม่ยอมรับสาย
“ยัยดาวไม่ยอมรับค่ะ”
“โทรไปเรื่อยๆ”
“ค่ะ”
ปรายดาวปิดโทรศัพท์ พอลยังตามไม่ลดละขณะที่ปรกเดือนยังพยายามกดโทรศัพท์หาปรายดาว
ปรายดาวขับรถอย่างไร้สติและร้องไห้จนน้ำตาพร่าพรายจังหวะนั้นมีรถบรรทุกขับตัดหน้าอย่างกระชั้นชิด ปรายดาวหักหลบรถจึงเสียหลักแล่นเข้าชนต้นไม้ พร้อมเสียงกรีดร้องของปรายดาว ปรายดาวกระเด็นออกมานอกรถสร้อยคอพระกระเด็นออกไปด้วยเกิดการกระแทกอย่างรุนแรงขณะที่ปรายดาวนอนสิ้นสติ
เสียงหวานรู้สึกเจ็บปวดกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเอง
“พี่พอล ทำไมพี่พอลกับพี่เดือนถึงทำได้ขนาดนี้คะ ทำไมพี่ถึงใจร้ายนัก”
ร่างปรายดาวกระตุก พอลจับมือปรายดาวไว้แน่นค่อยๆ ลูบผมปรายดาวปลอบประโลม ในที่สุดปรายดาวก็ค่อย คลายจากอาการกระตุก
“พี่จะเล่าทุกอย่างให้ปรายดาวฟัง ดาวจะได้ยินหรือเปล่าพี่ก็ไม่รู้ แต่พี่จะเล่า...พี่กับเดือนไม่เคยคิดแม้แต่สักนิดว่าจะทรยศหรือจะทำร้ายจิตใจดาว แล้วเดือนกับพี่ก็ไม่เคยรักกัน เราเป็นแค่เพื่อนที่ปรับทุกข์กันได้ เดือนรักเดนนิส สามี
ของเขามาก ถึงเดนนิสจะเลวร้ายยังไงเขาก็รักของเขา ...”
เสียงหวานมองพอลอย่างประหลาดใจ
“แล้วพี่พอลล่ะคะ รักดาวหรือเปล่า”
เสียงหวานถามแต่พอลไม่ได้ยิน พอลสูดลมหายใจยาว
“วันนั้น เดือนโทรศัพท์ให้พี่ไปพบ...”
จากนั้นพอลก็พูดถึงเหตุการณ์วันนั้น...ปรกเดือนเดินกลับไปกลับมาอย่างกระวนกระวายอยู่ที่บ้านจนกระทั่ง
พอลเดินเข้ามา
“มีอะไรหรือเดือน”
ปรกเดือนร้องไห้ออกมาทันทีเมื่อเห็นพอล
“พอล”
พอลจับมือปรกเดือนไว้
“ใครทำอะไรเดือน”
“เดนนิสค่ะ เดนิสเขามาขอดาวกับเดือน”
“ฮ้า เขาก็รู้ว่าดาวเป็นคู่หมั้นของผม” พอลถามอย่างตกใจ
“เขาบอกว่า ถ้าเดือนยอมยกน้องสาวให้ เขาสัญญาว่าจะไม่มีผู้หญิงอื่นอีกเลย”
พอลขบกรามแน่น
“เดนนิส... แล้วเดือนว่ายังไง”
“เดือนก็บอกอย่างที่คุณพูดทั้งหมดน่ะค่ะ แต่เขาก็ยังยืนยันอยู่อย่างนั้น” พอลถอนใจยาว “เดือนไม่รู้จะทำยังไงแล้ว”
“คุณรักเดนนิสมาก” ปรกเดือนพยักหน้าทั้งน้ำตา “เคยคิดที่จะตามใจเขาหรือเปล่า”
ปรกเดือนมองหน้าพอลอย่างตกใจ
“พอล ทำไมคุณพูดอย่างนั้น ยัยดาวเป็นน้องสาวแท้ๆ ของเดือนนะคะแล้วคุณก็เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเดือน”
