ปางเสน่หา ตอนที่ 6
ขณะนั้นศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่บ้านและกำลังกระสับกระส่าย ผุดลุกผุดนั่งด้วยความกระวนกระวายใจ ในที่สุดศักดิ์สิทธิ์ก็เดินไปที่หน้าต่างแล้วมองออกไปข้างนอก เห็นแต่เงาตะคุ่มๆ ของหมู่ไม้และเทือกเขา ศักดิ์สิทธิ์ถอนใจเฮือก แล้วหันกลับมา เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ตอนที่กลับจากบ้านหมอผี
อ้อยผินหน้ามาทางศักดิ์สิทธิ์ซึ่งมีสีหน้าขมวดมุ่น เธอแตะแขนศักดิ์สิทธิ์เบาๆ
“ไม่ต้องกลัวนะศักดิ์ อ้อยจะจัดการทุกสิ่งทุกอย่างเอง”
ศักดิ์สิทธิ์ชำเลืองมองแว่บหนึ่ง
“จัดการยังไง”
“ก็จัดการเอานังเกษไปไว้ที่อื่นน่ะซิ”
“ศักดิ์กลัว ต่อให้มียันต์ของลุงหมอไปสะกด ศักดิ์ก็กลัว”
“กลัวก็ไม่ต้องไปกับอ้อยหรอก อ้อยจะไปกับคนอื่น”
“ใคร”
“พี่ทศ”
“มันคงยอมละ”
“อ้อยมีวิธีก็แล้วกัน”
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ศักดิ์สิทธิ์เดินกลับมาทรุดตัวลงนั่งแล้วบ่นพึมพำออกมาเบาๆ
“แล้วถ้าไอ้ทศมันรู้ว่า โครงกระดูกที่ฝังอยู่เป็นของเกษริน มันจะยอมให้เรื่องเงียบเรอะ โง่ชะมัด”
ศักดิ์สิทธิ์ถอนใจเฮือก ลุกเดินกลับไปกลับมาแล้วตัดสินใจเดินออกไป
ขณะนั้นเตชิตกำลังนอนหลับสนิท แต่แล้วจู่ๆ ก็มีเสียงหมาหอนดังขึ้นมาพร้อมๆ ใครคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามาช้าๆ ตรงมาที่เตชิต มีลมเย็นยะเยือกพัดเข้ามาผมเตชิดสะบัดนิดๆ ขณะที่ใครคนนั้นค่อยๆ ก้มหน้าลงมา เตชิตรู้สึกตัว ลืมตาขึ้นมาแล้วร้องลั่นพลางลนลานคลานไปอีกมุม
“เฮ้ย” เสียงหวานนั่งอยู่ตรงปลายเตียง เสียงหมายังคงหอนกระชั้นชิด “เมื่อกี้คุณไม่ได้อยู่ตรงนั้นนี่”
“ค่ะ...ฉันกำลังจะปลุกคุณ แต่คุณลืมตาขึ้นเสียก่อน”
เตชิตมองเสียงหวานอย่างไม่ไว้ใจ
“เดี๋ยว...เดี๋ยวนี้...คุณมาพร้อมกับเสียงหมาหอนแล้วเรอะ”
“เปล่าค่ะ”
“แล้ว...แล้วทำไม...” เสียงหมาหอนกระชั้นอีก
“เพื่อนฉันเขารออยู่ข้างนอก”
เตชิตสะดุ้งเฮือก
“รอใคร”
“รอคุณ”
เตชิตส่ายหน้าทันที
“ไม่ต้องเลย”
“มีคนกำลังจะไปรบกวนเขา เขาเลยมาขอให้คุณไปช่วย”
“เสียใจ ผมเป็นตำรวจก็จริง แต่รับแจ้งความเฉพาะมนุษย์ไม่ใช่ผี”
“น่า นะคะ ช่วยเขาหน่อย”
“ไม่” เตชิตตอบอย่างเด็ดเดี่ยว เสียงเคาะประตูดังขึ้นช้าๆ เป็นจังหวะ เตชิตสะดุ้งเฮือกถอยไปจนสุดมุมห้อง “ใคร”
“อ๋อ เพื่อนฉันไงคะ เขาคงจะมาขอร้องคุณเอง”
“ไม่ต้อง”
ลูกบิดค่อยๆ บิด เหมือนมีคนกำลังจะเปิด เตฃิตเบิกตากว้างมอง พร้อมพูดเสียงสั่นเทา
“ตกลง ช่วยก็ช่วย ขออย่างเดียวอย่าเข้ามา”
เสียงเคาะประตูหยุดลงทันที เสียงหวานหันมายิ้มหวาน
“เขาไม่เข้ามาแล้วค่ะ”
เตชิตเดินมาหยิบโทรศัพท์
“นั่นคุณจะโทร. หาใครคะ”
เตชิตโทรหาศรีตรัง ศรีตรังรับโทรศัพท์อย่างหงุดหงิด
“ไอ้เต...แก”
ศรีตรังเตรียมด่า เตชิตรีบชิงพูดขึ้นก่อน
“อย่าเพิ่งด่า”
“เฮ้ย ไอ้...”
“แกขับรถมารับฉันเดี๋ยวนี้”
“อะไรวะ ไอ้บ้าเต”
ศรีตรังโวยวายแต่สุดท้ายก็ขับรถมารับเตชิตีที่บ้าน ขณะนั้นเตชิตยืนรออยู่แล้ว ศรีตรังจอดรถแล้วชะโงกหน้าออกไปพูด
“ไอ้เต ถ้าหากแกหลอกฉันให้มาขับรถพาแกเที่ยวเล่นในยามดึกอย่างนี้ละก็...”
เตชิตหันไปพูดกับความว่างเปล่า
“จะล่วงหน้าไปก่อน หรือจะไปพร้อมกัน”
เตชิตถามเสียงหวาน ศรีตรังทำหน้าเลิ่กลั่กขณะที่เตชิตพยักหน้ากับคนที่พูดด้วย แล้วเดินอ้อมมาเปิดประตูขึ้นไปนั่งคู่ศรีตรัง ศรีตรังหันมามองเตชิตแล้วพูดเบาๆ แต่หนักแน่น
“ไอ้เตแก...”
ศรีตรังชะงัก เมื่อเสียงหมาหอนดังแว่วมา เตชิตและศรีตรังสะดุ้งเฮือก แล้วค่อยๆ หันไปมอง ศรีตรังเห็นเบาะหลังว่างเปล่า ในขณะที่เตชิตเห็นเสียงหวานนั่งอยู่เบาะหลัง
“ฉันขี้เกียจเดินน่ะค่ะ”
เสียงหวานบอก ศรีตรังชักผวา ถามเตชิตเสียงสั่น
“ไอ้เต อย่าบอกนะว่า คุณหนูเผือกเสียงหวานมาด้วย”
เตชิตอ้าปากจะพูด แต่หวานเสียงชิงพูดขึ้นก่อนอย่างยิ้มแย้ม
“บอกเธอว่าไม่ต้องกลัวฉันหรอกค่ะ”
เตชิตเบือนหน้ากลับมาทางศรีตรัง แล้วตบไหล่เบาๆ อย่างปลอบใจ
“เสียงหวานบอกว่าไม่ต้องกลัวเขา”
“ไม่ต้องกลัวฉันด้วยค่ะ”
เกษรินบอกเสียงแผ่ว เยือกเย็น เตชิตหันขวับไปมองแล้วร้องลั่น เปิดประตูรถพรวดออกมา หายใจหอบ นัยน์ตาเบิกค้างมองไปที่เบาะหลัง ในขณะที่ศรีตรังร้องตามแล้วกระโดดพรวดลงจากรถมายืนข้างหลังเตชิต
“ไหน...ไหน...แก...แก บอกฉันว่าไม่ต้องกลัวไง…ไง”
เตชิตยังคงพูดไม่ออกเมื่อเห็นเกษรินนั่งคู่กับเสียงหวานที่เบาะหลัง
“เพื่อนฉันขอนั่งไปด้วยคนค่ะ” เสียงหวานบอก
“ไม่ได้นั่งรถมานานแล้ว...ว...”
เตชิตกลืนน้ำลาย
“ฉัน...ฉันว่าฉันกลับดีกว่า ...” เตชิตพูดพลางหันหลังกลับจะเดินไป แต่เตชิตดึงคอเสื้อไว้ทันที
“ไม่ได้...ไหนๆ ก็ไหนๆ แกต้องไปกับฉัน”
“ไม่ ฉันยกรถให้แก ส่วนฉันจะเดินกลับเอง”
“บอกเธอว่าเราต้องไปด้วยกัน” เกษรินบอก
“คุณเสียงเย็นบอกว่า แกต้องไปด้วย” เตชิตบอกศรีตรัง
“สะ...สะ...เสียง...เสียงเย็น...”
“เออ! เสียงเย็นกับเสียงหวานมากันครบเลย”
ศรีตรังเบือนกลับไปมองเบาะหลังด้วยสีหน้าลังเลแกมหวาดๆ
ขณะนั้นศักดิ์สิทธิ์มาที่บริเวณฝังศพเกษริน ศักดิ์สิทธิ์ค่อยๆ ชะเง้อมองผ่านพุ่มไม้ออกไปจึงห็นตรีทศกำลังยกแขนปาดเหงื่อ หลังจากขุดดินไปได้ระยะหนึ่ง
“ไม่เห็นมีอะไรเลย”
ตรีทศหันมาถามอ้อย อ้อยทำเป็นมองโดยรอบด้วยสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด
“ต้องมีสิคะ”
“อ้อยอาจจะคิดไปเอง”
“คิดไปเองว่า เจอผีเนี่ยนะคะ ไม่มีทาง”
“แล้วทำไมถึงขุดไม่เจอล่ะ”
“อ้อยอาจจะจำผิด อาจจะไม่ใช่ตรงนี้”
“พี่ว่าเรากลับกันเถอะ”
“แล้วพี่ไม่สงสารแฟนพี่หรือคะ”
แววตาตรีทศเป็นประกายแว่บหนึ่ง
“เกษไม่ใช่แฟนพี่แล้ว เขาทิ้งพี่ไป”
“แต่ครั้งหนึ่งเขาก็เคยเป็นแฟนพี่” อ้อยเหลียวมองหาแล้วชี้ไปที่อีกมุม “น่าจะเป็นตรงนั้น ใช่แล้ว ตรงนั้นแน่ๆ”
“อ้อย”
“นะคะ ถ้าไม่พบอีกก็กลับ”
ตรีทศนิ่งคิดครู่หนึ่งแล้วเดินไปบริเวณอ้อยชี้ อ้อยมองตามด้วยสีหน้ายิ้มๆ
ศรีตรังขับรถมายังท้ายไร่ข้าวโพด ระหว่างทางมีเงาไม้ตะคุ่มสองข้างทาง เมื่อถูกลมพัดก่อให้เกิดเงาน่ากลัว
รวมทั้งเสียงหมาหอนที่หอนรับกันตลอดทาง ศรีตรังขับรถตัวแข็งเช่นเดียวกับเตชิต โดยข้างหลังเสียงหวานและเกษรินนั่งกันเงียบๆ ต่างก็มองออกไปนอกหน้าต่างอย่างพินิจพิจารณาทุกมุมที่ผ่าน ราวกับจะพยายามนึกให้ออกว่ามาที่นี่ทำไม และเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง
“ผู้ชายคนนั้นไปไหนเสียล่ะคะ”
เสียงหวานถามเตชิตเมื่อนึกขึ้นได้
“คนไหน”
ศรีตรังเหลือบมองเตชิตแว่บหนึ่ง
“ก็คนที่ฉันบอกว่าเคยเห็นที่ไหนสักแห่ง แต่จำไม่ได้ไงคะ”
“อ๋อ... เจ้าของไร่สุขศรีตรังเขาไล่ไปแล้ว”
“จริงซิ ฉันลืมไป”
“ไอ้เต เลิกพูดคนเดียวเสียทีได้มั้ย”
ศรีตรังบอกอย่างหมดความอดทน
“พูดคนเดียวที่ไหน ฉันพูดกับเสียงหวาน”
“ก็นั่นแหละ สำหรับฉันมันเหมือนแกพูดคนเดียว”
“หยุดตรงนี้” เกษรินบอก
“ทำไม”
“ฉันบอกให้หยุดตรงนี้”
เตชิตสะดุ้งกับเสียงแหลมเล็กโกรธๆ นั้น
“ไอ้ศรี หยุดตรงนี้” เตชิตบอกศรีตรัง
“ทำไม”
“เออน่า บอกให้หยุดก็หยุด”
ศรีตรังจอดรถ แล้วหันมาทางเตชิต
“ถามเพื่อนผีของแกซิว่า จะให้ทำยังไงต่อ”
เตชิตเบือนหน้ามาข้างหลัง แต่สองสาวหายไปแล้ว
“อ้าว” เตชิตหันกลับมาสองสาวลงไปยืนอยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่แล้ว เตชิตถอนใจเฮือก “ลงไปเมื่อไหร่ก็ไม่บอก”
เตชิตเปิดประตูลงไป ศรีตรังตามลงไป
“แล้วไงต่อ”
“แล้วไงต่อ” เตชิตถามเสียงหวาน เสียงหวานหันไปถามเกษริน
“แล้วไงต่อ”
“เดินไป”
เสียงหวานหันมาบอกเตชิต
“เดินไป”
เตชิตหันมาบอกศรีตรัง
“เดินไป”
เตชิตเดินตามสองสาว ศรีตรังเดินตามพลางบ่น
“ไม่น่าคบกับไอ้เตเล้ย”
ในขณะตรีทศกำลังตั้งหน้าตั้งตาขุดดินจนกระทั่งจอบไปกระทบกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ตรีทศจึงทรุดตัวลงนั่ง
“อะไรหรือคะ”
อ้อยแกล้งถาม ตรีทศค่อยๆ ใช้มือเกลี่ยปัดดินออกแล้วต้องผงะเมื่อเห็นโครงกระดูกถูกฝังอยู่ อ้อยทำเป็นตื่นเต้น
“โครงกระดูกจริงๆ ด้วย พี่ทศรีบเอายันต์ที่อ้อยให้แปะเลยค่ะ”
ตรีทศหยิบยันต์ออกมาแล้วทรุดตัวลงนั่งกับพื้นอย่างหมดแรง
“เกษ นี่ใช่คุณจริงๆ หรือ”
“ต้องใช่แน่ๆ เลยค่ะ เหมือนกับที่เกษบอกอ้อยไม่มีผิดเอายันต์แปะซิคะ”
“ไม่ ทศอยากเจอเกษ เกษคุณอยู่ไหนออกมาหาผมหน่อย”
ตรีทศตะโกนเรียกเกษริน อ้อยตกใจ
“พี่ทศ”
ลมเย็นเยือกพัดมาอย่างแรง ตรีทศจับกระดูกขึ้นมา
“เกษ ถ้านี่ใช่คุณจริงก็ออกมาหาผม”
ลมพัดอื้ออึงอย่างน่ากลัว เสียงหมาหอน อ้อยมองซ้ายมองขวาแล้ววิ่งหนีไปด้วยความหวาดกลัว โดยไม่ลืมดึงยันต์จากตรีทศมาด้วย อ้อยวิ่งหนีไปทางศักดิ์สิทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ดึงแขนอ้อยไว้
“อ้อย”
“ศักดิ์ รีบไปกันเถอะ”
ทั้งคู่รีบวิ่งออกไป ขณะที่เตชิตและศรีตรังวิ่งเข้ามาคลาดกันอ้อยและศักดิ์สิทธิ์เพียงนิดเดียว ศรีตรังและเตชิตถึงกับยืนตะลึง ขณะที่เกษรินมองตรีทศด้วยสายตาเศร้าหมองและประหลาดใจ เสียงหวานยกมือขึ้นอุดปากตัวเอง
อ้อยกับศักดิ์สิทธิ์วิ่งหนีมาท่ามกลางลมแรง อ้อยหยุดวิ่งทำให้ศักดิ์สิทธิ์หยุดวิ่งไปด้วย
“หยุดทำไม เดี๋ยวมันก็หักคอหรอก”
“ศักดิ์ตามอ้อยมาตั้งแต่เมื่อไหร่”
“โฮ้ย จะมาซักถามอะไรตอนนี้ รีบไปเร็ว”
ศักดิ์สิทธิ์ไม่พูดพล่ามทำเพลงดึงแขนอ้อยวิ่งต่อ
ทางด้านศรีตรังหลังจากหายตกตะลึงเธอดึงปืนออกมา
“ตรีทศเป็นฆาตกร”
เตชิตหันมามอง แล้วสะดุ้ง
“เฮ้ย เอาปืนมาด้วยเรอะ”
ศรีตรังพยักหน้ารับ
“เพื่อความไม่ประมาท แล้วก็ได้ใช้จริงๆ ด้วย” ศรีตรังเดินตรงไปที่ตรีทศ เตชิตรีบตามไป “คุณทศ”
ตรีทศเงยหน้ามองศรีตรังทั้งน้ำตา
“โครงกระดูกเกษ ...”