“ทำไมเขาเกิดมีความคิดบ้าๆ นี่ขึ้นมา”
“เพราะยัยดาวเกิดไปรู้ความลับของเขาเข้าค่ะ”
เสียงหวานชะโงกหน้ามาถามพอลอย่างแปลกใจ
“ความลับอะไรคะ”
พอลก้มลงจูบมือปรายดาวอย่างอ่อนโยน
“คุณเกิดไปรู้ความลับของเขาเข้า... เขาเลยต้องการให้คุณเป็นเมียเก็บเพื่อจะได้ควบคุมไว้เหมือนกับที่ควบคุมเดือน”
“ชั่วร้ายที่สุด”
พอลแนบแก้มกับมือปรายดาว เสียงหวานมองภาพนั้นด้วยสีหน้าแววตาอ่อนโยน
เสียงหวานเดินเรื่อยๆ มาทรุดตัวลงนั่งแล้วถอนใจยาวด้วยสีหน้าแววตาสับสน ระหว่างนั้นศรีตรังเดินเข้ามาพร้อมถุงส้ม เสียงหวานหันมาเห็นถึงกับชะงัก
“นายศรีตรัง”
ศรีตรังเดินผ่านเสี่ยงหวานไป เสียงหวานลุกขึ้น แล้วเดินตามศรีตรังไป
ขณะนั้นเตชิตนอนก่ายหน้าผากจ้องมองเพดานอย่างใคร่ครวญครุ่นคิด ประตูห้องเปิดออกศรีตรังเดินเข้ามา
“ซื้อส้มมาฝาก”
ศรีตรังบอกขณะวางถุงส้มลง
“อนาถาจังว่ะ”
“เฮ้ย ! โลละ 70 เชียวนะแก อย่าดูถูก”
เสียงหวานปรากฏตัวอยู่มุมหนึ่งเพื่อสังเกตท่าทีของคนทั้งสอง
“พร้อมจะรับฟังอะไรบางอย่างมั้ย”
“จะเล่าอะไรก็เล่ามา ไม่ต้องอารัมภบท”
“ผู้กองพอลแฟนแกเป็นตำรวจปลอม”
เสียงหวานเบิกตากว้าง
“ข้อแรก...ผู้กองพอลไม่ใช่แฟนฉัน ข้อสองแกรู้ได้ยังไง”
“จ่าธงไปบังเอิญรู้มา ตอนนี้ฉันกำลังให้สืบต่อ”
“ฉันยังไม่ค่อยจะแน่ใจ” ศรีตรังมีสีหน้าลังเล
“ฮั่นแน ใจอ่อนแล้วละซิ”
“ไอ้เตบ้า ไอ้เนรคุณ ฉันแค่มานั่งคิด ยืนคิด นอนคิดว่าทำไม พอลเขาถึงได้ช่วยแกทั้งๆ ที่แกมันไม่น่าช่วยเลยสักนิด”
“เพราะมันต้องการให้เราตายใจ”
“โดยแลกกับชีวิตพรรคพวกกันตั้งสามชีวิตน่ะเรอะ”
“เออ”
“ฟังไม่ขึ้นวะ”
ทั้งคู่นิ่งกันไปครู่หนึ่ง เสียงหวานมองคนนั้นที คนนี้ที
“ที่ไร่เป็นยังไงบ้าง”
“เฮ้อ” ศรีตรังถอนหายใจ
“แสดงว่าดี”
“ดีบ้าดีบออะไร”
“ก็เห็นแกถอนใจ ถอนใจแบบนี้แสดงว่ามีความสุข”
“โอ๊ย ไอ้เต”
เสียงหวานมองท่าทีของทั้งคู่แล้วหายออกไป
เสียงหวานเดินมาทรุดตัวลงนั่งมุมหนึ่งแล้วทอดสายตามองออกไปเบื้องหน้า ระหว่างนั้นมีร่างในชุดขาว 3-4 ร่างลอยออกมาจากตึกผู้ป่วย ร่างเหล่านั้น ค่อยๆ เดินผ่านเสียงหวานไป ระหว่างนั้นมีแสงสว่างฉายลงจากฟ้ามาทาบที่ 2-3 ร่างแล้วร่างเหล่านั้นเกิดรัศมีสว่าง แล้วหายไปประมาณว่าทำดีขึ้นสวรรค์ อีกมุมหนึ่งมีเงาดำๆ 2 ร่างผุดขึ้นมาจากพื้นดิน แล้วฉุดกระชากลากอีกร่างที่เหลือลงไปในนรก ร่างนั้นพยายามดิ้นรนต่อสู้ แต่ด็ถูกฉุดลงไปในที่สุด เสียงหวานมองสิ่งที่เห็น
อย่างใคร่ครวญครุ่นคิด
“อย่างน้อย ทุกดวงวิญญาณก็มีที่ไป เหลือแต่เราคนเดียวที่เคว้งคว้างระหว่างสองโลก”
เสียงหวานกลับมาที่ห้องเตชิต ขณะนั้นเตชิตอยู่ประตูระเบียงมองออกไปข้างนอก เสียงกระแอมดังขึ้นเตชิตหันกลับไปมองจึงเห็นเสียงหวานยืนมองมา
“หายไปไหนมา”
“ไปดูดวงวิญญาณของผู้ที่สิ้นอายุขัยต่างแยกย้ายไปตามทางของพวกเขา เหลือแต่ที่ยังเคว้งคว้าง อยู่ระหว่าง 2 โลก”
“ไม่เอาน่า เราไปเยี่ยมร่างคุณกันเถอะ”
“ไปซิคะ”
“แต่คุณต้องไปดูก่อนว่ามีใครอยู่ในห้องนั้นด้วยหรือเปล่า”
“ได้ค่ะ เดี๋ยวฉันมานะคะ”
เสียงหวานหายไป เตชิตเดินมาทรุดตัวลงนั่งด้วยสีหน้าครุ่นคิด
เสียงหวานกลับมาที่ห้องปรายดาว ขณะที่ปรายดาวยังนอนนิ่งสนิทเหมือนอย่างเดิม พยาบาลเข้ามาตรวจวัดความดันแล้วปิดไฟกลางห้องเดินออกไป เสียงหวานเดินผ่านประตูตามออกไป เสียงหวานกลับมาหาเตชิตที่ห้อง
“ทางสะดวกค่ะ”
เตชิตลุกขึ้น เสียงหวานเดินนำโดยผ่านประตูออกไป เตชิตเปิดประตูตาม
เตชิตเปิดประตูห้องปรายดาวเข้ามาแล้วหันมามองหาเสียงหวาน
“เสียงหวาน”
“อยู่นี่ค่ะ”
เตชิตหันไปมองที่เตียงจึงเห็นเงาร่างเสียงหวานซ้อนทับอยู่บนร่างแน่นิ่งของปรายดาว เตชิตเดินตรงมาช้าๆ จนถึงหน้าเตียง
“เสียงหวาน ....”
เงาเสียงหวานลืมตาขึ้น แต่ปรายดาวยังหลับสนิท
“พอดีเป๊ะเลยเห็นมั้ยคะ”
“แต่ทำไมคุณยังไมฟื้น”
“ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ ฉันทำได้ดีที่สุดแล้วแค่นี้เอง” เตชิตจับสร้อยเสียงหวานจะถอดออก “อย่าค่ะ อย่าถอด”
“ทำไม ไม่ได้เป็นผีแล้วยังกลัวพระอีกเหรอ”
“เปล่าค่ะ แต่ฉันบอกแล้วว่าอยากให้คุณเก็บเอาไว้”
“ผมแค่อยากจะทดลองอะไรบางอย่างเท่านั้น บางทีสิ่งนี้อาจจะเชื่อมคุณเข้ากับร่างกายได้ คุณเป็นคนบอกผมเองว่า พระเครื่องนี้สำคัญกับคุณมากไม่ใช่หรือ”
“ลองดูก็ได้ค่ะ”
เตชิตค่อยๆ ถอดสร้อยออก แล้วค่อยๆ บรรจงสวมที่คอปรายดาว ใบหน้าเตชิตก้มลงมาใกล้ หน้าเสียงหวานมีแสงออร่ากลายเป็นสีชมพู
“แสงกลายเป็นสีชมพูแบบนี้แปลว่ากำลังอาย ...”
“ใครบอก...”