“คุณรู้ได้ยังไง”
“อ้อยบอก...” ตรีทศเหลียวมองหาอ้อย “อ้อยหายไปไหน”
“ฉันไม่เห็นมีใคร นอกจากคุณ ไปขึ้นรถเถอะวางโครงกระดูกลงอย่างเดิม”
ตรีทศค่อยๆ วางโครงกระดูกลง ศรีตรังพาตรีทศซึ่งยังเหมือนเบลอๆ เดินไปที่รถ
“ทศ จะเอาทศไปไหน”
เกษรินถาม เตชิตหันมามองเกษริน
“เขาฆ่าคุณ”
“ไม่จริง” เกษรินกรีดร้องโหยหวน
“แล้วเขาจะรู้ได้ยังไงว่าคุณถูกฝังอยู่ตรงนี้”
เกษรินเบือนหน้าไปมองโครงกระดูก
“นั่นไม่ใช่ฉัน”
“ถ้าไม่ใช่คุณแล้วจะเป็นใคร ลองคิดให้ดีๆ ซิ”
เสียงหวานถามเสียงอ่อนโยน ศรีตรังบีบแตรเรียกเตชิตหันไปมองแว่บหนึ่งแล้วหันมาทางเสียงหวาน
“คุณช่วยปลอบโยนเธอหน่อยนะ”
“ค่ะ”
เตชิตเดินไปขึ้นรถ ศรีตรังขับรถออกไปโดยที่ตรีทศยังร้องไห้เศร้าโศก
อ้อยมาส่งศักดิ์สิทธิ์ที่บ้าน
“ค่อยๆ เข้าไปล่ะ เดี๋ยวลุงพงษ์ตื่นขึ้นมาแล้วจะยุ่ง” อ้อยบอก
“รู้แล้วน่า”
“อ้อยไปละ”
“อ้อย” อ้อยหันมามอง “กลับคนเดียวได้เหรอ”
“ถ้าบอกว่าไม่ได้แล้วศักดิ์จะไปส่งมั้ยล่ะ”
ศักดิ์สิทธิ์ยิ้มแห้งๆ
“อ้อยก็รู้ว่าศักดิ์กลัว”
“แล้วจะถามทำไม”
อ้อยเดินไป ศักดิ์มองซ้ายมองขวาแล้วรีบเดินเข้าบ้าน
เช้าวันรุ่งขึ้นที่บ้านศรีตรัง... อ้อยเสิร์ฟกาแฟและน้ำผลไม้ โดยจุรียกอาหารเช้าออกมาวาง ในขณะที่แต่ละคนมีสีหน้าเคร่งขรึมเครียดและหดหู่กันไปหมด อ้อยปั้นสีหน้าเศร้าแบบน้ำตาจะหยดไม่หยดแหล่
“อะลัดตั๊ดต๊า เช้านี้ดูหดหู่กันไปหมดนะคะ”
“ด้วยความเคารพ ใครจะไปคิดล่ะครับว่าคุณทศผู้เอาการเอางานและเคร่งขรึมจะกลายเป็นฆาตกร”
ศรีตรังลุกเดินเข้าไปในบ้าน ทุกคนมองตาม อ้อยทำสะอื้นกระซิกๆ เตชิตลุกตามศรีตรังเข้าไปข้างใน
“เดี๋ยวผมจะไปเยี่ยมคุณทศ มีใครจะไปด้วยบ้าง” พงษ์ศักดิ์บอก
“ด้วยความเคารพ ผมครับ” สมบอก
“ฉันคงต้องอยู่เป็นเพื่อนนายศรีตรัง” จุรีบอก
“อ้อยยังใจไม่ค่อยดีเลยค่ะ คงไม่สามารถออกไปไหนได้ ไม่สามารถจริงๆ ขอโทษนะคะ”
อ้อยหยิบทิชชูเช็ดน้ำตา แล้วผวาวิ่งเหยาะๆ ออกไป ทุกคนหันไปมองตาม
“อะลัดตั๊ดตา แกมีจิตใจอ่อนไหวมากค่ะ เซ็นซิทีฟ”
พงษ์ศักดิ์และสมพยักหน้าช้าๆ
ศรีตรังนั่งกุมขมับ ขณะเตชิตนั่งมองอยู่ครู่หนึ่ง
“จะเอายาแก้ปวดหัวมั้ย”
“ใครบอกว่าฉันปวดหัว”
“ก็เห็นแกนั่งกุมขมับ”
“ฉันเซ็ง ใครจะไปคิดว่า คุณทศจะเป็นฆาตกร”
“แกไม่เคยดูหนังประเภทสืบสวนสอบสวนเหรอ ไอ้คนดีๆ ที่ไม่มีใครคาดคิดน่ะกลายเป็นฆาตกรทั้งนั้น”
ศรีตรังนิ่งไปครู่หนึ่ง
“ไอ้เต”
“หือ”
“เราต้องเอาโครงกระดูกไปพิสูจน์ว่าใช่เกษรินแน่หรือเปล่า อาจจะเป็นโครงกระดูกคนอื่นก็ได้”
“ฉันก็คิดว่ายังงั้นเหมือนกัน ไป”
เตชิตลุกขึ้น ศรีตรังลุกเดินตาม
อ้อยกลับมาบ้านโทรหาศักดิ์สิทธิ์ แต่ต้องรีบพูดเมื่อเห็นจุรีเดินกลับมา
“แค่นี้ก่อนนะ ศักดิ์ แม่กลับมาแล้ว” อ้อยปิดโทรศัพท์วาง “ไหนแม่ว่าจะอยู่เป็นเพื่อนนายศรีตรังไงคะ”
“นายศรีตรังเข้ากรุงเทพฯ กับคุณเต”
อ้อยเป็นกังวลทันที ตามประสาวัวสันหลังหวะ
“เอ๊ะ เข้าทำไมคะ”
“เห็นว่าจะไปเรื่องพิสูจน์อัตลักษณ์อัดตะแล็กอะไรนี่แหละ”
“ทำไมจะต้องพิสูจน์ให้วุ่นวาย ในเมื่อรู้แน่ๆ ว่าโครงกระดูกนั่นเป็นเกษริน”
“อะลัดตั๊ดต๊า! มันไม่ใช่ตายเฉยๆ แต่เป็นฆาตกรรม ยังไงตำรวจเขาก็ต้องพิสูจน์ แล้วยิ่งมาถูกฝังอยู่ในไร่แบบนี้ด้วย จะทำเป็นว่าเลยได้ไง” จุรีชะงัก “แล้วทำไมแกถึงได้แน่ใจว่าเป็นเกษริน”
“ก็...ก็...ใช่แล้ว คุณตรีทศเขาบอกไง”
อ้อยลุกเดินจะออกไป
“แล้วนั่นจะไปไหน”
“ไปสูดอากาศบริสุทธิ์” อ้อยบอกแล้วเดินออกไป
“อะลั๊ดตั๊ดต๊า แล้วอากาศในนี้มันไม่บริสุทธิ์เรอะไง”
ขณะนั้นเตชิตกำลังขับรถเข้ากรุงเทพด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เช่นเดียวกับศรีตรังซึ่งใช้ความคิดเช่นเดียวกัน จู่ๆ เสียงหวานก็ปรากฏขึ้น
“จะมาก็ไม่บอก”
เตชิตสะดุ้งเฮือก
“เฮ้ย”
รถเสียหลัก ศรีตรังร้องลั่นหลับตาปี๋ เตชิตตั้งสติรีบหมุนพวงมาลัยกลับ บังคับรถให้เข้าที่เข้าทาง เสียงหวานยกมืออุดปากตาเบิกกว้างด้วยความตกใจเช่นกัน
“ขอโทษค่ะ” เสียงหวานบอกเสียงอ่อย
“ไม่ต้องมาขอโทษเลย”
“ฉันยังไม่ได้ขอโทษแกสักคำ แกนั่นแหละต้องขอโทษฉัน” ศรีตรังบอก
“ฉันไม่ได้พูดกับแก”
เตชิตบอก ศรีตรังสะดุ้งโหยงแล้วโวยลั่น
“งั้นแกก็พูดกับผี”
เตตกใจกับเสียงและท่าทีของศรีตรังถึงกับเสียหลัก รถปัดไปปัดมาอีกครั้งหนึ่ง
“เฮ้ย...”
“ว้าย”
“ว้าย”
เตชิตปรับสติและรถกลับเข้าที่เข้าทางอย่างเดิม แล้วเข้าจอดข้างทาง ก่อนจะหันขวับมามองศรีตรังและเสียงหวาน
“ลงไปให้หมดทั้ง 1 คนกับอีก 1 ตัว”
“แกนั่นแหละลงไป” ศรีตรังบอก
“ผี...เอ๊ย วิญญาณเขาเรียกว่าเป็นตนค่ะ ไม่ใช่ตัว กรุณาให้เกียรติผู้ที่ปราศจากสังขารหน่อย”
เสียงหวานบอก เตชิตกุมขมับแล้วถอนใจเฮือก
“ฉันจะขับเอง” ศรีตรังบอก
“ขอกด like” เตชิตหันขวับมามอง เสียงหวานหน้าจ๋อยขณะที่ศรีตรังกระโดดลงจากรถมาด้านคนขับ “ฉันกลัว...เสียชีวิตซ้ำซากน่ะคะ” เสียงหวานบอกเสีรยงอ่อย
“ลงมาเลย ไอ้เต...”
ศรีตรังเคาะประตูเรียกเตชิตส่ายหัวเซ็งๆ แล้วเปิดประตูรถลงไป ศรีตรังก้าวขึ้นมาแทน
เมื่อถึงกรุงเทพศรีตรังขับรถเข้ามาจอดหน้าบ้านเตชิต
“บ้านแกดูเหงาๆ ว่ะ”
“บ้านไม่มีคนอยู่มันก็เหงาน่ะซิ แกนี่พูดแปลก”
“มีค่ะ”
เสียงหวานสวนทันที เตชิตชะงักไปนิดหนึ่ง
“ขอโทษ ผมลืมไป”
ศรีตรังชักจะล่อกแล่กด้วยอาการหวาดๆ
“คุณหนูเผือก...ยังอยู่เหรอ”
เตชิตมองตามเสียงหวานซึ่งลอยเข้าไปในบ้านอย่างรวดเร็ว
“ไปแล้ว”
“เฮ้อ ค่อยยังชั่ว” ศรีตรังถอยใจอย่างโล่งอก
“ไปในบ้าน” เตชิตบอกต่อ ศรีตรังชะงัก
“เขา...จะเปลี่ยน...มาสิงที่บ้านแกเรอะไง”
“เปล่า เขารีบเข้าไปหาลูกฉัน”
“แกมีลูกตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วทำไมปล่อยให้อยู่บ้านคนเดียว...เอ๊ะ มีลูกแสดงว่ามีแม่ แกมีเมียใหม่แล้วเรอะ ทำไมไม่บอกฉัน อ้อ หรือว่า...”
“เฮ้ย ...” ศรีตรังหุบปากทันที แล้วก้าวลงจากรถ “ลูกฉันเป็นแบบเดียวกับเสียงหวาน”
ศรีตรังนิ่วหน้าทวนคำ
“เป็นแบบเดียวกับคุณหนูเผือก ...” พอนึกได้ศรีตรังถึงกับตาเหลือก “ก็แปลว่าเป็นผีน่ะซิ ลูกแกเป็นผี”
เตชิตรีบอุดปากศรีตรังทันที
“อย่าเสียงดัง เดี๋ยวลูกฉันตกใจ”
“ลูกแกจะตกใจทำไมในเมื่อเขาเป็น ผี! ฉันนี่แหละสมควรจะตกใจมากกว่า” ศรีตรังหันกลับขึ้นรถ
“จะไปไหน”
“กลับ”
“ไอ้ศรี”
“แค่ผีคุณหนูเผือกคนเดียว ฉันก็จะแย่แล้ว นี่ยังพ่วงผีลูกแกขึ้นมาอีก มีหวังหัวโกร๋นกันพอดี”
“ฉันยังมองไม่เห็น แล้วแกจะเห็นได้ยังไง”ศรีตรังชะงักมองหน้าเตชิต “จริง ฉันมองไม่เห็นเขาหรอก”
สีหน้าเตชิตหมองลง
เตชิตค่อยๆ เปิดประตูเดินเข้ามา ติดตามด้วยศรีตรัง ซึ่งทั้งคู่ย่องแล้วเหลียวซ้ายแลขวาอย่างหวาดๆ
เตชิตเหลียวมองหาโดยรอบ
“เสียงหวาน เสียงหวาน”
“ฉันอยู่ข้างบนค่ะ”
เตชิตเดินไปที่บันได ศรีตรังถลาตามมาดึงเสื้อ
“แกจะไปไหน”
“เสียงหวานอยู่ข้างบน”
“งั้นเราก็อยู่ข้างล่างซิ”
“ฉันต้องขึ้นไป เพราะลูกฉันคงอยู่บนนั้นด้วยถ้าแกกลัวก็อยู่ข้างล่างนี่” ศรีตรังพยักหน้า
“เออ! แกขึ้นไปหาครอบครัวแกเถอะ ฝากความระลึกถึงด้วย”
เตชิตพยักหน้า แล้วเดินขึ้นข้างบน ศรีตรังเหลียวมองรอบตัวหวาดๆ
ประตูห้องนอนเตชิตเปิดออกช้าๆ แล้วเตชิตก้าวเข้ามา เตชิตหยุดยืนมองเสียงหวานท่ามกลางแสงหม่นๆ เศร้า เห็นเสียงหวานกำลังคุกเข่า สองมือเหมือนกำลังกอดเด็กตัวเล็กๆ พลางลูบหลังเบาๆ อย่างอ่อนโยน
“คุณพ่อไม่ได้ลืมหนูหรอกจ้ะ เพียงแต่ท่านมีภารกิจบางอย่าง ท่านไม่สามารถมาอยู่ที่นี่ได้นานๆ”
“พ่อได้รับคำสั่งจากเจ้านายให้ไปอยู่ที่อื่นสักพัก แต่ต่อไป พ่อจะพยายามแวะมาหาลูกบ่อยๆ” เตชิตบอก
“จริงๆ นะคะ”
“แกอยากขอความมั่นใจค่ะ” เสียงหวานหันมาบอกเตชิต
“พ่อให้สัญญาลูก”
“คุณพ่อให้สัญญาแล้ว ยิ้มให้น้าดูก่อน” เด็กหญิงยิ้มหวานให้เสียงหวาน แล้วเบือนหน้ามายิ้มกับเตชิต
“แกยิ้มให้คุณแล้วค่ะ”
เตชิตยิ้มกับความว่างเปล่าตรงหน้าเสียงหวาน
“คุณพ่อยิ้มแล้วหล่อจัง”
“แกบอกว่าคุณพ่อยิ้มแล้วหล่อจังค่ะ”
“มาหาพ่อซิลูก”
เสียงพยักหน้ากับเด็กหญิง เด็กหญิงค่อยๆ ผละจากเสียงหวานแล้วเดินช้าๆ ตรงมาที่เตชิต เสียงหวานมองภาพนั้นด้วยสีหน้าตื้นตันใจ มีลมเยือกเย็นพัดเข้ามาที่เตชิตจนผมเตชิตสะบัดปลาย เด็กหญิงโอบกอดคอพ่อไว้ขณะที่เตชิตทรุดตัวลง เตชิตโอบกอดลูกแต่วืดเหมือนกอดลม เตชิตแขนตกลงแล้วจึงโอบใหม่หลวมๆ เสียงหวานมองภาพนั้นอย่างตื้นตันใจ
ขณะนั้นศรีตรังนั่งรอเตชิตอยู่ข้างล่าง เธอพยายามตั้งสติไม่ให้ว่อกแว่ก แต่ก็ไม่วายเหลือกตาขวาซ้าย ทันใดมีเสียงตุ๊กแกร้องดังขึ้นมาท่ามกลางความเงียบศรีตรังสะดุ้งโหยงแล้วมองไปตามเสียงจึงเห็นตุ๊กแกตัวใหญ่เกาะเพดานมองตรงมา แล้วร้องอีกด้วยแววตาไม่ค่อยเป็นมิตร ศรีตรังค่อยๆ ลุกขึ้นตายังคงสบตาตุ๊กแก
“โอเค. ออกไปข้างนอกก็ได้”
ศรีตรังค่อยๆ เดินถอยหลังออกไป โดยที่ทั้งคนทั้งตุ๊กแกต่างก็มองกันไม่ให้คลาดสายตา ศรีตรังค่อยๆ ดันประตู ออกไป
ระหว่างนั้นที่หน้าบ้านเตชิตเจียงกำลังแอบดูจากนอกอาณาเขตรั้วบ้าน เจียงเห็นศรีตรังกำลังเดินถอยหลังออกมา “นั่นมันเจ้าของไร่สุขศรีตรังนี่หว่า ทำไมตาต่ำมาเป็นแฟนไอ้เตชิต”
เสียงโทรศัพท์ศรีตรังดังขึ้น ศรีตรังหยิบขึ้นมารับโดยหันมาทางบริเวณที่เจียงแอบอยู่ เจียงรีบหลบหลังต้นไม้ แล้วค่อยๆ ยื่นหน้าออกมาเล็กน้อย
“ว่าไงคะ... ลุงสม...อ้าว...ทำไมล่ะคะ นั่นน่ะซิ...น่าเห็นใจแกเหมือนกัน...ลุงสมบอกแกด้วยว่า ศรีจะรับเป็นเจ้าภาพให้ทั้ง 3 วันเลย ขอบคุณนะคะ”
ศรีตรังเก็บโทรศัพท์ สีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด มือกุมพระที่คอแน่นแล้วตัดสินใจเดินกลับเข้าบ้านไป
เจียงโทรรายงานเดนนิสเรื่องศรีตรัง ขณะนั้นพอลอยู่กับเดนนิสพอดี
“ขอบใจ แกสะกดรอยตามดูซิว่า มันจะไปไหน” เดนนิสปิดโทรศัพท์วางลง “บังเอิญจริงๆ”
พอลเงยหน้าขึ้นมอง
“ไอ้เจียงมันกำลังจะเข้าไปสังเกตการณ์เตรียมเผาบ้านไอ้เตชิตคืนนี้ เลยเจอมันเข้าพอดี สงสัยจะมาฮันนีมูน”
พอลเหยียดมุมปากเป็นเชิงเยาะนิดๆ
“กับแม่เจ้าของรีสอร์ทนั่นน่ะซี”
“นายพูดยังกับหึงแม่นั่น”
“ผมจะไปหึงเขาทำไม รู้จักก็ไม่ได้รู้จัก” พอลบอกด้วยสีหน้าปกติ
“เฮ่ย ไม่รู้จักแต่อาจจะถูกใจก็ได้ ฉันจะจัดการให้” พอลชะงักนิดนึง
“จัดการ”
“ก็เอาตัวมันมาให้นายไง จะใช้วิธีไหนก็ได้ จะใช้เงิน ให้ของกำนัลหรือไม่ก็...”
พอลส่ายหน้า แววตาเหมือนจะมีรอยยิ้มขึ้นมาแว่บหนึ่ง
“ไม่มีทางสำเร็จสักวิธีหรอกครับ เขาไม่เหมือนคนอื่น”
เดนนิสมองพอลอย่างเพ่งพิศ
“ไหนบอกว่าไม่รู้จักผู้หญิงคนนั้นมาก่อนไง”
พอลนึกได้แต่ทำสีหน้าปกติ
“ผมว่าคุณเองเห็นแวบเดียวก็อ่านเขาออกยิ่งกว่าผมอีก” เดนนิสหัวเราะ
“นายนี่สำคัญ ถ้าอยากให้ช่วยเมื่อไหร่ก็บอก”
“ขอบคุณครับ แล้วเรื่องเผาบ้านไอ้เตชิต ให้ผมจัดการดีกว่า”
“ไม่ต้อง ไอ้เจียงมันมีความแค้นส่วนตัวกับไอ้เตชิต ให้มันจัดการของมันเอง”
พอลมีสีหน้าเหมือนจะกังวลขึ้นมาแว่บหนึ่ง
เตชิตหันกลับมามองศรีตรังเมื่อรู้ว่ายายภาจะเผาศพเกษริน
“งั้นเราก็คงต้องรีบกลับ”
“แกพูดยังกับจะชวนฉันค้างยังงั้นแหละ”
“ใช่”
“ไอ้เต ฉันเป็นผู้หญิง แกเป็นผู้ชายนะเว้ย จะมานอนค้างอ้างแรมตามลำพังกันได้ไง”
“ใครว่าตามลำพัง ยังมีเสียงหวานกับลูกฉันอีก”
“ก็ฉันมองเห็นเสียที่ไหน”
“แปลว่าแกอยากเห็น ...”
ศรีตรังรีบขัดขึ้นทันที
“No. ไม่เด็ดขาด”
“ไอ้ศรีเอ๊ย ยังกับฉันอยากจะนอนกับแกนักนี่”
“ไอ้เต”
ศรีตรังจับกระเป๋าเขวี้ยงไปที่เตชิตทันที เตชิตเบี่ยงตัวหลบแล้วคว้าไว้ได้
“อย่ามาเล่นกับนักบาสฯ เก่า” สีหน้าเตชิตเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมา “ทำไมยายภาถึงเกิดเปลี่ยนใจไม่อยากให้ส่งศพเกษรินมาชันสูตร”
“แกบอกว่าดวงวิญญาณหลานของแกต้องทนทุกข์ทรมานมานานแล้วอยากจะให้ไปผุดไปเกิดเสียที ... ก็น่าเห็นใจแกนะ”
เตชิตมีสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด
เจียงยังเฝ้าอยู่หน้าบ้านเตชิต เจียงรีบหลบเมื่อเตชิตขับรถพาศรีตรังแล่นผ่านไป เจียงมองตามจนเหลียวหลัง แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากด
“พวกมันพากันออกไปแล้วครับนาย”
“ แกก็ตามมันไปซิวะ ไอ้โง่” เดนนิสวางโทรศัพท์ลงอย่างหงุดหงิด “เพราะโง่ยังงี้น่ะซิถึงได้ถูกไอ้เตชิตมันจับได้
..ไอ้เตชิตมันพาแฟนมันออกไปแล้ว”
เดนนิสบอกพอล พอลค่อยๆ ผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก
เตชิตขับรถพาศรีตรังเข้าไปจอดที่หนังสือพิมพ์ “ไทยก้าวหน้า” เจียงจอดรถอยู่มุมหนึ่งทางอีกฟากของถนน แล้วมองตามพลางกดโทรศัพท์รายงานเดนนิส
“มันเข้าไปในสำนักงานใหญ่ หนังสือพิมพ์ไทยก้าวหน้าครับเสี่ย เดี๋ยวผมจะโทร.ไปรายงานต่อครับ”
เจียงวางโทรศัพท์ลงแล้วเปิดเก๊ะหยิบหนังสือการ์ตูนขึ้นมาอ่านฆ่าเวลา
เดนนิสวางโทรศัพท์ลงด้วยสีหน้าครุ่นคิด
“มันไปที่ “ ไทยก้าวหน้า” พอลนิ่วหน้านิดๆ “มันไปทำอะไรที่นั่น”
“ตำรวจรู้จักกับพวกหนังสือพิมพ์เป็นเรื่องธรรมดาครับ”
“หรือบางทีก็ไม่ธรรมดา”
ธากรณ์เพื่อนของเตชิตรีบลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าท่าทางตื่นเต้น เมื่อเตชิตและศรีตรังเดินเข้ามาดวงตาจับจ้องไปที่ศรีตรังบอกความรู้สึกชัดแจ้ง
“เชิญ...เชิญครับ...น้องศรีตรัง...เชิญนั่ง”
ธากรณ์กุลีกุจอออกมาเชื้อเชิญให้ศรีตรังนั่ง ด้วยความตื่นเต้นทำให้สะดุดขาเก้าอี้เกือบหกล้ม
“อุ๊ย เจ็บมั้ยคะ”
“ไม่เป็นไร ทนได้ครับ น้องศรีตรังหิวหรือกระหายอะไรไหมครับ”
“ขอบคุณค่ะ แต่น้องศรีอิ่มแล้วค่ะ ไม่หิวหรือกระหายใดๆ ทั้งนั้น”
“เฮ้ย มองมาทางนี้บ้างซิวะ ไอ้กรณ์” ธากรณ์หันมามอง สีหน้าและท่าทางเปลี่ยนเป็นคนละคน “ฉันทั้งเมื่อย ทั้งหิวแล้วก็กระหาย ...” เตชิตบอก
“เมื่อยก็นั่ง หิวหรือกระหายก็ออกไปสั่งเอง แกเป็นลูกผู้ชายนี่”
“ไอ้ศรีมันก็เป็นทอม นั่งเองก็ได้วะ” เตชิตนั่งลง
“ทอมหวานๆ น่ะค่ะ”
ศรีตรังบอก ธากรณ์หัวเราะระรื่น
“แหม..ดีครับ ทอมหวานๆ น่ารักดี” เตชิตกระแอม แต่ธากรณ์ยังไม่หันไปมอง
“ไอ้เตมันกระแอมแล้วค่ะ” ศรีตรังบอก
“ช่างมันซิครับ จะกระแอมให้คอแตกตายก็เรื่องของมัน”
“แต่น้องศรีขอร้องให้พี่กรณ์ช่วยหันไปฟังมันหน่อยค่ะ เพราะนี่เป็นเรื่องด่วน”
“ก็ได้ครับ” ธากรณ์เบือนหน้ามาทางเตชิตด้วยสีหน้าปกติ “ แกมีธุระอะไร”
เตชิตค่อยๆ ล้วงม้วนกระดาษห่อพลาสติคออกมาจากอก แล้วค่อยๆ ดึงออกมา ส่งให้ธากรณ์ดู
“แม่เจ้า”
“ช่วยสืบให้หน่อยว่า ผู้หญิงคนนี้เป็นใคร แล้วเกี่ยวข้องกับเจนจิรายังไง”
“เจนจิราไหน” ธากรณ์ถามทั้งที่ตายังไม่ละจากรูป
“ก็นางเอกละครไง”
ธากรณ์เลื่อนสายตามาที่เตชิตอย่างงงๆ
“ทำไม เขาเกี่ยวข้องอะไรกันเรอะ”
“ก็ถ้ารู้ ฉันจะท่อมาให้แกช่วยสืบทำไม”
ธากรณ์รับรูปจากเตชิตไปดูด้วยสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิดครู่หนึ่ง
“แกเป็นตำรวจ ทำไมไม่ให้พวกเดียวกันสืบดู”
“เพราะมันกำลังจะถูกเขาไล่ออกอยู่แล้วค่ะ”
“นับว่าเขาคิดถูก”
เตชิตถอนใจเฮือกทำท่าเหมือนจะอยากชกธนากรณ์เต็มที่
อ่านต่อหน้า 2
ปางเสน่หา ตอน 6 (ต่อ)
ขณะนั้นที่บ้านเตชิต เสียงหวานและเด็กหญิงกำลังยืนอยู่ที่หน้าต่างมองออกไปข้างนอกจึงเห็นเจียงกำลังด้อมๆมองๆ อยู่บริเวณรอบๆ บ้าน เสียงหวานและเด็กหญิงหันมามองหน้ากันแล้วหันกลับไปมองใหม่
“พี่ว่าพี่เคยเห็นเขาที่ไหนสักแห่ง”
“ต้องใช่ขโมยแหงๆ”
“นึกออกแล้ว” เสียงหวานนึกออกว่าเคยเห๋นเจียงที่รีสอร์ท
“สงสัยอยากจะลองดีกับหนูซะแล้ว”
นัยน์ตาเด็กเป็นประกายแว่บหนึ่ง
ที่หนังสือพิมพ์ไทยก้าวหน้า ขณะนั้นธากรณ์เดินออกมาส่งศรีตรังกับเตชิต
“รถจอดตรงไหน”
ธากรณ์ถาม เตชิตพยักหน้าไปทางที่รถจอด
“โน่น”
ธากรณ์เบือนหน้าไปมองตาม เห็นร่างๆ หนึ่งนั่งอยู่ที่เบาะหลัง
“นั่นมีใครมาด้วยหรือ”
ศรีตรังสะดุ้ง หันมามองเตเชิต เตชิตทำเป็นหัวเราะเริงร่าตบไหล่ธากรณ์
“มีซิกส์เซ้นส์กับเขาเหมือนกันนี่หว่า”
เตชิตพยักหน้ากับศรีตรัง แล้วรีบเดินไปที่รถทันที ธากรณ์โบกมือยิ้มให้เสียงหวาน ขณะที่เสียงหวานหันมามองแว่บหนึ่ง เตชิตรีบขับรถออกไป ธากรณ์มองตามแล้วลูบคาง
“หน้าตาคุ้นๆ แฮะ เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน”
ธากรณ์ส่ายหน้าแล้วเดินกลับเข้าไป
ธากรณ์เปิดประตูเดินกลับเข้ามาในห้อง แล้วทรุดตัวลงนั่งเก้าอี้โต๊ะทำงานด้วยสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด ธากรณ์นึกถึงตอนที่เสียงหวานเบือนหน้าหันมามองแล้วสะบัดหัว
“ฮื้อ... เคยเห็นที่ไหนนะ”
ธากรณ์เลื่อนสายตามาที่ม้วนกระดาษ แล้วหยิบมาเปิดดูอีกครั้ง ภาพเสียงหวานทำให้ธากรณ์ค่อยๆ นิ่วหน้าราวกับจะทบทวนความทรงจำแล้วเบิกตากว้าง
“ใช่แล้ว”
ธากรณ์รีบหยิบโทรศัพท์มากดทันที
ขณะนั้นเตชิตกำลังโวยกับเสียง ศรีตรังมองเตชิตที่โวยอยู่คนเดียวอย่างเริ่มไม่แน่ใจนักว่าจะเริ่มบ้าหรือเปล่า
“แล้วทำไมคุณถึงไม่บอกผมตั้งแต่อยู่ที่ ไทยก้าวหน้า”
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น
“ก็น้องบอกว่าเขาจัดการเองได้ค่ะ ไม่ต้องบอกคุณ” เสียงหวานบอกเสียงอ่อย
“แล้วถ้าเผื่อไอ้เจียงมันจับลูกผมหักคอ คุณจะว่ายังไงจะรับผิดชอบไหวมั้ย”
“ลูกแกน่าจะหักคอไอ้เจียงมากกว่ามั้ง” ศรัตรังบอก
“ใช่ค่ะ” เสียงหวานรีบพยักเพยิด
“แต่ยังไงแกก็ยังเป็นเด็ก”
“แกเป็นวิญญาณเด็กค่ะ” เสียงหวานแย้ง
“รับโทรศัพท์ได้แล้ว หนวกหู”
ศรีตรังบอก เตชิตจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมารับอย่างหงุดหงิด
“ว่าไง”
“ผู้หญิงคนที่ฉันเห็นในรถเป็นคนเดียวกับในภาพวาดใช่ไหม”
“เอ่อ”
“เจ้าหล่อนเป็นใครวะ”
“ก็ถ้ารู้ฉันจะให้แกสืบหรือวะ อย่าโง่ซิอย่าโง่” เตชิตปิดโทรศัพท์อย่างหงุดหงิด แล้วขับเข้าจอดข้างทาง “ฉันต้องกลับไปช่วยลูก ฉันไม่ควรให้แกต้องผจญกับไอ้คนชั่วอย่างไอ้เจียง”
“ฉันว่า ลูกแกจัดการได้ดีโดยไม่มีแกว่ะ”
ศรีตรังบอก เตฃิตเหลือบมองศรีตรังฉุนๆ
คืนนั้นที่บ้านเตชิตเจียงขับรถมาจอดบริเวณหน้าปากซอยซึ่งปลอดผู้คนเพราะเป็นเวลาดึกสงัด โดยมี เฮงลูกน้องของเดนนิสมาด้วย ทั้งสองหยิบเครื่องมือเดินเข้ามาภายในซอยอย่างเงียบกริบแล้วระมัดระวัง
ขณะนั้นพอลนอนพลิกไปพลิกมาด้วยความกังวลเมื่อนึกถึงคำพูดของเดนนิส
“ไอ้เจียงมันกำลังจะเข้าไปสังเกตการณ์เตรียมเผาบ้านไอ้เตชิตคืนนี้...เลยเจอมันเข้าพอดี”
พอลกระสับกระส่าย แล้วลุกขึ้นหยิบโทรศัพท์มากดหาเสนา เสียงโทรศัพท์เสนากรีดดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัดทำให้เสนาและภรรยาสะดุ้งตื่นพร้อมๆ กัน
“โฮ้ย ไม่รู้จะโทร.มาทำไมนักหนา ดึกดื่นป่านนี้” ภรรยาเสนาโวยวาย
“ขอโทษครับ ผมบอกลูกน้องให้โทร.มาเองเวลามีเรื่องด่วน”
“ออกไปโทร.ข้างนอกโน่น”
“ครับ ขอตัวเดี๋ยวนะครับ”
“ไปนานๆ เลยก็ได้รำคาญ”
“ครับ” เสนารีบเดินออกไปพร้อมกับกดรับโทรศัพท์ “ฮัลโหล มีอะไรวะถึงได้โทร.มาป่านนี้”
“ขอโทษครับพี่ คืองี้ครับ ไอ้เจียงมันจะเผาบ้านเตชิต”
“หา”
ที่บ้านเตชิตขณะนั้นเจียงกับเฮงกำลังปีนเข้ามาในรั้วบ้านพร้อม แกลลอนน้ำมัน ทั้งสองเปิดฝาแกลลอนจะเท
“จะทำอะไรคะ คุณลุง”
เด็กหญิง ลูกเตชิตถามเจียงและเฮงถึงกับสะดุ้งเฮือกหันมามอง จึงเห็นเด็กหญิงกำลังมองมาอย่างสนอกสนใจ
“เฮ้ย เด็กที่ไหนวะ”
“กลับบ้านไป๊ พ่อแม่ก็เหลือเกิ๊น ลูกตัวเท่าเมี่ยงปล่อยให้ออกมาได้”
“บ้านหนูอยู่นี่” เด็กหญิงชี้บ้านเจียงและเฮง มองสบตากันแว่บหนึ่ง
“ไอ้เฮง เอ็งพามันไปส่งบ้านหน่อยส่งแค่หน้าบ้านนะเว้ย ไม่ต้องเสนอหน้าให้พ่อแม่มันเห็น”
“อะไรๆ ก็ไอ้เฮง” เฮงจูงมือเด็ก แล้วสะดุ้งโหยง “เฮ้ย”
“จะร้องเรียกพ่อเรียกแม่เอ็งหรือไงวะ ไอ้เฮง”
“ก็มือมันเย็นยังกับน้ำแข็ง”
“มือเย็น เอ็งก็ไม่ต้องจูงมันซิ”
“ไป หนู” เฮงเดินนำเด็กไปที่รั้ว แล้วปีนขึ้นไปนั่งบนกำแพง “ส่งมือมาไอ้หนู” เฮงหันมาทางที่เด็กยืน แต่ต้องชะงักเพื่อร่างเด็กหายไปแล้ว “อ้าว หายไปไหนแล้ว”
“ลุง อยู่ทางนี้”
เฮงหันไปมองด้านนอกกำแพง แล้วสะดุ้งเมื่อเห็นเด็กออกมายืนข้างนอกเรียบร้อยแล้ว
ทางด้านเสนาหลังจากวางหูจากพอล เสนาก็โทรศัพท์หาลูกน้องทันทีจากนั้นก็โทรศัพท์กลับมาหาพอล เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น พอลรีบรับ
“ครับ พี่”
“พี่ส่งส่ายตรวจไปแล้ว สบายใจได้”
“ขอบคุณครับ”
พอลปิดโทรศัพท์อย่างโล่งใจ
ส่วนเฮง ขณะนั้เนกำกลังเดินเหลียวหน้าเหลียวหลังด้วยสีหน้าท่าทางหวาดๆ ตรงมาหาเจียง
“เฮีย”
“ไปส่งเรียบร้อยแล้วเรอะ” เฮงส่ายหน้า ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ “อ้าว”
“ผมว่าเรากลับกันเถอะ”
“ไม่ได้ ข้าบอกแล้วว่าจะเผาให้เรียบ”
เสียงเหมือนใครบางคน กำลังเปิดหน้าต่าง เจียงและเฮง เงยหน้าขึ้นมองพร้อมๆ กัน แล้วเบิกตากว้าง จึงเห็นเด็กหญิงโผล่หน้าออกมายิ้มให้ เจียงยกนิ้วอันสั่นเทาขึ้นชี้ขยับปากจะพูดแต่ก็พูดไม่ออก
“บอกแล้วก็ไม่เชื่อว่าบ้านอยู่ที่นี่”
เด็กหญิงชะโงกหน้าออกมาบอก
“ไอ้ ... ไอ้ ... ไอ้เฮง”
หน้าต่างปิดดังปัง เจียงและเฮง ร้องลั่น แล้ววิ่งไปไม่คิดชีวิต
ขณะนั้นที่ปากซอิยสายตรวจสองนายลงจากร แล้วมองไปรอบๆ บริเวณนั้น สายตรวจคนหนึ่งชี้ไปที่ซอยบ้านเตชิต สายตรวจอีกคนพยักหน้ากันแล้วเดินตรงไป ขณะที่ทั้งสองกำลังเดินเลี้ยวจะเข้าซอย เจียงกับเฮงก็วิ่งหนีออกมา ทั้งสี่ชนกันโครมแล้วร้องลั่น หกล้มกันระเนระนาด โดยเฉพาะเจียงและเฮงกลัวสุดๆ
เสนารู้เรื่องที่เจียงกับเฮงเจอผีจากสายตรวจจึงโทรบอกพอล พอลถึงกับนิ่วหน้า
“ผีหรือครับ”
“ใช่ มันบอกสายตรวจว่าเจอผีหลอก เป็นผีเด็กด้วยเพ้อเจ้อว่ะ”
เสียงโทรศัพท์พอลมีสายซ้อนเข้ามา
“มีสายซ้อนเข้ามา คงจะเป็นเดนนิส”
“งั้นก็รับสายมันเลย”
“ครับ” พอลกดรับสายเดนนิ “สวัสดีครับเสี่ย”
“ไอ้เจียงกับไอ้เฮงมันโดนผีหลอกมา”
“อะไรนะครับ สองคนน่ะหรือครับโดนผีหลอก”
“เออ...ฉันก็ไม่เชื่อเรื่องผี แต่นายมาดูพวกมันก็แล้วกัน”
เดนนิสวางสายไป พอลจึงกลับมาคุยกับเสนาต่อ
“พี่ครับ เดนนิสบอกว่าไอ้เจียงกับไอ้เฮงโดนผีหลอก”
“ฉันไม่เชื่อว่ะ”
“ผมจะไปดูมันก่อน แล้วจะรายงานพี่”
“โอเค” เสนาวางโทรศัพท์ลงแล้วส่ายหน้า “ผีมีที่ไหนในโลก”
พอลรีบมาบ้านพอล เดนนิสพาพอลไปดูเจียงที่ห้อง พอเดนนิสผลักประตูเปิดออกแล้วเดินเข้ามากับพอล เจียงกับเฮงร้องลั่นพลางปิดหูปิดตา
“ช่วยด้วย ช่วยด้วย ช่วยด้วย ช่วย ...”