เสียงหวาบอุบอิบ เตชิตหลับตาลง
“แล้วตั้งสมาธิให้ดี” เสียงหวานทำตามอย่างว่าง่าย เตชิตมองครู่หนึ่งแล้วก้มลงกระซิบข้างหู “เสียงหวาน”
เตชิตจับสร้อยที่คล้องคอให้เสียงหวาน แล้วก้มลงมองเสียงหวานซึ่งลืมตามอง เตชิตค่อยๆ ก้มลงจนจมูกแตะแก้มเสียงหวานซึ่งซ้อนอยู่กับปรายดาว
“เสียงหวาน ...ปรายดาว...ถึงเวลาที่เจ้าหญิงนิทราตื่นได้แล้ว อย่าขี้เซานักเลย” เตชิตก้มลงจูบเสียงหวานอย่างอ่อนโยน “ตื่นได้แล้ว เจ้าหญิง”
เตชิตค่อยๆ เงยหน้าขึ้น เสียงหวานตาโตค่อยๆ ยกมือขึ้นแตะปาก
“คุณเตชิต ... คุณทำอะไรคะ”
“ก็ปลุกเจ้าหญิงนิทราไง”
“คุณ ... จูบ...ฉัน”
“ใช่...ผม...เอ้อ...ขอโทษ ผมแค่อยากลองดูว่าคุณจะฟื้นเหมือนในเทพนิยายไหม ไม่ได้มีเจตนาจะล่วงเกินคุณเลย ... อย่าโกรธผมนะ”
“ไม่ค่ะ...ฉันไม่ได้โกรธ แต่ฉันหมายถึง ...ฉันรู้สึกค่ะ ...รู้สึกที่ริมฝีปาก”
เตชิตก้มลงจูบอีกที จังหวะนั้นพยาบาลเปิดประตูเข้ามาเห็นพอดี
“ช่วยด้วย ไอ้โรคจิต” เตชิตและเสียงหวานสะดุ้งเฮือก เตชิตหันไปมองจึงเห็นพยาบาลพิเศษที่มาดูแลปรายดาวกำลังเอะอะโวยวาย “แก ไอ้โรคจิต ใครอยู่ข้างนอก ช่วยด้วย ช่วยด้วย” เตชิตรีบออกไปทันที “ไอ้โรคจิต ไอ้โรคจิต”
เสียงหวานตกใจทำอะไรไม่ถูก
เตชิตรีบกลับมาที่ห้องแล้วขึ้นเตียง
“เกือบไปแล้ว เสียงหวาน เสียงหวาน คุณอยู่หรือเปล่า”
ทุกอย่างเงียบสนิท เตชิตถอนใจยาวสีหน้าตื่นเต้นค่อยๆ สงบลงแล้วนึกถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเตชิตมีสีหน้าอ่อนโยนดูมีความสุข
วันต่อมาเตชิตถือแจกันดอกไม้มาที่ห้องปรายดาว เตชิตเดินมาหน้าห้องเคาะประตูเบาๆ แล้วเดินเข้าไป ...เตชิตเดินมาวางดอกไม้บนโต๊ะแล้วหันไปมองโดยรอบ
“เสียงหวาน คุณอยู่ในนี้ใช่ไหม”
เสียงหวานพยายามลุกขึ้นจากร่างปรายดาว แต่ก็ไม่สามารถทำได้
“คุณเตชิต”
เตชิตไม่มีท่าทีว่าจะได้ยินเสียงเสียงหวาน
“เสียงหวาน”
“ฉันอยู่นี่ คุณเตชิต ฉันอยู่นี่ค่ะ”
“แล้วผมจะมาใหม่นะ ปรายดาว ฝากบอกเสียงหวานด้วยว่า ผมคิดถึง”
เตชิตก้มลงจูบแก้มปรายดาวเบาๆ แล้วเดินไปที่ประตู
“อย่าค่ะ อย่าเพิ่งไป คุณเตชิตช่วยฉันด้วย”เตชิตเปิดประตูเดินออกไป “คุณเตชิต คุณไม่ได้ยินฉันจริงๆ ทำยังไงดี .... ฉันขยับตัวไม่ได้เลย นี่มันเกิดอะไรขึ้น”
เสียงหวานพยายามร้องและดิ้นรน
ที่บ้านปรกเดือน ขณะนั้นปรกเดือนเดินลงบันไดมา เดนนิสนั่งจิบกาแฟอยู่ในห้องรับแขก ปรกเดือนชะงักนิดนึงเมื่อเห็นเดนนิส
“มานานแล้วหรือคะ”
“ก็ไม่ทานเท่าไหร่ นี่คุณจะไปเยี่ยมปรายดาวด้วยหรือ”
“ค่ะ”
“หมอบอกหรือเปล่าว่ามีโอกาสจะฟื้นสักที่เปอร์เซนต์”
“ก็เหมือนเดิมค่ะ”
“ผมไปด้วย” ปรกเดือนมองเดนนิสอย่างแปลกใจ “ทำไมล่ะ ผมจะไปเยี่ยมน้องสาวคุณไม่ได้หรือ”
“ก็ไม่เคยเห็นคุณสนใจ”
“กลายเป็นผมใจร้ายไปเสียอีก ไป”
เดนนิสโอบไหล่ปรกเดือนเดินออกไป
จบตอนที่ 10