“เฮ้ย” เดนนิสตวาด เจียงกับเฮงหยุดร้องทันที “เบิ่งตามาดูซิว่าใครมา”
เจียงกับเฮง กลืนน้ำลายค่อยๆ เปิดตาดู
“มันน่ากลัวจริงๆ ครับ เสี่ย พูดแล้วยังขนลุก ตั้งแต่เกิดมาผมยังไม่เคยกลัวอะไรขนาดนี้เลย”
“แน่ใจหรือว่าเป็นผี”
“เอายังงี้ดีกว่า ผมเคยโกหกมั้ย”
เจียงถามด้วยสีหน้ามั่นใจมาก
“เคย”
พอลกับเดนนิสตอบออกมาพร้อมกัน เจียงจ๋อยเจื่อนไปเล็กน้อย
“แต่คราวนี้ผมเปล่า สาบานก็ได้ว่าผมพูดความจริง”
“แกจะบอกว่า บ้านไอ้เตชิตมันเป็นบ้านผีสิงเรอะ”
“ครับ”
เจียงกับเฮงตอบรับหนักแน่น เดนนิสหันมาสบตาพอล
เดนนิสพาพอลกลับมาคุยต่อที่ห้องทำงาน
“นายคิดว่ายังไง”
เดนนิสหันมาถาม พอลมีสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิดแล้วส่ายหน้า
“ไม่ทราบเหมือนกันครับ ...เรื่องแบบนี้ผมไม่ค่อยเชื่อ แต่ก็ไม่ได้ลบหลู่”
“ฉันน่ะไม่เชื่อเลย แต่ก็คิดไม่ออกว่าไอ้ 2 คนนั่น มันจะโกหกทำไม”
“นั่นน่ะซีครับ ผมก็นึกเหตุผลไม่ออกเหมือนกัน”
“ถึงเรื่องผีสางนางไม้จะฟังดูไร้สาระ แต่ฉันก็อยากให้นายลองสืบให้หน่อย”
“ได้ครับ”
วันต่อมาพอลตัดสินใจโทรศัพท์หาศรีตรัง ขณะนั้นศรีกำลังนั่งทำงานอย่างขมักเขม้น เสียงโทราศัพท์ดังขึ้นศรีตรัง
หันมาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูแล้วนิ่วหน้า
“อีตาพอล จะโทรมาทำไมอีกล่ะ” ศรีตรังนิ่งคิดครู่หนึ่งแล้วกดรับ “มีธุระอะไร”
“เป็นผู้หญิงจะพูดจาให้มันหวานๆ เพราะๆ หน่อยไม่ได้เรอะ”
“ฉันเป็นทอม”
“อกหักละซีท่า ถึงได้เปลี่ยนจากผู้หญิงไปเป็นทอม” ศรีตรังเม้มปาก “นับว่าอกหักคราวนั้นทำให้คุณเปลี่ยนแปลงไปมาก แต่จะเปลี่ยนจริงหรือเปล่าต้องรอการพิสูจน์”
“หมายความว่าไง”
“แล้วก็รู้เอง แต่ที่โทร.มานี่ก็เพราะอยากจะรู้ว่าแฟนคุณเลี้ยงผีแล้วเรอะ”
“หมายความว่าไง”
“ไปถามแฟนคุณดูซิ”
“ใคร”
“แน่ะ ทำเซ่อ เอ๊ย...ทำซื่อ”
“อ๋อ ไอ้...เอ๊ย คุณเตชิตนั่นเอง เราอยู่ด้วยกันทุกวัน ไม่เห็นเขาพูดอะไรเลยนี่ ว่าแต่คุณเถอะไปได้ข่าวมาจากไหน”
“รับแล้วเรอะว่าอยู่ด้วยกัน” พอลถามอย่างหงุดหงิด
“ฮื่อ”
“ไหนบอกว่าเป็นทอม”
“อ้าว ทอมก็เป็นผู้หญิงไม่ใช่เรอะ แล้วผู้หญิงมันก็ต้องคู่กับผู้ชาย”
“บ้า”
พอลปิดโทรศัพท์อย่างหงุดหงิด
“เป็นไงล่ะ โดนเข้ามั่ง”
ศรีตรังยิ้มอย่างสะใจ
ศรีตรังขี่มอเตอร์ไซค์มาหาเตชิตที่บ้านพัก คนงานมาคุยธุระกับเตชิต พอคุยเสร็จจึงแยกไป
“ปลุกระดมอะไรคนของฉันแต่เช้า”
“เรื่องของเมียหลวง เมียน้อยแล้วก็เมียน้อยกว่า มันก็เลยมาปรึกษา”
“แสดงว่าแกมีเมียหลายคน”
“คนเดียวเว้ย แต่พอเมียตายก็โสดสนิท”
“เมื่อกี้อีตาพอลโทร.มา”
“เรื่องอะไร”
“he ถามว่า แกเลี้ยงผีหรือเปล่า”
เตชิตชะงัก
“ต้องเป็นยายหนูแน่ๆ”
เตชิตบอกขณะพาศรีตรังเข้ามาคุยต่อในบ้าน
“ใช่แล้วค่ะ”
เสียงหวานบอกอย่างตื่นเต้น เตชิตมองหาตามเสียงหวาน
“คุณรู้ใช่ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น”
เตชิตถามเสียงหวาน แต่ศรีตรังเข้าใจว่าถามเธอ
“ฉันจะไปรู้ได้ไง”
“ฉันไม่ได้พูดกับแก”
“ถึงว่า ฉันยังแปลกใจทำไมแกเรียกฉันว่า “คุณ”
“เสียงหวาน”
เสียงหวานปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าเตชิต เตชิตสะดุ้งเฮือกเลยพาให้ศรีตรังพลอยสะดุ้งโหยงไปด้วย
“เฮ้ย”
“เฮ้ย”
“โฮ้ย แกจะต้องสะดุ้งตกใจทำไมฮึ แกมองเห็นเสียงหวานเรอะ”
“เปล่า แกสะดุ้ง ฉันก็สะดุ้งด้วย”
“จำได้มั้ยคะ ที่ฉันบอกว่าเห็นคนมาด้อมๆ มองๆ หน้าบ้านคุณน่ะ” เตชิตทบทวนความทรงจำพลางพยักหน้าช้าๆ ศรีตรังมองท่าทีของเตชิตอย่างสนใจ “แล้วก็บอกว่า ยายหนูลูกคุณจะจัดการเอง”
“จำได้”
“นั่นแหละค่ะ แกจัดการปกป้องบ้านของคุณได้เรียบร้อย”
เตชิตยิ้มนิดๆ นัยน์ตาบอกแววตื้นตัน
ศรีตรังแยกจากเตชิตกลับมาทำงานต่อ ระเหว่างอยู่ที่ห้องทำงานศรีตรังโทรศัพท์หาพอล พอลหยิบขึ้นดู สีหน้ายิ้มนิดๆ แล้วทำหน้าทำเสียงเคร่งขรึม
“ฮัลโหล”
“สมน้ำหน้าที่โดนผีหลอก ถามจริง คุณเข้าไปในบ้านเตชิตทำไม”
“ผมไม่ได้เข้า”
“โกหก ฉันขอแช่งเลยว่า ถ้าคุณขืนเข้าไปอีกขอให้ถูกหักคอตายหรือไม่ก็จับไข้หัวโกร๋น”
“แตะไอ้เตนิดหน่อยไม่ได้เลยนะ”
“แน่นอน”
“เป็นไง กินเพื่อนอร่อยมั้ย”
ศรีตรังพยายามระงับความโกรธเพื่อจะได้ตอบอย่างใจเย็น
“อร่อยที่สุดเลยละ”
ศรีตรังปิดโทรศัพท์ด้วยความสะใจ ในขณะที่พอลโมโหพลุ่งพล่าน
สองวันต่อมาที่บ้านศักดิ์สิทธิ์ ขณะนั้นศักดิ์สิทธิ์นั่งเล่นเกมอยู่ เสียงเคาะประตูดังขึ้นเบาๆ แล้วพงษ์ศักดิ์ซึ่งอยู่ในชุดไว้ทุกข์เตรียมจะไปเผาเกษรินเดินเข้ามา
“อ้าว ยังไม่แต่งตัวอีกเรอะ เขาเผา 4 โมงนะ”
“ผมว่าจะไม่ไปครับไม่ค่อยสบาย”
“เฮ้ย สวด 2 วัน แกก็ไม่ได้ไปนะ”
“ก็ผมไม่สบาย”
“พ่อไม่เห็นแกเป็นอะไรเลย”
“เวลาผมเป็นพ่อไม่เห็นนี่”
“ยังไงก็ต้องไป พ่อจะรอข้างล่างแต่งตัวเร็วๆ เข้า”
พงษ์ศักดิ์เดินออกไป แล้วปิดประตู
“อะไรวะ”
ศักดิ์สิทธิ์หงุดหงิด
ที่วัดรูปเกษรินขนาดใหญ่ตั้งไว้บนเมรุ ศรีตรังเดินนำทุกคนขึ้นไปวางดอกไม้จันท์บนเมรุ ยายภาสะอึกสะอื้น
สีหน้าแต่ละคนดูสลดหดหู่ ศักดิ์สิทธิ์เดินตามพงษ์ศักดิ์ขึ้นมาวางดอกไม้จันท์ รูปเกษรินมองศักดิ์สิทธิ์ราวกับมีชีวิตและส่งกระแสบางอย่างตรงมา ศักดิ์สิทธิ์เงยหน้าเหมือนถูกบังคับให้มองภาพนั้น นัยน์ตาเกษรินกลอกกลิ้งไปมาแสยะยิ้มน่ากลัว
ศักดิ์สิทธิ์ร้องลั่นผงะด้วยความตกใจสุดขีดท่ามกลางความตกใจและแปลกใจของทุกๆ คน
“เป็นอะไรไป”
พงษ์ศักดิ์ถามลูกชาย
“ผม...หน้ามืดน่ะครับ”
“งั้นไปนั่งพักก่อน”
อ้อยรีบเสนอด้วยเพราะไม่อยากอยู่ตรงนั้นนาน
“อ้อยพาไปเองค่ะ”
อ้อยจับแขนศักดิ์สิทธิ์พาลงบันไดไป เตชิตมองตามทั้งคู่ด้วยสีหน้าครุ่นคิด พอลซึ่งอยู่ห่างจากบริเวณนั้นออกมามองตามอ้อยและศักดิ์สิทธิ์ที่เดินห่างไปจากบริเวณนั้นแล้วตามไปห่างๆ
อ้อยพาศักดิ์สิทธิ์มาทรุดตัวลงนั่งใต้ร่มไม้ใหญ่ร่มรื่น พอลลอบมองห่างๆ
“เกิดบ้าอะไรขึ้นมาน่ะ”
อ้อยต่อว่าทันที ศักดิ์สิทธิ์มีท่าทางกลัวสุดๆ
“นังเกษ นังเกษมันหลอกศักดิ์”
“หลอกอะไรกลางวันแสกๆ”
“ไม่เชื่อก็ลองมองรูปมันซิ คุณพ่อไม่น่าบังคับให้มาเลย”
อ้อยมองศักดิ์สิทธิ์พลางถอนใจเฮือก
“ศักดิ์ต้องเข้มแข็งให้มากกว่านี้ ไม่อย่างนั้นเราจะซวยกันทั้งคู่”
“ศักดิ์อยู่ที่นี่ไม่ไหวแล้ว”
“ฟังนะศักดิ์ นังเกษมันถูกเผาแล้วหลังจากนั้นมันจะไปผุดไปเกิด ไม่มีอะไรน่ากลัวอีกต่อไป”
“ก็ถ้าเผื่อมันไม่ยอมไปผุดไปเกิดล่ะ”
“งั้นศักดิ์ก็ไปเกิดแทนมันละกัน”
อ้อยบอกอย่างโมโห ศักดิ์สิทธิ์อัดอั้นตันใจร้องไห้ออกมาอย่างกลั้นไม่ไหว อ้อยมองอย่างอ่อนอกอ่อนใจครู่หนึ่ง แล้วจึงทรุดตัวลงข้างๆ บอกเสียงอ่อนลง
“ศักดิ์...ศักดิ์ต้องเข้มแข็ง ผีมันจะมาหลอกคนจิตอ่อน”
“มันน่ากลัวมาก น่ากลัวเหลือเกิน”
“ไป กลับบ้านดีกว่า”
“เราแวะไปหาหมอผีก่อนดีไหมอ้อย”
“เย็นป่านนี้ ออฟฟิศแกปิดแล้วมั้ง เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยไป”
อ้อยดึงศักดิ์สิทธิ์ให้ลุกขึ้นแล้วพาเดินไปพอลมองตามด้วยสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด
แขกเหรื่อที่มาร่วมเผาศพเกษรินเริ่มทะยอยกันกลับ ยายภาและญาติๆ เดินมาหาศรีตรังซึ่งยืนอยู่กับจุรีและสม
“ขอบใจมากนะจ๊ะ นายศรีตรังที่ช่วยเป็นธุระจัดการให้หมดทุกอย่าง วิญญาณเกษมันก็คงซาบซึ้งเหมือนกัน”
“ไม่เป็นไรจ้ะ ยายเราเป็นเพื่อนมนุษย์กัน มีอะไรพอจะช่วยได้ก็ต้องช่วยกันไป”
“อะลัดตั๊ดต๊า สาธุ คุณหนูพูดได้ซึ้งจับใจเหลือเกิน”
“ด้วยความเคารพ ลุงก็เห็นด้วยกับคุณจุ”
“ยายกลับละนะ พรุ่งนี้จะมาเก็บกระดูกแต่เช้า”
“อะลัดตั๊ดต๊า ก่อนเผาก็เหลือแต่กระดูกอยู่แล้ว”
“ป้าจุ”
“ขอประทานโทษค่ะ”
ศรีตรังหันมาจับแขนยายภา
“ถ้ายายภามีอะไรให้ช่วยก็บอกนะจ๊ะ”
ยายภาน้ำตาไหลด้วยความซาบซึ้ง
“นายช่างมีน้ำใจเมตตาอารี ยายจะไม่ลืมบุญคุณเลยไปละนะ”
“จ้ะ”
ทั้งหมดร่ำลากัน แล้วยายภากับญาติก็พากันเดินออกไป ศรีตรังเหลียวมองหาเตชิต
“ไอ้เตมันไปไหน”
ทุกคนเหลียวมองบ้าง
“ด้วยความเคารพ นั่งพูดคนเดียวอยู่บนเมรุครับ”
ศรีตรังและจุรี เบือนหน้าไปมองตาม จึงเห็นเตชิตนั่งพูดคุยพยักเพยิดอยู่คนเดียว ศรีตรังรีบเดินไปที่เมรุ
“ไอ้เต”
“จะกลับแล้วเรอะ”
“ให้ฉันถามก่อน แกจะบ้าแล้วเรอะ มานั่งพูดคนเดียวเป็นวรรคเป็นเวรอยู่บนเมรุเผาศพ”
“ฉันคุยกับเสียงหวาน”
“ไม่มีใครเขารู้หรอกว่า แกคุยกับเสียงหวานเสียงขม เขาเห็นแกพูดอยู่คนเดียว”
เตชิตเบือนหน้ามาทางเสียงหวาน
“งั้นคุณกลับไปก่อนเถอะ”
พงษ์ศักดิ์เดินตรงมา
“นายศรีตรัง”
“เจอศักดิ์มั้ยคะ”
“ไม่ครับ คงจะกลับบ้านไปแล้ว ไม่รู้ว่ามันเป็นอะไรของมัน”
“.งั้นเราก็กลับกันเถอะค่ะ”
ทั้งหมดเดินลงจากเมรุไป เสียงหวานขยับเดินตามหันมามองบนเมรุอีกทีและนิ่วหน้าแปลกใจเมื่อเห็น
เกษรินยืนอยู่หน้ารูปมองตรงมาด้วยสีหน้าเศร้าหมอง
ศรีตรังมาส่งเตชิตที่บ้าน พอเตชิตเปิดปรตูเข้ามาเขาก็ต้องชะงักเมื่อิเห็นเสียงหวานนั่งพิงผนังห้องกอดเข่าหน้าตาหม่นเศร้าเช่นเดียวกับแสงโดยรอบตัวเตชิตเดินมาทรุดตัวลงนั่งตรงหน้า
“เป็นอะไรไป”
เตชิตถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เสียงหวานถึงกับน้ำตาคลอ
“สักวันหนึ่ง ฉันก็คงต้องไปเหมือนเกษริน” เตชิตชะงักสีหน้าแววตาเหมือนจะใจหาย “มันน่ากลัวนะคะที่เราจะต้องไปในที่ๆ ไม่รู้เลยว่ามีอะไรรออยู่บ้าง”
เตชิตยกมือขึ้นลูบบริเวณที่เห็นเป็นกรอบผมเสียงหวาน
“คุณเป็นคนดี เพราะฉะนั้นคุณก็ต้องไปในที่ดีๆ ที่เขาบอกว่า “ไปสู่สุคติ” ไง”
“ฉันไม่อยากไปเลยค่ะ”
“ทำไมล่ะ”
“ไม่รู้เหมือนกัน ฉันคงกลัวมั้งคะ จะเกิดอะไรขึ้นต่อไปก็ไม่รู้ แล้วไอ้ “สุคติ” ที่ว่านี่มันอยู่ที่ไหน ฉันจะไปได้ยังไง...ไปเองหรือว่ามีใครพาไป”
“อย่าคิดมากซิ ... สักวันหนึ่ง ผมก็ต้องตามคุณไปเหมือนที่คุณต้องตามเกษรินไป”
“เกษรินเขาก็ไม่อยากไปหรอกค่ะ”
“คุณรู้ได้ยังไง”
“ฉันเห็นเขายืนหน้าเศร้าอยู่บนเมรุ”
“อย่าเพิ่งคิดมากเลย เมื่อถึงเวลานั้น มันก็ต้องมีทางของมันเองแหละน่า คนตายกันเต็มบ้านเต็มเมืองเขาก็คงมีวิถีทางไปของเขาหรอก”
“แล้วคุณจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ฉันไหมคะ”
“รับรองว่าผมจะใส่บาตรทุกวันเลย”
เสียงหวานนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วจึงพูดขึ้นในที่สุด
“ถ้าหากฉันข้ามภพไปไม่ได้แล้วต้องกลับมาที่บ้านนี้อีก”
“ผมก็จะอยู่เป็นเพื่อนคุณดีไหม”
เตชิตยิ้มให้เสียงหวานอย่างอบอุ่น แสงสีหม่นเศร้าค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีส้มสว่าง สีหน้าแววตาเสียงหวานสดใสขึ้น
“สัญญานะคะ คุณไปไหน...ฉันไปด้วยนะ”
“ตกลง ผมสัญญา”
เสียงโผเข้ากอดเตชิต ซบหน้ากับอกอย่างมีความสุข เตชิตสูดลมหายใจยาวยกแขนขึ้นกอดตอบ แต่สัมผัสได้เพียงอากาศธาตุ
ที่บ้านจุรีขณะนั้นจุรีดินถือกล้วยบวชชีมาทรุดตัวลงนั่งข้างๆ อ้อยซึ่งนั่งดูทีวีอยู่
“เมื่อตอนเย็น ศักดิ์เขาเป็นอะไรของเขา”
“เป็นบ้ามั้ง”
“อะลัดตั๊ดต๊า ปากเสียอย่าไปพูดให้คุณพงษ์เขาได้ยินเชียวนะ”
“ก็แม่อยากทราบทำไมล่ะ”
“ท่าทางยังกับเจอผี”
อ้อยสะดุ้งเฮือก
“แม่”
จุรีสะดุ้งตาม
“อะไร”
“ใครเขาพูดถึงผีตอนกลางคืนบ้างเดี๋ยวก็ได้มาจริงๆ หรอก”
“พอได้แล้ว”
“ก็แม่อยากพูดก่อนทำไม ไปนอนดีกว่า”
อ้อยลุกเดินออกไป จุรีเริ่มเลิ่กลั่กมองซ้ายมองขวา
คืนนั้นขณะที่ศักดิ์สิทธิ์กำลังนอนหลับสนิทเขาฝันว่าตัวเองเดินไปยังบริเวณที่ฝังศพเกษริน ศักดิ์สิทธิ์เดินมาเรื่อยๆ จนกระทั่งได้ยินเสียงร้องไห้เบาๆ
“ใคร ใครน่ะ”
เสียงร้องไห้ดังขึ้นเมื่อศักดิ์สิทธิ์เดินใกล้เข้าไปทุกที ในที่สุดศักดิ์สิทธิ์ก็หยุดชะงั เมื่อเห็นร่างๆ หนึ่ง นั่งกอดเข่าฟุบหน้าร้องไห้ ศักดิ์สิทธิ์มองเพ่งพิศขณะที่เท้าพาตัวเองเดินใกล้เข้าไปอีก ร่างนั้นเหมือนรู้สึกตัวว่ามีคนมาจึงหยุดร้องเงยหน้ามอง ศักดิ์สิทธิ์ร้องลั่นเมื่อเห็นใบหน้าเกษรินถนัดเป็นสีเขียวคล้ำน่ากลัว
ศักดิ์สิทธิ์ตกใจตื่นผุดลุกนั่งเหงื่อแตกพราวเต็มหน้า ศักดิ์สิทธิ์ถอนใจเฮือกเมื่อรู้ว่าเป็นความฝัน
“ค่อยยังชั่ว”
ศักดิ์สิทธิ์ลุกจากเตียงไปเข้าห้องน้ำ ศักดิ์สิทธิ์ก้มลงล้างหน้าแต่พอเงยหน้าขึ้นมาก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่อเห็น
ในกระจกปรากฏเกษรินยืนอยู่ข้างหลัง ศักดิ์สิทธิ์กลั้นหายใจหันขวับมาดู แล้วค่อยๆ ผ่อนลมหายใจโล่งอกเมื่อเห็นว่าบริเวณนั้นไม่มีใคร
ศักดิ์สิทธิ์เดินออกมาจากห้องน้ำแล้วเดินมาเอนตัวลงนอนดวงตาจับจ้องมองเพดานอย่างครุ่นคิด
“คิดมากไปเองนะ ไอ้ทศเป็นแพะรับบาปไปแล้ว ร่างนังเกษก็ถูกเผาไปแล้วจะไม่มีใครสนใจเรื่องนี้อีกต่อไป”
สีหน้าศักดิ์สิทธิ์แจ่มใสเกือบเป็นปกติ
ช่วงเวลาเดียวกันนั้นพอลมาปรากฎตัวบริเวณที่ฝังศพเกษริน พอลทรุดตัวลงเขี่ยดินบริเวณที่เจอศพเกษรินประมาณหาหลักฐาน มือพอลเขี่ยไปเรื่อยๆ จนมาถึงบริเวณใต้ร่มไม้ที่มีใบไม้กองใหญ่รวมกันอยู่แล้วพอลก็เจอแหวนวงหนึ่งมีดินเกาะแน่นจนดูไม่ออก พอลหยิบแหวนวงนั้นมาเขี่ยดินออกจนเห็นถนัด พอลพลิกดูไปมาแล้วชะงักเมื่อเห็นตัวอักษรตัว R.P อยู่ด้านใน พอลเงยหน้าขึ้น สีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด
เช้าวันรุ่งขึ้นพอลจึงโทรศัพท์หาเสนา
“ผมเจอแหวนวงนึงครับพี่ สลักตัวอักษร K กับ P”
“แล้วทำไมเตชิตมันไม่เจอ เป็นตำรวจประสาอะไร”
“มันคงเห็นว่าจับคนร้ายได้แล้วมั้งครับ”
“คิดยังงั้นมันใช้ไม่ได้ นี่ถ้าพ่อของตรีทศไม่ใช่เพื่อนพ่อฉัน แล้วฉันไม่ได้สั่งให้นายตามคดีนี้ก็คงไม่พบ ตัวอักษร K.P ที่นายว่า มันย่อมาจากอะไร”
“ถ้าจะให้เดา ผมว่าน่าจะย่อมาจาก เกษริน พิทักษ์รักสวัสดิ์ครับ!”
“อ้าว! งั้นจะมีประโยชน์อะไร”
“มันน่าจะมีบ้างไม่มากก็น้อยครับ”
พอลบอกอย่างมั่นใจ
ทางด้านเตชิตขณะนั้นกำลังยืนจิบกาแฟ ดวงตามองไปข้างหน้าอย่างใคร่ครวญครุ่นคิด เมื่อนึกถึงท่าทางหวาดกลัวสุดๆ ของศักดิ์สิทธิ์
“แย่แล้วละค่ะ”
เตชิตกำลังจิบกาแฟถึงกับสำลัก เตชิตหันกลับมามองเสียงหวานด้วยสีหน้าตำหนิ
“ขอโทษค่ะ เอ้อ...พอดีมีข่าวด่วน ฉันก็เลยลืมที่คุณสั่ง” เสียงหวานบอกเสียงอ่อย
“มีอะไรก็ว่ามาเลย ไม่ต้องเท้าความ อารัมภบทยืดยาว”
“เกษรินเขายังไม่ไปสู่สุคติเลยค่ะ”
“อ้าว...ทำไมหรือว่าไปไม่ถูก”
“ไม่ใช่ค่ะ เห็นเขาบอกว่าคุณจับคนผิด”
“หมายความว่า ตรีทศไม่ใช่ฆาตกร”
“เห็นเขาว่าอย่างนั้นแหละค่ะ”
“งั้นใครล่ะ”
“เขาบอกว่า คุณต้องสืบหาหลักฐานเอาเองค่ะ เอาอย่างนี้ฉันจะให้เขามาเล่าให้คุณฟังจะได้ง่ายขึ้น”
เตชิตสะดุ้งเฮือก
“ไม่เป็นไร ผมยอมลำบากดีกว่า”
“ทำไมล่ะคะ เพื่อนฉันเขาเป็นคนถูกฆ่า เขาต้องรู้ดีกว่าใคร”
“งั้นก็ให้เพื่อนคุณไปแจ้งความเองเลยซิ” เตชิตประชด เสียงหวานถึงกับจ๋อย
“ใครเขาจะฟังผีล่ะคะ แต่คุณฟัง...”
“ผมไม่ฟัง”
“แหม”
เตชิตวางถ้วยกาแฟแล้วเดินไปขึ้นมอเตอร์ไซค์พร้อมกับติดเครื่อง เสียงหวานปรากฏตัวซ้อนท้ายและพูด
“คุณจะไปไหนคะ”
“เฮ้ย” เตชิตตกใจรถเกือบล้ม
“ขอโทษค่ะ”
“ลงไปเดี๋ยวนี้เลย”
“โกรธฉันหรือคะ”
“ใช่ รู้แล้วก็ลงไป”
เสียงหวานเลือนหายไป เตชิตขับออกไป เสียงหวานปรากฏตัวอยู่ที่หน้าต่างแล้วมองตาม
เตชิตมาหาศรีตรังที่ออฟฟิศ สมเดินตรงมาที่เตชิต
“ด้วยความเคารพ”
“ผมมาหาศรีตรังครับ”
“นายศรีตรังไม่อยู่ครับ”
“อ้าว! ไปไหนแต่เช้า”
สมดูนาฬิกา
“ด้วยความเคารพ ไม่เช้าแล้วนะครับ จวนจะ 11 โมงแล้ว”
“ด้วยความเคารพ จวนจะ 11 โมงแล้วก็ยังอยู่ในช่วงเช้าครับ”
เตชิตเดินออกไป
“ด้วยความเคารพ เขาเรียกว่าสายครับ”
ขณะนั้นศรีตรังกำลังซื้อของอยู่ที่ศูนย์การค้าในตัวเมืองศรีตรังหยิบของใส่รถเข็นเรื่อยๆ จนมาถึงที่โกนหนวด
“เอาไปฝากไอ้เตดีกว่า เดี๋ยวจะว่าไม่มีน้ำใจ”
ศรีตรังหยิบที่โกนหนวดจะใส่รถเข็น
“ไม่ยักรู้ว่าคุณโกนหนวด”
ศรีตรังสะดุ้งที่โกนหนวดเกือบหลุดจากมือ แล้วหันขวับไปมองจึงเห็นพอลยืนกอดอกมองอยู่
“กรุงเทพฯ น่ะเดินทั่วแล้วเรอะ ถึงได้ทะลุมาปากช่อง”
“ผมมีธุระที่นี่”
“งั้นก็ทำธุระของคุณไป ไม่ต้องมายุ่งกับฉัน”
“ถ้ายืนห่างแค่นี้แปลว่ายุ่งกัน ป่านนี้เด็กล้นโลกแล้วมั้ง”
ศรีตรังหยุดกึกหันขวับมา โกรธจนปากคอสั่น
“นี่”
“เอาอีกแล้ว คราวก่อนเรียกผมว่าพี่เพชรคราวนี้เปลี่ยนเป็นชื่อ “นี่”
ศรีตรังมองพอลเหมือนจะเผาให้มอดไหม้ แล้วเดินจ้ำๆ ไปจ่ายเงิน พอลมองตามแล้วเดินตามช้าๆ
หลังจากจ่ายเงินเสร็จศรีตรังถือของเดินจะตรงไปที่บันไดเลื่อน
“ช่วยถือมั้ย” พอลถามเมื่อเดินตามมา ศรีตรังเม้มปากแล้วจ้ำเร็วกว่าเดิม “ทำไมไม่ใส่รถเข็นล่ะ” ศรีตรังก้าวเร็วกว่าเดิมอีก “มานี่”
พอลก้าวเท้ายาวๆ ตาม แล้วคว้าถุงจากมือทั้งสองข้างของศรีตรัง ศรีตรังไม่ทันระวังตัวพอลจึงดึงไปได้อย่างง่ายดาย
“เอาคืนมานะ”
“จอดรถไว้ชั้นไหน”
“เอาคืนมา” ศรีตรังบอกเสียงเข้มขึ้น
“คนเขามองกันแน่ะ”
ศรีตรังเหลือบตามอง จึงเห็น คนผ่านไปผ่านมาเริ่มมอง
“อยากได้ก็เอาไป ฉันยกให้เอาบุญ”
ศรีตรังบอกเสียงดัง พอลชะงักด้วยไม่นึกว่าศรีตรังจะเล่นไม้นี้ ศรีตรังสะบัดหน้าเดินเชิดหน้าไป
“เดี๋ยวซิคุณ”
พอลก้าวยาวๆ ตามศรีตรังไป ศรีตรังปรายตามองอย่างมาดหมาย
“เดี๋ยวเถอะ เดี๋ยวได้รู้สึก”
ศรีตรังเดินลงบันไดเลื่อนพอลหอบของเดินตาม ศรีตรังเดินไปเรื่อยพอลเดินตาม ศรีตรังทำเป็นหยุดคิดแล้วเดินย้อนกลับ พอลจำต้องตามศรีตรังเดินขึ้นบันไดเลื่อนอย่างรวดเร็วพอลหิ้วของเดินตาม
จังหวะหนึ่งศรีตรังแกล้งเดินขึ้นเดินลงไปจนทั่วห้างในขณะที่พอลยังหิ้วถุงตามแต่หน้าเริ่มบึ้งขึ้นทุกที
ศรีกตรังเดินจนเหนื่อยจึงเดินหน้าเบ้ด้วยความเมื่อยเข้ามานั่งในร้านอาหาร พอลตามมานั่งตรงข้าม
“นี่ไง เขาถึงได้พูดกันว่าให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัว”
“ต้องการอะไร”
“ก็แค่เอื้อเฟื้อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์”
“ฉันไม่ใช่เพื่อนคุณ แล้วก็ไม่ต้องการให้คุณมาช่วยเหลือ”
ขณะที่เถียงกันบริกรเข้ามารอคำสั่ง
“คุณจะทานอะไร”
“ไม่กิน ไม่หิว”
พอลเบือนหน้ามาสั่งให้
“มักกะโรนีกุ้งกับข้าวผัดน้ำพริกลงเรือ”
ศรีตรังหันขวับมามอง
“รู้ได้ยังไงว่า ฉันชอบมักกะโรนีกุ้ง”
“ผมสั่งมักกะโรนีกุ้งให้ตัวเอง ส่วนคุณกินข้าวผัดน้ำพริกลงเรือ”
ศรีตรังมองพอลตาแทบถลน ขณะที่พอลทำหน้าตาย
หลังจากกินอาหารเสร็จศรีตรังเดินอย่างหมดแรงมาที่รถโดยมีพอลถือถุงตามมาส่ง พอลวางถุงไว้หลังปิกอัพ ขณะที่ศรีตรังเปิดประตูรถอย่างละห้อยละเหี่ย พอลเดินตามมาดึงประตูรถไว้
“อะไรอีกล่ะ”
“ผู้กองเตชิตเล่นกลยังไง คนเขาถึงได้เข้าใจว่าเลี้ยงผี”
“ทำไมถึงได้สนใจเรื่องนี้นัก”
“ผมไม่เชื่อเรื่องผี แต่พอได้ยินเขาเล่ากัน มันก็เลยอยากรู้ขึ้นมา”
“ไปถามเขาเองซิ”
พอลปล่อยประตูให้ศรีตรังปิดแล้วถอยออกมา
“ผมต้องรู้ให้ได้”
“มันเรื่องของคุณ”
ศรีตรังขับรถออกไป พอลมองตาม
ส่วนที่กรุงเทพฯ บรรยากาศในกองถ่ายละครขณะนั้นผู้กำกับเดินมาตะโกนถามธุรกิจกองถ่าย
“นี่แม่ดาราใหญ่ ยังไม่โผล่หัวมาอีกเหรอยะ ฉันนัดบ่าย 2 โมงนะไม่ใช่ 2 ยาม”
ผู้กำกับเบือนหน้าไปทางธุรกิจกองถ่ายที่นั่งกดโทรศัพท์แบบกดแล้วกดอีก แล้วอ้าปากจะพูด ธุรกิจกองถ่ายรีบพูดดักคอก่อน
“หนูกำลังโทรจิกอยู่ค่ะ จิกแล้วจิกอีก นางก็ไม่ยอมรับ”
“จิกมันไปเรื่อยๆ จนกว่าจะรับ โอย...ฉันอยากจะบ้าตาย เพิ่งได้อัพเกรดขึ้นมาจากนางรอง แม่ก็ทำตัวราวกับนางเอกเบอร์หนึ่งซะแล้ว”
“ก็เค้าเด็กเสี่ยนี่คะ คุณพี่”
ธุรกิจยกนิ้วแตะปากเป็นสัญญาณให้ทุกคนเงียบ ทุกคนเงียบฉับพลันทันใด แล้วเงี่ยหูฟัง
“ฮัลโหล คุณน้องขา คุณน้องอยู่ที่ไหนคะ”
ขณะนั้นเจนจิรากำลังขับรถอยู่ เจนจิราทำเสียงละห้อยละเหี่ย
“อยู่โรงพยาบาลค่ะ”
ธุรกิจหันมาทำปาก “อยู่โรงบาล” กับทุกคน ทุกคนสะดุ้งเฮือก
“ตายจริง คุณน้องเป็นอะไรคะ ป่วยหนัก ป่วยปานกลาง หรือว่าป่วยเบาๆ”
“ป่วยปานกลางค่อนไปทางหนักค่ะ คุณหมอบอกว่าคุณน้องทำงานหนักมากเกินไป”
ทุกคนห่อปากขมุบขมิบด่า
“ถามซิว่าอยู่โรงบาลไหน”
ผู้กำกับป้องปากบอก ธุรกิจพยักหน้าแล้วคุยต่อ
“คุณน้องอยู่โรงบาลไหนคะ”
“คุณน้องไม่อยากบอก เกรงใจน่ะคะว่าทุกคนจะแห่กันมาเยี่ยม มาทำข่าวอีกอย่าง คุณหมอแนะนำให้พักผ่อนมากๆ จะได้หายเร็วๆ แค่นี้ก่อนนะคะฝากขอโทษทุกคนด้วย”
เจนจิราปิดโทรศัพท์พร้อมรอยยิ้มสะใจ
“นางไม่ยอมบอก อ้างว่าเกรงใจ กลัวคนจะมาเยี่ยม แล้วคุณหมอก็บอกให้นางพักผ่อนมากๆ เฮ้อ! หลอแหลทั้งเพ”
ธุรกิจหันมาบอกทุกคน ผู้กำกับนิ่งคิดครู่หนึ่ง
“รู้แล้วว่าจะทำยังไง โทรบอกคุณสยุม เพราะคนเลี้ยงดูนางเป็นคนฝากคุณสยุมมา” ผู้กำกับกดโทรศัพท์ทันที “คุณสยุมครับ...คุณสยุมทราบหรือยังว่า น้องเจนจิราเข้าโรงพยาบาล”
เจนจิรามาหาเดนนิสที่บ้าน ขณะนั้นเดนนิสกำลังคุยโทรศัพท์อยู่ เดนนิสเบือนหน้ามามองเจนจิราด้วยแววตาเป็นประกายไม่พอใจ
“ผมต้องขอโทษด้วยครับคุณสยุม...คราวหน้าจะไม่ให้มีเรื่องอย่างนี้อีก สวัสดีครับ”
เดนนิสวางโทรศัพท์ลง เจนจิราเดินเข้ามากอดพร้อมกับจุ๊บแก้มเดนนิส
“จะไม่ให้มีเรื่องอย่างไหนอีกหรือคะ”
“เธอไปโกหกอะไรกองถ่ายคุณสยุม”
“แหม...ก็เจนคิดถึงเสี่ย เลยมาหาเสี่ยนี่ไงคะ”
“ฉันเกลียดคนไม่ทำงาน”
เจนจิราเม้มปากอย่างไม่พอใจ
“แล้วทีคุณปรกเดือนล่ะคะ” นัยน์ตาเดนนิสเป็นประกายราวกับจะเผาเจน “คุณปรกเดือนยังไม่เห็นทำอะไรเลย”
“เดือนเขาเป็นเมียฉัน”
“เจนก็เป็นเมียคุณเหมือนกัน”
เจนจิราเชิดหน้าเดนนิสตบเจนจิราเปรี้ยง เจนจิราถลาล้มบนโซฟาน้ำตาไหลพรากด้วยเจ็บตัวและเจ็บใจ
“เดือนเป็นเมียฉัน แต่เธอไม่ใช่”
“ทำไมเสี่ยต้องตบเจนด้วย”
“เพราะเธอตีตนเสมอเมียของฉัน กลับไปทำงานเดี๋ยวนี้แล้วก็อย่าเบี้ยวอีกเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นฉันจะไม่รับผิดชอบชีวิตเธออีกต่อไป”
สีหน้าแววตาของเดนนิสขณะกำลังพูด ดูเหี้ยมโหดจนเจนจิรานึกกลัว
อ่านต่อหน้า 3
ปางเสน่หา ตอนที่ 6 (ต่อ)
เจนจิราขับรถมาที่กองถ่าย ขณะนั้นธุรกิจกองถ่ายคอยสังเกตการณ์อยู่ พอเห็นรถเจนจิราขับเข้ามาจึงรีบโบกมือให้สัญญาณ ทุกคนในบริเวณกองถ่าย ซึ่งอยู่ในอิริยาบถต่างๆ หยุดนิ่ง แล้วมองไปที่รถเจนจิราเป็นตาเดียว
เจนจิราหยิบเครื่องสำอางขึ้นมาตกแต่งกลบรอยนิ้วมือเดนนิส หลังจากสำรวจดูว่าสวยงามเหมือนเดิมแล้วสูดลมหายใจยาวเหมือนจะปัดความขุ่นข้องหมองใจออกไปก่อน
“แล้วเจอกัน นังปรกเดือน”
เจนจิราเปิดประตูลงไป ธุรกิจกองถ่ายซึ่งยังคอยแอบสังเกตการณ์อยู่รีบถลาตรงมารับ
“คุณน้องเจนหายดีแล้วหรือคะ พวกเราเป็นห่วงกันแทบแย่”
เจนจิราปั้นสีหน้ายิ้มแย้ม
“ค่อยยังชั่วน่ะคะ หน้าคุณน้องเจนซีดเซียวมั้ยคะเนี่ย”
“ถ้าอย่างคุณน้องหน้าซีดเซียว คุณพี่ก็ศพแล้วละค่ะไปเถอะค่ะ ทุกคนเขากำลังรอคุณน้องอยู่”
เจนจิราเดินไปที่กองถ่าย ทุกคนซึ่งมองอยู่หันกลับไปเคลื่อนไหวอยู่ในอิริยาบถเดิม โดยมิได้นัดหมาย เจนจิรายกมือไหว้ทุกคน พลางทำหน้าเจื่อนจ๋อย “ขอประทานโทษค่ะ...เจนเกิดไม่สบายโดยกระทันหัน ที่พยายามลุกขึ้นมาทำงานต่อได้ก็เพราะสปิริตอันแรงกล้าอย่างเดียวเลยค่ะ”
“โห”
ทุกคนร้องออกมาพร้อมกัน เจนจิราชะงักแล้วหันขวับมามอง
“สปิริตอันแรงกล้า” ทุกคนบอกออกมาพร้อมกันแล้วพยักเพยิดด้วยสีหน้าจริงจัง
เจนจิราเข้าฉากตบกับนางร้ายซึ่งทั้งคู่ตบกันอย่างเมามันจนผู้กำกับสั่งคัท
“คัท” สองสาวหยุดตบ “สุดยอด เริ่ด ประเสริฐ น้องเจนต้องได้ฉายาว่านางเอกตบลืมตายแน่ๆ” ผู้กำกับเอ่ยชม
“นางตบจนลืมไปเลยว่าเพิ่งออกจากโรงบาล”
“ขอบคุณค่ะ เจนจะถือว่าเป็นคำชมนะคะ บ๊าย...บายค่ะ”
เจนจิราโบกมือ แล้วส่งจูบให้ทุกคน แล้วเดินไปชวนช่างแต่งหน้า
“คุณพี่ กลับกับคุณน้องมั้ย”
“กลับซิคะ นึกว่าจะไม่ชวนซะแล้ว”
เจนจิราและช่างแต่งหน้าหอบของเดินไปที่รถ
“หิวจัง ไปหาอะไรกินก่อนนะคุณพี่” เจนจิราเอ่ยชวนเมื่อขึ้นมาบนรถ
“เรื่องกินไม่มีขัดอยู่แล้วค่ะ”
“เจนมีเรื่องจะปรึกษาเยอะเลย”
เจนจิราขับรถออกไป
เจนจิราพาช่างแต่งหน้ามานั่งกินข้าวที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ทั้งคู่นั่งอยู่ในมุมค่อนข้างเป็นส่วนตัว
“คุณพี่ว่ายังไงคะ”
“ก่อกวนต่อไปค่ะ” ช่างแต่งหน้าหยิบมือถือขึ้นมา “คุณพี่โทร.เองเบอร์อะไรนะคะ”
“นี่ค่ะ”
เจนจิรากดมือถือส่งให้ดู ช่างแต่งหน้ากดเบอร์บ้านปรกเดือน ขณะนั้นปรกเดือนกำลังจะเดินขึ้นข้างบนถึงกับชะงัก หันกลับเดินย้อนมา ในขณะที่แจ๋วรีบเดินเข้ามาจะรับเช่นกัน
“ฉันรับเอง แจ๋วไปทำอะไรก็ไปเถอะ”
“ค่ะ” แจ๋วเดินกลับไป ปรกเดือนเดินมารับโทรศัพท์
“สวัสดีค่ะ”
“สวัสดีฮ้า คุณเมียหลวง ...อ๊ะ อ๊ะ อย่าเพิ่งวางหูนะฮ้ะ ไม่งั้นจะอดฟังของดี” ปรกเดือนกำโทรศัพท์แน่น แล้วพยายามตั้งสติ “ถ้าฉันเป็นคุณ ฉันยอมหย่าไปนานแล้วละฮ่ะ ไม่หน้าด้านหน้าทนทู่ซี้อยู่กับเขาทั้งๆ ที่รู้ว่าเขาสุดแสนจะเบื่อหน่ายเลยนี่กระไร”
ปรกเดือนนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วพูดด้วยเสียงราบเรียบ
“ได้พรุ่งนี้ ...ฉันจะบอกเสี่ยให้ก็แล้วกันว่านางบำเรอของเขาอยากจะให้เขาหย่ากับฉัน”
“โอ.เค้ ขอให้จริงอย่างปากว่าเถอะ” ช่างแต่งหน้าปิดโทรศัพท์ แล้วยักคิ้วกับเจนจิรา “เรียบร้อย”
“อะไรเรียบร้อย”
“ก็เมียหลวงเขายินดีจะบอกให้เสี่ยรู้ว่าคุณน้องอยากให้เขาหย่ากับเสี่ย”
เจนจิราสะดุ้ง
“ว้าย ตายแล้ว”
“อ้อ เขาเรียกคุณน้องว่า นางบำเรอด้วยนะค้า”
“โทรกลับไปใหม่เดี๋ยวนี้เลย”
“โทรไปทำไมหรือว่ายังด่าไม่สะใจ”
“โทรบอกมันว่า คุณพี่เป็นคนพูดประโยคนั้นเอง คุณน้องไม่เกี่ยว”
“ทำไมล่ะฮะ”
“ยังจะมีหน้ามาถามอีก ถ้ามันบอกเสี่ยจริงๆ ละก็คุณน้องซวยไม่พอ คุณพี่ก็ซวยด้วยนะคะ เรียกว่าซวยยกเข่งเลยละค่ะ อนาคตของคุณน้องมีหวังคดจริงๆ สมชื่อ โทรซิคะโทรเร้ว”
ช่างแต่งหน้ารีบกดโทรศัพท์ แต่ปรกเดือนดึงปลั๊กโทรศัพท์ออกแล้วและเดินขึ้นข้างบน ช่างแต่หน้าหันมาทางเจนจิรา แล้วส่ายหน้าเบ้ปาก
“ทำไมคะ”
“สงสัยนางจะถอดปลั๊กโทรศัพท์”
“หน็อย ทำฉลาด กดมือถือเลยคุณพี่”
ช่างแต่งหน้ากดเบอร์มือถือของปรกเดือน แต่ก็ติดต่อม่าได้
“มันปิดโทรศัพท์ฮ่ะ”
เจนจิราเม้มปาก.สีหน้าทั้งโกรธและกังวล
ปรกเดือนกลับเข้าห้อง นั่งคิดครู่หนึ่ง แล้วหยิบมือถือขึ้นมากดโทรหาเดนนิส เดนนิสหยิบโทรศัพท์ขึ้นมานัยน์ตาเป็นประกายเหมือนดีใจแว่บหนึ่ง เมื่อเห็นว่าเป็นโทรศัพท์ใคร
“คงไม่ได้โทร มาบอกว่าคิดถึงผมหรอกนะ”
“พรุ่งนี้ คุณมีธุระที่ไหนหรือเปล่าคะ”
“ทำไม”
“ฉันอยากจะเชิญมาพูดธุระหน่อย”
“ธุระอะไร”
“เอาไว้คุณมาก็รู้เอง ตกลงว่ายังไงคะ”
“ผมจะไปถึงประมาณ 10 โมงก็แล้วกัน”
“ขอบคุณมากค่ะ”
“เดี๋ยว”
ปรกเดือนไม่สนใจปิดโทรศัพท์ทันที เดนนิสกดหาแต่ติดต่อม่าได้จึงวางโทรศัพท์ลงอย่างหงุดหงิด ปรกเดือนสูดลมหายใจยาวสีหน้าเหมือนตัดสินใจเด็ดเดี่ยว
เช้าวันรุ่งขึ้นขณะที่เดนนิสกำลังจะออกจากบ้าน เขาก็ต้องชะงักเมื่อเจนจิราแทบจะถลาเข้ามากอด
“เสี่ยขา”
เดนนิสจับไหล่เจนจิราดึงออก
“บอกไม่รู้กี่ครั้งแล้วว่า ถ้าจะมาต้องโทร.บอกฉันก่อน”
“แหม! ก็เจนอยากจะเซอร์ไพรส์เสี่ยบ้างนี่คะ”
“ขอบอกว่านอกจากจะไม่เซอร์ไพรส์แล้วเธอยัง annoy ฉันด้วย”
เจนจิราเบิกตากว้าง
“เสี่ยว่าเจนทำให้เสี่ยรำคาญหรือคะ”
“ใช่”
เจนจิราทรุดตัวลงไป น้ำตาคลอขึ้นมาไหลพราก
“ถ้าเสี่ยรังเกียจเจนขนาดนี้ แล้วมาเลี้ยงดูเจนทำไมคะ เสี่ยมาทำให้เจนทั้งรักและภักดีกับเสี่ย พยายามทำทุกอย่างให้ถูกใจ แต่เสี่ยใจแข็งเหลือเกิน” เดนนิสมองเจนจิรา สีหน้าแววตาอ่อนลงเล็กน้อย “เจนรู้ว่าเสี่ยรักและเกรงใจคุณปรกเดือนมาก แล้วเจนก็เคารพความรู้สึกของเสี่ย เจนขอแค่เพียงเศษความเมตตาของเสี่ยเท่านั้น แต่เสี่ยก็ให้เจนไม่ได้”
“ลุกขึ้น”
“อะไรนะคะ”
“ลุกขึ้น”
เจนจิราถอยไปจนติดโซฟาด้วยสีหน้าหวาดกลัว
“เจนกลัวแล้วค่ะ เสี่ยอย่าตบเจนอีกเลยนะคะ เจนจะไม่มารบกวนเสี่ยอีกแล้ว” เจนจิรารีบลนลานลุกขึ้นด้วยความหวาดกลัว “เจนกราบลาเสี่ยนะคะ”
เจนจิราหันหลังกลับจะเดินออกไป
“เจนจิรา” เจนจิราสะดุ้งเฮือก แล้วหันกลับมาด้วยสีหน้าหวาดกลัวสุดๆ “มานี่”
เจนจิราลังเล
“บอกให้มานี่” เจนจิราค่อยๆ เดินเข้ามาหาตัวสั่นเทาด้วยความกวาดกลัว “กินอะไรมาหรือยัง”
เจนจิราส่ายหน้างงๆ
“ยัง ยังค่ะ”
“งั้นไปด้วยกัน”
เจนจิราเบิกตากว้าง
“คะ”
“ไปรอที่รถก่อน เดี๋ยวฉันจะตามไป”
“ค่ะ ไปเดี๋ยวนี้แหละค่ะ”
เจนจิรารีบเดินออกไป
เจนจิราเดินออกมาได้ 2-3 ก้าว แล้วหันไปมอง สีหน้าเจนจิราเปลี่ยนเป็นพอใจ
“ผู้ชาย ต่อให้เลือดเย็นแค่ไหนก็อดใจอ่อนกับน้ำตาผู้หญิงไม่ได้”
ระหว่างนั้นเดนนิสโทรศัพท์หาปรกเดือนเพื่อขอเลื่อนนัด
“ธุระของคุณด่วนหรือเปล่า”
“ทำไมหรือคะ”
“ถ้าไม่ด่วน ผมขอเลื่อนไปตอนเย็นๆ จะได้กินข้าวกับคุณด้วย”
“ได้ค่ะ”
เดนนิสปิดโทรศัพท์แล้วเดินออกไป ปรกเดือนวางโทรศัพท์ด้วยสีหน้าเศร้าๆ
เดนนิสพาเจนจิรามาช้อปปิ้ง จากนั้นก็พามาทานอาหารที่ร้านหรู พนักงานเข้ามาพินอบพิเทาต้อนรับเดนนิสกับเจนจิราในลักษณะที่ค่อนข้างคุ้นเคยกัน แล้วพาไปโต๊ะในมุมค่อนข้างเป็นส่วนตัว
“ขอบพระคุณมากค่ะ วันนี้เจนมีความสุขเหลือเกิน”
“และความสุขจะยืนยาวขนาดไหนขึ้นอยู่กับการทำตัวของเธอเอง”
“เจนจะเจียมตัวเจียมใจเพื่อให้เสี่ยเมตตาตลอดไปค่ะ”
พนักงานเริ่มยกอาหารมาเสิร์ฟ ทั้งสองกินกันเงียบๆ โดยเจนจิราคอยเอาอกเอาใจอ่อนหวาน
ค่ำวันนั้นเมื่อเดนนิสมาหาปรกเดือนที่บ้าน แจ๋วจึงรีบเดินมารายงานปรกเดือน
“เสี่ยมาค่ะ”
“ไปบอกเขาว่าฉันนอนแล้ว”
“คุณเดือนคะ”
“ไปบอกเขาตามนี้”
ปรกเดือนย้ำแล้วเดินเข้าห้อง แจ๋วมองตามอย่างกังวล แล้วจึงเดินกลับลงไป
เดนนิสนั่งรอด้วยสีหน้าสงบขณะที่แจ๋วเดินเข้ามา
“คุณเดือนเข้านอนแล้วค่ะ”
เดนนิสชะงัก นัยน์ตาเป็นประกายแว่บหนึ่งแล้วกลับเป็นปกติ เดนนิสลุกขึ้นเดินขึ้นบันไดไป ขณะนั้นปรกเดือนกำลังชะโงกมองออกไปจากหน้าต่าง
“ทำไมยังไม่ไปอีก”
ปรกเดือนพึมพำออกมาเมื่อเห็นรถเดนนิสยังจอดอยู่ที่เดิม จังหวะนั้นเสียงเคาะประตูดังขึ้นปรกเดือนสะดุ้งหันขวับไปทันที
“เปิดประตู” ปรกยืนนิ่ง เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีก “บอกให้เปิดประตู” ปรกเดือนตัดสินใจเดินไปเปิดล๊อค เดนนิสก้าวเข้ามาทันที แล้วผลักประตูปิด “ผมมาหา คุณต้องลงไปพบ”
“ฉันจะลงหรือไม่ลง มันเป็นสิทธิ์ของฉัน”
“คุณเป็นเมียผม”
“ก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นทาสด้วยนี่”
“ปรกเดือน”
“คุณเป็นคนผิดนัดเองแล้วจะมาโวยวายเอาอะไร ฉันไม่พร้อมจะพบคุณ เอาไว้พรุ่งนี้เช้าค่อยมาใหม่”
“มันจะมากไปแล้ว บ้านหลังนี้เป็นของฉัน ฉันจะมาเมื่อไหร่ จะกลับเมื่อไหร่ก็ได้”
“งั้นฉันก็จะไปเอง”
ปรกเดือนเดินไปที่ประตู เดนนิสกระชากแขนเข้ามาใกล้
“ใครสอนให้อวดดีขนาดนี้ ไอ้พอลเรอะไง”
“ไม่จำเป็นต้องมีใครสอนหรอกค่ะ ดีเหมือนกัน ในเมื่อคุณยังไม่กลับก็จะได้พูดให้มันจบๆไป...ฉันต้องการหย่ากับคุณ” เดนนิสชะงักเหมือนไม่เชื่อหู “...หย่าโดยเร็วที่สุดด้วย”
“ก็ถ้าฉันไม่ยอมหย่าล่ะ”
“แล้วคุณจะยื้อไปทำไมในเมื่อ ....”
“ถ้าจะหย่า ฉันต้องเป็นคนบอกเอง ไม่ใช่เธอ เธอไม่มีสิทธิ์”
“ฉันมีสิทธิ์ ฉันมีอิสระ ฉันไม่ได้เป็นทาสของคุณ จำเอาไว้”
“ก็ให้มันรู้ไปซิ”
เดนนิสบอกอย่างโกรธจัดแล้วดึงตัวปรกเดือนเข้ามากอด ปรกเดือนพยายามดิ้น
“ปล่อย บอกให้ปล่อย”
“เธอเป็นเมียฉัน จำเอาไว้ ... ปรกเดือน”
เดนนิสช้อนตัวปรกเดือนขึ้นไปที่เตียง ปรกเดือนพยายามดิ้นเต็มที่
เช้าวันรุ่งขึ้นเดนนิสพลิกตัวมาจะกอดปรกเดือน เดนนิสลืมตาขึ้นเมื่อรู้สึกว่าสัมผัสกับความว่างเปล่า
“ปรกเดือน”
ไม่มีเสียงตอบ เดนนิสลุกขึ้นแล้วเดินออกไปที่ระเบียง...เดนนิสก้าวออกมาสีหน้าแววตาสดชื่นเช่นเดียวกับบรรยากาศรอบๆ ตัว เดนนิสมองลงไปข้างล่างแล้วยิ้มนิดๆ สีหน้าแววตามีแววอ่อนโยนรักใคร่เมื่อเห็นปรกเดือนนั่งอยู่ในสวน
ปรกเดือนขยับตัวลุกขึ้นยืนหันกลับมาแล้วชะงักเมื่อเห็นเดนนิสยืนอยู่ตรงหน้าอย่างอารมณ์ดี
“เรามาเริ่มต้นกันใหม่ดีไหม”
ปรกเดือนมองเดนนิสนิ่งๆ ครู่หนึ่ง
“แจ๋วคงทำอาหารเช้าเสร็จแล้วละค่ะ”
“เธอยังโกรธฉันเรื่องนั้นอยู่ใช่ไหม”
“ถ้าคุณหมายถึงเจนจิรา...”
“ไม่ใช่ ... ฉันหมายถึงปรายดาว” ปรกเดือนชะงัก “ฉัน ...”
“ฉันให้แจ๋วทำข้าวต้มปลา”
ปรกเดือนตัดบทแล้วเดินนำออกไป เดนนิสมองตามด้วยสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด
ระหว่างอยู่ที่โต๊ะอาหารปรกเดือนและเดนนิสต่างนั่งกินข้าวต้มเงียบๆ แล้วเดนนิสก็พูดขึ้นในที่สุด
“ปรายดาว เป็นยังไงบ้าง”
“ก็เหมือนเดิมค่ะ”
“รักษาทางวิทยาศาสตร์มาตั้งปีกว่าแล้วมั้ง น่าจะลองทางไสยศาสตร์ดูบ้าง...ฉันรู้จักชินแสคนนึง...”
“ขอบคุณที่แนะนำ แต่ไม่เป็นไรค่ะ ฉันก็รักษาแกไปเรื่อยๆ”
“ตามใจ ! ถ้าเปลี่ยนใจเมื่อไหร่ละก็ บอกฉันได้เลยไม่ต้องเกรงใจ”
“ขอบคุณค่ะ”
เดนนิสลอบสังเกตปรกเดือนเงียบๆ
อีกด้านหนึ่งที่รีสอร์ทไร่สุขศรีตรัง ขณะนั้นเตชิตนั่งทำงานอยู่หน้าคอมฯ แล้วเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เตชิตหยิบขึ้นมาดู ยิ้มนิดๆ แล้วรับ
“ว่าไง ไอ้กรณ์”
“ได้เรื่องแล้วว่ะ อยากรู้ก็รีบพาน้องศรีตรังมาที่นี่เลย”
“ไอ้บ้า”
“เฮ้ย นี่พูดจริงนะ ผู้หญิงคนนี้โดนจริงๆ จะมองซ้ายมองขวาน่ารักไปหมด!”
“ฉันจะลองชวนเขาดู”
“ถ้าน้องศรีไม่ว่างมา จะให้ฉันเอาไปให้ที่ไร่ก็ได้นะ”
“ฉันจะออกเดินทางเดี๋ยวนี้ ขอบใจมากนะเพื่อน”
เตชิตยกของเข้าไปเก็บข้างใน เตชิตเดินเข้ามาในบ้านพลางร้องเรียกเสียงหวาน
“เสียงหวาน คุณเสียงหวาน”
“อยู่นี่ค่ะ”
เตชิตหันไปมองตามเสียง จึงเห็นเสียงหวานนั่งสงบเสงี่ยมอยู่บนโซฟา
“ผมจะเข้ากรุงเทพฯ”
“ฉันไปด้วยค่ะ”
“ไม่ถามหรือว่าเรื่องอะไร”
“เรื่องอะไรคะ” เสียงหวานชะงักเมื่อเห็นสีหน้ายิ้มๆ ของเตชิต “หมายความว่า ...”
“ใช่”
เตชิตพยักหน้า เสียงหวานกระโดดด้วยความดีใจ
“โอ๊ย ฉันดีใจที่สุดในโลกเลยค่ะ จะได้รู้เสียทีว่าฉันเป็นใครมาจากไหน”
“เสียงหวาน” สีหน้าเตชิตจริงจังขึ้น
“คะ”
“คุณต้องเผื่อใจไว้ด้วยนะถ้าทุกๆ อย่างจะไม่ได้สวยงามอย่างที่คุณคิด”
“ไม่เป็นไรค่ะ...ขอแค่ให้ฉันได้รู้จักตัวเองเท่านั้นก็พอใจแล้ว”
“บางครั้ง ผมก็อยากจะลืมเรื่องราวที่ผ่านมาทั้งหมด”
“คุณก็เลือกจดจำเฉพาะความสุขซิคะ จะไปจำเรื่องเศร้าๆ ทำไม” เสียงหวานบอกเสียงอ่อนโยน
“คนเรามักจะจำไอ้เรื่องที่มันเศร้าได้มากกว่าความสุข”
“ถึงอย่างนั้นคุณก็ยังโชคดีที่ยังมีอะไรให้จดจำ...มีความหลังให้คิดถึง...ฉันซิคะพออยากจะนึกถึงความหลังกับเขาบ้าง ก็นึกไม่ออกเอาเลยมันว่างเปล่าไปหมด !”
“งั้นวันนี้ คุณก็จะได้รู้เรื่องราวของตัวเองแล้ว”
เสียงหวานมองเตชิตอย่างตื้นตัน
“ขอบคุณมากจริงๆ ค่ะ ถ้าไม่ใช่เพราะคุณ ฉันก็ยังคงเป็นดวงวิญญาณที่หลงทางลอยเคว้งคว้างไปอย่างไม่มีจุดหมาย”
“งั้นก็ไปกันเถอะ....อ้อ! แต่ผมต้องแวะไปบอกสหายรักก่อน”
เตชิตเดินออกไป เสียงหวานรีบตาม
ปางเสน่หา ตอน 7 (ต่อ)
เตชิตมาหาศรีตรังที่ออฟฟิศเพื่อชวนเข้ากรุงเทพด้วยกัน แต่ศรีตรังปฏิเสธ
“แกไปเถอะ ฉันขี้เกียจไปสบตาเยิ้มๆ ของไอ้กรณ์”
“เฮ้ย! มันรวยนะเว้ย นิสัยก็ดีด้วย”
“ดีขนาดนั้น แกก็เอาไว้เองซิ แกยัดเยียดให้ฉันทำไม”
“ไอ้ศรี”
“จะไปไหนก็ไป หนวกหู”
“จะรอไอ้พี่พอลละซิ”
ศรีตรังชะงัก ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมอง แล้วหยิบแฟ้มหนาตราช้างปาโครม เตชิตเตรียมพร้อมอยู่แล้วเปิดประตูออกไปทันที แฟ้มถูกประตูตกกระจาย
เตชิตเดินกลับมาขึ้นรถที่จอดอยู่ภายนอกออฟฟิศ เสียงหวานปรากฏตัวขึ้นนั่งข้างๆ รัศมีสีส้มสดใส
“ตื่นเต้นจังเลยค่ะ”
“คาดเข็มขัดด้วย”
เสียงฟวานหยิบเข็มขัดตามคำสั่ง แต่แล้วก็วืด เสียงหวานหันมายิ้มแห้งๆ “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันตายแล้ว คงไม่ตายซ้ำซากอีกหรอกค่ะ” เตชิตขับรถออกไปด้วยสีหน้าขรึมลง “คุณตื่นเต้นไหมคะ”
“เฉยๆ”
เสียงหวานหน้าจ๋อยลง
เตชิตมาที่หนังสือพิมพ์ไทยก้าวหน้า เมื่อมาถึงเตชิตเลี้ยวรถเข้ามาจอด
“ฉันไปก่อนนะคะ”
“เดี๋ยว” ร่างเสียงหวานหายไปแล้ว เตชิตถอนใจเฮือกอย่างหงุดหงิด “อยากจะไปผุดไปเกิดเต็มทีละซิ”
เตชิตเปิดประตูรถก้าวลงไป
เตชิตมาหาธากรณ์ที่ห้องทำงาน เลขาธากรณ์รีบลุกขึ้นต้อนรับ
“สวัสดีค่ะ ผู้กอง นัดไว้หรือเปล่าคะ”
“ครับ”
เลขารีบโทรศัพท์เข้าไปรายงานธากรณ์
“ผู้กองเตชิตมาแล้วค่ะ ค่ะ... เชิญค่ะ ...ผู้กอง”
“ขอบคุณ วันก่อนผมมาไม่เจอคุณ”
“อ๋อ ...ปิ๋วลาไปหาหมอค่ะ เป็นไมเกรน”
“ไอ้กรณ์ใช้งานมากละซิ” เลขาหัวเราะ แล้วเปิดประตูให้ “ขอบคุณครับ”
เตชิตเดินเข้าไป เลขาปิดประตู
เสียงหวานนั่งหน้าระรื่นรออยู่ในห้องธากรณ์แล้ว ขณะที่ธากรณ์กำลังจิบกาแฟมองมาอย่างสบายอารมณ์
“นั่งหน้าระรื่นเชียวนะ” เตชิตพูดแขวะเสียงหวาน ธากรณ์สำลักกาแฟ “ขอโทษ ฉันไม่ได้ว่าแก”
“แล้วแกว่าใครในเมื่อในห้องนี้ มีฉันกับแกแค่ 2 คน”
“ก็ว่าลมว่าแล้งว่าผีว่าสางไปตามเรื่อง”
ธากรณ์สะดุ้ง
“เฮ้ย พูดเป็นเล่นไป ตอนก่อนแกจะเข้ามาสักครู่ ฉันยิ่งรู้สึกแปลกๆ อยู่ มันเย็นๆ เยือกๆ พิลึก”
เตชิตชำเลืองมองเสียงหวานแว่บหนึ่ง
“ไหน แกได้เรื่องอะไรมาบ้าง”
เตชิตทรุดตัวลงนั่งขณะที่เสียงหวานหายตัวจากเก้าอี้รับแขกมาปรากฏยืนข้างๆ เก้าอี้เตชิต ซึ่งอยู่หน้าโต๊ะทำงานธากรณ์ทันที ธากรณ์โยนแฟ้มไปตรงหน้าเตชิต เตชิตรับมาเปิดในขณะที่เสียงหวานรีบยื่นหน้ามาดู...เตชิตนิ่วหน้าขณะที่เสียงหวานมีสีหน้าผิดหวัง
“นี่มันเรื่องของเจนจิรานี่”
“เออซิวะ ก็แกให้ฉันสืบประวัติเขาไม่ใช่เรอะ”
“ใช่ แล้วฉันก็บอกให้แกสืบเรื่องของเสียงหวานด้วย”
“ใครอีกล่ะ เสียงหวาน อ๋อ เจ้าของรูปวาดนั่นเอง”
เสียงหวานมองธากรณ์อย่างกระตือรือร้น
“ใช่ค่ะ ฉันเป็นใครมาจากไหนคะ”
“เขาไม่ได้ยินคุณหรอกน่ะ” เตชิตดุเสียงหวาน
“แกพูดกับใคร”
“ก็พูดกับลมกับแล้งกับผีกับสางไปตามเรื่อง แล้วเมื่อไหร่จะได้เรื่องของเสียงหวาน”
เสียงหวานรีบพยักเพยิด
“ใช่ค่ะ”
ธากรณ์สะดุ้ง
“ฉันได้ยินเสียงผู้หญิง”
เสียงหวานรีบยกมืออุดปาก
“ฉันดัดเสียงเอง” เตชิตบอก ธากรณ์ทำสีหน้าไม่เชื่อ “นี่ไง... ใช่ค่ะ”
เตชิตดัดเสียงเป็นผู้หญิง ธากรณ์พยักเพยิด
“เออ! คล้ายๆ ว่ะ”
“ขอบใจนะ แล้วอย่าลืมเรื่อง เสียงหวานล่ะ”
“ไม่ลืมหรอก แต่ต้องช้าหน่อย เพราะแกให้สืบแบบเป็นความลับ”
“ขอบใจ...” เตชิตลุกขึ้นแล้วพยักหน้ากับเสียงหวาน “ไป”
เตชิตเดินออกไป ติดตามด้วยเสียงหวาน ธากรณ์มองตามอย่างแปลกใจ
“ตั้งแต่ถูกปลดจากงานนี่ ไอ้เตดูแปลกๆ ...เดี๋ยวพูดคนเดียว เดี๋ยวดัดเสียงเป็นผู้หญิง”
เตชิตกับเสียงหวานเดินมาขึ้นรถ เสียงหวานปรากฏตัวบนรถก่อนเช่นเคย เตชิตเปิดแฟ้มดูลวกๆ เสียงหวานชะโงกหน้ามาดู
“เฮ้อ ข้อมูลส่วนใหญ่เรารู้แล้วทั้งนั้น เอาอย่างนี้ดีกว่า”
“ยังไงคะ”
“ผมจะไปทำความรู้จักกับเธอ ... เคยเห็นหน้ากันที่รีสอร์ทแล้ว ต่อไปคงไม่ยาก” เตชิตหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากด “ไอ้กรณ์ แกช่วยสืบให้หน่อยซิว่า วันนี้คุณเจนจิราถ่ายละครที่ไหน ...เออ! ใช่! เดี๋ยวแกโทรบอกฉันด้วยนะ”
เตชิตปิดโทรศัพท์ แล้วขับรถออกไป
“คุณจะไปไหนคะ”
เสียงหวานถาม เตชิตยังไม่ทันตอบ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น
“ว่าไง ไอ้กรณ์ อ๋อ รู้จัก ขอบใจมากว่ะ”
เตชิตปิดโทรศัพท์
“รู้แล้วหรือคะว่าคุณเจนจิราถ่ายละครที่ไหน”
“ใช่! แล้วเวลาผมคุยกับเธอ ห้ามคุณทะลุกลางปล้องขึ้นมาเด็ดขาด ผมไม่อยากให้เธอคิดว่าผมเป็นบ้า”
“ได้ค่ะ”
เตชิตเลี้ยวรถไป
เตชิตขับรถมาจอดหน้าบ้านซึ่งเป็นสถานที่ถ่ายละคร
“ที่นี่หรือคะ”
“ใช่ มีรถจอดอยู่หลายคัน” เตชิตเปิดประตูก้าวลงจากรถ ในขณะที่เสียงหวานมาปรากฏตัวตรงหน้า เตชิตจึงบอกเสียงเข้ม “ไม่ต้องเข้าไป รออยู่ตรงนี้แหละ”
“แต่ฉันอาจจะช่วยคุณได้นะคะ”
“ช่วยให้คนอื่นคิดว่า ผมบ้าน่ะซิ ผมขอสั่งให้คุณอยู่ตรงนี้ห้ามตามเข้าไปเด็ดขาด”
เสียงหวานทำหน้าซื่อตาใส เตชิตเดินเข้าไปแต่พอถึงรั้วบ้านก็หันมามองอีกที เสียงหวานยิ้มหวาน แล้วโบกมือให้
เตชิตทำไม้ทำมือประมาณว่าให้อยู่ที่นั่นแล้วจึงเดินเข้าไป เสียงหวานมองตามเตชิตด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์
ขณะนั้นเจนจิรากำลังทำผมแต่งหน้า ในขณะที่คนอื่นๆ ต่างทำงานของตัวเองไป เตชิตเดินตรงมายืนอยู่ห่างๆ สีหน้าท่าทางครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไรดี จู่ๆ เสียงปรากฏตัวขึ้นใกล้ๆ เจนจิรา เตชิตถึงกับสะดุ้ง
“เฮ้ย”
เสียงหวานส่งยิ้มหวานให้เตชิต แล้วห่อปากเป่าลมออกมา ข้าวของในบริเวณนั้นปลิวกระจายด้วยลมแรง ทุกคนร้องกันวี้ดว้ายกระตู้วู้ดังลั่นไปหมด กระเป๋ายี่ห้อหรูของเจนจิราปลิวไป
“ว้าย กระเป๋าบินได้”
เจนจิรารีบลุกตามคว้า
“เอามานี่”
กระเป๋าลอยออกไปข้างนอกตัวบ้าน เจนจิราวิ่งตามออกไป กระเป๋าลอยมาตกลงตรงหน้าเตชิตพอดี เตชิตก้มลงเก็บในขณะที่เจนจิรามาถึง ลมหยุดพอดี
“นี่ของคุณใช่ไหมครับ” เตชิตถามพร้อมส่งกระเป๋าให้
“ใช่ค่ะ ขอบคุณมากเลย” เจนจิรามองเตชิตอย่างเพ่งพิศ “เอ๊ะ เราเคยพบกันมาก่อนหรือเปล่าคะ”
“เคยครับ ที่รีสอร์ทไร่สุขศรีตรัง”
“ใช่แล้ว ใช่จริงๆ ด้วย ไม่นึกเลยว่าจะได้พบกันอีก เจนต้องเข้าไปแต่งตัวต่อละค่ะ ลมอะไรก็ไม่รู้พัดแรงจัง ขอบคุณอีกครั้งนะคะ”
เจนจิราหันหลัง เดินย้อนกลับไป
“คุณเจนจิราครับ” เจนจิราหันกลับมา “คุณพอจะมีเวลาสักหน่อยไหมครับ”
เจนจิรามองสบตาเตชิต แล้วค่อยๆ ยิ้มออกมาอย่างท้าทายนิดๆ
“คุณจะรอฉันมั้ยล่ะคะ ถ้ารอฉันก็มีเวลา”
เตชิตส่งยิ้ม ใส่เสน่ห์ลงไปเช่นกัน
“งั้นผมจะรอ”
เจนจิรายิ้มหวานให้ แล้วเดินกลับเข้าไป
เตชิตเดินกลับมาขึ้นรถขณะที่เสียงหวานปรากฏตัวขึ้นนั่งข้างๆ หน้างอนิดๆ แสงเริ่มกลายเป็นสีแดง
“เธอสวยมากนะคะ” เสียงหวานประชด
“นางเอกนี่ ไม่สวยได้ยังไง”
“ระวังแฟนเขาให้ดีก็แล้วกัน เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน”
“ ผมมีเสน่ห์กว่า ไอ้เสี่ยนั่นตั้งเยอะ” เสียงหวานเม้มปาก สีหน้าเหมือนน้อยใจ แสงเปลี่ยนเป็นสีเทา “เป็นอะไรไป”
“เปล่า”
“แผนคุณใช้ได้นะ พัดเอากระเป๋ามาตกตรงหน้าผมพอดิบพอดี” เสียงหวานนิ่ง “คุณจะไปไหนก็ไปได้นะ ผมสัญญากับเจนจิราว่าจะรอ”
“คุณอยู่ฉันก็ต้องอยู่ เพราะฉันไปไหน โดยไม่มีคุณไม่ได้”
“ก็แล้วถ้าผมแต่งงานล่ะ”
“ฉันก็จะตามเข้าไปในเรือนหอด้วยเลย”
“งั้นผมจะแต่งกับคนอื่นทำไม สู้แต่งกับคุณดีกว่า”
เสียงหวานสะดุ้ง หันขวับมามองเตชิต เตชิตมองอยู่แล้วด้วยสีหน้าแววตาอ่อนโยน เสียงหวานเบือนหลบแสงรอบตัวค่อยๆ กลายเป็นสีชมพู
ภายในบ้านขณะนั้นเจนจิรายื่นบทให้ผู้กำกับอย่างไม่พอใจ
“ตบอีกแล้วหรือคะ ทำไมไม่มีบทอื่นๆ ให้เจนแสดงบ้างนอกจากตบ เมื่อวานก็ตบ เมื่อวานซืนก็ตบ วันนี้ก็ตบ พรุ่งนี้...”
“ใจเย็นๆ น้องเจน คนเขียนบทเขาเขียนมาอย่างนี้ แล้วจะให้ทำยังไง”
“เขาคงจะเห็นว่า น้องเจนตีบทนี้แตกกระจุย”
“เขาจะรู้ได้ยังไง นอกจากจะมีใครคาบไปบอก” ผู้กำกับและธุรกิจสะดุ้ง “ไม่รู้ละถ้าไม่แก้บท เจนไม่เล่นด้วย”
“อ้าว”
เจนจิราเชิดและสะบัดหน้าเดินไป
“น้องเจนสะบัดบ๊อบไปอย่างนี้ไม่ถูก”
ผู้กำกับบอก เจนจิราหันขวับมามอง
“ใครจะมาตัดสินใจว่าเจนทำถูกหรือไม่ถูก”
ผู้กำกับมีนัยน์ตาและสีหน้าเยาะเต็มที่
“เสี่ยสงครามหรือคุณเดนนิสไงฮะ” เจนจิราหน้าเสียทันที “เอาอย่างนี้ พี่จะลดบทตบลง พบกันคนละครึ่งทาง”
ผู้กำกับประนีประนอม เจนจิรามีสีหน้าดีขึ้น
“ก็ได้ค่ะ”
“งั้นเอาอย่างนี้นะ”
ผู้กำกับอธิบายบทที่จะแก้ไขให้เจนจิราฟัง โดยจิราเจนฟังอย่างตั้งใจ
เจนจิราเดินตรงมาที่รถหลังจากถ่ายละครเสร็จ
“ถ่ายละครเสร็จแล้วหรือครับ”
เจนจิราหันไปมอง เตชิตเดินเข้ามา เจนจิรามีสีหน้าประหลาดใจและพอใจ
“คุณยังรออยู่จริงๆ ด้วย”
เตชิตยิ้มอบอุ่น
“ก็ผมบอกแล้วว่าจะรอ”
“คุณขับรถตามเจนก็แล้วกัน”
“ได้ครับ ผมจอดรถไว้ข้างนอก”
“งั้นก็ไปเตรียมตัวได้เลยค่ะ เดี๋ยวเจนจะขับออกไป”
“ครับ”
เตชิตเดินออกไป เจนจิรามองตาม
“หล่อกว่าหนุ่มกว่าเสียอีก แต่คงไม่รวยเท่าเสี่ยหรอก”
เจนจิราเดินไปขึ้นรถ แล้วขับออกไป
เจนจิราขับรถนำหน้าพลางเหลือบมองทางกระจกหลัง แล้วยิ้มนิดๆ
“ช่างกล้ามาจีบแฟนเจ้าพ่อ”
ส่วนที่รถเตชิต เตชิตขับรถโดยเสียงหวานนั่งเงียบๆ อยู่ข้างๆ
“ถ้าคุณรู้ว่าตัวเองเป็นใคร แล้วจะให้ทำยังไงต่อ”
“คงไปเกิดใหม่มั้งคะ”
“อ้าว ไหนว่าไม่อยากไปเกิดใหม่ไง”
เสียงหวานเบือนหน้าไปมองข้างทาง
“ในเมื่อจะต้องไป มันก็ต้องไป ...”
“งั้นผมก็อยู่คนเดียว ไม่มีผีมากวนใจอีกแล้ว”
เสียงหวานนิ่งไป เตชิตชำเลืองมอง...เจนจิราเลี้ยวเข้าซอย เตชิตหักเลี้ยวตามแทบไม่ทัน
เจนจิราขับรถมาเที่ยวที่ผับแห่งหนึ่ง...เสียงหวานทอดสายตามองไปยังเตชิตและเจนจิราที่กำลังเต้นกันอย่างสนุกสนานสุดเหวี่ยง โดยเฉพาะเจนจิราปล่อยอารมณ์เต็มที่ เสียงหวานมองอย่างหมั่นไส้ ขณะนั้นมีชายหนุ่มคนหนึ่ง ถือแก้วเหล้า 2 แก้วอยู่เหนือหัวเดินเต้นลัดเลาะเข้ามาจะเดินผ่านไปให้เพื่อนอีกด้าน เสียงหวานห่อปากเป่าลมเบาๆ ลงไป
ทำให้ชายนั้นสะดุดขาตัวเอง เหล้าหกรดไปที่เตชิตและเจนจิราพอดิบพอดี เจนจิราและเตชิตตกใจโดยเฉพาะ เจนจิราร้องว้าย แต่แล้วก็หัวเราะขบขันด้วยมีอาการมึนนิดๆ เตชิตหัวเราะตามยิ่งทำให้เจนจิราหัวเราะงอหาย เสียงหวานเม้มปาก โดยเฉพาะเมื่อเตชิตช่วยประคองเจนจิราออกไป โดยเจนจิรายังคงหัวเราะหัวสั่นหัวคลอน
เตชิตพาเจนเดินออกมาข้างนอกแล้วปล่อยแขนที่โอบไหล่ แต่เจนจิราคว้าแขนไปกอดแน่นเหมือนจะยึดไว้
“โอย! สนุกจังเลย สนุกที่สุด” เตชิตมองไปที่รถเห็นเสียงหวานยืนกอดอกมองมาหน้างอ “เราจะไปไหนต่อดีคะ คุณเตะ”
เตชิตสะดุ้ง
“ผมชื่อเตครับ ไม่ใช่เตะ”
“ไม่เอา เจนอยากให้คุณชื่อเตะ ฟังแล้วแมนดี”
“คุณขับรถไหวหรือเปล่า”
“ถ้าไม่ไหว คุณเตะจะไปส่งมั้ยล่ะคะ”
“คุณไว้ใจผมหรือเปล่าล่ะ”
“ไม่ไว้ใจคุณเตะ แล้วจะให้ไว้ใจคุณต่อยที่ไหน”
“งั้นตกลง ผมจะไปส่งคุณ”
เจนจิราเปิดกระเป๋าหยิบกุญแจรถส่งให้
“รถฉันจอดเด่นเป็นสง่าอยู่นั่นเอง”
ทั้งคู่พากันไปที่รถ โดยมีแสงแฟซแว่บมาจากมุมๆ หนึ่ง เตชิตช่วยเปิดประตูให้เจนจิราขึ้นนั่งก่อน แล้วตัวเองอ้อมมานั่งที่คนขับ มีแสงแฟซ แว่บขึ้นเป็นระยะๆ เสียงหวานปรากฏตัวขึ้นที่เบาะหลัง
“มีคนแอบถ่ายรูป”
“ผมรู้แล้ว”
เจนจิราหันมามองเตชิตอย่างแปลกใจ
“รู้อะไรคะ”
“อ๋อ ... ไม่มีอะไรครับ บ้านคุณอยู่แถวไหน”
“สุขุมวิทค่ะ คุณเตะ”
เตชิตขับรถออกไป
เตชิตขับรถไปเรื่อยๆ โดยเจนจิราเอนหลังพิงพนัก เบือนหน้ามามองเตชิตด้วยแววตาเพ่งพิศ
“คุณนี่ยิ่งมองยิ่งหล่อ”
เสียงหวานสำลักกระอักกระไออยู่ข้างหลัง เตชิตยิ้มออกมานิดๆ
“ขอบคุณมากครับ”
“อยากเป็นพระเอกมั้ยเอ่ย เจนจะฝากให้”
เสียงหวานตาพองโต
“แบบนี้เนี่ยนะ จะเป็นพระเอก”
“เงียบน่า” เตชิตดุเสียงหวาน
“เจนทำให้คุณรำคาญหรือคะ”
“อ๋อ เปล่าครับ ผมพูดกับพวกจิ้งจกตุ๊กแก”
เสียงหวานเบิกตากว้าง
“จิ้งจกตุ๊กแก... มาหาว่าฉันเป็นจิ้งจกตุ๊กแก”
“ต๊าย...คุณนี่ตลกจัง”
เจนจิราหัวเราะร่วน...เสียงพูดลอยๆ เมื่อเห็นเตชิตและเจนจิรารคุยกันสนิทสนม
“บ้านอยู่นอกฟ้าป่าหิมพานต์หรือไงนะ ทำไมไม่ถึงสักที”
“เดี๋ยวเข้าซอยนี้เลยค่ะ” เจนจิราบอกเตชิต
“ครับ”
เตชิตขับรถเลี้ยวเข้าไปจอดที่คอนโดแห่งหนึ่งซึ่งดูหรู สมฐานะของผู้มีอันจะกิน
“ขอบคุณมากนะคะที่อุตส่าห์ขับรถมาให้ เอ!...เจนจะตอบแทนคุณเตะยังไงดี”
“ช่วยขับรถไปส่งที่เดิมไง ไม่อย่างนั้นพระเอกต้องนั่งรถเมล์ย้อนกลับไปเอารถ”
“นั่งแท็กซี่ก็ได้”
“อุ๊ย จริงซินะคะ เจนก็ลืมไปว่าคุณต้องทิ้งรถไว้ที่นั่น แหม...เอายังไงดี หรือจะให้เจนขับไปส่งคุณ”
“ส่งกันไปส่งกันมา พอดีสว่าง” เสียงหวานต่อว่า
“เดี๋ยวให้ รปภ. ช่วยเรียกแท็กซี่ให้ผมก็พอครับ”
“ได้เลยค่ะ” เจนจิราเปิดประตูเดินตรงไปที่ป้อมซึ่งมี รปภ. นั่งอยู่ สั่งการครู่หนึ่งแล้วเดินกลับมา ขณะที่เตชิตและเสียงออกมา ยืนนอกรถ “เรียบร้อยแล้วค่ะ วันนี้สนุกจริงๆ เลย เจนไม่ได้หัวเราะอย่างนี้มานานแล้ว”
“ขืนหัวเราะร่วนแบบนี้ทุกวัน คงต้องย้ายจากคอนโดฯ ไปอยู่โรงพยาบาลโรคจิต” เสียงหวานบอก
“ปากจัดเหมือนกันนี่เรา” เตชิตต่อว่า เจนจิราตกใจเพราะเข้าใจว่าเตชิตว่าเธอ
“เจนน่ะหรือคะ”
“เปล่าครับ ผมว่าจิ้งจกตุ๊กแกที่มันตามมาด้วย” เจนจิราหัวเราะร่วน “คุณเจนครับ ผมมีเรื่องรบกวนนิดนึง”
“ตลกยืมเงินหรือคะ” เจนจิราหยุดหัวเราะ ระแวงขึ้นมาทันที
“ช่วยเซ็นที่รูปเพื่อนผมให้หน่อย คุณเปนไอดอลของเขาเลยนะครับ”
“โธ่เอ๊ย... แค่นี้เอง ดีกว่าขอยืมตังค์ตั้งเยอะ ไหนล่ะคะรูป”
เตชิตค่อยๆ หยิบม้วนกระดาษออกจากอกเสื้อมาคลี่ และส่งให้เจนจิรา
“นี่ครับ” เจนจิราชะงัก ตาค้าง ตกตะลึง “เป็นอะไรไปครับ หรือว่าคุณเจนเคยเห็นเพื่อนของผมมาก่อน”
“ปละ...ปละ...เปล่าค่ะ ไม่เคยเห็น ไม่รู้จัก ไหนล่ะคะ ปากกา”
เตชิตดึงปากกาจากกระเป๋าเสื้อส่งให้ เจนจิรารับมามือไม้สั่น รีบเซ็นให้ แล้วเดินเข้าไปข้างใน เตชิตและเสียงหวานมองตาม
“เจนจิราต้องรู้จักฉันจริงๆ”
เสียงหวานบอกอย่างมั่นใจ
เจนจิรายังมีสีหน้าตระหนกขณะเปิดประตูห้องเข้ามา เจนจิรารีบเดินมาทรุดตัวลงนั่ง
“เป็นไปได้ยังไง”
เจนจิราเม้มปาก สีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิดหนัก
เตชิตกับเสียงหวานนั่งแท็กซี่กลับไปเอารถที่ผับ
“เธอต้องรู้จักฉันแน่ๆ” เสียงหวานบอกเตชิต
“ผมก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน” แท็กซี่ชำเลืองดูกระจกหลังอย่างประหลาดใจเมื่อเห็นเตชิตคุยอยู่คนเดียว เตชิตไม่ทันระวังเพราะมัวแต่สนใจเรื่องที่เกิดขึ้น “ท่าทางเธอเหมือนต้องรู้บางอย่างเกี่ยวกับคุณ”
แท็กซี่ชำเลืองดูอีก และพูดเบาๆ อย่างกังวล
“รับคนบ้ามาหรือวะเนี่ย”
“บางที...เธออาจจะรู้ว่าฉัน... ตายยังไง...”
“ผมว่าเราใกล้ความจริงเข้าไปทุกทีแล้วละ เห็นหรือยังว่าแผนของผมเจ๋งขนาดไหน”
แท็กซี่ขยับตัวอย่างอึดอัด แล้วพึมพำออกมาเบาๆ
“จะรอดมั๊ยเนี่ย...”
“ถ้าหากรู้ว่าอะไรเป็นอะไร คุณก็จะได้ไปสู่สุขคติเสียที”
แท็กซี่สะดุ้ง ในขณะที่เสียงหวานก้มหน้าลงเศร้าๆ เตชิตมองอย่างอ่อนโยน
“ผมขอโทษ แต่เราต้องยอมรับความจริง”
คนขับแท็กซี่ทำหน้าจะร้องไห้เสียให้ได้
“ก็ยังดีกว่ารับโจรละว่ะ”
แท็กซี่ปลอบใจตัวเอง และขับรถมาส่งเตชิตจนถึงหน้าผับ เตชิตชะโงกมองมิเตอร์แล้วส่งเงินให้
“ไม่ต้องทอน”
“ขอบคุณมากครับ” เตชิตหันหลังจะเดินไปที่รถตัวเอง โดยเสียงหวานเดินตามด้วยสีหน้าเศร้าๆ คนขับแท็กซี่
ลังเลครู่หนึ่ง แล้วตัดสินใจเรียก “เอ้อ...คุณครับ” เตชิตและเสียงหวานหันมามอง “คุณ...สบายดีหรือครับ”
เตชิตทำหน้างง
“ก็ไม่ได้เจ็บไข้ได้ป่วยอะไรนี่ครับ”
“อย่าหาว่าละลาบละล้วงเลยนะครับ ผมว่าคุณน่าจะไปพบจิตแพทย์” เตชิตยังงงอยู่ คนขับแท็กซี่รีบพูด
“ไม่ได้หมายความว่า คุณเป็นบ้านะครับ”
เตชิตชักรู้สึกตัว จึงขยับจะเดินมาหา คนขับแท็กซี่รีบขับออกไปด้วยความกลัวว่าเตชิตจะเข้ามาเอาเรื่อง
โปรดติดตามอ่านต่อตอนที่ 7 วันจันทร์ที่ 23 ม.ค. 2555